ลิขิตกลกาล 31-48
ตอนที่ 31
ซูมั่วเยี่ยพยักหน้ารับอย่างรู้หน้าที่ คนรอบตัวเขาไม่จำเป็นต้องกำชับคำให้มากความ เพราะตัวเขานั้นมีมาตรฐานในใจอยู่แล้ว
ซูเหลียนอวิ้นเห็นบรรยากาศบนโต๊ะอึมครึมเคร่งเครียด แต่ตนกลับไม่รู้ว่าจะเอ่ยสิ่งใดดี ช่างเถอะๆ ไม่ได้มีเรื่องอะไรกันสักหน่อย
โดยภาพรวม…
เมื่อมื้ออาหารใกล้สิ้นสุด หวังฉือหวนเองก็เริ่มแสดงอาการอ่อนล้า หลังจากนั้นนางเพียงคุยกับซูเหลียนอวิ้นต่ออีกไม่กี่คำ ผิ่นจู๋หญิงรับใช้ส่วนตัวของนางก็มาเชิญนางให้กลับไปพักผ่อนที่เตียงในห้อง ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็อายุมากแล้ว จึงไม่ควรฝืนร่างกายเป็นธรรมดา พักผ่อนเร็วหน่อยย่อมดีต่อสุขภาพมากกว่า
…
ณ สวนสาลี่
ซูเหลียนอวิ้นสั่งให้หญิงรับใช้ออกไปจากห้องของนางได้สักพักหนึ่งแล้ว รวมทั้งหลีมู่ด้วย ในห้องจึงเหลือนางเพียงคนเดียวที่ยืนเงียบๆ อยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเหม่อลอย ดวงตาทั้งสองข้างของนางจ้องมองไปยังภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอ่านสิ่งใดอยู่
ตอนนั้นเอง…นางก็ถอนใจ
นางถอนใจพลางคิดว่าช่วงนี้ตัวเองพักผ่อนไม่เพียงพอใช่หรือไม่ ถึงรู้สึกว่าใต้ดวงตาของตนปรากฏรอยคล้ำขึ้น หากไม่สังเกตอาจจะมองไม่เห็น แต่เมื่อส่องกระจกดูกลับรู้สึกขัดหูขัดตา
ซูเหลียนอวิ้นยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง เพื่อยุติความคิดวุ่นวายของตน อาจเป็นเพราะความเคร่งเครียดในช่วงนี้จึงเกิดรอยคล้ำใต้ดวงตาขึ้น
ตอนนี้ดึกมากแล้ว นางรู้สึกว่าตนควรรีบเข้านอนเร็วสักหน่อย เพราะซูมั่วเยี่ยบอกนางเอาไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะไปเรียนหนังสือเป็นเพื่อน นางจึงเกิดความกังวลขึ้นมาเพราะเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุบางอย่างขึ้น…ดังนั้นนางจึงควรรีบเข้านอนเร็วหน่อย
…
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ!” หูของนางได้ยินเสียงตะโกนของหลีมู่ดังขึ้น
ซูเหลียนอวิ้นลืมตาขึ้นช้าๆ สถานที่ตรงหน้านี้…ดูแล้วรู้สึกคุ้นตานัก
“หลีมู่…” ซูเหลียนอวิ้นขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ดวงตาทั้งสองข้างยังคงกึ่งหลับกึ่งตื่น “หลีมู่ คุณหนูของเจ้ายังมีชีวิตอยู่” ดังนั้นจึงไม่ต้อง…ตะโกนคร่ำครวญและตะเบ็งสุดเสียงเช่นนั้นก็ได้ อย่างไรนางก็ได้ยินอยู่แล้ว
“คุณหนู!” หลีมู่เอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ทั้งโกรธทั้งโมโห “คุณหนูมัวแต่พูดอู้อี้อะไรอยู่ ไม่กลัวมีความผิดอีกหรือ! บ่าวปลุกคุณหนูมาสามรอบแล้วนะเจ้าคะ สองครั้งแรกคุณหนูบอกว่าจะลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ แต่นี่มันตั้งยามใดแล้ว หากคุณหนูยังขี้เซาเช่นนี้ต้องเข้าเรียนสายแน่ อีกอย่างตอนนี้คุณชายใหญ่ก็มาถึงแล้วนะเจ้าคะ กำลังรอคุณหนูอยู่ด้านนอก”
ทว่าเมื่อหลีมู่เห็นท่าทางงัวเงียหมดสภาพของซูเหลียนอวิ้น นางก็ไม่รู้จะพูดสิ่งใดต่อดี แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าดีเหมือนกัน นางคิดว่าเมื่อคืนซูเหลียนอวิ้นคงรู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อย! เพราะได้เห็นภาพเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้
นางถอนหายใจ คุณหนูรู้จักกลัวบ้างก็ดี ครั้งหน้าคงไม่กล้าทำอะไรเลือดร้อนเช่นนั้นอีกอย่างแน่นอน บทเรียนครั้งนี้ถือว่าได้ผลดีทีเดียว พลางลอบวางแผนในใจว่าคืนนี้จะย้ายที่นอนของตนมานอนตรงปลายเท้าของซูเหลียนอวิ้น หากซูเหลียนอวิ้นเกิดฝันร้ายขึ้นกลางดึกอย่างน้อยนางจะได้รู้และช่วยดูแลได้อย่างทันท่วงที
ซูเหลียนอวิ้นดึงผ้าห่มออกจากตัว ตอนนั้นเองลมหนาวยามรุ่งอรุณก็โชยเข้ามาสัมผัสกับใบหน้าของนาง พาให้ร่างบางไหวระริก แต่ก็ถือว่าโชคดีเพราะลมนี้ทำให้นางตื่นขึ้นแล้วจริงๆ
“หลีมู่ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าท่านพี่มารอข้าอยู่ด้านนอกแล้วหรือ” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจึงถามขึ้น
“เจ้าค่ะ มาตั้งแต่เช้าแล้ว คุณหนูเร่งมือหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” หลีมู่แอบบ่นอยู่ในใจ คุณชายใหญ่มาถึงตั้งแต่ตอนที่เรียกคุณหนูรอบสองแล้ว ถือว่ายังโชคดีที่คุณชายใหญ่เป็นคนใจเย็น หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเล่า รอนานเช่นนี้เกรงว่าคงผลักประตูเข้ามาปลุกจนตื่นไปตั้งนานแล้ว
ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้ใส่ใจนัก นางรู้ดีว่าพี่ชายของนางเป็นคนตื่นเช้า อีกอย่างวันนี้ตัวนางเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะนอนขี้เซา แต่เนื่องจากว่าเมื่อวานช่วงบ่ายนางงีบหลับไปพักใหญ่ พอตกดึกจึงพลิกตัวไปมา ไม่ว่าจะนอนอย่างไรก็ไม่หลับ กระสับกระส่ายอยู่ครึ่งค่อนคืนถึงได้รู้สึกง่วงแล้วฝืนใจให้หลับไป ดังนั้นนางในตอนนี้จึงยังรู้สึกง่วงงุนอยู่
“คุณหนู บ่าวรวบผมให้นะเจ้าคะ” หลีมู่เอ่ยขึ้นพลางหยิบหวีงาช้างออกมาจากกล่องเครื่องสำอาง แล้วปรนนิบัติอย่างใส่ใจ
“อืม” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า นางนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะเครื่องแป้งโดยที่ยังคงง่วงงุนอยู่ ครั้นพอเงยหน้ามองผู้ที่อยู่ในกระจกตรงหน้า นางพลันมีท่าทีราวกับโดนสายฟ้าฟาดใส่
“หลี หลีมู่!” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นอย่างอึกอัก “คนในกระจกผู้นี้คือข้ามิผิดแน่หรือ?” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือชี้ไปยังหญิงสาวที่อยู่ในกระจกผู้นั้น น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจและยากจะเอื้อนเอ่ย
หลีมู่ได้ยินเช่นนี้จึงมีสีหน้าสับสนระคนตกใจ “คุณหนู! คุณหนู…ฝันร้ายหรือเจ้าคะ”
หรือว่าละเมอ เหตุใดแม้แต่หน้าตาตัวเองยังไม่รู้จัก
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเอียงศีรษะ ดรุณีน้อยในกระจกตรงหน้าก็แสดงท่าทางเช่นเดียวกัน นั่นคือใบหน้าที่แสดงถึงความไม่มั่นใจและรับไม่ได้
ซูเหลียนอวิ้นยกมือกุมหน้าแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ จากนั้นจึงส่งเสียงสะอื้นคร่ำครวญ “หลีมู่ เจ้าจะไม่เตือนข้าสักหน่อยหรือ…หากข้ามิได้ส่องกระจก เจ้าคงจะไม่ปล่อยให้ข้าออกไปในสภาพเช่นนี้หรอกนะ?”
เมื่อคืนวานยังมีเพียงแค่รอยคล้ำใต้ตาปรากฏจางๆ หากในวันนี้กลับกลายเป็นสภาพที่หนักกว่าเก่า เป็นเพราะไม่ได้หาทางแก้ไขเสียแต่แรก ถึงตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าตนควรจะย้ายไปอยู่ที่มณฑลเสฉวน เพราะจากสภาพของนางในยามนี้คล้ายกับญาติของหมีแพนด้าเต็มทีแล้ว
“คุณหนู บ่าว บ่าวคิดว่าไม่ได้น่าเกลียดอะไรเลยเจ้าค่ะ” ในมุมมองของหลีมู่ ร่องรอยเหล่านั้นไม่เห็นจะแปลกอะไร เพราะวัยอย่างซูเหลียนอวิ้น เป็นวัยที่หญิงสาวมักจะมีริ้วรอยเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ เนื่องจากยังเป็นวัยที่ชอบเที่ยวเล่นอยู่ นางไม่คิดมาก่อนว่าจะกลายเป็นเรื่องเป็นราวร้ายแรงถึงเพียงนี้
หากซูเหลียนอวิ้นรู้ว่ารอยคล้ำใต้ตาที่อัปลักษณ์เช่นนี้ของตนเป็นเรื่องปกติในสายตาของหลีมู่แล้ว คงต้องจับไหล่หลีมู่เขย่าแรงๆ จากนั้นต้องเตือนสักคำสองคำว่า รูปลักษณ์ของสตรียิ่งใหญ่ประดุจผืนฟ้า! อีกทั้งตัวนางเองคือซูเหลียนอวิ้นด้วย
นิสัยรักสวยรักงามของซูเหลียนอวิ้น อันที่จริงเริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อชาติก่อนแล้ว เมื่อชาติที่แล้วนางทุ่มสุดตัวเพื่อให้ต้วนเฉินเซวียนหันมาสนใจ แน่นอนว่ารวมถึงการดูแลรักษารูปร่างหน้าตาก็ทุ่มเทอย่างสุดกำลังเช่นกัน
อีกอย่างซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อคนอื่นก็ทำเพื่อตนเอง เพื่อให้ได้เห็นภาพที่ชวนให้เบิกบานใจได้บ้างในบานกระจก ดังนั้นเมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ของตนเองแล้วจึงรู้สึกยากที่จะรับได้
ทว่าพลังในตัวของซูเหลียนอวิ้นก็ถือว่ายอดเยี่ยมไม่เป็นสองรองผู้ใด เมื่อครั้งที่ต้วนเฉินเซวียนตอบปฏิเสธและทำให้ตนต้องขายหน้าอยู่หลายครั้ง นางยังไม่รู้สึกรู้สา ดังนั้นอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในครานี้ จึงสร้างความรำคาญใจให้นางเพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม่นานนางก็ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ
จากนั้นซูเหลียนอวิ้นก็หยิบสิ่งของออกมาจากกล่องเครื่องสำอางอย่างใจเย็น แล้วรีบจัดแจงแต่งหน้าให้ตนเองอย่างรวดเร็ว ฝีมือคล่องแคล่วและชำนาญของนางทำเอาหลีมู่ตกตะลึงตาค้าง มิน่าคุณหนูจึงไม่เคยให้นางแต่งตัวให้มาก่อน จะมีก็แค่ให้นางเกล้าผมให้เท่านั้น ที่แท้ฝีมือในการแต่งหน้าของคุณหนูเฉียบขาดขนาดนี้! เหล่าช่างแต่งหน้าพวกนั้นคงต้องอายคุณหนูแล้วกระมัง
เวลาผ่านไปไม่เกินสิบห้านาที ซูเหลียนอวิ้นก็แต่งหน้าตัวเองเสร็จสรรพ ในขณะที่กำลังจ้องมองตัวเองอยู่นั้นพลันสำนึกขึ้นได้ว่าสมควรแก้ไขสภาพใบหน้าที่ทรุดโทรมนี้เสียตั้งแต่แรกแล้ว
ตอนที่ 32 งามสง่า
ดรุณีน้อยในกระจกมีผิวขาวสว่างยิ่งกว่าหิมะ ดวงตาคู่งามเป็นประกายวิบวับ
อีกทั้งการแต่งหน้าของนางยังให้ความรู้สึกไม่เข้มจนเกินไป ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นต่างต้องรู้สึกว่านางมีรูปลักษณ์เช่นนี้ติดตัวมาแต่แรก ไม่ผ่านการเสริมเติมแต่งอะไรทั้งสิ้น
“เฮ้อ…” ซูเหลียนอวิ้นถอนหายใจ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นแล้วขยับต้นคอพลางมองผู้ที่อยู่ในกระจกแล้วยิ้มอย่างพอใจ อย่างนี้สิถึงจะดีหน่อย คนเมื่อครู่คือใครกัน! ต้องเป็นเพราะนางนอนดึกจนตาลายแน่ๆ
แต่ว่า…นางยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางอยู่ พอมองแล้วให้ความรู้สึกถึงความเจ็บป่วยและอ่อนแอ
หลีมู่โผล่ศีรษะออกไปมองด้านนอกเพื่อคะเนเวลา ขณะที่กำลังหันหลังกลับมาเพื่อเอ่ยเตือนซูเหลียนอวิ้นว่าตอนนี้จวนจะสายแล้วนั้น ก็พบว่าคุณหนูของนางกำลังมีทีท่าไม่พอใจตัวเองเท่าไหร่นัก
หลีมู่รู้สึกว่าตนหมดหนทางแล้วเช่นกัน จึงเอ่ยปลอบไปว่า “คุณหนู ได้เท่านี้ก็ดีแล้วเจ้าคะ นี่ก็จวนจะสายเต็มทีแล้ว ไปแค่ห้องเรียนเท่านั้นเอง แล้วคุณหนูก็สวยอยู่แล้วด้วยนะเจ้าคะ”
ไม่ได้ไปเจอสามีสักหน่อย
ไม่ถูก หรือว่าไปเจอสามี?
ฉับพลันแสงสว่างก็วาบขึ้นในหัวของหลีมู่ นางคิดว่าเข้าใจเรื่องนี้แล้ว คุณหนูคงจะไม่… เพราะเมื่อวานคุณชายต้วนก็เข้าชั้นเรียนด้วย และวันนี้ก็มีโอกาสที่เขาจะเข้าเรียนอีก คุณหนูถึงได้มีพฤติกรรมเช่นนี้…นางเข้าใจแล้ว
“คุณหนู” ในตอนนั้นเอง หลีหมู่ปิดกล่องเครื่องสำอาง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “นี่ก็ใกล้จะสายเต็มทีแล้ว คุณหนูรีบไปเถิดเจ้าค่ะ”
ซูเหลียนอวิ้นยังคงเหม่อมองภาพสะท้อนในกระจก เมื่อถูกขัดจังหวะขึ้นกะทันหันจึงตกใจสะดุ้งโหยง เงยหน้าขึ้นมองไปที่หลีมู่ก็ได้พบกับสีหน้าที่เริ่มไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
อืม…จะว่าไปเราก็แต่งตัวสวยอยู่แล้ว งั้นก็เอาแบบนี้แล้วกัน
“เฮ้อ หลีมู่ ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะรีบตามออกไป เจ้าออกไปบอกพี่ของข้าให้ใจเย็นๆ ก่อน ขอเวลาอีกสักพักข้าก็จะเสร็จแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นกระแอมคราหนึ่ง น้ำเสียงที่นางใช้พูดช่างอบอุ่นและนุ่มนวลยิ่งนัก
“เช่นนั้นคุณหนูก็รีบหน่อยนะเจ้าคะ อีกประเดี๋ยวบ่าวจะเข้ามาใหม่” หลีมู่ยังคงมีสีหน้าตึงเครียดราวกับคำพูดอ่อนหวานเช่นนั้นของซูเหลียนอวิ้นไม่มีผลกับนางสักนิด นางจึงมองคุณหนูอยู่เงียบๆ อีกครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังกลับออกไปทางประตู
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นหลีมู่ออกไปแล้วก็รีบลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ลงมือคุ้ยหาชุด จนได้ชุดชุดหนึ่ง เมื่อลองทาบกับลำตัวแล้วจึงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนชุด
เมื่อครู่ที่ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าอะไรที่ทำให้นางดูป่วยนั้น สาเหตุคงเนื่องมาจากชุดที่นางสวมใส่อยู่ในตอนนี้ สีของกระโปรงตัวนี้จืดชืดเกินไป เมื่อพิจารณาคู่กับการแต่งหน้าของนางแล้ว ทำให้ภาพรวมดูไม่ค่อยเข้ากันนัก
อีกอย่าง…ซูเหลียนอวิ้นส่องกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่บนพื้น แล้วเอื้อมมือไปหยิบชุดสีแดงตัวหนึ่งขึ้นมาทาบกับตัวพลางส่องกระจกดู ตัวนี้ต่างหากที่ดูแล้วสบายตากว่า นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของหลีมู่เมื่อวาน และรู้สึกสลดใจเพราะคำพูดของหลีมู่เหล่านั้นถือเป็นการเตือนใจนาง
นางคงต้องค่อยๆ เปลี่ยนแปลงนิสัยที่ติดตัวมาจากชาติที่แล้ว…
นิสัยที่ชอบใส่เสื้อผ้าสีอ่อนก็ด้วย…
ตอนนี้นางไม่ใช่คนเดิมที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาใจต้วนเฉินเซวียน และคอยวิ่งตามอยู่ด้านหลังเขาต้อยๆ ซูเหลียนอวิ้นคนเดิมที่รับฟังเขาเสมอไม่ว่าเขาจะพูดอะไร
ต้วนเฉินเซวียนไม่ชอบสตรีที่สวมใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาดอย่างนั้นหรือ
เฮอะ นางจะฝืนใส่! และจะใส่ต่อไปเรื่อยๆ ดูทีเถิดว่าสีจะทิ่มตาเขาบอดหรือไม่!
ซูเหลียนอวิ้นถอนใจแล้วรีบเปลี่ยนชุด จากนั้นจึงเปิดประตูเดินออกไป
ตอนนี้ชาจอกที่สามได้ตกถึงท้องซูมั่วเยี่ยแล้ว ต่อให้เขาใจเย็นเพียงใดถึงเวลานี้ก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว การเลือกชุดของสตรีเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวยิ่ง มารดากับน้องสาวของเขาล้วนเป็นเหมือนกัน
“ท่านพี่”
เสียงหนึ่งขานเรียกเขา ทำให้ความคิดเรื่อยเปื่อยของซูมั่วเยี่ยถูกขัดจังหวะ เขาเงยหน้าขึ้น ซูเหลียนอวิ้นจึงอมยิ้มน้อยๆ ให้เขา
“ท่านพี่คงรอนานแล้วกระมัง” ซูเหลียนอวิ้นเดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้ม “พวกเราออกเดินทางกันเถิดเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรวันนี้ท่านก็ไม่ต้องไปที่กรมทหารแล้ว กลับมาถึงเมื่อไหร่ท่านค่อยสอนกระบวนท่าต่อสู้ที่เหลือให้ข้าก็ได้”
“อืม…ได้ เอาตามที่เจ้าพอใจแล้วกัน” ซูมั่วเยี่ยพยักหน้า หากสายตาของเขากลับจับจ้องอยู่ที่ซูเหลียนอวิ้น
เขาจำได้ว่าตั้งแต่วันนั้นที่น้องสาวของเขาป่วย ก็ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีฉูดฉาดเช่นนี้มานานแล้ว จู่ๆ วันนี้กลับมาใส่อีกครา ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นต่างต้องรู้สึกแปลกใหม่และดึงดูดใจจนไม่อาจละสายตาไปไหนได้
เมื่อหลีมู่มองเห็นการแต่งตัวเช่นนี้ของซูเหลียนอวิ้น ก็แอบตีอกชกหัวอยู่ในใจ
นางคิดไว้ไม่ผิด! คุณหนูยังไม่ลืมคุณชายต้วน! เพราะปกติไม่เคยเห็นคุณหนูแต่งตัวสวยเช่นนี้ ทว่าวันนี้กลับเอาใจใส่กับการแต่งตัวเป็นอย่างยิ่ง เป็นเช่นนี้แล้วจะไม่ให้นางคิดเช่นนั้นได้อย่างไร!
…
บนรถม้า
ซูเหลียนอวิ้นพยายามนึกถึงข่าวซุบซิบนินทาที่น่าสนใจทุกเรื่องของเมื่อชาติก่อนและชาตินี้ เพื่อไม่ให้การนั่งรถม้าน่าเบื่อจนเกินไปนัก นอกจากจะเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ของตัวนางกับซูมั่วเยี่ยแล้วยังถือเป็นการแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าระหว่างกันด้วย นางเองก็หวังว่าความสัมพันธ์จะพัฒนาขึ้นอีก และยังช่วยให้นางรู้ด้วยว่าซูมั่วเยี่ยมีรสนิยมชื่นชอบสิ่งใด เพราะสำหรับเรื่องนี้ น้องสาวอย่างนางถือว่าด้อยความสามารถนัก
ซูมั่วเยี่ยยังคงถนอมถ้อยคำเช่นเคย เขาเพียงพูดแทรกขึ้นมาไม่กี่คำหรือไม่ก็พูดตามน้ำบ้างเท่านั้น ทว่าสายตาของเขายังคงเปล่งประกายจึงทำให้เข้าใจได้ว่า เขาให้ความสนใจกับเรื่องราวที่ซูเหลียนอวิ้นพูดไม่น้อยทีเดียว
การสนทนาช่วยให้เวลาผ่านไปรวดเร็วเสมอ ไม่ช้ารถม้าก็เคลื่อนเข้าสู่ประตูพระราชวังแล้ว
“น้องหญิงระวังด้วย” ซูมั่วเยี่ยลงรถนำหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง จากนั้นจึงยื่นมือออกมาจับมือขวาของซูเหลียนอวิ้นแล้วพยุงนางลงรถอย่างระมัดระวัง เพราะเขากลัวว่านางจะเหยียบความว่างเปล่าแล้วร่วงลงมา ท่าทางของเขาจึงดูประหม่าอยู่ไม่น้อย
อันที่จริงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกไม่คุ้นเคยกับการดูแลเอาใจใส่ของซูมั่วเยี่ยเช่นนี้ โดยคิดว่าเป็นการระแวดระวังและวุ่นวายเกินความจำเป็น ทว่าในตอนนี้นางชินเสียแล้ว
การที่ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดล้วนมีคนคอยเป็นห่วงอยู่ด้านหลัง หรือการกระทำประเภทช่างเถิดเดี๋ยวข้าทำแทนเองนั้น อันที่จริงแล้วนางก็รู้สึกดีต่อพฤติกรรมเหล่านี้มาก
วันนี้ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้มาถึงเช้าและก็ไม่ถือว่ามาสาย ทว่ายามนี้กลับมีหลายคนเข้ามารออยู่ในห้องอยู่ก่อนแล้ว
ซูเหลียนอวิ้นเปิดประตูเข้าไป บานประตูส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเรียกสายตาทุกคู่ในที่นั้นให้หันมามอง
ประตูไม้ถูกเปิดเข้ามาจนสุดบาน แสงสว่างจากด้านนอกพลันสาดเข้ามาภายใน พาให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ภายใต้แสงสะท้อนของแสงแดด ช่วงเวลานั้นจึงไม่มีใครสามารถมองเห็นโฉมหน้าของสตรีที่ยืนอยู่ตรงประตูได้ถนัด
เมื่อรอจนกระทั่งดวงตาเริ่มคุ้นชินกับแสงสะท้อนแล้ว พวกเขาถึงได้เห็นโฉมหน้าของสตรีผู้นั้นที่ยืนอยู่ตรงประตูได้ชัดเจนขึ้น ก่อนที่จะพากันอ้าปากค้าง
หญิงสาวนางนี้คือซูเหลียนอวิ้นอย่างนั้นหรือ
สตรีที่ยืนอยู่ตรงประตูสวมใส่ชุดสีแดงฉานดั่งเปลวเพลิง ชุดของนางหรูหราประณีต หากเป็นสตรีหน้าตาพิมพ์นิยมทั่วๆ ไปสวมใส่ชุดนี้ก็คงจะถูกความงามของชุดบดบังหมดสิ้น สายตาผู้คนคงจับจ้องไปที่ชุดเพียงจุดเดียว หาได้ชายตามองผู้สวมใส่ไม่
ทว่าดรุณีน้อยที่อยู่ตรงประตูนางนี้มีรูปโฉมสง่างาม รัศมีทั่วเรือนร่างโดดเด่นอาบเสน่ห์อย่างยิ่ง เมื่อใส่ชุดนี้แล้วยิ่งช่วยขับเน้นให้นางเปล่งประกายจนไม่มีผู้ใดสามารถจ้องมองนางโดยตรงได้
ตอนที่ 33 อารมณ์เสีย
“อรุณสวัสดิ์ทุกคน”
ซูเหลียนอวิ้นก้มศีรษะเป็นเชิงทักทาย แล้วจึงยืดตัวขึ้นด้วยท่าทางคล้ายนกเฟิ่งหวง[1] แล้วไม่สนใจสายตาของผู้คนรอบด้านอีก จากนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างพร้อมจัดท่าทางให้เรียบร้อย
ผู้คนรอบๆ ที่ประหลาดใจกับท่าทีอ่อนช้อยเมื่อครู่นี้ต่างเริ่มได้สติกลับมา เมื่อหันไปมองซูเหลียนอวิ้นอีกครั้งหนึ่ง สายตาของแต่ละคนล้วนมีความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป
เหล่าสตรีต่างมีอาการตกใจและประหลาดใจว่าซูเหลียนอวิ้นมีรูปโฉมที่งดงามเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมพวกนางไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน ตลอดมาภาพลักษณ์ของซูเหลียนอวิ้นคือผู้หญิงไร้รสนิยมทั่วๆ ไปนางหนึ่ง แต่เมื่อพิจารณาโดยละเอียดก็เกิดความรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
นางแต่งตัวงดงามเช่นนี้ให้ใครดูหรือ คงไม่ได้ต้องการจะดึงดูดความสนใจจากใครกระมัง
สายตาหลายคู่ต่างจับจ้องไปที่ต้วนเฉินเซวียนอย่างไม่อาจห้ามใจได้
การที่ต้วนเฉินเซวียนยังคงมาเรียนในวันนี้ถือเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายกว่าเมื่อวานเสียอีก อีกทั้งยังมาทันเวลา เมื่อเขาเห็นว่าตกเป็นเป้าของสายตาทุกคู่ก็อดที่จะหงุดหงิดใจไม่ได้ จึงเอ่ยปากขึ้นว่า
“มองหน้าข้าด้วยเหตุอันใด หน้าของข้ามีดอกไม้งอกขึ้นมาหรืออย่างไร” สิ้นวาจาก็กวาดสายตามาดร้ายไปรอบด้าน
ผู้คนรอบๆ เมื่อเห็นแววตาเช่นนั้น ใครจะยังกล้ามีอารมณ์สนใจเรื่องไร้สาระพรรค์นี้อีกเล่า จึงพากันหลบสายตาไม่กล้าซี้ซั้วมองเขาอีก
เพราะถึงอย่างไรต้วนเฉินเซวียนก็ไม่ใช่ซูเหลียนอวิ้น นิสัยของเขาแปลกประหลาดเหนือผู้ใด ใครจะรู้ว่าอีกชั่วครู่เขาจะทำอะไรต่อ อีกอย่าง…ท่าทีของต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่าอารมณ์ขุ่นมัวอย่างยิ่ง ผู้ใดไม่ระวังตัวก็คงจะโชคร้ายตกเป็นเหยื่อระบายอารมณ์ของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อารมณ์ของต้วนเฉินเซวียนในเวลานี้ขุ่นมัวยิ่งนัก
เขากอดอก สายตาของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ยากจะอธิบาย จากนั้นจึงมองไปยังสตรีที่กำลังจัดแจงท่านั่งอยู่ตรงริมหน้าต่าง วันนี้ซูเหลียนอวิ้นแต่งตัวสวยเช่นนี้ คงไม่ได้ต้องการจะดึงดูดความสนใจจากใครจริงๆ กระมัง เขาเองก็ไม่ได้ยินว่าช่วงนี้ซูเหลียนอวิ้นกำลังติดพันใครอยู่ ถ้าจะมี…ชายผู้นั้นก็คงไม่พ้นตนเองเป็นแน่
ทว่า…ต้วนเฉินเซวียนเริ่มส่งเสียงฟึดฟัดออกมาทางจมูก เขาดูเป็นคนตื้นเขินเพียงนั้นเชียวหรือ คิดว่าแต่งตัวสวยแล้วจะช่วยอะไรได้? โง่เขลานัก!
