ยอดรักชายาอัปลักษณ์ 311-318
ตอนที่ 311 แก้ต่างเอาตัวรอด
หนิงอวี้ขยี้ตางัวเงีย นางลุกขึ้นยืนแล้วถาม “ตอนนี้เวลาใดแล้ว”
สาวใช้ยอบกายคำนับ กำลังจะตอบคำก็เห็นหนิงอวี้ส่ายมือ
นางเงยหน้าขึ้นมองไปนอกหน้าต่างทีหนึ่งก็เห็นพระอาทิตย์สูงโด่ง เมื่อหันกายกลับไปมองยังเตียง ก็เห็นว่าเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีรอยยุบสักนิด
เมื่อคืนเว่ยหยวนไม่ได้กลับมาหรือ หนิงอวี้ยื่นมือมาป้องปากแล้วหาวหนึ่งที เพียงแค่ยกมือก็ทำให้รู้สึกเมื่อยล้าระบม
หนิงอวี้เดินไปสำรวจหน้าคันฉ่องหนึ่งที เมื่อแน่ใจว่าเผ้าผมเป็นระเบียบแล้วจึงเดินออกนอกกระโจมไป
ใบหญ้าบนพื้นเกาะเต็มไปด้วยน้ำค้างแข็ง หนิงอวี้สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกก็หันกลับไปสวมชุดคลุมตัวหนึ่ง แล้วเดินไปยังกระโจมของเว่ยหยวน
เมื่อแหวกกระโจมขึ้น ในกระโจมหลักไร้ผู้คน หนิงอวี้แหวกม่านไม้ไผ่ขึ้นก็เห็นเว่ยหยวนเอนกายอยู่บนเตียงหน้าตาหยาบหลังหนึ่ง บนตัวพันด้วยผ้าห่มบางอยู่ผืนหนึ่ง
หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว ในใจรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย นางเดินเข้าไปสองสามก้าว ยื่นมือไปเลิกผ้านวมขึ้นคลุมทับผ้าห่มบางกลับทำให้เว่ยหยวนตื่นขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
เว่ยหยวนยืนมือไปก่ายหน้าผาก ครั้นแล้วก็หลับตาทั้งคู่ลง หนิงอวี้เห็นเขาสีหน้าเย็นชาไม่พูดไม่จาก็หยุดขยับมือแล้วถามขึ้นเสียงเบา “ราชกิจพัวพันหรือเพคะ”
“อืม”
เว่ยหยวนลืมตาทั้งคู่ขึ้น พร้อมพยักหน้าเบาๆ รอบดวงตาเป็นรอยดำคล้ำเล็กน้อย หนิงอวี้รู้สึกผิด นางถามขึ้นเสียงเบาว่า “ทรงเสวยอาหารเช้าหรือยังเพคะ”
“รอก่อน เจ้านึกความผิดที่เหลือออกหรือยัง”
หนิงอวี้ได้ฟังก็กระพริบตา ด้วยแววตาอันเจ้าเล่ห์อย่างเอาใจโดยแท้
เว่ยหยวนยกมุมปากยิ้ม เดิมทีหนิงอวี้ตั้งใจเพียงเอาตัวรอดแบบขอไปที กลับได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเขา “ห้ามยิ้ม ห้ามแก้ต่างเพียงแค่เอาตัวรอด ข้าโกรธมากและต้องการคำอธิบาย”
หนิงอวี้เบะปากหลุบสายตาลง นางยื่นนิ้วออกไปถูวนบนใบหน้าเขาแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “หม่อมฉันรับรอง เรื่องเช่นนี้จะไม่มีอีกแน่นอนเพคะ”
บนแก้มที่สัมผัสถึงความอุ่นเลื่อนผ่าน เว่ยหยวนใบหน้าเรียบเฉย ท่าทีสงบนิ่ง “คำยืนยันของเจ้า แต่ไหนแต่ไรมาก็เชื่อถือไม่ได้”
เมื่อความจริงถูกจี้จุด มือหนิงอวี้หยุดขยับ นางกระแอมเบาๆ หนึ่งที รู้สึกละอายขึ้นมาอย่างมาก เว่ยหยวนดึงนิ้วที่เลื่อนไปมาวุ่นวายนั้นออกแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ยังมีความผิดติดตัว อย่าทำตัวเหลวไหล” แม้ฟังดูดุดัน แต่น้ำมือกับอ่อนโยนอย่างยิ่ง
“หม่อมฉันยืนยัน คราวหน้าจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้อีก…”
“กินข้าว”
หนิงอวี้ก้มหน้าลง ท่าทีซึมเศร้าอย่างยิ่ง
“อืม”
เว่ยหยวนสีหน้าไร้อารมณ์ ในดวงตากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ลงโทษทางกายไม่ได้ ก็ต้องลงโทษทางใจแทน อย่างไรเสีย เห็นอวี้เอ๋อร์ท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้ ก็สนุกดีไม่น้อย
——
หนิงอวี้สองมือค้ำศีรษะมองไปยังกะโหลกวัวที่แขวนอยู่บนกระโจมหน้านิ่ว จะแก้ต่างเอาตัวรอดอย่างไรดี จึงจะไม่ถูกเว่ยหยวนจับได้ หรือจะให้พูดหว่านล้อมจนเขายอมรับ ทั้งที่รู้ความจริงแก่ใจดี
“นายพลหนิง ยาบำรุงครรภ์เจ้าค่ะ”
สาวใช้พูดขึ้น ประคองน้ำแกงสีดำถ้วยหนึ่งเข้ามา หนิงอวี้บีบจมูก จ้องอยู่นานก็ยังไม่ยอมดื่มมันลงไป
“ฮ่องเต้ทรงรับสั่ง หากท่านไม่ยอมดื่ม พระองค์จะทรงป้อนท่านด้วยพระองค์เอง” สาวใช้เงยหน้าขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม “ท่านนายพล ฮ่องเต้ทรงใส่พระทัยท่านเหลือเกินเจ้าค่ะ”
หนิงอวี้ไม่ได้ต้องการการใส่ใจเช่นนี้! หนิงอวี้เผยอปากแล้วจ้องไปยังน้ำแกงถ้วยนั้นด้วยแววตาดุดัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคืองแค้น ราวกับน้ำแกงถ้วยนั้นวางดาบพาดบนลำคอนาง
เมื่อนึกถึงการป้อนยาของเว่ยหยวน ก็แอบหน้าแดงขึ้นมาเงียบๆ สุดท้ายจึงได้แต่ใช้มือทั้งสองยกน้ำแกงถ้วยนั้นขึ้นแล้วกรอกลงปาก ท่าทางราวกับผู้กล้าที่ยอมสละแขนเพื่อรักษาชีวิต ราวกับนายพลที่ฮึกเหิมพร้อมออกรบอย่างไม่หวนกลับคืน
ขม หนิงอวี้ขมวดคิ้ว ในปากคลุ้งไปด้วยรสฝาด รสชาติติดค้างอยู่นาน สาวใช้ยกผลไม้แช่อิ่มเข้ามา หนิงอวี้คว้ามันยัดลงปากอย่างรีบร้อน คิ้วที่ขมวดแน่นจึงคลายลง
