บุปผาเคียงบัลลังก์ 310-317
ตอนที่ 310 ประหวั่นพรั่นพรึง
ฮ่องเต้จะอย่างไรก็เป็นฮ่องเต้ เขาคือคนที่กุมอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน มีหรือที่จะยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง
ถึงจะผิดพลาดจริงเขาก็ไม่อาจยอมรับได้เด็ดขาด คนอื่นทำผิดได้แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ไม่ได้ นั่นเพียงเพราะ อำนาจและบารมีที่สูงส่งไร้เทียมทาน
ก่อนนางจะพูดก็ได้ไตร่ตรองแล้วแต่ว่ายังคงพูดออกไป ถึงนางแทบจะไม่มีความมั่นใจ แต่ก็หวังว่าฝ่าบาทจะสงสารนาง สงสารท่านปู่นางที่ชราแล้ว อย่างน้อยก็ให้ท่านได้มีที่อยู่อย่างสงบสบายในบั้นปลาย ไม่ต้องทนทุกข์ยากอยู่ในที่เหน็บหนาวเช่นนั้น
นางก้มหน้าน้อยๆ น้ำตาร่วงพรู หรงจิงที่มีทีท่าโกรธจัด เมื่อเห็นนางหลั่งน้ำตาเช่นนั้นก็เริ่มอ่อนลง
เซียงฉือรู้ดีว่าหากนางโอนอ่อนต่อฝ่าบาท วันหน้าย่อมสามารถขอร้องฝ่าบาทให้อภัยโทษแก่ครอบครัวนางได้
นางไม่ยินยอมให้บ้านสกุลอวิ๋นถูกตราหน้าว่าต้องโทษทุจริตปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบชั่วชีวิต นางไม่อาจทนเห็นท่านปู่ผู้ชราภาพต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงตลอดไป
สำหรับท่านปู่ที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีตลอดมา ชื่อเสียงเกียรติยศย่อมสำคัญกว่าสิ่งใด ความบริสุทธิ์สุจริตย่อมสำคัญกว่าทุกสิ่ง
นางเป็นหลานสาวของปู่ ดังนั้นนางจึงไม่กล้าเป็นเช่นนั้นและย่อมไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น นางจึงได้บังอาจคิดหวังให้ฝ่าบาทพิจารณาพิพากษาคดีนี้ใหม่
แต่นางยังพูดไม่จบฝ่าบาทก็พิโรธแล้ว พิโรธจริงๆ
ทำให้นางไม่กล้าพูดต่อ ได้แต่นิ่งเงียบคอยดูสีหน้าของหรงจิง
หรงจิงเห็นคนร้องไห้มาไม่น้อย หัวเราะก็มาก เขาคิดว่าตนเองชินชาไปแล้ว แต่ไม่คิดว่าเซียงฉือเพียงน้ำตาร่วงเบาๆ ไม่ได้ปล่อยโฮ ไม่ได้คร่ำครวญอ้อนวอนกลับทำให้เขาปวดใจยิ่งกว่า
หรงจิงมือถือพู่กัน ถอนใจ
“เซียงฉือ อย่าได้เรียกร้องให้มากนัก”
“ครั้งนี้ข้าจะถือว่าไม่ได้ยินคำพูดนี้มาก่อน เจ้าควรต้องไปอ่านประวัติศาสตร์ ให้เข้าใจว่าอะไรคือฮ่องเต้ อะไรคือขุนนาง แต่อดีตจวบปัจจุบันนักรบและบัณฑิตที่มีชื่อเสียงรับใช้ฮ่องเต้กันอย่างไร”
เมื่อหรงจิงพูดเช่นนี้ เซียงฉือพยักหน้ายอมรับ หรงจิงไม่อยากเห็นนางอีกจึงพูดขึ้นว่า
“เจ้าออกไปเถอะ คืนนี้ไม่ต้องรับใช้แล้ว”
เซียงฉือถอยออกเงียบๆ แล้วหมุนกายจากไป
หรงจิงอดไม่ได้ต้องถอนใจเบาๆ ถ้วยชาในมือค้างอยู่กลางอากาศ เขามองดูถ้วยชาที่เซียงฉือชงมาให้ มือถือค้างอยู่เช่นนั้นครุ่นคิดอยู่นาน แล้ววางลงโดยแรง
“นางบอกว่าเคยเกลียดมาก่อน บ้านกับเมือง สงสัยว่าในใจของหญิงสาวคนนี้ บ้านคงต้องเป็นลำดับแรก”
หรงจิงไม่ยอมให้ผู้อื่นล่วงรู้ความคิดของเขาอย่างเด็ดขาด เซียงฉือในตอนนี้จึงยิ่งไม่อาจจะรู้ได้
ตอนที่เซียงฉือเดินผ่านตำหนักด้านข้างได้หันกลับไปมองหรงจิง ได้เห็นตอนเขายกถ้วยชาขึ้นแล้ววางลงในที่สุด
ส่วนนางเองบังเกิดความไม่สบายใจเป็นอย่างมาก หวาดหวั่นจนไม่อาจสงบ
นางหันกายอีกครั้งแล้วออกไปจากหน้าตำหนักเจิ้งหยางเงียบๆ เดินกลับไปยังห้องของตน
นางวุ่นวายใจ ในความสับสนอดไม่ได้ต้องหงุดหงิด ทำไมนางไม่บอกว่าไม่เคยเกลียดนะ แต่โบราณมาการปฏิบัติต่อฮ่องเต้ก็เฉกเช่นเดียวกับบิดา ทั้งยังต้องฮ่องเต้ก่อนบิดาทีหลัง นางร่ำเรียนตำราปราชญ์มา สมควรต้องเข้าใจเหตุผลที่ปราชญ์เมธีแต่โบราณถ่ายทอดส่งต่อกันมา
นางนึกถึงตัวอย่างหนึ่งในตำราโบราณขึ้นมาได้
ในตำราว่าฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงเหล่าขุนนาง เมื่อดื่มสุรากันไปสามรอบแล้ว ฮ่องเต้ตรัสถามเหล่าขุนนาง
ฮ่องเต้ถามว่า
‘ถ้าหากข้ากับบิดาของพวกท่านเกิดล้มป่วยลงพร้อมกัน ไม่ว่ายาอะไรก็รักษาไม่หายใกล้ม้วยมรณา แต่ขณะนั้นทุกท่านได้รับยามาเม็ดหนึ่ง ยาซึ่งมีเพียงเม็ดเดียว ทุกท่านต้องเลือกว่าจะให้บิดาหรือว่าข้ากินเพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป ไม่ทราบว่าพวกท่านจะเลือกกันอย่างไร’