อีกอย่างการแต่งตัวเช่นนี้…
ต้วนเฉินเซวียนสบสายตากับบุรุษทุกคนที่อยู่ด้านหน้า แล้วก่นด่าในใจ พวกไร้รสนิยม!
ชุดนี่จะสวยไปกว่าชุดสีขาวเรียบๆ แบบเมื่อวานได้อย่างไร เสื้อผ้าชุดนี้เสียดแทงลูกตายิ่ง ไม่ว่าจะหันไปมองทางใดในห้องนี้นางก็ยังคงอยู่ในสายตา น่าเกลียด น่าเกลียดยิ่งนัก! ต่อจากนี้เขาจะต้องตั้งกฎขึ้นมาสักข้อหนึ่ง สำหรับสตรีที่ปรารถนาจะให้เขาชอบพอ แค่เพียงข้อเดียวเท่านั้น นั่นก็คือห้ามใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด! ที่เห็นแล้วเสียดแทงลูกตา
สิ่งที่น่าเสียดายคือ ต้วนเฉินเซวียนเพียงเดาความหมายคร่าวๆ จากสายตาของทุกผู้คนที่ตนเห็นเท่านั้น แต่หาได้เข้าใจความหมายแท้จริงที่อยู่ในสายตาเหล่านั้นไม่ เพราะหากเข้าใจความหมายอย่างชัดแจ้งแล้ว เกรงว่านาทีต่อมาเขาอาจจะโกรธจนจมูกยับย่นเป็นแน่
รสนิยมความสวยความงามของหญิงชายย่อมแตกต่างกัน หากถามว่าการแต่งกายของซูเหลียนอวิ้นในวันนี้เป็นเช่นไร พวกนางคงต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าพาให้จิตใจของผู้อื่นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว! สถานศึกษาเป็นสถานที่สำคัญในการถกความรู้ มิได้เป็นสถานที่สำหรับเกี้ยวพาราสีของผู้ใด แต่ซูเหลียนอวิ้นกลับแต่งตัวสวยเด่นเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่านอกจากจะไร้ความคิดแล้วยังโลกแคบอีกด้วย! วัฒนธรรมง่ายดายถึงเพียงนี้ยังมิอาจเข้าใจ พานให้พวกนางต้องขายหน้าไปด้วย
หากภาพที่เห็นตรงหน้า…ทุกคนยังคงมีสีหน้าท่าทางเป็นมิตรน่าคบหาดังเดิม ไม่เพียงเท่านั้นบางคนถึงกับเดินไปด้านหน้าเพื่อสรรเสริญเยินยอถึงความงดงามของซูเหลียนอวิ้นอีกด้วย หากมองอย่างผิวเผินคงเข้าใจว่าคนเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับซูเหลียนอวิ้นมาตั้งแต่เด็ก ถึงได้เอ่ยชมอย่างสะดวกปากเช่นนี้ อีกทั้งแววตาก็ยังไม่ฉายแววอิจฉาริษยาให้เห็นแม้แต่น้อย
นั่นเป็นเพราะทุกคนล้วนชาญฉลาด ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องอยู่มากมาย คงมีเพียงคุณหนูหยางเพียงผู้เดียวที่ไร้ความคิดกล้าต่อกรกับคุณหนูจากจวนแม่ทัพอย่างซึ่งหน้า คนฉลาดต้องทำอย่างไร ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจอย่างถ่องแท้
อีกทั้ง ณ ที่นี้ยังมีบุรุษผู้เปี่ยมความสามารถอยู่ไม่น้อย บุรุษย่อมไม่ชอบสตรีที่แก่งแย่งช่วงชิงความรักกันเป็นที่สุด ดังนั้นแม้ว่าในใจจะไม่พอใจมากเพียงใดก็คงทำได้เพียงฝืนยิ้มออกไปให้ดูสวยงามและมีความสุขที่สุด
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินคำเยินยอจากพวกนางก็พยักหน้ารับนิ่งๆ เป็นการตอบรับ นางไม่แสดงท่าทีทะนงตนออกไปแม้แต่น้อย แต่ก็มิได้มีท่าทีถ่อมตัวเช่นกัน ราวกับว่ามันเป็นคุณสมบัติที่คู่ควรกับนางอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงรับฟังทุกอย่างด้วยความสงบนิ่ง
เหล่าบุรุษเมื่อเห็นนางตอนนี้ก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน หากให้พวกเขาวิจารณ์ ซูเหลียนอวิ้นในวันนี้คล้ายมีส่วนผสมระหว่างนางมารและเทพเซียนปะปนกันอยู่
อาภรณ์สีแดงเปี่ยมเสน่ห์ผสานกับใบหน้าที่สวยสง่าเช่นนั้น เมื่อรวมกับรูปร่างอรชร เอวบางร่างน้อยที่ใช้มือเดียวโอบได้นั้นให้ความรู้สึกว่าหากออกแรงเพียงน้อยนิดอาจจะทำให้เอวนั้นหักได้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรต่างต้องเข้าใจว่านางเป็นนางมารที่มาเพื่อล่อหลอกบุรุษไปเป็นแน่
แต่กิริยาที่แสดงออกของซูเหลียนอวิ้นคล้ายว่านางเพิกเฉยต่อคำหลอกลวงทั้งหมด นางใช้ความถือตัวและเฉยเมยปฏิบัติต่อทุกเรื่อง ราวกับว่าเรื่องราวบนโลกใบนี้ล้วนไม่อยู่ในสายตาของนาง แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ผู้คนไม่อาจยับยั้งความคิดหยาบช้าเอาไว้ได้อีกต่อไป พวกเขาจึงทำได้เพียงสะกดเอาไว้ในใจลึกๆ มิกล้าเอื้อนเอ่ยคำใด
เมื่อซูมั่วเยี่ยตามเข้ามาก็เห็นภาพเช่นนี้แล้ว ภาพที่สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่น้องสาวของเขา
เขาจึงหันไปกล่าวกับคนรับใช้เพียงคำสองสามคำ มาช้าไปนิดหน่อยคงไม่เป็นไรกระมัง ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ คงมิได้เกิดเหตุการณ์ใดที่เขาไม่รู้ขึ้นอีก? เขาก้มหน้าครุ่นคิดแล้วใช้สายตาหมองหม่นสำรวจไปยังคนรอบด้าน
นางสาวของเขาตกเป็นเป้าสายตาของบรรดาผู้ที่กำลังจินตนาการแต่เรื่องหยาบช้าอย่างนั้นหรือ อยากมองกันนักใช่ไหม มองเขาแทนก็ได้ อย่างไรก็คงเหมือนกัน
พลังอำนาจของแม่ทัพหนุ่มย่อมมิได้มีเพียงชื่อเสียง ปกติซูมั่วเยี่ยมักจะตีสีหน้าตาเคร่งขรึมอยู่แล้ว ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นต่างต้องถอยกรูดไป ความขุ่นข้องหมองใจของเขาในตอนนี้ ยิ่งทำให้เขาคล้ายกับราชสีห์ที่ขู่คำรามอยู่ในลำคอ ไม่ว่าผู้ใดต่างมิกล้าหันไปมองอีกเป็นครั้งที่สอง
“ท่านพี่มาแล้ว มานั่งข้างน้องเถิดเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้ามองซูมั่วเยี่ย หากในใจของนางแอบคิดว่า สายตาและความน่าเกรงขามเช่นนี้ เกรงว่ามิต้องรอถึงสองปี ท่านพ่อของนางคงจะสละจากตำแหน่งเสียก่อนแล้ว
ท่าทางเช่นนี้ของเขาเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับตอนที่ซูปั๋วชวนโมโหแล้วยังน่าหวาดกลัวมากกว่าเสียอีก! คำว่าแม่ทัพหน้าดำ คงใช้บรรยายพี่ชายของนางได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนเลยกระมัง หากตัวนางมิได้เป็นน้องสาวของซูมั่วเยี่ย นางเองก็คงเป็นเช่นเดียวกับคนรอบข้างที่กลัวจนไม่กล้าเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาแม้เพียงครึ่งประโยค
เมื่อซูมั่วเยี่ยหันตัวกลับมาแล้วมองเห็นรอยยิ้มหวานของซูเหลียนอวิ้น เขาจึงคลายท่าทางน่าเกรงขามลง แล้วลากเก้าอี้ออกมานั่งข้างๆ นาง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยลืมคำสอนของซูปั๋วชวนที่ว่า จะทำกับผู้อื่นอย่างไรก็ได้ แต่กับน้องสาวต้องปฏิบัติอย่างอ่อนโยน น้องสาวเขาน่ารักถึงเพียงนี้ แค่รักและทะนุถนอมยังไม่พอแล้วจะทำให้นางตกใจได้อย่างไรกัน
“อืม” ซูมั่วเยี่ยคลี่ยิ้ม แม้ว่าเขาจะฉีกยิ้มเพียงน้อยนิด แต่ก็ทำให้ท่าทางของเขาดูอ่อนโยนมากขึ้นทีเดียว
——
[1] นกเฟิ่งหวง คือ นกฟินิกซ์ ซึ่งจะหมายถึงหงส์ในวัฒนธรรมจีน
ตอนที่ 34 มอบรางวัล
“แค่ก…” หลังจากมีเสียงไอดังขึ้น อาจารย์ถงก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินเข้ามา เขานำหนังสือวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นกวาดตามองไปยังนักเรียนที่นั่งอยู่ด้านหลังแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดจึงไม่เห็นพี่น้องตระกูลหยาง พวกเขาได้วานให้ใครมาลาหรือไม่”
ทุกคนสบสายตากันไปมา
ให้พวกเขาช่วยลาแทนอย่างนั้นหรือ ไม่เห็นเคยรู้เรื่องมาก่อนเลย จากนั้นทุกคนจึงพากันก้มหน้าลงทีละคน ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองเขาอีก
อาจารย์ถงกวาดตามองอีกรอบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดตอบรับก็เริ่มเข้าใจ มีคนกล้าขาดเรียนในวิชาของเขาโดยไม่ได้ลาล่วงหน้า กล้าดีเสียจริง พอมาทบทวนดูแล้ว นี่ต้องเป็นเพราะช่วงนี้เขาใจดีกับเด็กพวกนี้มากเกินไป จนทำให้พวกเขาละเลยสิ่งที่สมควรทำไป
ในใจของอาจารย์ถงปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็น ได้ใจกันไปก่อนเถิด จะรอดู…เมื่อถึงวันนั้นจะยังยิ้มออกกันอยู่หรือไม่
เมื่อวานฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้า เนื่องจากทรงอยากปรึกษาเกี่ยวกับงานฉลองวสันตฤดูที่กำลังจะจัดขึ้นในเร็ววันนี้ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นงานฉลอง แต่แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นงานสำหรับสอบประเมินผลขนาดใหญ่ ในวันนั้นบรรดาบุรุษและสตรีต่างต้องเลือกหัวข้อมาประลองกันสักยกสองยก เมื่อประลองเสร็จเรียบร้อยจะสามารถจัดระดับสูงต่ำของทุกคนออกมา ตลอดทั้งปีที่เรียนมาเป็นอย่างไร วันนั้นถึงเวลาต้องวัดผลการเรียนกันสักตั้ง
อาจารย์ถงกวาดตามองด้านล่างอีกรอบ เขามีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนของการสอบข้อเขียนและงานวรรณคดีมาโดยตลอด ทุกครั้งที่ผ่านมามีผู้ที่ได้คะแนนไม่เลวอยู่เสมอ
ทว่าในปีนี้…เขาถอนใจคราหนึ่ง จากนั้นจึงลอบยิ้มหยันในใจ คงถึงเวลาที่เขาควรใช้ชีวิตบั้นปลายของตนเองสักที
เด็กทุกคนที่อยู่ด้านล่างนี้แม้เบื้องหน้าจะมีทีท่าตั้งใจฟัง แต่ในความเป็นจริงแล้วเรียนไปได้สักเท่าไหร่ เข้าใจมากน้อยเพียงใด จากประสบการณ์การสอนที่ผ่านมาหลายปีนี้เขาจะดูไม่ออกเชียวหรือ? การที่เด็กๆ แอบวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวเขา เขาย่อมรับรู้ทุกอย่างเป็นอย่างดี
เฒ่าหัวโบราณ ตาแก่หัวรั้นที่ไม่รับฟังเหตุผลคนหนึ่ง
แต่ครึ่งชีวิตของเขาก็ผ่านมาเช่นนี้ จะให้เปลี่ยนแปลงภายในระยะเวลาอันสั้นได้อย่างไร ไม่ว่าจะอย่างไรอาจารย์ถงก็คิดไม่ออก ขณะนั้นเรื่องที่สองพี่น้องตระกูลหยางโดดเรียนก็ผ่านเข้ามาในความคิดอีกครา ก่อนที่จะตามติดมาด้วยความคิดตัดพ้อตนเอง เพียงชั่วพริบตาความรู้สึกนั้นก็เริ่มลุกลามกัดกินเนื้อที่ในใจของอาจารย์ถง
“แค่กๆๆ” ขณะนั้นเอง เสียงไอดังขึ้นระลอกหนึ่ง ทำให้ทุกคนในห้องพลันเงยหน้าขึ้นมามองอาจารย์ถงที่อยู่บนแท่น จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าทุกคน วันนี้ดูท่าแล้ว ตัวข้าอาการไม่สู้ดีนัก ขอให้กลับไปที่จวนของพวกเจ้าก่อนเถิด หากวันพรุ่งอาการป่วยของข้าดีขึ้นแล้ว พวกเจ้าค่อยมาเรียนก็ไม่สาย” กล่าวจบ ดวงตาคู่นี้ของอาจารย์ถงก็มีเงามืดเคลื่อนผ่าน
นักเรียนกลุ่มนี้แอบดูถูกเยาะเย้ยเขาไว้อย่างไรบ้างเขาล้วนรับรู้ทั้งสิ้น เดิมทีเขาคิดจะแจ้งข่าวงานฉลองวสันตฤดูให้รู้กันล่วงหน้า เพื่อจะได้เตรียมตัวเอาไว้ก่อน หรือไม่ก็มาหาเขาและรีบเกาะขาพระอ้อนวอนเมื่อไฟลนก้น แต่ผู้ใดจะคิดว่าเขาจะถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็อย่าโทษเขาเลย
ความรู้ในห้องเรียนที่เขาสอนทุกครั้ง หากตั้งใจฟังจริงๆ ย่อมรับมือกับการทดสอบในงานฉลองวสันตฤดูได้โดยไร้ข้อกังขา แต่หากที่ผ่านมาไม่เคยตั้งใจ ไม่เคยฟังเขาสอน พอถึงเวลานั้นจะมาโทษเขาไม่ได้
ถึงอย่างไรเขาก็แก่แล้ว ขอใช้โอกาสครั้งสุดท้ายที่ยังยืนอยู่บนแท่นนี้ให้เขาได้ทำตามใจตัวเองอีกสักครั้งเถิด
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็ไม่มีผู้ใดรีรออะไรอีก ทุกคนเร่งรีบเก็บข้าวของทั้งหมดพร้อมกระโจนออกจากห้องเรียน ราวกับกลัวว่าขืนชักช้าอาจารย์ถงอาจจะกลับคำได้
แม้จะหาเหตุผลไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดอาจารย์ถงถึงได้มีท่าทีต่างไปจากเดิม พวกเขาก็ยังคงคิดแต่เรื่องสำคัญที่สุดเรื่องเดียวคือพวกเขาสามารถกลับจวนได้แล้ว
ซูเหลียนอวิ้นกลับแตกต่างจากผู้อื่นที่กำลังรีบเร่งเก็บของ ในทางตรงข้ามนางมีท่าทีเชื่องช้า
ในความคิดของนาง…อาจารย์ถงเป็นเช่นนี้ ถือว่าแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย มองจากท่าทางของอาจารย์ถงแล้วไม่คล้ายคนกำลังป่วยหนักสักนิด จะมีก็เพียงอาการป่วยเล็กน้อยที่ดูไม่ได้ร้ายแรงเท่านั้น
เรื่องน่ารู้ที่เคยเกิดขึ้นคือ สมัยที่อาจารย์ถงยังหนุ่มแน่น เขาเป็นคนประเภทที่วันก่อนเพิ่งตกจากหลังม้า แต่วันต่อมายังคงมาสอนได้ตามปกติ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ชอบฝืนตัวเองเพียงเพื่อให้ทุกสิ่งสำเร็จสมหวังดังความตั้งใจ หากวันนี้กลับ…?
“ซูเหลียนอวิ้น เหตุใดเจ้ายังไม่ไปอีกเล่า” อาจารย์ถงเก็บข้าวของบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นมาภาพที่เห็นคือ ซูเหลียนอวิ้นยังคงนั่งเหม่ออยู่ที่เดิม จึงเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ในห้องนี้เหลือเจ้าเพียงคนเดียวแล้ว ยังมีธุระอันใดอีกหรือ”
ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม “อาจารย์เจ้าคะ ศิษย์กำลังคิดอยู่ว่า ร่างกายของท่านเป็นอะไรมากหรือไม่ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ท่านยกเลิกคาบเรียนเพราะสุขภาพไม่ดี ไม่ว่าจะอย่างไรล้วนต้องรักษาสุขภาพไว้ก่อนเป็นอันดับแรก ท่านอย่าฝืนตัวเองดีที่สุด”
ซูเหลียนอวิ้นเองยอมรับว่าคำพูดนี้ถือเป็นการประจบประแจงอยู่บ้าง แต่พฤติกรรมวันนี้ของอาจารย์ถงถือว่าผิดปกติอย่างยิ่ง สัญชาตญาณบางอย่างที่นางไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร บอกนางว่าอาจารย์ถงมีบางเรื่องที่ปิดบังพวกเขาอยู่ อีกประการหนึ่งช่วงนี้นางใกล้ชิดกับหวังฉือหวน ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนแก่ตรงหน้าผู้นี้ คำพูดหวานๆ เพื่อแสดงการเอาใจใส่จึงหลุดออกมาจากปากได้อย่างเป็นธรรมชาติ
อาจารย์ถงเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องไปที่ซูเหลียนอวิ้น เขาคิดไม่ถึงว่าคนที่ตลอดมาเขาไม่ค่อยได้ใส่ใจ แถมยังคิดว่านางเป็นนักเรียนที่โง่เขลา สุดท้ายนางกลับกลายเป็นนางผู้ที่ใส่ใจตน ในใจของเขาจึงพลันบังเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่อาจารย์ถงรู้สึกว่าตนมีตาหามีแววไม่ นักเรียนที่เขาเคยมองว่าเปี่ยมด้วยพรสวรรค์และมีไหวพริบเป็นเลิศ ถึงยามนี้หาได้มีผู้ใดคอยอยู่ให้กำลังใจเขาไม่ ไม่…แม้จะเอ่ยวาจาให้เขารักษาสุขภาพ หากใคร่ครวญให้ดีเขาสั่งสอนให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้ แต่กลับลืมที่จะปลูกฝังเรื่องคุณธรรมซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญที่สุดได้อย่างไร
อาจารย์ถงเดินลงมาจากแท่นแล้วมองไปที่ซูเหลียนอวิ้น สายตานั้นไร้ซึ่งแววคลางแคลงใจ สักพักจึงได้ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เด็กดี เมื่อก่อนข้าไม่เคยสนใจเรื่องราวใดๆ ทำให้ลืมไปว่าเรื่องเหล่านั้นสำคัญแค่ไหน ข้าจะจำคำพูดของเจ้าเอาไว้ และเพื่อเป็นการขอบคุณน้ำใจที่เจ้ามีให้ อาจารย์ก็มีรางวัลที่อยากจะมอบให้เจ้า”
ซูเหลียนอวิ้น “…?”
นางพูดอะไรออกไป หมายความว่าอย่างไรกันแน่ ได้ลาภลอยเช่นนี้…ไม่นับว่าโชคดีเกินไปหน่อยหรือ ต่อไปคงต้องกินน้ำตาลให้มากเสียแล้ว เป็นเด็กปากหวานเช่นนี้ก็มีข้อดีไม่น้อย เพราะไปที่ใดก็มีแต่คนเมตตา
ในอดีตอาจารย์ถงไม่เคยมอบสิ่งของใดให้แก่นางลับหลังผู้อื่นเลย ขอแค่มองหน้านางตรงๆ สักครั้งก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เพราะในสายตาของเขา นางคงถูกมองว่าเป็นตัวถ่วงไร้ความรู้ความสามารถ การเปลี่ยนแปลงในวันนี้ถือว่ายิ่งใหญ่มากนัก
อาจารย์ถงหันตัวกลับไปแล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่ตรงแท่นบรรยาย จากนั้นจึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากช่องว่างที่ไม่รู้ว่าซ่อนอยู่ที่ใด หนังสือเล่มนั้นถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้า ดูแล้วคล้ายไม่เคยตกพื้นมาก่อนเลย อาจารย์ถงแกะห่อผ้าออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงหยิบหนังสือเล่มนั้นที่ถูกห่อหุ้มไว้ออกมา แล้วส่งให้ซูเหลียนอวิ้นพลางเอ่ยว่า “เด็กดี เจ้ารู้จักงานฉลองวสันตฤดูหรือไม่”
“งานฉลองวสันตฤดู?” ใจของซูเหลียนอวิ้นกระตุกวาบ ทว่าบนใบหน้ายังเคลือบไปด้วยรอยยิ้ม “คืออะไรหรือเจ้าคะ มันคืองานฉลองอะไรหรือ”
ตอนที่ 35 ช่วงเวลาสำคัญ
อาจารย์ถงได้ยินดังนั้นจึงส่ายหน้า แล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่ นี่ถือเป็นการสอบสนามหนึ่ง เพียงแค่มีชื่อเรียกว่างานฉลองวสันตฤดูก็เท่านั้น งานฉลองนี้จะเริ่มขึ้นในเร็ววันนี้แล้ว”
เป็นจริงอย่างที่ซูเหลียนอวิ้นคิดไว้ ความรู้สึกในใจของนางหนักอึ้ง นางคาดไว้แล้วว่าอาจารย์ถงมีบางเรื่องปิดบังพวกนาง
ที่แท้คือเรื่องนี้เอง…แต่เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าวันเวลาถึงได้เร็วกว่าเมื่อชาติก่อนมากนัก? หรือว่านางจำผิดมาตลอด?
ซูเหลียนอวิ้นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้หมายความเช่นนี้เอง เป็นศิษย์เองที่โง่เขลา ได้ยินชื่อเช่นนี้ ศิษย์จึงเข้าใจว่าเป็นงานฉลองงานหนึ่ง” ในใจของซูเหลียนอวิ้นตอนนี้รู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก
การสอบอย่างนั้นหรือ เมื่อพูดถึงการสอบย่อมต้องมีหัวข้อที่จะใช้สอบใช่หรือไม่ ผู้ออกข้อสอบครั้งนี้ยืนอยู่ต่อหน้าต่อตานางแล้ว! แต่นางเกรงว่าหากถามโดยตรงจะชัดแจ้งจนเกินไป กว่าอาจารย์ถงจะมีความรู้สึกที่ดีต่อนางได้นั้นไม่ง่าย แต่จู่ๆ จะให้ลดลงอีกได้อย่างไร แต่หากจะให้พูดหยั่งเชิง…การพูดหยั่งเชิงของนางคงไม่สามารถสื่อความหมายนั้นออกไปได้อยู่ดี!
เมื่ออาจารย์ถงเห็นซูเหลียนอวิ้นมีท่าทางเหม่อลอยครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ โดยยังคงยืนอยู่ตรงหน้าตนไม่ยอมปริปากอะไรนั้น ในใจจึงกระตุกวาบ
หากบอกเล่าเรื่องนี้แก่ผู้อื่น คงจะรีบถามเขาอย่างอ้อมๆ ว่าหัวข้อที่จะออกสอบนั้นมีอะไรบ้าง หรือไม่ก็อาจจะถามเขาว่าแนวข้อสอบนั้นเป็นอย่างไร อาจารย์ถงตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าหากซูเหลียนอวิ้นเอ่ยถาม เขาก็คงจะบอกกับนางไปตรงๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้จะซื่อสัตย์ถึงเพียงนี้ แม้แต่ถามก็ไม่ถามสักนิด?
อาจารย์ถงยิ่งรู้สึกวางตัวไม่ถูก เด็กคนนี้แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนซื่อสัตย์ ตัวเขาจึงดูด้อยค่าที่ไปมองว่านางแย่ถึงเพียงนั้น
หากตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นรู้ว่าในใจของอาจารย์ถงคิดสิ่งใดอยู่ ตอนนางกลับไปถึงเรือนคงจะรีบเข้าไปไหว้พระพุทธรูปทันที เพราะเมื่อวันก่อนนางยังขอให้พระประทานพรให้นางมีภาพลักษณ์ที่ดีๆ ในงานวันฉลองวสันตฤดูอยู่เลย และแล้ววันนี้ท่านก็ได้ประทานโชคใหญ่ให้นางเช่นนี้! นางรู้สึกซาบซึ้งยิ่ง กลับถึงเรือนเมื่อไหร่ต้องจุดธูปบูชาท่านแน่
“แค่ก…” เสียงไอของอาจารย์ถงดังขึ้นอีกครั้ง สุดท้ายตอนนี้บรรยากาศอึดอัดได้คลี่คลายลงแล้ว เมื่อดูตามรูปการณ์แล้ว ด้วยความซื่อสัตย์ของเด็กคนนี้ หากเขาไม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง นางก็คงจะไม่เข้าใจ จึงเอ่ยขึ้นว่า
“ซูเหลียนอวิ้น ตำราเล่มนี้ เมื่อเจ้ากลับถึงจวนแล้วจงอ่านอย่างละเอียด บรรทัดใดที่ข้าได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เจ้าต้องกลับไปทบทวนให้ดีๆ เมื่อถึงวันงานฉลองวสันตฤดู อาจารย์จะคอยดูเจ้า”
อย่าทำให้เขาต้องขายหน้าเป็นพอ เพราะปกติคะแนนของซูเหลียนอวิ้นเป็นอย่างไรเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจ อีกทั้งเขายังให้ตำราเล่มนี้ไป นั่นถือว่ากึ่งทุจริตได้หรือไม่ จิตใจของอาจารย์ถงนั้นก็สับสนวุ่นวายอยู่ไม่น้อยเลย
ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือทั้งสองออกไปรับตำรามา ก่อนจะพลิกดูครั้งสองครั้งอย่างระมัดระวัง ยามเมื่อเข้าถึงเนื้อหาอย่างละเอียด นางถึงกับต้องกรีดร้องออกมา
ตำราเล่มนี้…ท่านอาจารย์ถง! ต่อไปซูเหลียนอวิ้นจะต้องพยายามเอาอกเอาใจท่านอย่างแน่นอน!
นางเองเคยเข้าร่วมงานฉลองวสันตฤดูมาแล้วครั้งหนึ่ง ข้อสอบในตอนนั้น แม้ว่านางจะยังพอมีความทรงจำเหลืออยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็จำได้เพียงน้อยนิด เป็นเพียงแค่ความทรงจำรางๆ เท่านั้น ตอนนี้เมื่อนางพลิกดูเนื้อหาในตำรา ความทรงจำในหัวทั้งหมดก็ค่อยๆ ทยอยกลับคืนมาในชั่วพริบตา
จุดที่ทำสัญลักษณ์เหล่านี้เอาไว้ จะต้องเป็นข้อสอบในงานวันฉลองวสันตฤดูอย่างแน่นอน!
