เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก 313-320

 ตอนที่ 313 ข่มขู่กันและกัน 


 


 


เหยียนเค่อกำลังประชุมอยู่ก็ได้รับข้อความรูปจากสวีรั่วชี 


 


 


ปลายนิ้วเลื่อนหน้าจอไปทางด้านซ้าย ชั่วครู่ก็เลื่อนไปทางด้านขวา เพียงแต่ช้ากว่าคราวที่แล้ว 


 


 


ผู้ช่วยหวังที่ยืนพรีเซนต์พาวเวอร์พ้อยต์อยู่ทางด้านซ้ายมือของเหยียนเค่อเห็นเขาก้มหน้าลง ก็นึกว่าตัวเองพูดได้ไม่ดีพอ ก่อนจะเห็นหน้าจอโทรศัพท์ของเหยียนเค่อสว่างขึ้น จากระยะนี้ แม้ว่าเขาจะเห็นรูปคนในโทรศัพท์ไม่ชัดนัก แต่ก็พอจะแยกเพศของคนบนหน้าจอได้พอดี เขามองปราดหนึ่ง ก่อนจะรีบเบนสายตาออกมา 


 


 


ยิ่งรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งตายช้าเท่านั้น เขารู้มากเกินไปแล้ว… 


 


 


การพูดคุยเรื่องสัญญาในครั้งนี้ผ่านไปอย่างราบรื่น จัดการดำเนินเรื่องในระยะแรกเรียบร้อยแล้ว แผนการระยะหลังที่ขอไว้ ฝ่ายของตนก็ได้ให้ไปเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายเมื่อทั้งสองฝ่ายเซ็นชื่อลงไปก็จะมีผลบังคับใช้ทันที 


 


 


เหยียนเค่อไม่ได้คิดไตร่ตรองใดๆ เซ็นชื่อตัวเองลงไปบนเอกสารหลังจากที่อีกฝ่ายเซ็นเรียบร้อยแล้ว จึงยื่นคืนไปให้ฉบับหนึ่ง 


 


 


คนที่เช่าสนามบินหนานซาน ไม่ใช่แค่หนึ่งเดียวในมณฑล N เท่านั้น แต่ในระดับประเทศเองก็หาได้ยากยิ่ง ช่วยให้ธุรกิจท่องเที่ยวของมณฑล N ได้พัฒนาสู่ภายนอกอย่างเต็มที่ 


 


 


YAN เปิดโหมดการตลาดใหม่ ในขณะที่ได้สร้างความสัมพันธ์ในการร่วมมือกับทางหน่วยงานของรัฐบาลก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับผลประโยชน์มากที่สุด อีกทั้งยังทำให้แผนการทำงานของทั้งตัวเขตหนานซานได้ประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้หน่วยงานเขตหนานซานรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้สำเร็จ 


 


 


หลังจากจบการประชุม โดยปกติแล้วจะเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของทั้งสองฝ่าย เหยียนเค่อมาเซ็นสัญญาถึงที่นี่ก็ถือว่าให้เกียรติมากพอแล้ว สุดท้ายเรื่องงานเลี้ยงจึงให้ผู้ช่วยหวังรับหน้าที่ไปแทน 


 


 


“จบงานนี้ พวกคุณไปฉลองงานกันอีกก็ได้นะ” เหยียนเค่อเก็บของตัวเองก่อนจะสั่งกำชับ “พักผ่อนที่หนานซานก่อนก็ได้ วันจันทร์ค่อยกลับไปทำงาน” 


 


 


“ครับ” 


 


 


ผู้ช่วยหวังรู้ว่าสิทธิพิเศษนี้ไม่น้อย ได้พักหนึ่งวันครึ่ง แถมมีวันเสาร์อาทิตย์อีก เพื่อไม่ให้ละครคอมเมดี้กลายเป็นโศกนาฏกรรม เขาจึงพูดขึ้นก่อน “บอสครับ ระหว่างที่พวกเราพักผ่อน ท่านก็ช่วยหยุดก่อเรื่องก่อนได้ไหมครับ” 


 


 


“ยุ่งจริง” เหยียนเค่อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ผู้ช่วยหวังฟังน้ำเสียงนั้นแล้วก็เกิดกลัว รีบพาคนอื่นๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เหยียนเค่อเองก็ไม่ได้ออกจากหนานซาน ก็แค่แยกกันกับลูกน้องของตน แล้วไปปีนภูเขาบริเวณที่เขากับซย่าเสี่ยวมั่วไปตั้งแคมป์ด้วยกันในตอนนั้น 


 


 


พื้นที่บริเวณนี้ยังคงสภาพเดิม ไม่ได้ทำการเปิด เพียงแต่ปรับปรุงให้ดูมีวัฒนธรรมมากขึ้น และเพิ่มกลิ่นอายความโบราณเข้าไปเท่านั้น 


 


 


เขานั่งลงในศาลาก่อนจะเปิดดูรูป ในโทรศัพท์ยังมีรูปจากตอนไปเที่ยวข้างนอกกับซย่าเสี่ยวมั่วหลงเหลือ ตัวเธอในแต่ละรูปดูร่าเริงและสดใส คนที่ทั้งงามสง่าและสูงส่งยังคงเป็นเธอคนนั้นคนเดิม 


 


 


เมื่อคิดแล้วสายตาก็เบนจากโทรศัพท์ออกไปมองทิวทัศน์ด้านนอก ราวกับได้เห็นภาพซย่าเสี่ยวมั่วยืนกระทืบเท้าย่ำอยู่ที่เดิมด้วยความหนาวในตอนนั้น รวมถึงใบหน้ามีสุขยามที่ได้นั่งล้อมกองไฟ 


 


 


แฟ้มเอกสารที่วางไว้ข้างตัวโดนลมภูเขาพัดขยับปลิวขึ้น ด้านในมีปึกกระดาษเอสี่ที่ด้านบนเขียนตัวหนังสือเบียดแน่นขนัดถูกเย็บมุมวางทับกัน สุดท้ายกระดาษใบแรกก็ถูกลมพัดจนเผยอออกมาครึ่งหนึ่ง ตรงกลางเขียนเป็นชื่อผู้ถือหุ้นลำดับที่หนึ่งของการแบ่งหุ้นส่วนนี้อย่างชัดเจน ตรงด้านหลังในวงเล็บเขียนเป็นคำว่า ‘มั่ว’ ในนามของคนสืบทอดลำดับแรกหากผู้ถือหุ้นลำดับที่หนึ่งเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตัวอักษรนั้นถูกเขียนไว้อย่างไม่ชัดเจนนัก 


 


 


ลมภูเขายิ่งพัดก็ยิ่งหนาว ร่างกายของเหยียนเค่อยังไม่หายดีจึงไม่กล้านั่งนาน ขณะกำลังจะลุกไปดูที่สโมสรก็ได้รับข้อความจากสวีรั่วชี คราวนี้มีตัวหนังสือแนบมาด้วย 


 


 


“ฉันจะพาซย่าเสี่ยวมั่วไปเสริมสวย เสร็จแล้วก็จะพาเขาไปนัดบอดล่ะ” ด้านล่างเป็นรูปคู่ของทั้งสองคน 


 


 


เห็นได้ชัดว่าซย่าเสี่ยวมั่วตัดผมและดัดลอนที่ปลาย มองดูแล้วอายุเหมือนเด็กมหาวิทยาลัยอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