เหล่าขุนนางใหญ่พากันอ้างอิงตำราหลักวิชา พากันแสดงความจงรักภักดีเป็นการใหญ่ แม้ว่าจะลำบากใจอย่างยิ่ง แต่ก็ตัดสินใจอย่างไม่คลอนแคลนว่าจะต้องช่วยฮ่องเต้
ฮ่องเต้ฟังเหล่าขุนนางพูดเสียตัวลอย แต่มีขุนศึกคนหนึ่งที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้น
ตอนที่ 311 พลิกแพลง
ฮ่องเต้เห็นขุนนางใหญ่คนนั้นไม่พูดไม่จาอยู่นานรู้สึกสงสัยจึงได้ตรัสถาม ซึ่งเขาตอบว่า
‘กระหม่อมย่อมต้องช่วยบิดา นี่ยังจะมีอะไรต้องคิดมากอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ’
เขาเป็นคนเถรตรงและเป็นขุนนางสุจริต กับคำตอบของเขา บอกไม่ได้ว่าฮ่องเต้พอพระทัยหรือไม่พอพระทัย
ในตอนนั้นฮ่องเต้องค์นั้นเพียงถามขึ้นเรื่อยเปื่อยและไม่ได้คิดลงโทษเขาด้วยเรื่องนี้
แต่หลังจากนั้นอีกหลายปี คำพูดนี้ยังคงเป็นเงามืดอยู่ในพระทัยของฮ่องเต้และเพราะเขาถูกย้ายมาเป็นทหารรักษาพระองค์ ทำให้ฮ่องเต้มักนอนไม่หลับด้วยกลัวว่าจะถูกเขาทำร้าย เมื่อคิดไปคิดมาแล้วจึงเลิกใช้งานขุนศึกคนนั้นอีก
ไม่ว่าใครก็ตามย่อมต้องเกิดปมในใจต่อคำพูดลักษณะนี้ หากปมใจนี้ไม่สามารถคลายออกได้ ซ้ำยังสะสมเพิ่มขึ้นทุกวันก็จะกลายเป็นภัยร้ายแรงที่แฝงเร้นอยู่
โดยเฉพาะคนคนนี้คือหรงจิงที่เป็นคนมีความรู้สึกไว ทำงานด้วยความรอบคอบอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นฮ่องเต้ที่อยู่ในจุดสูงสุดอีกด้วย
เมื่อเซียงฉือคิดถึงจุดนี้แล้วก็ยิ่งกระสับกระส่ายไม่อาจหลับลงได้ นางมองดูดวงจันทร์เศร้าหงอยเบื้องนอก ใจยังร้อนรุ่ม
คำพูดนั้นของนาง พลั้งปากพลาดไปแล้ว นางควรจะแก้ไขอย่างไร
เซียงฉือพลิกตัวมองเห็นโต๊ะหนังสือเบื้องหน้า ในเมื่อนอนไม่หลับก็ลุกขึ้นมาเลียนแบบหรงจิงด้วยการหัดคัดลายมือข้างหน้าต่าง
นางไม่มีเจตนาทำตัวเลียนแบบนาย แต่ทั้งด้านในและนอกของตำหนักเจิ้งหยางนี้ล้วนมีโต๊ะหนังสือตัวหนึ่งตั้งไว้ริมหน้าต่าง เพื่อจะได้อาศัยแสงสว่างที่ส่องเข้ามาจากข้างนอกในตอนกลางวัน เป็นการลดการใช้เทียนส่องสว่างในวัง
ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงเป็นผู้มัธยัสถ์ ทั้งยังมีฮองเฮาที่ทรงพระปรีชาในการจัดการดูแล การวางแผนในลักษณะนี้จึงสามารถปรับใช้ได้อย่างยาวนาน
เซียงฉือคลี่กระดาษ หยดน้ำสองสามหยดลงในจานหมึกแล้วฝนหมึกเบาๆ
ความคิดนางวูบขึ้นมาแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเรื่องนี้ทำให้นางอ่อนล้าไปทั้งกายใจ
น้ำหมึกค่อยๆ เข้มขึ้น เซียงฉือยกพู่กันขึ้นเหนือโต๊ะ แต่ว่าตอนนี้นางไม่รู้ว่าควรเขียนอะไรดี
ฝึกหัดเขียนดีไหม หัดเขียนอะไรดีเล่า หรืออักษรคำว่าสงบดี
พลันเซียงฉือนึกถึงหลังจากที่หรงจิงระเบิดโทสะแล้ว ก็ไปเขียนอักษรตัวนี้กลับไปกลับมาอยู่บนโต๊ะ หรือบางทีอักษรตัวนี้จะช่วยได้กระมัง
นางจึงจรดพู่กันลงมือเขียนอย่างจริงจัง
ลายมือนางงดงามทีเดียว เพราะการพร่ำสอนของท่านปู่ทำให้นางเขียนอักษรได้หลายแบบ อีกทั้งยังรู้วิธีการพลิกแพลงแบบอักษร ที่ผ่านมามักรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจ ตอนนี้นางคิดถึงลายพระอักษรของฮ่องเต้ขึ้นมา ซึ่งเป็นแบบที่นางไม่เคยเขียนมาก่อน
ในรูปแบบตัวอักษรทั้งหลาย นางถนัดอักษรตัวบรรจงและอักษรเสี่ยวจ้วน ส่วนหรงจิงเชี่ยวชาญอักษรสิงซูและอักษรตัวบรรจง
แต่ว่าอักษรตัวครู่ก่อน ไม่ได้เป็นทั้งแบบตัวบรรจงหรือสิงซู เพราะหากจะบอกว่าเป็นตัวบรรจงก็ออกจากตวัดเกินไป แต่หากเป็นสิงซู ก็ดูออกจะตัวกว้างใหญ่เกินไป เซียงฉือคิดมากเกินไปจนสมองเริ่มมึน
นางสะบัดศีรษะเพื่อจะได้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปเสีย จากนั้นจรดพู่กันลงไปเขียนอักษรตัวแรกออกมา
เมื่อลงมือแล้วก็ยากที่จะหยุดจึงเขียนไปเงียบๆ เรื่อยๆ จนไม่รู้สึกถึงเวลาที่ผ่านไป ไม่รู้กระทั่งว่าเขียนได้กี่มากน้อย จนกระทั่งน้ำหมึกเบื้องหน้าเหือดแห้ง กระทั่งมีคนมาเคาะประตู
เซียงฉือรู้สึกสงสัย ใครกันที่มาเคาะประตูในเวลานี้