ซูเหลียนอวิ้นปิดตำราลงพยายามสกัดกั้นความตื่นเต้นไว้ภายในใจ จากนั้นจึงหายใจเข้าลึกๆ รอจนรู้สึกว่าผู้อื่นไม่อาจสังเกตเห็นถึงอารมณ์ของตนที่ผิดแปลกไป จึงได้เงยหน้าอย่างช้าๆ พลางเอ่ยว่า “ความช่วยเหลือครั้งนี้ของท่านอาจารย์ ศิษย์จะจดจำเอาไว้เป็นอย่างดี รอจนวันนั้นมาถึง ศิษย์จะต้องไม่ทำให้ท่านอาจารย์ขายหน้าอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เมื่ออาจารย์ถงได้ยินดังนั้นก็ลูบเคราบริเวณคางของตนแล้วยิ้มอย่างเบิกบาน “ดี! เจ้ามีความมุ่งมั่นเช่นนี้ จะต้องประสบความสำเร็จได้แน่ อาจารย์มองเจ้าไม่ผิดจริงๆ”
…
ซูมั่วเยี่ยนำหน้าออกไปเรียกคนรถก่อนแล้ว เพราะด้านนอกพระอาทิตย์ดวงใหญ่ยิ่งนัก เขาไม่อยากให้น้องสาวของตนต้องโดนแดดเผาจนหน้าดำ จึงให้ซูเหลียนอวิ้นรออยู่ด้านในห้องก่อนแล้วค่อยตามออกมา
ส่วนเหตุผลใดที่ทำให้ผู้อื่นถึงเต็มใจออกมาโดนแดดเผาและไม่ยอมกลับเข้าไปด้านในห้องนั้น พวกเขาคงจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่อยากอยู่กับอาจารย์ถงอีก
เฮ้อ น่าเสียดายยิ่ง ซูเหลียนอวิ้นพยายามข่มความยินดีที่อยู่ในใจ หากวันนี้พวกเขารู้ว่าไม่เพียงต้องตากแดด แต่ยังพลาดของบางอย่างไป ภาพการตีอกชกหัวก็ยังไม่สามารถนำมาบรรยายอารมณ์ของพวกเขาได้ในตอนนั้น
“เจ้ารอนานแล้วใช่หรือไม่ พวกเราไปกันได้แล้ว” เมื่อซูมั่วเยี่ยผลักประตูเข้ามาก็เห็นว่าน้องสาวของตนกำลังอ่านตำราเล่มหนึ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ
“อ้าว ท่านพี่” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นมา จากนั้นค่อยๆ นำตำราเล่มนั้นของอาจารย์ถงซ่อนไว้ด้านหลัง สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนไป “รถม้ามาถึงแล้วหรือ เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิดเจ้าค่ะ”
นี่ไม่ใช่ว่านางขี้งกจนไม่ยอมให้ซูมั่วเยี่ยดู แต่ว่าตอนที่อาจารย์ถงกำลังจะแยกย้ายกับนางนั้นได้กำชับกับนางไว้แล้วว่า เรื่องตำราเล่มนี้มีนางผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ อย่าให้ผู้อื่นรู้เด็ดขาด หากตอนนี้ท่านพี่รู้ ย่อมไม่เป็นผลดี ไม่ว่าจะต่อนางหรืออาจารย์ถง แม้ว่านางจะมั่นใจว่าต่อให้นางบอกซูมั่วเยี่ย ซูมั่วเยี่ยก็คงจะไม่พูดอะไรออกไปอยู่ดี แต่ท้ายที่สุดก็ถือว่านางผิดต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับอาจารย์ถง ดังนั้นอย่าได้ถือโทษโกรธนางที่จำเป็นต้องซ่อนตำราเอาไว้เลย
อันที่จริงแล้วซูมั่วเยี่ยสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยนั้นของซูเหลียนอวิ้นแล้ว เขาเป็นคนฝึกวรยุทธ์ หากการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นยังดูไม่ออก นั่นแสดงว่าที่ผ่านมาเขาเสียเวลาเปล่า
ทว่าเขากลับไม่ได้บีบบังคับซูเหลียนอวิ้น ในเมื่อน้องหญิงไม่ยินดีจะพูด นั่นย่อมประจักษ์แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายังไม่แน่นแฟ้นถึงขั้นนั้น และเป็นเขาเองที่ต้องพยายามให้มากขึ้น วันใดที่สายสัมพันธ์ถักทอเป็นหนึ่งเดียว แน่นอนว่าน้องหญิงย่อมต้องบอกเล่าทุกเรื่องให้เขารับฟัง
“ไปกันเถิด” ซูมั่วเยี่ยจูงมือซูเหลียนอวิ้นเพื่อพานางไปขึ้นรถม้า ซึ่งภาพตรงหน้าไม่ใช่ภาพที่จะพบเห็นได้บ่อยนัก
…
บนรถม้า ยามนี้คนที่เป็นฝ่ายพูดมากกว่ากลับกลายเป็นซูมั่วเยี่ย
ซูมั่วเยี่ยบอกเล่าข่าวสารต่างๆ ที่เขาได้รับรู้มามากมายหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องทางการทหาร ขณะที่หลีมู่กับซูเหลียนอวิ้นต่างก็ฟังกันอย่างตั้งใจ โดยที่ไม่ทันได้รู้ตัวว่าสายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องได้เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อยแล้ว
“ท่านพี่” ครั้งนี้ซูเหลียนอวิ้นเป็นฝ่ายกระโดดลงจากรถม้าก่อน เป็นเพราะว่าหากยังต้องให้ซูมั่วเยี่ยช่วยประคองนางลงจากรถม้าที่หน้าประตูจวนอีก นางคงรู้สึกอายไม่น้อย เมื่อเช้าไม่มีใครพบเห็นจึงไม่เป็นไร หากตอนนี้มีผู้คนมากมายนางจึงขอลงด้วยตนเองดีกว่า
“ท่านพี่เจ้าคะ นั่งรถมาตลอดทาง คงจะเหนื่อยแล้วกระมัง เช่นนั้นตอนบ่ายท่านค่อยมาหาข้า แล้วค่อยสอนกระบวนท่าที่ยังเหลืออยู่ให้ข้าก็ได้ ตอนนี้ข้าเองก็อยากจะพักผ่อนสักหน่อยเจ้าค่ะ”
ซูเหลียนอวิ้นกล่าวอย่างร้อนรน เพราะหากฟังจากคำพูดของอาจารย์ถงเมื่อครู่นี้ เหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบวันก็จะถึงงานฉลองวสันตฤดูแล้ว! ภายในเวลาสิบวันนี้นางจะต้องรีบท่องจำเนื้อความในตำราให้ขึ้นใจ ทุกวินาทีจึงล้วนมีค่ายิ่ง
ตอนที่ 36 ขอร้อง
“เอาล่ะ” ซูมั่วเยี่ยพยักหน้า เมื่อเห็นท่าทางของซูเหลียนอวิ้นดูร้อนรน เขาเอ่ยว่า “หากน้องหญิงเหนื่อยก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด เรื่องอื่นๆ รออีกสักวันสองวันค่อยจัดการคงไม่มีปัญหาอะไร”
“เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นตอบรับแต่ภายในใจกลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว นางไม่พูดอะไรให้มากความ รีบแบกตำรากลับเรือนของตนทันที
…
ณ จวนจิ้งอันโหว
ภายในเรือนต้วนเฉินเซวียนนั่งอยู่เพียงลำพังด้านหน้าโต๊ะหนังสือ แววตาล้ำลึกยากจะคาดเดาว่ากำลังคิดสิ่งใด ใบหน้าถมึงทึงดำคล้ำราวสีหมึกของเขา ทำเอาบรรดาคนรับใช้ที่เข้ามาดูแลมองเขาเพียงแวบเดียว และไม่กล้ามองอีกเป็นครั้งที่สอง
“พี่ต้วน!”
สมาธิของต้วนเฉินเซวียนถูกเสียงร้องเรียกนั้นขัดจังหวะขึ้นกะทันหัน เขาจึงรู้สึกหงุดหงิดและปวดศีรษะขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “หลิวจือ ไปดูด้านนอกทีว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”
“ขอรับ”
ภายในลานบ้าน มีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ คนผู้นี้หากเรียกว่าบุรุษคงไม่เหมาะสมเท่าเรียกว่าเด็กชาย แม้ว่าท่าทางของเขาดูแล้วจะอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ใบหน้าของเขากลับอ่อนเยาว์ยิ่งนัก ประกอบกับรอยยิ้มซื่อๆ ที่อยู่บนใบหน้านั้นด้วยแล้ว คนผู้นี้ทำให้ทุกคนที่พบเห็นต่างรู้สึกถึงความร่าเริงแจ่มใส ดูแล้วไม่มีความสุขุมเยือกเย็นเลยแม้แต่น้อย
“คุณชายหัน” เมื่อหลิวจือเห็นว่าเป็นผู้ใดก็รีบทำความเคารพ “คุณชายหันมาวันนี้ด้วยเรื่องสำคัญอันใดหรือขอรับ”
ชายผู้นั้นเพียงโบกมือแล้วตอบว่า “โอ้ย แค่รู้สึกเบื่อเลยแวะมาหาพี่ต้วนเพื่อคลายเครียดสักหน่อยเท่านั้น ทำไมหรือ วันนี้พี่ต้วนมีธุระอันใด หรือว่า…มีนัดกับสาวงามอยู่ แล้วข้ามาขัดจังหวะเข้าพอดี” พูดจบแววตาของเขาก็ฉายประกายเคลือบแคลง ทำให้ไม่ว่าผู้ใดเห็นก็ไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าตอบเช่นไรดี
“หันชิงอวี่ เจ้าว่างนักรึ!” เสียงของต้วนเฉินเซวียนดังออกมาจากในเรือน เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินการสนทนาด้านนอกมาตั้งแต่ต้น
“คุณชายหันขอรับ…” เมื่อหลิวจือได้ยินเสียงนั้นร่างของเขาพลันสั่นเทา ก่อนจะยื่นมือออกไปดึงตัวคุณชายหันที่อยู่ด้านข้างเข้ามาแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “วันนี้คุณชายมาหานายท่านมีธุระสำคัญอันใดหรือไม่ หากไม่มีธุระสำคัญใดๆ กระหม่อมแนะนำให้คุณชายกลับไปก่อนเถิด” เมื่อพูดจบก็ใช้สายตาน่าสงสารที่เต็มไปด้วยความหวังดีมองไปที่หันชิงอวี่
หันชิงอวี่เมื่อได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสับสน ทว่าเพียงชั่วขณะความอยากรู้อยากเห็นนี้ก็ถูกหลิวจือกระตุ้นขึ้น เขาจึงชะโงกหน้าเข้าไปแล้วถามด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ทำไมหรือ วันนี้นายท่านของเจ้า…ระดูคงไม่ได้มาพอดีกระมัง ฟังจากน้ำเสียงแล้วคงหงุดหงิดไม่น้อยเลยทีเดียว”
หลิวจือจึงตอบว่า “เกรงว่าวันนี้จะเป็นวันที่นายท่านอารมณ์ไม่ดีที่สุดในรอบเดือนเลยนะขอรับ! หากท่านไม่มีธุระเร่งด่วนอะไรก็กลับไปก่อนเถิด” ในใจของเขาแอบบ่นต่อไปว่า จะได้เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้ท่านไปยั่วโทสะนายท่าน จากนั้นท่านก็จะลอยนวลหนีไป ทิ้งให้พวกเขาที่หนีไปไหนไม่ได้ต้องรองรับโทสะนั้นแทน ซึ่งหาได้เป็นธรรมกับพวกเขาไม่!
หันชิงอวี่ยกมือขึ้นลูบคาง “จริงเสียด้วย! วันที่อารมณ์ไม่ดีที่สุดในรอบเดือนใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นวันนี้คงเป็นวันที่ระดูมาจริงๆ! “
เมื่อกล่าวจบเขาก็ก้าวเท้าเดินผ่านไป ก่อนจะผลักบานประตูเดินเข้าไปด้านในอย่างไม่ลังเล
ภายในห้องต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าขึ้นเหลือบมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้คราหนึ่ง จากนั้นก็ไม่แสดงปฏิกิริยาใด เขาเพียงส่งสายตารำคาญแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้ามาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือไม่ หากไม่มีธุระก็ไสหัวกลับไป หากพ่อเจ้าบ่น เจ้าอย่ามาขอให้ข้าช่วยก็แล้วกัน”
“เฮ้อ! ท่านมันลืมคุณคน!” หันชิงอวี่พูดพลางยกถ้วยน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมารินให้ตัวเองหนึ่งจอกแล้วดื่มรวดเดียวหมด จากนั้นเอ่ยต่อว่า “ท่านไม่รู้จักสำนึก เมื่อครั้งที่ท่านขอร้องให้ข้าช่วยไม่ได้มีท่าทีเช่นนี้” พูดจบก็เอามือเท้าสะเอว สีหน้าไร้ความหวาดหวั่น
“ขอร้อง?” ต้วนเฉินเซวียนยืดตัวขึ้นเหยียดยิ้มพลางเอ่ย “เจ้าพูดจริง?”
เดิมทีหันชิงอวี่อยากจะใช้โอกาสนี้หยอกเขาสักประโยคสองประโยคให้เขามีอารมณ์ขัน ทว่าเมื่อเห็นต้วนเฉินเซวียนยิ้มขึ้นทันควันเช่นนี้ จึงหยุดความคิดของตนเอาไว้
“มิใช่ๆ หากจะทำเรื่องใดเพื่อต้วนเฉินเซวียนแล้ว ข้าย่อมทำด้วยความเต็มใจ จงรักภักดี มิกล้าเอ่ยคำปฏิเสธใดๆ” ศีรษะของหันชิงอวี่ในเวลานี้ส่ายไปมาราวกับป๋องแป๋ง ลำตัวของเขายืดตรง ทำให้คำพูดเมื่อครู่ดูจริงใจราวกับเป็นความคิดที่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจอย่างแท้จริง
แน่นอนว่าเป็นคำพูดที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกซาบซึ้งจากก้นบึ้งของจิตใจเช่นกัน
หันชิงอวี่ไม่ใช่คนโง่ ตรงกันข้าม เขาฉลาดหลักแหลมเหนือผู้ใด รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง ผู้ใดเล่นได้ ผู้ใดเล่นไม่ได้ เขาแยกแยะได้ชัดเจน
ตอนที่เขาเข้ามาในห้องแล้วพูดจาหยอกล้อกับต้วนเฉินเซวียน นั่นเป็นเพราะพวกเขาเป็นเพื่อนที่คบหากันมานาน หยอกล้อกันเพียงเท่านี้ย่อมไม่ถูกเก็บเอาไปใส่ใจ อีกทั้งยังเป็นตอนที่ทุกคนอารมณ์ดีอยู่ การหยอกล้อจึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องอะไร
ทว่ารอยยิ้มอันไร้พิษสงของต้วนเฉินเซวียนในยามนี้แสดงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่าเขาแสร้งทำ! ยิ่งฉีกยิ้มด้วยความสำราญเท่าไหร่ ภายในจิตใจก็ยิ่ง…
ดูท่าแล้ววันนี้พี่ต้วนอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง!
หันชิงอวี่แอบรู้สึกเสียใจ เหตุใดเขาถึงควบคุมขาสองข้างของตนไม่ได้เล่า หากรู้แต่แรกคงฟังคำเตือนของหลิวจือแล้วรีบจากไปก่อนก็คงจะดี แต่ตอนนี้…จะกลับก็ลำบาก อยู่ต่อก็ลำบากเช่นกัน
“อืม พูดได้ดี ข้าชอบฟัง” ต้วนเฉินเซวียนก้มหน้าลงจึงมองสีหน้าได้ไม่ชัดเจนนัก
เมื่อหันชิงอวี่เห็นท่าทางของเขาก็รู้ว่าพายุฝนได้ผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนั้นท่าทางของเขาจึงเคร่งขรึมขึ้น “พี่ต้วน ก่อนหน้านี้ที่ท่านให้ข้าไปสืบเรื่องราวของหยางเกิ่งรั่ง ตอนนี้มีความคืบหน้าแล้ว”
“อ้อ?” ต้วนเฉินเซวียนค่อยๆ ยืนขึ้น เอามือลูบที่มุมโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเขาย้ายทรัพย์สมบัติไปไว้ที่ใดแล้ว”
“เจียงหนาน”
“เจียงหนานเองหรือ…ไม่ผิดไปจากที่ข้าคิดไว้เท่าไหร่”
หันชิงอวี่ได้ยินดังนั้นพลันหยุดชะงัก
“พี่ต้วนรู้แล้วหรือ” เขาต้องใช้กำลังคนของเขามากมายกว่าจะสืบข่าวเรื่องนี้ได้ เพราะหยางเกิ่งรั่งผู้นี้เปรียบเหมือนปลาหนีชิว[1] ตัวหนึ่งที่ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ให้ตามหาได้เลย แม้เบาะแสเพียงน้อยนิดก็ต้องทุ่มเทกำลังคนมากมายกว่าจะสืบให้กระจ่างได้
ต้วนเฉินเซวียนเคาะนิ้วมือบนโต๊ะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้าเดา ช่วงนี้ที่เจียงหนานมั่งคั่ง หากจู่ๆ ที่นั่นมีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวเพิ่มขึ้นอีกคน มีร้านค้าหรือไม่ก็โรงเตี๊ยมที่หรูหราผุดขึ้นมา ผู้คนคงตีความไปว่านั่นเป็นกิจการใหม่ของมหาเศรษฐีคนใดคนหนึ่ง หรือไม่ก็อาจกล่าวอ้างว่าด้วยวิวทิวทัศน์ที่งดงามของเจียงหนาน จึงมีครอบครัวหนึ่งตั้งใจย้ายไปพำนักที่นั่นก็เท่านั้น ตอนนี้การไปทำการค้าที่เจียงหนาน จะไม่กระตุ้นความสงสัยของผู้ใดได้”
หันชิงอวี่ได้ฟังดังนี้ก็ปรบมือชื่นชม “พี่ต้วน ท่านเป็นเทพเซียนจริงๆ จากข่าวที่ข้าไปสืบมาได้ เมื่อเทียบกับที่ท่านเดาไว้ถือว่าถูกไป แปด เก้า ไม่ห่างจากสิบเท่าใดนัก แหล่งข่าวรายงานว่าที่นั่นปรากฏโรงรับจำนำแห่งหนึ่งขึ้น และผู้ที่เป็นเจ้าของร้านนั้น กลับไม่มีคนเจียงหูเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขามาก่อน หากทำกิจการได้อย่างโอ่อ่าเปิดเผย ดูท่าแล้วรายรับคงดี เนื่องจากปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันแถมยังรวดเร็วราวกับผุดขึ้นจากความว่างเปล่าเช่นนี้ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะช่วยให้พวกเราคลำหาเบาะแสได้ไม่มากก็น้อย ดังนั้นจึงเริ่มลงมือสืบต่อไป”
“คาดว่าตอนนี้พวกหยางเกิ่งรั่งน่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยขึ้น “ตัวเขาเปรียบเสมือนจิ้งจอกเฒ่า ทำการกระโตกกระตากเช่นนี้ ต้องไม่ใช่ตัวเขาลงมือเองเป็นแน่ อีกอย่างตอนนี้แม้แต่เจ้ายังสืบข่าวนี้มาได้ เกรงว่าเขาคงใกล้จะวางมือเต็มทีแล้ว”
——
[1] ปลาหนีชิว ปลาสีดำรูปร่างยาว ลักษณะคล้ายปลาดุก
ตอนที่ 37 หอนางโลม
ดูท่าแล้ว หยางเกิ่งรั่งคงจะนำสมบัติล้ำค่าพวกนั้นแปลงสภาพเป็นโบราณวัตถุที่หาได้ยากกระมัง ก็นับว่าถูก ของประเภทโบราณวัตถุยากต่อการตามสืบ อีกทั้งต่อให้ตามสืบได้ก็ยังสามารถอ้างได้ว่าเป็นของปลอมทั้งหมด
เมื่อครุ่นคิดถึงตรงนี้ ต้วนเฉินเซวียนก็ยิ้มหยันในใจแล้วเอ่ยออกมาว่า “ทำทุกเรื่องเหมือนพวกเราทุกคนเป็นคนโง่เขลา”
เขาคงมิได้คิดว่าการลงมือทำการใดๆ ของเขาล้วนไม่มีผู้ใดตามสืบได้กระมัง หรืออาจจะคิดว่าตระกูลของตนส่งสตรีผู้หนึ่งเข้าวังจนสามารถมัดใจโอรสสวรรค์ได้แล้วจะปั่นหัวเขาเล่นอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือ ช่างน่าขันยิ่ง หรืออาจถึงขั้นน่าอนาถใจเลยด้วยซ้ำ
หันชิงอวี่พยักหน้าและถามขึ้นตามรูปการณ์ว่า “เช่นนั้นควรจัดการอย่างไรดี จะให้เข้ารวบเลย หรือว่า…”
“เหตุใดพวกเราต้องเอาตัวเข้าไปเกี่ยวพันมากมายเช่นนั้นด้วย เรื่องต่อจากนี้ พวกเราไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งแล้ว” กล่าวถึงตรงนี้ ต้วนเฉินเซวียนก็เดินไปยังอีกด้านหนึ่งของห้องเพื่อรินชาให้กับตัวเองจอกหนึ่ง “ถ้าหากทุกเรื่องราวใต้หล้า พวกเราล้วนเข้าไปจัดการทั้งหมด เช่นนั้นแล้วตำแหน่งฮ่องเต้จะไม่สบายเกินไปหน่อยหรอกหรือ เพียงแค่นำเรื่องนี้กราบทูลรายงานสักหน่อยก็พอแล้ว เจ้าเองก็จะมีเวลาพักผ่อนมากขึ้นอีกระยะหนึ่ง”
ท่าทีการพูดอย่างผ่อนคลายของต้วนเฉินเซวียนคล้ายเขาไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสมในคำพูดตน คำว่าตำแหน่งฮ่องเต้นั้น…เกรงว่าต่อให้เป็นฮ่องเต้เอง ก็คงจะไม่กล้าเรียกอย่างส่งเดชเช่นนี้
หันชิงอวี่ไม่เห็นด้วยนัก อีกอย่างเรื่องของเขาก็รายงานจนหมดแล้ว เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย แต่เมื่อเขาเห็นหว่างคิ้วของต้วนเฉินเซวียนยังคงขมวดแน่นก็ไม่เข้าใจว่าเกิดจากสาเหตุใด
พี่ต้วนคงไม่ได้กำลังหงุดหงิดใจด้วยเรื่องนี้หรอกกระมัง
หันชิงอวี่เป็นแบบอย่างของคนประเภทที่เรียกว่าเมื่อแผลหายดีแล้วก็ลืมความเจ็บปวดทั้งสิ้นไป ตอนนี้บรรยากาศเพิ่งจะผ่อนคลายลง เขากลับอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกไปอีกว่า “พี่ต้วน วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านหรือ เห็นชัดว่าในใจของท่านร้อนรุ่ม ความร้อนรุ่มนี้หากสะสมไว้ในใจนานเข้าโดยไม่ได้ระบายออก นั่นอาจจะเป็นเหตุให้ท่านป่วยหนักได้ เช่นนั้นมิสู้ท่านบอกเล่ากับน้องชายอย่างข้าจะไม่ดีกว่าหรอกหรือ อย่างน้อยข้าอาจช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง ตอนนี้ดูจากสีหน้าท่านแล้วคล้ายมีผู้ใดติดเงินอยู่ก็มิปาน”
ต้วนเฉินเซวียนวางถ้วยชาลงแล้วหมุนตัวไปตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าเองกลับมิเคยรู้ แม่ของข้าไปให้กำเนิดเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือว่า…ที่จริงแล้วใต้เท้าหันไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเจ้า ดังนั้นจุดประสงค์ที่เจ้ามาในวันนี้คือมาเพื่อเข้าเป็นคนของตระกูลข้า” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยต่อว่า “แต่หากวันนี้เจ้าจะเข้าเป็นคนในตระกูลข้า เจ้าก็คงมาผิดที่แล้ว ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าหน้าตาดีเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง โฉมหน้าอย่างเจ้า…ควรจะลองไปหาที่บ้านแม่เฒ่าหม่าดู อาจจะพอหาเบาะแสได้บ้าง”
บ้านแม่เฒ่าหม่านั้นเลี้ยงชีพด้วยการขายเต้าหู้ เต้าหู้ของบ้านนี้อร่อยเป็นที่หนึ่ง แต่สำหรับโฉมหน้าค่าตานั้น…อย่าเอ่ยถึงจะดีกว่า ถึงอย่างไรหากขึ้นชื่อว่าเป็นลูกหลานของบ้านนี้ก็ล้วนได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมสำคัญข้อหนึ่งมา มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ได้ทำออกมาอย่างส่งๆ
จมูกแบนราบ ตาโบ๋ลึก
ผู้ใดพบเห็นจะต้องมีความสามารถเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง คือเพียงเห็นผ่านตาก็ไม่อาจลืมเลือนได้
เมื่อหันชิงอวี่โดนต้วนเฉินเซวียนว่ากล่าวโดยไร้คำหยาบเช่นนี้ ความคิดของเขาจึงชะงักไป จากนั้นจึงเดินย่ำเป็นวงอยู่หลายรอบ สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “ข้าทำคุณบูชาโทษโดยแท้! ข้ามีใจอยากช่วยเหลือท่าน แต่ท่านกลับเป็นเช่นนี้ ข้าชักรู้สึกเหลือทนแล้วเช่นกัน”
“ไม่ต้องหรอก” ต้วนเฉินเซวียนเหลือบมองคราหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “หากไม่มีเรื่องใดแล้วก็รีบหายตัวไปให้พ้นหน้าข้าเถิด เจ้าคิดอะไรอยู่ในใจมีหรือที่ข้าจะไม่รู้”
หันชิงอวี่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของต้วนเฉินเซวียนก็หัวเราะออกมา เพราะเรื่องที่สามารถทำให้พี่ต้วนเกิดความรู้สึกรุนแรงเช่นนี้ได้…เขาต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน!