เหยียนเค่อพิมพ์ข้อความตอบกลับ [เธอกล้าเอาเพื่อนไปขายเหรอ คืนนี้ฉันจะวางยาสวีอันหราน] 


 


 


สวีรั่วชีกดเปิดโทรศัพท์โดยไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นข้อความนั้นแล้วก็เกือบจะโยนโทรศัพท์ลงพื้น ใบหน้าแดงซ่านไปหมด 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 314 ไอ้นี่ไอ้นั่น 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วง่วงงุนสุดขีด เกือบล้มหน้าคะมำกลางถนนเสียแล้ว 


 


 


สวีรั่วชีลูบหัวเธอก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “มีคนคุ้มกะลาหัวนี่ดีจริงๆ ฉันยังไม่กล้าทำอะไรเธอเลย” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วอ้าปากหาวแล้วน้ำตาซึม มองหน้าเธออย่างุนงง “ตอนนี้ฉันขอกลับบ้านไปงีบหน่อยได้ไหม” 


 


 


“ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอเลยนะ เรื่องดอกกุหลาบ หลี่หมิงฉวี สวีรั่วชีนั่นน่ะ เธอเป็นคนทำใช่ไหม” สวีรั่วชีนั่งบนที่นั่งคนขับแต่ยังไม่ขับรถ ซย่าเสี่ยวมั่วงุนงงอยู่ครู่หนึ่งจึงจะมองเธอโดยปราศจากข้อสงสัย 


 


 


“เธอรู้ได้ไงว่าฉันเป็นคนทำ” ซย่าเสี่ยวมั่วง่วงจนไม่มีแรงโต้เถียงแล้ว “ฉันทำเอง ทำเองทั้งหมดเลย เธอรีบพาฉันกลับบ้านเถอะ!” 


 


 


พอเขาไม่เถียงกลับก็ไม่มีอะไรน่าสนุกอีกแล้ว สวีรั่วชีมองซย่าเสี่ยวมั่วที่ทิ้งทุกศักดิ์ศรีไปเพื่ออยากจะนอนแล้วยักไหล่ “อธิบายมาซะดีๆ” 


 


 


“เธอน่ะเป็นคนดีที่สุดแล้ว!”ซย่าเสี่ยวมั่วพูดแทรกขึ้น จับแขนสวีรั่วชีแล้วเขย่าอย่างบ้าคลั่ง “เธอไปส่งฉันกลับบ้านเถอะ!” 


 


 


สวีรั่วชีที่พูดเหมือนสีซอให้ควายฟังเริ่มเอือมระอา “เดี๋ยววันเสาร์ฉันมาหาเธอใหม่” 


 


 


“อื้มๆๆๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้ารัวๆ นวดเปลือกตาแล้วขึ้นไปนั่งบนรถ ตั้งตารอคอยการกลับบ้านอย่างใจจดใจจ่อ 


 


 


ชั่วพริบตาเดียวก็ถึงวันเสาร์แล้ว ขณะที่ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังทรมานเพราะตื่นไม่ไหวอยู่นั้น สวีรั่วชีก็ขับรถเข้ามาจอดใต้อาคารของเธอเรียบร้อยแล้ว 


 


 


“เมื่อคืนเธอกับสวีอันหรานไม่ได้ทำไอ้นี่ไอ้นั่นกันเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วนวดคลึงศีรษะของตนอย่างเซื่องซึม 


 


 


สวีรั่วชีช่วยเธอนวดแรงๆ สองที “ในสมองเธอมีผีห่าตัวไหนอยู่ข้างในกันฮะ” 


 


 


“พี่สวีไม่ได้เรื่องเลยอะ ทำไมถึงทำให้เธอมีแรงลงจากเตียงมาทำร้ายฉันได้เนี่ย” ซย่าเสี่ยวมั่วเดินลากเท้าเข้าไปในห้องน้ำ 


 


 


“ตอนที่เธอกับเหยียนเค่อไอ้นี่ไอ้นั่นกัน ก็ยังลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้เขาได้ตั้งแต่เช้าตรู่เลยไม่ใช่เหรอ” สวีรั่วชีฟังเธอพูดจนชักจะเขิน ทำได้เพียงโต้เถียงซย่าเสี่ยวมั่วกลับเสียงอ่อย 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเหยียดยิ้ม “ไอ้นี่ไอ้นั่นของพวกเธอ กับไอ้นี่ไอ้นั่นของพวกฉันมันเหมือนกันหรือไง” เธอสาดน้ำเย็นล้างหน้าให้ตัวเองตื่นเต็มตาขึ้นสักหน่อย “การกระทำของพวกเธอรวมศิลปะและชีววิทยาหลากหลายอย่างไว้ด้วยกัน เป็นวัฒนธรรมจีนที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโจวกง[1]เชียวนะ…” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วยังไม่ทันพูดจบก็โดนตบกะโหลกฉาดใหญ่ 


 


 


“พูดให้มันดีๆ หน่อย!” สวีรั่วชีหน้าแดงแจ๊ด ตอนเรียนอนาโตมียังไม่รู้สึกอะไรเลยแท้ๆ ทำไมตอนนี้ถึงต้องมาเขินเพราะคำพูดของซย่าเสี่ยวมั่วด้วย 


 


 


“หน้าแดงก็เพราะกลัว ที่กลัวก็แสดงว่ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ ที่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นได้ก็แสดงว่าพวกเธอเคยทำกันแล้ว” ซย่าเสี่ยวมั่วมองเธออย่างลึกซึ้ง ป้ายโฟมล้างหน้าลงบนใบหน้า 


 


 


สวีรั่วชีทนสายตาของเธอไม่ไหวจึงวิ่งหนีออกมาจากห้องน้ำ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองแผ่นหลังของเขาผ่านกระจกแล้วก็หัวเราะอย่างสะใจ กลัวแล้วล่ะซี่… 


 


 


เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วแต่งตัวเสร็จก็ทำเอาสวีรั่วชีตกอกตกใจหมด 


 


 


“ฉันหล่อมากเลยใช่ไหม!” ซย่าเสี่ยวมั่วหมุนไปหมุนมาตรงหน้าสวีรั่วชีอย่างที่คิดเอาเองว่าดี 


 


 


สวีรั่วชีคว้าแขนเสื้อฮู้ดดี้ของเธอไว้ ก่อนจะดึงกางเกงขาบานตัวโคร่งด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เหมือนเด็กกะโปโลแต่จะไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กอะ” 


 


 


แม้แต่ทรงผมที่เพิ่งทำมาใหม่ก็ช่วยการแต่งตัวของซย่าเสี่ยวมั่วดูดีขึ้นไม่ได้ 


 


 


“เธอรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย เธอจะเล่นเป็นเลสเบี้ยนกับฉันแบบนี้ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ” สวีรั่วชีดันตัวเธอกลับเข้าไปในห้อง “รีบเปลี่ยนซะ ชุดปกติชุดไหนก็ได้” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วสองมือสอดเข้าไปในช่องกระเป๋าด้านหน้าของเสื้อฮู้ดดี้ ให้ความรู้สึกเหมือนเด็กมัธยมต้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างอิดออด 


 


 