คิดว่าฝ่าบาทคงมีเรื่องเรียกหาจึงได้ไปเปิดประตู ในวังนี้นอกจากผู้หญิงแล้วก็มีเพียงขันที นางจึงไม่ห่วงว่าบนร่างนางจะสวมเพียงชุดนอนและมีผ้าคลุมอยู่ผืนหนึ่งเท่านั้น
เมื่อประตูเปิดออก มีขันทียืนอยู่คนหนึ่งจริงๆ เซียงฉือกำลังจะเอ่ยปากสอบถาม ก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นที่เบื้องหลังขันทีคนนั้น
เซียงฉือยืนอึ้งไปทันที สีหน้าผุดความไม่เข้าใจอีกทั้งหวั่นเกรง นางตกตะลึง คิดอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก
ตอนที่ 312 แขกผู้มาเยือน
เซียงฉือเปิดประตู ถึงในใจจะยังอึ้งอยู่ แต่นับว่ายังหนักแน่นพอจึงผงกศีรษะให้กับคนที่มา
คนที่อยู่ด้านนอกไม่ใช่ใครอื่นก็คือคนแรกที่บังคับให้นางทำในสิ่งที่นางไม่อยากทำตั้งแต่เข้ามาอยู่ในวัง ใช้ทั้งพระเดชพระคุณ ทำให้นางไม่อาจหลุดพ้นจากแรงดึงดูดและกับดักของฝ่ายตรงข้ามได้
“หวังหมัวหมัว มาเสียมืดค่ำเลย”
เซียงฉือเปิดประตูแล้วทักไปอย่างใจเย็น แต่หวังหมัวหมัวเลิกคิ้ว แสยะยิ้มให้กับเซียงฉือ
วันนี้นางวาดปากแดงเข้ม ยามกลางวันน่าจะดูดีกว่านี้ แต่เพราะแสงในความมืดจึงทำให้แลดูน่าครั่นคร้าม
หรือว่าหวังหมัวหมัวคนนี้จะชื่นชอบเป็นพิเศษกับการแต่งหน้าโดดเด่น พลอยพาให้กุ้ยเฟยชอบการแต่งหน้าเข้มเช่นนี้ไปด้วย
หวังหมัวหมัวเอ่ยปากขึ้นว่า
“ใต้เท้าอวิ๋นไม่พบกันเสียนาน กุ้ยเฟยให้มาเชิญ เตรียมตัวให้เรียบร้อยแล้วตามข้าไปเถอะ”
เซียงฉือมองดูซ้ายขวา วันนี้หวังหมัวหมัวไม่ได้พาองครักษ์มา แต่ข้างๆ ยังมีหมัวหมัวอีกสองคนและขันทีอีกสองคน แต่งขบวนมาขนาดนี้ ลำพังอวิ๋นเซียงฉือตัวเล็กๆ คนเดียวน่าจะรับมือไม่ไหว
นางรู้สึกขึ้นมาในทันทีว่าการไปครั้งนี้จะต้องอันตรายอย่างยิ่ง เกรงว่าเรื่องของเซียงซือกับใต้เท้าเหอจิ่นเซ่อในวันนั้น จะทำให้กุ้ยเฟยรวมนางเข้าบัญชีแค้นไปด้วย
แม้จะอยู่ในช่วงคับขันแต่สมองนางปลอดโปร่ง ตอนนี้นางรู้สถานการณ์ของตัวเองดี หากตามไปแล้ว การถูกดุด่าทุบตีนับว่ายังเบา แต่หากกุ้ยเฟยไม่พอใจขึ้นมาจับนางโยนลงก้นบ่อ ในพระราชวังที่ใหญ่โตนี้ นางซึ่งเป็นเพียงข้าราชสำนักสตรีเล็กๆ ไม่อาจก่อให้เกิดฟองคลื่นอะไรขึ้นได้
เซียงฉือยิ้มกับหวังหมัวหมัว พูดว่า
“ข้าคิดอยู่แล้วว่าหวังหมัวหมัวมาถึงนี่จะต้องเพราะกุ้ยเฟยทรงมีรับสั่งเรียก ข้าไม่อาจชักช้า แต่ขอเข้าไปผลัดเสื้อผ้าก่อนแล้วจะตามหมัวหมัวไปได้หรือไม่”
เซียงฉือพูดแล้วคิดจะปิดประตู แต่ยังไม่ทันที่นางจะปิดก็ถูกมือใหญ่คู่หนึ่งจับดาลประตูไว้แน่น แววตายิ้มแย้มของหวังหมัวหมัวหายไป แต่กลับเย็นเยียบขึ้นมา
เซียงฉือตกใจกลัวแต่พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่แสดงออกมา หัวเราะเบาๆ ถามว่า
“หมัวหมัวจะทำอะไร”
หวังหมัวหมัวมองดูนางอย่างรู้เท่าทันความคิด สายตามองเข้าไปทางด้านหลังเซียงฉือ ไม่เพียงแต่สายตาเท่านั้น ยังขยับเท้าก้าวเข้าไปข้างในอีกด้วย
เซียงฉือตกตะลึง นางคิดจะหนีออกไปทางประตูเล็กของอีกห้องหนึ่งในนี้ เพื่อวิ่งออกไปเรือนด้านหลังเรียกนางกำนัลหรือขันทีสักคนให้ตื่นแล้วไปแจ้งต่อซูกงกงเรื่องนี้ก็จะเรียบร้อย แต่คิดไม่ถึงว่าหวังหมัวหมัวจะเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมรู้เท่าทันความคิดของนาง ถึงกับเดินเข้ามา
เซียงฉือเลิกคิ้วมองหวังหมัวหมัวอย่างโกรธๆ แต่ถึงจะโกรธขนาดนั้นก็ไม่อยู่ในสายตาของหวังหมัวหมัว
นางเดินเตร่เข้าไปในห้อง มองซ้ายแลขวาแล้วเดินไปที่หน้าโต๊ะ เมื่อเห็นลายมือของเซียงฉือก็เปลี่ยนกิริยาเป็นอีกแบบหนึ่ง
“ลายมือใต้เท้าอวิ๋นงดงามดีทีเดียว แต่ช่างน่าเสียดายมือที่มีฝีมือคู่นี้นัก”
หวังหมัวหมัวดูเหมือนทอดถอนใจ แล้วสั่งหมัวหมัวใต้บัญชาทั้งสองว่า
“พาไปทั้งแบบนี้ กุ้ยเฟยไม่ชอบรอใคร”
เซียงฉือตกตะลึง นางถูกหมัวหมัวสองคนจับไว้ พอนางขยับจะร้องเรียกคนก็ได้ยินเสียงหวังหมัวหมัวดังขึ้นที่เบื้องหลัง
“หากเจ้าไม่ต้องการตายอยู่ที่นี่ก็หุบปากเสีย กุ้ยเฟยเพียงมีเรื่องต้องการถามเจ้าเท่านั้น”
เซียงฉือนิ่งอึ้ง นางได้ยินคำพูดหวังหมัวหมัวและเห็นคมมีดวับวาวในมือนางที่จ่ออยู่ช่วงเอวตน ความหนาวเย็นวาบขึ้นกลางหลัง ไม่กล้าพูดอะไรอีกเลย
ตอนที่ 313 ไม่ได้การ
เซียงฉือถูกคุมตัวส่งไปถึงตำหนักอวี้หยวน ทำงานอยู่ในตำหนักมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่รู้เลยว่าในห้องกุ้ยเฟยยังมีห้องเช่นนี้อยู่ด้วย สถานที่มืดมิดไม่ต่างกับห้องคุมขัง มีเพียงโคมไฟข้างกำแพงที่ส่องแสงเรื่อเรือง
เซียงฉือถูกโยนเข้าไปในนี้นางรู้สึกหนาวเย็น ในห้องมีเสียงหนูร้อง ทำให้นางตัวสั่นเทา
สมองคิดคำนวณอย่างว่องไวว่าเหตุใดกุ้ยเฟยจึงทำเช่นนี้ และพระนางคิดจะทำอะไร
หากนางหายตัวไปเฉยๆ ฝ่าบาทจะค้นหานางหรือไม่ แล้วใต้เท้าเหอเล่า
เซียงฉือคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า หากนางหายไป วันรุ่งขึ้นกลับไปไม่ได้แล้วละก็ ก็จะไม่สามารถกลับไปได้อีกตลอดกาล กุ้ยเฟยเพียงโยนนางลงในสระน้ำที่ไหนสักแห่งแล้วบอกว่านางจมน้ำตาย สำหรับอวิ๋นเซียงฉือผู้น้อยที่ไม่มีอำนาจและอิทธิพลคนนี้ จะมีใครที่จะใส่ใจจริงจังกัน
เมื่อคิดเช่นนี้ทำให้เซียงฉือมองโลกในแง่ร้าย ตอนนี้นางไม่รู้ว่าจะโน้มน้าวกุ้ยเฟยอย่างไร เพื่อให้นางยอมไว้ชีวิต
ความน่ากลัวในความมืดไม่ได้คงอยู่นาน แล้วเซียงฉือก็ได้เห็นกุ้ยเฟยปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้า
“อวิ๋นเซียงฉือ ใต้เท้าอวิ๋น ไก่ป่าที่คิดบินขึ้นยอดไม้ เจ้าคิดว่าติดขนนกยูงเข้าไปไม่กี่เส้นก็จะกลายเป็นหงส์แล้วสินะ ถึงกับกล้าล้อเล่นกับข้าเช่นนี้”
เซียงฉือได้ยินคำพูดกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยการกล่าวโทษก็รีบคุกเข่าลง สถานะนางเป็นเพียงขุนนางขั้นที่เก้า ตามกฎบัญญัติแล้ว ขณะนี้จินกุ้ยเฟยดูแลวังหลังแทนฮองเฮาชั่วคราว นับเป็นผู้มีตำแหน่งใหญ่ขั้นที่หนึ่ง ส่วนนางเป็นเพียงขุนนางต๊อกต๋อยขั้นที่เก้า และเพิ่งถูกฝ่าบาทลดขั้นลงมาเป็นขั้นที่เก้าชั้นโทเมื่อไม่กี่วันก่อน
แย่ยิ่งกว่าขุนนางต๊อกต๋อยเสียอีก ยิ่งอยู่ต่อหน้ากุ้ยเฟยยิ่งเล็กเสียจนสุดเปรียบ แต่นางไม่กล้ามีคำพูดคับแค้นแต่อย่างไร
นางคุกเข่าลงพรึบแล้วโขกศีรษะสามครั้งจึงได้พูดโต้ตอบ
“เหตุใดกุ้ยเฟยตรัสเช่นนี้เพคะ สิ่งที่หม่อมฉันได้มาล้วนแต่เป็นเพราะพระองค์ประทานให้ หม่อมฉันไม่กล้าอกตัญญูต่อพระองค์ แต่ไม่ทราบว่าหม่อมฉันบังอาจล้อเล่นกับพระองค์ตั้งแต่เมื่อไรเพคะ คงจะเข้าพระทัยสิ่งใดผิดหรือไม่เพคะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดกุ้ยเฟย สมองเซียงฉือต้องคิดกลับไปมาหลายรอบ จะว่าเป็นเรื่องของเซียงซือแต่นั่นก็ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนแล้ว หากกุ้ยเฟยมีอะไรไม่พอใจ โดยนิสัยของนางคงจะเกิดเรื่องขึ้นนานแล้ว
ไม่รู้ว่าครั้งนี้มีเรื่องอะไรที่ไปยั่วยุนางเข้า เซียงฉือรู้สึกว่าคำพูดนางในตอนนี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เซียงฉือคิดย้อนกลับไป ได้ยินเสียงกุ้ยเฟยพ่นลมเย็นพรืด ทำให้นางไม่กล้าคิดมากแล้วพูดอย่างจริงใจ
“หม่อมฉันเข้าวังมาไม่นานนัก แต่เดิมเป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยในโรงซักล้าง แต่เพราะกุ้ยเฟยทรงเมตตารับเข้าตำหนักอวี้หยวน หม่อมฉันจึงไม่ต้องเป็นคนรับใช้ในหมู่คนรับใช้อีก ดังนั้นจึงเคารพกุ้ยเฟยอย่างยิ่งตลอดมา พระกรุณาธิคุณของพระองค์มีแก่หม่อมฉันนับไม่ถ้วน หม่อมฉันย่อมไม่กล้าล้อพระองค์เล่นอย่างเด็ดขาด ขอพระองค์ทรงวินิจฉัยด้วยเถิดเพคะ”
เซียงฉือยืดตัวตอบกุ้ยเฟยอย่างนอบน้อมและถ่อมตัวอีกทั้งลนลานยิ่ง สายตานางมองไปยังหวังหมัวหมัวที่ด้านข้าง ตอนนี้ในห้องมีเพียงกุ้ยเฟยกับหมัวหมัวสามคนและขันทีอีกสองคน ไม่เห็นหลิ่วเหยียนกับหลิ่วจุ้ยที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายกุ้ยเฟย
เซียงฉืออดหวาดหวั่นมิได้ เดิมหวังว่าหลิ่วจุ้ยจะช่วยพูดให้นางได้บ้าง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แสดงว่าตลอดมาที่กุ้ยเฟยเชื่อถือนั้นไม่ใช่พวกนาง
คิ้วเรียวของกุ้ยเฟยเลิกขึ้น มองดูเซียงฉือที่คุกเข่าอย่างเชื่อฟังแล้วบันดาลโทสะ
นางชี้จมูกเซียงฉือแล้วพูดอย่างดุร้าย
“ยังกล้ามาต่อปากต่อคำกับข้าอีก ตบปากนาง!”
เมื่อกุ้ยเฟยโกรธ คนเบื้องล่างใครเล่าจะกล้าออมมือ ทันใดนั้นหมัวหมัวสองคนก็เข้าไปจับเซียงฉือไว้
ตอนที่ 314 กุ้ยเฟยสอบความ
เซียงฉือที่มีรูปร่างบอบบางต้องถูกหมัวหมัวที่รูปร่างใหญ่แรงมากสองคนจับตัวไว้ พลังจึงเหมือนดั่งถูกสูบออกไปหมดสิ้น ร่างห้อยอยู่กับแขนของทั้งสองคน
ดวงตากลมงดงามดั่งเมล็ดซิ่งของกุ้ยเฟยจ้องมองเซียงฉือ ส่วนเซียงฉือยังคงไม่เข้าใจว่านางทำอะไรผิด ถึงกับทำให้กุ้ยเฟยรู้สึกเสียหน้าเช่นนี้ ถึงแม้นางกำลังเผชิญอันตรายอยู่แต่ก็ไม่ลนลาน แต่พอเห็นหมัวหมัวข้างหน้าเดินเข้ามาก็ต้องตะลึงงัน
ฉับพลัน เซียงฉือผงะเบี่ยงไปด้านหลังเล็กน้อย หวังหมัวหมัวที่ได้ยินคำสั่งกุ้ยเฟยแต่ไม่เห็นด้วยจึงเข้าไปพูดกระซิบอยู่ข้างหูนาง กุ้ยเฟยจึงได้สะบัดมือ
“แล้วไป ไม่ต้องตบ ข้าไม่อยากได้ยินเสียงร้องเรียกพ่อเรียกแม่ เด็กๆ นำอ่างน้ำเข้ามา”
ในห้องลับที่เดิมมืดสลัวไปทั่วจนเซียงฉือมองเห็นไม่ชัดเจน ขณะนี้เมื่อกุ้ยเฟยเข้ามา แสงไฟรอบทิศก็สว่างขึ้น นางจึงมองเห็นเครื่องมือลงทัณฑ์อยู่เต็มไปหมด ที่นี่คงต้องเป็นห้องลับของกุ้ยเฟย เซียงฉือถูกคลุมศีรษะขณะถูกนำตัวออกจากตำหนักเจิ้งหยาง ระหว่างทางมองไม่เห็นสิ่งใดจึงไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน
ที่นี่ทั้งมืดและหนาวเย็นอย่างยิ่ง หากไม่ใช่ใต้ดินก็คงอยู่ใกล้อุโมงค์น้ำแข็ง หากอยู่ใกล้อุโมงค์น้ำแข็งยังพอจะหาได้ง่าย แต่หากอยู่ใต้ดินละก็ ตอนที่นางมาถูกเคาะศีรษะไปทีหนึ่ง ทำให้มึนงงจนจำอะไรได้ไม่แจ่มชัด
กุ้ยเฟยมองดูเซียงฉือด้วยสีหน้าเย็นเฉียบ
“เจ้าคิดว่าไม่ถูกตบคงเป็นการดีกระมัง ในเมื่อเจ้ากล้าเกาะแกะฝ่าบาทลับหลังข้า เรื่องของเซียงซือในวันนั้นเดิมข้าจะไม่คิดบัญชีเจ้า แต่เจ้าบังอาจคิดอาศัยข้าเพื่อคลานขึ้นแท่นบรรทมฝ่าบาทเหมือนกับนังชั่วซูเฟยคนนั้นสินะ”
เซียงฉือนิ่วหน้าเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เรื่องเป็นมาอย่างไรกัน นางไม่เข้าใจเลย ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ ขณะที่นางยังคงไม่เข้าใจอยู่นั้น ทั้งสายตาและสติปัญญาได้ถูกสิ่งที่สำคัญกว่าบดบังไป
อ่างน้ำถูกยกมาแล้วศีรษะเซียงฉือก็ถูกกดลงไปเหนืออ่าง
นางไม่รู้ว่านี่เจตนาจะทำอะไร แต่ถูกหมัวหมัวสองคนจับตัวไว้ ร่างอยู่ห่างจากผิวน้ำเพียงแค่นิ้วมือเดียว
ถึงเซียงฉือจะดิ้นรนต่อต้าน แต่เรี่ยวแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นไม่เพียงพออะไรเลยเมื่อมีหมัวหมัวร่างใหญ่แข็งแรงสองคนอยู่ข้างหลัง
ใบหน้าของนางถูกจับกดลงน้ำอย่างแรง จมูกสำลักเอาน้ำเข้าไปจำนวนมาก เซียงฉือพยายามอดทนปิดปากไว้แน่นเพื่อจะได้ทนต่อได้อีกสักครู่หนึ่ง
แต่เพียงไม่นานร่างนางก็ดิ้นขัดขืนอย่างบ้าคลั่ง นางเริ่มรู้สึกว่าอากาศในกายค่อยๆ ลดน้อยลง แต่นางกลับดิ้นรนหนักขึ้น กระเสือกกระสนอยู่ครู่หนึ่งแล้ว กุ้ยเฟยก็ส่งสัญญาณให้ลากเซียงฉือขึ้นมา เพราะไม่ได้รับอากาศมาพักใหญ่ พอได้สัมผัสมันเข้าจึงดีใจอย่างยิ่ง
แต่ยังดีใจไม่ได้นานเท่าใด เซียงฉือถูกจับกดน้ำอีกครั้งหนึ่ง
รสชาติเช่นนี้สุดจะทานทน ส่วนกุ้ยเฟยยังคงเป็นทองไม่รู้ร้อนราวกับกำลังชมละครอยู่อย่างออกรส เซียงฉือสำลักน้ำเข้าไปไม่น้อย และในที่สุดสมองก็เริ่มลางเลือนเพราะขาดอากาศ
นางยืนอย่างโอนเอน ดีที่ด้านข้างมีหมัวหมัวสองคนคอยพยุงอยู่ มิเช่นนั้นหากต้องเดินคงต้องหัวคะมำเป็นแน่
เมื่อกุ้ยเฟยเห็นเท้านางซวนเซก็รู้ว่าถึงเวลาแล้วจึงเอ่ยปากขึ้น
“วันนี้ฝ่าบาทพาเจ้าไปทำอะไรมา”
ตอนที่ 315 ลงทัณฑ์
เซียงฉือได้ยินดังนั้น เกิดความเข้าใจขึ้นวูบหนึ่งจึงตอบไปทั้งที่ยังมึนงงอยู่
“ทูลกุ้ยเฟย ฝ่าบาทเพียงให้หม่อมฉันไปคอยรับใช้ที่หอทิงเฟิงเพคะ เพราะหม่อมฉันสามารถดีดพิณได้จึงโปรดให้ไปสร้างความสำราญเท่านั้นเพคะ”
เซียงฉือเรียกสติกลับคืนมาได้หลายส่วน นางย่อมไม่กล้าเอ่ยเรื่องที่นางกับฝ่าบาทอาบน้ำด้วยกันโดยมีเพียงฉากบังลมกั้นไว้ฉากหนึ่งเท่านั้น และยิ่งไม่กล้าบอกว่านางหนุนต้นขาฝ่าบาทหลับสนิทไปด้วย
ตอนนี้นางเพียงหวังให้กุ้ยเฟยยอมเชื่อแล้วอย่าได้ฆ่านาง จะได้เก็บนางไว้ใช้ประโยชน์อีก
เซียงฉือคิดได้เพียงเท่านี้ ส่วนกุ้ยเฟยเหลือบตามองนางแล้วพูดต่อ
“ไม่มีอะไร อะไรก็ไม่มีเลยงั้นหรือ พวกที่มาถึงตำหนักสอบสวนลงทัณฑ์ของข้าแล้วยังไม่ถูกลงทัณฑ์จะเป็นเช่นนี้ทุกคน ราวกับคนไม่กลัวตาย แต่ข้ายังไม่เคยเห็นใครสามารถทนปากแข็งอยู่ได้ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาด คิดไม่ถึงว่าจะโง่เหมือนกับพวกที่ตายไปพวกนั้น”
กุ้ยเฟยพูดแล้วก็ส่งสัญญาณให้หมัวหมัวข้างกายสองคนอีกครั้ง พวกนางเคลื่อนกายออกไปทันที เตรียมตัวจับเซียงฉือกดลงอ่างน้ำ
เซียงฉือไม่ทันระวังตัวจึงสำลักน้ำลงท้องไปอีกหลายอึกอย่างรวดเร็ว ทั้งจมูกและปากล้วนกรุ่นไปด้วยกลิ่นไม่พึงประสงค์
สมองของนางเข้าสู่ภาวะคิดอ่านไม่ได้อีกครั้ง ต่อเมื่อรู้ว่านางใกล้หมดลมจึงปล่อยนางขึ้นมาใหม่
หมัวหมัวพวกนั้นคลายมือออก ร่างของเซียงฉือก็อ่อนระทวยทรุดลงกับพื้นอย่างหมดสภาพ หมอบอยู่เบื้องหน้ากุ้ยเฟย สมองมีแต่เสียงดังหึ่งๆ
เซียงฉือเจ็บปวด ทั้งน้ำตาและน้ำที่ดื่มเข้าไปต่างหยดลงไปบนพื้น
กุ้ยเฟยอยู่เบื้องหน้านาง เห็นสภาพนางแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นมองดูอย่างชอบใจ
“คิดหรือว่าพอไปอยู่ข้างกายฝ่าบาทแล้วทุกอย่างจะโชคดีไปหมด อย่าลืมกำพืดที่แย่เสียกว่าพวกชาวบ้านต่ำต้อยของเจ้าเสียล่ะ”
“ชีวิตนี้เจ้าอย่าได้หวังเลยว่าจะได้เป็นพระสนม ปู่เจ้าเป็นนักโทษแผ่นดิน ฝ่าบาททรงสั่งเนรเทศครอบครัวเจ้า เจ้ามันก็แค่หญิงถ่อย มีหรือที่ฝ่าบาทจะไม่ระวังเจ้า ยังจะกล้าคิดฝันเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นนี้อีก”
“อย่าหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะได้ยกฐานะขึ้นเป็นหงส์บนยอดไม้เลย!”
กุ้ยเฟยยกเท้าขยี้ลงบนมือเซียงฉืออย่างแรง
สิบนิ้วนั้นเชื่อมถึงใจ ความเจ็บปวดนี้ ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถทนได้
เซียงฉือร้องสะอื้น น้ำตาหลั่งลงบนพื้นไม่ขาดสาย
บนพื้นหยกมรกต น้ำตาของนางหยดลงไปกระทบกลายเป็นหยาดที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ความเจ็บปวดเช่นนั้นทำให้นางขบริมฝีปากล่างจนเลือดไหลซึม แต่ก็ไม่ยอมเปล่งเสียงให้เล็ดลอดออกมา
หากนางไม่หัวแข็งเช่นนี้ ด้วยวาทศิลป์ของนางแล้วคงไม่ต้องทนรับความทรมานขนาดนี้ แต่ว่าท่านปู่ นางถึงกับกล้าว่าท่านปู่นางแบบนั้น ท่านปู่ที่นางเคารพศรัทธาที่สุด นางกล้าดียังไง ถึงกับกล้าหมิ่นท่านเพียงนี้
เซียงฉือแค้น แค้นใจยิ่งนัก
นางไม่โต้ตอบ ไม่ได้หมายความว่านางยอมรับผิด แต่นางกำลังอดกลั้น เพื่อไม่ให้ตนเองโต้ตอบหยามหยันออกไป ไม่ไปรนหาที่ตายแบบนั้น
นางนึกเวทนาจนต้องหัวเราะเยาะตนเอง ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว ยังจะชูคอยืดอก เสแสร้งแกล้งทำตัวสูงส่งอยู่อีกหรือ
แต่ไรมานางรังเกียจคนประเภทนี้ที่สุดมิใช่หรือ แล้วเหตุใด เหตุใดนางจึงมาเป็นเสียเองเล่า
นางอดกลั้น เพราะนางเคียดแค้น
นางลอบกำมือแน่น กดใจตนเองไว้อย่างรุนแรง นางจะไม่หลั่งน้ำตาอีก ในพระราชวังนี้ นางรู้อยู่แต่แรกแล้วว่ามีอันตรายแฝงอยู่มากมาย แต่ไม่คิดว่าคนที่อยู่ข้างในนี้ล้วนราวกับสิงสาราสัตว์
ต่อให้เจ้าไม่เข้าไปข้องเกี่ยว แต่เพียงพวกมันไม่พอใจก็แว้งกัดเจ้าจนกลายเป็นเศษซากได้
นางไม่ยินยอม!
ตอนที่ 316 ผูกปมแค้น
เซียงฉือก้มหน้าไม่พูดอะไรอยู่นาน กุ้ยเฟยเหยียบนิ้วมือนาง ตอนนี้นิ้วเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ใบหน้าที่แดงก่ำ ใครเห็นเข้าก็รู้สึกเจ็บปวดไปด้วย แต่เซียงฉือกลับไม่ร้องสักแอะ
หวังหมัวหมัวเห็นแล้วก็ดึงกุ้ยเฟยไว้ แล้วคอยปลอบเตือน
“กุ้ยเฟยเพคะ อย่าทรงทำให้เสียการใหญ่เพราะความพิโรธในครั้งนี้เลยเพคะ นายท่านที่บ้านสั่งไว้…”
กุ้ยเฟยได้ฟังคำเตือนของหวังหมัวหมัวแล้วจึงผ่อนแรงที่เท้าลง แล้วค่อยๆ เคลื่อนเท้าดอกบัวทองของนางออกจากมือของเซียงฉือ
ส่วนเซียงฉือก็เพราะได้ยินคำเตือนของหวังหมัวหมัวนั้น คนทุกคนล้วนปรารถนามีชีวิตยืนยาวต่อไป นางก็เช่นกัน ทำให้ได้คิดอย่างกระจ่าง นางจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะต้องมีชีวิตจึงจะมีความหวัง
กุ้ยเฟยถอนเท้าออกจากมือของเซียงฉือ แต่ในขณะต่อมาก็ยันเท้านั้นไปบนอกนาง เตะจนนางล้มเอียงลงไปข้างหนึ่ง
“โอ๊ย!”
เซียงฉือไม่ทันรู้ตัว กุมหน้าอกไว้ นอนอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบแล้วร้องออกมาด้วยความตกใจ
นางเจ็บปวดบริเวณหน้าอกราวกับเกิดการฉีกขาด แต่นางกัดฟันแน่นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา บอกตัวเองว่าจะต้องไม่เป็นไร
ถึงจะเป็นข้าราชสำนักสตรีแล้ว แต่ในสายตาของจินกุ้ยเฟยอย่างไรก็ยังเป็นคนรับใช้ จะมีตัวตนอยู่หรือไม่ก็ไม่สนใจ จะตบตีฆ่าให้ตายก็ได้ตามอารมณ์
พอได้ทำเช่นนี้แล้วกุ้ยเฟยจึงคลายโทสะลงบ้าง นางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหลังแล้วมองเซียงฉือด้วยสายตาเยือกเย็น
‘เชอะ นางเป็นตัวอะไร ข้ายังต้องไปอ้อนวอนต่อนางด้วยหรือไร’
เซียงฉือหมอบยิ้มหยันอยู่บนพื้น จินกุ้ยเฟย ปมแค้นของพวกเราในวันนี้ เจ้าได้เพาะมันขึ้นแล้ว
เซียงฉือคิดในใจอย่างดุดัน แล้วพยายามยันตัวลุกขึ้น
นางส่งเสียงไออย่างไร้เรี่ยวแรง หน้าอกถูกเท้านั้นถีบจนเจ็บปวด แม้จะหายใจยังต้องระมัดระวัง
กุ้ยเฟยพูดจาอำมหิต แต่เซียงฉือดูจากท่าทางของหวังหมัวหมัวแล้วก็รู้ว่าทั้งหมดเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงการระบายอารมณ์ที่อัดอั้นไว้ในช่วงนี้ของกุ้ยเฟยจึงเจตนาลงมือกับนาง
แต่ในความเป็นจริง วันนี้พวกนางเพียงมีคำพูดที่จะบอกกับเซียงฉือและให้นางไปปฏิบัติ
เมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงเลิกหวั่นเกรง เพราะว่านางมีไพ่ตายดังนั้นจึงบังเกิดความกล้าขึ้น
เซียงฉือในตอนนี้มีความกล้าขึ้นอีกมาก ในเมื่อยังคงมีชีวิตอยู่แล้วนางยังจะเกรงกลัวอะไร
หวังหมัวหมัวเห็นเซียงฉือเป็นพวกหัวแข็ง แต่ท่าทางยังคงโอนอ่อนจึงหมายว่าเซียงฉือในตอนนี้ยังคงเป็นเด็กในโรงซักล้างเมื่อวันวานคนนั้น
เพียงนางพูดอะไรก็ได้ไม่กี่คำก็สามารถหลอกและกล่อมได้สำเร็จ แต่ในตอนนี้เซียงฉือรู้เสียแล้วว่าหวังหมัวหมัวเป็นคนแบบไหน นางถึงดูเข้มแข็งแต่แท้จริงขี้ขลาดตาขาว เป็นประเภทแข็งนอกอ่อนใน
หลายปีมานี้หวังหมัวหมัวอาศัยความรักและไว้วางใจจากบ้านสกุลจินกับจินกุ้ยเฟย ทำให้พอมีฐานะอยู่บ้างในวังหลวงนี้ ทั้งยังมีอำนาจมากกว่าข้าราชสำนักสตรีบางจำพวกเสียอีก แต่ว่านางมีความผิด ฐานละโมบละเมิดกฎหมาย รับสินบน ทำร้ายนางกำนัลจนตาย ลงทัณฑ์โดยพลการ หากเพียงมีคนลงไปตรวจสอบ ถึงนางจะเพิ่มปากมาอีกหนึ่งปากก็ไม่สามารถแก้ตัวได้
เรื่องราวมากมายในวังนี้ ไม่มีคำว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง สิ่งสำคัญนั้นขึ้นอยู่กับว่าฮ่องเต้ปรารถนาจะให้เป็นถูกหรือผิด
ขณะนั้นเซียงฉือเข้าใจเหตุผลนี้ยิ่งขึ้น ตั้งแต่นางได้ฟังเรื่องทำนองนี้มาจากเหอจิ่นเซ่อ ตลอดมาที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทจึงคอยสังเกต และตอนนี้นางกระจ่างแล้วว่าเพราะเหตุใดทั้งกุ้ยเฟยและซูเฟยจึงต่างจ้องตำแหน่งคนที่จะอยู่ข้างกายฝ่าบาทนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
ตอนนี้เซียงฉือรู้แล้ว เพราะนางสามารถรู้ความลับในราชสำนักส่วนหน้า อีกทั้งเป็นหูตาของวังหลัง ถ้าหากฝ่าบาทไว้วางใจนาง นางก็จะมีฐานะเป็นขุนนางใหญ่ข้างกายฝ่าบาทที่ทรงใกล้ชิดและไว้เนื้อเชื่อใจที่สุด ซึ่งไม่มีใครเปรียบด้วยได้
ตอนที่ 317 หวังหมัวหมัว
หวังหมัวหมัวคิดใคร่ครวญอยู่นาน เห็นกุ้ยเฟยของตนโกรธเคืองอยู่เช่นนั้น คิดว่าคงจะลืมเรื่องงานใหญ่ไปเสียสิ้นแล้ว เมื่อกุ้ยเฟยไม่พูด เรื่องพวกนี้ย่อมต้องเป็นนางที่จะพูดขึ้น จึงเริ่มทำลายความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วนในห้องนั้นขึ้นมา
“เซียงฉือ กุ้ยเฟยทรงว่าเจ้าเช่นนี้ก็เพื่อจะให้เจ้าได้ดี แต่ก็ไม่เป็นไปตามพระราชประสงค์ เจ้าต้องรู้นะว่าที่เจ้าสามารถเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรได้ก็เพราะกุ้ยเฟยทรงบ่มเพาะเจ้า เจ้าควรต้องสำนึกและตอบแทนในพระกรุณาธิคุณ อย่าได้มีใจคิดคดทรยศ”
หวังหมัวหมัวเดิมเป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่ง แต่คำพูดที่พูดออกมาตอนนี้ ทำให้เซียงฉืออดที่จะเหยียดหยามไม่ได้
นางรู้จักคิดเห็นแก่หน้ากุ้ยเฟยมาตั้งแต่เมื่อไรกัน นี่จะขอร้องคนแต่ใช้คำพูดเช่นนี้ เห็นนางอวิ๋นเซียงฉือคนนี้เป็นเพียงสุนัขข้างกายจินกุ้ยเฟยตัวหนึ่งจริงๆ หรือ ที่ไม่ว่าจะดุด่าทุบตีดูถูกอย่างไรก็ยังคงจงรักภักดีไม่เป็นอื่นต่อนาง
แต่ถึงเซียงฉือจะรู้เท่าทันความคิดนาง ทว่าในสภาพตอนนี้ เหมือนดั่งอยู่ใต้ชายคาบ้านเขาย่อมมิอาจไม่ก้มศีษะลงต่ำ
เซียงฉือผงกศีรษะเบาๆ ตอบไปช้าๆ
“เจ้าค่ะ หวังหมัวหมัวกล่าวชอบแล้ว”
ดูเหมือนว่าพวกนางจะเห็นนางภักดีอย่างโง่ๆ เกินไปแล้ว อวิ๋นเซียงฉือลักษณะนั้น แม้ตัวนางเองก็ยังไม่รู้จัก
ส่วนจินกุ้ยเฟยในตอนนี้ก็เป็นเพียงหญิงที่เอาแต่คลุ้มคลั่ง เพียงแค่เห็นเซียงฉือก็คิดถึงวันนั้นที่หลิ่วเหยียนไปรายงานนางว่าฝ่าบาทพาเซียงฉือไปยังหอทิงเฟิงด้วย ทำให้นางคับแค้นใจไปตลอดบ่าย ดีที่หวังหมัวหมัวรั้งนางไว้ มิเช่นนั้นนางคงจะให้ตีเซียงฉือจนตายไปแล้ว ไม่มีทางที่จะให้นางได้มาพูดอยู่เบื้องหน้าตนเช่นนี้
หวังหมัวหมัวเห็นจินกุ้ยเฟยที่ข้างกายแล้วก็ได้แต่ปวดหัว ความจริงกุ้ยเฟยบอกกับนางแล้วว่าจะไม่ลงไม้ลงมือกับเซียงฉือ จะคุยกับนางด้วยเหตุผลและซื้อนางด้วยใจแต่พอได้เห็นเซียงฉือเข้าเท่านั้น เรื่องเหล่านี้ก็ถูกกุ้ยเฟยลืมไปไกลสุดขอบฟ้าแล้ว
ถึงแม้หวังหมัวหมัวจะไม่ต้องการให้รูปการณ์ออกมาเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อเจ้านายตนต้องการจะลงโทษข้าราชสำนักสตรีสักคน นางคิดดูแล้วก็ไม่เห็นว่าข้าราชสำนักสตรีคนนั้นจะกล้าโอดครวญขึ้นมา
เพราะในสายตานาง จินกุ้ยเฟยมีฐานะสูงส่งเป็นที่รักใคร่ของฝ่าบาท ขอเพียงให้กำเนิดพระโอรส ย่อมได้กลายเป็นฮองเฮาอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นก็จะได้คุมฝ่ายในทั้งหมด นางที่เป็นเพียงข้าราชสำนักสตรีขั้นที่เก้าเท่านั้น จะถูกตีถูกดุด่าบ้างจะเป็นไรไป
นางมีกำพืดเป็นเพียงคนรับใช้ไม่เคยเป็นเจ้านายมาก่อน ย่อมไม่อาจเข้าใจความคิดของเซียงฉือ เพราะเป็นคนรับใช้จึงรู้แต่ว่าหากเจ้านายจะตีจะด่าอย่างไรย่อมไม่อาจจะโอดครวญได้ ก็ใครใช้ให้พวกนางเกิดมาเป็นคนรับใช้กันเล่า
ที่หวังหมัวหมัวห้ามไว้ก็เพียงเพราะกังวลใจ กุ้ยเฟยเหยียบทำลายมือนาง เรื่องนี้ไม่ดีเท่าไรนัก เพราะจะทำให้มีบาดแผลอยู่บนร่างกายนาง แล้วจะไปรับใช้ฝ่าบาทได้อย่างไร
เซียงฉือได้รับการเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่มาตั้งแต่เกิด ย่อมไม่ยอมให้ตนเองต้องรับความอยุติธรรมเช่นนี้ ดังนั้นทั้งสองคนจึงต่างไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย
หวังหมัวหมัวมองดูท่าทีของกุ้ยเฟยแล้วพูดต่อไป
“ใต้เท้าอวิ๋น ตอนนี้ท่านอยู่ข้างกายฝ่าบาท ด้วยสติปัญญาของท่านคงต้องรู้เรื่องราวของบ้านสกุลจินจากราชสำนักฝ่ายหน้าได้เป็นแน่ กุ้ยเฟยทรงกังวลเรื่องเก่าของบ้านทางมารดา หวังว่าใต้เท้ารู้แล้วจะไม่อมพะนำไว้”
หวังหมัวหมัวกำลังทำเรื่องชั่วแต่แสร้งทำเป็นคนประเสริฐ เห็นอยู่ว่าต้องการจะรู้เจตนาของหรงจิงจากเซียงฉือ แต่ยังคงจงใจทำพูดอ้อมค้อม เซียงฉือติดตามอยู่ข้างกายฝ่าบาททุกวัน ถึงจะไม่จดจำอะไรจริงจัง แต่มีหรือที่นางจะดูเรื่องบางเรื่องไม่ออก
แต่สิ่งที่นางได้รู้เห็น เหตุใดต้องมาบอกกับพวกนางด้วยเล่า
อีกทั้งคืนนี้ตอนที่ออกจากตำหนักหน้าเจิ้งหยางนางได้พบกับซูกงกงเข้า ทำให้นางเข้าใจอย่างกระจ่างแล้วว่าเพราะเหตุใดฝ่าบาทจึงได้พิโรธเป็นฟืนเป็นไฟในวันนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น