“พี่ต้วน เหตุใดต้องเกรี้ยวกราดเช่นนี้ด้วยเล่า” หันชิงอวี่โพล่งออกไปด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “วันนี้ไม่มีธุระใดพอดี เช่นนั้นพวกเราไปเที่ยวปลดปล่อยข้างนอกกันดีหรือไม่ ได้ยินมาว่า เร็วๆ นี้หอชิงฮวนมีสาวๆ มาใหม่ เป็นนางรำมาจากเปอร์เซียกลุ่มหนึ่งเชียวนะ ทั้งเอวคอด สายตาและหน้าอกหน้าใจนั้น เมื่อพี่ต้วนเห็นแล้วจะต้องลืมความกลัดกลุ้มต่างๆ หมดสิ้นแน่ ท่านจะไปหรือไม่” หันชิงอวี่ไม่เชื่อว่า เมื่ออยู่ท่ามกลางสุราและนารี ต้วนเฉินเซวียนจะยังมีความลับปิดบังอะไรอีก ถึงเวลานั้นก็คงจะปิดบังไว้ไม่ไหว แถมยังจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดอีกต่างหาก
หันชิงอวี่เป็นผู้มีใบหน้าเยาว์วัยไร้เดียงสา แม้ว่าเวลานี้จะพูดจาลามก แต่ด้วยรูปโฉมแล้วกลับข่มความหยาบคายเหล่านั้นหายไปมากทีเดียว หากผู้อื่นเห็นเขาคงรู้สึกว่านี่เป็นท่าทางของเด็กน้อยที่พยายามจะเป็นผู้ใหญ่จึงพยายามทำตัวคุ้นเคยเรื่องราวทางโลกีย์เท่านั้น ซึ่งนี่ทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขัน
“ออกไป” ต้วนเฉินเซวียนบีบถ้วยชาในมือแน่นราวกับกำลังอดทนกับบางเรื่องอย่างถึงขีดสุดแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ดูแล้วช่วงนี้เจ้าคงว่างมากสินะ ข้าคิดว่าถึงเวลาที่ข้าต้องคุยกับใต้เท้าหันสักหน่อยแล้ว เจ้าเองก็มิใช่เด็ก ควรเข้ารับราชการเสียที”
ไปหอนางโลม…นี่เขาดูเป็นคนดิบเถื่อนเช่นนั้นเลยหรือ ในหัวของหันชิงอวี่คงมีแต่น้ำเข้าไปเต็มหมดแล้วกระมัง ต้วนเฉินเซวียนคิดว่าการที่ตนยังไม่จับเขาโยนออกไปถือว่าเมตตากับเขามากแล้ว
“อย่าๆๆ พี่ต้วนๆ มาคุยกันดีๆ ก่อน อย่าไปหาพ่อข้าเลย กว่าท่านพ่อจะไม่หาเรื่องข้าอย่างเช่นตอนนี้นั้นไม่ง่ายเลย ท่านช่วยทำให้ข้าได้เก็บช่วงเวลาดีๆ เช่นนี้เอาไว้ก่อนเถิด”
หันชิงอวี่ยอมแพ้ทันที หากต้วนเฉินเซวียนต้องการจะไปหาท่านพ่อของเขาจริงๆ เรื่องนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น แค่ไปพบพ่อของเขา ผลที่ตามมาคงจะทำให้ผู้คนต่างขนพองสยองเกล้า! เขาเคยสัมผัสกับความน่าสยดสยองนั้นมาแล้วด้วยการจัดการของต้วนเฉินเซวียน
จะท้าทายอีกหรือ เขาเกรงว่าชะตาของตนคงไม่ได้แข็งขนาดนั้น
ต้วนเฉินเซวียนฟังความนัยที่อยู่ในเสียงของเขาออก แล้วถามว่า “ทำไมหรือ ช่วงนี้บิดาเจ้ายุ่งอยู่หรืออย่างไร หรือจะบอกว่าเป็นเพราะพี่ใหญ่ของเจ้า”
หันชิงอวี่เกิดในตระกูลของอัครมหาเสนาบดี ในอดีตคนในครอบครัวของเขาล้วนรับราชการทั้งสิ้น แต่เมื่อถึงยุคของหันชิงอวี่ เขากลับไม่สนใจในเรื่องการปกครองบ้านเมืองและการรับราชการ แต่กลับเอนเอียงไปสนใจในการทำธุรกิจหาเงินมากกว่า
เมื่อบิดาของหันชิงอวี่เข้าสู่ช่วงวัยกลางคน นิสัยก็ยิ่งดื้อรั้นและคร่ำครึมากขึ้น ชีวิตเขายอมรับเพียงอาชีพรับราชการเป็นขุนนางเท่านั้น เป็นขุนนางที่ดีต้องมือสะอาด ไม่ควรละโมบจนเกินไป อีกทั้งยังได้เปรียบเทียบอีกว่า บัณฑิต เกษตรกร คนงานและพ่อค้า พ่อค้าถูกจัดอันดับอยู่ท้ายสุด เพราะเป็นงานที่คนดูถูกกันมากที่สุด ตระกูลของอัครเสนาบดีเองก็ไม่ได้ขัดสนเงินทอง เหตุใดต้องไปสนใจงานเช่นนั้นด้วยเล่า”
แต่เรื่องราวกลับตรงกันข้าม ตระกูลของเขากลับมีบุตรชายที่ชอบข้องเกี่ยวกับเงินทองอย่างเป็นชีวิตจิตใจจนทำให้เขารู้สึกขายหน้า เมื่อเห็นหน้าหันชิงอวี่ก็โกรธจนจมูกไม่เป็นจมูก ตาไม่เป็นตาขึ้นทันใด แต่ยังดี หันชิงอวี่แม้ดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง แต่ในหัวของเขายังคงเห็นแก่พี่ชายใหญ่ของเขา พี่ชายใหญ่ของเขากลับเป็นคนที่ทำเรื่องราวใดๆ อยู่ในกฎในระเบียบตลอดมา ดำเนินรอยตามเส้นทางที่ใต้เท้าหันปูทางไว้ให้ ไม่เคยปรากฏความผิดพลาดแม้แต่น้อย
เมื่อมีของล้ำค่าอยู่ตรงหน้า แม้ว่าหันชิงอวี่จะดื้อรั้น แต่ตระกูลหันก็ไม่ได้มีทางเดียวให้เลือกเดิน บวกกกับปกติแล้ว เขายังมีต้วนเฉินเซวียนคอยดูแลอยู่ข้างหลัง นี่จึงทำให้เขาพอมีอิสระอยู่บ้าง
ทว่าหากถามว่าเพราะเหตุใดใต้เท้าหันจึงใกล้ชิดกับต้วนเฉินเซวียนและลูกชายของตนเช่นนี้ เขาเองกลับไม่มีคำปฏิเสธใด…
คำอธิบายคงมีเพียงว่า แม้ว่าใต้เท้าหันจะเป็นคนคร่ำครึโบราณ สายตาฝ้าฟางไปบ้าง แต่สายตาในการมองคนของเขา เขากินข้าวมาแล้วกว่าครึ่งชีวิตย่อมต้องมีสายตาที่แหลมคมกว่า สิ่งใดเป็นหนอนสิ่งใดเป็นมังกร เขาล้วนมองเห็นและแยกแยะได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ถึงแม้ว่าชื่อเสียงของต้วนเฉินเซวียนในเมืองตอนนี้จะขึ้นชื่อว่าเป็นคนเหลวไหลและเอาแต่ใจตัวเองก็ตาม
ตอนที่ 38 ดูตัว
แม้ว่าใต้เท้าหันจะไม่รู้ว่าเหตุใดต้วนเฉินเซวียนต้องมีพฤติกรรมเช่นนี้ แต่อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของตนและไม่ได้มีความสัมพันธ์กับตัวเขาเองมากนัก จึงทำให้เขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจ อีกทั้งในช่วงนี้ต้วนเฉินเซวียนก็มีความเกี่ยวพันกับพระราชวงศ์ รายละเอียดต่างๆ ของพระราชวงศ์มีมากมายนับไม่ถ้วน หากยิ่งรู้เรื่องมากเท่าไหร่ นั่นยิ่งหมายความว่าระยะห่างกับสิ่งของบางอย่างก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
ทว่าในทุกๆ เรื่องราวย่อมต้องมีสองด้าน บางครั้งอาจส่งผลให้เกิดอันตราย จนทำให้บางคนหวาดกลัวและคิดว่าไม่เข้าใกล้น่าจะปลอดภัยกว่า ไม่ว่าจะอย่างไรตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนก็คบหากับหันชิงอวี่ด้วยใจจริง ในเมื่อสามารถทำให้ต้วนเฉินเซวียนเป็นสหายที่ดีกับเขาได้ นั่นก็ถือว่าเป็นผลดีแล้วมิใช่หรือ ถึงอย่างไรในตอนนี้ก็ยังมีประโยชน์มากกว่าโทษ
กว่าครึ่งชีวิตที่ผ่านมาของใต้เท้าหันล้วนอยู่แต่ในราชสำนัก จึงทำให้ตัวตนของเขากลายเป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่ง ถึงอย่างไรตอนนี้ลูกชายของตนก็เป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว ดูแล้วคงไม่สามารถเปลี่ยนความคิดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ปล่อยให้ลูกชายของตนคบหากับต้วนเฉินเซวียนให้มากหน่อยไม่ดีกว่าหรือ บางทีระหว่างที่ให้หันชิงอวี่คบหากับเขาจนสนิทสนม อาจจะทำให้เขาเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นก็เป็นได้
ถึงอย่างไรสัญชาตญาณของเขาก็พร่ำบอกว่าในราชสำนักจะต้องมีที่ยืนสำหรับต้วนเฉินเซวียนแน่! แม้ว่าจะยังไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา แต่ใต้เท้าหันก็เชื่อมั่นในการคาดคะเนและสัญชาตญาณของตน
สิ่งที่จะไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยคือ บางด้านของใต้เท้าหันคนนี้ มักจะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่แม่นยำเสมอ
…
เมื่อได้ยินต้วนเฉินเซวียนถามคำถามเกี่ยวกับพี่ชายใหญ่ของตน ในตอนนั้นเองหันชิงอวี่ก็ค้นพบทางออก จึงตบขาฉาดแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างพลางถอนใจออกมา
“พี่ต้วน ท่านเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ ตั้งแต่เด็กข้ากับพี่ใหญ่นั้น เปรียบดั่งฟ้ากับเหว คนพิเศษอย่างเขาช่วงนี้ประสบความสำเร็จหลายอย่าง ทำให้ตาเฒ่าของพวกเราอิ่มเอมใจ ตอนนี้เกรงว่าคงลืมไปแล้วว่าจะเปิดประตูเมืองต้องผลักเข้าด้านใน”
หันชิงอวี่จัดการทุกเรื่องอย่างกล้าหาญดื้อรั้น แต่พี่ชายของเขาหันหงไท่กลับจัดการทุกเรื่องอย่างรอบคอบระมัดระวัง นิสัยที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้ ทำให้เมื่อเห็นหน้ากันต่างรู้สึกไม่ถูกชะตา ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่เล็กคำพูดที่หันชิงอวี่ได้ฟังมากที่สุดคือ ‘เจ้าดูพี่ชายใหญ่ของเจ้า แล้วลองย้อนมองดูตัวเจ้าเองบ้าง!’
วาจาเช่นนี้เขาฟังบ่อยเสียจนหูของเขาแทบจะดับไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ในใจของเขาจึงปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่ครอบครัวของตนเตรียมพร้อมไว้ให้
“อ้อ ประสบความสำเร็จหลายอย่าง พี่ชายของเจ้าน่ะหรือ เขาทำด้วยตัวเองหรือไม่” เมื่อต้วนเฉินเซวียนฟังจบก็แอบเย้ยหยันในใจ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูแคลน หากฟังโดยละเอียดก็จะรู้ได้อย่างไม่ยากว่าน้ำเสียงของเขากำลังค่อนแคะหันหงไท่อยู่
ต้วนเฉินเซวียนไม่ชอบบุคคลผู้นี้ย่อมต้องมีสาเหตุ เพราะอย่างไรตัวเขาเองก็เป็นคนที่ทำการใดๆ ตามใจตนอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมักจะมีความรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ จกับคนที่ทำการใดอย่างระมัดระวังมากเกินเหตุ อีกอย่างคนอย่างหันหงไท่ไม่เพียงกระทำการอย่างระวังตัวเท่านั้น แต่ยังปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างเข้มงวดไม่ผ่อนปรนอีกต่างหาก
ในความคิดของต้วนเฉินเซวียนนั้น เขาคิดว่าแทนที่หันหงไท่จะเลียนแบบข้อเสียอื่นๆ ของใต้เท้าหัน แต่กลับเลียนแบบนิสัยชอบเถียงอย่างข้างๆ คูๆ มาอย่างหมดเปลือก แต่การเถียงอย่างไร้เหตุผลของใต้เท้าหันเขายังพอทนได้อยู่บ้าง ถึงอย่างไรแม้ว่าเขาจะมีข้อเสียหลายประการ แต่ก็ถือเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง
แต่หันหงไท่มีอะไรบ้างเล่า มีแค่นิสัยชอบเถียงข้างๆ คูๆ กระมัง
แน่นอนว่าการมองคนไม่สามารถมองเพียงด้านเดียวได้ นี่เป็นเพียงมุมมองของต้วนเฉินเซวียนเพียงผู้เดียว เพราะหากไปถามความคิดของผู้ใหญ่หลายคนแล้ว ก็คงจะเอ่ยปากชมหันหงไท่กันไม่หยุดว่าเขามารยาทดี จัดการเรื่องราวได้น่าเชื่อถือ แม้ว่าจะไม่มีลักษณะของคนที่สามารถรับผิดชอบงานสำคัญของบ้านเมืองได้ แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่มีความมั่นคงก้าวหน้า แม้ว่าจะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่โดยภาพรวมถือว่ายอมรับได้ไม่ถือเป็นปัญหาใหญ่อะไร
เมื่อหันชิงอวี่ได้ยินต้วนเฉินเซวียนตำหนิอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ก็มิได้ขัดอะไร แต่กลับพูดเสริมต่ออีกว่า
“เขาน่ะหรือจะทำด้วยตัวเอง ท่านคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ ตาเฒ่าที่บ้านข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจของตนทั้งหมดที่มีออกมาเพื่อปูทางให้กับพี่ใหญ่ ผลลัพธ์ก็ถือว่าใช้ได้ ทั้งช่วงนี้ฝ่าบาทก็ทรงพระเกษมสำราญอีก เห็นทีตอนนี้ข้าคงต้องรีบเตรียมของขวัญให้พี่ใหญ่สักชิ้นหนึ่งแล้ว เพื่อแสดงความยินดีที่เขาได้เลื่อนขั้น” กล่าวจบด้วยน้ำเสียงดูถูก หันชิงอวี่ก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง
“เช่นนั้นคงต้องแสดงความยินดีกับพี่ชายเจ้าล่วงหน้าแล้ว”
หลังจากที่หันชิงอวี่พูดจบ เขาก็จิบน้ำชาต่อเพียงลำพัง แต่ในตอนนั้นเอง เขาคล้ายนึกบางเรื่องขึ้นได้ จึงเอ่ยว่า “จริงสิพี่ต้วน เมื่อครู่ที่ท่านเอ่ยถึงพี่ชายข้า ข้าเลยนึกเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้”
“เรื่องอะไรหรือ”
หันชิงอวี่วางถ้วยชาลง เงยหน้ามองฟ้าแล้วพูดขึ้นว่า “ช่วงนี่ตาเฒ่าที่บ้านข้า กำลังจัดเตรียมให้พี่ชายของข้าไปดูตัวภรรยาแล้ว” หากงานแต่งงานของพี่ชายเสร็จสิ้น ต่อไปเกรงว่าคงจะถึงคราวของตนแล้ว พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง
ต้วนเฉินเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกว่าประโยคที่หันชิงอวี่จะพูดต่อไปจากนี้ คงจะเป็นประโยคที่เขาไม่อยากฟัง แต่อดไม่ได้จึงถามออกไปว่า “ตอนนี้การดูตัวเป็นอย่างไรบ้าง เลือกคนได้แล้วหรือยัง”
หันชิงอวี่เพียงแค่พูดไปส่งๆ เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าต้วนเฉินเซวียนจะสนใจเรื่องนี้ขึ้นมา จึงหันหน้ามาพูดว่า “ข้าขอคิดก่อน คล้ายว่ามีเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้น เพราะสายตาของพ่อข้านั้น ท่านเองก็รู้ สายตามองสูงไปถึงฟ้าเสมอ พี่ชายของข้าเองก็ถอดแบบมาเช่นเดียวกัน”
“ดูเหมือนว่ามีหลานสาวของตระกูลหลี่เช่าฟู่ คุณหนูของจวนซือถูโหว คุณหนูของตระกูลแม่ทัพซู และยังมี…” หันชิงอวี่ใช้นิ้วมือชี้ศีรษะของตัวเอง พร้อมเอียงศีรษะครุ่นคิด เพราะอย่างไรเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาเขาจึงไม่ค่อยใส่ใจนัก และเดิมทีเขาเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว เท่าที่นึกออกได้ในตอนนี้ก็นับว่ายากเย็นสำหรับเขาแล้ว
“เดี๋ยวก่อน เจ้าบอกว่ามีคุณหนูของตระกูลแม่ทัพซูด้วยหรือ คงไม่ได้หมายถึงลูกสาวของซูปั๋วชวนกระมัง” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยแทรกหันชิงอวี่ขึ้น
“ใช่แล้ว” หันชิงอวี่พยักหน้า “หรือท่านคิดว่าในเมืองหลวงนี้มีตระกูลแม่ทัพซูตระกูลอื่นอีก”
เมื่อต้วนเฉินเซวียนได้ยินดังนี้จึงไร้คำพูดชั่วขณะ ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยขึ้นว่า “พี่ชายของเจ้าที่มีรูปร่างเล็กแบบนั้น แต่งงานกับลูกสาวแม่ทัพ ร่างกายเช่นนั้นของเขาจะรับไหวหรือ”
ตอนนี้ในหัวของต้วนเฉินเซวียนเมื่อยามเอ่ยถึงซูเหลียนอวิ้น ภาพแรกที่ปรากฏขึ้นในหัวของเขาก็คือฉากที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังโมโหจัดจนทำร้ายคน รวมถึงภาพที่นางสวมใส่ชุดสีแดงในเช้าวันนี้ด้วยท่าทางถือดีหยิ่งผยองของนาง ด้วยท่าทางเช่นนี้กลับต้องจับคู่กับชายน่าเบื่อที่มือไม่มีแรงหยิบจับ ไหล่ไม่มีแรงแบกอย่างนั้นหรือ ทำให้เขารู้สึกว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
เมื่อต้วนเฉินเซวียนกล่าวประโยคนั้นจบก็นิ่งขรึมไปแล้วไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เขาเพียงแค่หลับตาลง ทำให้ไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่าเขากำลังคิดเห็นสิ่งใด
“พูดต่อสิ พี่ต้วน ท่านอย่าเมินข้าเช่นนี้ หากท่านไม่สนใจข้า ข้าก็จะกลับแล้ว” หันชิงอวี่ส่งเสียงเรียก แต่ต้วนเฉินเซวียนยังคงเม้มปากไม่ยอมเอ่ยสิ่งใด เขาจึงยอมแพ้
ในใจของเขากำลังคิดว่า หากมีผู้ใดสามารถเปิดปากเอาคำพูดของต้วนเฉินเซวียนออกมาได้ คนผู้นั้นต้องแปลกประหลาดนัก เพราะภารกิจนี้ถือว่ายากเกินวิสัยของตนมาก
“เจ้าไปเถิด” ต้วนเฉินเซวียนลืมตาขึ้น แล้วเอ่ยเสียงแข็ง “หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น ข้าจะส่งคนไปแจ้งแก่เจ้าเอง”
ตอนที่ 39 รอบคอบ
ปฏิกิริยาเช่นนี้ของต้วนเฉินเซวียนทำเอาหันชิงอวี่ตกตะลึง แต่เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งความแคลงใจของเขาก็คลี่คลายลง
เนื่องจากปกติแล้วต้วนเฉินเซวียนก็มักจะเป็นเช่นนี้ เวลาที่อารมณ์แปรปรวนบางครั้งคนรอบตัวเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด ก่อนหน้ายังหัวเราะพูดคุยกันอยู่ดีๆ แต่อีกสักพักก็ตีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
ยังนับว่าโชคดีที่สีหน้าเขาในยามนี้เพียงแค่เคร่งขรึม ยังไม่ถึงกับเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ นั่นแสดงให้เห็นว่าเรื่องเรื่องนี้คงไม่ได้ใหญ่โตอะไร?
ในใจของหันชิงอวี่เริ่มสงสัยขึ้นมาจริงๆ แล้วว่าช่วงนี้ต้วนเฉินเซวียนอาจจะเป็นระดู! เพราะเขาเคยได้ยินผู้อื่นว่ากันว่า เวลาที่สตรีมีระดูอารมณ์มักจะแปรปรวนผิดปกติ อาการของต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ถือว่าคล้ายคลึงมากทีเดียว!
ในขณะที่หันชิงอวี่ยังคงคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ต้วนเฉินเซวียนกลับพูดเพื่อส่งแขกขึ้นมาอีกว่า “ไม่มีธุระใดแล้วก็รีบกลับไปซะ! หรือยังมีอะไรให้ข้าช่วยเจ้าอีก” น้ำเสียงแข็งกระด้างเช่นนี้ แค่ได้ยินก็รู้ว่าคนผู้นี้กำลังปกปิดบางสิ่งเอาไว้
หันชิงอวี่จึงได้สติกลับมาแล้วส่ายหน้าราวป๋องแป๋งอีกครั้ง “น้องจะไปเดี๋ยวนี้ ไม่รบกวนพี่ต้วนแล้ว”
ล้อกันเล่นกระมัง…จะให้ต้วนเฉินเซวียนช่วยเขาอย่างนั้นหรือ เขาพอจะจินตนาการถึงภาพที่ตนเองหงายท้องขาชี้ฟ้าตอนถูกจับโยนทิ้งได้ และแน่นอนว่าเวลาที่เขาถูกจับโยนออกไป คนรับใช้ของต้วนเฉินเซวียนจะต้องจับเขาโยนให้หน้าทิ่มพื้นก่อนเป็นอย่างแรก ภาพเช่นนั้น แค่คิดก็…ขายหน้า น่าอับอายเสียจริง!
ใบหน้าอันหมดจดงดงามของเขามีไว้เพื่อดึงดูดสาวๆ โดยเฉพาะ หากบาดเจ็บไปแม้แต่นิดเดียวคงทำให้สตรีน้อยใหญ่จำนวนไม่น้อย ต้องแอบร้องไห้เสียดายและเศร้าใจอยู่ในห้อง เช่นนี้แล้วยังจะโยนเขาออกมาอีกหรือ จิตใจของต้วนเฉินเซวียนช่างโหดร้ายยิ่งนัก! ต้องเป็นเพราะอิจฉาเขาแน่ๆ
หันชิงอวี่ขยับคอเล็กน้อยแล้วยืนขึ้น ขณะที่เขากำลังยกขาจะก้าวข้ามธรณีประตูอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของต้วนเฉินเซวียนแว่วมาไกลๆ
“เรื่องของพี่ชายใหญ่เจ้าเรื่องนั้น…หากระยะนี้มีเรื่องใดเพิ่มเติม ถึงตอนนั้นเจ้าก็อย่าลืมมาถ่ายทอดให้ข้ารับรู้ด้วย” ต้วนเฉินเซวียนกระแอมขึ้นเบาๆ อีกครั้ง
ทว่าต่อจากนั้นอีกประเดี๋ยวเดียวก็กล่าวเสริมขึ้นอีกว่า “อย่างไรเจ้าก็ถือว่าเป็นคนของข้า หากพี่ชายของเจ้ามีอำนาจขึ้นมา คงไม่ดีต่อทั้งเจ้าและข้า ดังนั้นจำไว้ว่าต้องจับตาดูอย่างละเอียด”
ขณะนั้นหันชิงอวี่ยกขาค้างไว้ครึ่งหนึ่ง เดิมทีตอนที่ได้ยินว่าต้วนเฉินเซวียนต้องการสืบข่าวพี่ชายของตนเขารู้สึกประหลาดใจจนลืมวางเท้าลง แต่เมื่อได้ยินอีกครึ่งประโยคหลังก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น
ที่แท้เป็นเรื่องนี้นี่เอง แต่พี่ต้วนเป็นคนละเอียดรอบคอบเช่นนี้เชียวหรือ เมื่อก่อนไม่เคยรู้เลย…เมื่อก่อนพี่ต้วนเมินเฉยต่อคนประเภทนี้มิใช่หรือ แต่ตอนนี้กลับตามสืบข่าวอย่างละเอียดและรอบคอบถึงเพียงนี้ พี่ต้วนคงเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว! สุดท้ายก็รู้เสียทีว่าจะทำการสิ่งใดล้วนต้องรอบคอบระมัดระวัง ใช้ได้ๆ
ในขณะที่หันชิงอวี่กำลังวิจารณ์ต้วนเฉินเซวียนอยู่ในใจ ตอนนั้นเองเขาจึงเกิดความรู้สึกนับถือในตัวต้วนเฉินเซวียนขึ้นมาอย่างยิ่ง เขาทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “น้องเข้าใจแล้ว” จากนั้นก็ถอยออกจากห้องไปอย่างระมัดระวัง
สายตาที่ต้วนเฉินเซวียนใช้มองส่งหันชิงอวี่ออกจากห้อง คล้ายว่าตนกำลังมองเห็นคนสติไม่ดี เมื่อเห็นเขาลับตาไปแล้ว จึงกลับไปนั่งบนเก้าอี้อีกครั้งแล้วหลับตาลง ไม่มีผู้ใดรับรู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่อีก
…
ณ จวนแม่ทัพ
ซูเหลียนอวิ้นกำลังอุ้มตำราเล่มนั้นของอาจารย์ถง แล้วถอนหายใจเป็นรอบที่ยี่สิบแปด
นี่มันยากเกินไปแล้ว! บทความที่อาจารย์ถงเลือกล้วนเป็นบทความที่ท่องจำยากไม่คล่องปาก! ใครก็ได้ช่วยนางที ต้องท่องให้หมดภายในสิบวัน…แถมยังต้องท่องได้อย่างไหลลื่น นางรู้สึกว่าในใจของนางเจ็บแปลบขึ้นเป็นระยะ
…
บนโต๊ะอาหาร เนื่องจากซูปั๋วชวนไม่ได้กลับจวนมาหลายวัน จึงกลัวว่าความสัมพันธ์ของตนกับลูกสาวที่พัฒนาขึ้นมาอย่างยากลำบากจะเปลี่ยนเป็นไม่คุ้นเคยกันขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงเล่าเรื่องราวต่างๆ ในยุทธภพมากมายหลายเรื่องให้ซูเหลียนอวิ้นฟังไม่หยุด รวมทั้งมุกตลกอื่นๆ ที่ทำให้นางยิ้มได้ ราวกับกลัวว่าหากพูดอะไรน้อยกว่านี้จะทำให้ลูกไม่พอใจขึ้นได้
ระหว่างที่ซูเหลียนอวิ้นฟังก็พยายามฉีกยิ้ม หากเป็นวันปกติได้ฟังเรื่องราวน่าสนใจมากมายเช่นนี้ ตกดึกนางคงต้องนั่งทบทวนเรื่องราวที่ได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง และตื่นเต้นจนไม่อาจหลับลงได้ แต่น่าเสียดาย ตอนนี้ในหัวของนางมีแต่ปรัชญาภาษาโบราณอันยาวเหยียดแต่หาสาระไม่เจอ
ส่วนเรื่องราวอื่น…อภัยให้นางด้วยที่หัวของนางไม่สามารถจดจำอะไรเข้าไปได้อีกแล้ว
โชคดีที่แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะมีท่าทีสงบนิ่ง แต่หวังฉือหวนกลับมีท่าทีอิ่มเอมใจไร้กังวลใดๆ ซูปั๋วชวนจึงไม่เก้อเขินเท่าใดนัก
“อวิ้นเอ๋อร์ง่วงแล้วใช่หรือไม่ แม่เห็นลูกคออ่อนคอพับเสียขนาดนั้น หากเหนื่อยแล้วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด” เมื่ออันเพ่ยอิงเห็นท่าทางอันเหนื่อยล้าเช่นนั้นของซูเหลียนอวิ้น นางจึงรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง
ได้ยินคนที่เรือนของอวิ้นเอ๋อร์พูดกันว่า ช่วงนี้อวิ้นเอ๋อร์ของนางกระตือรือร้นในการอ่านตำราอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าความขยันจะเป็นเรื่องดี แต่หากทุ่มเทแรงกายมากเกินไปก็เกรงว่าจะทำผลลัพธ์ได้ไม่เป็นไปตามที่หวัง เหนื่อยจนสารรูปเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว อันเพ่ยอิงจึงแอบวางแผนว่า พรุ่งนี้นางจะต้องต้มซุปไก่อย่างดีให้กับลูกสาวที่รักของนาง เพื่อบำรุงร่างกายสักหน่อย!