“เฮ้อ” สวีรั่วชีมองซย่าเสี่ยวมั่วที่เปลี่ยนเป็นกระโปรงสีขาวกับเสื้อเชิ้ตผ้าทอสีดำแล้วก็ถอนหายใจออกมายืดยาว เธอก็ไปบงการอะไรเยอะไม่ได้ จึงจะพยักหน้า “ไปกันเถอะ” 


 


 


เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ให้ความร่วมมือกับเขาคนนั้นเลย แบบนี้จะเดทกันอย่างไรล่ะเนี่ย 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่ได้อยากให้เขาคนนั้นมาชอบตัวเองอยู่แล้ว พึงพอใจในการแต่งตัวของตนเป็นอย่างมาก วิ่งดุ๊กดิ๊กตามสวีรั่วชีออกจากบ้านไป 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] โจวกง บุคคลในประวัติศาสตร์ เป็นพระโอรสลำดับที่สี่ในพระเจ้าโจวเหวินหวังแห่งราชวงศ์โจว 


ตอนที่ 315 ต่างคนต่างแยกย้าย 


 


 


“นี่ เธอกับสวีอันหรานยังไม่ได้ไอ้นั่นกันจริงๆ น่ะเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วที่ตื่นเต็มตาแล้วก็เริ่มใส่ใจชีวิตอันแสนสุขของสวีรั่วชี 


 


 


“ก็ยังน่ะสิ!” สวีรั่วชีประทับฝ่ามือไปบนหน้าของเธอ โชคดีที่ซย่าเสี่ยวมั่วไม่แต่งหน้า ถ้าย่าเสี่ยวมั่วละก็ คงต้องไปนัดบอดทั้งๆ ที่มีรอยห้านิ้วแปะหน้าอยู่แหงๆ 


 


 


“ร้ายกาจนัก เธออิจฉาสาวสวยอย่างฉันล่ะสิ” 


 


 


“สาวซวยน่ะเหรอ” สวีรั่วชีหันไปมองเธอ 


 


 


“ไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น!” ซย่าเสี่ยวมั่วปิดหูแล้ววิ่งไปที่ลานจอดรถ มองจากด้านหลังแล้วก็แค่เด็กติงต๊องดีๆ นี่เอง 


 


 


ณ บริเวณที่นั่งริมหน้าต่างของสตาร์บัคที่รับแสงได้เป็นอย่างดี 


 


 


เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วไปถึงฝ่ายชายก็รอเธออยู่ก่อนแล้ว 


 


 


“ฉันว่าผู้ชายคนนี้ก็ไม่เลวนะ ไม่ปล่อยให้เธอรอ” 


 


 


“ก็ไม่แน่หรอก อาจจะมากินกาแฟรอแล้วให้ฉันจ่ายเงินก็ได้” ผู้ชายประหลาดแบบนี้ใช่ว่าเธอจะไม่เคยพบเจอมาสักหน่อย 


 


 


สวีรั่วชีเปลี่ยนมุมมอง “ดูสิว่ามาดของเขาก็ไม่เลวเหมือนกัน ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวก็ดูสง่าดีนะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วส่ายหัว “ก็ธรรมดานะ” ใช่ว่าเธอจะไม่เคยเจอคนที่ดูดีกว่านี้สักหน่อย เหยียนเค่อสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวดูดีกว่าอีก 


 


 


“เธอดูสิ ผิวเขาก็ขาวออกนะ นิ้วก็เรียวสวยด้วย” สวีรั่วชียังเกลี้ยกล่อมเธอต่อไป 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจะพูด ก็รู้สึกว่านี่ไม่เหมือนสมกับเป็นสวีรั่วชีเลย จึงกลืนคำพูดนั้นไปแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ถ้าเธอชอบเขาขนาดนั้นก็ไปแต่งงานกับเขาซะสิ ยกสวีอันหรานให้ฉัน” 


 


 


“คือ…สำหรับฉันแล้วสวีอันหรานเป็นเทวดา เอามาเปรียบกับคนปกติไม่ได้หรอก” 


 


 


“เธอชมคนธรรมดาขนาดนี้ไม่กลัวเทวดาโกรธจนลงโทษเธอแบบนั้นหรือไง” 


 


 


สวีรั่วชีมองเธอแล้วขบฟัน ถ้าไม่ใช่ว่ามาถึงที่แล้วละก็ เธอคงตบซย่าเสี่ยวมั่วปลิวไปแล้ว 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วสบตากับเธอก่อนจะแบมืออย่างไม่เกรงกลัว “ฉันไปกระชับความสัมพันธ์กับคนธรรมดาแล้วนะ เธอนั่งคนเดียวไปก่อน” 


 


 


สวีรั่วชีกับเธอต่างคนต่างแยกย้าย คนหนึ่งเดินไปทางแผ่นหลังในเสื้อสีขาว อีกคนนั่งหันหลังให้ซย่าเสี่ยวมั่ว 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วก้าวเดินเข้าไป ก่อนจะหยุดยืนลงตรงหน้าโต๊ะอย่างพอเหมาะพอดี คนที่ก้มหน้าจิบกาแฟสังเกตว่าเธอมาถึงแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเธอแล้วระบายยิ้ม “คุณคือคุณซย่าเสี่ยวมั่วใช่ไหมครับ นั่งก่อนสิครับ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า แล้วนั่งลงตรงข้ามกับเขา 


 


 


ผู้ชายคนนี้รูปร่างหน้าตาก็โดดเด่นอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยก็ทำให้คนมองรู้สึกถึงความสุขุมลุ่มลึกและงามสง่า หน้าตาก็ดูอ่อนโยนค่อนไปทางดี ไม่ทำให้การนัดบอดครั้งนี้ของซย่าเสี่ยวมั่วทรมานมากเกินไป 


 


 


ตอนสวีรั่วชีเดินเข้าไปก็เหลือบมองผู้ชายคนนั้นแวบหนึ่ง เธอเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าคู่เดทในครั้งนี้ของซย่าเสี่ยวมั่วจะงานดีขนาดนี้ ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามคนที่นั่งจิบน้ำอุ่นอย่างใจเย็นแล้วติดตามสถานการณ์ทางด้านนั้น 


 


 


“นายมาแบบนี้เลยเหรอ” 


 


 


ตอนแรกสวีรั่วชีจะเดินผ่านโต๊ะนี้ไปนั่งโต๊ะก่อนหน้า แต่ขณะกำลังจะนั่งลงก็เห็นว่าโต๊ะนี้มีคนรู้จักนั่งอยู่เสียก่อน จึงเดินเข้ามาหา 


 


 


“จะให้ฉันพาผู้ชายมาด้วยหรือไง” เหยียนเค่อจิบน้ำเปล่าก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยี่หระ 


 


 


“ถ้านายพาสวีอันหรานมาก็จะดูมีเหตุผลกว่าไม่ใช่เหรอ” สวีรั่วชีเริ่มสงสัยในสติปัญญาระดับอัจฉริยะของเหยียนเค่อเสียแล้ว 


 


 


“ไม่นะ” อีกฝ่ายตอบสั้นๆ 


 


 


เหยียนเค่อคิดเช่นนี้ แต่สวีรั่วชีไม่คิดอย่างนั้น เธอรีบโทรหาสวีอันหราน ถ้าให้ซย่าเสี่ยวมั่วมาเห็นว่าเธอนั่งกับเหยียนเค่อละก็ ก็คงโดนซย่าเสี่ยวมั่วลากชื่อเข้าบัญชีดำไปครึ่งเดือนแน่นอน 


 


 


“เธอเรียกสวีอันหรานมาก็มีแต่จะทำให้เรื่องวุ่นวาย” ดูจากนิสัยส่วนตัวของซย่าเสี่ยวมั่วแล้ว  


 


 


เหยียนเค่อรับประกันได้เลย 


 


 


สวีรั่วชีเมินเขา สายตาก็แอบมองสถานการณ์อีกฝั่ง 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 316 แนวความคิดที่ต่างกัน 


 


 


ข้าราชการที่ซย่าเสี่ยวมั่วเคยเจอก่อนหน้านี้ล้วนแต่เป็นคนที่กระตือรือร้นและมีความภาคภูมิใจในตัวเองเปี่ยมล้น นึกไม่ถึงว่าคนนี้จะดูปกติ แต่ในความปกตินั้นก็ยังมีความแปลกอยู่ดี 


 


 


“ผมชอบการแต่งตัวแบบนี้ของคุณซย่ามากเลยครับ มองแล้วรู้สึกอ่อนหวาน เข้าถึงง่ายน่ะครับ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วยิ้มกระอักกระอ่วน หันไปมองเงาตัวเองที่สะท้อนกับกระจก นี่เขาจงใจแต่งตัวแบบนี้แต่เขาดันชอบงั้นเหรอ? บังเอิญตรงกับรสนิยมของเขาซะงั้น 


 


 


สวีรั่วชีฟังผู้ชายคนนี้วิจารณ์แล้วก็ยิ้มอย่างรู้ทัน ที่แท้ซย่าเสี่ยวมั่วรู้ความชอบของนายคนนี้ก็เลยจงใจแต่งตัวแบบนี้นี่เอง มีการพัฒนานะเนี่ย 


 


 


เหยียนเค่อเองก็ได้ยินเช่นกัน แต่ยังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่มีปฏิกิริยาอะไร 


 


 


“นี่ ถ้าซย่าเสี่ยวมั่วเจอความสุขของตัวเองแล้วนายคงจะยินดีกับเขาใช่ไหม” สวีรั่วชีเลิกคิ้ว 


 


 


นอกจากเขาแล้ว ใครจะทำให้เธอมีความสุขได้อีก…เหยียนเค่อส่ายหัว “ไม่เกี่ยวกับฉัน” 


 


 


นี่มันปากไม่ตรงกับใจชัดๆ เลย ถ้านายไม่สนใจจริง ท่านประธานอย่างนายคงทำงานหัวหมุนอยู่ที่บริษัท ไม่วิ่งมาที่สตาร์บัคเพื่อมาฟังคนเขาเดทกันหรอก 


 


 


“ผมว่าวาดการ์ตูนก็ดีนะครับ เป็นอาชีพที่ทั้งดูแลบ้านได้ด้วย แถมเงินเดือนสูงด้วย ต่อไปมีลูกจะได้ซึมซับไปด้วย แบบนี้สภาพแวดล้อมในครอบครัวก็คงจะดีมากเลย” หวังอี้เหว่ยแสดงความเห็นต่ออาชีพของซย่าเสี่ยวมั่วอย่างชัดเจน เป็นระบบระเบียบ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วก้มหน้า ได้ยินคนอื่นมาวิเคราะห์อาชีพของตัวเองแล้วก็รู้สึกไม่ชอบใจ 


 


 


เขาอาจจะไม่เข้าใจอาชีพนี้จริงๆ เลยก็ได้ ก็แค่วิเคราะห์ตามความเข้าใจของตัวเอง ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเลยสักนิด 


 


 


“ก่อนอื่นเลย บริษัทฉันเข้างานเก้าโมง เลิกงานห้าโมง ดังนั้นการดูแลบ้านข้อนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้ไหม ข้อต่อมา อาชีพนี้เงินเดือนสูงอยู่ก็จริง แต่ว่าวงการนี้มันวุ่นวายมากเลยค่ะ แล้วฉันก็ต้องอดหลับอดนอนเพื่อหาแรงบันดาลใจในการวาดการ์ตูนด้วย ดังนั้นในบางอย่างคงทำให้คุณพอใจอย่างที่พูดไม่ได้หรอกค่ะ อีกเรื่องก็คือ ตอนนี้อาชีพการงานของฉันอยู่ในช่วงขาขึ้น เพิ่งเซ็นสัญญากับฮุยเถิงไป ดังนั้นยังไม่คิดจะมีลูกหรอกค่ะ” 


 


 


หวังอี้เหว่ยก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเหมือนกัน เขาไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งจริงๆ ในภาพจำของเขา นักวาดการ์ตูนคือคนที่หมกตัววาดรูปอยู่กับบ้าน ไม่ค่อยออกจากบ้านแบบนั้น 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วนึกอะไรขึ้นได้อีก จึงพูดต่อ “แล้วฉันก็ออกไปสเก็ตช์ภาพบ่อยๆ ด้วยค่ะ แล้วก็ชอบหมกตัวอยู่ในห้องวาดรูปหลายวันเพื่อวาดรูปด้วยค่ะ” 


 


 


เธอเห็นสีหน้าของหวังอี้เหว่ยเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากตอนแรกที่มีสนใจในตัวเธอมากๆ แต่ตอนนี้กลับกระอักกระอ่วนจนไม่รู้จะพูดอะไรดี 


 


 


“ผมขอโทษที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับอาชีพของคุณนะครับ ข้าราชการอย่างพวกเราก็งานหนักเหมือนกัน มีงานต้องทำมากมายทุกวัน สำหรับผู้ชายแล้ว เรื่องงานต้องมาอันดับหนึ่งน่ะครับ ดังนั้นบางครั้งอาจจะไม่ได้ดูแลบ้าน ผมหวังว่าคุณจะมาเป็นแม่บ้านเต็มตัวน่ะครับ” 


 


 


ฮะ? ซย่าเสี่ยวมั่วเกิดเครื่องหมายปริศนาตัวเบ้อเริ่มในใจ เราสองคนไปกันไม่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ ควรจะยิ้มให้กันแล้วบอกว่า ‘ขอโทษนะ คุณไม่ใช่คนที่ผมตามหา’ แล้วบอกลากันอย่างสันติไม่ใช่เหรอ นี่มันอะไรกันอีกล่ะเนี่ย 


 


 


หวังอี้เหว่ยยังคงพูดโดยสนใจแค่เรื่องของตัวเอง “ผมว่าคุณเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่งเลยนะครับ ไม่มีความจำเป็นที่จะเอาเวลาช่วงวัยรุ่นไปเสียให้กับการวาดรูปเลย” 


 


 


แล้วฉันควรเอาเวลาช่วงวัยรุ่นไปเสียให้กับการดูแลบ้านเลี้ยงลูกให้นายหรือไงยะ ซย่าเสี่ยวมั่วมองชายหนุ่มที่ค่อยๆ เปิดเผยสันดานแก่นแท้ออกมาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะฟังเขาพูดต่อ 


 


 


“ผมว่าเราเหมาะกันมากเลย ผมเลี้ยงคุณได้ คุณเองก็จะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนตอนนี้ด้วย” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วยิ้ม “พ่อกับแม่ก็เลี้ยงฉันได้เหมือนกันค่ะ ฉันเองก็เลี้ยงตัวเองได้ ทำไมต้องให้คุณมาเลี้ยงด้วยล่ะคะ” ถ้านายเลี้ยงฉันได้ แล้วฉันต้องยอมเสียสละความฝันของฉันด้วยเหรอ 


ตอนที่ 317 แอบฟังการเดท 


 


 


เหยียนเค่อได้ยินเสียงเยียบเย็นของซย่าเสี่ยวมั่วแล้วก็เข้าใจในทันที ดูท่าซย่าเสี่ยวมั่วคงเริ่มโมโหแล้ว เขาบอกแล้วไง ว่าใครก็ทำให้ซย่าเสี่ยวมั่วมีความสุขไม่ได้หรอก 


 


 


สวีรั่วชีเห็นท่าทางแปลกๆ ของเขาแล้วก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา เหยียนเค่อคิดไปเองเก่งเสียยิ่งกว่าผู้ชายคนนั้นเสียอีก นายรู้สิ่งที่ซย่าเสี่ยวมั่วต้องการแล้วจะมีประโยชน์อะไร นายรู้แต่ไม่สารภาพรักจะมีประโยชน์อะไร! มีสิทธิ์อะไรมานั่งกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ตรงนี้ 


 


 


เหยียนเค่อไม่สนใจว่าสวีรั่วชีจะคิดอะไร หูตั้งฟังความเคลื่อนไหวของโต๊ะข้างๆ  


 


 


“ขอโทษครับ นี่ก็แค่ความคิดของผม ถ้าคุณคิดว่าไม่โอเคก็ลองเสนอมาได้ เราคุยกันได้นี่ครับ” หวังอี้เหว่ยเหมือนจะไม่สนใจท่าทางของซย่าเสี่ยวมั่วเลยสักนิด ราวกับมั่นใจแล้วว่าต้องเป็นซย่าเสี่ยวมั่วเท่านั้น 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกไปหมดแล้ว เธอให้สิ่งที่เขาต้องการไม่ได้ สิ่งที่เธอต้องการเขาก็ให้เธอไม่ได้เช่นกัน 


 


 


“คุณไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ เดิมทีพวกเราก็อยู่คนละโลกอยู่แล้ว ฉันไม่ชอบแฟนที่เป็นข้าราชการ สำหรับศิลปินอย่างฉันแล้ว ชีวิตยึดติดในแบบของคุณมีแต่จะมาจำกัดความคิดของฉัน” เธอไม่อยากเป็นฝ่ายยอม ทำไมผู้ชายต้องร้องขอมากขนาดนั้น และฝ่ายหญิงทำได้เพียงรับฟังอย่างเดียวงั้นเหรอ “ฉันอยากตามหาคนที่ความคิดไปในทิศทางเดียวกันและชอบพอกันค่ะ” 


 


 


“ขอพูดอะไรที่มันไม่ค่อยน่าฟังหน่อยนะครับ ถ้าคุณหาผู้ชายที่ชอบพอกับคุณได้ล่ะก็ คุณยังโสดมาจนถึงตอนนี้อยู่เหรอครับ” 


 


 


“นี่คือความแตกต่างของเรายังไงล่ะคะ ฉันจะทำให้ชีวิตเป็นดั่งบทกวี ตามหาคนที่ชอบไม่เจอก็จะไม่ฝืน แต่คุณกลับยอมแพ้เพื่อชีวิตของตัวเอง” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่เข้าใจและก็ไม่เห็นด้วยเลย แต่เธอไม่มีสิทธิ์ไปชี้นิ้วบงการชีวิตของคนอื่น ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้คนอื่นมาวิจารณ์ว่าชีวิตของตัวเองดีหรือไม่ดีอย่างไร 


 


 


เห็นได้ชัดว่าหวังอี้เหว่ยยังคงไม่ยอมแพ้ ยังอยากให้ซย่าเสี่ยวมั่วเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเอง ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงดื้อดึงถึงขนาดนั้น 


 


 


“ฉันคิดแบบนี้มาตั้งแต่เด็กเลยค่ะ พ่อแม่ฉัน คุณครูของฉันก็ไม่มีใครคิดว่ามันผิด ฉันเองก็เชื่อมาตลอด ทุกคนควรมีความคิดที่แตกต่างกัน ดังนั้นทำไมคุณต้องบอกว่าความคิดของฉันมันผิดด้วยล่ะคะ” 


 


 


“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นครับ ผมชอบคุณมากจริงๆ ” หวังอี้เหว่ยอธิบาย 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วแอบกลอกตาในใจ ถ้าไม่เห็นแก่ท่าทางเรียบร้อยของเขานะ เธอคงไม่พูดมากขนาดนี้หรอก ทำไมถึงวกกลับมาพูดเรื่องความชอบอีกแล้วล่ะ? 


 


 


สวีรั่วชีฟังคำพูดของผู้ชายคนนั้นแล้วก็ลอบมองเหยียนเค่อ ขนาดคนแปลกหน้ายังพูดคำว่าชอบออกมาได้อย่างตรงไปตรงมาเลย แต่ทำไมถึงออกมาจากปากเหยียนเค่อได้ยากเย็นนักนะ 


 


 


“นี่ นายไม่ได้ชอบซย่าเสี่ยวมั่วเหรอ” 


 


 


ที่เหยียนเค่อสงสัยก็คือ ทำไมสวีรั่วชียังถามคำถามนี้ไม่หยุด “เกี่ยวอะไรกับเธอด้วยเหรอ” 


 


 


คำพูดนี้ฟังแล้วเหมือนกำลังหาเรื่องอย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนฟังไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ความจริงเหยียนเค่อก็ถามออกมาเพราะสงสัยจากใจจริง 


 


 


สวีรั่วชีดึงผมดัดลอนยาวของตัวเอง ดวงตาจ้องมองไปทางซย่าเสี่ยวมั่ว “ฉันคิดมาตลอดเลยนะว่า นางฟ้าควรจะมีพระเจ้าคอยคุ้มครอง และซย่าเสี่ยวมั่วก็คือนางฟ้าของฉัน” 


 


 


เหยียนเค่อยิ้มบางๆ “เพราะว่าเขาผิวขาวงั้นเหรอ” 


 


 


“หืม?” สวีรั่วชีชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะดึงสติกลับมาได้ แบมืออย่างเอือมระอา “เป็นคนซื่อบื้อก็โชคดีเหมือนกันเนอะ อย่างเช่นวันนี้” 


 


 


เหยียนเค่อไม่พูดต่อ โต๊ะข้างๆ กันนั้นก็เริ่มเงียบลงแล้วเช่นกัน 


 


 


“ฉันควรเข้าไปหรือยังนะ” สวีรั่วชีไม่ได้รับข้อความจากซย่าเสี่ยวมั่ว และก็ไม่รู้ว่าตนควรจะนั่งทำอะไรดี “อีกเดี๋ยวนายเดินเข้าไปเอาไหม” 


 


 


เหยียนเค่อส่ายหัว “เมื่อไรสวีอันหรานจะมา ฉันจะไปรอเขาข้างหน้าร้าน” 


 


 