สาวใช้รับถ้วยที่เหลือคราบเพียงเล็กน้อยมาดูอย่างละเอียด ครั้นแล้วก็ค้อมกายคำนับ
“ข้าน้อยจะไปกราบทูลฮ่องเต้ ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
ตอนที่ 312 คิดเอาเอง
ท้องฟ้าประดับด้วยดวงดาวส่องสว่างนับไม่ถ้วน หนิงอวี้เอนกายบนเตียงมองเหม่อไปยังมุ้ง ก่อนนอนนางจงใจเปิดหน้าต่างไว้ ตอนนี้ลมพัดเข้ามาในกระโจม พัดผ้าแพรบางบนหน้าต่างขยับไหว
เสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ เป็นเสียงฝีเท้าของเว่ยหยวน หนิงอวี้หลับตาทั้งคู่ลงแต่มุมปากกลับยกขึ้นอย่างอดมิได้
เว่ยหยวนขมวดคิ้วดึงม่านขึ้น พลางพล่ามบ่นเสียงเบา “ตัวตั้งครรภ์อยู่ กลับไม่รู้จักปิดหน้าต่าง”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็เห็นหนิงอวี้ยื่นมือออกนอกผ้านวม
เว่ยหยวนยกมือนางขึ้นเบาๆ แล้วซุกกลับไปในผ้าห่มนวม ครั้นแล้วก็เหน็บชายผ้าห่มให้นาง หนิงอวี้สีหน้านิ่งเฉย ในใจกลับเบิกบานยินดี
เว่ยหยวนนั่งลงด้านข้าง มือหนึ่งเท้าคางมองหน้านางยามหลับนิ่ง ทันใดนั้นก็พบว่ามุมปากนางยกขึ้นน้อยๆ
“ฝันเห็นอะไรกัน จึงดีใจเช่นนี้”
ฝันเห็นท่านอย่างไรเล่า ขนตาหนิงอวี้สั่นระริก นางพลิกกายหันไปด้านนอก เว่ยหยวนยกมือกั้นไว้ที่ขอบเตียง รอจนนางหยุดขยับจึงปล่อยมือลง
“ข้าไม่รู้เลย ว่าควรทำอย่างไรกับเจ้าดี”
ได้ยินคำพูดจนอย่างจนใจนั้น หนิงอวี้กลับยิ้มออกมาชัดเจนยิ่งขึ้น
เว่ยหยวนจ้องนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ มุมปากก็ยกยิ้ม เขาพูดขึ้นว่า “หรือว่ากำลังกินขนมกุ้ยฮวาซูอยู่ในฝัน”
หนิงอวี้กำลังจะตอบกลับก็สัมผัสถึงจุมพิตอันอบอุ่นบนริมฝีปาก
ริมฝีปากอันอ่อนนุ่มและเย็นยะเยือกเฉียดผ่าน หนิงอวี้สะดุ้งโหยง ขนตาสั่นระริกไม่หยุด เว่ยหยวนมองออกว่านางแกล้งหลับ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน วินาทีถัดมากลับนึกถึงเรื่องที่ตนกำลังโกรธเคืองอยู่ในตอนนี้ได้ จึงได้แต่กระแอมขึ้นหนึ่งเสียงแล้วหันกายเดินจากไป
หนิงอวี้สัมผัสได้ถึงสายลมโฉบผ่าน นางลืมตาทั้งคู่ขึ้นคว้าชายเสื้อเว่ยหยวนเอาไว้ แล้วพูดเสียงเบา “อย่าไปเลยเพคะ หม่อมฉันนึกออกแล้วว่าหม่อมฉันผิดตรงไหน”
เว่ยหยวนหยุดฝีเท้า เขานั่งลงบนขอบเตียงแล้วก้มหน้ามองนาง ใบหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
“หม่อมฉันจำได้ว่าหม่อมฉันเคยบอก ว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย…สุดท้ายกลับเหลือเพียงหนังสือสั่งเสียฉบับเดียว”
“อืม แล้วอย่างไรต่อ”
หนิงอวี้นิ่งอึ้ง นางครุ่นคิดอยู่นานก็นึกอะไรไม่ออก จึงได้แต่ดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ อย่างออดอ้อน แล้วพูดเสียงอ่อยว่า “พระองค์รับสั่งสิ หม่อมฉันจะแก้ไข”
“คิดเอาเอง”
เว่ยหยวนขมวดคิ้วพูดแล้วลุกขึ้น วินาทีนั้น หนิงอวี้ก็ลุกขึ้นนั่งรั้งแขนเขาเอาไว้แล้วฉวยจังหวะจุมพิตลงบนปากเขา ริมฝีปากเฉียดเบาๆ แล้วแยกออก
เว่ยหยวนยกมุมปากยิ้ม ยื่นมือไปประคองหน้านางไม่ยอมให้นางถอยได้แม้แต่น้อย หลับตาทั้งคู่ลงจุมพิตริมฝีปากที่เขาเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกวันคืน เว่ยหยวนได้ยินเสียงหัวใจตนเต้นรัวไม่หยุด
ครู่หนึ่ง ทั้งสองก็ผละจากกัน หนิงอวี้ทั่วหน้าแดงก่ำแต่ยังไม่ลืมเรื่องราว นางพูดขึ้นเสียงเบา “พระองค์รับสั่งสิเพคะ” เว่ยหยวนยื่นมือไปรวบตัวนางมาไว้ในอ้อมกอด แล้วประทับจุมพิตลงบนเรือนผมนางหนึ่งที
“ข้าจำได้ ตอนที่เจ้าจากไปนั้นได้บอกกับข้าว่า การออกรบครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้าจะลงมือก่อนแล้วบอกทีหลัง”
เว่ยหยวนชำเลืองมองนางปราดหนึ่ง หนิงอวี้รู้สึกร้อนตัวถึงที่สุด นางกระแอมขึ้นหนึ่งที ครั้งนี้เมื่อเทียบกับการทำผิด ตัดสินใจลงมือโดยไม่บอกล่วงหน้าครั้งก่อนๆ นั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นความผิดอย่างรุนแรงกว่ามากเลยทีเดียว
ในเวลาที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ นางกลับรู้สึกขึ้นมาว่าอ้อมกอดนั้นอบอุ่นอย่างมาก เมื่อคิดถึงความอบอุ่นและการหลีกเลี่ยงความผิด หนิงอวี้ซุกกายลงหน้าสาบเสื้อเขาแล้วสีตัวไปมา
มือเว่ยหยวนประคองนางหนิงอวี้ที่กำลังซุกกลางอกเขาไว้ แล้วประสานจ้องไปยังสายตาทั้งคู่ของนาง
“หนิงอวี้ ไยเจ้าจึงกล้าทิ้งข้าไปหาความตายได้”
“หม่อมฉัน…”
“ข้ารู้ว่าแม่ทัพหนิงสิ้นใจ เจ้าเสียใจอย่างมาก แต่เจ้าไยไม่คิดถึงข้าบ้าง ข้าไม่ขอให้เจ้าละทิ้งความคิดเจ็บแค้น ขอเพียงเจ้าคิดถึงข้าบ้าง ถึงจะเป็นเพียง ลังเลใจถึงข้าสักครู่เดียวก็ตาม”
“หม่อมฉันคิดแล้ว…”
“เจ้าคิดถึงข้าแล้วจริงหรือ เจ้าคิดบ้างไหมว่าเมื่อข้าเห็นร่างไร้วิญญาณเจ้าจะเป็นเช่นใด เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ ว่าชีวิตที่เหลือของข้าจะเป็นเยี่ยงใด”
เว่ยหยวนสีหน้าเย็นชาพูดออกมาอย่างซื่อตรง ทั้งความปรารถนาที่เขาไม่เคยพูดและความสิ้นหวังที่เขาไม่เคยบอกให้นางรู้มาก่อน
ตอนที่ 313 นึกได้ฉับพลัน
เขาก้มหน้า ประทับจุมพิตอันสุดจะทนและเศร้าโศกลงไปบนเรือนผมนางหนึ่งที แล้วพูดขึ้นเสียงเบา “หากเจ้าได้คิดแล้วจริง ก็ควรมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อข้า อยู่รอเผชิญหน้าร่วมกันกับข้า”
หนิงอวี้ขบฟันไม่พูด นางในตอนนั้นได้คิดถึงเว่ยหยวนแล้วจริงๆ…ทว่าเพียงแค่นิดเดียว ในใจนางล้วนเต็มไปด้วยความแค้นที่เข้าครอบงำ ท้ายที่สุดจึงสิ้นหวังจนคลุ้มคลั่งขึ้นมา
“หม่อมฉันผิดไปแล้ว จากนี้ไปจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้อีกแล้วเพคะ”
“อืม”
เว่ยหยวนฉวยจังหวะรวบนางเข้ามาในอ้อมกอด ยื่นมือไปตบหลังนางเบาๆ ราวกับกล่อมเด็กน้อยเข้านอน
หนิงอวี้คิดถึงเรื่องราวในตอนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเบ้าตาแดงก่ำ ด้วยการปลอบใจอย่างอ่อนโยนขอบเว่ยหยวน ครั้นแล้วน้ำตาก็ไหลออก เมื่อน้ำตาไหลลงสาบเสื้อ เว่ยหยวนสัมผัสได้ถึงความเย็นขึ้นวาบจึงพูดขึ้นเสียงเบา “ไม่ร้องนะ คนดี”
“ท่านพ่อตายแล้ว”
“อืม”
“ท่านทำเพื่อปกป้องไม่ให้หม่อมฉันบาดเจ็บ วันนั้นหม่อมฉันเห็น ว่าท่านเลือดไหลออกมามากจนเลอะไปทั่วทั้งพื้น มากมายเหลือเกิน แดงฉานไปทั่วเลย”
เว่ยหยวนได้ยินความวุ่นวายสับสนในคำพูดของนาง ก็โอบคนในอ้อมกอดเอาไว้กระชับยิ่งขึ้น
ทำไมต้องโทษนาง นางตอนนั้นคงโศกเศร้าและหวาดกลัวอย่างมาก เว่ยหยวนรู้สึกจุกในอก อดไม่ได้ที่จะตำหนิตนเองว่าทำไมไม่รีบตามไปอยู่เคียงข้างนาง เผชิญหน้าพร้อมกับนาง
“หม่อมฉันลองช่วยท่านแล้ว แต่ไม่มีประโยชน์อันใดเลย…ไม่มีประโยชน์อันใดเลย” หนิงอวี้คว้าสาบเสื้อเว่ยหยวนแน่น จนผ้าไหมต่วนหรูหราเป็นรอยย่นยับขึ้นมา “สุดท้าย ท่านก็ยังคงสิ้นใจต่อหน้าหม่อมฉัน”
เงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ น้ำตาหนิงอวี้ก็หยุดไหล เว่ยหยวนสังเกตว่านางหยุดร้องไห้แล้วก็ใช้มือข้างหนึ่งประคองหน้านางขึ้น แล้วใช้มืออีกข้างซับน้ำตาบนหางตานางออกไป เขาพูดขึ้นเสียงเบา “อย่าร้องไห้เลย นี่ไม่ใช่ความผิดเจ้า เกิดแก่เจ็บตายล้วนแต่สามัญ”
“ไม่ เป็นความผิดของหม่อมฉัน เป็นเพราะหม่อมฉันทำให้ท่านพ่อต้องตาย!”
“อย่าคิดอย่างนั้นเลย หากท่านพ่อตารู้ต้องเสียใจแน่ ท่านพ่อตารักเจ้าลึกซึ้ง ย่อมช่วยเจ้าโดยไม่สนใจสิ่งใดอยู่แล้ว ท่านไม่โทษเจ้าหรอก คนดี อย่าร้องไห้เลยนะ”
หนิงอวี้พยักหน้า น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ เว่ยหยวนกอดนางเอาไว้แน่นแล้วก้มหน้าลงมาบนเรือนผมนางพลางพูดขึ้นเสียงเบา “เจ้าพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่เกิดแก่เจ็บตายนั้นเป็นเรื่องสามัญ”
“มู่หรงเหยียน…” หนิงอวี้ขบริมฝีปาก “การตายของท่านพ่อ มู่หรงเหยียนมีส่วนด้วย”
“หนิงเฝ่ยหรือ”
“เขาเป็นเพียงมู่หรงเหยียน ไม่ใช่หนิงเฝ่ย!” หนิงอวี้ย่นคิ้ว พูดขึ้นอย่างไม่ลังเล วินาทีถัดมา นางก็เผยความสับสนขึ้นบนหน้า “แต่เขาก็ได้ลองช่วยท่านพ่อแล้ว…หม่อมฉันไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ไม่แม้แต่จะลงมือกับเขา”
“ท่านพ่อตา ตอนแรกที่รับเลี้ยงเขาคงรู้สถานะของเขาอยู่แล้ว” เว่ยหยวนสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “ข้าว่าก่อนท่านสิ้นใจ คงฝากฝังอะไรไว้บ้างแน่”
“ท่านบอกว่า ให้ข้าเลิกติดตามเรื่องราวของหนิงเฝ่ย” หนิงอวี้พูดเสียงแผ่ว ครั้นแล้วก็นึกขึ้นได้ฉับพลัน หากท่านรู้สถานะของมู่หรงเหยียนจริง เช่นนี้ ท่านก็ยอมรับมาโดยตลอด ว่ามู่หรงเหยียนก็คือหนิงเฝ่ย
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องลอบสังหาร เพียงแต่เรื่องที่บอกไม่ให้ตามสืบเรื่องมู่หรงเหยียนต่อ หากบิดารู้สถานะของเขา เช่นนั้น…ในสายตาท่าน มู่หรงเหยียนยังคงเป็นลูกบุญธรรม จึงมิได้อาฆาตเคืองแค้นในตัวเขา
หนิงอวี้เผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมา เว่ยหยวนกลับพยักหน้าอย่างนิ่งเฉย เขาพูด “เมื่อตอนที่ท่านแม่เจ้าหนีมาจนได้พบกับท่านพ่อตา สุดท้ายก็สิ้นใจเพราะคลอดยาก ไม่นานจากนั้นเพราะการแก่งแย่งภายในวังหลวง มู่หรงเหยียนจึงถูกทอดทิ้งและถูกตามสังหาร ระเหเร่รอนจนมาถึงชายแดน”
“ข้าได้หาตัวสหายร่วมรบของท่านพ่อตาพบ ท่านเคยสืบหาที่มาของตัวตนมู่หรงเหยียน” เว่ยหยวนน้ำเสียงหนักแน่น ยื่นมือขึ้นไปลูบเรือนผมของนาง “เจ้าอยากพบเขาหรือไม่”
ตอนที่ 314 ขอดูการกระทำของเจ้าก่อน
หนิงอวี้นิ่งอึ้งกับที่ ชายชราเบื้องหน้าคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก นั่นไม่ใช่ท่านลุงหนิวผู้เปิดร้านอาหารอยู่ที่หนิงเปียนในตอนนั้นหรอกหรือ
“ท่านลุง เชิญนั่ง รีบเดินทางมาแต่ไกล ลำบากท่านแล้ว”
หนิงอวี้ก้าวเข้าไปสองสามก้าว แล้วประคองชายชราไปยังที่นั่ง
“ไม่ลำบากเลย” ชายชราวางมือลงบนเก้าอี้ “วันก่อนฮ่องเต้ส่งคนมารับข้า รถม้าวิ่งอย่างนุ่มนวลตลอดทาง ไม่ได้ลำบากอะไรนัก”
วันก่อนก็คือวันที่นางกลับมานั้นเอง หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นมองก็เห็นเว่ยหยวนยิ้มอย่างอ่อนโยน ขอบคุณนะ นางพูดขึ้นเบาๆ ในใจ มุมปากยกยิ้มบาง
“น่าเสียดายจื้อหย่วนตายเสียกลางสนามรบ เฮ้อ ท่านเรียกหาข้า ข้าเองก็รู้ว่าด้วยเรื่องใด”
รอยยิ้มน้อยๆ บนมุมปากนางเลือนไป นางพยักหน้ารับ
ชายชราลูบเคราหนึ่งทีแล้วมองเหม่อไปยังไม้เท้าในมือ เข้าอ้าปากพูดขึ้นด้วยจิตใจที่ราวกับกำลังหลุดลอย “ตอนนั้นก่อนท่านแม่ของท่านจะแต่งงาน ก็ได้บอกสถานะของนางให้จื้อหย่วนรู้ แม้กระนั้น จื้อหย่วนยังคงตัดสินใจแต่งนาง”
“นานหลังจากนั้น ท่านพ่อเจ้าก็มาหาข้า ขอให้ข้าตามสืบสถานะของลูกเลี้ยงเขา ข้าขอให้ผู้คนหลายคนตามสืบ เดินทางไปยังราชวงศ์เหนือด้วยตนเอง จึงได้ข้อมูลที่แน่ชัดกลับมา”
ดังนั้นบิดาจึงรู้ทุกอย่าง หนิงอวี้ก้าวถอยสองสามก้าว รู้สึกเบาใจเล็กน้อย ราวยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก เว่ยหยวนวางมือลงบนบ่านาง เป็นการบอกให้นางรู้ว่า ‘ตัวเขาอยู่เคียงข้างนาง’
หนิงอวี้สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นบนบ่าก็หันกลับไปปั้นหน้ายิ้มหนึ่งที เว่ยหยวนเห็นนางพยายามยิ้มก็รู้สึกปวดร้าวใจ ที่จริงแล้ว นางอาจจะไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้ก็ได้ ถ้าตอนนั้นเขารั้งตัวนางเอาไว้
หลังจากกล่าวขอบคุณชายชรา หนิงอวี้ก็เดินโซเซไปยังด้านนอก เว่ยหยวนขมวดคิ้ว ยื่นมือดึงนางเอาไว้
“ข้างนอกลมแรง ไม่สู้นอนพักสักครู่หรือ”
หนิงอวี้ส่ายหน้ายังแน่แน่วและดึงดัน เว่ยหยวนจนปัญญาจึงได้แต่ปล่อยมือลง ลมพัดแรงจริงๆ หนิงอวี้หนาวตัวสั่นครู่หนึ่ง อึดใจเดียวก็ถูกคลุมด้วยเสื้อนอกหนึ่งตัว เสื้อคลุมอบอุ่นนั้นกันลมหนาวไว้ได้อย่างดี
หนิงอวี้กระชับเสื้อคลุมแน่นแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “พระองค์กลับไปก่อนเถอะเพคะ” ยังไม่ทันจบความ นางก็เดินจากไปอย่างรีบร้อน
เตะก้อนหินไปเรื่อยเปื่อย หนิงอวี้มองเหม่อไปยังรองเท้าหนังกวาง ในเมื่อบิดารู้สถานะของมู่หรงเหยียน ไยจึงไม่บอกนาง คงเพราะว่าไม่อยากให้นางเข้าไปพัวพันด้วยเรื่องนี้ เพราะการชิงดีชิงเด่นในวังนั้นวุ่นวายอำมหิตนัก
แต่ในเลือดนางก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นเลือดราชวงศ์เหนือ จะหลีกพ้นได้อย่างไรกัน บิดารู้ทุกอย่าง แล้วท่านพยากรณ์จุดจบของตนได้หรือไม่…ตอนแรกที่รับเลี้ยงมู่หรงเหยียนนั้น ก็น่าจะรู้ดีแก่ใจว่าทั้งสองต้องมีวันที่เป็นปรปักษ์ต่อกันในสักวัน
หนิงอวี้ขบริมฝีปากเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เพราะไม่ต้องการให้น้ำตาที่เอ่อรื้นเบ้าตานั้นไหลออกมา ลมพัดโชยผ่าน กองหญ้าแห้งกองหนึ่งกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ กลิ้งผ่านหน้าหนิงอวี้ ผ่านเลยไปยังด้านหลัง
จังหวะประจวบเหมาะ หนิงอวี้หันกายกลับก็เห็นเว่ยหยวนในชุดผ้าบางทั้งตัว ยืนอยู่ไกลๆ เมื่อเห็นนางหันกาย เว่ยหยวนก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มเพื่อปลอบประโลมหนึ่งที
น้ำตาที่กลั้นไว้ทะลักออกมา หนิงอวี้เดินเข้าไปสองสามก้าว เว่ยหยวนอึ้งงันแล้วออกวิ่งไปยังนางอย่างรวดเร็ว หนิงอวี้ยื่นแขนทั้งสองออกแล้วโผเข้ากลางอ้อมกอดเว่ยหยวน
“อย่า…ระวังลูกด้วย”
เว่ยหยวนยื่นมือไปกอดนางแน่น ก้มหน้าลงประทับจุมพิตลงบนแก้มนางหนึ่งที
หนิงอวี้สัมผัสได้ถึงริมฝีปากที่เย็นยะเยือกของเขา นางเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นริมฝีปากเขาขาวซีด นางรู้สึกสะท้อนใจจึงถามขึ้นด้วยเสียงอันเบา “ไยจึงไม่กลับไปคลุมเสื้อนอกเล่าเพคะ”
“ข้ากลัวเจ้ารีบร้อนเดิน…ข้าอยากอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ทุกโมงยาม”
หนิงอวี้โอบเอวเขาแน่น อยากหัวเราะทั้งร้องไห้ ขณะที่น้ำตาไหลอาบลงมานั้น มุมปากนางก็ยกยิ้ม
“เดินข้างกัน ไม่เสียธรรมเนียมหรือเพคะ”
“ผู้คนใต้หล้าล้วนรู้ดี ว่าข้ายอมเป็นบ้าเพื่อเจ้า”
เว่ยหยวนก้มหน้า จุมพิตบนหน้านางเบาๆ
“เช่นนั่น พระองค์ทรงยกโทษให้หม่อมฉันแล้วหรือเพคะ”
หนิงอวี้จิกชายเสื้อเขา นางเงยหน้าส่งยิ้มอ่อนหวาน เว่ยหยวนเลิกคิ้วพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนปลายตานางด้วยท่วงทีอันอ่อนโยนอย่างที่สุด
“ไม่ ขอดูการกระทำของเจ้าก่อน”
ตอนที่ 315 หญิงงามดั่งบุปผา
“ใต้เท้าจาง วิเคราะห์สภาพชัยภูมิ…” ใต้เท้าหลิวใช้มือข้างหนึ่งแหวกม่านขึ้น มือหนึ่งถือเอกสารราชการ วินาทีถัดจากนั้นสองตาก็นิ่งเหม่อ “สาวงามสองนางนี้คือผู้ใด”
ใต้เท้าจางได้ยินก็ขมวดคิ้วทั้งคู่แน่นแล้วทอดถอนใจ
“เดิมทีตั้งใจเตรียมไว้เพื่อฮ่องเต้ราชวงศ์เหนือ ทว่ายามนี้…เฮ้อ ก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี”
หญิงงามทั้งสองยิ้มน้อยๆ หนึ่งทีแล้วยกมือขึ้นลูบแก้มตน ยิ้มนั้นดูงามพริ้งถึงที่สุด พวกนางผมยาวสลวยปะบ่า บนผมห้อยระย้าด้วยเครื่องประดับผมสีทอง สวมกระโปรงเต้นรำห้อยด้วยกระดิ่งทอง เท้าทั้งคู่นั้นเปลือยเปล่า
ม่านยังไม่ทันถูกดึงเข้าหากัน สายลมพัดผ่าน กลิ่นหอมกลิ่นหนึ่งโชยปะทะหน้า เสียงกระดิ่งดังกังวานใส ใต้เท้าหลิววางเอกสารราชการลงบนโต๊ะแล้วพินิจหญิงงามรอบหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะดีดลิ้นทำเสียงจิ๊จ๊ะ
หญิงงามยิ้มน้อยๆ งามดั่งวันเหมันต์อันสดใส ชวนให้ผู้คนชื่นใจบานดั่งฤดูใบไม้ผลิ ใต้เท้าหลิวสัมผัสถึงความร้อนผ่าวบนปลายจมูก ยกมือขึ้นลูบหนึ่งทีก็พบรอยเลือดสีแดง
“ใต้เท้าหลิว นี่ท่านเป็นอะไร”
ใต้เท้าจางย่นคิ้ว ล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งยื่นให้ใต้เท้าหลิว ใต้เท้าหลิวหัวเราะร่า ครั้นเห็นหญิงงามยิ้มชดช้อยมองมายังตนก็หน้าแดงถึงใบหู แล้วพูดขึ้นเบาๆ ว่า “เลือดลมดี เลือดลมดี”
“สาวงามสองนางนี้จะส่งไปที่ใดกัน”
ใต้เท้าจางถอนหายใจยาว ส่ายหน้าเบาๆ ท่าทีทำตัวไม่ถูกเต็มประดา
ใต้เท้าหลิวคิดออกในฉับพลันจึงปรบมือทั้งคู่หนึ่งที
“ไม่เช่นนั้นก็ถวายแด่ฮ่องเต้ เป็นเช่นไร”
ใต้เท้าจางส่ายมือไม่หยุด
“มิได้นะขอรับ ท่านเองก็ใช่ว่าไม่รู้ ว่าฮ่องเต้ทรงโปรดนายพลหนิงเพียงใด ทรงรักหวงแหนงจนแทบจะผ่าพระหฤทัยมอบให้นาง”
หญิงงามทั้งสองได้ยินก็สบตากัน ต่างมองเห็นความคาดหวังในก้นบึ้งนัยน์ตาของอีกฝ่าย พวกนางเดินเข้าไป แล้วขนาบข้างตัวใต้เท้าหลิวทั้งซ้ายขวา
ใต้เท้าหลิวหน้าแดงดั่งชาดทา ในใจเบิกบานราวกับดอกไม้ ใบหน้ากลับแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง
“นายพลหนิงกำลังตั้งครรภ์ ค่ำคืนฮ่องเต้ทรงเดียวดาย อาจจะ… อนึ่ง ยามนี้วังหลังว่างเปล่า เป็นโอกาศอันดีที่จะถวายหญิงงาม”
“ให้พวกเราได้ปรนนิบัติฮ่องเต้เถอะนะเจ้าคะ พวกเราจะทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจแน่นอน”
“ใต้เท้า พวกเราชื่นชมฮ่องเต้มานานแล้ว ของร้องท่านช่วยให้ความหวังของพวกเราได้สัมฤทธิ์ด้วยเถิดนะเจ้าคะ”
——
เว่ยหยวนเอนกายพิงถังไม้หลับตาทั้งคู่ลง แช่อยู่กลางไอน้ำร้อนช่วยผ่อนคลายทุกอิริยาบถ บีบคั้นนางอีกสักนิด เช่นนี้จะได้ไม่กล้าก่อความผิดขึ้นอีก
เว่ยหยวนนึกถึงท่าทีอันน้อยเนื้อต่ำใจของหนิงอวี้ ก็อดไม่ได้ที่จะขบขัน ครั้นนึกถึงภาพนางร้องไห้หลั่งน้ำตา กลางใจก็เกิดปวดร้าวขึ้นมาเล็กน้อย
ท่านพ่อตาตายจากไป ซ้ำนางยังตกอยู่ท่ามกลางเขี้ยวเล็บเพียงลำพัง ทั่วกายเต็มไปด้วยบาดแผล กลับมาได้ด้วยความยากลำบากสุดคณา แต่ตนกลับ…เว่ยหยวนมุ่นหัวคิ้ว แต่ถ้าจะยกโทษให้นางเสียง่ายๆ คราวหน้านางทำผิดอีกจะทำอย่างไร
บางทีอาจเพราะตัวเขาตามใจนางหลายต่อหลายครั้ง จึงทำให้นางทำตัวเหลวไหลอยู่เนืองๆ เว่ยหยวนยื่นมือไปกุมขมับ รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันใด
เรื่องนี้ เขาไม่อาจตัดใจทำได้ แต่หากคิดจะแกล้งให้นางลำบาก ถ้าเกิดเล่นแรงไป เขาก็ทำไม่ลงเช่นกัน
จุมพิตร้อนผ่าวประทับลง อวี้เอ๋อร์หรือ คิ้วที่ขมวดเป็นปมของเว่ยหยวนค่อยๆ คลายออก มุมปากยกยิ้มบางค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ขึ้น ทันใดนั้นก็เห็นหญิงงามอรชรเย้ายวนยืนอยู่เบื้องหน้า ซ้ายหนึ่งขวาหนึ่ง ฉวยจังหวะโอบรอบลำคอเขาไว้
หญิงงามเห็นเขาตื่นก็ยื่นมือไปลูบหน้าเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหนือทรงชราจนพระทนต์ร่วง ไหนเลยจะเทียบได้กับฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ใต้
มิต้องกล่าวกล่าวถึงความเยาว์ ทรงพระสิริโฉมงดงามคมขำ ซ้ำเก่งกาจหาญศึกย่ำไปที่ได้ล้วนแต่ศิโรราบ รบคราใดล้วนแต่ประสบชัย วีรบุรุษเช่นนี้ ยังเป็นถึงนักรัก สตรีใดกันจะไม่พึงพอใจ สาวงามประสานตากันทีหนึ่ง ต่างเห็นถึงความเร่าร้อนในตาของกันและกัน