“จริงด้วย อวิ้นเอ๋อร์ หรือเป็นเพราะพ่อพูดกับเจ้ามากเกินไป หากเจ้าเหนื่อยก็บอกพ่อตามตรงเถิด พ่อเองก็ไม่ทันสังเกต เห็นเจ้าง่วงขนาดนี้ พ่อยังจะพูดเรื่อยเปื่อยอีก” ตอนนี้สีหน้าของซูปั๋วชวนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ปกติเขาเองมักจะคุ้นชินกับการสนทนาพาทีกับบรรดาคนใหญ่คนโตที่เหมือนกับการเปิด**บเพลง พอเปิดแล้วก็ยากที่จะหยุดได้ คือพูดจนกว่าจะพอใจนั่นเอง
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นส่ายศีรษะ “แต่ตอนนี้ลูกง่วงแล้ว คงเป็นเพราะวันนี้ไม่ได้นอนกลางวัน เช่นนั้นลูกขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกเหนื่อยอย่างยิ่ง ใจเหนื่อยล้า หัวเหนื่อยล้า ร่างกายก็เหนื่อยล้า เป็นความเหนื่อยล้าจากทุกอย่างรวมกัน นางคิดว่านางคงต้องพักผ่อนให้มากหน่อยแล้ว
“เอาล่ะๆ เยี่ยเอ๋อร์ รีบไปส่งน้องสาวเจ้าเถิด ข้ากับพ่อของเจ้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าอีกประเดี๋ยว”
“ขอรับ”
…
ซูเหลียนอวิ้นถูกแสงอาทิตย์สาดส่องปลุกให้นางตื่นขึ้น นางลืมตาขึ้นครึ่งหนึ่ง นี่ยามใดแล้ว พระอาทิตย์ถึงดวงใหญ่เช่นนี้ ทั้งยังส่องเข้ามาถึงในห้องแล้วด้วย
“หลีมู่!”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ คุณหนู ” เมื่อหลีมู่ได้ยินเสียงร้องเรียก จึงรีบวางงานที่ทำอยู่ในมือลง แล้ววิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เดิมทีนางกำลังจัดแจงเรื่องเสื้อผ้าให้ซูเหลียนอวิ้นอยู่
เมื่อหลีมู่คิดถึงตรงนี้ก็ถอนใจ เพราะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าช่วงนี้คุณหนูของนางเป็นอะไรไป เมื่อไม่กี่วันก่อนยังบอกอยู่ว่าเสื้อผ้าสีเข้มพวกนั้นไม่สวย ให้นางเก็บไปให้หมด แต่เมื่อวานก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอีก จู่ๆ ก็บอกว่าเปลี่ยนใจจะสวมใส่เสื้อผ้าสีเข้มเหล่านั้น การเปลี่ยนใจอย่างกะทันหันเช่นนี้ นางเองจึงไม่รู้ว่าคุณหนูของนางกำลังคิดอ่านสิ่งใดอยู่
เฮ้อ
“หลีมู่ ตอนนี้ยามใดแล้ว เหตุใดวันนี้เจ้าจึงไม่ปลุกข้าเล่า” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นแล้วพุ่งปราดไปหยิบเสื้อผ้าข้างกายมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว เพราะนางคิดว่าขืนช้าไปกว่านี้จะต้องสายอย่างแน่นอน
“คุณหนูไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ” เมื่อหลีมู่เห็นซูเหลียนอวิ้นมีท่าทางร้อนรนเช่นนี้จึงรีบอธิบายขึ้น “ตอนเช้าก่อนหน้านี้คนในวังมาส่งข่าวมาว่า วันนี้อาจารย์ถงแจ้งว่าอาการไข้ตั้งแต่เมื่อวานยังไม่หายดี เกรงว่าจะแพร่สู่คุณชายและคุณหนูทุกคน ดังนั้นวันนี้จึงขอพักผ่อนต่ออีกหนึ่งวัน”
ตอนที่ 40 งานฉลอง
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนั้น มือที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าก็หยุดชะงักไป
ป่วยยังไม่หาย? อาจารย์ถงคงไม่ได้…
ใจของซูเหลียนอวิ้นดิ่งลึก แต่ก็รีบจัดการกับอารมณ์ของตนให้เข้าที่แล้วเงยหน้ามองไปทางหลีมู่ที่อยู่ข้างกายก่อนจะเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องไปแล้ว หลีมู่ เดี๋ยวเจ้าไปที่ห้องเก็บของแล้วไปนำยาบำรุงพวกนั้นออกมา ข้าจำได้ว่าของที่ฮองเฮาประทานให้ข้าเมื่อครั้งก่อน ยังกองเหลืออยู่อีกตั้งมากมายใช่หรือไม่ เจ้าไปเลือกของดีๆ ออกมาแล้วให้คนนำไปมอบให้อาจารย์ถงด้วย บอกว่าเป็นการแสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของศิษย์คนนี้เท่านั้น”
“เจ้าค่ะ” หลีมู่ตอบรับแล้วย่อเข่า จากนั้นก็ถอยออกจากห้องไป
ในห้องตอนนี้ ซูเหลียนอวิ้นนั่งอยู่อย่างเงียบงัน ในหัวของนางกำลังจัดลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ อันที่จริงนางค้นพบเบาะแสบางอย่างแล้ว นี่อาจารย์ถงกำลังจะ…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซูเหลียนอวิ้นจึงส่ายศีรษะ เพราะอย่างไรก็ไม่ได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับนาง
หากไม่บอกกล่าวแก่ผู้อื่นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรือ ไม่มีใครตั้งกฎว่าอาจารย์ถงจะต้องนำเรื่องนี้แจ้งให้ทุกคนทราบใช่หรือไม่ อีกอย่างยิ่งมีคนรู้น้อย ก็ยิ่งมีน้อยคนเตรียมตัว ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อนางอีกด้วย
…
การคาดเดาของซูเหลียนอวิ้นนั้นไม่ผิดพลาด ตั้งแต่วันนั้นอาจารย์ถงก็ลาป่วยติดต่อกันห้าวัน จนกระทั่งเหลือเวลาอีกสี่วันก่อนจะถึงงานฉลองวสันตฤดู ถึงจะบอกว่าร่างกายดีขึ้นมากแล้ว สุดท้ายและท้ายสุด จึงประกาศต่อหน้าทุกคนช้าๆ ว่าจะต้องเตรียมตัวทำสิ่งใดบ้างในงานฉลองวสันตฤดู
เมื่อทุกคนรับทราบข่าวนี้ต่างตกตะลึง เพราะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่างานฉลองวสันตฤดู แท้จริงแล้วมีความลับสำคัญซ่อนอยู่
หากฟังชื่อแต่เพียงอย่างเดียว ผู้ใดจะคิดว่านี่เป็นการสอบอย่างเปิดเผยสนามหนึ่ง ทุกคนต่างคิดว่าเป็นเพียงงานฉลองเล็กๆ ให้ทุกคนมาสังสรรค์ร่วมกันเท่านั้น เพราะงานเช่นนี้มีบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ จึงไม่มีใครเก็บมาใส่ใจมากนัก ต่อให้มีคนบางกลุ่มเก็บมาใส่ใจ ก็คิดเพียงว่าในวันงานจะสวมชุดอย่างไร จะใส่เครื่องประดับตกแต่งแบบไหนจึงจะทำให้ตนสวยงามในวันนั้น
แน่นอนว่าต้องมีคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเป็นเหมือนกับซูเหลียนอวิ้น ที่รู้ล่วงหน้าว่างานฉลองนี้มีความหมายสำคัญอื่นซ่อนอยู่ แต่ทุกคนล้วนทำเหมือนสมคบคิดกันไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงไม่มีใครเลยที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้น จนกระทั่งถึงวันที่อาจารย์ถงประกาศออกมา จึงได้มีคนกลุ่มหนึ่งที่ส่งสายตาให้กันแล้วแอบยิ้มในใจ
“เอาล่ะ ข้าแจ้งทุกอย่างไปครบแล้ว ส่วนอื่นที่เหลือก็ต้องอาศัยตัวพวกเจ้าเองแล้ว” เสียงแหบแห้งของอาจารย์ถงดังขึ้น และถือเป็นเสียงเรียกสติของทุกคนให้กลับคืนมาด้วย เมื่ออาจารย์ถงมองไปด้านล่างแล้วเห็นแต่ละคนมีท่าทางร้อนรนสับสน ราวกับฟ้ากำลังจะพังถล่มมาตรงหน้าก็ยิ้มเยาะในใจแล้วเอ่ยต่อว่า “ขอให้ทุกคนโชคดี ยังมีเวลาอีกสี่วัน”
เมื่อพูดจบ อาจารย์ถงก็สะบัดชายแขนเสื้อ และไม่สนใจเสียงร้องระงมที่ดังขึ้นในห้อง แล้วเดินออกไปอย่างไร้กังวล
…
ในที่สุด การเตรียมตัววันสุดท้ายก็มาถึง พรุ่งนี้งานฉลองวสันตฤดูจะเปิดฉากขึ้นแล้ว
ซูเหลียนอวิ้นที่อยู่บนเตียงกำลังมองม่านรอบเตียงแล้วคาดเดาอย่างช้าๆ ถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง เพราะดูเหมือนว่าน่าจะมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อชาติที่แล้วอยู่บ้าง นางจึงไม่กล้าที่จะคาดเดาเหตุการณ์ทั้งหมด พรุ่งนี้เหตุการณ์ก็คงจะดำเนินไปไม่ต่างจากเมื่อชาติที่แล้วเท่าใดนัก ดังนั้นจึงต้องรอบคอบเอาไว้ก่อน
ขณะที่กำลังครุ่นคิด นางก็หยิบตำราที่อยู่ข้างกายขึ้นมาพลิกอ่านดูอีกรอบ อันที่จริงนางท่องไปได้ไม่น้อยแล้ว นางอาจจะเกลียดเนื้อหาเช่นนี้ก็จริง แต่ใช่ว่าจะอ่านไม่เข้าหัวเลย เพียงต้องทุ่มเทแรงกายมากกว่าผู้อื่นอีกสักหน่อยก็เท่านั้น หากทุ่มเทแรงกายให้มากขึ้น นางต้องทำได้อย่างแน่นอน
ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ซูเหลียนอวิ้นก็พลันตื่นเต้น ด้วยมิอาจล่วงรู้ได้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น จึงเป็นบ่อเกิดแห่งความคาดหวังมากมาย แต่แล้วในความตื่นเต้นเหล่านั้นกลับมีความกลัวบางอย่างเกิดขึ้น เนื่องจากในชาติที่แล้วมีพวกรนหาที่ได้เข้ามาหาเรื่องนางเอาไว้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในความคิดของซูเหลียนอวิ้นก็ปรากฏภาพตอนที่นางกล้าหาญชาญชัยเข้าไปสั่งสอนสองพี่น้องตระกูลหยาง ตอนนั้นเองริมฝีปากของนางก็หยักยิ้มขึ้น
ความรู้สึกนั้นทำให้นางสบายใจอย่างบอกไม่ถูก นี่คงถือว่าเป็นความสุขจากการรังแกผู้อื่นกระมัง ที่ทำให้นางรู้สึกดีมากเช่นนี้
ซูเหลียนอวิ้นยกมือขวาของตนขึ้นแล้วนำไปส่องกับเปลวเทียนข้างกาย พลางคิดว่าหากพรุ่งนี้เกิดเรื่องขึ้น ความรู้สึกของการใช้มือข้างนี้ชกปากคน…คงดีไม่น้อยเลยทีเดียว
ซูเหลียนอวิ้นเฝ้ารอว่าจะมีการโจมตีอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือแบบใดเข้ามาบ้าง เพราะถึงอย่างไรตอนนี้นางก็ได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว
…
“หลีมู่ ช่วยหวีผมให้ข้าที” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเรียก ทั้งๆ ที่มือของตนก็ยังวุ่นอยู่กับการเตรียมตัว
ชาดทาแก้ม ดินสอเขียนคิ้ว แปรงทาแป้ง…บนโต๊ะวางทุกอย่างไว้อย่างครบครัน ซูเหลียนอวิ้นกำลังแต่งตัวให้ตัวเองพลางเอ่ยว่า “โอ๊ย หลีมู่! เจ้าหยุดเก็บกวาดถ้วยชามอะไรพวกนั้นก่อน แล้วรีบมาหวีผมให้ข้า! พวกเนี่ยนเอ๋อร์ก็อยู่มิใช่หรือ อีกประเดี๋ยวค่อยเรียกพวกเนี่ยนเอ๋อร์มาเก็บของพวกนี้ก็ได้ ขอแค่พวกเราอย่าไปสายก็พอ”
“เจ้าค่ะ คุณหนู บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้” หลีมู่กล่าวตอบ หลังจากที่นำชามใบใหญ่สุดในมือออกไปจากนั้นจึงนำผ้าเปียกหมาดๆ มาเช็ดมือแล้วรีบวิ่งเข้าไปหา นางใช้มือหยิบผมของซูเหลียนอวิ้นขึ้นช่อหนึ่ง พลางพูดขึ้นอย่างคับข้องใจว่า “คุณหนู หากคุณหนูรีบจริงๆ คุณหนูก็ควรเตรียมไว้แต่แรกจะได้ไม่วุ่นวายเช่นนี้ หากทำอย่างนั้นได้ก็คงจะดีกว่าตอนนี้แน่!”
จะตำหนิหลีมู่ว่าไม่ร่วมมือก็ไม่ได้ เพราะวันนี้หลีมู่รู้สึกคับข้องใจอย่างยิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่คุณหนูของตนตื่นเช้าขนาดนี้! ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยามเหม่า[1] ทำเอาหลีมู่ตกอกตกใจเพราะคิดว่าตนตื่นสายจนไปถ่วงเวลาของซูเหลียนอวิ้นเข้าแล้ว แต่ปรากฏว่าตอนที่นางมองออกไปด้านนอกเพื่อสำรวจชั่วยามนั้น
คุณหนูเจ้าคะ พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะขึ้นเลย! คุณหนูตื่นเช้าเกินไปหน่อยแล้ว!
ซูเหลียนอวิ้นกลับเอ่ยอย่างสงบว่า “หลีมู่ นี่ไม่เช้าแล้ว เช้าวันนี้คุณหนูของเจ้าต้องการบำรุงผิวอีกสักรอบ”
หลีมู่ได้ยินดังนั้นก็แทบจะเป็นลมล้มพับไปเสียตอนนั้นเลย เพราะเมื่อคืนได้ทำการบำรุงผิวให้สวยใสไปแล้ว! ขั้นตอนพวกนั้นมีรายละเอียดยิบย่อยมากมาย อีกอย่างนี่จะเป็นการทำให้เสียเวลาในตอนนี้อีกด้วย
หลีมู่จึงพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดโดยพูดขึ้นว่า “คุณหนูเจ้าคะ…บ่าวกลัวว่าเวลาจะไม่พอ อย่าทำเลยจะดีกว่า เพราะเมื่อคืนวานคุณหนูก็ทำไปแล้วรอบหนึ่งมิใช่หรือเจ้าคะ” เนื่องจากขั้นตอนในการเก็บกวาดตอนท้ายสุดนั้นจะทำให้นางเหนื่อยสาหัส ชามเล็กชามน้อยมากมายขนาดนั้น หากต้องนำออกมาใช้อีกรอบแล้วเก็บล้างอีกรอบ แค่คิดหลีมู่ก็รู้สึกว่าเอวของนางเจ็บแปลบขึ้นมา
“มิได้!” ท่าทีของซูเหลียนอวิ้นเด็ดเดี่ยว “ข้าตื่นเช้าขนาดนี้ จะให้เสียเวลาเปล่าได้อย่างไร อีกทั้งวันนี้คุณหนูของเจ้า ต้องมีท่วงท่าสง่างามที่สุด!”
นางกำลังจะต้องลงสนามรบเดี๋ยวนี้แล้ว! จะไม่ให้จัดเตรียมชุดเกราะไว้ให้พร้อมเพรียงได้อย่างไร คำพูดของนางแม้จะดูเพี้ยนไปบ้าง แต่ว่าความหมายก็ไม่ต่างกันมากนัก
สรุปแล้วอาวุธที่เตรียมไว้ใช้ในการรบครั้งนี้ก็คือ การสะกดสายตาผู้ที่พบเห็นเราในคราแรกให้ได้ในทันที และในครั้งนี้นางจะต้องปรากฏตัวอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด นางจะต้องเอาคืน! โดยต้องเริ่มจากการให้คนพวกนั้นตาพร่ามัวตั้งแต่เห็นนางเพียงคราแรก
——
[1] ยามเหม่า คือ ช่วงเวลา 05.00 น. – 06.59 น.
ตอนที่ 41 หน้าแดง
ในที่สุดซูเหลียนอวิ้นก็มองเข้าไปในกระจกแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ
วันนี้ซูเหลียนอวิ้นตั้งใจทำเครื่องประดับรูปดอกบ๊วยให้ตัวเอง ซึ่งเข้ากันได้ดีกับกระโปรงปักลายดอกบ๊วยที่นางสวมใส่ในวันนี้ จากนั้นนางจึงยืนหมุนเพื่อชื่นชมความงามของตนอีกรอบหนึ่ง
อืม…ทรงผมก็เข้ากันดี ไม่เสียแรงที่หลีมู่อยู่ข้างกายนางมานานเพราะเข้าใจว่านางต้องการแบบใด แต่ปิ่นปักผมดูเหมือนว่าจะไม่เข้ากันเท่าไรนัก ดูแล้วให้ความรู้สึกว่าบางอย่างขาดหายไป
“คุณหนู รถม้าเตรียมไว้พร้อมแล้วเจ้าค่ะ คุณชายใหญ่รอคุณหนูอยู่ด้านนอกแล้วด้วย เร็วหน่อยเจ้าค่ะ!” สีหน้าของหลีมู่ร้อนรน “คุณหนูเจ้าคะ! คุณหนูดูดีมากแล้ว เร็วหน่อยเถิด!”
“ได้ๆๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ หลีมู่เจ้าไม่ต้องดันข้าก็ได้”
เฮ้อ ช่างเถิด คนเรามิอาจสมบูรณ์แบบได้ไปเสียทั้งหมด ความไม่สมบูรณ์แบบย่อมต้องมีอยู่บ้าง…ถือว่าความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งสวยงามก็แล้วกัน เพราะถึงอย่างไรส่วนอื่นๆ ก็ไม่เลวแล้ว
“อวิ้นเอ๋อร์ พวกเรารีบไปกันเถิด” บนรถม้า ซูมั่วเยี่ยได้ขึ้นไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อสามารถมองเห็นซูเหลียนอวิ้นได้อย่างชัดเจนจากบนรถม้า ซูมั่วเยี่ยพลันหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วเอ่ยว่า “เจ้า วันนี้เจ้า…”
“ทำไมหรือเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นจัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่แล้วเงยหน้าถามขึ้น
“ไม่มีอะไร เจ้าสวยมาก ข้าแค่อยากให้เจ้าจำเอาไว้ว่าต้องอยู่กับข้าตลอดเวลา พวกเราห้ามแยกจากกัน” ซูมั่วเยี่ยกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่มีอะไรจะแย้งต่อการแต่งตัวของซูเหลียนอวิ้น เพราะตัวเขาเองรู้สึกว่านางงดงามมาก แต่สิ่งที่เขากังวลก็คือ การแต่งตัวเช่นนี้…มันสวยเกินไปหน่อย วันนี้คนที่มางานทั้งหมดล้วนเป็นบรรดาคุณหนูของทุกตระกูล พวกนางย่อมแต่งตัวกันมาอย่างเต็มที่ ความขัดแย้งในวงสตรี เขาเองไม่ได้เข้าใจไปเสียทุกอย่าง เวลานี้ซูเหลียนอวิ้นแต่งกายโดดเด่นเช่นนี้ เขากลัวว่าพอถึงเวลาจะไปกระตุ้นความริษยาจากพวกคนถ่อยเข้า
ยอมล่วงเกินวิญญูชน ดีกว่าล่วงเกินคนถ่อย และเป็นไปได้ว่าคนถ่อยในที่นี้จะหมายถึงสตรี หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ คงจะจัดการยากทีเดียว
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ก็ชะงักไปแต่ยังฝืนยิ้มขึ้น “ท่านพี่วางใจเถิดเจ้าค่ะ ไม่มีปัญหาแน่ ตัวข้าสามารถจัดการได้ ในเมื่อข้ากล้าแต่งตัวมาเช่นนี้ นั่นหมายความว่าข้าต้องพร้อมรับมืออยู่แล้ว”
ซูมั่วเยี่ยได้ยินซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเช่นนี้ก็วางใจลงได้บ้าง ทว่าสายตายังคงกังวล
ซูเหลียนอวิ้นหันหน้าไปอีกทาง เปิดผ้าม่านขึ้นมุมหนึ่งแล้วมองไปด้านนอก บนถนนมีเสียงร้องขายของดังเบาสลับกัน ฟังแล้วทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น นางสูดหายใจลึก เรื่องทั้งหมดจะต้องผ่านไปด้วยดี
งานเลี้ยงวสันตฤดูครานี้เลือกจัดขึ้น ณ มุมหนึ่งของสวนดอกไม้ส่วนพระองค์ในวังหลวง ณ ที่นี้ดอกไม้นานาชนิดกำลังบานสะพรั่ง ล้อมรอบไปด้วยลำธารสายเล็กและภูเขาจำลอง จัดว่าเป็นสถานที่ที่งดงามมาก
ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นมาถึงก็มีคนเริ่มมารวมตัวจับเป็นกลุ่มเล็กๆ หลายกลุ่มแล้ว และกำลังยิ้มแย้มสนทนากันอยู่
พวกนางไม่ได้มาถึงช้า ทว่าด้านหน้ามีคนมาถึงกันหนาตาแล้ว นั่นหมายความว่าตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปทุกคนที่มาใหม่จะต้องเดินผ่านสายตาจับจ้องวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มคนในงานก่อน
ฝูงชนในงานเงยหน้าขึ้น เมื่อมองเห็นการแต่งกายของซูเหลียนอวิ้นต่างก็ตื่นตะลึง แต่ทุกคนล้วนเก็บอาการไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะถึงอย่างไรก็ตกตะลึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนวันนั้นมาคราวหนึ่งแล้ว หากจะตกตะลึงอีกก็คงเป็นเพียงการทำเพื่อแสดงความชื่นชมเท่านั้น
คุณชายบางคนที่ไม่ได้เข้าเรียนในวันนั้น เมื่อเห็นภาพตรงหน้าต่างตกใจไปตามๆ กัน ด้วยเหตุนี้จึงหันหน้าไปซุบซิบกับคนด้านข้าง แต่ไม่มีใครกล้าพูดเสียงดังจนเกินไปนัก เพราะสายตาข่มขู่คุกคามของซูมั่วเยี่ยในตอนนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง
เหล่าสตรีเมื่อเห็นภาพตรงหน้าเช่นนี้ต่างก็นำพัดกลม[1] ขึ้นมาบังใบหน้าหรือไม่ก็นำผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูกไว้ ทำท่าทางราวกับว่าตรงที่นางยืนอยู่นี้กำลังมีพิษแพร่กระจายในอากาศ
ซูเหลียนอวิ้นยิ้มขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก เมื่อชาติที่แล้วนางไม่ได้แต่งตัวเช่นนี้ นางเพียงใส่ชุดเรียบๆ ชุดหนึ่ง คนพวกนั้นจึงไม่ได้แสดงออกสักเท่าไร เพียงแค่จับผิดนางแล้วทำให้นางกลายเป็นที่น่าตลกขบขันในงานฉลอง นางแต่งกายธรรมดาเพียงนั้น แต่งมาให้ใครดูกัน สตรีเหล่านั้นต่างพากันรู้สึกว่านางทำให้ทุกคนหมดอารมณ์
แต่พอถึงวันนี้นางแต่งกายด้วยสีสันสดใส คนพวกนี้กลับพูดว่านางแต่งตัวมาก็เพื่อต้องการให้ท่าคนในงาน เห็นได้ชัดว่าหากไม่ถูกชะตาผู้ใดแล้ว ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นอย่างไรก็สามารถหาเรื่องจับผิดได้ทั้งนั้น
ซูเหลียนอวิ้นเดินต่อไปข้างหน้า บรรดาคุณหนูที่อยู่รอบด้านต่างทำราวกับว่านางเป็นโรคระบาด เมื่อนางเดินหน้าหนึ่งก้าว พวกนางก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าน่าขันอย่างไร้สาเหตุ
ทำไมหรือ สายตาเหล่านั้นดูคล้ายว่ากำลังกลัวนางจะกินทุกคนเข้าไป?
“ซูเหลียนอวิ้น มาทางนี้!” คนที่เอ่ยขึ้นคือหลินเหวินเสี่ยว ผู้ที่เป็นฝ่ายชวนนางคุยก่อนในห้องเรียนเมื่อครั้งที่แล้ว
นางกำลังจะสืบเท้าเข้าไปหา แต่กลับนึกถึงซูมั่วเยี่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังนางอยู่ตลอดขึ้นมาได้ จึงเอ่ยว่า “ท่านพี่ ทางด้านนั้นเป็นที่สำหรับสตรีอยู่ด้วยกันแล้ว ชายที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์อย่างท่านคงไม่สะดวกเท่าไร ดูสิเจ้าคะ ตอนนี้มีคนอยู่เป็นเพื่อนข้าแล้ว ท่านพี่วางใจเถิด”
“อืม…” ซูมั่วเยี่ยเม้มปากส่งเสียงตอบรับ เมื่อครู่เขาเห็นสายตาของคนเหล่านั้นอย่างชัดเจนแล้ว ถ้าไม่ติดว่าที่นี่คือวังหลวง แถมรอบกายยังมีสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ เขาจะต้องลากตัวคนพวกนั้นออกไปทีละคนแล้วสั่งสอนให้สำนึก แต่ตอนนี้ดูแล้วน้องสาวของตนก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เขาเองจึงหมดห่วงลงไปบ้าง
ซูมั่วเยี่ยจึงหันไปกำชับกับหลีมู่ว่า “วันนี้เจ้าต้องดูแลคุณหนูให้ดี หากมีเรื่องใด ให้มาตามข้าก็พอ”
หลีมู่พยักหน้าอย่างหนักแน่น นางเข้าใจทุกอย่างและจะดูแลเป็นอย่างดี
“นี่ เจ้ามัวบ่นไร้สาระอะไรอยู่ตรงนี้ ตรงนี้มีอะไรน่าดูกัน พวกเราไปด้านนั้นกันเถิด ตรงนั้นมีดอกไม้บาน…” หลินเหวินเสี่ยวรอไม่ไหวจึงวิ่งเข้ามาหา เมื่อนางพูดถึงตรงนี้ ก็เพิ่งจะสังเกตเห็นซูมั่วเยี่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังซูเหลียนอวิ้น
ตอนนั้นเองหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง
ซูมั่วเยี่ยเมื่อเห็นนางหน้าแดงเช่นนั้นก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร เขากระแอมคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไปยืนอยู่ด้านนั้น หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นให้มาเรียกข้า ข้า ข้าขอไปรออยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว” เมื่อเอ่ยจบเขาก็ทำราวกับหนีภัยจากตรงนี้ไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นเงาด้านหลังของซูมั่วเยี่ยเช่นนั้นก็รู้สึกว่าช่างน่าขันยิ่ง จึงหันหน้ากลับมาพูดว่า “ไปเถิด ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว เมื่อครู่เจ้าพูดว่าดอกอะไรบานนะ”
“เอ๊ะ? อ้อๆ ดอกไม้หรือ ทางนั้นมีมากทีเดียว พวกเราไปดูกันเถิด” หลินเหวินเสี่ยวมีท่าทางเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นมาจากความฝัน พยักหน้ารับอย่างมึนงง “สวยๆ ทั้งนั้น เจ้าไปดูก็จะรู้เอง”
ซูเหลียนอวิ้นเห็นนางมีท่าทีเช่นนี้ก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรมากนัก ดูแล้วพี่ชายของนางคงทำให้แม่นางคนนี้ตกใจเข้าแล้ว…ซูเหลียนอวิ้นอดกังวลถึงพี่สะใภ้ในอนาคตไม่ได้ พี่ชายของนางเป็นอย่างนี้ จะต้องเป็นพี่สะใภ้แบบใดจึงจะเอาอยู่เล่า
“คนนั้นน่ะ ซูเหลียนอวิ้น”
“ฮะ?” ซูเหลียนอวิ้นหันหน้ามา “อะไรหรือ”
“คนเมื่อครู่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าหรือ” ใบหน้าของหลินเหวินเสี่ยวแดงก่ำ ราวกับว่าต้องรวบรวมกำลังมากมายกว่าจะถามคำถามนี้ออกมาได้
ซูเหลียนอวิ้นเห็นท่าทางของนางเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจ เมื่อครู่ไม่ได้ตกใจจนหน้าจะมืดไปหรอกหรือ ท่าทางในตอนนี้หมายความเช่นไร แต่นางก็ยังคงตอบไปตามความจริง “คนเมื่อครู่คือพี่ชายของข้าเอง มีนามว่าซูมั่วเยี่ย เจ้าไม่รู้จักหรือ”
——
[1] พัดกลม คือ พัดที่มีรูปทรงกลมหรือเกือบกลม ทำจากวัสดุหลากหลายประเภท เช่น กระดาษ, ผ้าทอ อาจมีรูปภาพประดับบนตัวพัดเพื่อความสวยงาม เช่น ดอกเหมย, ใบไผ่, ผลไม้ ฯลฯ
ตอนที่ 42 ลงโทษเป็นเยี่ยงอย่าง
“ข้าจะรู้จักได้อย่างไรเล่า!” เมื่อหลินเหวินเสี่ยวได้ยินน้ำเสียงเคลือบแคลงเช่นนี้ก็กระทืบเท้า “เขาเองก็ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์อะไร ข้าจะไปรู้จักแน่ชัดได้อย่างไร” หลินเหวินเสี่ยวพูดเสียงดัง ทำให้คนรอบตัวล้วนหันมามอง
ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังจะเอ่ยบางอย่าง เสียงอันระคายหูเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น นางจึงหันไปมอง “เอ๊ะ คุยอะไรกันอยู่ ดูคึกคักเชียว” ซูเหลียนอวิ้นหันไปมองต้นเสียง คนผู้นี้คือ…ช่วงเวลานั้นเองในหัวของนางกลับคิดไม่ออกว่าคนผู้นี้คือใคร
คนผู้นั้นกลับไม่ได้สนใจอะไร จากนั้นจึงเดินตรงเข้ามาหาซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคือคุณหนูตระกูลซูเองหรือ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ” ท่าทางการเดินบิดซ้ายบิดขวาของคนผู้นี้ ทำเอาซูเหลียนอวิ้นตกใจจนรีบหลีกทางให้ เพราะนางกลัวว่าอีกประเดี๋ยวหากเอวนี้หักขึ้นมาจะกลายเป็นความผิดของนางไปอีก อีกอย่างท่าทางเช่นนี้ดูอย่างไรแล้วก็เป็นการหาเรื่อง จะไม่หลบให้ไกลสักหน่อยได้อย่างไร
“ทำไมกัน ข้าทำเจ้าตกใจงั้นหรือ” เสียงของสตรีผู้นี้ค่อนข้างแหลม “อีกอย่าง เจ้าพบหน้าข้า เหตุใดจึงไม่ทำความเคารพ”
ซูเหลียนอวิ้น “…?”
ให้อภัยนางด้วยที่นางความรู้คับแคบ แต่พี่สาวคนนี้คือใครกัน ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ยอมบอกว่าตนคือใคร หากจะให้นางทำความเคารพ นางก็ไม่รู้ว่าควรยึดชั้นยศใดในการทำความเคารพ
หลินเหวินเสี่ยวที่ยืนอยู่ด้านหลังเห็นรูปการณ์เช่นนี้จึงกระตุกแขนเสื้อของนางแล้วกระซิบว่า “คนผู้นี้คือพระสนมหยาง สนมรักคนใหม่ของฮ่องเต้ ว่ากันว่านางเกลียดสตรีที่งามกว่านางเป็นที่สุด ดูท่าแล้วตอนนี้คงจะมาหาเรื่องเจ้าแล้ว”
ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง มิน่าเล่าเมื่อดูๆ ไปแล้วจึงรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง คนผู้นี้คือ หยางอวี้หลิง พี่ใหญ่ของสองพี่น้องตระกูลหยางนั่นเอง
ดูแล้วครั้งนี้คงมิได้เข้ามาเพราะการแต่งตัวของนางเพียงอย่างเดียวกระมัง แต่ต้องมาเพราะความแค้นของสองพี่น้องคู่นั้นด้วย เมื่อครู่ตอนที่ตนมาถึงไม่เห็นคนผู้นี้เลยด้วยซ้ำ ตอนนี้กลับเข้ามาหาตนด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน ดูจากรูปการณ์แล้ว พอนางทราบข่าวก็คงรีบตามมาทันที
ทว่าเมื่อเงยหน้าเห็นสายตาคู่นั้นแล้ว ตนจึงคิดว่าคงเป็นความแค้นใหม่และเก่าผสมเข้าด้วยกัน วันนี้ตนคงโดนนางแผลงฤทธิ์ใส่อย่างแน่นอน
ซูเหลียนอวิ้นดูรูปการณ์แล้วก็เกิดลางไม่ดีขึ้น จากนั้นจึงทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “คารวะหยางกุ้ยเหริน” ในใจของนางก็แอบก่นด่าว่าแค่ตำแหน่งกุ้ยเหรินเท่านั้น ทำท่าวางโตกว่าฮองเฮาเสียอีก
จากนั้นซูเหลียนอวิ้นก็แอบกำมือขวาไว้แน่นแล้วถอนใจ
เฮ้อ น่าเสียดายยิ่ง สนมองค์เล็กๆ ของฮ่องเต้ตนยังมิอาจลงมือได้ หากทำร้ายนางเข้า ตนก็คงจะเข้าหน้าฮ่องเต้ไม่ติดอีก แม้ว่าตนจะหุนหันพลันแล่น แต่นางก็เข้าใจเรื่องเช่นนี้ดี จึงแอบสิ้นหวังกับมือขวาของตนเอง เพราะครั้งนี้เจ้าคงไม่มีโอกาสได้ออกโรงแล้ว
ซูเหลียนอวิ้นเห็นว่านางอ้อยอิ่งไม่ยอมให้ตนยืนขึ้น หัวเข่าของนางก็เริ่มแข็งเกร็ง คนผู้นี้ไม่ยอมจบหรือ ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ขาของตนก็ลุกขึ้นยืนเองโดยอัตโนมัติ
เมื่อจังหวะที่หยางอวี้หลิงรอคอยมาถึง นางจึงรีบพูดขึ้นว่า
“เฮ้อ ข้านึกว่าเจ้าเป็นเด็กที่รู้จักมารยาทเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ได้! ข้าให้เจ้าลุกขึ้นมาแล้วหรือ เจ้าลุกขึ้นมาเองเช่นนี้ เจ้าคงมิเห็นข้าอยู่ในสายตาแล้ว การที่เจ้ามิเห็นข้าอยู่ในสายตาก็เหมือนเจ้ามิเห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตาเช่นกัน! เฟิ่นจู ไปเอาตัวนางมา คุณหนูซูจะได้รู้จักกฎระเบียบในวังเสียบ้าง อีกประเดี๋ยวงานก็จะเริ่มแล้ว หากให้คนในงานหัวเราะเยาะได้ นั่นคงจะไม่ดีแน่”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนี้ จึงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สายตามองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว จะยังแสร้งทำสุภาพอ่อนโยนไปทำไมกัน ผู้อื่นเล่นหัวตนเช่นนี้ อย่างไรก็มีโทษอยู่แล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นนางก็ไม่หวั่นหากความผิดนี้จะร้ายแรงมากขึ้นอีกหน่อย
“น้องหยางคุยกับผู้ใดอยู่หรือ ถึงโมโหขนาดนี้ ทำเอาผู้อื่นตกอกตกใจกันหมด”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินน้ำเสียงนี้ ร่างกายพลันผ่อนคลายลง ยังดีที่ทหารกองหนุนมาช่วยได้ทันเวลา
หยางอวี้หลิงเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าฮองเฮาจะมาปรากฏตัวในช่วงเวลานี้ ใบหน้าชะงักค้างคราหนึ่ง แล้วหันไปพูดว่า “ฮองเฮาคิดมากเกินไปแล้ว น้องจะกล้าไปสั่งสอนผู้อื่นได้อย่างไร เพียงแค่บอกเล่าถึงกฎระเบียบภายในวังให้คุณหนูซูทราบก็เท่านั้น เพื่อไม่ให้ทำเรื่องขายหน้าต่อหน้าฝ่าบาท หากเป็นเช่นนั้นจะมิกลายเป็นความผิดใหญ่โตกว่านี้หรือเพคะ”
เกาอู่เตี๋ยอดไม่ได้ที่จะยกมุมปาก พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเองก็เพิ่งจะมาถึง มิทราบว่าคุณหนูซูกระทำสิ่งใดผิด แล้วควรลงโทษอย่างไร มิสู้น้องหยางลองบอกให้ข้าทราบก่อนดีหรือไม่ หากมีสิ่งใดไม่ถูกต้อง ข้าจะได้ช่วยชี้แนะได้”
หยางอวี้หลิงคิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้เกาอู่เตี๋ยจะพูดง่ายเช่นนี้ คำพูดที่เตรียมเอาไว้แล้วจึงยังไม่ทันได้พูดออกไป จากนั้นจึงหันหน้ากลับไปมองซูเหลียนอวิ้นที่ยืนก้มหน้าอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่
เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าอยู่ ลำคอของนางจึงบังเอิญปรากฏออกมาให้เห็น ผิวของนางขาวละเอียด เนียนนุ่มราวเส้นไหม
ตอนนั้นเองหยางอวี้หลินคิดว่าตนตระหนักบางสิ่งขึ้นมาได้ นางคิดว่าต้องเป็นเพราะนังป่าเถื่อนผู้นี้ที่ทำให้เกาอู่เตี๋ยทนดูต่อไปไม่ได้ ทำมารยาสาไถยดีนัก ทันใดนั้นราวกับว่านางได้กินยาสงบใจลงไป นางจึงไม่คิดมากอีกและพูดออกมาว่า “คุณหนูซูผู้นี้พบหน้าน้องแล้วไม่ยอมทำความเคารพ ช่างโอหังยิ่งนัก! ตามความเห็นของน้องแล้ว ควรถูกโบยสามสิบทีเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเอาเยี่ยงอย่างเพคะ“ พูดจบก็วางท่าเชิดหน้าชูคอ ส่งสายตาให้ซูเหลียนอวิ้นราวกับนางเป็นสิ่งต่ำต้อย
เกาอู่เตี๋ยแย้มยิ้มน้อยๆ จากนั้นจึงเดินเข้ามาแล้วยื่นมือมาดึงตัวซูเหลียนอวิ้น แล้วเอ่ยว่า “เช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าเองก็คิดว่าความคิดของน้องหยางดีทีเดียว แต่ที่น้องหยางพูดเมื่อครู่ว่าเป็นเพราะคุณหนูซูไม่ทันได้ทำความเคารพเจ้า เจ้าจึงจัดการเช่นนี้ใช่หรือไม่”
หยางอวี้หลิงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “มิผิดเพคะ เสด็จพี่ คนผู้นี้ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเลยสักนิด! ควรจะลงโทษให้หนักหน่อยจึงจะสาสม”
“มีเหตุผล จะต้องลงโทษให้หนัก แต่…” ตอนนั้นเองที่น้ำเสียงของเกาอู่เตี๋ยพลันแปรเปลี่ยน “แต่ข้าคิดว่า วิธีการจัดการเช่นนี้มิถูกต้อง ทั้งหมดนี่เป็นเพราะผู้ใหญ่มีพฤติกรรมไม่สมควร เด็กจึงเลียนแบบ น้องหญิงคิดว่าอย่างไร”
“ถูกต้องเพคะ!” คงไม่ได้จะลงโทษคนในตระกูลของซูเหลียนอวิ้นด้วยกระมัง? เช่นนั้นก็ดียิ่ง
หยางอวี้หลิงพยักหน้าถี่ “ทั้งหมดนี่เป็นเพราะมารดาของซูเหลียนอวิ้นสั่งสอนไม่ดี พวกเจ้า ไปนำตัวซูฮูหยินมา!”
“มิจำเป็น!” น้ำเสียงของเกาอู่เตี๋ยพลันแข็งกระด้างขึ้น “ดูแล้วข้าคงพูดไม่ชัดเอง น้องหยาง เมื่อครู่ตอนเจ้าพบหน้าข้า ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่ได้ทำความเคารพข้ากระมัง ตามคำพูดของน้องหยางแล้ว เจ้าเองก็ควรถูกโบยสามสิบทีจึงจะถูกใช่หรือไม่”
หยางอวี้หลินเมื่อได้ยินเกาอู่เตี๋ยเอ่ยเช่นนี้ แววตาพลันเบิกกว้างถลึงมอง “ฮองเฮาหมายความว่าอย่างไรเพคะ ให้ข้าถูกโบยสามสิบทีหมายความว่าอย่างไร!”
“ความหมายนั้นตรงตามตัวอักษร!” แววตาคู่งามของเกาอู่เตี๋ยหันมาพร้อมเอ่ยเสียงแข็งขึ้น “ผู้ใหญ่มีพฤติกรรมมิสมควร เด็กจึงเลียนแบบ คงเป็นเพราะน้องหญิงเห็นข้าแล้วไม่ยอมทำความเคารพ จึงทำให้คนเหล่านี้เลียนแบบตัวอย่างที่ไม่ดีมา หากต้องการลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่าง เช่นนั้นมิสู้ให้น้องหยางมาเป็นแบบอย่างจะดีกว่าหรือไม่ ข้าพูดตรงไหนผิดหรือ อีกอย่างเมื่อครู่น้องหยางเองก็เห็นด้วยกับคำพูดนี้แล้วมิใช่หรือ”
ตอนที่ 43 สู้คน
“ข้า ข้า…” หยางอวี้หลิงคิดไม่ถึงว่าเกาอู่เตี๋ยจะมีหมัดเด็ดเช่นนี้ ถึงกับดึงให้นางติดร่างแหเข้าไปด้วย ในตอนนั้นนางจึงเกิดความรู้สึกขึ้นหลังเสือยากจะลง หากนางตอบรับตนเองก็ต้องโดนโบย หากไม่ตอบรับเล่า ตอนนี้มีสายตาตั้งมากมายจดจ้องอยู่ ต่อไปนางจะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน
นางได้แต่บังคับใจตนเองไม่ให้ใช้สายตากินเลือดกินเนื้อมองไปทางซูเหลียนอวิ้น ตอนนี้ฮองเฮากำจุดอ่อนของนางอยู่ในมือแล้ว หากใช้สายตาเช่นนั้นอีกเล่า นั่นเท่ากับเปิดโอกาสให้ผู้อื่นไปเปล่าๆ
เกาอู่เตี๋ยมองเห็นปฏิกิริยาเบื้องหน้าจึงพอคาดคะเนบางอย่างได้ พลันยกมือขึ้นไปสัมผัสมงกุฎหงส์[1] ที่ประดับอยู่บนผมอย่างไม่รู้ตัว แล้วเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “แต่วันนี้เป็นวันดี ข้าคิดว่าฮ่องเต้คงไม่อยากได้กลิ่นคาวเลือด เช่นนั้นเรื่องของพวกเราก็เอาไว้เท่านี้เถิดน้องหยาง เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
“เสด็จพี่…ตรัสได้ถูกต้องเพคะ…” แม้ว่าน้ำเสียงของหยางอวี้หลิงจะยังไม่สลด แต่ตอนนี้ก็ทำได้เพียงก้มหัวไม่สนใจสิ่งใดแล้วเอ่ยว่า “ฮองเฮาเพคะ จู่ๆ น้องก็รู้สึกว่าร่างกายของน้องไม่ค่อยสบายนัก เช่นนั้นน้องขอตัวก่อนนะเพคะ”
“ไปเถิด”
คราวนี้หยางอวี้หลิงจำได้ขึ้นใจจึงไม่ลืมทำความเคารพ หลังจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องไปที่ซูเหลียนอวิ้น
‘ซูเหลียนอวิ้น…ข้าหยางอวี้หลิงจะจำเจ้าไม่ลืม! เส้นทางต่อจากนี้ยังอีกยาวไกลนัก เจ้ารอดูก็แล้วกัน!’
“เอาล่ะ แยกย้ายเถิด” เกาอู่เตี๋ยโบกมือ บรรดาผู้คนที่มุงดูอยู่รอบด้านเมื่อครู่ต่างก็ผ่อนคลายลง รีบแยกย้ายกันออกไป
เมื่อครู่พวกเขาถือว่าเป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์วุ่นวายเข้าแล้ว! จึงต้องฉวยโอกาสในตอนที่ยังไม่มีผู้ใดจดจำใบหน้าตนได้หลบหนีไปจากสถานที่ที่วุ่นวายนี้เสีย เพราะหากถูกฮองเฮาหรือหยางกุ้ยเหรินจำหน้าได้ล้วนไม่เป็นผลดีต่อตนเองทั้งนั้น
“เด็กน้อย หากข้าไม่มาเห็นพอดี เจ้าจะจัดการอย่างไร” เกาอู่เตี๋ยหันตัวกลับมาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เรื่องนี้หรือเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นจับแขนเสื้อแล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันคงจะไม่ยอมให้ผู้อื่นนำตัวไปโบยง่ายๆ เช่นนั้น กุ้ยเหรินจะโบยเองหรือ สาวใช้คงจะเป็นผู้ลงมือกระมัง หากกล้าเข้ามาก็ต้องเจอหมัดหม่อมฉันเข้าสักหน่อย อย่างไรหม่อมฉันก็ไม่เชื่อว่านางจะมาจับตัวหม่อมฉันด้วยตัวเองเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยวาจาอย่างไร้เดียงสา ตอนนี้นางคิดว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้สูงศักดิ์ โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องครุ่นคิดวางแผนอยู่ตลอดเวลา หากนางมัวแต่เอ่ยวาจาอ้อมค้อม พวกเขาคงมองว่านางอ่อนหัดและไม่รู้จักประมาณตน มิสู้ยอมรับความผิดพลาดของตนเองไปตรงๆ บางทีอาจจะทำให้พวกเขาประทับใจแล้วจดจำภาพดีๆ เอาไว้
เกาอู่เตี๋ยไม่คิดว่านางจะเอ่ยวาจาเช่นนี้จึงยิ้มขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อว่า “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล แต่เมื่ออยู่ในวังหลวงแห่งนี้ เจ้าจงจำเอาไว้ว่าควรระแวดระวังทุกฝีก้าว แต่ก็มิต้องใส่ใจมากจนเกินไปนัก เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่มีคนต้องการหาเรื่องเจ้า ต่อให้เจ้าระวังตัวดีสักเพียงใด คนผู้นั้นก็ยังหาเรื่องจับผิดเจ้าจนได้ ในเมื่อสุดท้ายแล้วเจ้าก็จะต้องถูกลงโทษ ไม่สู้ต่อยออกไปให้สะใจสักหมัดสองหมัด แล้วค่อยว่ากันทีหลังถูกหรือไม่”
ถึงคราวซูเหลียนอวิ้นเป็นฝ่ายสับสนบ้าง นาง…นางคิดว่าฮองเฮาจะตำหนินางสักยกว่าไม่ให้นางทำเช่นนี้อีก หรือไม่ก็ใช้เหตุผลชักจูงไปในทางที่ถูกที่ควร คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วฮองเฮายังคิดจะสนับสนุนนาง? ซูเหลียนอวิ้นนิ่งงันอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรออกไปดี
เกาอู่เตี๋ยเห็นซูเหลียนอวิ้นมีท่าทีเช่นนี้ จึงเดาได้ว่านางกำลังตกใจกับคำพูดเมื่อครู่ของตนจนไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไร เพราะนี่ไม่คล้ายกับพฤติกรรมของสตรีสูงศักดิ์เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งนางเองยังเป็นถึงฮองเฮาด้วย
“เจ้าอย่าได้คิดมากเลย” เกาอู่เตี๋ยจูงมือนางพาเดินไปทางอื่นพลางเอ่ยว่า “เมื่อข้าเห็นเจ้าเช่นนี้ จึงทำให้ข้าอดคิดถึงตัวเองตอนเข้ามาในวังใหม่ๆ ไม่ได้ ข้าเองก็ไม่ต่างจากเจ้ามากนัก เลือดร้อนแบบนี้เช่นกัน แต่ว่าตอนนี้…ช่างเถิด เรื่องเหล่านั้นล้วนผ่านมานานแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าต้องไปเฝ้าฮ่องเต้แล้ว เจ้าอยู่บริเวณรอบๆ นี้กับเพื่อนของเจ้าก่อนเถิด เรื่องใหญ่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อครู่ คงไม่มีผู้ใดมาหาเรื่องพวกเจ้าอีกสักพักใหญ่ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นให้ส่งคนมาแจ้งกับข้าก็พอ”
“ฮองเฮา เดินระวังด้วยเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นกับหลินเหวินเสี่ยวเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ซูเหลียนอวิ้นถึงจะยืนขึ้น สายตาของนางมองไปยังด้านหลังชุดสีทองอร่ามชุดนั้นหรูหราเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับสะท้อนให้เห็นถึงความอ้างว้างเดียวดายอย่างยากที่จะหาสิ่งใดเปรียบ
สิ่งหนึ่งที่ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้คือ คำพูดเมื่อครู่ของนางได้ไปกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างของเกาอู่เตี๋ยเข้า
อย่างไรเสีย ครั้งหนึ่งนางก็เคยเป็นเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่เลี้ยงนางมาดั่งมุกดั่งหยก ได้รับความรักความใส่ใจอย่างเต็มอิ่มมาตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งยังมีนิสัยตรงไปตรงมาที่ร้อนแรงดั่งไฟ แต่เรื่องราวทั้งหมดในครั้งอดีตกลับถูกความจริงในปัจจุบันอันโหดร้ายบดขยี้จนไม่เหลือแม้เพียงเศษเสี้ยว ตอนที่ตนคิดว่าในชาตินี้คงเป็นแบบนี้ตลอดไปนั้น นางกลับไม่อยากเห็นซูเหลียนอวิ้นเป็นแบบนั้น
เหตุการณ์ตอนนั้นได้ปลุกความเงียบงันที่อยู่ในใจของนางมานานหลายปีให้ฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพราะนางคล้ายเห็นภาพตนเองเมื่อครั้งก่อน นางที่เป็นตัวของตัวเองไม่สนใจธรรมเนียมปฏิบัติใด คล้ายกับว่าเพียรพยายามจะต่อต้านคนรอบตัวทุกคน
ตอนที่นางเห็นภาพซูเหลียนอวิ้นพยายามอดกลั้นอยู่นั้น ในหัวของนางไม่ทันได้คิดสิ่งใดมากก็เดินออกไปเสียแล้ว นางไม่อยาก…ไม่อยากให้ซูเหลียนอวิ้นต้องกลายเป็นนางคนที่สองอีก คนที่โดนวังหลวงแห่งนี้ลบเหลี่ยมคมจนสิ้น
ดังนั้นในตอนท้ายเกาอู่เตี๋ยจึงพูดประโยคเหล่านั้นกับซูเหลียนอวิ้น เพราะความจริงแล้วต้องการสื่อความให้นางรู้ว่าตนคอยแอบช่วยเหลืออยู่ เพราะตนเองไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้แล้ว จึงอยากให้เด็กคนนี้เป็นตัวแทนในการคงภาพความทรงจำอันมีค่าเหล่านั้นไว้ จะถือเป็นความเห็นแก่ตัวเล็กๆ ของตนเองก็ได้
“เหลียนอวิ้น?” หลินเหวินเสี่ยวร้องเรียก “ต่อไปข้าเรียกเจ้าเช่นนี้แล้วกัน เรียกชื่อตามด้วยแซ่ ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนว่าเราเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ที่แท้เจ้ากับฮองเฮานั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เมื่อครู่ทำเอาข้าใจหายใจคว่ำไปหมด”
ซูเหลียนอวิ้นหันหน้ามาหาด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เมื่อครู่นางกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่
“จริงหรือ มิใช่สักหน่อย ข้าเพียงแค่อาศัยบารมีของท่านแม่ข้าเท่านั้น แม่ของข้ากับฮองเฮาเคยเป็นเพื่อนรักกัน ดังนั้นพอเห็นข้าจึงอยากยื่นมือเข้ามาช่วยกระมัง” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มออกมาราวกับว่าไม่มีความคิดอื่น
“เป็นเช่นนี้เอง” หลินเหวินเสี่ยวพยักหน้า “พูดมีเหตุผล แต่ข้าไม่นึกเลยว่าฮองเฮาจะเป็นคนใจกว้างแบบนี้ ในความคิดของข้า ข้าคิดมาตลอดว่าฮองเฮาเป็นคนเย่อหยิ่งถือตัว คงไม่อยากลดตัวลงมาพูดคุยกับพวกเรา ผู้ใดจะคิดว่านางจะเป็นกันเองอย่างนี้ การพูดการจาก็เช่นกัน”
หลินเหวินเสี่ยวคิดสักพัก จากนั้นพลันยิ้มขึ้น “แถมยังเอ่ยวาจาได้ถูกต้อง ในเมื่อพูดจากันไม่รู้เรื่องก็ใช้กำปั้นพูดแทนจะตรงประเด็นกว่า นิสัยเช่นนี้ของฮองเฮา ข้าชอบ”
ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะสองเสียง เนื่องจากตอนนี้นางอยากจะตะโกนขึ้นไปบนฟ้า พระเจ้าอยู่ไหน ช่วยประทานเพื่อนที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนมาให้ข้าสักคนได้หรือไม่ ผู้ที่ใฝ่การลงไม้ลงมือ ไม่มีหัวคิด ใช้กำปั้นเจรจา นางเป็นคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้ามีมาเพิ่มอีก นางเกรงว่าสองกำปั้นนี้ของนางคงจะรับมือไม่ไหวแน่
——
[1] มงกุฎหงส์ หมายถึง เครื่องประดับศีรษะแสดงบรรดาศักดิ์ของสตรีชั้นสูง
ตอนที่ 44 เพื่อนเก่า
“ไปเถิด” หลินเหวินเสี่ยวจูงมือนางไป “พวกเราไปดูด้านในกันเถิด ตรงนั้นคนเยอะนัก ไปเถอะ พวกเราไปดูกัน”
ซูเหลียนอวิ้นถูกลากไปอย่างไร้ทางเลือกแต่ยังคงฝืนยิ้มเจื่อน และไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา
“มู่เสวี่ย ชุดของเจ้าในวันนี้งามมาก เข้ากับรูปร่างเจ้าอย่างยิ่ง” สตรีที่อยู่ด้านข้างกล่าวชื่นชม
“ที่ใดกัน พี่สาวชมเกินไปแล้ว” สตรีที่ถูกชมเชยเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ชุดของพี่ๆ ในวันนี้ก็สวยมากเช่นกัน”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงนี้ เท้าของนางคล้ายถูกตอกด้วยตะปู นางนิ่งงันอยู่กับที่ไม่ยอมขยับเขยื้อน
“เหลียนอวิ้น เจ้าเป็นอะไรไป” หลินเหวินเสี่ยวรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาของคนข้างกาย จึงหันหน้าไปถาม “เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายหรือ”
“เปล่า” ซูเหลียนอวิ้นยกมือขึ้นแตะหน้าผาก “ข้าไม่เป็นอะไร แค่รู้สึกว่าวันนี้พระอาทิตย์ร้อนแรงจึงรู้สึกร้อนยิ่ง ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปนั่งด้านนั้นก่อนเถิด ข้าขอหาที่นั่งพักร่มๆ ก่อน”
“เจ้าอย่าฝืนตัวเอง!” หลินเหวินเสี่ยวเห็นอาการของซูเหลียนอวิ้นจึงสงสัยว่านางเป็นโรคลมแดดใช่หรือไม่ “พวกเราไปนั่งตรงนั้นกันก่อนเถิด ข้าจะไปเอาน้ำมาให้เจ้าสักแก้ว เจ้ารอข้าประเดี๋ยว ข้าจะรีบมา” นางพูดพลางพยุงซูเหลียนอวิ้นไปยังระเบียงด้านข้าง จากนั้นจึงรีบเดินผละออกไป
“คุณหนู เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เสียงเป็นกังวลของหลีมู่แว่วมาจากด้านหลัง “ให้บ่าวตามตัวคุณชายมาดีหรือไม่เจ้าคะ คุณหนู…ตอนนี้สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรเลย”
“ไม่เป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้น “ให้ข้าพักสักประเดี๋ยวคงดีขึ้น ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”
“เจ้าค่ะ…” หลีมู่ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด นางเพียงโบกพัดในมือให้แรงขึ้นเท่านั้น
มือของซูเหลียนอวิ้นที่อยู่ในแขนเสื้อกำลังกำไว้แน่น นางควรคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว มีงานฉลองเช่นนี้ หนานกงมู่เสวี่ยจะไม่มาเข้าร่วมได้อย่างไร
หากจะเอ่ยถึงคนที่ทำให้นางฝังใจมากที่สุดในชาติก่อน อันดับหนึ่งย่อมเป็นต้วนเฉินเซวียน ส่วนอันดับสองนั้นจะอย่างไรก็ต้องเป็นหนานกงมู่เสวี่ย
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และจดจ้องอย่างเงียบเชียบไปทางสตรีที่กำลังยิ้มแย้มสนทนากับผู้อื่นอย่างกระฉับกระเฉงที่ยืนอยู่ห่างจากนางออกไปตรงนั้น ตอนนั้นนางจึงบังเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นจากก้นบึ้งของจิตใจ
มิผิด นางอิจฉาหนานมู่กงเสวี่ย ทว่ากลับมิได้เกลียดนาง
ธิดาเพียงคนเดียวของเหิงชินอ๋อง สตรีผู้เพียบพร้อมอันดับหนึ่งที่ทุกคนในเมืองหลวงต่างเอ่ยปากชมกันเป็นเสียงเดียว ชำนาญสี่ศิลปวิทยา[1] ครบด้าน รูปโฉมงดงามไม่เป็นสองรองใคร ทั้งชื่อเสียงในเมืองหลวงก็ไม่มีจุดด่างพร้อย หนานกงมู่เสวี่ยกับซูเหลียนอวิ้นถือว่าเป็นสองขั้วที่ห่างไกลกัน
ชาติก่อนเมื่อผู้คนเอ่ยถึงต้วนเฉินเซวียนก็มักจะนึกถึงซูเหลียนอวิ้นขึ้นพร้อมกัน แน่นอนว่าย่อมนึกถึงหนานมู่กงเสวี่ยด้วยเช่นกัน หากบอกว่าต้วนเฉินเซวียนวางตัวต่อสตรีด้วยความเพิกเฉยเย็นชา ทว่าสำหรับหนานมู่กงเสวี่ยถือเป็นกรณีพิเศษ
เนื่องจากอวี้ชินอ๋องกับจิ้งอันโหวคนปัจจุบันเป็นเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก หากโอรสและธิดาของทั้งสองตระกูลจะพบหน้ากันบ่อยก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับต้วนเฉินเซวียนกับหนานกงมู่เสวี่ยนั้น กล่าวได้ว่าสนิทสนมเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองย่อมไม่ใช่ในรูปแบบธรรมดา
ผู้คนมักรังเกียจและไม่ชอบที่ซูเหลียนอวิ้นมักพัวพันอยู่รอบๆ ตัวของต้วนเฉินเซวียนเสมอ แต่สำหรับหนานกงมู่เสวี่ยแล้ว นางกลับยินดีเมื่อได้เห็นภาพนี้จนถึงขั้นหวังว่าซูเหลียนอวิ้นกับต้วนเฉินเซวียนจะได้คบกัน
ในความเป็นจริง สตรีที่งามพร้อมทุกกิริยา หากได้จับคู่กับทายาทหนุ่มตระกูลใหญ่ผู้มีรูปงามและลึกลับน่าค้นหาแล้ว นี่ถึงจะเหมาะสมมิใช่หรือ หากไปจับคู่กับสตรีบ้านๆ ที่โง่เขลา ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน
หากพูดตามเหตุตามผลแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ ซูเหลียนอวิ้นต้องเกลียดคนผู้นี้ถึงจะถูก ทว่านางกลับเกลียดไม่ลง นางเพียงอิจฉาหนานกงมู่เสวี่ยเท่านั้น แต่ไม่ได้ถึงขั้นเกลียดขี้หน้า
ซูเหลียนอวิ้นถอนหายใจ เพราะหนานกงมู่เสวี่ยผู้นี้ช่างสมบูรณ์พร้อมเสียเหลือเกิน
ชาติก่อนคนมักจะเคยชินกับการนำตัวนางกับหนานกงมู่เสวี่ยมาเปรียบเทียบกัน ขอเพียงแค่คนสองคนอยู่ในสถานที่เดียวกัน ก็มักจะมีข้อเปรียบเทียบมากมายหลากหลายปรากฏให้ได้ยิน และทุกครั้งในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นยังไม่ทันได้ออกมาพูดอะไร หนานกงมู่เสวี่ยก็จะเป็นผู้สยบคำพูดของทุกคน เมื่อถึงตอนท้าย ทุกที่ที่ซูเหลียนอวิ้นปรากฏตัวขึ้นก็มักจะไม่พบกับหนานกงมู่เสวี่ยแล้ว คนผู้นั้นคงกลัวนางวางตัวลำบากกระมัง
ในตอนแรกซูเหลียนอวิ้นไม่เข้าใจเหตุผล นางถึงขั้นลำพองใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายกลัวนาง ไม่กล้ายืนคู่กับนาง ตอนนี้เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว…ช่างน่าขายหน้าผู้อื่นยิ่งนัก
และในวันนี้ตอนที่ตนเห็นนาง ซูเหลียนอวิ้นคิดเพียงว่าหลายวันมานี้ที่ตนเสแสร้งแกล้งทำ เมื่อได้พบกับหนานกงมู่เสวี่ย ทุกสิ่งคล้ายพังทลายลง เพราะถึงอย่างไรหนานกงมู่เสวี่ยก็เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ แต่นางกลับเป็นเพียงผู้ที่ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงเท่านั้น
“เหลียนอวิ้น ขอโทษนะที่ข้ากลับมาช้าขนาดนี้” หลินเหวินเสี่ยวรีบสาวเท้าเข้ามา “ข้าหาน้ำเย็นอยู่ตั้งนานกว่าจะหาพบ เจ้าดื่มก่อนเถิด ดื่มแล้วจะได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง”
ซูเหลียนอวิ้นรับแก้วน้ำมา ดื่มลงไปหลายอึกกว่าจะคลายอารมณ์กดดันที่อยู่ในใจลงได้ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปากตัวเองแล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะ ข้าพักมานานมากแล้ว อันที่จริงก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ไปเถิด ไปดูทางนั้นกัน”
ถึงอย่างไรนางก็คงไม่สามารถแอบผู้อื่นได้ตลอดไป ถูกหรือไม่ ซูเหลียนอวิ้นสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางพูดกับตัวเองว่า อย่างไรเจ้าก็ใช้ชีวิตมานานกว่าผู้อื่นถึงสิบกว่าปีแล้ว มีเหตุผลใดต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วย และในชาตินี้ก็ยังไม่มีจุดบกพร่องใดเลย เจ้าคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้นมิถูกหรือ
“ซูเหลียนอวิ้น หลินเหวินเสี่ยว? พวกเจ้ามามาที่นี่ได้อย่างไร” บรรดาสตรีที่กำลังสรวลเสเฮฮากันอยู่นั้น เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นมาพลันยกมือขึ้นมาปิดปากไว้แล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าวพร้อมเอ่ยว่า “พวกเรากำลังถกเรื่องบทกวีกันอยู่ พวกเจ้าสองคนจะฟังเข้าใจหรือ”
สิ้นเสียงพูด รอบกายพลันมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น
“กำลังพูดเรื่องใดกันอยู่หรือ ให้ข้าร่วมฟังด้วยได้หรือไม่” เสียงหัวเราะรอบกายพลันหยุดชะงัก เมื่อก้มหน้าดูจึงเห็นเด็กอายุห้าหกขวบผู้หนึ่ง
“อะ…องค์ชายเก้า? เหตุใดท่านจึงมาที่นี่ได้เพคะ” สตรีที่เพิ่งเอ่ยคำเมื่อครู่คิดไม่ถึงว่าวาจาสามหาวของตนจะเรียกองค์ชายองค์หนึ่งมาถึงที่นี่ได้ การแต่งกายของคนผู้นี้บ่งบอกชัดเจนถึงฐานะของเขา
“ทำไม ข้ามาไม่ได้รึ” หนานกงเช่อหรือองค์ชายเก้า แม้เพิ่งจะมีพระชันษาห้าปี แต่ท่าทางไพล่หลังด้วยมือน้อยๆ ก็แฝงไว้ด้วยความสง่างามของการเป็นราชโอรส
“มิใช่เพคะ…” คนผู้นั้นก้มหน้า
“มิใช่ก็ดี” หนานกงเช่อพยักหน้าแล้วพูดขึ้นอีกว่า “เจ้า มากับข้า”
นิ้วมือของเขาชี้ไปยังซูเหลียนอวิ้น
“หม่อมฉัน?” ซูเหลียนอวิ้นชี้เข้าหาตนเอง นางถามตัวเองอยู่ว่าตนกับองค์ชายเคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อนหรือ อีกทั้งนางเองก็ไม่เคยล่วงเกินเขา ที่จริงแล้วครั้งนี้คล้ายเป็นครั้งแรกที่พบหน้ากันด้วยซ้ำ…
“ก็เจ้านั่นแหละ! หรือว่าจะให้ข้าไปลากเจ้ามาเอง” น้ำเสียงเจือแววรำคาญอยู่หลายส่วน
“เพคะ…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้ารับอย่างแข็งทื่อ แล้วพาหลีมู่เดินตามหลังองค์ชายน้อยผู้นี้ไปยังอีกด้านหนึ่ง
หลินเหวินเสี่ยวเห็นรูปการณ์เช่นนี้ก็ร้อนใจ แต่ก็จนปัญญา ตอนนี้นางเองก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
ผู้คนรอบๆ เมื่อเห็นว่าองค์ชายเก้าไม่ได้มาหาตนกลับยังพาตัวซูเหลียนอวิ้นไปเช่นนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะใจเพราะได้เห็นนางเดือดร้อนขึ้นมาอยู่หลายส่วน
——
[1] สี่ศิลปวิทยา คือ วิชาดีดพิณ, หมากล้อม, เขียนพู่กันจีน และวาดภาพ
ตอนที่ 45 องค์ชายเก้า
“เฮ้อ! ไม่รู้จริงๆ นะว่าไปทำอะไรให้องค์ชายทรงกริ้วเข้า อีกประเดี๋ยวคงมีละครสนุกๆ ให้ดูอีกแน่”
“ถูกต้อง น่าเสียดายที่พวกเราตามไปดูไม่ได้แล้ว”
ซูเหลียนอวิ้นใช่ว่าจะไม่ได้ยินเสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลัง เพียงแค่ตอนนี้นางเองก็ยังคงงุนงง!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น…
นางก้มหน้ามองพื้นที่ใช้ก้อนหินปูไว้เป็นชั้นหนาๆ แล้วก็แอบถอนใจ ฮองเฮานะฮองเฮา! คำพูดที่พระองค์เอ่ยไว้ก่อนหน้านั้นถูกต้อง ถูกต้องแม่นยำเกินไปด้วยซ้ำ! เช่นนี้แล้วจะไม่ให้มีคนมาหาเรื่องนางได้อย่างไรเล่า!