“ใกล้แล้วล่ะ” สวีรั่วชีดูนาฬิกา “นายไปรับเขาที่หน้าร้านละกัน” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 318 จับพลัดจับผลู 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกกระวนกระวายใจ คิดหาเหตุผลที่เหมาะสมมาปฏิเสธเขาไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย “ความจริงฉันมีคนที่ชอบแล้วค่ะ” 


 


 


“งั้นเหรอครับ?” หวังอี้เหว่ยไม่คิดว่าที่เธอพูดจะเป็นความจริง จึงมองมาที่เธออย่างสนอกสนใจ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเกลียดการที่คนอื่นไม่เชื่อเธอที่สุด ทั้งรู้สึกหงุดหงิด ทั้งอยากแกล้งคน อยากเรียกให้สวีรั่วชีมาช่วย 


 


 


เหยียนเค่อยังจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเดินผ่านหน้าซย่าเสี่ยวมั่วไปหลายต่อหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่เคยสนใจเลย หัวข้อสนทนาของพวกเขาในตอนนี้คงไม่ทำให้ซย่าเสี่ยวมั่วสละเวลามามองคนรอบกายแน่นอน ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นยืนอย่างใจเย็น แล้วเดินไปบนทางเดินตรงกลางที่ผ่านโต๊ะของซย่าเสี่ยวมั่ว 


 


 


ตอนที่เหยียนเค่อเพิ่งเดินไปถึงด้านหลังของซย่าเสี่ยวมั่ว เธอก็หันกลับมาจะตะโกนเรียกสวีรั่วชีพอดี สุดท้ายก็ถูกเสื้อเชิ้ตสีม่วงบดบังสายตาเอาไว้ ส่วนมือก็ตีเข้าที่ขาอ่อนด้านนอกของเหยียนเค่ออย่างสนิทสนม ช้อนตาขึ้นมองก็เห็นเหยียนเค่อที่ยืนอย่างงามสง่า 


 


 


เหยียนเค่อเองก็ตกใจกับการที่จู่ๆ เธอก็หันมาอย่างกะทันหัน แต่ก็ทำให้ตัวเองสงบนิ่งไว้ได้โดยทันที 


 


 


“น…น…นาย” ซย่าเสี่ยวมั่วเอียงหัวจ้องหน้าเขาอย่างจริงจัง มองคนตรงหน้าตนอย่างไม่เชื่อสายตา 


 


 


เหยียนเค่อสบตากับเธอเพียงครู่ ก่อนจะเบนสายตาไปมองผู้ชายที่นั่งตรงข้ามเธอ แล้วเบือนหน้ากลับมาตามเดิม 


 


 


แม้แต่สวีรั่วชียังรู้สึกว่าท่าทางที่เหยียนเค่อสองมือล้วงกระเป๋าก้มหน้ามองซย่าเสี่ยวมั่วนั้นอ่อนโยนลึกซึ้งสุดๆ 


 


 


เธอมองคนที่กำลังทำหน้างงอย่างสะใจก่อนจะรีบกวักมือเรียกพนักงาน ให้พนักงานพาตัว 


 


 


สวีอันหรานเข้ามาจากทางด้านหลังเงียบๆ ก่อนจะนั่งรอดูเรื่องสนุกอย่างเบิกบานใจ 


 


 


นี่คงเป็นการจับพลัดจับผลูที่แท้จริงสินะ ซย่าเสี่ยวมั่วสบตากับเขาเพียงชั่วครู่ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร แต่องค์ดราม่าคิงกลับประทับร่างเหยียนเค่อ เขายกมือขึ้นลูบหัวของเธอ “ฉันได้ยินเธอบอกว่าเธอชอบฉัน” 


 


 


“ฉ…ฉ…ฉัน” ซย่าเสี่ยวมั่วลุกลี้ลุกลนอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกลับสู่ความสงบเยือกเย็นตามเดิม แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “ฉันไม่รู้จักนาย” 


 


 


บอกแล้วไงว่าเราสองคนไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ต่อให้ตอนนี้จะอยู่ในสถานการณ์คับขัน แต่เธอก็ไม่อยากติดหนี้น้ำใจเหยียนเค่ออีกแล้ว 


 


 


ตอนที่เหยียนเค่อเพิ่งปรากฏตัวขึ้น หวังอี้เหว่ยก็มองเขาอย่างตึงเครียด แต่พอได้ยินซย่าเสี่ยวมั่วพูดแบบนั้นแล้วก็ค่อยผ่อนคลายลงมานิดหน่อย 


 


 


แค้นฝังหุ่นจริงๆ เหยียนเค่อมองเธออย่างอยากจะหัวเราะ “ฉันได้ยินมาว่าคนแซ่หวังที่อยู่ข้างบ้านชอบมาจีบแฟนคนอื่น คนแซ่หวังคนนี้อยู่ข้างบ้านใช่ไหม” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วส่ายหัว ไม่ใช่ข้างบ้านสักหน่อย แล้วก็ไม่ได้จีบแฟนคนอื่นด้วย 


 


 


เหยียนเค่อพยักหน้า “งั้นถ้าเธอแต่งงานออกไปแล้วก็ระวังผู้หญิงข้างบ้าน หรือไม่ก็คุณนายใหญ่บ้านนั้นไว้ให้ดีล่ะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วหมดคำพูด นี่คือการค่อนแคะคนอื่นแบบใหม่เหรอเนี่ย… 


 


 


“ความจริงเธอจะนอกใจก็ได้ ยังไงคนแซ่หวังที่อยู่ข้างบ้านเราก็ยังเป็นพวกเศรษฐี ฉันจะยอมรับก็ได้ แต่ทำไมเธอถึงตาถั่วขนาดนี้ล่ะ” 


 


 


เหยียนเค่อใช้มือหนึ่งเท้าพนักเก้าอี้ของซย่าเสี่ยวมั่ว อีกมือล้วงกระเป๋ากางเกง พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทำท่าทีราวกับว่ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ ทำเอาซะซย่าเสี่ยวมั่วอยากจะให้เหยียนเค่อนั่งแล้วมาจับเข่าคุยกันดีๆ 


 


 


หวังอี้เหว่ยโดนผู้ชายคนนี้พูดค่อนขอดอย่างกำกวมก็อารมณ์ขุ่นเป็นอย่างมาก เดิมทีนึกว่าเขาจะไม่รู้จักกันอย่างที่ซย่าเสี่ยวมั่วพูดจริงๆ แต่เห็นบรรยากาศการพบกันของทั้งคู่เช่นนี้แล้ว จะให้หลอกตัวเองว่าสองคนนี้ไม่รู้จักกันก็คงไม่ได้ จึงมองทั้งคู่พูดคุยมองหน้ากันด้วยความมึนงง 


 


 


“ฉันคงตาบอดจริงๆ แหละ” ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า ทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นรู้เลยว่าเหยียนเค่อพูดมากขนาดนี้ 


 


 


“เธออย่าตาบอดจะดีกว่านะ ถ้าตาบอดคงยิ่งขายไม่ออกไปกันใหญ่ ทำไมถึงไม่รู้ตัวบ้างเลย” 


 


 


หวังอี้เหว่ยฟังทั้งคู่คุยกันอยู่นาน ก็ยิ่งมั่นใจว่าทั้งคู่รู้จักกันจริงๆ จึงเริ่มรู้สึกนั่งไม่ติด เอ่ยขัดจังหวะขึ้น “คุณซย่าครับ คุณคนนี้ใครครับ จะไม่แนะนำกันหน่อยเหรอ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจะพูดก็ถูกเหยียนเค่อชิงพูดตัดหน้าเสียก่อน “ผมเป็นแฟนเก่าเขาครับ” 