เว่ยหยวนยื่นมือไปผลักทั้งสองออกสีหน้านิ่ง แล้วยื่นมือไปล้วงเสื้อผ้าบนขอบถังไม้ จังหวะเดียวกันนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงดังกังวาน คงเป็นเสียงกระเบื้องจากจอกที่กระทบพื้นจนแตกกระจาย
ตอนที่ 316 เราแยกทางกันเถอะ
เว่ยหยวนลุกขึ้นยืนสวมเสื้อผ้าพลางขมวดคิ้วแน่น เมื่อมองผ่านฉากบังตาก็เห็นคนผู้หนึ่งกำลังแหวกม่านวิ่งออกไป “ให้ตายสิ ” เว่ยหยวนบ่นอุบพลางเดินออกไปนอกถังไม้
หญิงงามต่างแดนทั้งสองนางไม่ลดละ อึดใจเดียวหลังจากนั้นก็โผเข้าไปยังเขา เตรียมพร้อมใช้ทั้งร่างกายเตรียมเผด็จศึก เว่ยหยวนตะคอกด้วยความโกรธทีหนึ่ง “ไสหัวไป” ครั้นแล้วก็ผลักหญิงงามทั้งสองออก เขาเดินออกจากฉากบังตาพร้อมยื่นมือไปคว้าเสื้อนอก
เดินไปพลางสวมใส่เสื้อผ้าไปพลาง เมื่อเดินผ่านจอกน้ำที่แตกกระจายบนพื้นก็หยุดไปชั่วครู่ ครั้นแล้วก็ออกวิ่งไปยังรวดเร็ว
หนิงอวี้กุมท้องน้อยเดินจากไปอย่างทุลักทุเล ไม่กล้าหันหน้ากลับ ในเมื่อเว่ยหยวนบอกว่าจะดูการกระทำของนาง นางคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงตัดสินใจทำน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมถ้วยหนึ่งมาให้เขา
เว่ยหยวนอดนอนสะสางงานราชการ จำเป็นต้องบำรุงร่างกาย การกินยาอาจช่วยบำรุงร่างกายได้ หนิงอวี้ค่อนข้างพอใจต่อความคิดของตน ในขณะเดียวกันเมื่อคิดถึงคำชมเชยของเขาก็แทบอดใจรอไม่ไหว
นางจุดไฟอยู่นานถึงสองชั่วยาม แต่เพราะรีบร้อนเกินไปจึงลวกมือเข้า แววตาดวงใจที่เต็มไปด้วยความยินดีและคาดหวัง ท้ายที่สุดก็ถูกเงาร่างอรชรอ้อนแอ้นบนฉากบังตาทำลายจนสิ้น
หนิงอวี้ขบริมฝีปาก น้ำตาไหลอาบลงมา มือหนึ่งนางกุมท้องน้อย มือหนึ่งปาดน้ำตา ทำไมกัน ทำไมไม่บอกความจริงกับนาง อะไรกันที่บอกว่าจะดูการกระทำของนาง ทั้งหมดล้วนแต่คำหลอกลวง
ในขณะที่หลอกลวงนาง อีกด้านกลับกำลังเล่นน้ำกับหญิงงามสำราญใจ เลวที่สุด เว่ยหยวนต่างกับเว่ยหลิงตรงไหน หนิงอวี้หยุดฝีเท้ายกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้ออกมา รอยแผลที่ถูกลวกสัมผัสกับใบหน้ารู้สึกปวดแสบอย่างมาก
ร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง หนิงอวี้ก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วเดินเอื่อยเฉื่อยอย่างไร้จุดหมาย ที่จริง นี่ก็ไม่ได้เป็นอะไรนัก อย่างไรเสียเขาก็สามารถมีอนุน้อยใหญ่ได้อยู่แล้ว ชาติก่อน นางเองก็เคยอดทนอดกลั้นกับการแต่งสนมเข้าวังของเว่ยหลิง
แต่ทำไมกัน พอมาถึงเว่ยหยวน นางกลับไม่อาจทนได้ หนิงอวี้มองไปยังก้อนเมฆหลากสีหลายก้อนบนท้องฟ้าเปลี่ยนรูปไปไม่หยุด ใคร่ครวญกับคำถามนั้นอย่างจริงจัง
คงเพราะรักเขามากเหลือเกิน จึงทำใจไม่ได้ที่จะแบ่งเขาให้ผู้อื่น แม้เพียงน้อยนิด นางก็ตัดใจไม่ได้ หนิงอวี้เผยอปาก น้ำตาก็พลันไหลอาบอย่างออกมา
นางควรจากไปหรือไม่ เว่ยหยวนได้ครองราชย์ คนที่นางคอยคุ้มครอง ถ้าไม่ได้รับความสุขก็จะจากนางไป
เว่ยหยวนไม่อาจมีนางเพียงผู้เดียว วังหลังไม่อาจมีเพียงฮองเฮา แต่นาง หวาดกลัวการแก่งแย่ง รังเกียจเรื่องราวเช่นนี้นัก
พวกเขาทั้งสอง คงถูกพรหมลิขิตให้ไม่ได้อยู่ร่วมกัน หนิงอวี้ยิ้มเศร้าเดินไปยังหน้าผา นางนั่งลง สองเท้าแกว่งไปมาอยู่กลางอากาศ สายลมพัดโชยผ่าน ชายกระโปรงบานสยายราวกลับลูกคลื่น
“หนิงอวี้!”
เสียงตะโกนด้วยความโกรธแว่วมาจากด้านหลัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจและตื่นตระหนกอย่างไม่น่าเชื่อ หนิงอวี้ได้ยินชัดเจน แต่ไม่คิดจะตอบกลับ ได้แต่ก้มหน้าร้องไห้
เว่ยหยวนรีบเดินไปด้านหน้า เขาวิ่งซวดเซไปยังนาง ยื่นมือข้างหนึ่งไปอุ้มนางขึ้น หนิงอวี้ได้กลิ่นแป้งชาดหอมฟุ้งบนกายเขา น้ำตาก็พลันพรั่งพรูออกมา
เว่ยหยวนในตอนนี้จึงรู้สึกถึงความกลัว เขาก้มหน้ามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของหนิงอวี้ จึงตะลึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นางนั่งอยู่ริมหน้าผา
“เจ้าคิดทำอะไรกันแน่!” เว่ยหยวนสีหน้าบึ้งตึง ครั้นรู้สึกตัวว่าท่าทีตนดุดันเกินไปก็รีบเปลี่ยนน้ำเสียง “เมื่อครู่ข้ากลัวเหลือเกิน เจ้าอย่างร้องไห้เลยนะ”
หนิงอวี้ไม่เอ่ยวาจา นางมุดตัวอยู่กลางอ้อมกอดเขาเงียบๆ ดวงตาไร้แววนิ่งทื่อราวกับตุ๊กตาไม้ มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกจากหางตาเป็นพักๆ ที่ยืนยันว่านางยังมีชีวิตอยู่
เว่ยหยวนรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก เขาโอบนางเอาไว้แน่น ก้มหน้าลงจุมพิตบนหน้าผากนางแล้วอธิบายว่า “เรื่องเมื่อครู่ ไม่ได้เป็นเช่นเจ้าคิด…”
“เรา แยกทางกันเถอะเพคะ” หนิงอวี้เงยหน้าขึ้นยิ้มบาง น้ำตาไหลนองร่วงสู่เรือนผม “หรือไม่ก็ พระองค์ก็หย่ากับหม่อมฉันเถอะเพคะ”
ตอนที่ 317 ลูกแมวน้อยขี้แง
“อวี้เอ๋อร์ เมื่อครู่นั้นข้าไม่รู้อะไรด้วยเลย จู่ๆ ก็มีสตรีสองนางปรากฏตัว ข้าผลักพวกนางออกไป ในใจข้ามีเพียงเจ้า จริงๆ นะ เจ้าต้องเชื่อข้านะ ”
เว่ยหยวนพูดขึ้นในตอนแรกด้วยถ้อยคำวุ่นวาย เมื่อพบว่าตนกำลังเสียกิริยาเกินไป จึงสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งที แล้ววางตัวหนิงอวี้ลงช้าๆ พยายามรวบรวมสติอธิบายเรื่องนี้ให้แจ้ง
หนิงอวี้พยักหน้า นางเชื่อ เว่ยหยวนทำเพื่อนางมากมายเพียงนี้ ในใจเขาต้องรักนางอย่างลึกซึ้งแน่นอน ทว่า สักวันหนึ่งเขาคงจำต้องโอบกอดสตรีนางอื่นในอ้อมกอด ด้วยเหตุผลอื่นอยู่ดี
นางไม่ยินยอม แต่ผู้อื่นคงยินดีไม่น้อย นางไม่กล้ายืนยัน ว่าในใจเว่ยหยวนจะมีเพียงนางคนเดียวตลอดไป นางไม่กล้าเชื่อ ว่าเว่ยหยวนภายใต้แรงกดดันของเหล่าขุนนางและผู้คนใต้หล้าจะไม่ทำให้เว่ยหยวนเปลี่ยนความคิดแต่เดิมได้
“หม่อมฉันรู้ แต่…หม่อมฉันคิดว่าเราควรแยกทางกันเพคะ”
หนิงอวี้ก้มหน้า นางไม่กล้ามองสีหน้าของเว่ยหยวน เป็นดังคาด วินาทีถัดมา เว่ยหยวนประคองหน้านางขึ้นบังคับให้นางมองมายังเขา
“ทำไมหรือ” เว่ยหยวนแววตาลึกซึ้ง จ้องนิ่งไปยังหนิงอวี้ “บอกเหตุผลข้าสิ”
หนิงอวี้ส่ายหน้า น้ำตาไหลลงท่ามกลางสายลม ลมพัดชายกระโปรงสีแดงสดของนางพลิ้วไหว ท่ามกลางกระโปรงสีแดงพัดพลิ้ววุ่นวายนั้น นางดูอ่อนแอราบกับผีเสื้อปีกหัก
หม่อมฉันจะบอกพระองค์เช่นไรดี กับสิ่งหม่อมฉันไม่เชื่อตนเอง สิ่งไม่เชื่อในตัวท่าน? หนิงอวี้ดึงมือเขาออกอย่างหนักแน่นเด็ดขาดแล้วหันกายเดินจากไป
เว่ยหยวนขมวดคิ้ว ดึงแขนนางเอาไว้ เขาดึงนางกลับมาบังคับให้นางอยู่ในอ้อมกอด “อย่าไปนะ”
“ที่สุดแล้วต้องมีสักวันที่พวกเราต้องแยกจาก…”
“นั่นเพราะความตาย”
“พระองค์จะมีสตรีนางอื่น”
คิ้วของเว่ยหยวนขมวดแน่น แล้วพูดโต้กลับเสียงทุ้มอย่างไม่ลังเล “ข้ามีเพียงเจ้า”
เว่ยหยวนกุมมือนางขึ้นก็รู้สึกสะดุ้งตกใจกับนิ้วที่เย็นเฉียบของนาง เขาเอามือนางซุกลงในสาบเสื้อตน แล้วพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “หนิงอวี้ เจ้ามองไม่เห็นหัวใจที่ข้ามีต่อเจ้าเลยหรือ”
“หม่อมฉัน…”
“ข้าต้องการแค่เจ้า ไม่เพียงแค่ชาตินี้ ทุกภพทุกชาติก็เช่นกัน”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็ใช้ริมฝีปากประกบกับริมฝีปากอันขาวซีด ประกบหยุดคำพูดที่ไม่เชื่อฟังนั้นเอาไว้
ล่างหน้าผานั้น รกชัฏไปทั่ว ผืนทรายหญ้าแห้ง เพียงสายลมโชยพัด ฝุ่นก็ฟุ้งตลบ
บนหน้าผานั้น ทั้งสองโอบกอดกัน ผ้าขาวซ้อนสลับผ้าแดง ไฟรักลุกโหมลุกอย่างคลุ่มคลั่ง สายลมพัดเสื้อผ้าพวกเขา ชายในชุดขาวบังลมเอาไว้ โอบกอดกอดหญิงสาวในอ้อมกอดจนแน่น
เว่ยหยวนเงยหน้าขึ้น กอดหนิงอวี้แน่นยิ่งขึ้น ริมฝีปากที่ขาวซีดในตอนแรกของหนิงอวี้ หลังผ่านการทดสอบอันหนักหน่วงก็กลับมางดงามหยาดยิ้มอีกครั้ง นางก้มหน้าลง ได้ยินเสียงหัวใจเว่ยหยวนเต้น มั่นคงและทรงพลัง กำลังเต้นอยู่เพื่อนาง
“อย่าไปนะ ห้ามร้องไห้ด้วย หากเจ้าเสียใจ ที่เจ้าต้องทำมีเพียงกอดข้าไว้”
หนิงอวี้เงยหน้าขึ้นพยายามยิ้มออกมาหนึ่งที ครั้นแล้วนางก็ร้องไห้ออกมาเสียนาน ปลายตาแดงก่ำ ยิ่งทำให้ดูน่าเอ็นดูสงสาร เว่ยหยวนก้มหน้าลง จุมพิตลงบนหางตานางแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ลูกแมวน้อยขี้แง”
“ฮึ ใช่ที่ไหนกัน” หนิงอวี้หน้าแดงถึงใบหู นางยกกำปั้นไปทุบบนอกเขา “ไม่ได้เป็นลูกแมวขี้แงสักหน่อย”
เว่ยหยวนโดนไปหนึ่งหมัด กลับปล่อยหัวเราะออกมา แล้วพูดคล้อยตามว่า “ใช่ เจ้าไม่ใช่ลูกแมวขี้แง”
หนิงอวี้ได้ยินก็แค่นเสียงเบาๆ หนึ่งที มุมปากกลับอดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม
“ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า อยู่เผชิญหน้าทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกับเจ้า”
“เพคะ”
“สรรพสิ่งบนโลกนี้สำหรับข้าล้วนเพียงธุลีดิน มีเพียงเจ้าที่ดวงใจข้าเฝ้ารักเฝ้าห่วงหา” เว่ยหยวนยื่นมือไปขยี้เรือนผมนาง “เพื่อข้าแล้ว ได้โปรดอย่าจากข้าไป”
หนิงอวี้ดวงตาโค้งยิ้ม น้ำตากลับไหลลงมาอาบแก้มอย่างห้ามไม่อยู่ นางพยักหน้าตอบอย่างระวัง ครั้นแล้วก็ยื่นมือไปโอบรอบเอวเขาแน่น
ตอนที่ 318 หม่อมฉันอยากออกรบ
“หม่อมฉันอยากออกรบ”
เว่ยหยวนสะดุ้งหลังเหยียดตรงทันใด เขาปฏิเสธโดยไม่หันหน้ากลับไปมอง “ไม่ได้ รีบดื่มน้ำขิงเสีย”
หนิงอวี้เผยอปาก ยื่นมือขึ้นมาบีบจมูกแล้วดื่มน้ำขิงหมดในอึกเดียว รสเผ็ดร้อนของขิงสับเสียดทิ่มลิ้นนางจนชา ได้แต่พ่นลมออกปากเบาๆ
จากมุมของนาง สามารถมองเห็นเว่ยหยวนยืนอยู่หน้ากระบะทรายกำลังดูชัยภูมิ วันนี้เขาสวมชุดหนังสีขาว ดูหรูหราอย่างมาก ไม่เหมือนจักพรรดิ แต่เขากลับเหมือนคุณชายผู้มาจากตระกูลคหบดีมั่งคั่ง
หนิงอวี้ลุกขึ้นเดินไปด้านหน้าแล้วโอบรอบเอวเขาเอาไว้ นางพูดขึ้นเสียงเบา “ยุทธการครั้งนี้ หม่อมฉันมิอาจถอยเพคะ” แต่เดิมนางกับบิดาก็เคยไปยังที่แห่งนี้เพื่อออกรบ แม้ว่าบิดาจากตายจากไป แต่นางยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องยืนหยัดที่จะรบสู้
“ข้าไม่อยากสูญเสียเจ้าไปอีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นไปได้เพียงหนึ่งในหมื่น”
หนิงอวี้สังเกตได้ว่าน้ำเสียงเขาบึ้งตึง ก็ชะโงกหน้ามองสีหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ จึงได้พบว่าในแววตาเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หนิงอวี้ยกมือเขาขึ้นช้าๆ สิบนิ้วประสานเข้าด้วยกันแน่น
“นี่คือยุทธการที่เกิดขึ้นเพราะหม่อมฉัน แล้วหม่อมฉันจะปลีกตัวออกมาได้อย่างไรเพคะ”
เว่ยหยวนกุมมือนางแน่น แล้วรวบดึงเข้ามาในอ้อมกอด เขาประทับจุมพิตลงบนหน้านางหนึ่งที
“เจ้าแค่รอก็พอ ที่เหลือให้ข้าเป็นผู้จัดการ”
“หม่อมฉันมิอาจเป็นเพียงนกขมิ้นขนทองอยู่แต่ในกรง” หนิงอวี้ยืนยันหนักแน่น “หม่อมฉันต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสิ่งนี้ หม่อมฉันยืนยัน หม่อมฉันจะต้องปลอดภัย”
หนิงอวี้สังเกตสีหน้าเขา เห็นเขายังคงขมวดคิ้วจึงได้แต่พูดขึ้น “หากพระองค์ไม่ไว้ใจ หม่อมฉันก็จะอยู่แต่ข้างกายพระองค์”
เว่ยหยวนส่ายหน้า เอาแต่กอดคนในอ้อมกอดไว้จนแน่น หนิงอวี้โดนเขากอดรัดจนแทบหายใจไม่ออก ในใจกลับรู้สึกสงบนิ่งอย่างยิ่ง
“หม่อมฉันไม่อยากเพียงซุกอยู่ในอ้อมอกพระองค์ ออกรบกลางสนามรบ คือความหวังของหม่อมฉันมาโดยตลอด ตอนแรกพวกเราก็สัญญากันแล้ว พระองค์จำได้หรือไม่เพคะ”
“บัดนี้ไม่เหมือนวันวาน เจ้ากำลังมีครรภ์”
หนิงอวี้ยื่นมือไปลูบท้องน้อย มุมปากยกยิ้มอย่างห้ามมิได้
“ไม่เป็นอะไรเพคะ หม่อมฉันคอยอยู่แนวหลังวางแผนก็ได้”
พักใหญ่ เว่ยหยวนก็พยักหน้าช้าๆ หนิงอวี้เขย่งปลายเท้า จุมพิตเบาๆ ไปบนมุมปากเขา เฉียดผ่านเบาๆ ราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ
“หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์เป็นห่วงหม่อมฉัน หม่อมฉันจะระวังตัวให้ดีเพคะ”
“อืม”
เว่ยหยวนรับคำ สีหน้ายังคงบึ้งตึง
หนิงอวี้รู้ดีว่าในใจเขาขุ่นเคือง ทันใดนั้นมุมปากก็ยกยิ้มน้อยๆ ยื่นมือขึ้นไปจักจี๋รักแร้เขา เว่ยหยวนไม่ทันระวังตัว พอรู้สึกตัวก็กันการจู่โจมไม่ทัน
“ฮ่าๆๆ…เล่นเหลวไหลอีกแล้ว…ฮ่าๆๆ…หยุดนะ! หนิงอวี้! ฮ่าๆๆ…”
——
หนิงอวี้แหวกม่านเดินเข้าไปในกระโจม ชั่วพริบตา เสียงถกเถียงหารือทั้งหมดก็เงียบลงพลัน หนิงอวี้สีหน้าเคร่งขรึม เดินไปบนผืนพรมแดงแล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลง
“หนิงอวี้ถวายบังคมฝ่าบาท”
เว่ยหยวนพยักหน้าอย่างนิ่งเฉย
“นายพลหนิง นั่งสิ”
หนิงอวี้กล่าวขอวคุณแล้วเดินไปยังที่นั่ง เหลียวมองไปรอบด้านจึงพบว่ามีเพียงที่นั่งนางเท่านั้นที่ปูรองด้วยเบาะกำมะหยี่
ผู้คนที่นั่งอยู่สีหน้าซับซ้อนยากจะคาดเดา พวกเขาจากเมืองหลวงมาไกล ชุมนุมกัน ณ ที่แห่งนี้สาเหตุทั้งหมดก็เพื่อคนผู้นี้ แต่การตัดสินใจอันหน้าขบขันที่สุดในปฐพีเช่นนี้กลับเป็นโอกาสเดียวที่ราชวงศ์ใต้จะยึดครองราชวงศ์เหนือได้ หนำซ้ำ คนผู้นี้ก็คือบุตรีเพียงคนเดียวของขุนพลหนิง
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนแคลงใจใจที่สุดนั้นคือ นางรอดกลับมาจากราชวงศ์เหนือย่างปลอดภัย…ทั้งยังพาเอาลูกในครรภ์กลับมาด้วย ใครๆ ก็รู้ว่ามู่หรงเหยียนรัชทายาทแห่งราชวงศ์เหนือ เคยประกาศต่อใต้หล้าว่าจะแต่งตั้งนางเป็นชายารอง
คิดไม่ถึง ว่าฮ่องเต้กลับทรงไม่แยแสแม้แต่น้อย มิต้องพูดถึงว่าทรงโปรดนางมากเพียงใด ซ้ำยังลงโทษหญิงงามต่างแดนทั้งสองที่คิดยั่วยวนพระองค์ หรือแม้กระทั่ง ทรงไม่เคยเอ่ยถึงลูกในครรภ์นางเลยแม้แต่น้อย
หนิงอวี้เหลียวมองสีหน้าผู้คนโดยรอบ ก็รู้ว่าในใจพวกเขากำลังคิดสิ่งใด นางรู้สึกอึดอัดน้อยใจเล็กน้อย หนิงอวี้ยื่นมือไปกุมท้องน้อย ก้มหน้าลงไม่พูดจา
เมื่อรู้สึกว่าถูกจับตามอง หนิงอวี้จึงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าเว่ยหยวนส่งยิ้มน้อยๆ มายังตน นางจึงพยายามกระตุ้นจิตใจให้ร่าเริง ยกมุมปากยิ้มตอบกลับไปหนึ่งที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น