“ตอนนี้เจ้าก็นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนเถิด”
ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้น นางไม่รู้ตัวเลยว่าเดินมาหยุดอยู่ตรงศาลานี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ที่นี่หรือเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นมองไปรอบด้านแล้วเอ่ยขึ้น “ที่นี่มีอะไรพิเศษหรือเพคะ” สถานที่แห่งนี้เป็นทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา แต่วิวทิวทัศน์โดยรอบกลับไม่สวยงาม สถานที่เช่นนี้ไม่น่าอยู่และไม่มีอะไรน่ามอง
“เจ้าอยู่ที่นี่คงไม่มีใครมาหาเรื่องเจ้าแล้ว รออีกสักครู่พองานเริ่มขึ้นแล้ว ข้าจะพาเจ้ากลับไปเอง โดยจะไม่มีใครตำหนิเจ้า” เมื่อพูดจบ หนานกงเช่อจึงนั่งลงบนเก้าอี้ในศาลา แล้วบ่นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “วุ่นวายจริงๆ”
ซูเหลียนอวิ้น “…”
ตัวนางคงไม่ได้ไปทำอะไรให้องค์ชายองค์นี้ทรงกริ้วกระมัง เหตุใดต้องไม่พอใจนางถึงขั้นนี้
ด้วยเหตุนี้ ซูเหลียนอวิ้น หลีมู่ และหนานกงเช่อจึงนั่งเงียบๆ โดยไม่พูดไม่จากันเป็นเวลาครึ่งก้านธูป และในตอนนั้นที่ซูเหลียนอวิ้นทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงเอ่ยปากถามว่า “องค์ชายเก้าเพคะ พระองค์ให้หม่อมฉันมาที่นี่ มีคนไหว้วานมาใช่หรือไม่เพคะ”
ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าข้อดีอันดับแรกของตนก็คือ นางรู้จักตนเองอย่างปรุโปร่ง หากบอกว่าองค์ชายน้อยจู่ๆ ก็ถูกชะตากับนางจึงนำนางมาที่นี่เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายแล้ว นางคงได้แต่กลอกตาให้กับความคิดนี้
หนานกงเช่ออายุเพียงห้าขวบ จะไปเข้าใจอะไร! แถมวันนี้ยังเป็นวันแรกที่พวกเขาได้พบหน้ากัน หากเขาไม่ได้เป็นคนคิดเรื่องนี้เอง อย่างนั้นก็คงจะมีผู้ใดไหว้วานเขามากระมัง ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง อีกอย่างการนั่งอยู่เฉยๆ ก็น่าอึดอัดเกินไปหน่อย หากต้องนั่งเงียบๆ เช่นนี้ต่อไปนางอาจจะต้องอกแตกตายเป็นแน่
“ไม่มี” หนานกงเช่อคิดไม่ถึงว่าซูเหลียนอวิ้นที่อดกลั้นมานานจะถามคำถามนี้ออกมา ตอนนั้นจึงไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าอย่างไรดี จึงทำหน้าตายแล้วเอ่ยว่า “ข้าตัดสินใจจะทำอะไร ต้องรอให้เจ้าอนุญาตด้วยหรือ”
เจ้าเด็กไม่รู้ประสานี่ไม่น่ารักเลยสักนิด เจ้าคิดเองงั้นหรือ เหตุใดนางจึงรู้สึกไม่เชื่อเลยเล่า
“อ้อ อย่างนี้เองหรือ เช่นนั้นหม่อมฉันขอขอบพระทัยองค์ชายเก้าเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นฝืนยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ช่างเถิด ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็คงต้องปล่อยไปก่อน
“อันที่จริง ฮองเฮาเป็นคนให้ข้ามา” หนานกงเช่อเงียบไปนานแล้วเอ่ยขึ้น “ฮองเฮาเป็นห่วงเจ้ามาก ดังนั้นจึง…”
ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า นางรู้อยู่แล้ว แต่เหตุใดจู่ๆ ฮองเฮาจึงหันมาใส่ใจนางเช่นนี้ นางเริ่มครุ่นคิดอีกครั้ง
เมื่อหนานกงเช่อเห็นว่าตนพูดออกไปแล้ว ซูเหลียนอวิ้นกลับไม่สนใจจึงเริ่มอึกอักวางตัวไม่ถูก จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าซูเหลียนอวิ้น เช่นนี้แล้วคนทั้งสองจึงอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน เพราะซูเหลียนอวิ้นนั่ง ส่วนหนานกงเช่อเป็นฝ่ายยืนอยู่
“นี่ ข้าพูดอยู่เจ้าไม่ได้ยินหรือ” หนานกงเช่อยื่นมือโบกไปมาตรงหน้า “พูดสิ เจ้าเหม่ออะไรอยู่”
“เอ๊ะ?” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้น เมื่อครู่นางกำลังคิดเรื่องของฮองเฮาอยู่อย่างไรเล่า เจ้าเด็กไม่รู้ประสา ทำไมถึงจะทำให้คนอื่นสบายใจบ้างไม่ได้
เมื่อหนานกงเช่อเห็นว่านางเริ่มเอ่ยปาก จึงเท้าสะเอวแล้วพูดต่ออีกว่า “สรุปแล้วครั้งนี้เป็นข้าที่ช่วยเจ้า เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าอีกประเดี๋ยวเจ้าจะต้องพูดกับฮองเฮาเช่นไร เจ้าคงรู้อยู่แล้วกระมัง” พูดจบก็เชิดคางขึ้น แล้วมองซูเหลียนอวิ้นอย่างเสียไม่ได้
ซูเหลียนอวิ้นเบะปาก “หม่อมฉันจะกล่าวขอบคุณฮองเฮาที่ทรงเป็นห่วงและดูแลเป็นอย่างดี หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”
“มิใช่!” เมื่อหนานกงเช่อเห็นนางไม่ตกหลุมพรางก็เริ่มร้อนใจ “เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เพียงนี้! เป็นข้า เป็นข้าที่ช่วยเจ้า! เจ้าต้องพูดกับฮองเฮาถึงความเสียสละของข้า ทีนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง! “
อ้อ ซูเหลียนอวิ้นนึกออกแล้ว นางว่าแล้วว่าเหตุใดตัวนางจึงรู้สึกประหลาดอย่างยากจะอธิบายกับเรื่องเรื่องนี้ ตอนนี้นางเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว
มารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายเก้าหรือหนานกงเช่อ เป็นนางในนางหนึ่งที่ฮ่องเต้ทรงเมาไม่ได้สติแล้วเข้าหอกับนาง จึงทำให้หนานกงเช่อถือกำเนิดมาด้วยเหตุนี้ โชคร้ายที่นางในผู้นั้นชะตาอาภัพ เมื่อคลอดองค์ชายเก้าออกมาแล้วก็ลาโลกนี้ไป ทิ้งเด็กน้อยผู้หิวโหยเอาไว้บนโลกใบนี้เพียงลำพัง
เมื่อฮองเฮาเกาอู่เตี๋ยเห็นเด็กผู้นี้เสียมารดาไปตั้งแต่ยังเล็ก จึงรู้สึกทนดูไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงส่งคนของตนหลายคนไปคอยดูแลจนเด็กผู้นี้ไม่ขาดเหลือสิ่งใด เมื่อฮ่องเต้เห็นว่าฮองเฮาดูแลเด็กผู้นี้ดีมากจึงใช้โอกาสนี้ตรัสว่าจะทรงให้เด็กผู้นี้เป็นลูกบุญธรรมในความดูแลของเกาอู่เตี๋ยดีหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรฮองเฮาเกาอู่เตี๋ยก็ยังคงไร้ทายาทสืบทอด
ผู้ใดจะคิดว่าเกาอู่เตี๋ยจะทรงไม่ยอมรับ เพียงตอบเรียบๆ ว่าเรื่องของโชคชะตามิอาจกำหนด ในตอนแรกนางเพียงเห็นเด็กผู้นี้น่าสงสารจึงดูแลเท่านั้น ทว่าผู้คนที่น่าสงสารมีมากมายนักบนแผ่นดินนี้ ต่อให้นางเป็นฮองเฮาก็คงรับดูแลไว้เองทั้งหมดไม่ไหว อีกทั้งตอนนี้องค์ชายเก้าก็อยู่ในสายตาของฝ่าบาท คงไม่น่าสงสารมากเท่าไหร่แล้วใช่หรือไม่ เมื่อฮ่องเต้ทรงเห็นว่าฮองเฮาออกปากเช่นนี้จึงปล่อยให้เป็นไปตามความประสงค์ของนาง ด้วยเหตุนี้องค์ชายเก้าจึงเติบโตขึ้นจนถึงปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าฮองเฮาจะทรงไม่รับหนานกงเช่อไว้อยู่ในความดูแลของตน แต่เขากลับมีชีวิตอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ในวังหลวงแห่งนี้ เขาถือว่าเป็นผู้ที่สามารถทำสิ่งใดก็ได้แม้ว่าจะไม่มีสถานะใด แม้ว่านางจะไม่เคยยอมรับเด็กผู้นี้ แต่นางก็ไม่เคยแสดงท่าทีเพิกเฉยต่อเด็กผู้นี้เช่นกัน
คนในวังเมื่อเห็นรูปการเช่นนี้ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้มงวดกับเขา เพราะทุกคนรู้ว่าหากวันหนึ่งฮองเฮาเกิดเปลี่ยนใจ แล้วยอมรับหนานกงเช่อ หากหนานกงเช่อกลายเป็นโอรสบุญธรรมของฮองเฮาแล้ว นั่นเท่ากับว่าเขาจะเป็นโอรสเพียงคนเดียวของฮองเฮา ซึ่งมีฐานะโดดเด่นเหนือผู้ใด
หนานกงเช่อเติบโตขึ้นท่ามกลางความซับซ้อนเช่นนี้ ความคิดของเขาจึงเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันมากนัก แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าฮองเฮาดีกับเขาถึงเพียงนี้เหตุใดกลับไม่ยอมรับเขา มีเรื่องใดที่เขายังทำได้ไม่ดีอีกหรือ หรือว่าเรื่องอื่น เขามิอาจเข้าใจ แต่เขาคิดว่าคนที่เกาอู่เตี๋ยต้องการปกป้อง ตัวเขาเองก็ต้องช่วยปกป้องให้ดีๆ เช่นกัน หากเป็นเช่นนี้ เกาอู่เตี๋ยคงจะเปลี่ยนมุมมองในตัวเขาบ้างกระมัง เพราะหากอาศัยแต่เพียงเกาอู่เตี๋ย ก็จะมีแค่กำลังช่วยเหลือจากคนผู้เดียว เขาหวังว่าเกาอู่เตี๋ยจะมองเห็นว่าตัวเขาสามารถแบ่งเบาภาระนางได้ คนสองคนอย่างไรก็ย่อมดีกว่าคนเพียงคนเดียว
ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าตนเข้าใจถึงที่มาที่ไปแล้ว ตอนนั้นเองใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยยิ้มซับซ้อนขึ้นแล้วเอ่ยว่า “องค์ชายเก้า อยากให้หม่อมฉันพูดเช่นนี้หรือ”
เมื่อหนานกงเช่อเห็นซูเหลียนอวิ้นยิ้มเช่นนี้ พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น เพราะรอยยิ้มเช่นนี้เขาพบเห็นมามากมายแล้วและคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี
รอยยิ้มนี้ของซูเหลียนอวิ้นเหมือนกับรอยยิ้มของต้วนเฉินเซวียน ศัตรูคู่แค้นของเขาไม่มีผิด!
ตอนที่ 46 จินตนาการ
ในใจของหนานกงเช่อมีสัญญาณบางอย่างเตือนขึ้นจึงถอยหลังไปสองก้าว “เจ้าจะทำอะไร” ทุกครั้งที่ต้วนเฉินเซวียนเผยรอยยิ้มเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่เคยเกิดเรื่องดีขึ้นและคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็คงจะไม่นำเรื่องดีๆ มาให้เช่นกัน
“ไม่มีอะไรเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นยืน นางยื่นมือไปลูบผมของหนานกงเช่อพลางส่งยิ้มหวานให้ “หม่อมฉันเห็นว่าองค์ชายเก้าฉลาดหลักแหลมยิ่ง หม่อมฉันจึงรู้สึกเอ็นดูเพคะ” เจ้าเด็กนี่ โดนข้าหยิกเข้าหรือไง ถึงต้องโมโหขนาดนั้นด้วย
“เจ้าทำอะไรน่ะ!” เมื่อซูเหลียนอวิ้นลูบผมของหนานกงเช่อราวกับเขาเป็นเด็กน้อย หนานกงเช่อจึงเริ่มโมโห “ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ! นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่!” เขาพูดพลางถอยหลังหนีไปหลายก้าว จากนั้นจึงจัดมวยผมของตน แล้วใช้สายตาระแวดระวังมองไปยังซูเหลียนอวิ้น
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นหนานกงเช่อแสดงออกเหมือนเด็กเช่นนี้จึงหัวเราะออกมา “ก็เกือบจะใช่ องค์ชายเก้าพระชนมายุเพียงห้าขวบ เหตุใดจึงชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่เล่าเพคะ ไม่น่ารักสักนิด หรือว่าองค์ชายไม่รู้จักคำกล่าวที่ว่ามีแต่เด็กขี้อ้อนเท่านั้นถึงจะมีขนมกิน? “
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าหนานกงเช่อถอยหนีไปไกลเช่นนั้นจึงได้แต่กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วจ้องหน้าเขาพร้อมเอ่ยแต่ละคำออกมาอย่างชัดเจน
“นี่หมายความว่าอะไรกัน” หนานกงเช่อขมวดคิ้ว ขณะนั้นในหัวของเขาคล้ายคิดตามไม่ทัน “ข้าไม่ชอบกินของหวาน”
“หม่อมฉันหมายความว่า หากองค์ชายต้องการทำให้ฮองเฮาสบายพระทัย พระองค์ต้องขี้อ้อนหน่อยเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยพลางยิ้มขึ้น “หน้าตาบึ้งตึงขององค์ชายเมื่อครู่นี้ไม่น่ารักเลยสักนิด ตอนนี้ดูแล้วยังสบายตามากกว่า”
เด็กก็ควรมีนิสัยอย่างเด็ก ตัวโตแค่นี้กลับวางตนราวกับเป็นผู้ใหญ่ ต่อไปเมื่อโตขึ้นจะเป็นอย่างไรเล่า
“ขี้อ้อน…?” หนานกงเช่อเริ่มครุ่นคิดเงียบๆ ทว่าเพียงครู่เดียวก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับเอ่ยกับคนเบื้องหน้าตนว่า “เมื่อครู่ข้ามิได้ออดอ้อนเจ้า!” น้ำเสียงของเขากราดเกรี้ยว ตอนนี้ถือว่ามิได้ออดอ้อนแล้วจริงๆ
ซูเหลียนอวิ้นค้อมตัวลงเล็กน้อย เพื่อซ่อนรอยยิ้มของตนเอง จากนั้นจึงวางท่าจริงจังขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “องค์ชายเก้าเพคะ พระองค์ลองคิดทบทวนให้ดี หากเป็นพระองค์ พระองค์จะอยากอยู่กับคนที่มีรอยยิ้มทุกวันหรือว่าจะอยากอยู่กับคนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดและเฉยชา? ฮองเฮาเองก็เป็นคนเหมือนอย่างเรา คนย่อมต้องมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา[1]”
“ข้า…” หนานกงเช่อก้มหน้าลง เขากลับมิเคยคิดถึงประเด็นนี้มาก่อน สิ่งที่เขาคาดหวังในตัวเองตลอดมาก็คืออยากให้ตนเป็นผู้ใหญ่และดูน่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะเขาคิดว่ามีแต่การทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะทำให้เกาอู่เตี๋ยเห็นว่าเขาคู่ควรแก่การฝากฝังขึ้นมาบ้าง แต่วันนี้เมื่อพิจารณาจากคำพูดของซูเหลียนอวิ้นแล้ว สิ่งที่เขาได้ทำมาตลอดนั้นผิดทางหมดเลยใช่หรือไม่
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าเขาก้มหน้างุดไม่ยอมเอ่ยคำ ก็คาดการณ์ได้ว่าเขารับฟังคำพูดเมื่อครู่ของตน จึงกล่าวต่อไปว่า “หากองค์ชายมิเชื่อ ก็ลองพิจารณาคุณชายต้วนเป็นตัวอย่าง ปกติแล้วคุณชายต้วนกับฮองเฮาปฏิบัติต่อกันอย่างไร แต่กลับมีสีหน้าเฉยชาต่อท่านทั้งวันใช่หรือไม่”
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคำพูดนี้ของซูเหลียนอวิ้น แทงใจหนานกงเช่ออย่างรุนแรง
มิผิดเลย! เวลาที่ต้วนเฉินเซวียนจอมโฉดนั่นอยู่กับเกาอู่เตี๋ย มักจะชอบเข้าไปพะเน้าพะนอ แม้ว่าเขาจะแสร้งทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไร แถมยังคอยพร่ำบอกว่ากิริยาเช่นนี้ถือว่าไร้มารยาท แต่ใจจริงของเขานั้นกลับอิจฉาตาร้อนเป็นที่สุด! ที่แท้แล้วความจริงเป็นเช่นนี้เองหรือ หนานกงเช่อรู้สึกว่าเขาได้เคล็ดลับอะไรบางอย่างเข้าแล้ว เขาจึงแอบตัดสินใจว่าหากงานฉลองนี้จบลง เขาจะต้องลองกลับไปทำดูบ้าง!
พอคิดถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขึ้น สายตาของเขาจึงปะทะเข้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของซูเหลียนอวิ้น แต่เขากลับยังคงทำเสียงแข็ง “เจ้าบอกเรื่องนี้แก่ข้า คงมิได้ต้องการอะไรจากข้าหรอกกระมัง มิเช่นนั้นแล้วเจ้าจะบอกข้าทำไม” กล่าวจบ สายตาตื่นเต้นเมื่อครู่พลันเปลี่ยนกลับไปมองซูเหลียนอวิ้นอย่างระแวดระวังอีกครั้ง
ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของตนเริ่มกระตุก
นางเพียงหวังดีก็เท่านั้น! เพราะเรื่องราวของเด็กผู้นี้จะดีร้ายอย่างไรก็ได้จี้จุดของนางเข้าแล้ว เพราะเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้ใจคนผู้หนึ่งเช่นกัน และคนที่เขาอยากได้ใจก็ดันเป็นคนที่สูงเกินจะเอื้อม
อีกอย่างปีนี้หนานกงเช่อเพิ่งจะมีอายุเพียงห้าขวบ ตอนที่นางอายุห้าขวบกำลังทำอะไรอยู่ คงจะมัวแต่คิดว่าขนมแป้งทอดน้ำตาลร้านไหนหวานไป? หรือไม่ก็คงสนใจแต่ว่าร้านไหนมีกระโปรงลายดอกไม้ลายใหม่ออกมาขายบ้าง? เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว องค์ชายเก้าผู้นี้…ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารนัก
“คิดเสียว่าเป็นการตอบแทนที่องค์ชายช่วยให้หม่อมฉันพ้นวิกฤตเมื่อครู่แล้วกันเพคะ” ซูเหลียนอวิ้น กะพริบตาปริบ “เพราะถึงอย่างไรฮองเฮาก็มิได้เป็นผู้ส่งท่านมาช่วยข้า แต่เป็นเพราะท่านบังเอิญเห็นเหตุการณ์เข้า อย่างไรก็ขอขอบพระทัยเพคะ”
เมื่อหนานกงเช่อถูกเปิดโปงว่าตนโกหกต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ก็เริ่มไม่พอใจ แต่เมื่อมองไปยังแววตาที่มีรอยยิ้มเคลือบอยู่ของซูเหลียนอวิ้นที่ไม่ได้แสดงการเยาะเย้ย เขาจึงเพียงแค่บ่นพึมพำขึ้น “ข้าแค่ออกแรงนิดหน่อยก็เท่านั้น เจ้ามิต้องใส่ใจ”
“อืม…” พอซูเหลียนอวิ้นเห็นท่าว่าไม่มีสิ่งใดเอ่ยต่อแล้ว จึงยืนขึ้นแล้วยื่นมือซ้ายออกไป “พวกเราควรจะกลับเข้าไปได้แล้วเพคะ อยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ ตอนนี้งานเลี้ยงคงใกล้เริ่มเต็มทีแล้ว”
เมื่อหนานกงเช่อเห็นมือซ้ายยื่นออกมาหาตนก็นิ่งอึ้งไปชั่วคราว เพราะไม่ว่าจะด้วยฐานะของเขาหรือเป็นเพราะความต้องการของเขาเอง ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะจูงมือเขามาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาจึงไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรดี
“โธ่ ไปกันเถิดเพคะ” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าหนานกงเช่อเมินนาง ตนจึงทำได้เพียงเป็นฝ่ายจับจูงมือเขาก่อน “ไปเถิด เดินระวังด้วยเพคะ”
หนานกงเช่อได้แต่มองเหม่อแล้วปล่อยเลยตามเลยให้ซูเหลียนอวิ้นจูงมือไป ตลอดเส้นทางเขาไม่ได้เอ่ยคำพูดใดอีก เพราะหากเป็นช่วงปกติแล้ว ถ้าเขาไม่รีบสะบัดมือออก อย่างน้อยก็ต้องพูดหาเรื่องสักสองสามประโยค แต่ครั้งนี้เขากลับเลือกที่จะเงียบ
เพราะหนานกงเช่อรู้สึกว่าทั่วร่างกายเขามีบางอย่างโอบล้อมอยู่ เช่นเดียวกับมือขวาของเขาในตอนนี้
เขารู้สึกถึงความละมุนละไม อ่อนโยนและอบอุ่น ราวกับว่าความรู้สึกที่อยู่ในความทรงจำส่วนลึกของเขาถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองสตรีที่กำลังจูงมือของเขา แม้ว่าใบหน้าจะไม่คุ้นตา ทว่าความรู้สึกกลับคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง
“ซูเหลียนอวิ้นกลับมาแล้วหรือ ทำไม ทำไมถึงจูงมือองค์ชายเก้ามาได้เล่า”
คนรอบด้านต่างประหลาดใจแล้วขยี้ตามองภาพที่ซูเหลียนอวิ้นจูงมือหนานกงเช่อกลับมา จากนั้นจึงมองให้ชัดอีกรอบ จึงพบว่าตาไม่ได้ฝาด แต่นี่มันไม่ถูกต้อง ตอนจากไปคราแรกเห็นชัดๆ ว่าองค์ชายเก้ามีอาการหงุดหงิด เหตุใดตอนกลับมาถึงได้…?
‘นี่…นี่จะต้องเป็นเพราะซูเหลียนอวิ้นทำเสน่ห์ใส่องค์ชายเก้าแล้วแน่! ผู้หญิงคนนี้ช่างน่ากลัวนัก ขนาดเด็กอายุห้าขวบยังไม่ละเว้นเลยหรือ…’
น่าเสียดายที่ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้ยินสิ่งที่คนรอบด้านกำลังคิดในใจ มิเช่นนั้น ด้วยนิสัยของนางแล้วคงจะต้องลากคนผู้นั้นออกมาจ้องตาแล้วถามว่า นางดูแล้วเป็นคนแบบว่า…คนแบบไหนกันหรือ ที่แม้แต่เด็กห้าขวบยังไม่ละเว้น จินตนาการของพวกเจ้าช่างล้ำเลิศนัก
——
[1] เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา หมายถึง อารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์ คือ ดีใจ, โกรธ, เศร้า, กลัว, รัก, เกลียด และความปรารถนาสัมผัสหกประการ คือ รูป, รส, กลิ่น, เสียง, สัมผัสทางกายและทางใจ
ตอนที่ 47 ลงคะแนน
“ข้าขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน” เมื่อหนานกงเช่อโดนสายตาของคนรอบด้านเพ่งเล็งเช่นนี้ก็รู้สึกอึดอัด จึงรีบดึงมือของตนออกแล้วเอ่ยขึ้น
“เพคะ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า เพราะถึงอย่างไรการวางตัวของราชวงศ์กับพวกเขาที่เป็นลูกขุนนางย่อมแตกต่างกัน “พระองค์แอบหนีมาคนเดียว แม้แต่คนรับใช้ส่วนพระองค์สักคนก็ยังไม่มี คาดว่าตอนนี้พวกเขาคงร้อนใจแย่แล้ว รีบกลับไปเถิดเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นลดเสียงลงแล้วเอ่ยเบาๆ ทว่าด้วยความสูงของหนานกงเช่อแล้ว นางจำต้องก้มตัวลงไปพูดกับเขา มิเช่นนั้นเสียงเบาเช่นนี้ นางเองก็ไม่แน่ใจว่าหนานกงเช่อจะได้ยินหรือไม่
แต่หากมองจากอีกมุมหนึ่ง ในสายตาของผู้คนที่อยู่รอบๆ แล้ว ทำให้เห็นชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองนี้ไม่ธรรมดา
“ข้ารู้อยู่แล้ว! เจ้าไม่ต้องยุ่ง” หนานกงเช่อมีท่าทีหงุดหงิดเมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาไม่รอให้ซูเหลียนอวิ้นกล่าวอะไรต่อ จากนั้นจึงกระแทกเท้าวิ่งจากไป โดยไม่เปิดโอกาสให้ใครเอ่ยสิ่งใดอีก
ซูเหลียนอวิ้นมองตามเงาด้านหลังของเด็กร่างน้อยผู้นั้นอย่างจนปัญญา
“เหลียนอวิ้น!” หลินเหวินเสี่ยวเดินวนไปมาอยู่รอบหนึ่งกว่าจะเห็นนาง จากนั้นจึงลากนางไปอีกด้านหนึ่ง แล้วเอ่ยถามเบาๆ ว่า “เจ้าไม่เป็นไรแน่หรือ ตอนนั้นเห็นชัดๆ ว่าองค์ชายเก้า…” หลินเหวินเสี่ยวพูดไปได้ครึ่งประโยคก็คล้ายคิดสิ่งใดขึ้นมาได้จึงหยุดพูดแล้วปิดปากไม่ยอมพูดต่ออีก
เพราะในวังหลวงแห่งนี้ หากวิพากษ์วิจารณ์องค์ชายส่งเดชแล้วมีผู้ไม่หวังดีจับผูกเป็นเรื่องเป็นราว จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้
“ตกลงเจ้าไม่เป็นไรนะ เมื่อครู่ข้าเกือบไปขอร้องให้ฮองเฮามาช่วยเสียแล้ว น่ากลัวจะแย่” หลินเหวินเสี่ยวทุบอกตัวเอง “คำพูดที่คนเขาพูดกันนั้นเป็นจริง ที่ที่อันตรายที่สุดก็คือวังหลวง แต่ละฝีก้าวล้วนต้องระวังเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นการแสดงออกที่มากเกินไปของนางก็ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดดี แต่ในใจลึกๆ ของนางกลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น เพราะหากจะว่ากันตามตรงแล้ว นางกับหลินเหวินเสี่ยวมิได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันมากนัก แต่นางกลับทำเพื่อตนถึงขั้นนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ ก็แค่เด็กคนหนึ่ง ให้ขนมชิ้นเดียวก็ปลอบได้แล้ว” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยด้วยท่าทางผ่อนคลายราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เพราะอย่างไรตอนนี้คนมาถึงงานเลี้ยงกันมากแล้ว พวกเรารีบหาที่นั่งดีๆ สักที่หนึ่งกันก่อน ไปเถอะ” นางพูดพลางจูงมือซูเหลียนอวิ้นไปยังที่นั่งที่ห่างไกลผู้คน เพราะสถานที่แบบนี้ คนอย่างพวกนางก็เป็นคนประเภทที่จับปลาได้ในน้ำขุ่น[1] เฝ้ามองดูผู้คนแสดงความสามารถ เพราะพวกนางคง…
“ตรงนี้ก็แล้วกัน เจ้าว่าอย่างไร” หลินเหวินเสี่ยวหันหน้าไปถามซูเหลียนอวิ้น เนื่องด้วยที่นั่งตรงนี้ค่อนข้างสงบ ทั้งยังห่างจากที่นั่งของบุรุษ เพราะยิ่งไกลเท่าไหร่ บรรดาสตรีน้อยใหญ่ยิ่งไม่อยากเลือกมากเท่านั้น
“ตรงนี้ก็ดี” ซูเหลียนอวิ้นตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตำแหน่งตรงนี้ดียิ่ง คนยิ่งน้อยเท่าไหร่ นั่นยิ่งรับประกันได้ว่าหูของพวกเราจะโล่งไปครู่หนึ่ง ถือว่าไม่เลวเลยใช่หรือไม่”
“ข้าเห็นด้วยกับเจ้า” หลินเหวินเสี่ยวพยักหน้า
ซูเหลียนอวิ้นนั่งลงบนเก้าอี้แล้วพิงพนักเบาๆ พลางรับรู้ถึงกำลังที่หลีมู่พัดให้อย่างไม่เบาไม่แรงจนเกินไปจากทางด้านหลัง หูของนางยังคงได้ยินเสียงต่างๆ รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเสียงสรรพสัตว์และเสียงผู้คนรอบกาย พอรวมๆ กันแล้วกลับทำให้คนฟังรู้สึกอื้ออึงและรู้สึกง่วงนอนเป็นอย่างยิ่ง
“ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จ!”
ในตอนที่ตาคู่นี้ของซูเหลียนอวิ้นหนักอึ้งและใกล้จะปิดลงเต็มที เสียงร้องเล็กแหลมของขันทีได้ดังขึ้นขับไล่เอาความง่วงทั้งปวงของนางออกไป
สุดท้ายก็ได้เวลา เริ่มกันเลย…
“แม้ว่าจะเป็นการสอบ จะว่าไปก็ไม่ต่างจากงานฉลองงานหนึ่ง หวังว่าทุกคนจะตั้งใจ แต่มิต้องเคร่งเครียดจนเกินไปนัก” บนพระที่นั่ง ฮ่องเต้ตรัสขึ้นอย่างไม่เร็วไม่ช้า “บัดนี้ เริ่มลงมือสอบได้”
เช่นเดียวกับเมื่อชาติก่อน ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่ามีความมั่นใจมากขึ้น การเตรียมตัวอย่างเร่งด่วนบวกกับความทรงจำที่สั่งสมมาตั้งแต่เมื่อชาติก่อน ทำให้นางรู้สึกเบาใจขึ้นมาก
“บทกวีหัวข้อ วสันตฤดู” เสียงเล็กแหลมของขันทีดังขึ้นอีกครั้ง ป่าวประกาศหัวข้อของสนามแรก
หัวข้อคือวสันตฤดู? พอได้อยู่ ไม่ถือว่ายากจนเกินไปนัก ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า นางคิดว่าตนทำได้ เพราะตำราเล่มนั้นที่อาจารย์ถงมอบให้นางมีบทกวีที่เกี่ยวข้องกับวสันตฤดูอยู่ไม่น้อย เมื่อรวมกับส่วนที่นางแต่งเองแล้ว หัวข้อนี้ถือว่าง่ายยิ่งนัก
ซูเหลียนอวิ้นยกพู่กัน เพียงช่วงเวลาสั้นๆ นางก็สามารถเขียนเสร็จได้อย่างราบรื่นและส่งข้อสอบไป
หลินเหวินเสี่ยวที่อยู่ด้านข้างเมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นส่งข้อสอบเร็วปานนั้นจึงรู้สึกประหลาดใจยิ่ง “เหลียนอวิ้น เจ้ามิได้เขียนมั่วไปใช่หรือไม่ อีกประเดี๋ยวต้องมีการตัดสินนะ!”
ซูเหลียนอวิ้นเก่งขนาดไหนกันเชียว แม้ว่านางจะไม่ได้เข้าใจอะไรลึกซึ้งมากนัก แต่นางก็พอเข้าใจบ้าง ตอนนี้เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นเขียนเสร็จโดยแทบจะไม่ได้คิด ทั้งยังส่งข้อสอบไปแล้วจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “เจ้าจะเอากลับมาก่อนหรือไม่ นางในผู้นั้นยังเดินไปได้ไม่ไกล” หากเรียกเบาหน่อยก็คงจะไม่ทำให้คนหันมาสนใจด้านนี้สักเท่าไหร่กระมัง คงจะไม่อับอายผู้อื่นเท่าไหร่นักหรอก
หากยอมอายตอนนี้จะอายเพียงไม่กี่คน นั่นย่อมดีกว่ารอให้ถึงเวลาตัดสินต่อหน้าผู้คนมากมาย นั่นจะขายหน้าสักแค่ไหน!
“ข้า…” ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี เพราะถึงอย่างไรนางก็หวังดีกับตน เพราะหากเป็นตัวเองในสมัยก่อน ถ้าได้เห็นภาพภาพนี้ก็คงจะทำเช่นเดียวกับหลินเหวินเสี่ยวเช่นกัน สงสัยว่าตัวเองจะหลับตาเขียนส่งไป!
“ก่อนหน้าไม่กี่วันนี้ ข้ามีโอกาสอ่านตำราเกี่ยวกับหัวข้อนี้อยู่บ้าง เพราะเห็นว่าใกล้จะเข้าวสันตฤดูแล้ว อีกทั้งบังเอิญหยิบเรื่องนี้มาอ่าน ทำให้เขียนได้เร็วอย่างนี้” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ดังนั้นข้ามิได้หลับตาเขียน เจ้าเองก็เร่งมือเข้าเถิด” ไม่ต้องถามต่อแล้ว ซูเหลียนอวิ้นแอบคิดในใจ มิเช่นนั้นนางเองก็ไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลใดมาอธิบายดี! หากรู้แต่แรก นางขอส่งข้อสอบเป็นคนสุดท้ายคงจะไม่วุ่นวายเหมือนตอนนี้
หลินเหวินเสี่ยวยังแอบสงสัยอยู่ บังเอิญเช่นนี้เลยหรือ แต่เมื่อได้ยินซูเหลียนอวิ้นกล่าวเช่นนี้จึงไม่ซักไซ้ต่ออีก นางหยุดคิดต่ออีกเพียงครู่เดียว จากนั้นจึงยกพู่กันเขียนจนเสร็จและส่งข้อสอบไป
ตอนนี้ทุกคนส่งข้อสอบกันจนครบแล้ว เหลือแค่รอการประกาศผลคะแนนเท่านั้น
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับความทรงจำของซูเหลียนอวิ้นเมื่อชาติก่อน ในครั้งนี้ ไม่ได้มีกรรมการเพียงคนเดียวตัดสินแล้วประกาศผล แต่จะนำเอาบทกวีที่ทุกคนเขียนเสร็จแล้วไปแขวนไว้บนโคมม้าวิ่ง[2] จากนั้นให้ทุกคนลงคะแนนอย่างเป็นธรรม แต่ละคนสามารถเลือกใครก็ได้ แน่นอนว่าทุกบทกวีจะไม่มีชื่อเจ้าของปรากฏ ทำเช่นนี้ถึงจะเกิดความยุติธรรม เพราะจะได้ตัดสินว่าบทกวีบทไหนดีหรือไม่ดีด้วยความรู้สึกที่แท้จริง
แต่ละคนจะมีป้ายลงคะแนนสามใบ หากถูกใจบทกวีบทไหนก็ให้ใส่ป้ายไว้ในกระบอกไม้ไผ่ด้านหลัง แล้วค่อยมานับคะแนนรวมในภายหลัง
เมื่อทุกคนได้ฟังกติกาแล้วก็ไม่มีข้อคัดค้าน เพราะทุกคนต่างคิดว่าบทกวีของตัวเองนั้นดีที่สุด สามารถแสดงให้ทุกคนได้เห็นเช่นนี้จะไม่ดีได้อย่างไร และหากใช้วิธีอย่างเมื่อก่อนที่พอนับคะแนนเสร็จแล้วประกาศผล ทุกคนก็มักจะรู้สึกไม่ยอมรับเท่าไหร่นัก ตอนนี้ทั้งสะดวกและโปร่งใสจะยังมีอะไรให้ไม่พอใจอีกเล่า
——
[1] จับปลาได้ในน้ำขุ่น เป็นสำนวน หมายถึง ได้ประโยชน์จากความวุ่นวาย
[2] โคมม้าวิ่ง คือ โคมที่ตรงกลางภายในโคมจะมีแกนขนาดเล็ก บนตัวแกนจะติดกระดาษที่เป็นภาพคนขี่ม้าเมื่อจุดเทียนภายในโคม ไอร้อนจะทำให้กระดาษที่เป็นรูปคนขี่ม้าหมุนจึงทำให้ดูเหมือนคนขี่ม้าบนกระดาษวิ่งไล่กันเป็นวงกลม
ตอนที่ 48 ยอมรับ
ทุกคนพากันลุกขึ้นแล้วเดินไปยังบริเวณโคมม้าวิ่ง ต่างก็กระซิบกระซาบกับคนข้างกายไปพลาง และจดจ่อกับบทกวีที่ถูกแขวนเอาไว้อย่างตั้งใจ
ซูเหลียนอวิ้นตัดสินใจดีแล้ว ในเมื่อมีป้ายลงคะแนนสามป้าย ใบแรกนางจะให้ตัวเอง อีกใบจะให้หลินเหวินเสี่ยว ส่วนอีกใบที่เหลือ…ต้องดูอารมณ์ก่อน ดูว่าบทไหนอ่านแล้วเข้าท่าก็จะให้แก่บทนั้น
เฮ้อ…นางก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหรือ…เป็นคนที่ให้คะแนนตัวเอง! ในเมื่อให้คะแนนตัวเองได้แล้วทำไมถึงจะไม่ทำเล่า จะว่าไปถ้านางไม่ให้ตัวเอง แล้วไม่มีใครให้คะแนนนางสักคน…แม้แต่คะแนนเดียว มันจะน่าอายขนาดไหน
ในใจของหลินเหวินเสี่ยวเองก็คิดไม่ต่างไปจากจากซูเหลียนอวิ้น อันดับแรกคือให้คะแนนตัวเองก่อน หลังจากนั้นจึงเดินเข้ามาใกล้ซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยว่า “อันไหนคือของเจ้า ข้าจะให้คะแนนเจ้าด้วย!”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนั้นก็หันหน้าไปแล้วเม้มริมฝีปากแน่น เพราะท่าทีเช่นนี้ คนที่สื่อสารกันเข้าใจได้โดยไม่ต้องพูดก็สามารถเข้าใจกันได้ปรุโปร่ง ทำให้นางเกิดความรู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาคลอเบ้า
หลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นให้คะแนนตัวเองแบบไม่กระโตกกระตากอะไรก็แอบส่งสายตาไปให้หลินเหวินเสี่ยว หลินเหวินเสี่ยวเมื่อเห็นดังนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น ไม่ต้องพูดอะไรกันมากก็เข้าใจกันดี! เพราะหลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นเห็นหลินเหวินเสี่ยวให้คะแนนตนแล้วก็ให้ป้ายคะแนนอีกใบกับนางต่อทันที
ร่วมมือกันเป็นอย่างดีเช่นนี้ ทุกคนควรจะปรบมือชื่นชมถึงจะเหมาะสม
“ข้าขอไปดูทางนั้นต่ออีกหน่อย ทางด้านนี้ข้าดูครบแล้ว” หลินเหวินเสี่ยวถือป้ายลงคะแนนแผ่นสุดท้ายแล้วเอ่ยขึ้นอย่างระวังตัว เพราะนี่เป็นคะแนนสุดท้ายแล้วจึงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนสักหน่อย
“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “เจ้าไปเถิด ทางด้านนี้ข้ายังดูไม่ครบ” พอคิดได้ดังนั้นซูเหลียนอวิ้นก็กวาดตามองไปด้านข้าง จึงไปสะดุดตาเข้ากับบทกลอนที่อยู่ห่างจากตัวนางไปไม่ไกลบทหนึ่ง
“ฤดูวสันต์ริมฝั่งตระการตา สุดสายตาผลิใบใหม่ทั่วแผ่นผืน ลมวสันต์พัดโชยกายสะดุ้งไหว พฤกษาไสวสะพรั่งพร้อมหมื่นสี”
ซูเหลียนอวิ้นยืนนิ่งจ้องมองบทกลอนที่แขวนอยู่บทนั้นแล้วพึมพำขึ้นมา จากนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปสัมผัสตัวอักษร เป็นตัวอักษรที่สวยงามยิ่ง เข้มแข็งแต่นุ่มนวลสอดเสมอกัน เมื่อมองก็ดูออกว่าเป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เทียบกับนางที่รีบร้อนใช้เวลาฝึกลวกๆ เพียงสามวันครึ่งถือว่าต่างชั้นกันมากนัก
ทว่าเหตุใดจึงรู้สึกคุ้นตาเช่นนี้ได้ เพราะนางจำได้ว่าในช่วงเวลาอันรีบเร่งไม่กี่วันที่ผ่านมานี้นางไม่เคยเห็นกลอนบทนี้ แต่นี่เป็นบทกลอนที่งดงามมากบทหนึ่ง หรือว่าจะลงคะแนนที่เหลือให้กลอนบทนี้เสียเลย? แต่ซูเหลียนอวิ้นยังคงลังเลใจเพราะมีกลอนด้านหลังอีกมากมายที่นางยังไม่ได้ดู
“เป็นอะไรหรือ มีปัญหาอะไรหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านหลัง “ข้าเห็นว่าเจ้ายืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว”
ซูเหลียนอวิ้นหันหน้าไปมอง ตัวเองคงยืนอยู่ตรงนี้นานแล้วจริงๆ เหม่อลอยจนแทบไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง
“หนาน หนานกงมู่เสวี่ย?” ซูเหลียนอวิ้นพูดตะกุกตะกัก พร้อมทั้งถอยหลังไปอีกสองสามก้าว
นางคิดอยู่แล้วว่าทำไมกลอนถึงได้คุ้นหูนัก! นี่คือกลอนที่เมื่อชาติที่แล้วได้รับการชื่นชมมากที่สุดบทนั้น เป็นฝีมือของหนานกงมู่เสวี่ย…มิน่าเล่าถึงอยู่ในความทรงจำของนางลึกขนาดนี้
เมื่อหนานกงมู่เสวี่ยเห็นนางเห็นนางถอยหลังไปหลายก้าวเช่นนี้ก็ชะงักไป “เป็นอะไรหรือ”
“ข้าไม่เป็นอะไร” ซูเหลียนอวิ้นเอามือจัดปิ่นปักผมแล้วก้าวกลับมาข้างหน้า “ได้ยินคุณหนูหนานกงพูดขึ้นกะทันหัน ข้าเลยตกใจไปก็เท่านั้น หวังว่าคุณหนูจะไม่ถือสา” การแสดงออกของนางเมื่อครู่คงจะเป็นการแสดงออกตามสัญชาตญาณกระมัง เพราะท่าทางคล้ายกับหนูเห็นแมวที่อยากจะหลบไปให้ไกลๆ อย่างไรอย่างนั้น
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” หนานกงมู่เสวี่ยยิ้มขึ้น เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นมีท่าทีเช่นนี้ก็ไม่พูดสิ่งใดต่อเพราะเกรงว่าจะทำให้บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาอีก
ซูเหลียนอวิ้นมองหนานกงมู่เสวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างตนก็แอบถอนใจ เมื่อมองใกล้ขนาดนี้…หนานกงมู่เสวี่ยนั้นสวยมากจริงๆ
วันนี้หนานกงมู่เสวี่ยใส่กระโปรงยาวสีเหลืองนวลลายดอกฝ้ายเล็กๆ ที่เอวยังมีเข็มขัดสีเขียวอ่อนคาดไว้พร้อมแขวนป้ายหยกสีขาวสว่างราวแสงจันทร์ ขับให้ช่วงเอวและขาดูยาวยิ่งขึ้น
ริมฝีปากราวกับดอกโบตั๋น คิ้วเข้มคมชัด แต่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนว่านางแต่งหน้า เมื่อแก้มของนางต้องกับแสงแดด ยิ่งขับให้ใบหน้าของนางดูขาวสว่างใส รวมกับรอยยิ้มที่มีลักยิ้มปรากฏให้เห็นเด่นชัด ยิ่งทำให้ไม่ว่าผู้ใดเห็นต่างต้องรู้สึกหลงใหล ถือว่างามเลิศไปด้วยรูปโฉมและกลิ่นหอมราวดอกโบตั๋น
ซูเหลียนอวิ้นอดนำมาเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้ จากนั้นจึงรู้สึกเหมือนว่าตนถูกฆ่าตายภายในพริบตาเดียว
เพราะหากพิจารณาการแต่งตัวและการแต่งหน้าของตนในวันนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโฉมสะคราญที่งามแม้ไร้เครื่องสำอางแบบนี้ ก็รู้สึกว่าตนก็เหมือนกับคนอื่นทั่วไปเท่านั้น
“ยินเสียงดอกสาลี่โรยหล่น คีรีหม่นสงัดเงียบราตรีหมอง แสงจันทร์ส่องวิหคโบยผวา มวลปักษาส่งเสียงก้องคีรี” หนานกงมู่เสวี่ยอ่านบทกลอนรอบกาย แต่กลับอ่านออกเสียงกลอนบทนี้ออกมา ราวกับนางกำลังร้องเพลงอยู่เพราะน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง “กลอนบทนี้น่าสนใจนัก”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงนี้จึงหันกลับมามอง นางจะบอกหนานกงมู่เสวี่ยดีหรือไม่ว่ากลอนบทนี้เป็นของนางเอง?
หนานกงมู่เสวี่ยกลับไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก นางเพียงคิดว่ากลอนบทนี้ไม่เลว จึงหยอดป้ายคะแนนลงไปโดยไม่ได้คิดอะไร ทั้งไม่รอให้ซูเหลียนอวิ้นทันมีปฏิกิริยาก็เดินจากไปด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
ซูเหลียนอวิ้นเปิดปากขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ทำเพียงอ้าปากขึ้นเท่านั้น เพราะหากตนเรียกนางไว้ ในหัวตอนนี้กลับยังคิดคำพูดใดไม่ออก
ทว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง! เหตุใดหนานกงมู่เสวี่ยถึงให้คะแนนนางได้! เพราะจะว่าไปแล้วพวกนางสองคนก็เป็น…เอาเถอะ เมื่อก่อนเคยเป็น
ซูเหลียนอวิ้นหมุนแขนเสื้อตนไปมา นางเพียงรู้สึกว่าไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี จึงเดินต่อไปด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น อยากจะให้คะแนนสุดท้ายของตนไปเสียเร็วๆ จะได้รีบไปนั่งพักผ่อนบนเก้าอี้
แต่ตอนนี้นางรู้สึกว่ายิ่งดูไปก็ยิ่งรำคาญใจ ในใจก่นด่ากลอนพวกนี้ว่าคืออะไรกัน! ทำไมนางถึงรู้สึกว่าเขียนดีสู้นางไม่ได้สักคน พอเปลี่ยนไปดูอีกบทหนึ่ง แต่งได้ไม่เลวนัก แต่ตัวอักษรกลับไม่น่าดูชมสักนิด เมื่อนางดูจนทั่วรอบหนึ่งแล้ว กลับไม่มีกลอนบทไหนที่ถูกใจนางเลย สุดท้ายจึงวนกลับมาหยุดอยู่ที่เดิม
กลอนบทที่เข้าตานาง สุดท้ายก็ยังคงเป็นกลอนบทนั้นของหนานกงมู่เสวี่ย
พูดตามจริงแล้ว เมื่อซูเหลียนอวิ้นพิจารณาอย่างสงบ ตัวนางเองรู้สึกว่ากลอนบทนี้ไม่เลวเลย อีกทั้งหากให้ป้ายคะแนนกับกลอนบทนี้ก็น่าจะคุ้มค่าที่สุดแล้ว? ทว่าในใจของซูเหลียนอวิ้นยังคงคับข้อง
เพราะถึงอย่างไรเมื่อชาติก่อนนางก็ถือว่าเป็นศัตรูหัวใจคนหนึ่ง! ซูเหลียนอวิ้นเบะปาก หากตนให้คะแนนเช่นนี้ไม่เท่ากับเป็นการยอมรับแล้วหรือ…แต่เมื่อครู่ก็คล้ายว่าตนได้ยอมรับไปแล้วมิใช่หรือ อีกอย่างนางก็ให้คะแนนตัวเองไปแล้วด้วย
เมื่อเห็นว่าผู้คนรอบงานเริ่มเบาบางลงแล้ว ซูเหลียนอวิ้นจึงรีบร้อนขึ้นมา ช่างเถิดๆ ให้บทนี้ก็แล้วกัน! ถือว่าเป็นการให้คะแนนหนานกงมู่เสวี่ยเพื่อคืนคะแนนที่นางให้ตนเมื่อครู่ เมื่อคิดดังนี้ ซูเหลียนอวิ้นจึงรีบนำป้ายคะแนนที่ยิ่งถือก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่ากำลังลวกมือให้แก่หนานกงมู่เสวี่ยไป
‘เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน’
ทว่าเมื่อให้คะแนนเสร็จแล้ว ซูเหลียนอวิ้นหันไปมองหนานกงมู่เสวี่ยอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมองหาต้วนเฉินเซวียน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น