 


 


“เวร” ซย่าเสี่ยวมั่วหลุดสบถคำหยาบออกมาเบาๆ “ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลยว่านายเป็นแฟนเก่าฉัน” 


ตอนที่ 319 ข่มอีกฝ่าย 


 


 


หวังอี้เหว่ยเคยจินตนาการว่าฝ่ายหญิงจะใช้วิธีแปลกประหลาดหรือไม่ก็ทำตัวโอเวอร์มาทำลายการเดตในครั้งนี้ เขาเองก็คิดวิธีที่รับมือไว้บ้างแล้ว ฉากที่คนอื่นใช้กันแล้วดูจอมปลอม แต่เมื่อสองคนนี้มาแสดงแล้วมันก็ทำให้เขาอดที่จะเชื่อไม่ได้ 


 


 


“คุณซย่า ผมไม่รู้นะครับว่าพวกคุณสองคนเกี่ยวข้องอะไรกัน แต่ถ้าคุณอยากปฏิเสธผมคุณก็บอกมาตามตรงเลย ไม่ต้องให้คนอื่นมาทำมันพังหรอกครับ” หวังอี้เหว่ยพูดตามตรง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วฟังเขาพูดแล้วก็รู้สึกกระอักกระอ่วน จึงหันไปขอโทษ “ขอโทษจริงๆ นะคะ ฉันไม่…” 


 


 


“เมื่อกี้เขาก็ปฏิเสธคุณไปแล้วนี่นา ทำไมยังนั่งอยู่ตรงนี้อีกล่ะครับ” ในที่สุดเหยียนเค่อก็เบนสายตาออกจากร่างของซย่าเสี่ยวมั่ว สายตาเยียบเย็นจ้องมองไปที่เขาพลางเอ่ยอย่างจริงจัง 


 


 


ออร่าบัณฑิตของหวังอี้เหว่ยถูกทำลายไปด้วยคำพูดนั้น สายตาเบี่ยงหลบ พึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง จึงจะสังเกตได้ว่าในคำพูดของเหยียนเค่อมีช่องโหว่อยู่ 


 


 


“คุณ…คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเราคุยอะไรกันบ้าง!” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเองก็เพิ่งพบว่าคำพูดของเหยียนเค่อดูแปลกๆ เธอมองไปที่เหยียนเค่ออย่างไม่ข้องใจ เขารู้ได้ยังไงว่าเธอพูดอะไรไปบ้าง 


 


 


สวีอันหรานกับสวีรั่วชีนั่งหมอบฟุบตัวลงกับโต๊ะ แอบมองสถานการณ์ทางด้านนั้น 


 


 


“พี่ว่าเหยียนเค่อจะอธิบายว่ายังไง” สวีรั่วชีกระตุกแขนเสื้อสวีอันหราน แล้วเอ่ยถามเสียงเบา 


 


 


สวีอันหรานป้องปากแล้วกระซิบที่ข้างหู “ฉันว่ามันต้องด่านายคนนั้น แล้วอธิบายแบบสบายๆ” 


 


 


“แต่ฉันว่าเขาไม่อธิบาย แล้วพาเปลี่ยนเรื่อง” 


 


 


ทั้งคู่สบตากัน “มาพนันกันไหมล่ะ” 


 


 


“เอาสิ” สวีอันหรานยิ้มบาง ขยับกำปั้นไปชนกับกำปั้นของเธอ ก่อนจะนั่งดูเรื่องสนุกต่อไป 


 


 


เหยียนเค่อมองซย่าเสี่ยวมั่วที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ยายเด็กโง่ ถ้าเขาบอกว่าไม่รู้ งั้นก็แสดงว่าการที่เธอปฏิเสธหวังอี้เหว่ยก็ไม่มีหลักฐานงั้นเหรอ การที่เสียเปรียบอยู่แต่กลับยังรอดูเรื่องสนุกอย่างตื่นเต้นได้นี่ต้องเป็นคนประเภทไหนกันนะ 


 


 


เขาขมวดคิ้ว ดันศีรษะของซย่าเสี่ยวมั่วกลับไป ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ขนาดผมเขายังปฏิเสธเลยครับ การที่เขาปฏิเสธคุณก็ต้องเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง หรือคุณคิดว่าคุณดีกว่าผม” 


 


 


นายคิดว่านายดีกว่าฉันตรงไหน ถึงทำให้เขาไม่ปฏิเสธนายน่ะ 


 


 


คำพูดนี้ออกจะแรงไปหน่อย…แต่ว่า เธอชอบ! ซย่าเสี่ยวมั่วกระแอมหนึ่งที บังคับมุมปากของตัวเองไม่ให้ยิ้มออกมา และไม่ได้พูดอะไรต่อ 


 


 


สีหน้าของหวังอี้เหว่ยแย่ลงในทันที ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือความขุ่นเคือง “ผมเป็นข้าราชการ อย่างคุณแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกเกาะผู้หญิงกิน” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองเขาที่หลุดพูดออกมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย ตัดสินอาชีพคนอื่นจากภาพจำครั้งแรก คิดว่าเป็นข้าราชการแล้วเจ๋งมากหรือไง 


 


 


เธอกำลังจะโต้กลับ ก็ได้ยินเสียงเหยียนเค่อปริปากพูดอย่างเนิบนาบเสียก่อน “ข้าราชการก็แค่เพิ่มเกียรติยศให้กับอาชีพ แต่ไม่ได้ทำให้คุณสูงส่งเหนือคนอื่น สิ่งที่คุณควรจะภาคภูมิใจ ควรจะเป็นความรับผิดชอบ ไม่ใช่ความดีเด่นคนอื่น” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกัดผ้าเช็ดหน้า ท่าทางจริงจังแบบนี้หล่อชะมัดเลยอะ! 


 


 


ที่เหยียนเค่อพูดก็มีเหตุผล มีออร่าและสไตล์ของคนใหญ่คนโต ทำให้คนมองรู้สึกละอายใจที่เทียบกับเขาไม่ได้ 


 


 


ฝีปากของหวังอี้เหว่ยไม่แพ้ใคร เมื่อถูกเหยียนเค่อพูดตอกกลับใส่ จึงพูดเสียดสีขึ้นบ้าง “แล้วคุณเป็นเกาะผู้หญิงกิน คุณภูมิใจเหรอครับ คุณมีความรับผิดชอบแล้วเหรอครับ หน้าไม่อาย” 


 


 


“ก่อนอื่น คุณยังไม่รู้อาชีพของผม คุณไม่มีสิทธิ์พูด ต่อมา ในเมื่อผมเป็นเกาะผู้หญิงกินก็ต้องมีหน้าที่คอยปกป้องดูแลนายจ้าง ถึงผมจะไม่ได้มีปัญหาอะไรกับข้าราชการ แต่ผมมีปัญหากับคุณ” เหยียนเค่อหรี่ตา สีหน้ายังคงเรียบนิ่ง 


 


 


ส่วนซย่าเสี่ยวมั่วก็โมโหแทนจนหน้าเขียวเพราะเขาถูกด่าว่าหน้าไม่อาย 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 320 ภาพลักษณ์ป่นปี้ 


 


 


หวังอี้เหว่ยต่อล้อต่อเถียงกับเหยียนเค่ออยู่พักใหญ่ เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วต่างหากที่เป็นเป้าหมายสุดท้ายในการนัดบอดครั้งนี้ ถ้าซย่าเสี่ยวมั่วตกลงให้ทั้งสองคนคบกัน งั้นไม่ว่าผู้ชายคนนี้จะพูดอะไรก็ไร้ประโยชน์ “คุณซย่า ผมว่าเพื่อนคุณไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเดทของเราเลยนะครับ เรามาคุยกันดีๆ ได้ไหม” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วส่ายหน้า “ไม่ค่ะ ในเมื่อคุณรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนฉัน แล้วทำไมคุณถึงต้องพูดค่อนแคะเขาด้วยคะ ฉันคิดว่าที่เพื่อนฉันพูดก็ไม่ได้ผิดตรงไหน และก็แค่เตือนคุณเท่านั้น เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้วล่ะค่ะ” 


 


 


แสงแดดนอกหน้าต่างเจิดจ้าได้ที่ หน้าต่างมู่ลี่ไม่ได้ถูกดึงลงมา ทำให้แสงสีขาวที่แสบตาทะลุผ่านหน้าต่างบานใหญ่ สาดส่องให้เกิดเงาเลือนรางของทั้งสามคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก และยิ่งทำให้เหยียนเค่อดูเหมือนกับเทพเจ้าลงมาจุติ 


 


 


“ทำไมเหยียนเค่อต้องบิดเบือนภาพลักษณ์ของซย่าเสี่ยวมั่วด้วยเนี่ย เกินไปแล้วนะ” สวีรั่วชีกำหมัดแน่นแล้วทุบลงไปที่ฝ่ามือของสวีอันหราน 


 


 


“เมื่อกี้เธอแพ้นะ” สวีอันหรานยังจำพนันข้อนั้นได้ดี 


 


 


สวีรั่วชีพยักหน้าอย่างขอไปที “รู้แล้วๆ พี่ลองวิเคราะห์ซิว่าเหยียนเค่อคิดอะไรอยู่” 


 


 


“ทำไมเธอต้องสนใจเขาขนาดนั้นด้วย” สวีอันหรานยกมือขึ้นบังสายตาของเธอ “ฉันว่าช่วงนี้เธอดูสนใจเหยียนเค่อมากเลยนะ” 


 


 


“สบายใจเถอะน่า ฉันไม่ชอบคนขาวขนาดนั้นหรอก สีผิวแบบพี่กำลังดีแล้ว” สวีรั่วชีดึงมือของสวีอันหรานลง ลอบมองสีหน้าของหวังอี้เหว่ย 


 


 


“คุณคบกับผู้ชายที่ชอบแข็งข้อแบบนี้ แต่ไม่ยอมคบกับผมงั้นเหรอครับ!” หวังอี้เหว่ยรับความจริงข้อนี้ไม่ได้ ในสายตาของเขา เหยียนเค่อหน้าตาดีกว่าผู้ชายในที่นี้ทุกคน แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน 


 


 


ชอบแข็งข้อคืออะไร? ซย่าเสี่ยวมั่วกุมหน้าผาก เธอไม่ยอมคบกับผู้ชายคนนี้ แต่เธอก็ไม่ได้คบกับเหยียนเค่อเสียหน่อยนี่ ทำไมต้องมาใส่ร้ายกันด้วย แถมยังเอาแต่ด่าว่าเหยียนเค่อเป็นพวกเกาะผู้หญิงกินอีกต่างหาก 


 


 


เหยียนเค่อลูบหลังคอของซย่าเสี่ยวมั่ว แล้วเลิกคิ้วอย่างร้ายกาจ “ผมไม่รู้หรอกว่าคุณแข็งหรือเปล่า แต่ผมแข็ง ซย่าเสี่ยวมั่วรู้ดี” 


 


 


นายแข็งหรือไม่แข็งแล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไง…ซย่าเสี่ยวมั่วแกล้งตาย มาคุยเรื่องนี้กันในที่สาธารณะนี่มันดีแล้วเหรอ 


 


 


แต่เหยียนเค่อก็ไม่ยอมปล่อยเธอไป โน้มตัวลงมาถามเธอเสียงเบา “บอกเขาไปสิ ว่าเธอรู้หรือเปล่า” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเบี่ยงศีรษะออกแล้วแอบด่าในใจ ‘หน้าไม่อาย โคตรหน้าด้านเลย’ ใบหูเริ่มขึ้นสีแดง เธอหลับตาลง หมดปัญญาที่จะกู้ภาพลักษณ์ที่ป่นปี้ยับเยินนี้เสียแล้ว 


 


 


หวังอี้เหว่ยโกรธจนหน้าแดง เห็นว่าซย่าเสี่ยวมั่วไม่โต้ตอบ และหลังจากเห็นท่าทางของเหยียนเค่อแล้ว ก็โพล่งด่าออกมาอย่างขุ่นเคือง “หน้าไม่อาย!” ดื่มกาแฟที่วางอยู่ด้านข้างจนหมดแล้วเดินกระแทกจากไป 


 


 


จนแผ่นหลังของหวังอี้เหว่ยเดินลับจากหน้าประตูไป ซย่าเสี่ยวมั่วจึงหันหน้ากลับมา ก่อนจะพูดความในใจออกมาด้วยความโมโห “หน้าไม่อาย!” 


 


 


“ด่าฉันงั้นเหรอ” เหยียนเค่อดึงหลังคอของเธอเบาๆ “มีจิตสำนึกหน่อยได้ไหม” 


 


 


“จิตสำนึกฉันโดนนายกินไปหมดแล้ว” ซย่าเสี่ยวมั่วดันแก้วกาแฟข้างๆ ออก แล้วจะไปคิดเงิน 


 


 


คราวนี้คุณนายเสิ่นอุตส่าห์แนะนำผู้ชายปกติให้เธอ สุดท้ายก็โดนเธอทำให้กลายเป็นคนผิดปกติเสียได้ 


 


 


“ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลยล่ะ” เหยียนเค่อหยิบกระเป๋าเงินออกมาจ่ายเงินแทน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองนิ้วมือเรียวยาวของเขาที่รับเงินทอนมาแล้วยัดเข้าไปในกระเป๋าที่เธอเพิ่งจะเปิดเมื่อครู่จึงเหลือบตามองเขา แล้วปิดกระเป๋าหนังของตนอย่างไม่พอใจนัก อย่างไรซะการที่เหยียนเค่อช่วยจ่ายเงินให้เธอก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว เธอเองก็ชินแล้ว แถมยังปล่อยเลยตามเลยไปแล้วด้วย แต่ตอนนี้แม้แต่เงินทอนที่เกินออกมาก็เอามายัดให้เธอเสียอย่างนั้น 


 


 


“ตอนนี้นายเหมือนจะให้เงินไล่พวกขอทานเลย” 


 


 


“ถ้าเธอเป็นขอทาน ฉันจะอยู่ให้ห่างแน่นอน” 


 


 


และทั้งสองก็เริ่มพูดจาค่อนแคะทำร้ายกันอีกครั้ง 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม