หวนแค้นชะตารัก 310-313

 ตอนที่ 310 ถึงเวลาที่จะอยู่อย่างมีความสุข


 


ซูจิ่วซือเข้าใจความหมายที่เฟิ่งอวิ๋นหล่างตรัส วันนี้จึงเป็นโอกาสดีที่สุดที่จะทูล นี่เป็นโอกาสที่ซูเหลียงอินเอาชีวิตเข้าแลก นางต้องอาศัยเรื่องนี้มาทำให้ซูเหวินถูกขับออกจากจวนอันผิงโหว


 


 


เหตุการณ์ผ่านมานาน ไม่มีหลักฐานจริงๆ นี่เป็นเหตุผลที่นางไม่ได้ลงมือจนกระทั่งบัดนี้ เดิมทีนางอยากจะทำลายครอบครัวของซูเหวินทีละน้อย เป็นการแก้แค้นแทนซูหมิง


 


 


เวลานี้เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงจัดการด้วยพระองค์เอง นางรู้ดี เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องใช้หลักฐาน แค่อาศัยพระดำรัสของเฟิ่งอวิ๋นหล่าง


 


 


เมื่อก่อนซูเหวินเป็นลุงแท้ๆ ของกู้เฝิ่นไต้ เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงโปรดปรานกู้เฝิ่นไต้ ย่อมไม่อาจจัดการกับซูเหวิน เวลานี้กู้เฝิ่นไต้ตายแล้ว วันเวลาอันแสนสุขของซูเหวินควรจะสิ้นสุดลง


 


 


“ฝ่าบาท ตอนที่ท่านพ่อตาย หม่อมฉันอายุยังน้อย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


เมื่อสองสามปีก่อนในวันครบรอบการตายของท่านพ่อ ท่านแม่ได้พาข้าไปคารวะท่านพ่อ และพูดถึงเหตุการณ์ในอดีต


 


 


ท่านแม่บอกว่าท่านพ่อตายเพราะถูกวางยา และเป็นยาพิษชนิดเดียวกับที่วางยาท่านป้า


 


 


ท่านป้าไม่ได้ติดโรคมาจากท่านพ่อ แต่ถูกวางยาพิษ หลายปีผ่านไปท่านพ่อก็ถูกวางยาพิษชนิดเดียวกัน


 


 


ท่านพ่อเคยสงสัยเรื่องนี้มาก่อน เคยตรวจสอบ แต่ยังไม่ทันตรวจสอบชัดเจนก็ตาย ท่านแม่เสียใจที่ไม่มีหลักฐาน จึงได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ อยากให้ข้าจดจำสาเหตุการตายของท่านพ่อ


 


 


หลังจากท่านพ่อตาย อารองก็สืบทอดจวนอันผิงโหวอย่างราบรื่น พอท่านปู่ตาย ก็ไล่พวกหม่อมฉันออกจากจวนอันผิงโหว คนที่วางยาพ่อข้าเป็นใคร จึงแน่ชัดอยู่แล้ว”


 


 


ซูจิ่วซือพูดอย่างราบเรียบ ช้าๆ นี่เป็นความจริงในเวลานั้น แม้ไม่มีหลักฐาน แต่ก็ไม่ได้ใส่ร้ายซูเหวิน


 


 


ซูเหวินเริ่มร้อนใจ รีบปฏิเสธ “กระหม่อมถูกใส่ร้าย ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่มีหลักฐาน กระหม่อมกล้าสาบานต่อฟ้า ไม่ได้ทำร้ายพี่ชายแน่นอน


 


 


เวลานั้นพี่สะใภ้กลัวว่าถ้าอยู่ที่เดิมจะคิดถึงท่านพี่ จึงอยากออกไปจากจวนอันผิงโหว


 


 


ข้าพยายามขอร้องให้อยู่ต่อแต่ไม่ได้ผล จึงให้พี่สะใภ้พาลูกออกไปจากจวน และเคยบอกพี่สะใภ้ไว้ว่า ถ้าพี่สะใภ้อยากกลับมาเมื่อไรก็กลับมาได้ ต่อมาพี่สะใภ้คิดตก กระหม่อมก็ยังรับครอบครัวพี่สะใภ้กลับ”


 


 


ซูจิ่วซือยิ้มหยัน ซูเหวินช่างหน้าด้านจริงๆ คำอย่างนี้ก็พูดออกมาได้


 


 


“อารอง ตอนที่ออกจากจวนอันผิงโหวข้าอายุแปดขวบแล้ว ไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ประสา แม่ข้าไม่เคยพูดว่าอยากออกไปจากจวนอันผิงโหว และยังขอร้องอารองว่าอย่าขับไล่พวกข้าไป


 


 


อารองไล่พวกข้าออกจากจวนเอง บอกว่าตั้งแต่นี้ไปจวนเป็นของอารองแล้ว เรื่องนี้ข้าจำได้อย่างชัดเจน อารองทูลฝ่าบาทอย่างนี้ไม่รู้สึกละอายใจหรือ”


 


 


ซูเหวินไม่รู้ว่าเฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงหมายความว่าอย่างไร ในใจแม้จะวิตก แต่สีหน้ายังคงสงบ ปฏิเสธอย่างจริงจัง “เป็นการใส่ร้าย ฝ่าบาท กระหม่อมทูลเป็นความจริงทั้งหมด เด็กคนนี้ใส่ร้ายกระหม่อม คำพูดของนางเชื่อถือไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างไม่ตรัส ทรงเคาะโต๊ะชาเบื้องพระพักตร์ ราวกับทรงครุ่นคิด ทั่วท้องพระโรงเงียบสงัด บรรดานางกำนัลต่างก้มหน้ารอ อยู่ข้างๆ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงแม้เพียงเล็กน้อย ระยะนี้วังในไม่สงบจริงๆ


 


 


ซูจิ่วซือก้มหน้านิ่ง ในใจมีแผนการไว้แล้ว คราวนี้ซูเหวินหนีไม่พ้นแน่


 


 


“ก่อนหน้านี้เราได้ยินเรื่องที่นางฟางข่มเหงจิ่วซือ ถ้าบอกว่าพวกเจ้าไล่ครอบครัวฮูหยินซู เราเชื่ออย่างนี้ นางฟางเคยทำจริงๆ


 


 


เหตุการณ์เมื่อก่อนไม่มีหลักฐาน เราไม่ได้เชื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จึงไม่ได้สืบถาม”


 


 


 


 


——


 


 


ตอนที่ 311 สละบรรดาศักดิ์อันผิงโหว


 


 


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงชะงัก แล้วตรัสเรื่องอื่นทันที “ซูเหวิน เจ้าเองก็อายุมากแล้ว ตำแหน่งจวนโหวควรสืบทอดให้คนหนุ่ม ตามหลักเหตุผล ซูเหิงสมควรสืบทอดจวนโหวต่อไป เขาเป็นผู้สืบทอดสายตรง บัดนี้ก็โตแล้ว สามารถสืบทอดตำแหน่งโหว ซูเหวิน เจ้ามีความเห็นอย่างไร”


 


 


สีหน้าซูเหวินแข็งทื่อ นี่เป็นเรื่องภายในของจวนอันผิงโหว เฟิ่งอวิ๋นหล่างไม่ควรยุ่งเกี่ยว นี่เป็นข้อตกลงที่รู้กันระหว่างเจ้ากับขุนนาง


 


 


แต่ครั้งนี้เฟิ่งอวิ๋นหล่างทำผิดปกติเกินไป ซูเหวินไม่อาจโต้แย้งได้เลย ซูเหิงเป็นผู้สืบทอดสายตรงจริงการที่เขาสืบทอดตำแหน่งจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม  


 


 


ซูเหวินจะตอบปฏิเสธได้หรือ เขาได้แต่บากหน้าทูลว่า “ที่ฝ่าบาทตรัสนั้นมีเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอายุมากแล้ว เดิมก็ตั้งใจจะให้ซูเหิงเป็นผู้สืบทอดจวนอันผิงโหว จึงให้ซูเหิงกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ซูจิ่วซือยังคงยิ้มหยัน ถึงตอนนี้ซูเหวินยังไม่ลืมที่จะยกตัว


 


 


นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีหลักฐาน นางเองก็ไม่คาดหวังว่าเฟิ่งอวิ๋นหล่างจะลงโทษซูเหวินจริงๆ ถึงอย่างไรซูเหวินก็เป็นขุนนางราชสำนัก ถ้าลงโทษเขาทันทีทันใด อาจจะเกิดข้อครหา ระยะนี้เมืองหลวงเกิดเรื่องมากพอแล้ว


 


 


“ซูเหิงเฉลียวฉลาด เราชอบเขา ซูเหวิน เจ้าเองก็ควรกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบที่บ้านเกิด”


 


 


นี่เป็นการตรัสเป็นนัยให้เขาขอเกษียณกลับบ้านเกิด ซูเหวินไม่มีเหตุผลที่จะไม่ปฏิบัติตาม เขารู้ดีว่าเขาและซูเหมยหมดอำนาจแล้ว ขืนอยู่ต่อไปเกรงว่าจะถึงแก่ชีวิต รีบเกษียณกลับไปบ้านเกิดก็ดี อย่างน้อยก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้


 


 


เขากราบถวายบังคม “ฝ่าบาทตรัสถูกต้องอย่างยิ่ง กระหม่อมเองก็มีความคิดเช่นนี้ ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เจ้ากลับไปเถอะ! เรายังมีเรื่องจะกำชับองค์หญิงอันผิง”


 


 


“กระหม่อมถวายบังคมลาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ซูเหวินลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากเย็น พอพ้นจากประตูนี้แล้ว  เขาก็ไม่ใช่อันผิงโหว เกียรติยศความมั่งคั่งที่มีอยู่ถูกลูกสาวของซูหมิงแย่งชิงไปหมด สิ่งที่เขาเคยทุ่มเทไขว่คว้ามา สุดท้ายยังคงกลับไปอยู่ในมือของซูหมิง


 


 


มาถึงขั้นนี้แล้ว จำเป็นต้องขัดขวางซูฉี ไม่ไห้เล่นงานซูจิ่วซืออีก ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจบชีวิต บัดนี้เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงยืนอยู่ข้างซูจิ่วซือแล้ว


 


 


“จิ่วซือ ระงับความเศร้าโศกด้วย เรารู้ว่าน้องสาวเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม นางตายเพราะช่วยชีวิตชิงเฉิง เราจะจัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่


 


 


เราคืนบรรดาศักดิ์แห่งจวนผิงอันโหวให้ซูเหิงแล้ว ถือว่าเป็นการปลอบขวัญดวงวิญญาณของซูเหลียงอินบนสวรรค์ น่าเสียดายจริงๆ ไม่อาจจัดพิธีศพอย่างสมเกียรติได้ แต่เราจะไม่ทำให้นางน้อยเนื้อต่ำใจ เราจะให้คนเคลื่อนศพนางไปฝังที่นอกเมืองหลวง เรื่องงานศพให้เจ้ากับซูเหิงจัดการเถอะ อย่าให้เอิกเกริก”


 


 


ซูจิ่วซือก้มหน้า สีหน้าเศร้าหมองชัดเจน “เหลียงอินจิตใจดีงาม กุ้ยเฟยประสบอันตราย นางยอมช่วยโดยไม่คำนึงถึงชีวิต ฝ่าบาทเพคะ เหลียงอินทิ้งอะไรไว้หรือไม่”


 


 


“นางทิ้งจดหมายเลือดไว้ให้เจ้า”


 


 


ตรัสจบก็ทรงหันมาพยักพระพักตร์ให้หลี่เสิ้งเต๋อซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง หลี่เสิ้งเต๋อเข้าใจทันที รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พับเรียบร้อยออกจากลิ้นชักข้างๆ เดินมาตรงหน้าซูจิ่วซือ ค้อมคารวะแล้วยื่นให้นาง


 


 


ซูจิ่วซือรับผ้าเช็ดหน้า เป็นผ้าเช็ดหน้าของซูเหลียงอิน บนนั้นเขียนข้อความไว้สองบรรทัด “พี่สาว ชาติหน้าค่อยเป็นพี่น้องกันอีก ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ พี่กับพี่รองดูแลตัวเองด้วย”


 


 


ซูจิ่วซือกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ผ้าเช็ดหน้ามีกลิ่นคาวเลือดรุนแรง ทำให้ปวดร้าวใจสุดขีด เบื้องหน้าปรากฏมีภาพใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใส ร้องเรียกพี่สาวอย่างอ่อนหวาน


 


 


ซูจิ่วซือปวดร้าว พยายามข่มใจ ไม่ให้เสียมารยาทเบื้องพระพักตร์เฟิ่งอวิ๋นหล่าง


 


 


“เจ้าไปเยี่ยมชิงเฉิงหน่อย นางโทษตัวเองมาก ไปปลอบใจนาง เราพูดไม่ได้ผลเท่าคำพูดเจ้า” ขณะตรัสถึงประโยคสุดท้าย สีพระพักตร์เฟิ่งอวิ๋นหล่างหม่นหมองอย่างชัดเจน


ตอนที่ 312 กู้ชิงเฉิงโทษตัวเอง


 


 


 


 


ตั้งแต่กู้ชิงเฉิงลืมพระองค์ พระองค์ทรงพยายามทุกวิถีทางเพื่อใกล้ชิดกู้ชิงเฉิง แต่เสียดายที่ได้ผลน้อยมาก ดูเหมือนกู้ชิงเฉิงไม่ได้รักพระองค์ เย็นชาต่อพระองค์มาก ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องของซูเหลียงอิน นางคงไม่มาเข้าเฝ้า


 


 


“เพคะ หม่อมฉันจะไปวังจื่อจิงกง”


 


 


ซูจิ่วซือออกจากวังเจี้ยนจางกง ตรงไปที่วังจื่อจิงกง


 


 


การตายของซูเหลียงอิน ทำให้กู้ชิงเฉิงโทษตัวเองมาตลอด ตั้งแต่ได้ข่าวการตายจนถึงเดี๋ยวนี้ นางยังไม่กินอะไรเลย ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง


 


 


เสี่ยวเหลียนกำลังร้อนใจ พอเห็นซูจิ่วซือมา ก็รีบดึงนางไปนอกห้อง “พระสนม องค์หญิงมาแล้วเพคะ”


 


 


“ให้นางเข้ามาเถอะ!”


 


 


มีเสียงกู้ชิงเฉิงดังจากในห้อง แต่อ่อนแรงมาก


 


 


ซูจิ่วซือผลักประตูแล้วเดินเข้าไป


 


 


ท้องฟ้าข้างนอกมืดครึ้ม ในห้องแสงค่อนข้างมืด กู้ชิงเฉิงอยู่ริมหน้าต่าง นั่งนิ่งไม่ไหวติง


 


 


ซูจิ่วซือไม่ได้คารวะกู้ชิงเฉิง กู้ชิงเฉิงเองก็ไม่ใส่ใจแบบแผนเหล่านี้ นางไม่ได้หันหน้ามา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกกผิด “จิ่วซือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ดูแลเหลียงอินให้ดี เจ้าฝากนางให้ข้าดูแล ข้าไม่ได้คืนนางให้เจ้าดีๆ ข้าทำร้ายนาง”


 


 


ซูจิ่วซือเดินมาที่ข้างหลังกู้ชิงเฉิง “เรื่องนี้ป้องกันไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ชิงเฉิง อย่าโทษตัวเองเลย”


 


 


“กู้เฝิ่นไต้โหดเ**้ยมจริงๆ”


 


 


กู้ชิงเฉิงกัดริมฝีปาก เห็นได้ชัดว่าเคียดแค้นกู้เฝิ่นไต้


 


 


นางลืมเรื่องราวมากมาย แต่กลับจำได้ว่ากู้เฝิ่นไต้ห่างเหินกับนางมากขึ้นทุกวัน แต่จำไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดกู้เฝิ่นไต้จึงค่อยๆ ห่างเหินไป รู้แต่ว่าไม่ใช่พี่สาวน้องสาวกันอีกแล้ว


 


 


“ชิงเฉิง เจ้าเคยตรวจสอบไหมว่ากู้เฝิ่นไต้ออกจากวังเว่ยยางกงได้อย่างไร นางไม่ควรหนีไปได้”


 


 


เฟิ่งหลิงอวี่เป็นคนเห็นเหตุการณ์นี้ เดิมซูจิ่วซือสงสัยเฟิ่งหลิงอวี่ แต่เพราะเป็นเรื่องในวัง นางจึงไม่สะดวกที่จะตรวจสอบ จึงถามกู้ชิงเฉิงโดยตรง นางเป็นพระสนม ตรวจสอบเรื่องนี้ได้ง่าย


 


 


“ข้าให้คนตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เดิมตั้งใจจะบอกให้เจ้ารู้ บังเอิญคืนนั้นตรงกับเทศกาลวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด การรักษาความปลอดภัยในวังหย่อนยาน นางกำนัลส่วนใหญ่ลาพัก ได้รับอนุญาตให้ไปลอยกระทง


 


 


ข้าตรวจสอบพบว่าวันนั้นยามที่รักษาการณ์หน้าวังเว่ยยางกง ก่อนหน้านั้นวันหนึ่งเขาได้ไปที่หอฟังฝน ข้าได้จับยามคนนั้นไว้ บังคับให้เขาสารภาพ เขาปฏิเสธเรื่องนี้ ยืนยันว่าไม่ได้พบองค์หญิงสาม พูดจาหนักแน่นไม่เหมือนโกหก”


 


 


ซูจิ่วซือครุ่นคิด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้สองประการ นั่นคือยามคนนั้นไม่ได้โกหก หรือไม่ก็ไม่กลัวตาย


 


 


กู้ชิงเฉิงเห็นซูจิ่วซือไม่พูดอะไร จึงถามต่อ “เรื่องนี้ เจ้ามีความเห็นอย่างไร”


 


 


“ข้าคิดว่าองค์หญิงสามเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่ นางเกลียดข้า เป็นไปได้ที่จะร่วมมือกับกู้เฝิ่นไต้ คงจะคิดทำร้ายเหลียงอิน


 


 


นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง คือเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับองค์หญิงสาม แต่มีคนจงใจโยงเรื่องนี้ไปยังองค์หญิงสาม เพื่อให้เราไขว้เขว”


 


 


“งั้นเป็นใคร ในวังไม่น่าจะมีคนอย่างนี้”


 


 


กู้ชิงเฉิงสงสัยว่าจะเป็นฝีมือของเฟิ่งหลิงอวี่มากกว่า แต่คิดไม่ถึงว่าองครักษ์คนนั้นจะปากแข็งเช่นนี้


 


 


ซูจิ่วซือนึกถึงคนคนหนึ่ง คือพระสนมโหรว ถ้านางจะทำเรื่องนี้ความจริงทำได้ง่ายมาก ทหารยามขึ้นตรงต่อหลี่ซั่ว แต่นางนึกไม่ออกว่าพระสนมโหรวทำเพื่ออะไร ไม่มีเหตุผลแม้แต่น้อย


 


 


 


 


——


 


 


ตอนที่ 313 เป็นกุ้ยเฟยอย่างแท้จริง


 


 


 


 


พระสนมโหรวกับซูจิ่วซือมีความแค้นต่อกัน แต่กับชิงเฉิงไม่มีบุญคุณความแค้นกัน นางหลงรักหลี่ซั่ว เป็นไปได้ยากที่จะทำร้ายกู้ชิงเฉิงเพื่อชิงความเป็นที่โปรดปราน นางไม่อาจหาเหตุผลที่พระสนมโหรวจะทำเช่นนี้


 


 


ซูจิ่วซือครุ่นคิด แล้วบอกเรื่องของพระสนมโหรวกับหลี่ซั่วให้กู้ชิงเฉิงรู้ ถ้าพระสนมโหรวจะเล่นงานกู้ชิงเฉิงจริงๆ กู้ชิงเฉิงจะได้เอาเรื่องนี้มาเล่นงานพระสนมโหรว


 


 


กู้ชิงเฉิงตะลึงงัน ครู่หนึ่งจึงถามขึ้น “พระสนมโหรวใจกล้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ”


 


 


“ก็เป็นไปแล้ว ชิงเฉิง เรื่องนี้เอามาเล่นงานพระสนมโหรวได้ เจ้าอย่าให้นางรู้ว่าเจ้ารู้เรื่องนี้ นางเป็นคนเล่ห์เหลี่ยมจัด รับมือได้ยาก”


 


 


กู้ชิงเฉิงพยักหน้า นางไม่อยากเป็นพระสนมคนโปรด และไม่เคยคิดที่จะเป็นพระสนมคนโปรด แต่เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงผลักนางขึ้นมาที่ตำแหน่งนี้แล้ว ทำให้นางกลายเป็นกุ้ยเฟยที่ทุกคนจับตามอง มีเรื่องมากมายที่นางไม่อาจทำตัวเป็นคนนอกได้แล้ว


 


 


การตายของซูเหลียงอินทำให้นางนึกโทษตัวเอง นางไม่อยากให้ใครพลอยเดือดร้อนไปด้วย และไม่สามารถวางตัวเป็นคนนอกได้


 


 


วันหลังถ้านางต้องการยืนอย่างมั่นคงในวังใน ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องต่างๆ อย่างที่ผ่านมา  นางไม่กลัวตาย แต่กลัวว่าคนอื่นจะตายเพราะนาง


 


 


จะให้เกิดซูเหลียงอินคนที่สองไม่ได้


 


 


“เจ้าเองก็ต้องระวังตัว จิ่วซือ อย่าให้เกิดเรื่องกับเจ้าอีก”


 


 


ซูจิ่วซือพยักหน้าอย่างหนักแน่น นางยังต้องกลับไปจัดการเรื่องราวหลังจากซูเหลียงอินเสียชีวิต จึงไม่อาจอยู่วังจื่อจิงกงนาน พูดคุยครู่หนึ่งก็ลากลับ


 


 


หลังจากซูจิ่วซือกลับไปแล้ว กู้ชิงเฉิงก็กลับมานั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ร้องเรียกด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เสี่ยวเหลียน ช่วยหวีผมให้ข้าหน่อย”


 


 


“พระสนม…”


 


 


เสี่ยวเหลียนแปลกใจ นี่เวลาไหนแล้ว กู้ชิงเฉิงหวีผม จะไปไหนหรือ คงไม่ใช่ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรอกนะ!


 


 


“ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท คราวก่อนจิ่วซือเกือบตายเพราะข้า คราวนี้ยังทำให้เหลียงอินตาย


 


 


ข้าอยู่ที่สูง กลับคิดจะที่จะปลีกตัวออกไป คิดว่าจะรักษาความดีไว้ได้ ข้าไร้เดียงสาเกินไป ในเมื่อเป็นกุ้ยเฟยแล้ว ข้าก็ต้องทำตัวเป็นกุ้ยเฟยอย่างแท้จริง มีแต่ทำเช่นนี้ จึงจะปกป้องพวกเขา ไม่ให้ใครมาทำร้ายคนรอบข้างอีก”


 


 


ความจริงแล้วเสี่ยวเหลียนดีใจมาก นี่หมายความว่าในที่สุดกุ้ยเฟยของนางก็คิดตกยอมรับฝ่าบาทแล้วไม่ใช่หรือ


 


 


นางรู้เรื่องราวในอดีตของกู้ชิงเฉิงดี กระทั่งเคยบอกกู้ชิงเฉิง แต่จนใจที่กู้ชิงเฉิงจำอะไรไม่ได้เลย แต่ถึงจะรู้เรื่องราวเหล่านั้นแต่จิตใจก็ไม่หวั่นไหว กระทั่งไม่เชื่อด้วยซ้ำ


 


 


เฟิ่งอวิ๋นหล่างเสด็จมาทุกวัน ทรงทุ่มเทเอาใจใส่กู้ชิงเฉิง ถึงขั้นที่ละเอียดรอบคอบ แต่จนแล้วจนรอกกู้ชิงเฉิงยังคงเย็นชา ไม่รู้สึกรู้สา ราวกับว่านางไม่ได้ชอบเฟิ่งอวิ๋นหล่างเลย ยังพูดเรื่องนี้กับเสี่ยวเหลียนไม่ใช่เพียงครั้งเดียว อยากให้เฟิ่งอวิ๋นหล่างเสด็จมาที่วังจื่อจิงกงน้อยหน่อย


 


 


บัดนี้กู้ชิงเฉิงเป็นฝ่ายไปเข้าเฝ้าเฟิ่งอวิ๋นหล่าง ไม่แน่หรอกทั้งสองอาจอยู่ด้วยกันนานจนเกิดความรักต่อกัน


 


 


ที่นี่คือวังใน เสี่ยวเหลียนเข้าใจความรู้สึกของกู้ชิงเฉิงที่เคยมีต่อเฟิ่งอวิ๋นหล่าง นางอยากให้กู้ชิงเฉิงอยู่กับเฟิ่งอวิ๋นหล่างอย่างรักใคร่จนแก่เฒ่า ได้ครองตำแหน่งฮองเฮาที่ควรจะเป็นของนาง


 


 


เสี่ยวเหลียนถือหวีไม้ท้อยืนอยู่ข้างหลังกู้ชิงเฉิง ช่วยหวีผมให้ นางยิ้มแล้วพูดว่า “กุ้ยเฟยคิดได้อย่างนี้ก็ดีแล้ว ด้วยความรักที่ฝ่าบาทมีต่อกุ้ยเฟย ตำแหน่งฮองเฮาคงอีกไม่นาน”


 


 


ก่อนหน้านี้กู้ชิงเฉิงไม่อยากเป็นฮองเฮา แต่เวลานี้นางปรารถนาที่จะเป็นฮองเฮา ถึงอย่างไรนางก็กลายเป็นเป้าหมายความริษยาในวังในแล้ว ต่อให้นางไม่ทำอะไร ก็ยังมีคนอยากฆ่านาง มีแต่ต้องทำตัวให้เข้มแข็งยิ่งใหญ่ จึงจะตอบแทนบุญคุณและปกป้องคนรอบข้างได้


 


 


“เสี่ยวเหลียน ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ข้าไม่อาจรักฝ่าบาทได้ เรื่องราวที่เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟัง ข้าลืมหมดแล้ว เวลานี้เป็นอย่างนี้ก็ดี วังในเป็นสถานที่อย่างไร เป็นสถานที่ที่คนกินคน ผู้หญิงจำนวนมากมายอย่างนี้ ความรักทำให้แต่ละคนเคียดแค้นริษยา ไม่รักจึงปกป้องตัวเองได้”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม