โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ 31-45
Ch.31 – ควบรวมกำลังภายใน
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.31 – ควบรวมกำลังภายใน
วิกฤติถูกทำลายลงอย่างกระทันหัน กระทั่งหลินเต๋อหรงก็ยังตะลึงลาน ยืนนิ่งอยู่ในสถานที่เดิม
เวลาผ่านพ้นไปเพียงครึ่งเดือน แต่หลินเต๋อหรงราวกับว่าเพิ่งจะได้รู้จักกับฉินเฟิงใหม่อีกครั้ง
ปัจจุบัน ฉินเฟิงกลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเกินกว่าจินตนาการไปซะแล้ว!
แม้ก่อนหน้านี้ ตอนที่ฉินเฟิงจะบริจาคเนื้อนายพลสัตว์ร้าย หลินเต๋อหรงจะพอคาดเดาไว้ก่อนก็ตาม แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาตัวเอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ดั่งสำนวนที่ว่าคลื่นลูกหลังย่อมซัดพาแม่น้ำแยงซีเกียงไปเบื้องหน้า
ฉินเฟิงลงมือเพียงพริบตา ก็สามารถสังหารไปได้ 2 คน ส่วนอีก 3 ที่เหลือนอนหมอบบาดเจ็บสาหัส คร่ำครวญอยู่กับพื้น
ฉินเฟิงหันไปสำรวจหลินเต๋อหรงอย่างระมัดระวัง เมื่อค้นพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองตนอยู่เช่นกัน ในหัวใจก็เริ่มตระตุกวูบ
ฉินเฟิงไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกว่าตนหนักมือ … โหดร้ายเกินไปหรือไม่
แต่เขาก็ไม่เสียใจที่จะทำมัน!
เพราะไม่สำคัญเลยว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้ผู้อำนวยการเกลียดตนหรือไม่ ตราบใดที่ภัยคุกคามอย่างหลุยเหมิงถูกกำจัด เขาไม่สนทั้งนั้น
“ฉินเฟิง ไม่ต้องกังวลไป มันไม่เป็นอะไรหรอก เพราะพวกเขาสมควรตายแล้ว!” หลินเต๋อหรงเมื่อเห็นว่าฉินเฟิงมองมาที่ตนเองแล้วมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไป เลยพาลคิดว่าฉินเฟิงเริ่มเกิดกลัวขึ้นมา
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในสายตาของหลินเต๋อหรง ไม่ว่าฉินเฟิงจะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่เขาก็ยังเป็นแค่เด็กอยู่ดี!
“ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง เธอวางใจเถอะ ไม่ต้องกังวลไป!” หลินเต๋อหรงตบลงบนบ่าฉินเฟิง
ฉินเฟิงจึงค่อยผ่อนคลายลง
“ผม .. ผมไม่เป็นอะไร!”
ฉินเฟิงก้มหน้างุด
เขาไม่ต้องการให้หลินเต๋อหรงเห็นสีหน้าแปลกๆของตน ในใจยังคงรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย
แต่สำหรับหลินเต๋อหรง แม้ฉินเฟิงจะเพิ่งสังหารคนไป ในสายตาเขาฉินเฟิงก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี!
อย่างไรก็ตาม ด้วยทัศนคติเช่นนี้ของอีกฝ่าย มันเลยช่วยทำให้ฉินเฟิงผ่อนคลายลง
หลังจากนั้น หลินเต๋อหรงก็ทำการเรียกหน่วยลาดตระเวน และในไม่ช้าก็มีคนมา
“ผู้อำนวยการอาวุโส นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” คนจากหน่วยลาดตระเวนที่มาในคราวนี้ เป็นหัวหน้าจริงๆ บนอกเขามีโลโก้เลเวล F เมื่อมองเห็นฉากตรงหน้า เจ้าตัวก็ค่อนข้างตกใจ
ฉินเฟิงเดินติดตามหลินเต๋อหรง แสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน มิดูโดดเด่นแต่อย่างใด ในขณะที่หลินเต๋อหรงยังคงมีท่าทีสงบเยือกเย็น
“คนพวกนี้มาดักปล้นฉันในตรอก และพยายามที่จะฆ่าฉัน เดชะบุญที่เด็กตัวน้อยของฉันอยู่ที่นี่ ไม่อย่างงั้นชีวิตชราภาพของฉันคงจบลงไปแล้ว!”
“ว่าไงนะ! สารเลวจริงๆ พวกมันกล้าที่จะดักปล้นที่นี่ ไม่ไว้หน้าผมชัดๆ! -ทุกคน ลากตัวมันออกไป แล้วเชือดมันให้ฉันเดี๋ยวนี้!”
“ครับหัวหน้า!”
แล้วฝูงชนก็พากันลากทั้ง 5 โจรออกไป แน่นอน ว่าหลังจากนี้ พวกมันก็จะกลายเป็น 5 ศพ
ทุกอย่างได้รับการจัดการอย่างรวดเร็ว หน่วยลาดตระเวนมีสิทธิและอำนาจค่อนข้างสูงอยู่แล้ว อันที่จริง ในสถานที่ชุมชน พวกเขามักจะจัดการกับทุกชนิดของปัญหาแบบนี้เสมอๆ เพราะมันเกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน
ดังนั้น การที่คนร้ายแค่ 5 คนถูกฆ่าตายไป ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่พวกเขาต้องใส่ใจอะไร
“พวกที่มาดักปล้น เคยเป็นเด็กกำพร้าที่ออกจากสถานเลี้ยงเด็กไปเมื่อห้าปีก่อน ฉันเป็นเพียงผู้อำนวยการแก่ๆ และถึงแม้จะอ่อนแอและใกล้ตาย แต่ฉันก็ยังมีคนรู้จักอยู่มากมาย ฉินเฟิง หลังจากนี้ไป ถ้าเธอพบเจอปัญหาอะไร ก็บอกฉันได้เลยนะ” หลินเต๋อหรงกล่าว
หากเป็นฉินเฟิงในอดีต หลินเต๋อหรงแน่นอนว่าจะไม่พูดคำเหล่านี้
เพราะเด็กกำพร้าจะต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง หลังจากที่พวกเขาก้าวไปตามทางที่ตนเลือกเดิน หลินเต๋อหรงจะไม่ใส่ใจดูแลพวกเขาเป็นพิเศษอีก
แต่สำหรับฉินเฟิงน่ะแตกต่างออกไป
เด็กคนนี้จะต้องประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่เป็นแน่แท้ในอนาคต!
“ขอบคุณผู้อำนวยการ ผมจะจดจำมันเอาไว้!”
ฉินเฟิงพยักหน้ารับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ยิ่งทำให้ทั้งฉินเฟิง และผู้อำนวยการ ต่างก็ได้เห็นถึงความประสงค์ดีที่อีกฝ่ายมีต่อกัน
….
ต่อมา หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนก็อาสาพาผู้อำนวยการไปส่งในพื้นที่เพาะปลูก ส่วนทางด้านฉินเฟิง เขาตัดสินใจบอกลา เลือกกลับไปที่โรงแรม
หลังจากการต่อสู้ทั้งเมื่อวานและวันนี้ กำลังภายในของฉินเฟิงเลยเพิ่มขึ้นมหาศาล มันพลุ่งพล่าน เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่เคยมีประสบการณ์ฝึกฝนกำลังภายในมาก่อนอย่างฉินเฟิง เขารู้ดี ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี
เพราะกำลังภายในแท้จริงต้องสงบ มันจะพลุ่งพล่านหรือปะทุขึ้นได้ จากการกระตุ้นเตรียมจู่โจมเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อกลับมาถึงโรงแรม ฉินเฟิงจึงวางข้าวของลง เสี่ยวไป๋กลิ้งไหลออกจากกระเป๋าสะพายโดยไม่รู้ตัว นั่งขวาทับซ้าย ส่งพลังสมาธิเข้าไปในตันเถียน
ด้วยการรับรู้เช่นเดียวกันกับแก่นอบิลิตี้ ฉินเฟิงจึงสามารถ ‘มองเห็น’ ถึงรูปลักษณ์ตันเถียนของตน
ซึ่งรูปลักษณ์ของตันเถียนจะแตกต่างไปจากแก่นอบิลิตี้ ที่อยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด และเต็มไปด้วยดวงดาว
ในตันเถียน ดูเหมือว่าพื้นที่ภายในมันจะเป็นสีแดงของเลือดและเนื้อ ช่วงใจกลางปรากฏถึงเส้นลมปราณ ชักนำทางไปสู่อีกสถานที่หนึ่ง
ผู้ใช้วรยุทธโบราณได้ถือกำเนิดและวิวัฒนาการต่อเนื่องมายาวนานกว่า 100 ปีมาแล้ว ดังนั้น สิ่งที่เขากำลังจะกระทำต่อไปนี้ ย่อมเป็นที่รู้จักกันดี
สำหรับมือใหม่ พวกเขาจะต้องรับรู้ให้ได้ถึงการไหลเวียนของกำลังภายใน และฝึกฝนมัน กำลังภายในก็เปรียบดั่งเส้นไหม มันปราณีตอ่อนโยน สามารถเคลื่อนผ่านเส้นลมปราณ ไปช่วยเสริมพละกำลังและความว่องไวได้
หลังจากที่เส้นไหมกำลังภายในมีมากขึ้น มันก็จะสามารถเปลี่ยนเป็นมวลอากาศ เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะสามารถยกระดับตนให้กลายเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F ได้
หากจะกล่าวโดยทั่วไปแล้ว เมื่อภายในร่างกายสะสมเส้นไหมได้ครบ 9 เส้น ก็จะเป็นจำนวนมากพอที่จะสามารถยกระดับไปยังเลเวล F ได้
แน่นอน ว่ายิ่งสะสมเส้นไหมมากเท่าใด ความสามารถก็จะยิ่งแกร่งขึ้นเท่านั้น -กล่าวได้ว่าผู้ที่สะสมเส้นไหมได้มากกว่า หลังจากยกระดับเป็นเลเวล F แล้ว เมื่อเทียบกับเลเวล F ธรรมดา คนแรกจะแข็งแกร่งกว่าในระดับเดียวกัน
นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้ใช้วรยุทธโบราณที่แข็งแกร่งและผู้ใช้วรยุทธโบราณธรรมดา!
“และปัจจุบัน ฉันมีเส้นไหมกำลังภายใน มากกว่า 15 เส้น!”
แต่15 เส้นไหมเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กมาก ในการรับรู้ตามจิตสำนึกของฉินเฟิง เขาค้นพบว่า แม้พวกมันจะยังพอสามารถใช้งานได้ แต่ก็มีขนาดไม่สม่ำเสมอ และยังพลุ่งพล่านยุ่งเหยิง
นี่หมายความว่า หากไม่จัดระเบียบมันอย่างระมัดระวัง สิ่งอันตรายจะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว
อย่างไรก็ตาม การจัดระเบียบกำลังภายใน เป็นเรื่องที่ยากลำบากที่สุด และใช้เวลาค่อนข้างมากในการดำเนินการ
เห็นได้ชัดว่าในชีวิตก่อนหน้าของฉินเฟิง หลุยเหมิงเองก็ไม่เคยจะทำมัน -ผลลัพธ์เลยกลายเป็นว่าหลุยเหมิงมิอาจควบคุมกำลังภายในของตนเองได้
จึงเป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงไม่คิดจะดำเนินตามรอยเดียวกันกับหลุยเหมิง
ฉินเฟิงตั้งสมมติฐานล่วงหน้า ก่อนจะเริ่มปลดปล่อยพลังพิเศษอย่างไม่ลังเล
“จงดูดกลืน!”
เส้นไหมที่อยู่ภายในจู่ๆก็คล้ายถูกดูดกลืนออกไปโดยบางสิ่งบางอย่าง มันเริ่มแห้งและหายไปทีละเส้น ทีละเส้น
เส้นไหมกำลังภายในเหล่านี้สามารถหามาได้อย่างง่ายดาย เพียงสังหารคนไม่กี่คนเท่านั้น เรื่องการสังหารน่ะฉินเฟิงไม่กังวลใจใดๆ หากแต่เป็นผลที่ตามมา อย่างการดูดกลืนเส้นไหมกำลังภายในที่ผันผวนของศัตรูมาต่างหาก ดังนั้น ถึงเส้นกำลังภายในที่ไม่สมบูรณ์พวกนี้จะสลายไป เขาก็ไม่ใส่ใจ
กำลังภายในถูกดูดกลืนอย่างต่อเนื่อง สักพักหนึ่ง ฉินเฟิงก็รู้สึกว่าตามเส้นลมปราณของเขา ทั้งแขนขา และโครงกระดูกหลายร้อยท่อน กำลังค่อยๆถูกเติมเต็ม ไหลบ่าไปด้วยกำลังภายใน จนพวกมันขยายใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
-เพราะเส้นลมปราณคือรากฐานในการใช้งานกำลังภายใน
เมื่อขยายใหญ่ขึ้น จากนี้ไป มันก็จะสามารถดูดกลืนกำลังภายในจากโดยรอบได้รวดเร็วและง่ายดายยิ่งกว่าเดิม
ซึ่งกำลังภายในเหล่านี้ หลังจากช่วยขยายเส้นลมปราณแล้ว มันก็กระจายไปโดยรอบ แล้วไหลขึ้นมาจากตันเถียน ไปรวมกันตรงหน้าผาก
แม้จริงๆแล้วแก่นอบิลิตี้จะอยู่ในจิตสำนึก หากแต่ผู้คนจำนวนมาก กลับรู้สึกว่าแก่นอบิลิตี้นั้นอยู่ตรงหน้าผาก
ช่วงเวลานี้ กำลังภายในได้ผสานรวมเข้าไปยังใจกลางหน้าผาก เส้นไหมลอยล่องเข้าสู่ดาวเคราะห์เพชร แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถถูกดูดกลืนได้ สุดท้ายจึงค่อยๆถูกคายออกมา ไหลออกจากหน้าผาก กลับไปยังตันเถียนอีกครั้ง
แน่นอน ว่าการไหลเวียนไปกลับเช่นนี้ ส่งผลให้เส้นไหมกำลังภายในจาก 15 เส้น กลับกลายเป็นหลงเหลือเพียง 5 เส้นเท่านั้น!
แต่ 5 เส้นเหล่านี้ ล้วนมีความเสถียรมั่นคง แข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า!
“สำเร็จสักที!”
ในตันเถียน เห็นแค่เพียงเส้นไหมที่ลอยอยู่อย่างสงบ ไม่อาจรับรู้ถึงอาการพลุ่งพล่านหรือว้าวุ่นใดๆ
“เท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับอันตรายจากทักษะลับกลืนดาราอีกต่อไปแล้ว ในอนาคต มันจะกลายเป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุด!”
เมื่อคิดได้ดังนี้ ในหัวใจของฉินเฟิงก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ช่วงจังหวะนั้นเอง ฉินเฟิงก็สัมผัสได้ถึงอีกความวุ่นวายหนึ่งจากในพลังสมาธิของเขา
เมื่อเจ้าตัวตรวจสอบดู เขาก็พบว่ามันไม่ได้มากจากตัวเอง หากแต่มาจากเสี่ยวไป๋!
“เสี่ยวไป๋!”
ฉินเฟิงหันขวับไปมองบนเตียง และพบว่านอกเหนือไปจากเสี่ยวไป๋แล้ว ยังมีรังไหมอะไรบางอย่างปกคลุมตัวมันเอาไว้อยู่
หากนับตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้านี้ เสี่ยวไป๋ก็นอนหลับไปเป็นเวลานานกว่า 16 ชั่วโมงแล้ว
แต่ในปัจจุบัน จู่ๆกลิ่นอายของเสี่ยวไป๋ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหัน แม้มันจะยังคงเป็นสัตว์ขนาดเล็ก แต่หากดูจากปรากฏการเบื้องหน้า เหมือนกับว่ามันจะ ‘วิวัฒนาการ’ แล้ว!
Ch.32 – สั่งทำอุปกรณ์
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.32 – สั่งทำอุปกรณ์
หากประเมินตามเกณฑ์เดียวกันกับสัตว์ร้ายทั่วๆไป ตั้งแต่เกิดมา เสี่ยวไป๋ก็มีระดับเป็นถึงทหารสัตว์ร้ายอยู่แล้ว ดังนั้นในปัจจุบัน จึงเป็นการยกระดับไปสู่นายพลสัตว์ร้าย
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ฉินเฟิงยังรู้สึกได้รางๆ ว่าในพื้นที่มิติของเสี่ยวไป๋ มันเกิดการเปลี่ยนแปลง ขยายกว้างเพิ่มขึ้นเป็นสิบเมตรอย่างกระทันหัน!
เดิมที พื้นที่มิติของเสี่ยวไป๋มีขนาดประมาณหนึ่งเมตร หรือกล่าวได้ว่ามันคือหนึ่งลูกบาศก์เมตร
แต่ตอนนี้ ทั้งในแนวกว้างและแนวยาว มันกลายเป็นสิบเมตร ส่งผลให้มันมีขนาดเท่ากับ 1,000 ลูกบาศก์เมตร หรือเทียบได้กับบ้านหลังหนึ่ง!
-มีพื้นที่เพิ่มขึ้น 1,000 เท่า!
ฉินเฟิงบังเกิดความรู้สึกว่า พลังที่เสี่ยวไป๋ครอบครองนี้ มันช่างเป็นอะไรที่ต่อต้านฟ้าดินเสียจริงๆ
นอกจากนี้ ภายในพื้นที่มิติขนาดเท่าตัวบ้าน ยังมีสิ่งต่างๆวางอยู่ภายใน
นั่นคือสองฟันจอบของราชันย์หนู , อุ้งเท้าหนึ่งข้าง และกองขนที่ม้วนเข้าด้วยกัน
แน่นอน ว่ามันมีเนื้อของราชันย์หนูอยู่เช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ เพียงยัดเนื้อลงไปมันก็แทบจะเต็มพื้นที่มิติแล้ว แต่ในปัจจุบัน ต่อให้มีเนื้อมากกว่านี้อีกเป็นสิบเท่า ก็ยังเหลือพื้นที่ไว้ใช้สอยอีกมากมาย
มองไปยังวัตถุดิบเหล่านี้ ฉินเองก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความคิดในหัวใจ
ชุดต่อสู้T3 ที่เขาใช้งานเป็นของดีจริงๆ มันทำมาจากขนสัตว์และเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถทนความร้อนและความหนาวเย็นได้ ราคาเองก็ยุติธรรม
แต่ฉินเฟิงก็ยังไม่ลืม ว่าในตอนที่ลู่เหมิงถูกกรงเล็บระดับนายพลของหมาป่ามาสติฟฟาดใส่ ชุดต่อสู้ภายนอกของเธอฉีกขาดออกทันที ทว่ายังมีชุดเกราะชั้นในที่ช่วยป้องกันการโจมตีร้ายแรงนี้เอาไว้
ชุดเกราะในของลู่หมิงที่เผยโฉมออกมาในตอนนั้น มันเรียกกันว่า ‘อุปกรณ์รูน’
ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าอุปกรณ์รูนชนิดนี้ มันทำมาจากขนของสัตว์ร้าย และเนื่องจากขนของสัตว์ร้ายแต่ละชนิดน่ะแตกต่างกันออกไป ดังนั้นเทคโนโลยีที่ใช้จึงย่อมแตกต่างกัน สำหรับลู่เหมิง แสงสีเงินที่สาดประกายออกมาในตอนนั้น มันเป็นตัวบ่งบอกถึงขนของราชันย์สัตว์ร้าย
ตามปกติ อุปกรณ์รูนพวกนี้มักจะถูกสวมทับไว้ภายในอีกที เพราะมันจะส่องแสงประจำตนออกมา ทว่าแน่นอน เนื่องจากมันถูกย้อมด้วยกรรมวิธีพิเศษ ดังนั้นรังสีแสงที่เปล่งออกมา จึงแตกต่างไปจากสีขนดั้งเดิม
สำหรับทหารสัตว์ร้าย มันจะเป็นแสงสีฟ้า , นายพลสัตว์ร้าย มันจะเป็นแสงสีม่วง , ราชันย์สัตว์ร้ายมันจะเป็นแสงสีเงิน ส่วนจักรพรรดิสัตว์ร้ายจะเป็นแสงสีทอง!
“วัตถุดิบเหล่านี้ น่าจะเหมาะเอาไปทำเป็นอุปกรณ์รูน!”
ฉินเฟิงหันไปดูข้อมูลบัญชีในอุปกรณ์สื่อสารของเขา
ช่วงก่อนหน้านี้ที่ออกล่างูชายแดน ฉินเฟิงสามารถทำเงินมาได้ราวๆ 1.2 ล้านเหรียญ
และหลังจากต่อสู้กับกองทัพหนูยักษ์กินพืชเมื่อวานนี้ เขาก็ได้มาอีก 6.73 ล้าน รวมกับเงินเดิมพัน อีก 900,00 ทำให้ปัจจุบัน ในบัญชีเขามีอยู่ทั้งสิ้น 8.8 ล้านเหรียญ
เงินก้อนนี้ มากพอที่จะใช้ซื้ออุปกรณ์รูนได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณเตรียมวัตถุดิบไป และให้พวกเขาช่วยทำอุปกรณ์สำหรับตัวเอง ราคาก็จะถูกลงกว่ามาก
เมื่อคิดได้แบบนั้น ฉินเฟิงก็เริ่มจัดกำหนดการในหัวใจ
….
วันถัดมา เขาออกเดินทางไปยังใจกลางชุมชนทางตอนเหนือ
เข้าไปยังร้านขายอุปกรณ์ป้องกันของกลุ่มหวันซ่ง
ผ่านไปตั้งครึ่งเดือนแล้ว ที่ฉินเฟิงมาซื้อชุดต่อสู้ T3 ที่นี่
ฉินเฟิงเดินเข้าไป พนักงานร้านก็เอ่ยต้อนรับเขาด้วยความสุภาพทันที แตกต่างจากที่ถูกมองเหยียดตั้งแต่แรกเหมือนครั้งก่อน
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ภาพลักษณ์ของฉินเฟิงน่ะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก ปัจจุบัน ต่อให้เขาไม่สวมอุปกรณ์ป้องกัน ก็ยังแลดูน่าเกรงขามอยู่ดี
ฉินเฟิงมองเข้าไป และพบว่าคนที่มาต้อนรับเขาคือซุนน้อย คนเดิมกับที่เคยขายชุดต่อสู้ให้เขานั่นเอง
“ไอหย๋า ที่แท้ก็เป็นคุณนี่เอง วันนี้มีอะไรให้ฉันรับใช้?”
ฉินเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย แม้ไม่เจอกันครึ่งเดือน แต่ซุนน้อยก็ยังจดจำตนได้
“อืม .. ฉันต้องการสั่งทำอุปกรณ์ แต่ก็ต้องการเก็บมันเป็นความลับเช่นกัน คุณพอที่จะรับผิดชอบเรื่องนี้ได้ไหม?” ฉินเฟิงถาม
ซุนน้อยบังเกิดความรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
‘สั่งทำอุปกรณ์!’
หมายถึงอุปกรณ์รูนที่ต้องใช้ขนสัตว์ร้ายในการผลิต!
และราคาของอุปกรณ์รูนนี้ก็สูงมากเช่นกัน มันไม่ใช่สิ่งที่ชุดต่อสู้ T3 จะสามารถเทียบเปรียบได้โดยสิ้นเชิง ซุนน้อยพอได้ยินเลยอดพลุ่งพล่านไม่ได้
“แน่นอน ฉันสามารถรับผิดชอบมันได้ มิสเตอร์ เชิญทางนี้!” ซุนน้อยเร่งพาฉินเฟิงไปยังห้องรับรอง
ภายในห้อง มันไม่มีใครอยู่เลย ฉินเฟิงกวาดตามอง เมื่อเห็นว่าไม่มีกล้องวงจรปิดติดตั้งเอาไว้ เขาก็พยักหน้าด้วยความพอใจ และนำเอาวัตถุดิบที่จะสั่งทำจากกระเป๋าเป้สะพายหลังออกมา
“เอ้านี่ ลองเอาพวกมันไปตรวจดู”
ในหัวใจของซุนน้อยสั่นสะท้าน!
เขาเป็นคนค่อนข้างฉลาด แม้ว่าจะยังเยาว์วัย หากแต่ก็ได้รับความรู้มามากมาย หลังจากที่ได้ทำงานในร้านนี้
ร้านขายอุปกรณ์ของกลุ่มหวันซ่ง ไม่ได้มีแค่ชั้นเดียว หากแต่มีสามชั้น ชั้นแรกจะขายอุปกรณ์ต่อสู้ซึ่งสอดคคล้องกับตลาดในสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ
ส่วนในชั้นสองและสาม จะมีไว้ซื้อขายสินค้าคุณภาพดี ซึ่งมีอุปกรณ์รูนรวมอยู่ด้วยเช่นกัน แม้จะเป็นเพียงเลเวล G แต่มูลค่าของมันก็เทียบได้กับอุปกรณ์อื่นๆหลายพันชิ้นรวมกัน
“มิสเตอร์ ถ้าฉันคาดเดาไม่ผิด นี่สมควรจะเป็นขนของราชันย์สัตว์ร้าย และคิดตามขนาดร่างกายของคุณ มันสามารถใช้ทำเสื้อคุณภาพสูงได้! นอกจากนี้ เศษขนที่เหลือยังพอสามารถนำไปถักเป็นถุงมือ , ปลอกแขน ฯลฯ แน่นอนว่าทางเรามีวิธีการตัดแบบเฉพาะเป็นของตัวเอง ดังนั้นไว้วางใจได้เลยในเรื่องความปลอดภัย!”
ซุนน้อยกล่าวอย่างระมัดระวัง เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลย ที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำธุรกิจใหญ่ -สั่งทำอุปกรณ์ระดับราชันย์สัตว์ร้าย!
ฉินเฟิงพยักหน้า “งั้นก็เปลี่ยนมันเป็นเสื้อซะ! ส่วนเขี้ยวของมัน ฉันอยากให้สร้างเป็นมีดต่อสู้ แน่นอนว่าเนื่องจากวัสดุมีน้อย ฉะนั้นไม่สมควรที่จะทำให้มีขนาดใหญ่เกินไป แต่ถึงจะเล็ก ฉันก็ขอให้เล็กแบบมีคุณภาพ!”
“ไม่มีปัญหา!” ซุนน้อยตอบตกลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เรียกฟังก์ชั่นคำนวณจากอุปกรณ์สื่อสาร ป้อนตัวเลขลงไป “มิสเตอร์ ราคาในการสั่งทำอุปกรณ์จากวัตถุดิบทั้งสองสิ่งนี้ ประมาณคร่าวๆสัก 3 ล้าน และคุณจะต้องจ่ายเงินล่วงหน้า 3 แสน หลังจากนั้นสิบวันก็สามารถเข้ามารับของได้!”
“ตกลง!”
ฉินเฟิงกับซุนน้อยทำสัญญากัน พร้อมวางเงินมัดจำ 3 แสน
ซุนน้อยนำกล่องล็อครหัสเข้ามา ใส่วัตถุดิบต่างๆเข้าไปต่อหน้าฉินเฟิง พวกมันถูกเก็บเอาไว้ภายในอย่างระมัดระวัง ซึ่งกล่องนี้จะถูกส่งไปยังโรงงานผลิตโดยตรง และทุกขั้นตอนการผลิตจะมีวิดีโอให้รับชม เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าจะไม่เกิดการสูญเสียหรือสูญหาย
เสร็จธุระก็ออกจากร้านกลุ่มหวันซ่ง ฉินเฟิงก้าวไปตามท้องถนน และบังเอิญหันไปเห็นโฆษณารถบนตึกข้างๆ
ในหัวใจของฉินเฟิงเริ่มกระตุกไหว
ถ้าเป็นช่วงก่อนหน้านี้ ฉินเฟิงคงไม่คิดจะซื้อยานพาหนะไปอีกสักระยะหนึ่ง แต่ในเมื่อพื้นที่มิติของเสี่ยวไป๋เองก็ขยายขึ้นมามากแล้ว ฉินเฟิงเลยเริ่มคิดอยากจะซื้อรถศึกมาใช้เองบ้างเหมือนกัน
“เอาเถอะ ลองไปดูซักหน่อยก็ไม่เสียหาย!” ฉินเฟิงคิด ตัดสินใจก้าวเข้าไปในศูนย์จัดแสดงรถ
ในชีวิตก่อนหน้า พาหนะของฉินเฟิงเป็นอะไรที่หรูหรามาก เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาคือผู้ใช้พลังพิเศษระดับ A * ที่ทรงอำนาจและแข็งแกร่ง มักต้องขับรถเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงอันตราย ดังนั้นหากเป็นรถที่มีฟังก์ชั่นไม่ดี ก็ไม่ต้องเก็บมาพิจารณา
*(ปรับเปลี่ยนเล็กน้อยนะครับ จากนี้ให้เข้าใจว่าชีวิตก่อนฉินเฟิงคือเลเวล A ขออภัยด้วยครับ)
แต่ตอนนี้ เงินทุนของเขายังมีจำกัด และประโยชน์ของรถพวกนี้ก็ยังน้อย ดังนั้นตัวเลือกของฉินเฟิงจึงน้อยตาม
แต่ไม่นาน ฉินเฟิงก็พบกับเป้าหมายที่ถูกใจ
เป็นรถศึกซีรี่ย์เงา!
รถศึกคันนี้ ภายนอกดูไม่แตกต่างไปจากรถสปอร์ต ตัวถังแทบจะติดกับพื้น ล้อก็เผยออกมาให้เห็นเพียงครึ่งเดียวจากด้านนอก แต่หากคุณคิดว่ารถแบบนี้น่ะหรอจะใช้ขับไปในทุ่งล่าได้? นั่นนับว่าเป็นความคิดที่ผิดอย่างใหญ่หลวง!
เพราะมันครอบครองความสามารถพิเศษที่ช่วยให้ลอยตัวได้นั่นเอง!
รถศึกซีรีย์เงา คือหนึ่งในเทคโนโลยีแห่งยุคใหม่ ที่มาพร้อมกับระบบแก่นพลังงานรูน ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยให้รถทั้งคันสามารถลอยสูงเหนือพื้นได้กว่า 3 เมตร สามารถข้ามผ่านเส้นทางทุรกันดารได้โดยไม่เป็นอุปสรรคใดๆ
แน่นอน ว่าเฉพาะเพียงฟังก์ชั่นลอยตัวของมัน ก็ทำให้รถศึกคันนี้มีราคาพุ่งขึ้นสูงถึง 8 ล้านเหรียญ!
เป็นราคาที่น่าสยองขวัญมากสำหรับคนทั่วไป
ทว่าสำหรับผู้ใช้อบิลิตี้และผู้ใช้วรยุทธโบราณ ถึงบางกลุ่มจะมีเงินมากพอที่จะซื้อรถแบบนี้มาใช้ได้ แต่พวกเขาก็เลือกที่จะมองข้ามมันไป เพราะแม้เรื่องการลอยตัวจะดี แต่กลับสามารถบรรทุกได้น้อย ประสิทธิภาพการป้องกันของมันไม่ได้ดีสมราคานัก
หากจะให้กล่าวตรงๆ ต้องบอกว่ารถแบบนี้ มักจะถูกซื้อไปขับขี่โดยพวกกลุ่มคนร่ำรวย เพื่ออวดอ้างความมั่งคั่งของพวกเขาไปในตัวเองซะมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงน่ะมิติส่วนตัวไว้ในครอบครอง ดังนั้นเรื่องการบรรทุกไม่ใช่ปัญหา นอกจากนี้ รถสปอร์ตซีรี่ย์เงาเบื้องหน้า มันคือรถล่องเวหาที่มีราคาถูกที่สุดแล้ว!
Ch.33 – รถศึกล่องเวหา
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.33 – รถศึกล่องเวหา
ในฐานะที่เป็นรถศึกล่องเวหาสุดหรู จึงย่อมเป็นธรรมดาที่ภายในรถ จะมีวัยรุ่นเข้าไปนั่งทดลองขับมันอยู่
“ลูกพี่ลูกน้อง! ฉันว่ารถศึกคันนี้มันเจ๋งจริงๆ! เอาไว้ถ้าเรียนจบนะ ฉันจะซื้อมันอย่างแน่นอน!” หนึ่งในวัยรุ่นที่นั่งตรงเบาะคนขับกล่าว ในสมองจินตนาการไปถึงช่วงเวลาที่เขาขับรถศึกนี้ ว่าคงจะมีหลายคนมองเขาด้วยความอิจฉา
“มันเจ๋งมากก็จริง แต่แพงเกินไป ราคาตั้ง 8 ล้านแน่ะ! แต่โชคดีจริงๆที่นายสามารถปลุกพลังวรยุทธโบราณให้ตื่นขึ้นมาได้ มิฉะนั้นตลอดทั้งชีวิต ตระกูลเราคงไม่มีปัญญาที่จะซื้อรถคันนี้!”
“นั่นสินะ!”
“แต่พวกเราก็มีโอกาสที่จะซื้อมันได้ในตอนนี้เลยเหมือนกันไม่ใช่หรอ เห็นนายบอกกับฉัน ว่านายเป็นเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับคุณหนูลู่ ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในชุมชนตอนเหนือไง ถ้านายจีบเธอติด ไม่ต้องพูดถึงซีรี่ย์เงานี้ แต่กระทั่งรถศึกติดจักรกลหนัก นายก็ยังสามารถซื้อมันได้!”
เมื่อได้ยินชื่อคุณหนูลู่ สีหน้าของชายบนเบาะคนขับก็แข็งค้างไปเล็กน้อย เอ่ยปากกล่าว “นายก็พูดเกินไป! จะใช้รถหรูทั้งทีให้สาวซื้อให้เนี่ยนะ? ถ้าอยากจะขับรถไปอวดใคร มันก็ต้องซื้อด้วยเงินตัวเองสิ!”
ในความเป็นจริง แม้ปากจะกล่าวเช่นนั้น หากแต่ในหัวใจกลับตรงกันข้าม มันฟุ้งไปด้วยความรู้สึกเกลียดชังอย่างรุนแรง ‘อย่าว่าแต่เรื่องเข้าไปจีบเธอเลย ตอนนี้ แค่ฉันจะเข้าไปคุยกับเธอ ยังแทบจะถูกถอดรองเท้าปาใส่หน้า!’
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ตัวรถก็กลายเป็นไร้เสน่ห์ดึงดูดไปในพริบตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ก่อนหน้าที่เพิ่งผ่านมา ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวที่จะออกไปยังทุ่งล่า
ขณะเดียวกัน สายตาของฉินเฟิงก็ตกลงบนคนที่กำลังทดลองขับรถศึก ในสมองของเขาคลับคล้ายคลับคลา เหมือนจะจำได้ว่าคนๆนี้น่าจะเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมสถาบันของลู่เหมิง
ดูเหมือนจะเรียกว่าหวังไคว่
แน่นอน แม้ฉินเฟิงจะจดจำอีกฝ่ายได้ หากแต่เขาไม่มีความคิดจะเข้าไปทักทายใดๆ เพราะทั้งสองไร้ซึ่งมิตรภาพระหว่างกัน
เขาหันไปเรียกพนักงานขาย เพื่อเอ่ยถามถึงประสิทธิภาพของรถ
“มิสเตอร์ช่างมีสายตาเฉียบแหลม รถศึกซีรี่ย์เงาคันนี้ เป็นรถที่มีความคล่องตัวมากที่สุด ตัวถังกะทัดรัด แต่ขณะเดียวกันก็ถูกออกแบบมาอย่างประณีต มันสามารถใช้ขับฝ่าบางพื้นที่ที่มีอุปสรรคกีดขวาง แถมยังนั่งได้สองคนอย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ พื้นที่ด้านหลังรถยังมีตู้เย็นขนาดเล็กไว้ให้ใช้งาน เพื่อรับประกันว่าวัตถุดิบที่คุณได้มามันจะยังสดใหม่อยู่ตลอดเวลา!”
“ไม่เพียงเท่านั้น ตัวถังภายนอกของซีรี่ย์เงา ยังสามารถทานทนต่อการโจมตีของสัตว์ร้ายเลเวล F และยังมีระบบดูดซับพลังงานแสง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าพลังงานของมันจะหมุนเวียนใช้งานได้เพียงพอ … ”
“ภายในรถยังมีตัวส่งสัญญาณชั้นยอด ที่สามารถสแกนหาสิ่งมีชีวิตอันตรายโดยรอบในรัศมี 1 กิโลเมตรได้ และยังมีภาพจำลองในระยะ 100 เมตร .. ”
พนักงานขายเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก เธอสามารถชี้ให้เห็นถึงข้อมูลฟังก์ชั่นและการใช้งานในการต่อสู้ภาคสนามได้เป็นอย่างดี
แน่นอน ว่าสายตาของเธอเองก็ค่อนข้างดีเช่นกัน แม้ว่าตรงหน้าอกของฉินเฟิงจะยังไม่ได้ติดตราสัญลักษณ์ของผู้ใช้พลังพิเศษ แต่เธอก็ไม่ใส่ใจ เพราะเหตุผลที่เธอต้อนรับเขาเป็นอย่างดี มันมาจากปืนพลังงานที่แขวนไว้ตรงเอวของฉินเฟิงต่างหาก
ยิ่งไปกว่านั้น ตามร่างกายของฉินเฟิงยังกรุ่นไปด้วยกลิ่นอายดุดัน ไม่เหมือนกับพวกเพลย์บอยที่ทำตัวเป็นเด็กเล่น
ขณะเธอกำลังอธิบาย หวังไคว่ก็เดินลงมาจากรถพอดี
“มิสเตอร์ ตอนนี้รถว่างแล้ว เชิญคุณเข้าไปทดสอบมันดูได้” เธอผายมือ แสดงท่าทีเชื้อเชิญเขา
“อ่า” ฉินเฟิงพยักหน้า และในเวลานั้นเอง หวังไคว่ก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี สบสายตากับฉินเฟิง
“เป็นแก!”
หวังไคว่แสดงความเป็นปรปักษ์ชัดเจน ถลึงตามองฉินเฟิง
ฉินเฟิงมิได้แยแสหวังไคว่เลย หากแต่หวังไคว่กลับไม่หลีกทางให้เขา ยืนขวางประตูรถ ไม่ยอมปล่อยให้ฉินเฟิงเข้าไป
ฉินเฟิงกล่าวอย่างเฉยเมย “ถอยไปซะ!”
“ถอย? ทำไมฉันต้องถอยด้วย ในเมื่อนี่มันไม่ใช่รถแก และฉันก็ยังทดลองมันไม่หนำใจเลย!”
หวังไคว่ตระหนักได้ว่าฉินเฟิงเองก็น่าจะมาที่นี่เพื่อทดลองขับรถศึกเหมือนกัน จึงย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะขัดขวางความสุขของฉินเฟิง เจ้าตัวกลับไปนั่งลงบนรถดังเดิมอีกครั้ง
ปึก!
หวังไคว่ปิดประตูรถ ยักคิ้วประชดประชันฉินเฟิง
ฉินเฟิงเงียบ ไม่เอ่ยคำใดสักคำ
“ฮะฮ่า! ไม่มีเงินก็อย่าสะเออะมาดูรถศึก นายคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? จะสามารถซื้อรถศึกคันนี้ได้อย่างงั้นรึไง?” หวังไคว่เยาะเย้ย
“ไปกันเถอะ” ฉินเฟิงหันไปพูดกับพนักงานขายที่อยู่ข้างๆเขา
“ฉันต้องขออภัยด้วย ฉันเสียใจจริงๆ หรือคุณลูกค้าจะให้ฉันแนะนำรถรุ่นอื่นๆกับคุณดี?” ผู้หญิงคนนั้นรีบขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในหัวใจบังเกลียดความเกลียดชังต่อลูกค้าที่ไร้เหตุผลในรถ
อารมณ์ของหวังไคว่ค่อยดีขึ้น ความคิดปลอดโปร่ง โล่งสบาย
ในที่สุด เขาก็ได้ชำระแค้นที่ถูกทำให้ต้องอับอายในทุ่งล่าได้แล้ว!
ทว่าวินาทีต่อมา เขาก็ได้ยินคำพูดของฉินเฟิง
“คุณไม่ต้องแนะนำรถรุ่นอื่นหรืออะไรทั้งนั้น รีบพาผมไปกรอกรายละเอียด ผมต้องการรถศึกคันนี้!”
“อะไรนะคะ!?” พนักงานหญิงเบิกตากว้าง ใบหน้าของเธอฟุ้งไปด้วยความประหลาดใจ แต่แล้วมันก็เปลี่ยนเป็นปิติยินดี
‘เขาจะซื้อมันจริงๆ!’
ฉินเฟิงพยักหน้า แต่แล้วเขาก็หยุดฝีเท้าและเอ่ยปากอีกครั้ง “รถคันนั้นจะเป็นของฉันในไม่ช้า ดังนั้นอย่าให้ใครหน้าไหนมาทำให้มันเกิดรอยขีดข่วนเป็นอันขาด มิฉะนั้นฉันเกรงว่าเขาจะไม่สามารถชดใช้มันได้!”
ในพริบตา สีหน้าของหวังไคว่เริ่มเปลี่ยนเป็นแดงก่ำสลับซีดขาว เพราะเขารับรู้ได้ทันทีว่าฉินเฟิงกำลังกล่าวถึงตนเอง!
‘แต่คิดหรือว่าฉันจะเชื่อว่าแกมีเงินซื้อมันได้!’
ในหัวใจของหวังไคว่ก็ยังไม่ยอมแพ้ เอ่ยปากร้องตะโกนด้วยความชั่วร้าย
“เฮอะ! คิดว่าฉันจะกลัวคำขู่ของแกรึไง? ฉันไม่เชื่อหรอก! ว่าแกจะมีปัญหาซื้อรถคันนี้ได้จริงๆ! ถ้าแกซื้อได้ บิดาจะยอมก้มลงกินยางรถให้ดูเลย!”
เขาตะโกนเสียงดังก้อง จึงเป็นธรรมดาที่คนอื่นๆในโชว์รูมรถจะหันมามองเขาเป็นสายตาเดียว ดึงดูดความสนใจจากทุกคน
อย่างไรก็ตาม สายตาของทุกคนกลับไม่เป็นเหมือนกับที่หวังไคว่คาดคิดเอาไว้ … ทุกสายตากลับแฝงไปด้วยความดูหมิ่น
เพราะท้ายที่สุดแล้ว รถคันนี้มันไม่ใช่ของเขา ฝูงชนเริ่มเกิดเสียงกระซิบกระซาบ เตรียมรับชมเรื่องสนุกสนาน
ในเวลานี้ หวังไคว่รู้สึกราวกับกำลังนั่งอยู่บนเข็มแหลม
อย่างไรก็ตาม หลังจากรอมาสักพักหนึ่งแล้ว ฉินเฟิงก็ยังไม่กลับมา หวังไคว่ค่อยถอนหายใจโล่งอก ในเวลาเดียวกัน สีหน้าโกรธเกรี้ยวดุร้ายก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา
“เฮอะ! คิดไว้แล้วเชียว ฉันไม่มีทางหลงกลคำขู่หลอกเด็กของแกหรอก!” หวังไคว่เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงจากไปแล้ว ก็กลับมาสู่ภาพลักษณ์เพลย์บอยดังเดิม เขาจงใจนั่งเก๊กในรถสปอร์ต แสดงท่าทีว่าตนเหนือกว่า มองผู้คนภายนอกดั่งเช่นลิงกัง
ฉันมันโง่จริงๆ ที่เผลอคิดกังวลเกี่ยวกับมัน
เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็ต้องการที่จะออกจากรถ แต่ในจังหวะนั้นเอง ชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อสีขาว ชุดสูทสีดำก็ปรากฏขึ้นข้างประตู
เขาคือพนักงานในโชว์รูมรถ และยังเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่มีตราสัญลักษณ์ G3 ติดอยู่บนหน้าอกอีกด้วย
เป็นผู้ใช้พลังพิเศษ!
“มิสเตอร์ ต้องขออภัยจริงๆ รถคันนี้ถูกซื้อไปแล้ว ฉะนั้นโปรดหยุดทดลองขับมัน และให้ความร่วมมือกับพวกเราแต่โดยดี!”
“ว่าไงนะ!?” หวังไคว่เบิกตาโพลง
‘บัดซบ! คนที่ซื้อไปคงไม่ใช่เจ้าหมอนั่นจริงๆใช่ไหม? อย่างมันน่ะหรอจะซื้อได้?’
หัวใจของหวังไคว่เต้นเป็นกลองชุด
“ลูกพี่ลูกน้อง นายมีปัญหาอะไรกับคนๆนั้นรึเปล่า เมื่อกี้ฉันแอบไปดูเขา และเห็นว่าเขาจ่ายเงิน 8 ล้านซื้อรถศึกคันนี้ไปแล้ว!” ลูกพี่ลูกน้องของหวังไคว่แอบตามฉินเฟิงกับพนักงานหญิงไป เดิมทีเพราะต้องการดูเรื่องตลก แล้วกลับมารายงานหวังไคว่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว หวังไคว่คือคนเดียวในตระกูลของเขาที่เหมาะสมจะเป็นเป้าหมายในการเลียแข้งเลียขา
“เขาซื้อรถศึกคันนี้จริงๆอย่างงั้นหรอ?” ดวงตาของหวังไคว่กลายเป็นมืดบอด
“มิสเตอร์ กรุณาออกจากรถด้วย!” ตรงข้ามเขา สีหน้าของผู้ใช้พลังพิเศษเริ่มไม่พอใจ แสดงออกถึงท่าทีคุกคามเล็กน้อย
เหงื่อเย็นผุดขึ้นตามมือของหวังไคว่ เขาเร่งเปิดประตูรถ และก้าวฉับๆ ตรงออกจากร้านทันที
“รีบไปเร็วเข้า!” หวังไคว่ไม่ต้องการรอให้ฉินเฟิงกลับมาเยาะเย้ยให้เขาขายขี้หน้า
แต่ยิ่งกังวลเรื่องใดมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้พบเจอกับสิ่งที่คุณกังวลมากเท่านั้น -ฉินเฟิงได้เดินกลับมาพอดี
“อ่าว จะรีบไปไหน? นายยังไม่ได้กินยางรถเลย!” ฉินเฟิงเอ่ยเสียงเย็น
“พรืด!” หลายคนที่อยู่โดยรอบหลุดหัวเราะออกมา บางคนก็หุบยิ้มไม่ได้
หวังไคว่ไม่อาจสรรหาคำใดมาตอบโต้ รีบพุ่งจากไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ
Ch.34 – ออกไปอีกครั้ง
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.34 – ออกไปอีกครั้ง
“แต่ก็นะ ช่างมันเถอะ! เพราะยางล้อรถของฉันอย่างน้อยก็หลายแสน ถ้านายกิน ฉันกลัวว่านายจะจ่ายมันไม่ไหว! ไสหัวไปให้พ้น!”
หวังไคว่มิอาจเผยฤทธิ์เดชโต้เถียงใดๆ หลังจากที่เขาออกไป ฉินเฟิงก็ยังไม่นั่งลงบนรถ แต่เป็นเหล่าผู้ใช้พลังพิเศษหลายคนที่อยู่เบื้องหลัง G3 เริ่มก้าวตรงไปที่รถแทน พวกเขาถอดเบาะคนขับออก และเปลี่ยนเป็นอันใหม่ที่ดีกว่า จากนั้นก็ทำความสะอาดอย่างพิถีพิถัน จนรถไร้ซึ่งรอยฝุ่นผง แล้วจึงค่อยผายมือเชื้อเชิญให้ฉินเฟิงลงมานั่งมัน
ฉินเฟิงสตาร์ทรถสปอร์ต เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ดังขึ้น
ฉินเฟิงสลับไปเป็นโหมดล่องเวหา ยางรถม้วนกลับเข้าไปในตัวถังภายใน และปรากฏท่อจรวดพุ่งลงมาข้างล่างแทน มันปลดปล่อยแสงสีฟ้าออกมา
นี่คือพลังของรูนลม!
ต้องรู้นะว่าการเปิดใช้งานโหมดล่องเวหานั้นสิ้นเปลืองพลังงานเป็นอย่างมาก และรถส่วนใหญ่ในชุมชนทางตอนเหนือ ก็ไม่มีระบบนี้ ดังนั้น เมื่อมันถูกเปิดใช้งาน หลายคนจึงร้องอุทาน และหันมามองด้วยความสนใจ
ตัวรถเริ่มยกระดับความสูงอย่างต่อเนื่องจนถึง 3 เมตร จากนั้นก็พุ่งข้ามหัวของผู้คนจากไป เหลือให้ทิ้งเห็นเพียงแสงและเงาจากไฟรถยนต์
“โคตรคูลว์!”
“สวรรค์ นั่นมันรถศึกล่องเวหาใช่ไหม?”
“โคตรน่าตื่นตาเลย!”
บังเกิดเสียงโห่ร้องชื่นชมอยู่โดยรอบ ทว่ามีเพียงใบหน้าของหวังไคว่เท่านั้นที่มืดมน -นั่นเพราะรถศึกที่ว่า มันเพิ่งโฉบผ่านหัวเขา ปล่อยไอร้อนรดเข้าใส่ตรงๆ!
เห็นได้ชัดว่าไอ้ฉินเฟิงมันจงใจ!
…
ฉินเฟิงแน่นอนว่าจงใจ ก็คนประเภทนั้น ทำไมเขาจะต้องไปไว้หน้ามันด้วย? แต่ความผิดของมันก็ยังไม่ถึงกับตาย ดังนั้นเขาเลยทำแค่เพียงมอบความอับอายให้เท่านั้น
ยังไงก็ตาม ฉินเฟิงมิได้เก็บเรื่องของอีกฝ่ายมาใส่ใจแต่อย่างใด
กระเป๋าเป้สะพายหลังถูกเปิด เสี่ยวไป๋มุดออกมาจากภายใน หันไปมองรอบๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะกระโจนลงไปนั่งบนเบาะข้างคนขับ
“เป็นยังไงบ้าง? จากนี้ไปแกก็ไม่ต้องคอยซ่อนตัวอยู่แต่ในกระเป๋าอีกต่อไปแล้วนะ!”
เกือบตลอดเวลา หากไม่นับในทุ่งล่า เสี่ยวไป๋จะต้องคอยซ่อนตัวในเป้อยู่เสมอ
ส่วนในเมือง ตามปกติแล้ว พาหนะส่วนใหญ่มักจะขับขี่กันอย่างรวดเร็ว แออัดไปด้วยผู้คน และมักจะสั่นไหวไปมา กระทั่งฉินเฟิงเองก็ยังนั่งไม่สบาย ฉะนั้นเสี่ยวไป๋ที่ไม่อาจออกมาจากเป้ได้คงไม่ต้องกล่าวถึง
แต่ภายในรถคันนี้ เสี่ยวไป๋ไม่ต้องคอยหลบซ่อนตัวอีกต่อไป กระจกรถก็ป้องกันสายตาจากผู้คนภายนอกได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเสี่ยวไป๋สามารถชมสภาพแวดล้อมไปได้ตลอดทาง
นอกเหนือไปจากฉากนอกหน้าต่างในโรงแรมแล้ว ในเวลานี้ เสี่ยวไป๋สามารถเปิดวิสัยทัศน์ในมุมมองใหม่ มันจึงรู้สึกตื่นเต้นนัก
แต่เพียงไม่นาน มันก็เลิกสนใจ เริ่มขดตัวเป็นก้อนบนเบาะข้างคนขับ แล้วผล็อยหลับไป
ฉินเฟิงเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปนวดๆคลึงๆ ขยี้ขนของเสี่ยวไป๋
“อา … แต่ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนหมดตัวไปซะแล้ว คงได้เวลากลับไปออกล่าอีกครั้งแล้วล่ะมั้ง!”
ราคาของรถคันนี้คือ 8 ล้าน รวมกับค่ามัดจำก่อนหน้า 3 แสน ทำให้ในบัญชีของฉินเฟิง เหลือเงินอยู่แค่ 5 แสนเท่านั้น
และหลังจากนี้ 10 วัน เขาต้องไปรับสินค้ากับทางกลุ่มหวันซ่ง ซึ่งยังมีเงินไม่พอ!
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่ได้ออกเดินทางทันที แต่เขาเลือกขับรถมุ่งหน้าไปยังเขตพื้นที่ชุมชนที่ทรุดโทรม
ย่านนี้ยังคงแออัดเหมือนเดิม มันไม่กว้างขวาง เต็มไปด้วยตึกระฟ้า อยู่ในโซนเดียวกันกับสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า
“โจวฮ่าว ลงมาข้างล่างสิ ฉันมีบางอย่างจะให้นาย!” ฉินเฟิงกล่าวผ่านอุปกรณ์สื่อสาร
“อ๋า? มีอะไรดีๆรึไง? นายรอก่อน ฉันกำลังรีบวิ่งลงไป!”
โจวฮ่าวไม่ได้ถามไถ่ฉินเฟิงมากเกินไป เพราะฉินเฟิงเป็นเพื่อนสนิทของเขา และฉินเฟิงก็มักจะถูกชวนมากินข้าวด้วยกันที่บ้านโจวฮ่าวอยู่เสมอ ในทางกลับกัน เมื่อได้เงินเล็กๆน้อยๆจากงานพิเศษ ฉินเฟิงเองก็มักจะนำไปซื้ออาหารมาให้กับทางครอบครัวโจวฮ่าวอยู่เป็นประจำเช่นกัน
นี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนกันตามมารยาทเท่านั้น หากแต่เป็นการรักษาความสัมพันธ์และมิตรภาพของพวกเขา
โจวฮ่าวรีบวิ่งลงจากตึกชุมชนอย่างรวดเร็ว ฉินเฟิงพบว่าโจวฮ่าวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของอีกฝ่ายกำยำกว่าแต่ก่อน มันเต็มไปด้วยเหงื่อไคล เวลานี้ โจวฮ่าวสวมเสื้อยืดกางเกงขายาว รองเท้าแตะคู่หนึ่งที่ขอบแหว่ง ดูเหมือนว่าเขาจะขี้เกียจซ่อมมัน
อย่างไรก็ตาม โจวฮ่าวหันไปมองรอบๆแล้ว ก็ยังไม่เห็นฉินเฟิง
ฉินเฟิงจึงค่อยเปิดรถและเดินลงมา
“โจวฮ่าว ฉันอยู่นี่!”
โจวฮ่าวหันไปตามเสียง เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงเดินลงมาจากรถหรู เขาก็อ้าปากค้าง คางร่วงกระแทกลงกับพื้น!
“นะ นะนะ นาย.. นายไปปล้นธนาคาร หรือว่ามีเศรษฐีนีร่ำรวยชุบเลี้ยงรึเปล่า!? ไปได้รถนี่มาได้ยังไงกัน? นี่มันรถศึกล่องเวหา! โอ้สวรรค์!!” โจวฮ่าวอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจูบรถศึกสักฟอดสองฟอด
“นั่นนายทำบ้าอะไร!” ฉินเฟิงหัวเราะ และยัดสิ่งที่อยู่ในมือเขาให้แก่โจวฮ่าวโดยตรง “รับนี่ไป มันเป็นของดี แล้วรีบกินมันด้วย!”
“ขอฉันดูก่อนสิว่ามันคืออะไร!” โจวฮ่าวมองฉินเฟิง เขาเปิดถุงสีดำที่ฉินเฟิงให้อย่างรีบร้อน และพบว่าแท้จริงแล้วภายในห่อไว้ด้วยของสองสิ่ง หนึ่งคือก้อนเนื้อ ที่ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามันคือเนื้ออะไร แต่ในความรู้สึกของโจวฮ่าว กระจ่างแก่ใจดีว่าเนื้อพวกนี้มันเปี่ยมไปด้วยพลังงาน
ส่วนอีกอัน เป็นขวดโหลที่ภายในมีผลไม้ขนาดเล็กบรรจุเอาไว้อยู่
โจวฮ่าวจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายต้องตะลึงงัน
“นี่มันผลไม้ศัก … ”
“ชู่วววว!” ฉินเฟิงเร่งห้ามโจวฮ่าวให้หุบปากลง เอ่ยอธิบายกึ่งจริงกึ่งปลอม “พอดีฉันไปเจอมันเข้าระหว่างออกไปในทุ่งล่าได้มาจำนวนหนึ่งฉันเลยเอามันไปแลกกับเงิน และเก็บผลนึงไว้ให้นาย”
คนๆหนึ่งสามารถกินผลไม่ศักยภาพได้ลูกเดียวเท่านั้น ดังนั้นข้ออ้างว่าฉินเฟิงขายที่เหลือทั้งหมดไปแล้วจึงฟังดูมีเหตุผล
และโจวฮ่าวแน่นอนว่าย่อมไม่สงสัยฉินเฟิง หลังจากรู้ว่าฉินเฟิงเปลี่ยนมันเป็นเงินแล้วซื้อรถศึก เขาก็ตบลงบนไหล่ของสหาย
“นายนี่นะ ออกไปทั้งทีแต่ไม่คิดจะชวนฉันเลยรึไง แถมยังเป็นคนที่โคตรจะโชคดี! ดูเสื้อผ้าที่นายใส่อยู่ในตอนนี้สิ ถ้าฉันไม่รู้จักนาย คงคิดว่านายกลายเป็นผู้ใช้พลังพิเศษไปแล้ว!”
โจวฮ่าวขยิบตา
ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจางๆ ตัวเขาในตอนนี้น่ะหรือยังไม่ใช่ผู้ใช้พลังพิเศษ?
“นายกลับไปก่อนเถอะ แล้วอย่าลืมกินผลไม้ศักยภาพทันที ส่วนเนื้อนั่น ก็เอาไว้กินเป็นมื้ออาหารทุกวัน!”
นี่คือเนื้อของนายพลสัตว์ร้าย หลังจากกินมัน จะช่วยเสริมสร้างพลังงานมหาศาล แม้ว่าโจวฮ่าวจะยังไม่สามารถปลุกพลังพิเศษขึ้นมาได้ แต่หากเขาได้กินมันทุกวัน ร่างกายและจิตวิญญาณจะต้องกลายเป็นผู้มีคุณสมบัติของผู้ใช้วรยุทธโบราณอย่างแน่นอน!
“โอเค งั้นฉันจะรีบกลับไป และก็จะหุบปากเงียบด้วย!”
โจวฮ่าวถือถุงด้วยความตื่นเต้น เขาโบกไม้โบกมือให้ฉินเฟิง แววตาของเขาลอกแลกมองไปรอบตัวตลอดเวลา คล้ายหวาดระแวงว่าจะถูกขโมย
ฉินเฟิงพอเห็นก็รู้สึกตลก และคิดว่าโจวฮ่าวนี่บ้าบอแบบนี้เสมอๆเลยสินะ
เฝ้ามองร่างของโจวฮ่าวหายเข้าไปในตึก ฉินเฟิงก็กลับเข้ามาในรถ นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายหันหัวรถออกไป มุ่งสู่ถนนสายหลัก
“ฉันจำได้ ว่าในช่วงเวลานี้ มีอยู่สถานที่หนึ่ง ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น!”
แน่นอน ว่านั่นเป็นครั้งเดียว ที่ทำให้สถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ ต้องตกอยู่ในภาวะวิกฤต
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การเปลี่ยนแปลงนี้ มันมีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อฉินเฟิง เพราะมันช่วยแก้ไขปัญหาเร่งด่วนให้แก่เขาได้พอดิบพอดี
รถสปอร์ตแฝงเข้าไปอยู่ร่วมกับการจราจรบนท้องถนน แม้ฉินเฟิงไม่ได้เปิดใช้โหมดล่องเวหา ทว่ารถซี่รี่ย์เงาก็ยังโดดเด่นพร่างพราว เป็นเป้าสายตาของทุกคนอยู่ดี
หลังออกจากย่านแออัดเข้าสู่ถนนใหญ่ เขาก็ขับผ่านรถบัสที่เต็มไปด้วยผู้คน สองสามคนในรถมองรถสปอร์ตของฉินเฟิงด้วยความอิจฉา มีกระทั่งบางคนเป่าปากวี้ดวิ้วเพื่อเรียกความสนใจจากเขา
แต่ฉินเฟิงแน่นอนย่อมเมินเฉยต่อคนเหล่านั้น เขาค่อยๆขับเปลี่ยนเส้นทาง เลี้ยวออกไปยังทิศทางทุ่งล่า พอรถค่อยๆออกจากเส้นทางปกติ เขาก็เริ่มเปิดใช้งานโหมดล่องเวหาอีกครั้ง
สภาพแวดล้อมโดยรอบค่อยๆเผยให้เห็นถึงขุนเขาและพื้นที่รกร้าง
ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวลง และในท่ามกลางทุ่งล่า นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความน่าหวาดกลัวและอันตราย!
Ch.35 – ศิลานรก
Translator : Muntra / Author
วันนี้ลง 3 ตอน
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ EP.35 – ศิลานรก
นี่คือตำแหน่งที่อยู่ห่างจากสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือไปกว่า 100 กิโลเมตร
แน่นอน ว่าตำแหน่งนี้ มันเคยถูกกวาดล้างและผ่านการสำรวจโดยกองทหารทุ่งล่ามาแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีพวกสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ต่อให้มี อย่างมากก็คงเป็นเพียงพวกสัตว์ร้ายเลเวล G แต่ยังไงซะ ก็จะถูกยกพลมาเก็บกวาดในช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงของทุกปีอยู่ดี
ฉินเฟิงโรยฝงขับไล่สัตว์ร้ายรอบๆตัวรถในช่วงระยะ 20 เมตร จากนั้นก็เข้าไปหลับในรถ
วันถัดมา ฉินเฟิงออกล่าสัตว์ร้ายที่อยู่ในระยะใกล้เคียง นอกจากนี้ยังขับรถล่องเวหาออกไปค้นหาเป้าหมายรอยแยกมิติ แต่ก็คว้าน้ำเหลว
“ตำแหน่งของฉันสมควรจะถูกต้อง ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่ปรากฏขึ้น แต่ก็ในวันสองวันนี้นี่แหละ!”
เนื่องจากมันอยู่ห่างออกมาจากสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือพอสมควร ดังนั้นเหตุการณ์ในชีวิตก่อนหน้าที่เกิดขึ้นมันจึงเป็นเพียงการคาดการณ์เวลาและสถานที่แบบเฉพาะเจาะจงเท่านั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว เมื่อกองทหารทุ่งล่าเข้ามาตรวจสอบ รอยแยกมิติก็ปิดตัวลงไปแล้ว และในอุปกรณ์มิติ ก็บ่งบอกว่าเวลาที่รอยแยกปรากฏขึ้น คือช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา(หลังจากที่เพิ่งตรวจเจอ)
แน่นอน ว่าฉินเฟิงไม่จำเป็นต้องรอนานจนเกินไป รอยแยกนี้ก็ปรากฏขึ้น
พอมาถึงช่วงเย็น ท้องฟ้าที่อาบไปด้วยแสงอาทิตย์สีแดง จู่ๆก็เริ่มบิดเบี้ยวไปอย่างกระทันหัน ขณะเดียวกัน ภายในรถล่องเวหาก็มีเสียงประกาศแจ้งเตือนดังขึ้นมา
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด! เตือนภัย! เตือนภัย! รอยแยกมิติปรากฏขึ้นในรัศมี 500 เมตร สิ่งมีชีวิตไม่ทราบชนิดกำลังจะปรากฏขึ้น โปรดระมัดระวังตัวด้วย!”
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด! รอยแยกนี้มีขนาดเล็กกว่า 10 เซนติเมตร ระดับความอันตรายคือเลเวล G”
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด! ตรวจพบปฏิกิริยาของพลังงานขนาดใหญ่ แนะนำให้ทำการอพยพโดยด่วน!”
ระบบสัญญาณเตือนของรถล่องเวหา แต่เดิมมีระยะสแกนอยู่ที่ 1 กิโลเมตร ดังนั้น ยิ่งระยะที่สแกนได้อยู่ใกล้กับตัวรถเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีความแม่นยำเท่านั้น
ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้น หันไปมองรอบๆโดยไม่รู้ตัว
จากนั้น เขาก็เห็นรอยร้าวบนท้องฟ้า ที่แลคล้ายอากาศที่แตกร้าว ราวกับชั้นกระจกถูกยิงด้วยกระสุนปืน สุดท้ายแตกเป็นเสี่ยงๆ
ครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งที่สองเลย ที่ฉินเฟิงได้เจอกับรอยแยกมิติ หลังจากที่เขาได้กลับมาเกิดใหม่!
สำหรับรอยแยกมิติ พวกมันเป็นอะไรที่มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง
บางครั้งก็นำมาซึ่งหายนะ ในขณะที่สำหรับบางคน มันคือโอกาส
ส่วนฉินเฟิง เจ้าตัวเคยคิดว่านี่มันเป็นโอกาสของเขา แต่เมื่อมันปรากฏขึ้นจริงๆ เขาก็ค้นพบว่าตัวเองผิดพลาดโดยสิ้นเชิง -มันคือหายนะต่างหาก!
นี่มันแตกต่างไปจากรอยแยกมิติในคราวก่อน ที่เขี้ยวทารกมุดตัวออกมาอย่างเชื่องช้า และยังมีเวลาให้ผู้คนหลบหนี หากแต่รอยแยกเบื้องหน้าเขา มันปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน ราวกับเส้นสายฟ้าฟาดสีดำขนาดใหญ่ พรวดออกมาจากรอยร้าวอย่างรุนแรง
“วูซซซซ!”
อุกกาบาตก้อนหนึ่งทิ้งดิ่งลงมา
อุกกาบาตมีสีดำและแดง พุ่งลงมาด้วยความเร็วจนเป็นเป็นหางที่ลากยาว สาดแสงไสวดูแปลกตา
“โครม!”
นี่มันกระทันหันเกินไป ฉินเฟิงไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากที่รอยแยกมิติเปิดออก ก็เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นทันที ส่งผลให้ตนไม่มีเวลาหลบหนี อุกกาบาตร่วงกระแทกเข้าใส่พื้นดินเบื้องหน้ารถล่องเวหา ห่างออกไปแค่ 30 เมตร
ด้วยการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่นี้ ก่อให้เกิดแรงอัดอากาศ กวาดพรึบ! ไปทั่วบริเวณ รถล่องเวหาเกือบจะม้วนพลิกคว่ำ
“เปิดโหมดลอยตัว!”
ฉินเฟิงเร่งกดปุ่มลอยตัวของรถ เพื่อหลีกเลี่ยงแรงสั่นสะเทือน อย่างไรก็ตาม เม็ดหินและเม็ดทรายก็ยังมีกระดอนมากระแทกเข้าใส่ตัวถังนอกรถอยู่ดี ฉากนี้ให้ความรู้สึกราวกับกำลังขับรถฝ่าลูกเห็บก็มิปาน
แม้จะถอยรถห่างออกมาไกลกว่า 100 เมตรจากจุดที่อุกกาบาตร่วงหล่นแล้วก็ตาม แต่ฉินเฟิงก็ยังรู้สึกว่าตนยังตกอยู่ในอันตราย
“แอ๊!”
เสี่ยวไป๋กระสับกระส่ายเล็กน้อย ขนตามแนวสันหลังของมันลุกชูชัน
เพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่อันตรายโผล่มา สัญชาตญาณระวังภัยของมันจึงร้องเตือน
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่ได้หนีไปทันที เขามองไปยังสถานที่ซึ่งอุกกาบาตเพิ่งจะร่วงหล่นลงมา ทันใดนั้นดวงตาก็พลันเบิกกว้าง
“นั่นมัน … ‘ศิลานรก!’ ”
ฉินเฟิงอดอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้
มองไปยังก้อนหินที่ร่วงตกลงมาบนพื้นดิน หินที่กำลังลุกไหม้แผดเผาไปด้วยเปลวไฟสีดำ ขณะเดียวกันควันที่ลอยคละคุ้งไปในอากาศรอบๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นรูนสีดำ!
รูนเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดภัยพิบัติอย่างไวรัสที่น่าหวาดกลัวได้ มันสามารถเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตให้ไร้จิตนึกคิด กลายเป็นซากศพไร้วิญญาณ
“ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมในช่วงแรก ถึงปรากฏกองทัพซากศพของสัตว์ร้ายมากมายถึงขนาดนั้น!”
เมื่อประกอบฉากในปัจจุบันนี้ กับความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าเข้าด้วยกัน ฉินเฟิงก็พอจะสามารถคาดเดาสาเหตุของภัยพิบัติที่กำลังจะมาเยือนได้!
ในความทรงจำของฉินเฟิง คืออีกหนึ่งเดือนต่อมา สถานที่ชุมชนทางตอนเหนือจะประสบการโชคชะตาอันโหดร้าย ปรากฏกองทัพซากสัตว์ร้ายนับหมื่นเข้าโอบล้อม
และถึงแม้ว่าพวกมันจะถูกกำจัด กวาดล้างออกได้อย่างรวดเร็ว หากแต่ก็ยังมีโรคระบาดและไวรัสตามมา ส่งผลให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปี ที่ยังมิได้ถูกฉีดยากระตุ้นพลัง เสียชีวิตไปมากกว่า 40% !
ซึ่งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นจุดที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด เมื่อไม่มีผู้อำนวยกว่าอย่างหลินเต๋อหรงอีกต่อไป เด็กๆจึงเสียชีวิตกันเกือบทั้งหมด ภายในตัวอาคารแทบจะกลายเป็นว่างเปล่า!
ทว่าช่วงเกิดภัยพิบัตินี้ขึ้น ฉินเฟิงได้หลบหนีออกไปจากชุมชนทางตอนเหนือก่อนล่วงหน้าแล้ว แต่เนื่องจากพนักงานในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ได้กระจายส่งข้อความขอความช่วยเหลือ ใจความว่า บรรดาผู้ใหญ่ในสถานเลี้ยงเด็กร้องขอบริจาคเงินจำนวนหนึ่ง เพื่อที่จะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไป ดังนั้นฉินเฟิงจึงรวบรวมเงินที่เก็บไว้ใช้จ่าย บริจาคมันให้แก่พวกเขาทั้งหมด
แต่มันก็น้อยนิด ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี
เนื่องจากฉินเฟิงให้ความสนใจเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เป็นเวลานาน เขาจึงจดจำมันได้เป็นอย่างดี และตัดสินใจมาที่นี่ แต่ข้อมูลที่เปิดเผยออกมาสู่ภายนอก กับเมื่อได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง มันไม่เหมือนกัน
เดิมที ฉินเฟิงคิดว่ามันจะเป็นเพียงรอยแยกมิติที่มาพร้อมกับซากสิ่งมีชีวิตติดเชื้อ ดังนั้นรูนมืดอันเข้มข้นจึงกระจายไวรัสไปในอากาศโดยรอบ แต่ไม่คาดหวังเลย ว่ามันจะปรากฏออกมาในลักษณะของ ‘ศิลานรก’
ศิลานรกคืออะไรอย่างนั้นหรือ? มันคือไอเท็มระดับ S ยังไงเล่า! ทีนี้ก็พอจะจินตนาการออกแล้วใช่ไหม ว่าภัยพิบัติที่กำลังก่อตัวจะน่าหวาดกลัวเพียงใด
ช่วงเวลานั้นเอง ตอนที่อุกกาบาตร่วงตกลงมา มีหมูป่าเขี้ยวอยู่แถวๆนั้นพอดี มันโดนแรงปะทะตกตายลง แต่แล้วก็ผุดลุกขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“ครืด … !” หมูป่าเขี้ยวคำรามเสียงยาว ตามร่างกายขนาดใหญ่ของมันเริ่มถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีดำ ผิวสีเหลืองดั้งเดิม บัดนี้กลายสภาพเป็นสีเทาอ่อน กระทั่งผิวหนังชั้นนอกก็เริ่มแตกออก เปิดเผยให้เห็นกล้ามเนื้อภายใน ทว่ากลับไม่มีเลือดหยดย้อยลงมาเลยแม้แต่น้อย
คู่ดวงตาของมันฟุ้งไปด้วยแสงสีแดงเลือด คล้ายกับว่ามีจิตวิญญาณชั่วร้ายกำลังสิงสถิตอยู่
มันกลายเป็นซากศพเดินได้ไปแล้ว!
ฉินเฟิงเปิดประตูออกจากรถโดยไม่ลังเล
สิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วเหล่านี้ ค่อนข้างยากที่จะจัดการ จะสามารถสังหารมันได้โดยการโจมตีที่หัวเท่านั้น นอกจากนี้ หากถูกพวกมันโจมตี ก็มีโอกาสสูงที่เดียวที่จะติดเชื้อและกลายเป็นซากศพเช่นเดียวกับมัน
ด้วยเหตุนี้เอง ในทุ่งล่าจึงเกิดคลื่นกองทัพซากสัตว์ร้ายจำนวนมหาศาล เพราะอัตราการติดเชื้อมันลามไปทั่ว
“ปุ!”
ปืนพลังงานระเบิดรังสีแสงสีฟ้าอันทรงพลานุภาพออกมา พุ่งตัดผ่านกะโหลกศพหมูป่าเขี้ยวไป
อย่างไรก็ตาม ในจังหวะนั้นเอง รูนมืดเหล่านั้นก็เริ่มเบี่ยงเบนทิศทาง ตรงเข้าหาฉินเฟิง
เห็นได้ชัดว่ารูนเหล่านั้นต้องการที่จะแพร่เชื้อให้แก่ฉินเฟิง!
แต่ฉินเฟิงไม่สามารถติดเชื้อได้ นั่นเพราะเขาเองก็เป็นผู้มีอบิลิตี้ธาตุมืดเช่นกัน!
ท่ามกลางฉากตรงหน้า ในหัวใจของฉินเฟิงบังเกิดความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้ามา
“ก็ในเมื่อเจ้าพวกนี้มันเป็นรูนมืด งั้นจะเป็นไปได้ไหมนะ ที่ฉันจะดูดกลืนพวกมันทั้งหมด?”
แต่เดิม จุดประสงค์ของฉินเฟิงในการมาที่นี่ก็เพื่อสังหารซากศพติดเชื้อรูนมืดเหล่านั้น แต่เขาไม่คาดหวังเลย ว่าความเป็นจริงจะน่าหวาดกลัวกว่ามาก จนทำให้ในช่วงแรก เขาเกิดความตื่นตระหนกไปพักหนึ่ง
แต่ปัจจุบันี เมื่อพิจารณาจนได้เห็นถึงจุดสำคัญ ฉินเฟิงก็ยิ้มยิงฟันของเขา และก้าวตรงไปข้างหน้า
“แอ๊ แอ๊ แอ๊!”
เสี่ยวไป๋วิ่งวนไปมาในรถด้วยความกระวนกระวาย แต่ภายในจิตวิญญาณของมันกลับไม่เรียกร้องให้ฉินเฟิงกลับมา เพราะแม้รูนมืดเหล่านั้นจะค่อนข้างน่าหวาดกลัว หากแต่ภายในจิตใต้สำนึกของมันรู้ดี ว่านั่นคือสิ่งที่ดีสำหรับฉินเฟิง
อย่ามองจากแค่รูปลักษณ์ภายนอกเชียว ถึงเสี่ยวไป๋จะเพิ่งเกิดและตัวเล็ก หากแต่มันไม่โง่ ในฐานะลูกหลานของสัตว์ร้ายระดับสูง มันย่อมมีความทรงจำส่วนหนึ่งที่ได้รับสืดทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่ตอนนี้มันยังเด็กเกินไปที่จะพึ่งพาสัญชาตญาณทั้งหมดที่ว่ามาก็เท่านั้นเอง
ด้วยเหตุนี้ ในหัวใจของฉินเฟิงจึงยิ่งบังเกิดความมุ่งมั่น มั่นใจมากยิ่งกว่าเดิม
“จงดูดกลืน!”
พลังสมาธิของฉินเฟิงถูกกระตุ้นอย่างฉับพลัน ในห้วงจักรวาลแห่งจิตสำนึก ดาวเคราะห์เพชร —แก่นอบิลิตี้เริ่มหมุนวนโคจรอีกครั้ง!
Ch.36 – มือกระดูกยักษ์
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.36 – มือกระดูกยักษ์
รูนมืดที่แต่เดิมอยู่ห่างจากฉินเฟิงเป็น 100 เมตร ถูกดูดกลืนเข้ามา ลากยาวจนดูคล้ายกับหางมังกร
ฉินเฟิงรู้สึกเพียงว่ามีรูนมืดจำนวนมากพุ่งเข้ามาในจักรวาลแห่งจิตสำนึกของเขา และจมหายเข้าไปในดาวเคราะห์เพชร
รูนมืดเริ่มปกคลุมดาวเคราะห์เพชร แต่แน่นอน มันไม่แตกต่างไปจากนกที่เกาะลงบนยอดภูเขาน้ำแข็งเลย -รูนพวกนี้ทำได้เพียงปกคลุมเศษเสี้ยวของดาวเคราะห์เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของมัน ก็ยังทำให้ฉินเฟิงตกตะลึงอยู่ดี
“ฉันได้รับรูนมืดมามากถึง 10,000 !”
ด้วยการดูดกลืนเพียงเล็กน้อย กลับกลายเป็นรูนนับหมื่นอย่างกระทันหัน ซึ่งหากเทียบเปรียบกับไอเท็มแล้ว มันคือไอเท็มธาตุระดับ D !
ยิ่งไปกว่านั้น บนท้องฟ้ายังเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งชั้นอากาศทั่วบริเวณ มันยังคงฟุ้งไปด้วยริ้วควันของรูนมืด ผุดออกมาจากศิลานรกอย่างต่อเนื่อง!
ฉินเฟิงตระหนักได้ทันทีว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภัยพิบัติที่จะทำให้พวกสัตว์ร้ายติดเชื้อ เปลี่ยนพวกมันกลายเป็นไวรัสเคลื่อนที่!
“ฉันจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้!”
เมื่อย้อนคิดไปถึงหายนะในชีวิตก่อนหน้าที่เกิดขึ้น หายนะที่ปลิดชีวิตบริสุทธิ์ของเด็กๆในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างน่าอนาถ ฉินเฟิงก็เริ่มโกรธแค้น คำรามด้วยความดุดัน
เขาสับฝีเท้า พุ่งตรงไปยังที่ตั้งของอุกกาบาต
เมื่อมาถึง ฉินเฟิงก็ต้องตกตะลึงสุดขีด!
ตรงตำแหน่งดังกล่าว ในหลุมที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 50 เมตร มันยุบตัวลงโดยมีศิลานรกกำลังนอนนิ่งอยู่ใจกลางอย่างเงียบๆ
ไม่มีใครรู้ถึงที่มาของศิลานรก เพราะท้ายที่สุดแล้ว รอยแยกมิติคือสิ่งที่ไม่แน่นอน มันยังมีปริศนาอีกมากมายที่ยังไม่ถูกค้นพบ
อย่างไรก็ตาม อีกซีกด้านหนึ่งของโลก ในตะวันตกแผ่นดินใหญ่ เคยปรากฏศิลานรกขนาดเท่าเล็บมือร่วงตกลงไปใจกลางเมือง
และเมื่อนั้น จุดจบของเมืองทั้งเมืองก็เริ่มต้นขึ้น!
ทั่วทั้งเมืองเกิดการติดเชื้อ กลายเป็นซากศพเน่าเปื่อย -เพราะอิทธิพลกับแรงบรรดาลใจจากตรงจุดนี้นี่เอง ที่ก่อให้เกิดชุดภาพยนต์ซอมบี้ในศตวรรษที่ผ่านมา!
เมืองจมลงสู่ขุมนรก และศิลานรกก็เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่ในตอนนั้นเอง
จวบจนกระทั่งในเวลานี้ เมืองทั้งเมืองที่ว่าก็ยังคงอยู่ มันกลายเป็นอาณาจักรซอมบี้ที่มีจักรพรรดิสัตว์ร้ายคอยปกครอง
แต่ตอนนี้ ศิลานรกที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา —มันมีขนาดเท่ากำปั้น!
หัวใจของฉินเฟิงเต้นครึกโครม
ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ศิลานรกคือการรวมตัวกันของรูนธาตุมืดจำนวนมาก ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของภัยพิบัติสำหรับคนอื่นๆ … หากแต่สำหรับเขา มันคือยาบำรุงกำลังชั้นดี!
ฉินเฟิงก้าวลงไปในหลุม และยืนอยู่ห่างจากศิลานรกราวๆ 5 เมตร
ใกล้ขนาดนี้ ฉินเฟิงสามารถมองเห็นถึงรูปลักษณ์ของศิลานรกได้อย่างชัดเจน นี่มันดูเหมือนจะแตกต่างไปจากในความทรงจำของเขาเล็กน้อย ตัวศิลานรกนี้มีขนาดเท่ากำปั้น มันถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงที่อยู่รอบๆ พื้นดินที่รองรับเริ่มละลายอย่างรวดเร็ว เกรงว่าคงจะถูกหลอมจนกลายเป็นลาวาโดยเปลวไฟนี้
ฉินเฟิงไม่มัวเสียเวลาลังเลอีกต่อไป!
“ดูดกลืน!”
พริบตานั้นพลังพิเศษของฉินเฟิงพลันปะทุออกมาอย่างรุนแรง ราวกับปรากฏปากที่มองไม่เห็น ดูดกลืนก้อนศิลานรกลงไป
วินาทีต่อมา ศิลานรกก็เหือดหาย รูนสีดำรอบๆมันก็ไม่ปรากฏเพิ่มขึ้นอีก ขณะเดียวกันรูนมืดที่กระจายอยู่โดยรอบก็ค่อยๆหลอมรวมเข้ากับโลก คล้ายกับว่ากำลังจะหายไป
อย่างไรก็ตาม ในตัวของฉินเฟิง เขารู้สึกราวกับว่ามีพายุกำลังก่อตัวขึ้น
ในเวลานี้ ฉินเฟิงไม่จำเป็นต้องทำสมาธิใดๆ เขาก็สามารถ ‘มอง’ เห็นถึงดาวเทียมขนาดใหญ่ข้างๆกับดาวเคราะห์เพชร ซึ่งเป็นแก่นอบิลิตี้ของเขา
นี่คล้ายคลึงกันกับความสัมพันธ์ระหว่างโลกกับดวงจันทร์ ที่แม้จะอยู่ห่างไกล หากแต่ก็เชื่อมต่อกันและกัน
ซึ่งดาวเทียมที่ว่า ไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็นศิลานรกนั่นเอง
รูนมืดและรูนไฟผุดออกมาจากศิลานรกอย่างต่อเนื่อง เริ่มสลักฝังลงบนแก่นอบิลิตี้ของฉินเฟิง เปลี่ยนแปลงดาวเคราะห์เพชรที่โปร่งใสให้กลายเป็นสีดำและแดง
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ฉินเฟิงยังสามารถรู้สึกได้ว่าการดำรงอยู่ของดาวเทียมศิลานรกนี้ มันมีส่วนช่วยให้ความสามารถในการใช้อบิลิตี้มืดของเขาเพิ่มพูนขึ้นเป็นสิบเท่า!
ไม่น่าแปลกใจเลย ที่บางคนกล่าวว่าศิลานรกคือขุมทรัพย์ล้ำค่าที่ถึงขั้นท้าทายอำนาจสวรรค์สำหรับผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุมืด!
“นี่มันร้ายกาจเกินไป! อบิลิตี้ของฉันมีพลังเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า แถมยังไม่รู้เลยว่ารูนมืดที่ถูกดูดกลืนมามันมีมากมายแค่ไหน!”
ระหว่างที่ฉินเฟิงกำลังมีความสุขอยู่นั้นเอง ในรอยแยกมิติบนท้องฟ้า จู่ๆก็มีนิ้วที่แตกระแหงยื่นออกมาอย่างไม่คาดฝัน
นิ้วดังกล่าวนี้คล้ายกับว่าไม่มีเลือดเนื้อ มันเหี่ยวแห้ง ซีดเซียว แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเล็บสีทมิฬอย่างหาที่ใดเปรียบได้
ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็น่าหวาดกลัว!
“แอ๊!” เสี่ยวไป๋ร้องเตือนในทันใด พริบตาต่อมา มันก็ไม่รีรอให้ฉินเฟิงอนุญาติ เปิดใช้งานรูนมิติทันที
“วูบบบบบ!”
ทั้งคนทั้งร่างของฉินเฟิงหายวับไปจากสถานที่เดิม
นี่คือพลังพิเศษของเสี่ยวไป๋ หลังจากที่มันสามารถวิวัฒนาการขึ้น
มันไม่เพียงแต่จะสามารถเทเลพอร์ตตัวเองได้เท่านั้น หากแต่ยังสามารถใช้กับฉินเฟิงได้ด้วยเช่นกัน
จังหวะเดียวกันนั้นเอง มือซีดๆก็ผุดออกมาจากรอยแยกบนท้องฟ้า
ช่วงเวลาต่อมา กระดูกแห้งผุนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นใจกลางอากาศ
กระดูกแห้งๆเหล่านั้นเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่อย่างหาที่ใดเปรียบ
ฉินเฟิงจ้องมองฉากทั้งหมดนี้ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง การก่อตัวของมือยักษ์โคตรจะว่องไว แต่หากจะกล่าวว่าเป็นมือ สมควรจะเรียกว่าเล็บ -เป็นกรงเล็บของสัตว์ยักษ์น่าจะเหมาะสมกว่า
กรงเล็บยักษ์ฟาดลงในตำแหน่งเดิมของฉินเฟิงโดยตรง พลังอำนาจของมันไม่ด้อยไปกว่าในตอนที่ศิลานรกกระแทกลงกับพื้นดินเลย
หากมิใช่เป็นเพราะเสี่ยวไป๋ใช้พลังพิเศษของมัน ฉุดดึงตัวฉินเฟิงออกมา เกรงว่าฉินเฟิงคงจะกลายเป็นเนื้อบดไปแล้ว
นี่คือการดำรงอยู่ที่ไม่อาจต้านทานได้โดยสมบูรณ์
จากนั้น กรงเล็บยักษ์ก็คว้าจับดิน ขุดคว้านเป็นหลุมใหญ่
ช่างน่าขนลุกขนพอง!
สยองเกล้าเกินไป!
อำนาจดังกล่าวนี้ เกรงว่าอาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือยิ่งกว่าเลเวล S !
กรงเล็บคว้านดินก้อนมหึมา ยกกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า ทว่ามือซีดๆที่ครอบครองกรงเล็บดำกลับกระตุกไหว คล้ายกับว่ามันกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่ แต่ก็ไม่พบ
ฉินเฟิงตระหนักได้ทันทีว่ามีเรื่องร้ายแรงกำลังจะเกิดขึ้น!
ชัดเจนว่าเจ้าของมือซีดเซียวนี้ มันกำลังควานหาศิลานรก!
รอยแยกมิติที่ศิลานรกร่วงตกลงมา มันเล็กเกินไป ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่สามารถเข้ามาได้ มันเลยทำได้เพียงเอื้อมมือข้างหนึ่งลงมา แต่ก็มากพอแล้วที่จะระดมกระดูก ก่อตัวเป็นมือยักษ์ที่น่าหวาดกลัว
น่ากลัวว่าความแข็งแกร่งของการดำรงอยู่ตรงหน้าคงไม่พ้นเลเวล S!
และในระดับภัยคุกคาม น่าจะเป็นเลเวล S ระดับจักรพรรรดิสัตว์ร้าย!
อย่างที่คิด พอในมือของมันไม่พบศิลานรก พริบตานั้นเสียงกรีดร้องสยดสยองก็แผดขึ้นทันใด
“ใครบังอาจแตะต้องศิลาศักดิ์สิทธิ์ของข้า!”
“ซวยแล้วไง!”
ในดวงตาของฉินเฟิง เห็นแค่เพียงในรอยแยกขนาดเท่ากำปั้น ปรากฏมืออีกข้างหนึ่งแทรกออกมา รวมพลังกับอีกมือหนึ่ง คว้าจับขอบรอยร้าวซ้ายขวาที่แตกระแหงดั่งใยแมงมุม คล้ายกับว่าต้องการจะฉีกมันเปิดช่องให้กว้างมากกว่าเดิม
เห็นได้ชัดว่าตัวตนดังกล่าวตั้งใจที่จะฝ่ารอยแยกมิติออกมา เพื่อควานหาตัวผู้ร้ายอย่างฉินเฟิง
“ฉันจะปล่อยมันออกมาไม่ได้!”
ฉินเฟิงรู้ดีว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะวิ่งหนี ในเวลานี้ การดำรงอยู่ของอีกฟากฝั่งรอยแยกย่อมไม่ด้อยไปกว่าเลเวล S นี่ไม่ใช่ตัวตนที่เขาจะสามารถหลบหนีไปได้
แต่ฉินเฟิงเองก็ไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่เฉยๆเช่นกัน
ฉินเฟิงเปิดช่องทางสื่อสาร และทำการส่งข้อมูลการวิเคราะห์จากรถล่องเวหาที่ประกาศแจ้งเตือนก่อนหน้านี้ออกไปทันที
“รายงานไปยังสถานีอวกาศเมืองเฉิงหยาง ว่าพบรอยแยกมิติปรากฏขึ้นในตำแหน่งทางตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างออกไป 300 กิโลเมตร! นอกจากนี้ยังมีพลังงานมหาศาล และยังปรากฏสิ่งมีชีวิตไม่ทราบชนิดขึ้น อาจเป็นไปได้ว่าอยู่ในเลเวล S หวังว่าทางสถานีจะตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว และรีบปิดรอยแยกมิตินี้ทันที!”
ในโลกมนุษย์ หลังจากรอยแยกมิติปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อความอยู่รอดของสภาพแวดล้อม จึงบังเกิดการสรรสร้างเทคโนโลยีชั้นสูงขึ้น -มนุษย์ชาติได้พัฒนาอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติ และสร้างทฤษฏีมิติทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา
รอยแยกเป็นผลิตภัณฑ์ของธรรมชาติที่เกิดการก่อตัวขึ้น และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว จะไม่มีความเสถียร แต่ไม่นานก็จะหายไป
ก็เหมือนกับร่างกายมนุษย์นั่นแหละ ทันทีที่เกิดบาดแผล หากปล่อยทิ้งไว้ บาดแผลที่ว่าก็จะหายไปเอง
แต่หากในช่วงเวลาที่เกิดบาดแผล มีคนให้ยารักษา หรือเย็บแผลแล้ว แผลก็จะยิ่งหายไปเร็วกว่าเดิมจริงไหม?
และสิ่งที่ใช้รักษาแผล(รอยแยกมิติ) ก็คืออุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิตินั่นเอง
สิ่งที่ฉินเฟิงต้องทำต่อจากนี้ คือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสถานีมิติ
ดังนั้น เขาจึงรายงานเรื่องนี้ไปยังเมืองเฉิงหยางโดยตรงแทนที่จะส่งให้กับสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ เพราะอุปกรณ์มิติในสถานที่แห่งนั้น มันไม่ทรงพลังเท่าใดนัก
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร และฉินเฟิงเองก็ไม่กล้ารับประกันว่าตัวเองจะสามารถต้านทานมันได้หรือไม่
แต่เวลาไม่เคยจะรีรอใคร
เจ้าของสองมือยังคงฉีกรอยแหวกมิติอย่างต่อเนื่อง
“แอ๊ แอ๊!” เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้น และหายวับไปจากตำแหน่งเดิมอย่างกระทันหัน ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนท้องฟ้าที่สูงกว่า 30 เมตร
“เสี่ยวไป๋ หยุดนะ! นั่นแกจะทำอะไรน่ะ!?” ฉินเฟิงตกใจกับการกระทำไม่คาดฝันนี้
Ch.37 – ปาร์ตี้รวมตัว
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.37 – ปาร์ตี้รวมตัว
เสี่ยวไป๋ไม่สนใจเสียงเรียกของฉินเฟิง มันหายวับไปอีกครั้งจากในตำแหน่งเดิม
และปรากฏตัวขึ้นอีกคราว บนท้องฟ้าในความสูง 60 เมตร
จากนั้น มันก็หายไปอีกครั้ง
ทำแบบเดิมเรื่อยๆกว่า 3 รอบ เสี่ยวไป๋ก็สามารถเข้าไปใกล้รอยแยกมิติได้สำเร็จ
“ระวังตัวด้วยนะ!”
หัวในของฉินเฟิงเต้นครึกโครมจนแทบจะหลุดออกมา
เสี่ยวไป๋หยั่งฝ่าเท้าน้อยๆลงบนกรงเล็บกระดูก ฉากนี้ไม่แตกต่างไปจากแมลงวันโฉบลงไปเกาะบนนิ้วมือมนุษย์!
แต่เสี่ยวไป๋ก็ยังคงพยายามอย่างหนัก ร่างกายของมันม้วนกลิ้งไปมาในอากาศ ในฉับพลัน พริบตาต่อมา ฉินเฟิงก็เห็นว่าหางของเสี่ยวไป๋เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเงิน กวาดเป็นวงแหลมเข้าใส่นิ้วมือทั้งหมด
ถูกต้อง ท่านคาดเดาไม่ผิดแล้ว มันกำลังหยุดไม่ให้นิ้วมือเหล่านั้นแหวกรอยแยกมิติออก
ตามรอยแยกคล้ายถูกเติมเต็มไปด้วยปูนซีเมนต์ ชั้นอากาศที่แตกร้าวถูกปิดลงอย่างกระทันหัน แต่ในหูของฉินเฟิงก็ยังคงแว่วเสียงคำรามดังลอดออกมา
“เปรี้ยง!”
เมื่อถูกตัดอำนาจสั่งการ มือกระดูกยักษ์ก็สูญสิ้นการควบคุม สลายรูปที่คงไว้ทันที ร่วงตกลงกลางอากาศ
ส่วนเสี่ยวไป๋ ร่างของมันกระพริบไหวและหายตัวไปอีกครั้ง
“ฟู่ววว …”
ฉินเฟิงถอนหายใจโล่งอก เขาสัมผัสได้ว่าแรงกดดันอันตรายเหนือหัวได้หายไป
ภัยพิบัติมลายหาย ทุกอย่างจบลงแล้ว!
ในจังหวะนั้นเอง อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงก็เริ่มสั่น
“มิสเตอร์ฉิน ขอบคุณสำหรับข้อมูลของคุณ ตามการตรวจสอบ รอยแยกมิติได้ปิดลงไปแล้ว แต่สถานที่แห่งนั้นก็ยังมีอันตรายอยู่ ทางเราจะเปิดใช้งานรูนมิติเพื่อทำการเก็บกวาดรอยร้าว ให้มันกลับมามีเสถียรภาพ และขอขอบคุณสำหรับผลงานในการช่วยเหลือมนุษยชาติ ทางเราขอตอบแทนโดยการมอบเงินให้แก่คุณเป็นจำนวน 10,000 เหรียญ!”
ในบัญชีของฉินเฟิง เงิน 10,000 ถูกโอนเข้ามา
จากนั้น ฉินเฟิงก็เห็นแสงสีเงินปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เจาะทะลุชั้นเมฆ ตกลงมายังเขา
เดิมที รอยแยกมิติบนท้องฟ้าที่มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือนั้นถูกปิดไปแล้วโดยเสี่ยวไป๋ เพียงแต่ชั้นอากาศที่แตกระแหงยังคงปรากฏอยู่โดยรอบ
ภายใต้แสงสีเงินนี้ อากาศที่แตกร้าวก็ค่อยๆจางหายไป และในที่สุดก็เกิดเสถียรภาพขึ้นเหมือนดั่งในตอนแรก
คราวนี้ จะไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้นอีกแล้ว!
“แอ๊ แอ๊!”
ร่างเล็กๆของเสี่ยวไป๋ปรากฏขึ้น ร่อนลงบนเหนือรถล่องเวหา ขณะเดียวกันก็คาบมือๆหนึ่งไว้ในปาก
และมือที่ว่า … คือมือเดียวกันกับที่แทรกออกมาในตอนที่เกิดรอยแยกมิติ!
“นี่มัน … ”
เสี่ยวไป๋คายมือที่ว่าลง เห็นได้ชัดว่ามันถูกตัดออกโดยมิติ หากแต่มือนี้กลับไม่ปรากฏร่องรอยความเสียหายใดๆเลย ในทางตรงกันข้าม มันกลับดูเหมือนมือรูปปั้นที่ไม่บุบสลาย และเมื่อได้ลองเพ่งมองอย่างใกล้ชิด ก็จะพบว่ามันกำลังเปล่งแสงสีเงินอยู่
“แอ๊!” เสี่ยวไป๋ร้องออกมา
“แกกำลังจะบอกให้ฉันดูดกลืนมันงั้นหรอ?” ฉินเฟิงถาม
เสี่ยวไป๋ผงกหัวเล็กน้อย หลังจากทำสัญญากับฉินเฟิงแล้ว ฉินเฟิงก็สามารถเข้าใจสิ่งที่เสี่ยวไป๋ต้องการจะสื่อสารได้เล็กๆน้อยๆ
แน่นอนว่ามันเองก็เช่นกัน มิฉะนั้นคงไม่รู้ใจเขา คาบมือนี้กลับมา
“จัดไป!”
ฉินเฟิงกระตุ้นพลังพิเศษ อำนาจดูดกลืนปะทุออกมา เริ่มซึมซับพลังงานจากมือรูปปั้นนี้อย่างรวดเร็ว
นับตั้งแต่เกิดใหม่ พลังพิเศษดูดกลืนของเขา ยิ่งนานวัน มันก็ยิ่งเผยถึงอำนาจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน การดูดกลืนมือที่ไร้ชีพจรทว่ากลับเปี่ยมไปด้วยพลัง เป็นไปอย่างง่ายดาย
แต่ผลที่ได้มา กลับไม่ใช่อะไรธรรมดาๆที่เรียบง่ายเลย
พลังงานในมือนี้ ช่างพลุ่งพล่าน สูงล้ำเกินกว่าจะจินตนาการ!
และพลังงานที่ว่านี้ ยังช่วยสร้างเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กระดูกของฉินเฟิงโดยตรง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินเฟิงก็รู้สึกเพียงแค่ว่าตามมวลกระดูกเขาเกิดอาการคันยิบๆ กระทั่งบางจุดก็ส่งเสียงดังเป๊าะ เกิดการแตกออกขึ้น แต่ในรอยแตกที่ว่ามันก็มาพร้อมกับแสงสีเงินและความทนทานอย่างหาที่เปรียบมิได้แทรกซึมเข้าไปเช่นกัน
ด้วยการพัฒนาของมวลกระดูกนี้ ส่งผลให้ความเร็ว , พละกำลัง ของฉินเฟิงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
กายเนื้อของเขาเกิดการวิวัฒนาการอีกครั้ง
ก้าวขึ้นสู่เลเวล G6 !
“ไม่คาดฝันเลยว่าฉันจะสามารถเก็บเกี่ยวโชคลาภแสนล้ำค่าได้แบบนี้!”
จุดประสงค์เดิมของฉินเฟิงคือมาที่นี่เพื่อกวาดล้างภัยคุกคาม และสังหารสัตว์ร้ายบางตัวในระหว่างทาง
แต่ปัจจุบัน เขากลับได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล ชนิดที่เรียกได้เลยว่าสามารถปีนป่ายขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้ในก้าวเดียว!
ในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วฉินเฟิงจะไม่มีความสุขได้อย่างไร?
บางที นี่อาจจะเป็นรางวัลสำหรับการคิดกระทำความดีของเขาก็ได้ล่ะมั้ง?
แน่นอน ว่าความสุขของฉินเฟิง ไม่ช้าเร็วมันก็กลายเป็นหมดหนทาง
เพราะในแก่นอบิลิตี้ของเขา แม้รูนมืดจะยังคงถูกเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนใกล้จะเหยียบ 20000 แล้วก็ตาม หากแต่มันจำเป็นต้องใช้พลังสมาธิ ในการกระตุ้นพวกมัน
ทว่าพลังสมาธิในปัจจุบันของฉินเฟิงยังคงอยู่ในเลเวล G และจำนวนรูนที่เขาสามารถกระตุ้นได้ มากสุดก็แค่ 1000 เท่านั้น!
มีภูเขาสมบัติกองอยู่ตรงหน้า หากแต่ไม่สามารถใช้งานมันได้ คงไม่ต้องบรรยายมากไปกว่านี้ว่าฉินเฟิงรู้สึกหดหู่เพียงใด
“ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันมีสถานะร่วมกันระหว่างผู้ใช้อบิลิตี้และผู้ใช้วรยุทธโบราณ เพราะงั้นฉันคงไม่จำเป็นต้องรีบใช้งานมันถึงขนาดนั้น!”
ฉินเฟิงเมื่อคิดได้แบบนี้ จึงค่อนผ่อนคลายลงในที่สุด
จากนั้น เขาก็ยังไม่ได้ออกไปจากทุ่งล่าในทันที หากแต่เริ่มไล่ล่าสัตว์ร้ายอีกครั้ง
แม้ว่าศิลานรกจะถูกดูดกลืนโดยฉินเฟิงแล้วก็ตามที หากแต่ยังมีหมอกจากรูนมืดกระจัดกระจายไปตามสถานที่ต่างๆอยู่ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่สัตว์ร้ายอาจจะติดเชื้อจากหมอกมืดนี้ได้
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ สัตว์ร้ายที่ปนเปื้อนไปด้วยหมอกมืดนี้ จะถูกยกระดับความแข็งแกร่งของพวกมัน และจากนั้น พวกมันก็จะกลายเป็นติดเชื้อ และเริ่มล่าสังหารสัตว์ร้ายตนอื่นๆ
ในเมื่อตัดสินใจว่าจะเป็นคนดีตั้งแต่ต้น ดังนั้น ฉินเฟิงจึงต้องทำดีต่อไปจนจบ!
…
ในทุ่งล่า ฉินเฟิงสับฝีเท้าอย่างเมามัน ไล่ล่าลิงที่ทั้งร่างเป็นสีเทา และถูกปกคลุมไว้ด้วยไอสีดำ
ขนบนร่างของลิงร่วงหล่นจนสิ้น คล้ายกับว่ามันตกตายไปแล้ว
นี่คือลิงหางยาว เป็นสัตว์ร้ายที่แสนจะก้าวร้าวและว่องไวเป็นอย่างมากในทุ่งล่า
แต่ตอนนี้ ลิงตัวที่ว่าถูกปนเปื้อนด้วยหมอกมืด ตามร่างของมันเริ่มเน่าเปื่อยผุพัง แต่ความเร็วกลับไม่ลดลงเลย!
“จงตายให้ฉันซะดีๆ!”
ฉินเฟิงไม่สามารถไล่ตามจับลิงหางยาวได้ ดังนั้นเขาเลยจำเป็นต้องใช้วิธีอื่น
พลังสมาธิถูกกระตุ้น และในวินาทีต่อมา แสงสีดำก็พลันสาดประกาย
แสงสีดำที่ว่า ไม่เพียงดำสนิท หากแต่มีเส้นใยสีแดงอยู่ภายใน ซึ่งนี่คือพลังพิเศษใหม่ที่เกิดจากรูนที่ถูกเลือกจากในแก่นอบิลิตี้ ฉินเฟิงเรียกมันว่า : เพลิงโลกันต์!
การระเบิดของพลังพิเศษนี้รวดเร็วเป็นอย่างมาก ไม่ช้าก็เข้าถึงตัวลิงหางยาว และเริ่มลุกไหม้มันอย่างรวดเร็ว
“กี๊ กี๊!”
ราวกับจิตวิญญาณถูกแผดเผา ลิงหางยาวร่วงตกลงจากต้นไม้ กระแทกกลิ้งลงกับพื้น
ทว่าเพลิงโลกันต์ก็ยังไม่มอดดับลง มันลุกลามไปทั่ว ผลาญร่างลิงหางยาวไปกว่าครึ่งในชั่วพริบตา
สุดท้าย ฉินเฟิงก็ชักมีดสั้นออกมา และฉับ! ตัดหัวลิงหางยาวในคมกล้าเดียว
“วุ่นวายจริงๆกว่าจะจัดการกับแก!”
ฉินเฟิงผ่อนลมหายใจ
หลังจากที่เกิดการเน่าเปื่อยบนตัวของลิงหางยาว เลยส่งผลให้ไม่สามารถได้รับวัตถุดิบใดๆจากมัน ผลเก็บเกี่ยวเพียงอย่างเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็คือ ในหัวของลิงหางยาว จะมีแก่นพลังงานที่ครอบครองพลังมากกว่าปกติอยู่
ใช่แล้วล่ะ ในสมองหลังจากที่ร่างศพเกิดการเน่าเปื่อย ก็เป็นแก่นพลังงานนี้นี่เอง ที่คอยสนับสนุน ให้ศพไร้ชีวิต เกิดการเคลื่อนไหวทางชีวภาพได้
ต่อให้เป็นสัตว์ร้ายสุดแสนธรรมดา แต่หากหลังจากที่กลายเป็นซากศพเดินได้ มันก็จะมีแก่นพลังงานเป็นของตนเอง ทั้งทีตามปกติแล้ว ทหารสัตว์ร้ายมีโอกาสเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะมีแก่นพลังงาน ขณะที่นายพลสัตว์ร้ายขึ้นไปเท่านั้นที่จะมีโอกาสมีแก่นพลังงาน 100 %
ฉินเฟิงไม่คิดเก็บสมองของลิงหางยาว เขาควักเอาแก่นพลังงานภายในออกมาทันที
มูลค่าของแก่นพลังงานเหล่านี้สมควรที่จะต่ำ แต่แก่นพลังงานหนึ่งอันก็มีค่าไม่น้อยไปกว่า 10000 เหรียญ ในขณะที่ฉินเฟิงสามารถเก็บรวบรวมมันมาได้มากกว่า 300 แก่นแล้ว ฉะนั้น กล่าวได้ว่านี่มันเพียงพอที่จะใช้จ่ายค่าอุปกรณ์สั่งทำเองก่อนหน้านี้!
“เอาล่ะ ถึงเวลาที่ควรจะกลับไปซักที”
นี่มันก็ผ่านมา 9 วันแล้ว และในอีก 1 วัน ก็จะถึงเวลาที่เขาจะต้องกลับไปรับสินค้าพอดี
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!”
อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงสั่น ทว่าเมื่อก้มลงมอง เจ้าตัวก็ต้องประหลาดใจเล็กน้อย
-ปรากฏว่าเป็นเฉินหมิงที่โทรมา!
บางที อาจเป็นเพราะหลังจากจบพิธีการศึกษา เฉินหมิงได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา หรือไม่ก็เพราะรอยแยกมิติปรากฏขึ้น แต่เขากลับวิ่งหนีไปคนเดียว เลยไม่มีหน้าที่จะติดต่อกับฉินเฟิงหรือโจวฮ่าวอีก
ทว่าในวันนี้ เขากลับโทรหาฉินเฟิง นี่มันคาดไม่ถึงจริงๆ
“ฉินเฟิง วันพรุ่งนี้ชั้นเรียนของพวกเราจะจัดปาร์ตี้รวมตัวกัน นายต้องมาให้ได้นะ ห้ามลืมล่ะ!”
“จัดปาร์ตี้รวมตัว? ” ฉินเฟิงทวนคำซ้ำ ในสมองขบคิดว่างานแบบนี้มันจัดขึ้นเมื่อไหร่กัน?
เพราะในชีวิตก่อนหน้า งานที่ว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น!
Ch.38 – แผนสมคบคิด
Translator : Muntra / Author
วันนี้ลง 3 ตอน
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.38 – แผนสมคบคิด
“ทำไมจู่ๆนายถึงคิดจัดปาร์ตี้? งานคืนสู่เหย้าแบบนี้มันไม่เร็วเกินไปหน่อยหรอ” ฉินเฟิงถาม
“ก็อีกเดี๋ยวทุกคนจะแยกย้ายไปตามทางของตัวเองแล้ว เพราะงั้นชั้นเรียนของพวกเราเลยต้องกลับมารวมตัวกันไง แล้วอีกอย่าง ฉันได้ยินมาว่าเพื่อนร่วมชั้นคนนึงของเราสามารถปลุกพลังพิเศษได้แล้วนะ นายรู้รึเปล่าว่าเป็นใคร? เธอคือจ้าวหยวนหยวน!”
สองคิ้วของฉินเฟิงขมวดมุ่น
แน่นอน เขารู้อยู่แล้วว่าจ้าวหยวนหยวนน่ะจะกลายเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ แต่พลังพิเศษของเธอคือธาตุไม้ อำนาจของมันไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก หากแต่ด้วยพลังพิเศษนี้เอง ที่ช่วยให้เธอไม่ต้องออกไปสู้รบภายนอก และกลายมาเป็นฝ่ายบริหารในพื้นที่เพาะปลูกแทน
“งั้นหมายความว่างานเลี้ยงในครั้งนี้ จ้าวหยวนหยวนเป็นเจ้าภาพใช่รึเปล่า?”
“ไม่ใช่หรอก งานนี้ทุกคนต้องช่วยกันออกค่าใช้จ่ายอยู่ แต่ว่านะฉินเฟิง นายไม่ต้องกังวลไป ถึงแม้นายจะมีปัญหาเรื่องเงิน แต่ฉันจะช่วยออกให้เอง!”
ฉินเฟิงยิ่งฟัง ก็ยิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเกี่ยวกับงานคืนสู่เหย้าในครั้งนี้
“เรื่องนั้นไม่จำเป็น บอกเวลา และสถานที่มา พรุ่งนี้ฉันจะไปร่วมงานเอง!”
“งานปาร์ตี้จัดใกล้ๆกับโรงเรียนของพวกเรา เป็นโรงแรมเจิ้งหยวน ห้องส่วนตัวหมายเลข 109 เวลา 8 โมงเย็น นายอย่ามาสายล่ะ!” เฉินหมิงกล่าว และตัดการสื่อสารไป
ฉินเฟิงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเปิดอุปกรณ์สื่อสารอีกครั้ง
เขาเข้าไปดูกลุ่มแชทของชั้นปี ที่สร้างไว้เพื่อคอยแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน เพราะหลังจากฉีดยากระตุ้นแล้ว ทุกคนต่างก็ต้องแยกไปตามทางของตัวเอง
คนที่ตื่นกลายเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ได้ แน่นอนว่าย่อมทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ขณะเดียวกัน คนที่ตื่นเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ จะสามารถออกไปแสวงโชคในทุ่งล่าได้ และเข้าร่วมกับทีมทหารรับจ้าง
ส่วนคนอื่นๆที่ยังไม่มีพลังอะไรตื่นขึ้นเลย น่ากลัวว่าพวกเขาคงจะต้องใช้ชีวิตเหมือนดั่งมดในชุมชน คอยแหงนหน้ามองคนอื่นๆไปวันๆ!
ฉินเฟิงค้นบันทึกแชทของเฉินหมิง และพบว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เฉินหมิงจู่ๆก็กลายเป็นคนกระตือรือร้นจนดูผิดปกติ เขาเอาแต่ถามทุกคนในชั้นเรียนว่าปลุกพลังพิเศษกันได้รึยัง นอกจากนี้ ยังลอบถามกลุ่มชั้นเรียนอื่นๆอีกด้วย
“ไอ้องค์กรทดลองบ้านั่น คงไม่ได้คิดจะทำแบบเดิมอีกแล้วใช่ไหม!”
หลังจากการเกิดใหม่ของฉินเฟิง เขาย่อมไม่ปล่อยให้การทดลองขององค์กรผ่านไปด้วยดี แต่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าพวกมันจับคนอื่นไปได้รึยัง
แต่ไม่ว่าจะเป็นในข้อไหน ฉินเฟิงย่อมไม่ปล่อยให้พวกมันประสบความสำเร็จ!
หลังจากเก็บของที่จำเป็น ฉินเฟิงก็ขับรถกลับเข้าเมืองพร้อมกับเสี่ยวไป๋
ต่อมา โจวฮ่าวก็ติดต่อหาเขา
“ฉินเฟิง นายได้ยินเรื่องที่เฉินหมิงพูดเรื่องปาร์ตี้คืนสู่เหย้ารึยัง?”
“อืม มันบอกฉันแล้ว!”
“เหอะ ตอนนี้เจ้าเฉินหมิงมันคงภูมิใจในตัวเองน่าดู ที่ตัวเองสามารถปลุกพลังวรยุทธโบราณให้ตื่นขึ้น และยังเข้าร่วมกับทีมทหารรับจ้างได้อีก ได้ยินข่าวลือมาว่ามันทำเงินได้มากเลยในช่วงนี้ แถมกำลังภายในของมันก็อาจจะไปถึงเลเวล E แล้วด้วย”
โจวฮ่าวแสดงออกว่าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
ในความเป็นจริง ก่อนหน้านี้ ทั้งสามคนยังเป็นสหายที่ดีต่อกัน หากแต่นั่นเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างฉินเฟิงกับทั้งคู่มันเป็นไปด้วยดี ในขณะที่โจวฮ่าวไม่ชอบเฉินหมิงอยู่ก่อนแล้ว เพราะเฉินหมิงมันชอบแสดงออก หรือทำอะไรบ้าๆบออยู่เสมอๆ
แต่ในตอนนี้ ความจริงได้ปรากฏ ทุกการกระทำล้วนเป็นการหลอกหลวงของเฉินหมิงอย่างงั้นสินะ!
ปัจจุบัน สืบเนื่องจากเรื่องรอยแยกมิติที่เกิดขึ้น แม้ว่าฉินเฟิงจะไม่ได้พูดอะไรเลย แต่โจวฮ่าวก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอาจลดต่ำลง จนถึงจุดตัดขาดแล้ว!
ตอนนี้ไม่แม้แต่จะต้องมองหน้ากัน มันไม่จำเป็นอีกต่อไป
นอกจากนี้ ช่วงเวลาหนึ่งเดือนสำคัญมากๆ ทุกคนมัวแต่วุ่นที่จะปลุกพลังพิเศษของตนเอง จนไม่มีใครมัวสนใจใคร
“นายไม่ต้องสนเรื่องเจ้าหมอนั่นหรอก ว่าแต่ตอนนี้พลังของนายยังไม่ตื่นขึ้นมาอีกหรอ?”
ด้วยน้ำยาเสริมความแข็งแกร่งเกรด G ที่ได้รับมาจากฉินเฟิง ไหนจะผลไม้ศักยภาพอีก ย่อมเป็นธรรมดาที่ร่างกายของโจวฮ่าวจะตื่นขึ้นมาแล้ว
อันที่จริง ในทางตรงกันข้าม ฉินเฟิงต่างหากที่ไม่ควรปลุกพลังวรยุทธโบราณให้ตื่นขึ้นมาได้ แต่เนื่องจากเพราะพลังพิเศษดูดกลืนของเขา เขาเลยกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีศักยภาพร่างกายแสนยิ่งใหญ่ และสามารถพัฒนาได้อย่างไร้ขีดจำกัด
“เหอะ ฉันทนมองข้ามความอวดเก่งของมันไม่ไหวแล้ว ทำเหมือนตัวเองเป็นที่หนึ่ง ถ้าฉันไม่ตั้งเป้าจะเข้าร่วมสถาบันระดับสูงนะ ฉันคงออกไปฝึกในทุ่งล่า เก่งกว่ามันไปแล้ว!”โจวฮ่าวกล่าว
“ไม่ต้องไปเสียเวลาคิดหรอกน่า เอาเป็นว่าวันพรุ่งนี้ฉันจะไปรับนาย แล้วเราค่อยไปด้วยกัน”
“วู้ว! ฉินเฟิง อย่าบอกนะว่านายจะขับรถล่องเวหาไป ถ้างั้นฉันขอเป็นคนขับมันจะได้ไหม?”
“ถ้านายต้องการ ฉันให้อภิสิทธิ์เต็มที่เลย!”
จากนั้นทั้งสองก็พูดกวนกันไปกันมาอีกสองสามประโยค และตัดการสื่อสารไป
จากเวลา 1 เดือน นี่ก็ผ่านมากว่า 25 วันแล้ว ดูเหมือนว่าโจวฮ่าวจะไม่สามารถปลุกพลังพิเศษขึ้นมาได้เลย
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ฉินเฟิงจึงตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าร่วมสถาบันสูงพร้อมกันกับโจวฮ่าว
เพราะแม้จะขึ้นชื่อว่าสถาบัน แต่ก็สามารถเลือกการเข้าเรียนได้อย่างอิสระ และสามารถเข้ารับการทดสอบล่วงหน้าได้
ท้ายที่สุดแล้ว ความเร็วในการฝึกฝนของทุกคนนั้นแตกต่างกันออกไป และไม่ว่าพวกเขาจะผ่านการประเมินทั้งหมดหรือไม่นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับตัวเอง
ที่นี่ไม่มีสิ่งไร้สาระอย่างการเตรียมตัวแทบตายไปกับการสอบ ที่พอถึงเวลาจริงๆดันไม่สามารถนำมาใช้ได้
ตราบใดที่สอบผ่านภาคการศึกษา ฉินเฟิงก็สามารถใช้เวลาที่เหลือจากการเรียนได้อย่างอิสระ!
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินเฟิงลุกจากเตียงในโรงแรม มองไปทางเสี่ยวไป๋ที่กำลังหลับอยู่บนหมอน ในหัวใจก็บังเกิดความคิดว่าตนสมควรจะมีบ้านเป็นของตัวเองดีหรือไม่?
เพราะไม่ว่าโรงแรมจะสะดวกขนาดไหน แต่ในเรื่องพื้นที่ใช้สอยนับว่าเล็กมาก เสี่ยวไป๋ทำได้แค่วิ่งวนไปมา และทุกครั้งที่เขาเปลี่ยนโรงแรม มันก็เหมือนการล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย
หลังจากฝึกฝนช่วงเช้า ฉินเฟิงก็ก้มลงมองเวลา และเตรียมตัวออกเดินทาง
“มาเถอะเสี่ยวไป๋ ออกไปข้างนอกกัน!”
ฉินเฟิงกล่าวคำ พร้อมเปิดกระเป๋าเปะสะพายหลัง
เสี่ยวไป๋ปีนเข้าไปด้านในอย่างคล่องแคล่ว ท่าทีของมันยังคงดูร่าเริง
ช่างเป็นจิ้งจอกที่ซื่อบื้อจริงๆ มันไม่รู้หรอว่าถ้าหากเขาออกไปข้างนอก มันจะต้องอยู่แต่ในกระเป๋าเท่านั้น?
ฉินเฟิงออกจากห้อง และขับรถไปยังร้านอุปกรณ์ป้องกันกลุ่มหวันซ่ง
ซุนน้อยมาคอยฉินเฟิงตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อเขาเห็นฉินเฟิงเดินมา เจ้าตัวก็เร่งเข้ามาทักทายทันที
“มิสเตอร์ฉิน อุปกรณ์สั่งทำของคุณมาถึงแล้ว โปรดเข้าไปข้างในเถอะ!”
“รอเดี๋ยว ไม่ต้องรีบร้อนไป ขอฉันขายเจ้าพวกนี้ก่อน!”
ว่าแล้วฉินเฟิงก็ดึงเอาแก่นพลังงานที่เขาได้รวบรวมไว้ออกมา
แก่นพลังงานเหล่านี้มีขนาดไม่เกินกว่าเล็บมือ หากแต่ด้วยจำนวนที่มากถึง 300 ชิ้น พวกมันเลยให้ความรู้สึกเปล่งประกายงดงาม
ณ จุดนี้ ซุนน้อยต้องอ้าปากค้าง!
โอ้สวรรค์ อีกหนึ่งธุรกิจใหญ่ก้าวเข้ามาเคาะประตูหาเขาอีกแล้ว!
“โปรดรอสักครู่ ฉันจะตรวจสอบให้แก่คุณเอง!” ซุนน้อยกล่าว แต่พนักงานคนอื่นๆในร้านกำลังยุ่งกันหมดเลย มีเพียงผู้จัดการร้านหญิงวัยกลางคนที่ยังว่างอยู่ แต่ซุนน้อยไม่กล้าเรียกเธอ
โชคยังดี ที่พนักงานอีกคนเดินไปส่งลูกค้าพอดี ซุนน้อยเห็นเลยรีบเรียกอีกฝ่าย
“มานี่เร็ว ช่วยฉันหน่อย! เดี๋ยวจะแบ่งเปอร์เซ็นให้ 1 ใน 10 ส่วน!”
“ด้วยความยินดี!” หากเป็นเรื่องรับทรัพย์ อีกคนแน่นอนว่าย่อมไม่มีปัญหา เขาเร่งตรงเข้ามา และช่วยซุนน้อยใช้เครื่องมือตรวจสอบทันที
“เชอะ! ตื่นเต้นอะไรกันนักหนา!” ผู้จัดการร้านเมื่อเห็นทั้งสองวุ่นจนเหงื่อหยดย้อย ก็เอ่ยดูถูกออกมา ทว่าในแววตาของเธอ กลับฟุ้งไปด้วยความรู้สึกอิจฉา
แต่ซุนน้อยก็ไม่สนใจเกี่ยวกับเธอ สมาธิของเขาจดจ่ออยู่กับแก่นพลังงานทั้ง 300 ชิ้นนี้ ทุ่มตรวจสอบด้วยความเร็วที่สุดที่ตนมี ก็ยังปาเข้าไปตั้งครึ่งชั่วโมง
“มิสเตอร์ฉิน แก่นพลังงานทั้ง 300 ชิ้นนี้ มีมูลค่าทั้งสิ้น 4.13 ล้านเหรียญ เชิญตรวจทานมันด้วยตัวเองอีกรอบ!”
ฉินเฟิงรับข้อมูลการตรวจสอบเข้ามาดู กวาดตามองมันอย่างรวดเร็ว พยักหน้า และเซ็นชื่อลงไป
แน่นอน ว่าหลังจากการซื้อแก่นพลังงานเหล่านี้แล้ว ทางร้านค้าย่อมสามารถสร้างรายได้มหาศาลจากการขาย หรือแปรรูปมัน และเงินทั้งหมดที่ได้จากสินค้าเหล่านี้ ล้วนต้องขอบคุณเครดิตของซุนน้อย
“ช่วยหักค่าใช้จ่ายในส่วนของอุปกรณ์สั่งทำด้วย!”
“รับทราบ ถ้าอย่างงั้นทางเราจะจ่ายให้คุณเป็นเงิน 1.43 ล้านเหรียญ! อย่าลืมตรวจอุปกรณ์สั่งทำ ว่ายังมีสิ่งใดต้องการให้ทางเราเปลี่ยนแปลงหรือไม่!”
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องส่วนตัว ซุนน้อยหยิบกล่องออกมา และหลังจากเปิดมัน สินค้าหลายชิ้นก็ปรากฏขึ้นภายใน
ฉินเฟิงกวาดตามองอย่างรวดเร็ว และเห็นว่าสินค้าเหล่านี้คือ เสื้อรูน , ปลอกข้อมือ และมีด
เสื้อเกราะชั้นในและปลอกข้อมือเป็นสีดำ นี่ไม่ใช่สีหนังแท้ของหนูยักษ์กินพืช หากแต่มันถูกย้อมในภายหลัง ทว่าชั้นในของมันก็ยังเป็นสีเงินที่ไม่สามารถลบออกได้
Ch.39 – มีดกษัตริย์คราม
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.39 – มีดกษัตริย์คราม
นี่คือสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถลบออกได้ เป็นตัวบ่งบอกว่าอุปกรณ์รูนดังกล่าวถูกสร้างขึ้นจากวัตถุดิบระดับราชันย์สัตว์ร้าย
ฉินเฟิงถอดเสื้อนอกของเขาออก และเริ่มสวมเกราะชั้นใน
เมื่อสวมทับกับร่างกาย กลับให้ความรู้สึกโปร่ง โล่งสบาย ไม่อึดอัด แถมยังช่วยบรรเทาอากาศอบอ้าวในช่วงฤดูร้อน
ยิ่งกว่านั้น พลังป้องกันของเสื้อตัวนี้ยังแข็งแกร่ง และสามารถทานทนต่อแรงกระแทก การฉีกขาดจากราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล G
“ไม่เลวเลย!” ฉินเฟิงพยักหน้า และสวมเสื้อนอกของเขาทับอีกครั้ง เพื่อปกปิดเกราะชั้นในไว้ สำหรับปลอกข้อมือ ฉินเฟิงยังไม่คิดใส่มัน
เพราะจะเป็นการดีกว่า หากไม่อวดโอ้มันต่อหน้าสาธารณะ!
จากนั้น ดวงตาของฉินเฟิงก็ตกลงบนใบมีด
“นักออกแบบได้จำลองอาวุธนี้ให้เหมือนกันกับมีดในช่วงยุคราชวงศ์ถัง และเนื่องจากวัตถุดิบระดับราชันย์สัตว์ร้ายทุกชิ้นสามารถตั้งชื่อได้โดยนักออกแบบที่สร้างมัน ดังนั้น มีดนี้จึงถูกเรียกว่า มีดกษัตริย์คราม!”
“ฝักของมีด ถูกเย็บจากหนังที่มิสเตอร์ฉินเหลือทิ้งไว้ มันสามารถช่วยห่อหุ้มคมมีดเล่มนี้ได้เป็นอย่างดี!”
ซุนน้อยกล่าวแนะนำอย่างรวดเร็ว
“มีดนี้มีความยาวโดยรวม 65 ซม. , ความยาวด้าม 20 ซม. , ความยาวใบมีด 45 ซม. , ความกว้าง 3.2 ซม. และความหนาเป็น 0.7 ซม.”
“ส่วนคะแนนการประเมิน มันคืออาวุธรูนเงินเลเวล G5 ซึ่งสามารถเฉือนทะลุหนังสัตว์ร้ายทุกเลเวล G กระทั่งใช้ล่าสัตว์ร้ายเลเวล F ก็ยังไม่มีปัญหา ซึ่งสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว อาวุธนี้สามารถเรียกว่าเป็นเลเวล F เลยก็ยังได้!”
ฉินเฟิงคว้าด้ามจับมีด และลองกำฝักหนังดู เขาพบว่าฝักค่อนข้างนิ่ม ทว่าแข็งแรง ยามที่กำอยู่ในมือไม่อาจรู้สึกได้ถึงคมที่อยู่ภายใน ชัดเจนว่ามันทนทานมากทีเดียว
โดยรวมแล้วมันไม่ใหญ่เกินไป เพราะยังไงซะ วัตถุดิบทั้งหมดที่ฉินเฟิงหามาได้ ก็ยังคงมีจำกัดนัก
ฉินเฟิงดึงด้ามมีดออกมาอย่างช้าๆ แสงสีเงินของมันสาดกระทบเข้าไปในดวงตาของฉินเฟิง
แน่นอน ว่าแม้จะสาดแสงสีเงิน หากแต่ตัวใบมีด มิได้เป็นสีเงินแต่อย่างใด
ใบมีดไม่ได้มีสีของอาวุธโลหะ เพราะมันคืออาวุธที่ทำมาจากกระดูก , ฟัน และกรงเล็บของสัตว์ร้าย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกระดูกซะมากกว่า
ในจุดนี้สามารถย้อมเป็นสีโลหะได้ก็จริง แต่ฉินเฟิงไม่มีความต้องการอะไรแบบนั้น ยามเมื่อมีดถูกดึงออกมา มันก็เผยให้เห็นถึงประกายสีฟ้าของท้องฟ้าคราม
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงได้ชื่อว่า มีดกษัตริย์คราม!
แม้จะดูเหมือนว่าเป็นอาวุธที่บอบบาง หากแต่ยามถือมันไว้ในมือ คุณจะรู้สึกเลยว่า มันมิอาจทำลายได้
“ยอดเยี่ยม ฉันพอใจมากเลย!”
ฉินเฟิงกุมมีดไว้ในมือ พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ความพึงพอใจของลูกค้า คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา!”
ซุนน้อยปากหวาน ฉวยโอกาสกล่าวทันที
จากนั้นพวกเขาก็ให้กล่องทรงกระบอกที่มีขนาดหนึ่งเมตร และมีเส้นผ่านสูงกลางยาวประมาณสิบเซนติเมตรแก่ฉินเฟิง ซึ่งนี่เพียงพอที่จะใส่มีดกษัตริย์ครามเก็บไว้ข้างใน ขณะเดียวกันมันก็ถูกติดไว้ด้วยสายสะพายไหล่ เพื่อให้ฉินเฟิงสวมไว้ด้านหลังเขา
แบบนี้จะดีกว่าการนำมันออกมาโชว์โดยตรง เพราะปัจจุบัน มีดกษัตริย์ครามคือทรัพย์สินที่ยังไม่ถูกเปิดเผย และอาวุธสังหารไม่สามารถถูกนำออกมาเดินโชว์ไปทั่วได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่คือสถานที่ชุมชน
ฉินเฟิงขับรถมุ่งไปยังพื้นที่บ้านของโจวฮ่าว เมื่อโจวฮ่าวได้ยินข่าว เขาก็แทบอดใจรอไม่ไหว รีบวิ่งลงบันไดมา
“เพ้ย!” ฉินเฟิงหัวเราะ “โจวฮ่าว นายคงจะไม่ไปทั้งๆแบบนี้จริงๆหรอกนะใช่ไหม?”
โจวฮ่าวในเวลานี้กำลังสวมใส่ชุดต่อสู้
ในยุคที่ความแข็งแกร่งเป็นที่สุด การประเมินสถานะที่แท้จริงมิใช่อยู่กับชุดสูทหรือรองเท้า หากแต่เป็นชุดอุปกรณ์ต่อสู้
มันคือยุคที่หากเป็นไปได้ คงจะมีผู้คนจำนวนมากออกมาเดินเล่นในชุดรูนสีทอง -แค่คิดว่ามีการดำรงอยู่เช่นนั้น ก็ชวนให้รู้สึกอิจฉาซะไม่มี
“สภาพนี้แล้วมันยังไง? ฉันหล่อมั้ยล่ะ มันคือชุดที่พ่อฉันสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อฉลองในการปลุกพลังวรยุทธโบราณของฉันเชียวนะ ฮะฮ่า!”
โจวฮ่าวกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ชุดนี้ได้ถูกซื้อมาเป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์แล้ว แต่โจวฮ่าวไม่มีจังหวะที่จะสวมใส่มัน ดังนั้นในวันนี้เขาจึงแกล้งสวมมันเพื่อจงใจให้สร้างภาพ
“เออๆ หล่อก็หล่อ!” ฉินเฟิงส่ายหัว มองเขาอย่างไร้หนทาง
ทว่าเมื่อโจวฮ่าวก้มลงมองการแต่งตัวของฉินเฟิง เขาก็ต้องขมวดคิ้ว และอดไม่ได้ที่จะกล่าว “ฉินเฟิง ไม่ใช่ว่านายเพิ่งจะซื้อรถศึกราคา 8 ล้านมาหรอกหรอ? ทำไมนายถึงยังไม่เปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าใหม่อีก ฉันจำได้ว่าก่อนหน้านี้นายเองก็เคยมีชุดต่อสู้อยู่ชุดนึงหนิ!”
ชุดต่อสู้ที่โจวฮ่าวเคยเห็น เพียงมองปราดเดียว เขาก็รู้ว่ามันแพง ไหนจะเรื่องที่ฉินเฟิงสามารถเก็บผลศักยภาพมาได้อีก ดังนั้นสหายคนนี้ของเขาก็ไม่น่าจะขาดเหลืออะไรเรื่องเงิน
“ช่างมันเถอะน่า นี่มันงานปาร์ตี้คืนสู่เหย้าไม่ใช่หรอ ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดให้เหมือนกับกำลังจะไปปีนเขาหรอก!”
“แต่ถ้าแต่งแบบนี้ไป คนอื่นจะดูถูกนายนะ!”
“ก็ลองให้พวกเขากล้าดูถูกฉันดูซี่” ฉินเฟิงบดข้อมือดังแกร๊กๆ
หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ถูกนำตัวไปทดลองก่อนที่จะเกิดใหม่ ตัวฉินเฟิงเองก็ไม่ง่ายเลยนา ที่จะให้ใครมายั่วยุ
เขาคือคนที่ต้องเผชิญกับความจริงที่แสนโหดร้ายตั้งแต่ยังเล็ก ต้องทำตัวให้มีบุคลิกเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่ยังเด็ก เนื่องจากเหตุผลที่เขาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
ในสถาบันระดับกลางเอง เขาก็มีผลการเรียนที่ดี ฝีมือคลาสต่อสู้ก็เป็นอันดับต้นๆ ในแต่ละปี ล้วนเก่งกาจกว่านักเรียนธรรมดา
สถาพการณ์เช่นนี้ เลยส่งผลให้ไม่ว่าใครก็กริ่งเกรงเขา
เพราะแม้ว่าตัวเขาจะยากจน หากแต่อนาคตไร้ซึ่งขีดจำกัด
“อีกอย่าง ถึงฉันจะแต่งชุดแบบนี้ แต่ก็เป็นชุดที่เคยใช้ขับรถศึกมาแล้วนะ! มาเหอะ นายอยากจะลองขับมันไม่ใช่หรอ”
โจวฮ่าวพอได้ฟังก็แทบจะอดใจไม่ไหว วิ่งแซงฉินเฟิงไป และจับจองที่นั่งคนขับของรถในฝัน
ฉินเฟิงไม่ได้โกรธอะไร เขาเดินไปยังเบาะอีกฝั่ง นั่งลง ถอดเป้สะพายหลัง และวางมันลงบนตัก
“แอ๊!”
เสี่ยวไป๋ใช้เท้าถีบในกระเป๋าสองสามครั้ง ขยับตัวไปมา สุดท้ายพบท่วงท่าที่สบาย สำหรับนอนบนตักของฉินเฟิง
ฉินเฟิงตบกระเป๋าเป้ เพื่อปรามไม่ให้เสี่ยวไป๋เปิดเผยตัวตนออกมา
รถศึกเริ่มเปิดโหมดล่องเวหาโดยตรง จากนั้น มันก็เคลื่อนที่ออกจากย่านแออัดไปอย่างรวดเร็ว โจวฮ่าวเสพติดการขับมันอย่างรุนแรง
แต่หลังจากขับโหมดล่องเวหาไปเพียงสองช่วงถนน โจวฮ่าวก็ลดระดับรถลงบนพื้นดังเดิม
“พอดีกว่า ไม่ลอยฟ้าแล้ว ฉันละอดคิดไม่ได้จริงๆว่าคนอื่นจะมีสีหน้าทั้งอิจฉาและเกลียดชังขนาดไหนกัน พอได้เห็นว่านายขับมัน!” โจวฮ่าวส่ายหัวและกล่าว
ในความเป็นจริง โจวฮ่าวยังคงมีความกังวลบางอย่างอยู่ในจิตใจของเขา ที่ตนปิดโหมดล่องเวหาไป นั่นก็เพราะได้ยินมาว่าโหมดนี้ ใช้งานเพียงครั้งเดียวก็กินพลังงานมหาศาล เสียพลังงานเยอะก็เท่ากับเสียเงินเยอะ รถคันนี้ใช้งานง่ายก็จริง หากแต่สิ้นเปลืองมากเกินไป สำหรับโจวฮ่าว ขอเพียงมีช่วงเวลาที่ดี สนุกไปกับมันเท่านี้ก็พอแล้ว
แน่นอน ว่าแม้รถคันนี้จะขับอย่างสงบบนท้องถนน แต่มันก็ยังเป็นเป้าสายตาสำหรับผู้คนอยู่ดี
พออิ่มเอมไปกับช่วงเวลาดั่งห้วงฝัน โจวฮ่าวก็ขับรถมาถึงโรงแรมเจิ้งหยวนในที่สุด
ในความเป็นจริง สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่มันเหมาะมากสำหรับงานปาร์ตี้คืนสู่เหย้าของนักเรียน ค่าใช้จ่ายของแต่ละคน ออกแค่ 100 เหรียญก็พอแล้ว
แน่นอนว่า 100 เหรียญสำหรับเด็กกำพร้าอย่างฉินเฟิงในอดีต มันคือการทำงานอย่างหนักเป็นเวลาถึงสามวันสามคืน
จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมก่อนหน้านี้เฉินหมิงจึงพูดเหน็บแนมเขาเรื่องเงิน
ทันที่ที่โจวฮ่าวกับฉินเฟิงลงจากรถ ทั้งสองก็ถูกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนเรียก
“ถ้าฉันจำไม่ผิด นายชื่อโจวฮ่าวใช่ไหม? นี่รถศึกของนายหรอ?”
คนที่เดินเข้ามา เป็นสาวสวยหน้าตาดี แต่ฉินเฟิงไม่สามารถจดจำชื่อของเธอได้เลยในความทรงจำ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาหนีห่างจากสถานที่ชุมชนไปนานหลายปี นอกเหนือไปจากเพื่อนร่วมชั้นที่มีปฏิสัมพันธ์จริงๆ เขาก็จดจำใครไม่ได้อีกแล้ว
“ไม่ใช่อยู่แล้ว แต่มันเป็นของ … ” โจวฮ่าวกำลังจะบอกว่ามันเป็นของฉินเฟิง แต่เมื่อเขาเห็นว่าฉินเฟิงกระพริบตาให้ เจ้าตัวก็เปลี่ยนประโยคท้ายอย่างรวดเร็ว “มันเป็นของเพื่อนฉันเอง ยอดไปเลยใช่ไหม!”
ความประหลาดใจน้อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสาวสวย แต่เจ้าตัวก็ยังเอ่ยชมว่า “เพื่อนของนายคงจะเป็นคนดีมากทีเดียว การที่เขาให้นายยืมรถแบบนี้ได้ พวกนายต้องสนิทกันมากแน่ๆ”
การรู้จักเพื่อนแบบนี้ กล่าวได้เลยว่าหากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เรื่องราวมันคงได้รับการช่วยเหลือ และแก้ไขได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอรู้ว่าเพื่อนที่โจวฮ่าวบอกคือฉินเฟิง สาวสวยคนนี้คงใบ้รับประทาน!
ไหนๆก็ทักทายกันแล้ว ทั้งสามเลยเดินเข้าไปในโรงแรมด้วยกัน ในช่วงเวลานี้ นักเรียนส่วนใหญ่เองก็มาถึงกันแล้ว
Ch.40 – การโจมตีขององค์กรร้าย
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.40 – การโจมตีขององค์กรร้าย
ภายในงาน แน่นอนว่าต้องมีจ้าวหยวนหยวนกับเฉินหมิง
ในสถาบันระดับกลาง จะจบการศึกษาที่อายุ 16 ปี แต่ละชั้นเรียนมี 30 คน และในห้องนี้ มีโต๊ะอยู่สองตัวซึ่งเป็นศูนย์กลางความสำคัญอย่างชัดเจน
ศูนย์กลางความสนใจของทุกคน คงไม่พ้นโต๊ะของจ้าวหยวนหยวนและเฉินหมิง ที่กำลังรับการแสดงความยืนดีจากเพื่อนๆ หนึ่งคือผู้ที่สามารถปลุกพลังพิเศษได้ อีกหนึ่งได้กลายเป็นสมาชิกของทีมทหารรับจ้าง แถมยังแว่วข่าวมาว่าเขาได้รับเงินมากถึง 50,000 ในเดือนนี้!
เงิน 50,000 เหรียญ มันคือสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับในสายตาของเหล่านักเรียนมัธยมเหล่านี้ เพราะพวกเขาเพิ่งจะได้เข้าสู่สังคมจริงๆเพียงไม่ถึงเดือน ก่อนหน้านี้ล้วนได้รับเงินจากพ่อแม่ทั้งสิ้น
และยิ่งเป็นนักเรียนยากจนบางคน แค่คิดถึงเงินที่พ่อแม่ต้องทำงานตั้ง 5 ปี ถึงจะได้รับเงินเท่ากันกับเฉินหมิงที่หามาได้เพียงเดือนเดียว มันช่างปวดใจจริงๆ
แล้วแบบนี้จะไม่ให้รู้สึกอิจฉาได้อย่างไร?
“โจวฮ่าว , ฉินเฟิง พวกนายมาแล้ว!” เฉินหมิงตะโกนทักทายเสียงดัง แต่จากนั้น คิ้วของเขาก็ต้องขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
เพราะตนได้เห็นว่าโจวฮ่าวกำลังสวมใส่ชุดต่อสู้
“โจวฮ่าว ชุดต่อสู้ของนายเยี่ยมไปเลยนี่นา อย่าบอกนะว่านายสามารถปลุกพลังพิเศษได้แล้ว?” เฉินหมิงเอ่ยถาม
“ยังหรอก แต่พลังวรยุทธโบราณน่ะ ถ้าคิดจะปลุกจริงๆ ยังไงมันก็ง่ายๆอยู่แล้ว ระหว่างนี้ฉันมัวแต่ฝึกฝนอยู่ เลยไม่รู้ว่านายไปคลุกคลีกับอะไรไม่ดีมา ถึงได้ดิบได้ดีขนาดนี้” โจวฮ่าวกล่าวด้วยรอยยิ้มปลอมๆ
“ไม่ ไม่ ไม่ คลุกคลีอะไรกัน มันก็แค่การหาเลี้ยงชีพเท่านั้นเอง นายก็รู้นี่ ว่าเด็กกำพร้าอย่างฉันที่พอจะทำได้ก็มีแต่งานแบบนี้!” เฉินหมิงยิ้มจางๆ หากแต่ในใจของเขากำลังคิดว่า ‘พ่อของโจวฮ่าวทำงานในศูนย์ฝึกอบรม มันคือสถานที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งต่อการปลุกพลัง แต่อีกฝ่ายก็ยังปลุกพลังไม่ได้ ฉะนั้นก็ไม่คงไม่แข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องคอยพะวงแต่อย่างใด’
เมื่อคิดได้ดังนั้น คิ้วของเฉินหมิงก็คลายออก ไม่ได้กังวลอีกต่อไป
สายตาของเขาขยับไปที่ร่างของฉินเฟิง มองไปยังอีกฝ่ายที่ยังคงสวมเสื้อขาวและกางเกงยีนส์ที่ซักจนซีด ความภาคภูมิใจบนใบหน้าของตนก็ยิ่งเด่นชัด ขณะเดียวกัน ก็เริ่มปรากฏถึงความสุข
เนื่องจากเขามักจะถูกกดดันภายใต้ความสามารถของฉินเฟิงอยู่เสมอ ดังนั้นเลยต้องแกล้งทำเป็นเชื่อมสัมพันธ์อันดีกับอีกฝ่าย แสดงท่าทีบ้าๆบอๆ เป็นมิตรต่อกัน
ซึ่งนี่เป็นวิธีการเจ้าตัวใช้ฉกฉวยความรู้ , การฝึกฝนที่มีประสิทธิภาพมาจากโจวฮ่าวและฉินเฟิง
“ฉินเฟิง นายไปทำอะไรมาบ้างล่ะเมื่อเร็วๆนี้ ทำไมฉันถึงไม่เห็นหน้านายเลย หรือว่าเจองานที่ถูกใจแล้ว?”
เมื่อกล่าวถึงช่วงท้าย เฉินหมิงก็แสดงออกถึงความภาคภูมิโดยไม่รู้ตัว
“งานอย่างงั้นหรอ? อืม … พอดีว่าฉันยังปลุกพลังไม่ได้เลย พวกเราเอาไว้ค่อยพูดถึงเรื่องงานหลังจากนี้ดีกว่าไหม?” ฉินเฟิงกล่าวอย่างสงบ “เพราะบางครั้ง … ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอาจจะเป็นการหัวเราะในตอนท้ายก็ได้!”
เมื่อถูกประโยคที่ทั้งตอกกลับและประชดประชัน สีหน้าของเฉินหมิงแข็งทื่อไป
“ฉินเฟิง มานั่งตรงนี้สิ!”
อีกเสียงหนึ่งลอยมา เมื่อฉินเฟิงหันไป เขาก็พบว่าเป็นเสี่ยวจิง
ในครั้งนี้ เสี่ยวจิงเองก็มางานปาร์ตี้คืนสู่เหย้าเหมือนกัน แถมเธอยังตั้งใจขอวันลามาเป็นพิเศษ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ปัจจุบันเธอได้กลายเป็นทหารรักษาการณ์ และไม่สามารถออกจากตำแหน่งได้โดยง่าย แต่เมื่อคิดว่าฉินเฟิงเองก็น่าจะมาที่นี่ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจมาร่วมงานในครั้งนี้
และเสี่ยวจิงไม่ได้บอกกับใครเลย ว่าตอนนี้เธอได้งานเป็นทหารไปแล้ว ดังนั้นตรงโต๊ะของเธอ จึงไม่มีคนมาร่วมแสดงความยินดี
แตกต่างจากอีกโต๊ะหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยผู้คน ทั้งหมดต่างสนทนากับจ้าวหยวนหยวนกับเฉินหมิงอย่างครื้นเครง และทุกคนที่ว่าล้วนเป็นคนที่มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย
เพราะสำหรับพวกนั้น แม้จะยังไม่สามารถปลุกพลังพิเศษหรือพลังวรยุทธโบราณได้ หากแต่ก็ยังเป็นเรื่องง่ายดาย ที่จะจบลงที่การเป็นมือปืน
แน่นอน ว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยสำหรับครอบครัวที่ร่ำรวยเหล่านี้ อีกอย่าง พวกเขาก็ไม่ชอบการต่อสู้อยู่แล้ว ปลุกพลังไปก็เท่านั้น พวกเขามาอยู่ที่สถานที่ชุมชนทางตอนเหนือเพื่อทำธุรกิจต่างหาก!
ฉินเฟิงเดินมาตามเสียงเรียก นั่งห่างจากเสี่ยวจิงสองเก้าอี้ โจวฮ่าวก็นั่งลงตามข้างๆ
“เฮ้ฉินเฟิง นายไปสนิทกับเสี่ยวจิงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ถึงแม้เสี่ยวจิงจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่เธอทั้งสูง ขาก็ยาว เธอจะต้องเป็นภรรยาที่ดีและแม่ที่น่ารักให้กับลูกนายแน่นอน”
ฉินเฟิงกระทุ้งศอก บอกให้โจวฮ่าวหุบปากลง
เสี่ยวจิงสามารถปลุกพลังวรยุทธโบราณขึ้นมาได้แล้ว ประสาทการมองเห็นและรับฟังของเธอย่อมดีขึ้นอย่างมาก ได้ยินคำพูดหยอกล้อของโจวฮ่าวทะลุเต็มสองหู เจ้าตัวกลายเป็นบื้อใบ้ พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง
“ฮะฮ่า! โจวฮ่าว ดูเหมือนว่าเกือบเดือนที่ผ่านมานายจะมีแต่ช่วงเวลาดีๆสินะ งั้นพวกเรามาประลองกันซักตั้งเป็นไง? ฉันเองก็เพิ่งจะปลุกพลังวรุยทธโบราณขึ้นมาได้เหมือนกัน แต่ยังหาคู่ฝึกฝนไม่ได้เลย!”
เธอลดเสียงลงก็จริง แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะให้โจวฮ่าวได้ยิน ในแววตาของเธอสาดไปด้วยความมุ่งร้าย
“ไอหย๋า นี่มันเสี่ยวจิงที่ฉันรู้จักจริงๆน่ะหรอ?” โจวฮ่าวหัวเราะและกล่าว “องค์ราชินี โปรดให้อภัยผู้น้อยด้วยเถิด”
ด้วยคำหยอกล้อนี้ บรรยากาศจึงค่อนผ่อนคลายลง ทั้งสามสนทนากันจนกระทั่งอาหารยกมาเสิร์ฟ
ในช่วงท้ายของวัน บรรดาเหล่านักเรียนที่ต่อให้จะปลุกพลังได้หรือไม่ ก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆต่อการดำรงชีวิตล้วนสนุกเฮฮา หัวเราะเบิกบานใจ
แต่ความเบิกบานที่ว่า ก็แตกสลายลงอย่างรวดเร็ว!
“ตูม!”
บังเกิดเสียงระเบิดครั้งใหญ่ ตลอดทั้งโรงแรมสั่นสะเทือน โต๊ะสะท้อนลอยขึ้นไปในอากาศด้วยแรงเขย่ามหาศาล อาหารและจานร่วงตกลงกับพื้น เสียงดังเพล้งพล้าง!
เหนือขึ้นไปในห้องจัดเลี้ยงส่วนตัว โคมระย้าหักลง ร่วงกระแทกกับพื้น
แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุด!
และเสียงระเบิดกระหึ่มออกมาจากผนัง กำแพงห้องขนาดใหญ่ถูกเป่าปลิวออกไป เนื่องจากห้องจัดเลี้ยงรุ่นของฉินเฟิง มันอยู่ในชั้นหนึ่ง ถนนด้านนอกเลยปรากฏสู่สายตาโดยตรง
“กรี๊ดดดดดดด!”
เพื่อนร่วมชั้นเริ่มกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แต่ในทิศทางตรงกันข้ามเสียงกรีดร้องเหล่านี้ มันคือเสียงหัวเราะอันแสนป่าเถื่อนของกลุ่มคน พร้อมกันกับเสียงเครื่องจักรสาดกระสุนออกมา
“หลบเร็ว รีบหมอบลงกับพื้น!”
เสี่ยวจิงตะโกนเสียงดัง โฉบมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังอย่างรวดเร็ว และดึงอาวุธจักรกลออกมา
ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์เท่ากับปืนพลังงาน หากแต่แค่ปืนจักรกลก็เพียงพอแล้ว
“ปัง! ปัง!! ปัง!!!”
เสี่ยวจิงสะบัดหลังมือ เริ่มโจมตีสวนกลับไป
แต่อีกฝ่ายกลับสามารถหยุดการโจมตีของเธอได้อย่างรวดเร็ว แม้จะตระหนักได้ แต่เธอก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
ทางด้านฉินเฟิง เขามีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วยิ่งกว่า เจ้าตัวแทบไม่ต้องใข้สมองคิดสั่งการ สองมือคว้าขอบโต๊ะแล้วจับมันพลิกกลับขึ้นมา แม้ตัวโต๊ะจะทำจากไม้หนาและหนัก หากแต่ปัจจุบันร่างกายของเขาแกร่งพอที่จะยกมันได้ -เจ้าตัวหยั่งเท้ารักษาสมดุลอย่างรวดเร็ว และระเบิดพละกำลังเหวี่ยงโต๊ะใหญ่ไปปิดรูกำแพงที่สาดกระสุนเข้ามา
“ปุ ปุ ปุ!”
พริบตานั้น โต๊ะตัวดังกล่าวก็เป็นหลุมบ่อไปด้วยรูกระสุน
“อ๊าาาาา!”
บรรดาเพื่อนร่วมชั้นกรีดร้องอีกครั้ง แต่เนื่องจากโต๊ะของฉินเฟิงช่วยบดบังภัยร้ายถึงตาย พวกเขาจึงรอดพ้น และเริ่มพากันวิ่งหลบหนีไป
ทว่าไม่นาน ชายที่เสียงหัวเราะฟังดูน่ากลัวจากข้างนอกก็เหวี่ยงขาเตะโต๊ะอย่างกระทันหัน ภายใต้ฝ่าเท้าของเขา โต๊ะแยกออกจากกันทันที
นี่คือพละกำลังระดับผู้ใช้วรยุทธโบราณ!
แล้วคนกลุ่มหนึ่งก็กรูกันเข้ามา
คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนแต่งกายด้วยชุดสีดำ แต่ละคนสวมหน้ากากสีดำที่มีลวดลายแมงมุมสีขาวที่มีแปดกรงเล็บ ดูน่าเกลียดน่ากลัว
“นั่นมันกลุ่มแมงมุมดำ!”
“พวกองค์กรร้ายต่อต้านมนุษยชาติ!”
ในเวลานี้ นักเรียนทุกคนเหมือนพอจะคาดเดาเหตุการณ์ทั้งหมดกันได้แล้ว
“โถ่ ไม่นะ ฉันยังไม่อยากตาย ใครก็ได้ช่วยฉันที!!”
ทุกคนกรีดร้อง แต่ท่ามกลางความโกลาหล กลับมีบางคนเปิดฉวยโอกาสเปิดประตูห้องจัดเลี้ยงส่วนตัว และวิ่งหนีออกไป
แต่บางคนที่ยืนอยู่ไกลก็ทำได้เพียงยกมือกุมหัว นอนราบกับพื้น หลบเลี่ยงกระสุนปืน ไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นมอง
นอกจากนี้ ยังมีเพื่อนร่วมชั้นบางคนเพิ่งถูกยิงด้วยปืนจักรกลจากในตอนแรก ล้มลงนอนกับพื้นโหยหวนอย่างน่าเวทนา
เมื่อเห็นถึงฉากนี้ แววตาของฉินเฟิงก็พลันแดงฉาน!
พวกสารเลว!
เขากำมือแน่น เอื้อมไปคว้ากล่องทรงกระบอกด้านหลัง เปิดฝามัน และดึงมีดกษัตริย์ครามออกมา!
“ไอ้บัดซบตัวไหนกันที่มันกล้ายิงปืนกลับมา ทำให้บิดาเสียเวลาซะได้!”
ท้ายที่สุดแล้ว เสี่ยวจิงยังคงเป็นเพียงนักเรียนที่เพิ่งปลุกพลังได้เท่านั้น และการยิงปืนก็ไม่ใช่จุดแข็งของเธอ และปัจจุบันปืนในมือของเธอก็พังลงแล้ว มิสามารถใช้ต่อสู้ได้อีกต่อไป
ชายในกลุ่มแมงมุมดำหันไปมองรอบๆ และตะโกนอย่างกระทันหัน “ลากตัวผู้หญิงทั้งหมดมาให้บิดา ส่วนตัวผู้เชือดทิ้งให้หมด!”
Ch.41 – องค์กรต่อต้านมนุษยชาติ
Translator : Muntra / Author
วันนี้ลง 3 ตอน
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.41 – องค์กรต่อต้านมนุษยชาติ
พริบตานั้นเหล่าวัยรุ่นต่างกลายเป็นสิ้นหวัง ทั้งหมดสบมองกันและกันด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ฉินเฟิงกวาดสายตามองรอบๆ และพบว่าเฉินหมิงไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
แต่จ้าวหยวนหยวนยังอยู่ ไม่เพียงแค่นั้น ท่าทีของเธอยังดูอ่อนปวกเปียก มึนเมาเหมือนกับว่าจะถูกมอมไวน์มากจนเกินไป ได้แต่นอนฟุบลงกับพื้น ไม่มีกำลังที่จะหลบหนี
ฉินเฟิงเองก็ไม่มั่นใจ แต่คาดว่าจ้าวหยวนหยวนน่าจะถูกวางยา!
กลุ่มชายฉกรรจ์เริ่มบุกเข้ามาจับกุมตัวนักเรียน ฉากนี้เปรียบดั่งหมาป่าเดินเข้าฝูงแกะ แต่ฉินเฟิงจะปล่อยให้พวกเขาได้รับในสิ่งที่ตนต้องการได้อย่างไร?
“ชิ้ง!”
มีดกษัตริย์ครามพลันถูกชักออกจากฝัก ประกายสีเงินสาดส่อง คละคลุ้งไปด้วยเจตนาฆ่า
กลุ่มชายฉกรรจ์ในคราบหน้ากากแมงมุมดำกระจายตัวกันออกไป และในเวลานี้ ปืนในมือของพวกเขา มันถูกใช้เพื่อการข่มขู่เท่านั้น มิใช่สังหาร
เนื่องจากสหายฝั่งตนแยกกันไปตามแต่ละจุด หากยิงสุ่มสี่สุ่มห้า อาจจะโดนพวกเดียวกันได้
แบบนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีแน่!
ด้วยเหตุนี้เอง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จึงกลายเป็นข้อจำกัดมากมาย สำหรับอาชีพมือปืน
และเป็นเพราะพวกมันกระจายตัวกันเคลื่อนไหว เลยกลายเป็นเปิดโอกาสให้ฉินเฟิงพอดิบพอดี!
กำลังภายในพลุ่งพล่านกระชากไหว ฉินเฟิงโฉบกระโจนดั่งศรที่หลุดจากสาย
มีดกษัตริย์ครามโบกสะบัด พุ่งผ่านคอมนุษย์ราวกับไม่มีอุปสรรคใดๆ
ต้องไม่ลืมนะว่านี่คืออุปกรณ์รูนที่ทำมาจากวัตถุดิบระดับราชันย์สัตว์ร้าย เวลาใช้งานมันเลยมีประกายแสงสีเงินวาบผ่านออกมา
และตอนนี้ เป็นครั้งแรกเลยที่คมมีดได้สูบกินเลือดสดๆ –ฤทธิ์ของมันได้ถูกสำแดงออกมาแล้ว!
คลื่นคมมีดวาดผ่านในคราเดียวราวกับว่าไม่มีอุปสรรคใดๆ เลยพลอยทำให้ใจของฉินเฟิงบังเกิดความสงสัยว่าตอนนี้ เขาได้เฉือนคนด้วยใบมีดไปแล้วจริงๆน่ะหรือ?
ราวกับว่าเป็นแค่การตัดอากาศในพริบตา นี่มันง่ายยิ่งกว่าการตัดเต้าหู้ซะอีก
แต่ฉินเฟิงก็ไม่แสดงออกถึงความตะลึงหรือลิงโลดใดๆ เขาวาดคมมีดอีกครั้ง โฉบเข้าเฉือนคอของอีกคน
เป็นอีกครั้งที่ศัตรูถูกตัดคอด้วยมีดกษัตริย์คราม อีกฝ่ายเพียงรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างพุ่งผ่านไป สีหน้าของเขาเผยถึงความไม่อยากจะเชื่อ
ช่างรวดเร็ว! นี่มันเร็วมากเกินไป แสงสีเงินที่วาบผ่านได้กลายเป็นความทรงจำสุดท้ายของเขา
“พรวด!!!”
คอที่ไร้หัวระเบิดน้ำพุเลือดพุ่งสูงกว่าหนึ่งเมตร
ทว่าฉินเฟิงก็ยังไร้ซึ่งความลังเลหรือห้วงอารมณ์ใดๆ เขามุ่งดำเนินแผนตามเดิม เตรียมสะบัดมีดสังหารอีกครั้ง
“มันเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ! ทุกคนระวังตัวไว้!”
ชายในหน้ากากแมงมุมดำคนหนึ่งบังเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง เจ้าตัวชักอาวุธออกมา และสับเข้าใส่ฉินเฟิง
“วืดดดด!”
มีดของศัตรูตัดขวางเบื้องหน้าฉินเฟิง ในสมองบังเกิดความคิดแผนการว่า : ถ้าฉินเฟิงเลือกที่จะใช้มีดกษัตริย์ครามเข้าปะทะกับเขา ยามเมื่อสองมีดปะทะยื้อยุทธกัน ช่วงจังหวะนั้นสหายแมงมุมดำคนอื่นๆก็จะฉวยโอกาสนี้โจมตี และสังหารฉินเฟิงลง
หากแต่เหตุที่ว่ากลับไม่เกิดขึ้น เห็นแค่เพียงมีดกษัตริย์ครามตัดผ่านใบมีดของตนไปอย่างง่ายดายและเงียบเชียบ ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ
ต้องทราบนะว่าเขาน่ะจ่ายเงินไปกว่า 20,000 เหรียญ ถึงเพียงพอที่จะซื้อมีดทำจากโลหะผสมเหล็กใบนี้มาได้ แต่ความจริงตรงหน้าช่างโหดร้าย มันกลับถูกมีดกษัตริย์ครามตัดขาดราวกับกระดาษบางๆ
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง กลุ่มแมงมุมดำคนอื่นๆก็สังเกตเห็นถึงประกายแสงจางๆ -เป็นประกายแสงสีเงินที่มิอาจเพิกเฉยได้ในมือของฉินเฟิง ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะตกใจ
“นั่นมันอุปกรณ์รูนสีเงิน!”
“เป็นไปได้ยังไงกัน!?”
“บ้าเอ๊ย ไอ้พวกนี้มันก็แค่เด็กนักเรียนไม่ใช่หรอ?”
คนในกลุ่มเริ่มตะโกนและสาปแช่ง ส่วนฉินเฟิงพุ่งปราดไปสังหารอีกศพแล้ว
…
ในเวลาเดียวกัน ช่วงที่ฉินเฟิงและคนเหล่านั้นกำลังต่อสู้กันอยู่
“รีบไปสิ พวกนายใช้โอกาสนี้หนีไปก่อนเร็วเข้า!”
โจวฮ่าวตะโกนเร่งเร้า แต่เขามิได้หลบหนี เจ้าตัวม้วนกลิ้งไปยังสองศพที่เพิ่งถูกสังหารลงโดยฉินเฟิง ฉกอาวุธของอีกฝ่ายมา แต่ในช่วงจังหวะเดียวกันกับที่มือของโจวฮ่าวยื่นออกไป มันก็ประสานกับอีกมือหนึ่ง เจ้าตัวเงยหน้าขึ้น และพบว่าเบื้องหน้าเขาคือเสี่ยวจิง
ทั้งสองสบตากันและกัน เอื้อมมือไปคว้าปืนคนละกระบอกโดยมิเอ่ยคำใด -สำหรับทั้งสอง แม้ความแข็งแกร่งจะเทียบไม่ได้กับฉินเฟิง แต่เขาและเธอก็ไม่คิดยอมอยู่เฉยๆให้จับตัว
นักเรียนคนอื่นๆเดิมทียังไม่หายตื่นกลัวกับสถานการณ์ตรงหน้า ในหัวใจฟุ้งไปด้วยความผวา แต่เมื่อได้ยินเสียงของโจวฮ่าว ทั้งหมดก็คล้ายถูกอะไรบางอย่างมาทุบหลัง เรียกสติกลับคืน
กลุ่มนักเรียนเริ่มพากันหลบหนีไป
“บ้าจริง! สถานการณ์เริ่มคุมไม่อยู่แล้ว รีบไปจับตัวนังเด็กผู้หญิงคนนั้น แล้วเผ่นกันเร็ว!”
คนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะถอนตัวทันที ดังนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องปกปิดเป้าหมายของตนอีกต่อไป -สองคนในกลุ่มวิ่งเข้าหาจ้าวหยวนหยวนทันใด
ใช่แล้วล่ะ เป้าหมายของพวกเขาก็คือจ้าวหยวนหยวนนั่นเอง!
“ช่วยปกป้องจ้าวหยวนหยวนด้วย!” ฉินเฟิงตะโกนทันที
โจวฮ่าวกับเสี่ยวจิง แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมฉินเฟิงถึงต้องการให้ทำเช่นนั้น แต่ทั้งสองก็ไม่ลังเลเลยที่จะก้าวเข้ามายืนขวางเบื้องหน้าร่างที่อ่อนเปลี้ยของจ้าวหยวนหยวน
“ปัง ปัง!”
พร้อมกับสาดกระสุน ขัดขวางไม่ให้ชายฉกรรจ์เข้ามาใกล้
สำหรับคนในกลุ่มแมงมุมดำ แม้ทุกคนจะใส่ชุดกันกระสุน แต่ก็แค่ชุดไม่นับรวมหัว ดังนั้นหากบังเอิญมีกระสุนยิงทะลุเข้ามา พวกเขาก็มีโอกาสตายเหมือนกัน
“มารดามันเถอะ คิดจะฆ่าฉันงั้นหรอ!”
หนึ่งในกลุ่มเริ่มรำคาญ ชักปืนออกมาเตรียมที่จะยิง ทว่าในวินาทีเดียวกันนั้นเอง ร่างกายของเขาก็มิอาจควบคุม ราวกับถูกดึงดูดด้วยอะไรบางอย่าง
เพราะในจังหวะเดียวกัน ฉินเฟิงก็สามารถคว้าช่องว่างของคนกลุ่มนี้ได้พอดี
การต่อสู้ที่ดำเนินมาถึงปัจจุบัน ตอนนี้มีถูกสังหารไปแล้วห้าคนภายใต้น้ำมือของฉินเฟิง ขณะเดียวกันยังเหลืออีก 7 คน และแม้ว่าสองคนจะเบนความสนใจไปจับตัวจ้าวหยวนหยวน แต่ในภาพรวมตอนนี้ หากมองจากมุมสูง จะพบว่าทั้งหมดล้วนอยู่ล้อมรอบฉินเฟิงเป็นวงกลม
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สำหรับกลุ่มแมงมุมแล้ว มันแทบที่จะเรียกได้เลยว่าเป็นการจับเต่าในเหยือกไห
แต่ในมุมมองของฉินเฟิง มันกลับไม่เป็นแบบนั้น!
“ทักษะลับ กลืนดารา!”
ภายใต้แรงกดดันจากกำลังภายใน กลุ่มคนร้ายถูกดึงดูดเข้าหาฉินเฟิงอย่างมิอาจควบคุม
ในเสี้ยวพริบตา มีดกษัตริย์ครามของฉินเฟิงก็วูบบบบ! กวาดเป็นวงกลมแสนสมบูรณ์แบบในอากาศ!
ช่วงเวลาราวกับถูกแช่แข็ง
“ตุบ … ”
หัวของทั้ง 7 ร่วงหล่นลง
“พรวดดดดด!!!”
หมอกเลือดสาดไปทั่ว ย้อมพื้นจนกลายเป็นสีแดงฉาน เปลี่ยนเสื้อเชิ้ตสีขาวของฉินเฟิงจนชุ่มฉ่ำไปด้วยเลือด
“ตุบ ตุบ … ”
ร่างที่ไร้หัวทยอยกันร่วงลงกับพื้น
พอคนร้ายทั้งเจ็ดสิ้นใจลง สภาพแวดล้อมโดยรอบก็กลับคืนสู่ความสงบ แต่แล้วก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นคนเริ่มต้นกรีดร้อง ความโกลาหลกลับมาอีกครั้ง เด็กสาวบางคนแข้งขาอ่อนเปลี้ย แหกปากด้วยความหวาดกลัวไม่มีเรี่ยวแรงที่จะหลบหนี
“แง มันเจ็บ!”
“รถพยาบาล เรียกรถพยาบาลเร็วเข้า!”
“ฉันถูกยิง ใครก็ได้ช่วยที!”
“ฟู่ว ..!” ฉินเฟิงผ่อนลมหายใจ บรรเทาความตึงเครียด
จากนั้น เสียงสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น
-บ่งบอกว่าในที่สุดหน่วยลาดตระเวนก็มาถึง
การจู่โจมและระเบิดอย่างกระทันหันเป็นอะไรที่เลวร้ายยิ่ง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่หน่วยลาดตระเวนจะได้รับการแจ้งเตือน และมาถึงอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงเท่านั้น รถพยาบาลเองก็มาถึงแล้วเช่นกัน
นักเรียนคนแล้วคนเล่าเริ่มทยอยกันถูกยกขึ้นไปบนรถ ทว่ากำปั้นของฉินเฟิงยังคงเกร็งแน่น เล็บจิกเข้าไปในเนื้อหนังของเขา
“ทางเรามีคนตายรึเปล่า?” น้ำเสียงของฉินเฟิงเกือบจะเย็นชา
โจวฮ่าวกับเสี่ยวจิงที่รับหน้าที่คอยปกป้องเพื่อนร่วมชั้น เมื่อได้ยินคำถามของฉินเฟิง และอารมณ์ที่แทบจะระเบิดของเขา ก็เร่งกล่าวปลอบประโลม “ไม่มีหรอก! พวกเพื่อนๆของเรายังปลอดภัยดี มีแค่หยางเคียนคนเดียวที่อาจจะต้องตัดขาของเธอ!”
ฉินเฟิงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
หยางเคียนได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุด น่องของเธอเกือบจะฉีกขาดด้วยกระสุนปืน แม้ขีดอันตรายจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ตอนนี้อาการก็ยังสาหัสนัก
บางที อาจจะต้องตัดขาทิ้งจริงๆก็ได้
นักเรียนทั้งสิ้น 30 คน มี 13 คนอยู่ที่นี่ ส่วนที่เหลือสามารถหลบหนีออกไปจากห้องจัดเลี้ยงได้
แต่ ณ ขณะนี้ นอกเหนือไปจากผู้ได้รับบาดเจ็บที่ถูกนำส่งโรงพยาบาล หรือทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นในรถแล้ว คนอื่นๆล้วนถูกนำตัวขึ้นไปในรถลาดตระเวน เพื่อตั้งใจที่จะพากลับไปสอบสวนหาเบาะแส
และในหมู่คนเหล่านั้น แน่นอนว่ามีเฉินหมิงแฝงตัว หลบซ่อนอยู่เงียบๆเช่นกัน
ในเวลานี้ ดวงตาของเฉินหมิงช่างดูว่างเปล่า เขามิอาจคาดคิดได้เลยโดยสิ้นเชิง ว่าสถานการณ์มันจะจบลงในรูปแบบนี้!
Ch.42 – การเล่นละครของเฉินหมิง
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.42 – การเล่นละครของเฉินหมิง
ความจริงแล้ว วิกกฤติที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติเมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน มันเกิดจากฝีมือของมนุษย์
หรือจะเรียกว่าเป็นการทดลองบางอย่างก็ได้ และในเวลาเดียวกันนั้นเอง พวกเขาก็สังเกตเห็นถึงตัวตนของเฉินหมิง
ตัวตนที่มีลักษณะเฉพาะที่องค์กรมืดชื่นชอบเป็นอย่างมาก
เห็นแก่ตัว ปลิ้นปล้อน เจ้าเล่ห์หลอกลวง
ดังนั้นพวกเขาจึงเชื้อเชิญเฉินหมิงภายใต้ชื่อทีมทหารรับจ้าง และในครึ่งเดือนที่ผ่านมา พวกเขาก็สามารถชักชวนเฉินหมิงให้เข้าสู่ด้านมืดได้สำเร็จ
ทีมทหารรับจ้างที่ดึงเฉินหมิงเข้าสู่ด้านมืด เป็นหนึ่งในทีมที่มีชื่อเสียงมากในสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ แม้จะรู้ตัวว่าตนต้องทำเรื่องเลวร้าย แต่สำหรับเฉินหมิง เขาไม่คิดว่ามันผิดปกติใดๆ ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกว่านี่คือกฏแห่งการอยู่รอดในป่าใหญ่ต่างหาก
ไร้ซึ่งศีลธรรมหรือข้อกฏหมายใดๆ มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้นที่ใช้พิสูจน์ความจริง
ไม่เพียงแค่นั้น แต่เฉินหมิงยังรู้สึกอีกด้วยว่า คนที่ไม่สามารถปลุกพลังขึ้นมาได้ แท้จริงแล้วพวกมันก็เป็นแค่มดปลวกที่อ่อนแอ
ยิ่งได้รู้ว่าทีมนี้ใช้คนธรรมดาเพื่อเป็นเหยื่อล่อสัตว์ร้าย ที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าการล่อปลามากินเบ็ดแล้ว
เฉินหมิงก็ยิ่งไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เจ้าตัวทำกระทั่งเข้าไปแนะนำแผนการ ดำเนินการตามแผน และยังเป็นนักวางแผนที่ดี
ยิ่งนานวัน เฉินหมิงก็ยิ่งรู้สึกกลมกลืนไปกับทีมนี้ เมื่อแผนของตนเองได้รับความสนใจ ตัวเขาจึงยิ่งรู้สึกมีค่า
ส่วนในเรื่องมือที่ต้องเปื้อนเลือด และหัวใจที่คล้ายถูกความชั่วร้ายครอบงำ เฉินหมิงไม่สนใจ
เขาคิดว่าตนทำถูกต้อง และกำลังจะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ!
และในครั้งนี้ คือการทดสอบครั้งสุดท้ายของทีม ก่อนที่เขาจะได้เข้าร่วมกับมันอย่างเต็มรูปแบบ
พวกเขาบอกกับเฉินหมิงว่า มีองค์กรหนึ่งยินดีจะจ่ายเงินจำนวนมาก เพื่อซื้อผู้ที่เพิ่งสามารถปลุกพลังพิเศษขึ้นมาใหม่ ในราคา 30 ล้านเหรียญ
และหากเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ คนจากทางองค์กร จะแบ่งปันส่วนต่างให้กับเฉินหมิงเป็นเงินกว่า 3 ล้านโดยตรง!
สิ่งที่ดีเช่นนี้ มิแตกต่างไปจากของขวัญที่ร่วงหล่นลงมาจากสรวงสวรรค์ เฉินหมิงกระตือรือร้น ทำงานอย่างเต็มที่จริงจัง ทักทั้งแชทกลุ่มแชทเดี่ยวหาทุกคน สุดท้ายก็พบเป้าหมายเป็นจ้าวหยวนหยวน!
แต่ในความเป็นจริง เฉินหมิงต้องการให้เป้าหมายเป็นฉินเฟิงหรือโจวฮ่าวซะมากกว่า
อย่างไรก็ตาม เฉินหมิงไม่คาดคิดเลย ว่าคนทั้งหมดในทีมของเขาจะตายลง
นอกจากนี้ คนที่สังหารพวกเขายังเป็นฉินเฟิง!
“ฉินเฟิงมันยังปลุกพลังไม่ได้ไม่ใช่รึไง? ทำไมจู่ๆมันถึงกลายเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณไปได้ แล้วทำไมมันถึงได้มีอุปกรณ์รูนสีเงิน!”
“แย่แน่ๆ ถ้าสถานะของคนพวกนั้นถูกค้นพบ เรื่องราวอาจสาวมาถึงตัวฉันก็ได้”
“ฉินเฟิง ไอ้สารเลว บัดซบ บัดซบ!”
เฉินหมิงชิงชังฉินเฟิงอย่างแท้จริง
แต่ในเวลานี้ ฉินเฟิงเองก็กำลังมองมาทางเฉินหมิงอยู่เช่นกัน
สายตาของเขาช่างเย็นยะเยือก แม้ช่วงนี้จะเป็นฤดูร้อน หากแต่มันกลับทำให้เฉินหมิงสั่นสะท้าน
เวลานี้ หัวใจของเฉินหมิงยิ่งนานก็ยิ่งหวาดกลัว เขารู้สึกเสมอมา ว่าฉินเฟิงคล้ายจะล่วงรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง
ตอนนี้ หน่วยลาดตระเวนพาตัวนักเรียนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บขึ้นมารวมกันบนรถ เฉินหมิงทนไม่ไหว ต้องหลบเลี่ยงสายตาของฉินเฟิง
หน่วยลาดตระเวนพาพวกเขาออกจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว เพื่อทำการสอบสวน เมื่อได้นั่งท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ สตินึกคิดของนักเรียนก็เริ่มกลับมา แม้ว่าจะยังสับสนอยู่บ้างก็ตาม
ในทางกลับกัน เป็นฉินเฟิงที่สงบจนน่าประหลาดใจ
….
เหตุการณ์นี้เกือบจะกลายเป็นโศกนาฏกรรม ขึ้นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งว่า : กลุ่มนักเรียนบริสุทธิ์ที่เพิ่งจบการศึกษาระดับกลางโชคไม่ดี ถูกบุกจู่โจม สังหารลงโดยกลุ่มก่อการร้าย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปิดกล้องวงจรปิดดู กลับไม่คาดคิดเลย ว่าจะมีนักเรียนคนหนึ่ง สามารถจัดการกลุ่มก่อการร้ายที่ว่าลงได้เพียงลำพัง
เมื่อได้ดูวิดีโอย้อนหลังจนจบ ความรู้สึกในตอนนี้ มันคล้ายกับว่าในอกเต็มไปด้วยม่านหมอก
“เธอรู้มาก่อนใช่ไหม ว่าพวกเขาจะมา?”
“ผมไม่รู้”
“ถ้าไม่รู้ แล้วทำไมเธอถึงเอาอาวุธมาด้วย นักเรียนที่จบการศึกษาใหม่และเพิ่งได้รับการฉีดยากระตุ้น ทำไมจู่ๆถึงได้มีอาวุธรูน!”
ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้น มองเข้าไปในแววตากระตือรือร้นของอีกฝ่าย ที่กำลังจ้องอาวุธรูนด้วยความสนใจ
ฉินเฟิงย่อมรู้ดีว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
เพราะสำหรับทุกคน มันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่เมื่อได้เห็นอาวุธรูนสีเงินแล้วจะไม่เกิดความละโมภ!
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายพยายามที่จะหาเบาะแสบางอย่าง และมันคงจะเป็นการดีกว่าหากตนเองให้ความร่วมมือ
เมื่อถึงเวลานี้ มันคงจะปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว ว่าใครเป็นเจ้าของอาวุธ
ฉินเฟิงมองอีกฝ่ายด้วยความเย็นชา
“ทั้งๆที่ผมเป็นเหยื่อแท้ๆ แต่เป็นเพราะผมดันใช้มีดนี้ไปฆ่าคนร้าย ตอนนี้คุณเลยมาสอบสวนผมซะงั้น?”
ในแววตาของฉินเฟิงสาดประกายสังหาร
ไม่ว่าจะก่อนเกิดใหม่หรือหลังเกิดใหม่ ฉินเฟิงก็ฆ่าคนไปแล้วมากมาย อีกอย่าง สภาพเสื้อผ้าในปัจจุบันของเขา มันถูกย้อมไปด้วยสีแดงเลือด ส่งผลให้ภาพลักษณ์ยิ่งดูเย็นชา ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
คนจากหน่วยลาดตระเวนผวาไปพักหนึ่ง
“อย่าเข้าใจผิดไป พวกเราก็แค่ถามเพื่อต้องการหาเบาะแสบางอย่างก็เท่านั้นเอง!” คนจากหน่วยลาดตระเวนกระแอมไอ และรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เธอเคยไปทำผิดต่อใคร หรือทำให้พวกเขาขุ่นเคืองบ้างรึเปล่าเมื่อเร็วๆนี้”
“เอ เรื่องนั้นไม่แน่ใจแฮะ”
“แล้วพวกองค์กรมืดมันพูดอะไรออกมาบ้างรึเปล่าก่อนหน้าที่จะถูกเธอฆ่า?”
“มันบอกให้เอาตัวผู้หญิงมา ส่วนผู้ชายฆ่าทิ้งให้หมด”
คนจากหน่วยลาดตระเวนขมวดคิ้วทันที และบันทึกคำพูดของฉินเฟิง จากนั้นก็เริ่มสรุป ตั้งสมมติฐานในหัวใจ
ในเวลานั้นเอง ฉินเฟิงก็กล่าวเสริมว่า “แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็เผลอหลุดปากออกมา ว่าผู้หญิงที่ต้องการจะจับ คือเพื่อนของพวกเราที่เป็นผู้ใช้อบิลิตี้คนเดียวเท่านั้น ผมสงสัยว่าพวกเขาต้องการจะทำร้ายเธอ!”
เมื่อได้ยินว่าเป้าหมายคือผู้ใช้อบิลิตี้ หัวใจของคนจากหน่วยลาดตระเวนก็กระตุกไหว ฉินเฟิงถือว่าตนบอกทุกสิ่งที่รู้ออกไปหมดแล้ว ก็ไม่ชี้แจงอะไรมากไปกว่านี้ พอถามอย่างอื่น ฉินเฟิงก็เลือกที่จะตอบปฏิเสธ
แม้จะตอบคำถามไม่มาก แต่ก็ทำให้หน่วยลาดตระเวนได้เงื่อนงำใหม่ เขาเลยเอ่ยเสริมให้อีกนิดว่า
“สถานะของคนพวกนี้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นกลุ่มแมงมุมดำเสมอไป แต่คิดว่าน่าจะมีนักโทษหลบหนีปะปนอยู่ในกลุ่มพวกมันเช่นกัน และบางคนก็จัดตั้งทีมทหารรับจ้างขึ้นในชุมชนทางตอนเหนือ”
“อืม ดีล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับข้อมูล!”
‘อย่างน้อยนี่ก็ช่วยให้พวกเขารู้สถานะของฝ่ายตรงข้าม’ แม้ตนจะตกอยู่ในตำแหน่งผู้ต้องสงสัย แต่ฉินเฟิงก็สามารถพลิกสถานการณ์ฝั่งตน ให้กลับมาได้เปรียบในตอนท้าย
“โอเค ขอบคุณสำหรับความร่วมมือของเธอ ถ้าทุกอย่างคืบหน้าแล้ว ฉันจะติดต่อเธอไปอีกครั้ง”
“ครับ”
ฉินเฟิงออกไปรวมตัวกันกับคนอื่นๆ โจวฮ่าวกับเสี่ยวจิงกำลังรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกันได้นะ หยางเคียนน่าสงสารเกินไปแล้ว!” เสี่ยวจิงกัดฟัน ผลการผ่าตัดเสร็จสิ้นลงแล้ว หยางเคียนร้องไห้ไม่หยุดเลยที่ต้องตัดขาของตัวเองไป
สีหน้าของฉินเฟิงตึงเครียดอย่างถึงที่สุด
“พอดีว่าฉันมีธุระบางอย่างที่จะต้องทำ ขอตัวก่อนนะ!” ฉินเฟิงอ้าปาก แยกตัวออกไปทันที
“อา! ก็ได้ๆ แล้วเจอกัน!” เสี่ยวจิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ ไม่เหนี่ยวรั้งใดๆ
โจวฮ่าว “เฮ้เจ้าบ้า อย่าลืมล่ะ ว่าต้องไปรายงานตัวกับสถาบันระดับสูงในอีกสามวันนะ!”
ฉินเฟิงโบกมือโดยไม่เหลียวหลัง แสดงท่าทีว่าตนรับรู้แล้ว
ทั้งร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเลือด เมื่อพบมุมเหมาะๆ เจ้าตัวก็ถอดเสื้อนอกออก โยนมันทิ้งลงในถังขยะ ปล่อยเสี่ยวไป๋ออกจากในกระเป๋า และหยิบชุดต่อสู้ออกมา
หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ทั้งหมด ฉินเฟิงก็กลับไปยังสำนักงานของหน่วยลาดตระเวน เสาะหาสถานที่เหมาะๆอย่างเงียบๆ ซุ่มหมอบต่ำคล้ายกับนักล่าที่เตรียมพร้อมจะตะครุบเหยื่อของตน
ไม่ต้องให้เขารอนานจนเกินไป เจ้าตัวก็เห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากภายใน
-เป็นเฉินหมิง!
หน่วยลาดตระเวนก็ไม่ได้ไร้สติปัญญาซะทีเดียว หลังจากที่รู้สถานะของผู้ก่อการร้ายแล้ว พวกเขาก็ตรวจสอบได้ทันทีว่าเฉินหมิงมีความสัมพันธ์บางอย่างกับกลุ่มของพวกมัน
หากแต่ด้วยทักษะการแสดงชั้นเลิศของเฉินหมิง และสมองที่คิดล่วงหน้าถึงผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดที่จะตามมา
ดังนั้นเจ้าตัวจึงแสร้งทำเป็นตกใจ และโศกเศร้าในเวลาเดียวกัน ตอนที่ถูกจี้ถาม ก็เริ่มพร่ำเพ้อ
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อไม่นานมานี้พวกเขาถึงเอาแต่เค้นถามผม ว่ามีเพื่อนๆที่สามารถปลุกพลังพิเศษขึ้นมาได้รึยัง ตอนนั้นผมก็เข้าใจว่าหัวหน้าต้องการจะหาสมาชิกใหม่ที่เป็นผู้ใช้อบิลิตี้ซะอีก ผมก็เลยบอกไป ถือซะว่าช่วยให้เพื่อนได้งาน แต่ถ้าผมรู้ล่วงหน้าว่ามันจะเป็นแบบนี้ ผมคงไม่บอกอะไรพวกเขาแม้ซักครึ่งคำ ผมเสียใจ เสียใจจริงๆ!”
Ch.43 – ขาข้างนึงของนาย
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.43 – ขาข้างนึงของนาย
เฉินหมิงร้องไห้อย่างหนัก แสร้งแสดงพฤติกรรมว่าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และด้วยการกระทำนี้เอง คนจากหน่วยลาดตระเวนเลยลบล้างความสงสัยในตัวเฉินหมิงไป พวกเขาคิดแค่ว่าเฉินหมิงเป็นเพียงวัยรุ่นธรรมดาๆเท่านั้น
เมื่อเทียบกับเฉินหมิงแล้ว ฉินเฟิงที่สังหารคนไปนับสิบต่างหาก ที่โคตรจะดูน่าสงสัยยิ่งกว่า!
ทว่าสำหรับเฉินหมิง แม้เจ้าตัวจะสามารถหลอกลวงหน่วยลาดตระเวนได้ แต่ในหัวใจของเขาก็ยังรู้สึกกังวล คล้ายกับว่ามันจะต้องมีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
มองไปยังเฉินหมิงที่กำลังพะวงเกี่ยวกับอนาคต โดยหารู้เลยว่า วิกฤตได้มาเยือนถึงตัวแล้ว!
ในซอยเปลี่ยว เฉินหมิงยังคงคิดหาวิธีที่จะจัดการกับปัญหาในอนาคต แผนการมากมายผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา บังเกิดความมุ่งมั่นที่จะถีบตัวเองให้ได้ดียิ่งขึ้น
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆความมืดมิดก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาอย่างกระทันหัน
มันเป็นความมืดมิดโดยสิ้นเชิง มืดราวกับว่าไร้ซึ่งร่องรอยใดๆของแสงสว่าง กระทั่งประสาทสัมผัสทั้งห้าก็ยังหายไป
แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็รู้สึกเจ็บแปล๊บ! ร่างกายที่เคยหนักแน่นกลายเป็นไม่มั่นคง ทิ้งตัวลงกระแทกกับพื้น
“โอ๊ย!” เฉินหมิงอุทานคำหนึ่ง
ไม่รีรอให้ทันตอบสนองต่ออาการเจ็บปวดที่หน้าคะมำ เฉินหมิงก็เห็นถึงภาพที่เขามิอาจยอมรับได้
“อ๊า! ขาฉัน! ใคร! ใครกันที่ทำแบบนี้!!”
เจ้าตัวพบว่าขากางเกงกลายเป็นว่างเปล่า กระทั่งน่องก็ยังถูกตัดขาดหายไปไม่มีหลงเหลือ
…
ในมุมนึงของซอยเปลี่ยว ฉินเฟิงเรียกพลังสมาธิกลับมา และเก็บมีดกษัตริย์ครามกลับเข้าไปในฝัก
สำหรับขาของเฉินหมิง มันได้ถูกเปลี่ยนเป็นขี้เถ้าภายใต้เพลิงโลกันต์ของฉินเฟิงแล้ว
“เฉินหมิง ฉันจะทำให้แกรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น!”
พอได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของเฉินหมิง ความโกรธเกรี้ยวของฉินเฟิงจึงค่อยๆสงบลง
ในชีวิตก่อนหน้า ช่วงที่ฉินเฟิงถูกจับตัวไปโดยองค์กรร้าย เฉินหมิงอาจจะยังไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับมัน แต่หลังจากนั้น อีกฝ่ายก็เลือกจะทรยศฉินเฟิง ซึ่งตรงจุดนี้เองที่เจ้าตัวจำฝังใจ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คาดคิดเลย ว่าเฉินหมิงจะร้ายกาจขนาดนี้ ถึงขั้นลากเพื่อนร่วมชั้นทุกคนเข้ามาเสี่ยงอันตราย โดยไม่สนใจใดๆเลย
สำหรับกลุ่มแมงมุมดำ ฉินเฟิงย่อมรู้ว่าพวกมันไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไรกับองค์กรนี้
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในชีวิตก่อนหน้า ฉินเฟิงได้กลายเป็นตัวตนทรงอำนาจเลเวล A ดังนั้นก็เลยง่ายที่จะตรวจสอบเกี่ยวกับห้องทดลองในสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ แต่ในช่วงแรกๆที่ยังอ่อนแอ เขากลับไม่สามารถค้นพบเบาะแสเกี่ยวกับมันได้เลย
นั่นหมายความว่าองค์กรนี้ลึกลับและทรงอำนาจเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนตอนนี้ ฉินเฟิงตั้งใจที่จะเก็บเฉินหมิงเอาไว้ก่อน
ปล่อยให้มันดิ้นรน และรู้สึกสิ้นหวัง!
“แกควรจะได้รู้สึกถึงความเลวร้ายแบบเดียวกันกับหยางเคียน แล้วถ้าในอนาคตยังมีคนอื่นเป็นอะไรไปอีกล่ะก็ … ฮึ่ม!”
ฉินเฟิงแสยะเสียงเย็นชา ก้าวเท้าจากไปโดยตรง
สิ่งที่เขาเพิ่งจะใช้ไป แน่นอนว่าไม่ใช่แค่มีด หากแต่ยังมีรูนมืดรวมอยู่ด้วย!
กระบวนท่านี้แตกต่างจากซ่อนเงา มันจะมุ่งเป้าไปที่คู่ต่อสู้ ปลดปล่อยรูนมืด ชักนำศัตรูจมลงสู่ความมืดมิด
หลายวันที่ผ่านมาในทุ่งล่า ฉินเฟิงได้เปิดเครือข่ายนักสู้ ทำการค้นหาข่าวสารเกี่ยวกับพลังพิเศษของผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุมืด แต่เขากลับพบว่ามันมีน้อยนิดยิ่ง เขาเลยหันไปค้นหาข้อมูลของสัตว์ร้ายธาตุมืดแทน
ในโลกใบนี้ ท่ามกลางยุคมืดที่แสงสว่างช่างจืดจาง สิ่งมีชีวิตธาตุมืดมักเป็นตัวชักนำพาภัยพิบัติมาเยือน ดังนั้น หลังจากที่เขาค้นหาข้อมูลพลังพิเศษจำพวกสัตว์ร้าย ผลปรากฏว่ามันมีอยู่มากมาย
และในบรรดาสัตว์ร้ายเหล่านั้น มีอยู่ตัวนึงที่ถูกเรียกว่าสัตว์ร้ายผืนฟ้าทมิฬ เพราะทุกที่ที่มันไป แสงสว่างใดๆไม่อาจเล็ดลอด กระทั่งสิ่งมีชีวิตโดยรอบก็ยังถูกลบล้างประสาทสัมผัสทั้งห้า
พลังพิเศษที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ในปัจจุบันฉินเฟิงแน่นอนว่ายังไม่สามารถทำได้ แต่หากลดทอดพลังที่เอ่ยไปข้างต้นลงมา ฉินเฟิงยังพอที่จะสามารถทำได้
แม้จะมีรูนมืดมหาศาลนับร้อยนับพันล้านที่ได้รับมาจากศิลานรก ทว่าฉินเฟิงก็ยังไม่สามารถกระตุ้นมันทั้งหมดในคราวเดียวได้ แต่หากเป็นการกระตุ้นมันสัก หนึ่งในสิบหมื่นของที่มี ก็ยังพอทำเนา
ด้วยเหตุนี้เอง พลังพิเศษทำลายประสาทสัมผัสขนาดเท่าผืนผ้า ‘โอบกอดทมิฬ’ จึงได้ถือกำเนิดขึ้น!
“พลังพิเศษนี้มันร้ายแรงเกินไป ถ้าไม่มีอบิลิตี้หรืออุปกรณ์บางอย่างไว้ป้องกันมัน ศัตรูที่ตกเป็นเป้าก็จะราวกับถูกมัดมือมัดเท้า ได้แต่ล้างคอเฝ้ารอคอยถูกสังหาร” ฉินเฟิงพึมพำ แต่เมื่อคิดว่าจะได้แก้แค้นที่ตนถูกทดลอง ในหัวใจของเขาอดไม่ได้ที่จะสั่นระรัว
และห้องทดลองที่ว่า มันซ่อนอยู่ในเขตชานเมืองทางตอนเหนือ!
สถานที่ซึ่งเปรียบดั่งคมดาบปักหยั่งอยู่บนหัวของฉินเฟิง นับตั้งแต่เขากลับมาเกิดใหม่
สถานที่ซึ่งตนได้ให้คำมั่นเอาไว้ว่าจะต้องกวาดล้างมันให้จงได้!
“อันดับแรกต้องดูดกลืนกำลังภายในก่อน!”
ฉินเฟิงกลับมาที่โรงแรมเจิ้งหยวน ขึ้นไปในรถศึกล่องเวหาของตน และขับกลับไปที่โรงแรมที่เช่าอาศัย
จากนั้น เขาก็นั่งขาขวาทับซ้าย เริ่มทำการกระตุ้นพลังสมาธิอีกครั้ง
“ดูดกลืน!”
คราวนี้ ฉินเฟิงสังหารมนุษย์ไปกว่า 12 คน มีจำนวน 5 คนที่เป็นมือปืนซึ่งมิได้อ่อนแอเลย แต่น่าเสียดาย ที่ทั้งหมดถูกเขาประชิดตัวได้ง่ายเกินไป เลยถูกสังหารลงก่อนจะแสดงฝีมือ เมื่อต้องเผชิญกับอาวุธรูนของฉินเฟิง อีกฝ่ายจะต้านทานได้อย่างไร?
และอีก 7 คนที่เหลือ ทั้งหมดเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ
ในความเป็นจริง การต่อสู้ครั้งนี้ก็นับว่าร้ายแรงไม่เบา เพราะหนึ่งในพวกมัน มีผู้ใช้วรยุทธโบราณที่ทรงพลังถึงเลเวล G8 รวมอยู่ด้วย
ซึ่งนับว่าเป็นกำลังรบที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ กำลังรบทรงพลังที่ว่า กลับถูกดูดกลืนมาทั้งหมดโดยฉินเฟิง
เวลานี้ ในตันเถียนของเขา มีเส้นไหมกำลังภายในอยู่ทั้งสิ้นมากถึง 47 เส้น พวกมันพลุ่งพล่าน และเปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้างสูง
ทันทีที่เริ่มใช้งานพลังพิเศษดูดกลืน เส้นลมปราณของฉินเฟิงก็ถูกเปิดออกทันที บังเกิดความรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกายของเขา
ฉินเฟิงกัดฟัน แต่ยังคงดูดกลืนพวกมันอย่างแน่วแน่ดังเดิม
ความเจ็บปวดนี้ราวกับน้ำกรด ทุกที่ที่มันวิ่งผ่านรู้สึกเจ็บแล้วและคันยิบชวนให้ยื่นมือไปเกา แต่ไม่นาน กระแสความอบอุ่นก็ค่อยๆกระจายเข้ามาแทนที่
เส้นลมปราณขยายตัวไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง ต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการฝึกฝนวรยุทธโบราณหรือการปลดปล่อยกำลังภายใน มันจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ในเวลาเดียวกัน พลังงานก็ระเบิดออกมา ไหลไปทั่วตัวของฉินเฟิง
ร่างกายมนุษย์ของเขาเกิดการวิวัฒนาการอีกครั้ง
ก้าวขึ้นสู่เลเวล G7 !
แม้ว่านี่จะเป็นความคืบหน้าในเลเวลย่อย แต่ก็ยังนับว่าเป็นความคืบหน้าที่รวดเร็วยิ่ง
ก็ใช้เวลาแค่ 1 เดือน แต่กลับปลุกพลังไปถึงเลเวล G7 ได้ เรื่องราวแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
ต่อมา เส้นไหมกำลังภายในทั้ง 47 เส้น ก็ถูกส่งคืนกลับไปอีกครั้งโดยพลังพิเศษดูดกลืน ก่อรูปขึ้นเป็นเส้นไหมที่ทั้งหนาและแข็ง ทว่าเป็นระเบียบ ไม่พลุ่งพล่าน จำนวน 13 เส้น
“ทำให้ในตอนนี้ ฉันครอบครองเส้นไหมกำลังภายในทั้งหมดรวม 18 เส้น แต่บางทีอาจเป็นเพราะฉันมีพลังพิเศษดูดกลืน ตันเถียนและเส้นลมปราณของฉันเลยได้รับการเปลี่ยนแปลง มันสามารถรองรับทั้ง 18 เส้นต่อไปได้ โดยที่ยังไม่ต้องวิวัฒนาการไปเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล F”
การวิวัฒนาการของผู้ใช้วรยุทธโบราณนั้น จะถูกกำหนดโดยการฝึกฝนกำลังภายใน และดูจากความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นตัวตัดสิน
กำลังภายในของฉินเฟิงสามารถดูดซับมาจากคนอื่นๆที่มีร่างกายแข็งแกร่งได้ ไหนจะเรื่องพลังงานที่ดูดกลืนจากสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วอีก ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะร้ายกาจกว่า หากเทียบกับคนปกติทั่วไป
ปัจจุบันนี้ กำลังภายในของฉินเฟิงมีจำนวนมากเป็นสองเท่าหากเทียบกับผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล G9
และหากนับพลังพิเศษรวมเข้าไปด้วย ปัจจุบันนี้ ฉินเฟิงมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าตนเองจะสามารถท้าทาย ผู้ใช้พลังพิเศษเลเวล F ได้
ดังนั้น กล่าวได้ว่าเขาพร้อมที่จะออกล่าสังหารแล้ว
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าห้องทดลองที่ถูกสร้างขึ้นในแถวๆชานเมืองทางตอนเหนือมันจะมีผู้ใช้พลังพิเศษเลเวล E อยู่ นับประสาอะไรที่ฉันยังมีกำลังสนับสนุนอย่าง … ”
ฉินเฟิงหันไปมองเสี่ยวไป๋
ในช่วงที่เกิดรอยแยกมิติ ศิลานรกร่วงหล่นลงมา เสี่ยวไป๋ได้สำแดงให้เห็นถึงพลังของตนหลังจากที่มันวิวัฒนาการแล้ว ซึ่งน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง นี่เองคือเหตุผลหลักว่าทำไมฉินเฟิงถึงตัดสินใจลงมือแก้แค้นในครั้งนี้
ด้วยพลังของเสี่ยวไป๋ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่จะหลบหนี อยากไปเมื่อไหร่ก็ไปได้เลยตามที่ต้องการ!
จนถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยเห็นพลังใดๆ ที่สามารถเทียบเคียงได้กับพลังมิติของเสี่ยวไป๋เลย
“ไปกันเถอะ!”
เจตนาฆ่าตื่นตัวในหัวใจ ฉินเฟิงมุ่งมั่นล้างแค้นโดยไร้ซึ่งความลังเล
แม้นี่จะเป็นช่วงเวลากลางดึก และประตูของสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือจะปิดลงไปแล้วก็ตาม
แต่ฉินเฟิงไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับมัน เขาสวมชุดดำ ด้วยอบิลิตี้ธาตุมืดของเขา และความร่วมมือของเสี่ยวไป๋ ทั้งสองจึงสามารถออกจากสถานที่ชุมชนได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อพ้นเขตหอคอยรักษาการณ์ ฉินเฟิงก็นำรถศึกล่องเวหาออกจากพื้นที่มิติของเสี่ยวไป๋ ขับออกไปเหลือทิ้งไว้เพียงฝุ่นผง
“เสี่ยวไป๋ เวลาสำหรับการแก้แค้นของพวกเราได้มาถึงแล้ว!”
บนใบหน้าของฉินเฟิงฟุ้งไปด้วยรังสีฆ่าฟัน
ทางเสี่ยวไป๋เอง ดูเหมือนว่ามันจะเข้าใจบางสิ่ง ในคู่ดวงตาสีดำของมัน ปรากฏหยาดสีแดงดั่งถูกแต่งแต้มด้วยหยดเลือดผุดขึ้นมา
Ch.44 – ลอบเข้าไปในห้องทดลอง
Translator : Muntra / Author
วันนี้ลง 3 ตอน
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.44 – ลอบเข้าไปในห้องทดลอง
ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน บรรยากาศช่างเงียบสงบจนน่าวังเวง
รถศึกล่องเวหาบินข้ามผ่านดงต้นกก
รถศึกถูกโรยไปด้วยผงขับไล่สัตว์ร้าย และพวกสัตว์ร้ายก็ไม่ชอบกลิ่นนี้เอาเสียเลย เหล่ามนุษย์กบที่อาศัยอยู่ในดงกกแตกกระเจิง หลีกเลี่ยงไม่เข้ามาวุ่นวายกับการเดินทางของฉินเฟิง
ในไม่ช้า หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ก็มาถึงแม่น้ำ
“แอ๊! แอ๊!”
เสี่ยวไป๋ร้องออกมาสองสามครั้ง และในวินาทีต่อมา รังสีแสงสีเงินก็สว่างวาบ
-เป็นรูนมิติ!
“วูซซซซ!”
ฉินเฟิงและเสี่ยวไป๋หายวับไปพร้อมกัน
ช่วงเวลาต่อมา กลิ่นฉุนจากเลือดและเศษเนื้อเน่าก็โชยมาแตะจมูกของฉินเฟิง นั่นเพราะเขาได้ปรากฏตัวขึ้นในท่อระบายน้ำโดยตรง ไม่ต้องว่ายน้ำฝ่าเข้ามา!
นี่คือพลังพิเศษมิติของเสี่ยวไป๋
ฉินเฟิงสวมหน้ากากป้องกันแก๊ส เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้นมาเกาะบนไหล่เขา
“แอ๊!”
เสี่ยวไป๋ใช้พลังของมันอีกครั้ง แต่คราวนี้ สถานที่ที่ทั้งสองปรากฏกายขึ้น มันไม่ใช่จุดเดิมที่เขาและมันพบกันในตอนแรก หากแต่เป็นพื้นที่ส่วนบนของบ่อทิ้งขยะ
ปัจจุบันเป็นเวลาเที่ยงคืน ดังนั้นจึงมีทหารยามอยู่ที่นี่ เมื่อจู่ๆฉินเฟิงโผล่ออกมา ทหารยามก็ตกใจ เอื้อมมือไปคว้าอาวุธตามสัญชาตญาณ
“ปุ!”
แต่แสงสีเงินไวยิ่งกว่า มันวิ่งตัดอากาศ แทงทะลุเข้าไปในคอของเขา
ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ หัวกับร่างของชายคนนั้นถูกแยกออกจากกัน
ฉินเฟิงหันไปมองรอบๆ
ในชีวิตก่อนหน้า เขาถูกย่ำยี ตกอยู่ในอาการสิ้นสติ เลยไม่ทราบว่าสภาพพื้นที่ทดลองขององค์กรร้ายนี้เป็นอย่างไร
ถึงเขาจะกลับมาอีกครั้งหลังจากที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ก็พบว่าที่นี่มันได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว
เมื่อเห็นสภาพของมันในตอนนี้ เขาพบว่าที่จริงแล้วมันคือโรงงานใต้ดินที่ถูกทิ้งร้าง แต่เนื่องจากได้ถูกดัดแปลงมาเป็นสถานที่ทดลองโดยองค์กร มันเลยดูเป็นระเบียบและสะอาดตา
และยังเต็มไปด้วยเวชภัณฑ์เฉพาะทางจำนวนมาก
ฉินเฟิงผลักเปิดประตู และดวงตาของเขาก็วาวโรจน์
ชัดเจนว่าห้องที่เขาเข้ามา คือห้องเก็บของ
เพราะมีทั้งกรงขนาดใหญ่ และแท่งแก้วใสที่บรรจุไปด้วยสารละลาย ภายในเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายหลากหลายชนิด
มีแม้กระทั่งมนุษย์
อย่างไรก็ตาม พวกนี้น่าจะเป็นแค่ตัวอย่าง ฉินเฟิงรู้สึกได้ว่าองค์กรมิได้ให้ความสำคัญใดๆกับพวกมัน แม้จะยังมีชีวิตแต่ก็ไม่ถูกรักษา ทั้งหมดล้วนถูกฉีดฟอร์มาลีนคงสภาพเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ
หนึ่งในนั้นเป็นมนุษย์ที่ถูกนำเอาแก่นอบิลิตี้ของสัตว์ร้ายมาฝังไว้บนหน้าผาก แก่นอบิลิตี้มีขนาดใหญ่เท่ากับก้อนกรวด และเป็นทรงกลม มันเลยดูเหมือนกับว่ามนุษย์คนนี้มีเพิ่มตาดวงที่สามเข้ามา
“ช่างเป็นการทดลองนี่น่ารังเกียจจริงๆ!”
ฉินเฟิงกัดฟัน
เขาเริ่มสำรวจสัตว์ร้ายอื่นๆ ทั้งเล็กและใหญ่รอบตัว แต่พวกมันถูกทรมานอย่างโหดร้ายทารุณเกินไป สภาพแทบดูไม่ได้ ต่อให้ดูดกลืนพลังมา ก็คงช่วยเขาไม่ได้มากนัก
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉินเฟิงต้องการในตอนนี้
ฉินเฟิงกลับมายังระเบียงทางเดิน งมหาทางกันต่อไป
เนื่องจากเขาครอบครองพลังพิเศษซ่อนเงา ดังนั้นผู้คนเลยมองไม่เห็นเขา และกล้องวงจรปิดเองก็ไม่สามารถจับภาพเขาได้เช่นกัน
ในเวลานั้นเอง ฉินเฟิงก็ได้ยินเสียงมาจากด้านข้างของตน
“คุณเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้วใช่ไหม?”
“ดีมาก ฉันไม่คิดเลยว่าพวกเราจะต้องเปลี่ยนสถานที่กันไวถึงขนาดนี้!”
“ไม่เปลี่ยนไม่ได้ เพราะพวกขยะที่เราจ้างวานดันถูกนักเรียนที่เพิ่งปลุกพลังวรยุทธโบราณฆ่าทิ้งจนหมดเลย!”
“นักเรียนคนที่ว่านั่นไม่มีอบิลิตี้จริงๆน่ะหรือ? น่าเสียดายจริงๆ ถ้าเขาเป็นคนที่ปลุกอบิลิตี้ได้ คงจะเป็นตัวทดลองที่ยอดเยี่ยมน่าดู!”
“ไม่มีอบิลิตี้ เป็นแค่นักเรียนวรยุทธโบราณเท่านั้น ไม่ใช่มนุษย์ที่เกิดการวิวัฒนาการสูงสุด อย่าลืมสิ ว่าเทคโนโลยีสับเปลี่ยนอบิลิตี้ของพวกเรากำลังจะประสบความสำเร็จแล้ว! ดังนั้นคุณไม่ควรอยู่ในสถานที่เล็กๆแบบนี้!”
ฉินเฟิงเมื่อได้ยินบทสนทนาดังกล่าว เขาก็รับรู้ได้ทันที ว่าพวกมันกำลังจะหนีไป!
ฉินเฟิงคิดในใจว่าโชคดีจริงๆที่ตัดสินใจมาที่นี่ ไม่อย่างนั้น ถ้าปล่อยให้หนีไปซะก่อน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีโอกาสเจอพวกมันอีกรึเปล่า
ก่อนที่จะกลับมาเกิดใหม่ เมื่อความแข็งแกร่งของฉินเฟิงยกระดับไปได้ช่วงหนึ่งแล้ว เขาก็ต้องการจะกลับมาแก้แค้น แต่น่าเสียดาย ที่สถานที่แห่งนี้ดันกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว และเมื่อตรวจสอบดูดีๆยังพบว่ามันถูกระเบิดทำลายอย่างจงใจอีกด้วย!
และฟังจากบทสนทนาของทั้งสอง น่ากลัวว่าในชีวิตก่อนหน้า การทดลองจะประสบความสำเร็จจริงๆ!
หลังจากประสบความสำเร็จ พวกมันเลยพากันถอนตัวจากไป
แต่ในชีวิตนี้ ฉินเฟิงสามารถขัดจังหวะการชิงตัวทดลองของพวกมันก่อนจะสำเร็จ แถมผู้ใช้พลังพิเศษที่ส่งมายังถูกเขาฆ่าตาย พวกมันเลยตัดสินใจยอมทิ้งสถานที่แห่งนี้ไป
“เอาเลยเสี่ยวไป๋!” ฉินเฟิงตะโกน โดยไม่กล่าวอธิบายว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่เสี่ยวไป๋ก็เหมือนจะรับรู้ มันลงมือทันที
รังสีแสงสีเงินปกคลุมร่างของทั้งสองเอาไว้ รูนมิติกะพริบไหว ประตูห้องทดลองที่ทั้งแข็งแกร่งทนทาน ล็อคปิดกั้นทางเข้าเอาไว้ กลายเป็นไร้ประโยชน์ทันที
ฉินเฟิงกับเสี่ยวไป๋ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในห้องทดลอง
“เสียใจด้วยนะ ที่พวกแกจะไม่ได้ไปจากที่นี่!” ฉินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็น เขายกมีดกษัตริย์ครามขึ้น และชี้ไปทางอีกฝ่าย
ช่วงเวลาราวกับหยุดนิ่ง ทุกคนในห้องทดลองหันขวับมามองฉินเฟิง
หนึ่งในนั้นคือคนที่สวมชุดกาวน์สีขาวซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายเอกลักษณ์ของนักวิจัย อายุราวๆ 40 ปี ร่างกายผ่ายผอม ผิวหนังซีดเซียว ใต้ขอบตาดำคล้ำ ดูโทรมคล้ายคนบ้า
อีกหนึ่งอายุราวๆ 50 ปี ลงพุง ใบหน้าเต็มไปด้วยไขมัน รูปลักษณ์ดูโหดร้ายน่ากลัว แต่สวมชุดสูทราคาแพงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของนักธุรกิจ -มีแต่พวกนักธุรกิจในสถานที่ชุมชนเท่านั้นที่จะใส่มัน
ณ จุดนี้ ทั้งคู่ต่างมองมาทางฉินเฟิงด้วยความตกใจ
“แกเป็นใครกัน? เข้ามาที่นี่ได้ยังไง!” นักวิจัยชุดขาวตะโกนขึ้นทันที
“ฉันเป็นใคร? ฉันก็เป็นคนที่พวกแกเพิ่งพูดถึง นักเรียนที่ฆ่าพวกขยะไปยังไงล่ะ!”
“ว่าไงนะ!”
ทั้งสองถามย้ำ คล้ายกับว่าสิ่งที่ได้ยินมันไม่ชัดเจน แต่ในหัวใจกลับรู้ดี ว่ากำลังจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น
แทบจะในทันที ชายวัยกลางคนในชุดสูทแตะไปที่เอวของเขาตามสัญชาตญาณ เตรียมที่จะชักปืนพกขึ้นมา
ปุ!
รังสีแสงสีเงินวิ่งผ่านไป และในวินาทีต่อมา แขนของชายในชุดสูทก็ร่วงแหมะลงกับพื้น
“อ๊าาาา!!!”
ชายวัยกลางคนในชุดสูทกรีดร้องโหยหวน
เสียงร้องลั่นเช่นนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่ทหารยามภายนอกจะได้ยิน แต่ฉินเฟิงก็ไม่ได้สนใจเลย
เพราะประตูที่ขวางกั้น มิใช่ประตูธรรมดา มันเป็นประตูที่จะสามารถเปิดได้จากภายในเท่านั้น หากจะบุกเข้ามา เกรงว่าคงต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งในการทำลาย!
“เอาล่ะ บอกฉันมา ว่าพวกแกมีจุดประสงค์อะไร แล้วแกทำงานให้กับองค์กรอะไร?”
มีดกษัตริย์ครามในมือของฉินเฟิงชี้ไปทางนักวิจัยในชุดขาวอีกคนแทน
ดวงตาของชายคนนั้นฟุ้งไปด้วยความหวาดกลัว
“ระ ระ เรากำลังทำการทดลองที่ยิ่งใหญ่!”
“การทดลองที่ยิ่งใหญ่?” ฉินเฟิงรู้สึกว่ามันตลกสิ้นดี
นั่นเพราะเขาไม่ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ใดๆเลย เขาเห็นแต่ความโหดร้ายของการทดลองที่บ้าคลั่งเท่านั้น
มีดกษัตริย์ครามถูกวาดอีกครั้ง และแขนข้างหนึ่งของอีกฝ่ายก็ถูกตัดออกไป
“อ๊าาาาาา” นักวิจัยกรีดร้องเสียงน่าสังเวช
เดิมทีใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวไร้สีเลือดอยู่แล้ว ยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้ามีดกษัตริย์ครามของฉินเฟิง เขาก็ค่อยๆหยุดกรีดร้อง ทั้งร่างสั่นเทิ้ม
สั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว!
แม้ว่าฉินเฟิงที่อยู่ตรงหน้าจะสวมหน้ากากกันแก๊ส ไม่ได้เปิดเผยร่องรอยของความรู้สึกใดๆ หากแต่ในสายตาของนักวิจัย ภาพของฉินเฟิงดูราวกับเป็นปีศาจร้าย
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่างานของแกมันยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่ทำไมแกถึงต้องการจะทำร้ายเพื่อนร่วมชั้นของฉันด้วย?”
ฉินเฟิงเค้นถาม แต่คำถามนี้เขาก็ถามมันเพื่อตัวเองด้วยเช่นกัน
“ฉันจะพูด ฉันจะพูดแล้ว อย่าฆ่าฉันนะ!” การสูญเสียแขน และเลือดที่เริ่มไหลออกมามากเกินไป ทำให้นักวิจัยเริ่มรู้สึกถึงความตายที่เข้ามาคุกคาม
แม้ว่าในหัวใจของเขาจะรู้ดี ว่าอีกฝ่ายย่อมไม่มีทางปล่อยตัวเองไป แต่ในสมองก็ยังเกิดความคิดปรารถนา ว่ายังมีโอกาสเพียงน้อยนิดที่ผู้บุกรุกจะไม่ฆ่าเขา หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้
เพราะตราบใดที่ถ่วงเวลาต่อไปสักพัก การช่วยเหลือก็จะมาถึง และเขาก็จะรอดชีวิตไปได้!
Ch.45 – ผู้ชักใยเบื้องหลัง
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.45 – ผู้ชักใยเบื้องหลัง
เมื่อคิดได้ดังนั้น นักวิจัยก็พ่นคำออกมาอย่างรวดเร็ว “งานของพวกเราก็คือ การค้นหาวิธีการที่จะทำให้มนุษย์กลายเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ และหลังจากทดลองมาหลายวิธี พวกเราก็สามารถค้นพบวิธีการถ่ายโอนแก่นอบิลิตี้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม แก่นอบิลิตี้ที่โตเต็มวัยแล้วมันจะมีขนาดใหญ่มากเกินไป และพลังของมันจะลดทอนลงหลังถูกดึงออกจากร่างของสัตว์ร้าย ดังนั้น …”
“ดังนั้นพวกแกเลยออกตามหาแก่นอบิลิตี้เล็กจากผู้ใช้อบิลิตี้ที่เพิ่งสามารถปลุกพลังให้ตื่นขึ้นมาได้!
ฉินเฟิงชิงเอ่ยปาก เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็เหมือนจะเข้าใจถึงสถานการณ์ในชีวิตก่อนหน้าของตัวเอง
เข้าใจว่าตนแท้จริงเป็นคนที่โคตรจะโชคร้าย!
เรื่องราวที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งในงานวิจัยของพวกมัน
“ใช่ … ใช่แล้ว … ” นักธุรกิจอีกคนไม่กล้ายั่วยุให้ฉินเฟิงโกรธ รีบตอบกลับตะกุกตะกัก
ทว่าความโกรธของฉินเฟิงยิ่งนานก็ยิ่งปะทุขึ้นเรื่อยๆ
แต่เขาก็พยายามข่มมันไว้ และเค้นถามคำถามที่สอง
“แกยังไม่ตอบอีกคำถามของฉันเลย!” ฉินเฟิงแสยะยิ้มเย็น “ก่อนหน้านี้พวกที่บุกชิงตัวเพื่อนฉันสวมหน้ากากแมงมุมดำ แต่ฉันรู้นะ ว่าแกไม่ใช่คนจากกลุ่มแมงมุมดำ จริงๆแล้วแกรับใช้องค์กรใดกันแน่!”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ สองชายแขนด้วนก็บังเกิดความลังเลขึ้นทันที
ฉินเฟิงไม่รอช้า ยกมีดขึ้นอีกครั้ง เตรียมตัดแขนอีกข้างของชายในชุดสูท
“อ๊า! บอกแล้ว ฉันยอมบอกแล้ว!”
เฉินเฟิงราวกับคนบ้า ไม่พอใจก็คิดจะสับแขนทิ้ง อีกฝ่ายจึงไม่กล้าต่อต้านใดๆ
“องค์กรของเราไม่ใช่แมงุมุมดำหรือแม้แต่องค์กรต่อต้านมนุษยชาติ แต่มันเป็นความลับมาก ที่พวกเรารู้ มีแค่ว่ารหัสองค์กรคือ ‘Z’ เท่านั้น”
“บอกรายละเอียดเพิ่มเติมมาอีก!” ฉินเฟิงตะคอกดุร้าย
“ฉัน ฉันเองก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้แล้ว แต่องค์กรของพวกเรามีอำนาจมาก ไม่ว่าจะสัตว์ทดลองหรือห้องปฏิบัติการพวกนี้ ล้วนได้รับมาจากพวกเขา!”
ที่จงใจเอ่ยออกมาเช่นนี้ ก็เพื่อหมายจะข่มขู่ฉินเฟิง
“องค์กร์ Z … ” รหัสนี้ตีได้หลายความหมายมากเกินไป แม้แต่ฉินเฟิงเอง ถ้าให้ย้อนคิดแบบเฉพาะเจาะจง เขาก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
แต่เมื่อเขามองไปในแววตาของนักธุรกิจพุงพลุ้ยที่ฟุ้งไปด้วยความหวาดกลัว เจ้าตัวก็ทราบดีว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะโกหก
ฉินเฟิงไม่เก็บมาคิดอีกต่อไป เขาเตรียมฟันใส่คู่แค้นอีกครั้ง
“ในเมื่อรู้แค่นี้ ก็จงตายซะ!”
ฉินเฟิงง้างมีดกษัตริย์ครามในมือ ชูขึ้นเหนือหัวของเขา
“อย่า! ได้โปรดอย่าฆ่าฉัน ถึงจะไม่ใช่เรื่องขององค์กร แต่ฉันยังมีอีกความลับหนึ่งที่สามารถบอกได้!” เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าชายชุดสูท เขากลัวว่าฉินเฟิงจะลงมีดใส่จริงๆ
สองตาของฉินเฟิงหรี่แคบลง มีดในมือหยุดกลางอากาศ
“ถ้าความลับนี้มันไร้ประโยชน์ ฉันจะไม่ปล่อยให้แกมีลมหายใจอยู่อีกต่อไป!”
“ไม่ ไม่ไร้ประโยชน์แน่นอน!” ชายวัยกลางคนในชุดสูทกล่าวอย่างเร่งรีบ ในความเป็นจริงแล้วเขารู้ความลับค่อนข้างน้อย แต่ตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคายบางอย่างให้แก่ฉินเฟิง
“ถึงแม้ว่าพวกเราจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆขององค์กร Z แต่พวกเราก็มีกำลังในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ทรงประสิทธิภาพมาก ดังนั้นเราจึงมีฐานที่มั่นอยู่ในทุกสถานที่ชุมชนหรือเมือง และทางเรามักจะแลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างกับผู้นำของสถานที่เหล่านั้น การบุกโจมตีเพื่อนร่วมชั้นของเธอเดิมทีไม่ได้เป็นเป้าหมายของทางเรา แต่เป็นอีกฝ่ายที่ผลักดันให้เกิดขึ้น ”
ในหัวใจของฉินเฟิงกระตุกไหว
“อีกฝ่ายที่แกกำลังพูดถึงคือใคร?”
ภายใต้แรงกดดันจากมีดกษัตริย์คราม ชายวัยกลางคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่และกล่าว “เป็นรองผู้ว่าการเขตเฉิงเป่ย!”
คิ้วของฉินเฟิงขมวดเข้าหากันอย่างรุนแรง
ทันใดนั้น ภาพของอีกฝ่ายก็วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา
“ที่แท้ก็เป็นมัน!”
ความชิงชังอันน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของฉินเฟิง
สถานที่ชุมชนทางตอนเหนือเป็นชุมชนขนาดใหญ่ แต่สำหรับเมืองเฉิงหยาง มันมีอีกชื่อหนึ่ง เรียกว่า : เขตเฉิงเป่ย
ซึ่งผู้ที่ครอบครองสถานะสูงสุดของเขตเฉิงเป่ยก็จะมีสองผู้ว่าการ , สามนายพล และสองสมาชิกสภา
แต่โดยสิ้นเชิงแล้ว ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในเขตเฉิงเป่ย จะมีทั้งสิ้น 10 คน
และหนึ่งในนั้นคือรองผู้ว่าการหลินเซิง เป็นตัวตนทรงพลังในเลเวล E
นอกจากนี้เขายังมีลูกชายชื่อว่าหลินไค
“สรุปง่ายๆก็คือ หลินเซิงต้องการให้ลูกชายตัวเองกลายเป็นผู้ใช้อบิลิตี้อย่างงั้นสินะ?”
“ใช่ ใช่แล้ว! ” ชายในชุดสูทเร่งตอบ “การทดลองทั้งหมดของพวกเรา ล้วนดำเนินการกับสัตว์ร้าย แต่เวลาที่พลังของพวกสัตว์ร้ายจะตื่นขึ้นมันไม่แน่ไม่นอน ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นช่วงที่พวกเด็กๆกำลังฉีดยากระตุ้นพลังพอดี พวกเราเลยตัดสินใจ เบนทิศไปจับตัวเด็กที่สามารถปลุกพลังพิเศษได้แทน”
“ทุกคำที่ฉันพูดเป็นความจริง ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนให้การสนับสนุน พวกเราจะสามารถเปิดห้องทดลองใกล้กับชุมชนทางตอนเหนือได้อย่างไร? พวกเราได้รับอำนาจถึงขั้นที่ว่าถ้าถูกใครบางคนค้นพบ ก็สามารถบอกออกไปได้ว่าพวกเราทำธุรกิจถูกกฏหมาย!”
“เป็นแบบนี้ เป็นแบบนี้นี่เอง!” ฉินเฟิงกัดกรามจนแน่น เปล่งเสียงเล็ดลอดผ่านไรฟัน
หรืออีกความหมายนึงก็คือ ในชีวิตก่อนหน้า อบิลิตี้ของฉินเฟิง มันถูกส่งมอบไปให้กับหลินไคนั่นเอง!
หลินไคแต่เดิมเป็นแค่เพลย์บอย แต่จู่ๆก็สามารถปลุกพลังพิเศษขึ้นมาได้อย่างกระทันหัน แถมยังเป็นธาตุมืดที่แสนจะหายาก
หลังจากนั้นหลินไคก็กลายเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ที่ทรงพลัง ความแข็งแกร่งของเขาก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว มันเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ แต่สิ่งที่เขาทำนั้นช่างโหดเหี้ยม เปลี่ยนทั้งสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือให้ฟุ้งไปด้วยควันไฟแห่งความโกลาหล
และต้นทุนทั้งหมดของมัน ก็ปล้นชิงมาจากฉินเฟิง!
“นี่สินะคือสิ่งที่เป็น!” ฉินเฟิงตอนนี้เกลียดชังสุดแสน เขาต้องการจะฉีกกระชากอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นๆ
แต่ในเวลานั้นเอง ช่างน่าแปลกใจ จู่ๆใบหน้าของชายชุดสูทก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา
“แอ๊!”
เสี่ยวไป๋ผู้นั่งยองๆบนไหล่ของฉินเฟิงตลอดมา จู่ๆก็เปล่งเสียงร้องอย่างฉับพลัน จากนั้นรังสีแสงสีเงินก็กระพริบไหว ทั้งสองหายวับ และปรากฏตัวขึ้นตรงมุมห้อง
“โครม!”
อีกหนึ่งเสียงอึกทึกดังตามมา
ประตูถูกกระแทกเปิดออก แรงปะทะส่งเข้าใส่ตำแหน่งเดิมที่ฉินเฟิงยืนอยู่ คละคลุ้งไปด้วยเศษชิ้นส่วนประตูห้องทดลอง ส่งผลให้ชายสองคนที่อยู่ใกล้ๆถูกเป่าปลิวกระเด็นราวกับเศษผ้า
น่ากลัวว่าชายทั้งสองคงไม่คาดคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าคนที่ตนคิดหมายจะให้มาช่วยชีวิต กลับไม่สนใจชีวิตน้อยๆของพวกตน แต่ทำการระเบิดโจมตีห้องทดลอง ให้ตกตายกันไปทุกคนเลยในคราวเดียว
ประตูถูกทำลาย กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ ภายใต้กลุ่มควันคละคลุ้ง ฉินเฟิงสามารถมองเห็นถึงร่างของอีกฟากฝั่งหนึ่ง
-เป็นคนหนุ่มที่มีอายุราวๆ25 – 26 ปี ในชุดต่อสู้สีเขียวเข้ม และมีสัญลักษณ์ F1 บนหน้าอกของเขา
โดยในมือคนหนุ่ม ถือไว้ด้วยปืนใหญ่พลังงาน ที่สามารถระเบิดอานุภาพรุนแรงออกมาได้ และคงจะเป็นปืนใหญ่นี้เอง ที่เพิ่งถูกใช้โจมตีออกไป
ศัตรูคือมือปืน!
คนหนุ่มเอื้อมมือออกไป ปรับตำแหน่งปืนใหญ่พลังงาน เล็งใจกลางเป้ามายังทิศทางของฉินเฟิง
“เปรี้ยง!”
ปากกระบอกปืนระเบิดการโจมตีดุเดือดโหดร้ายอีกครั้ง
“แอ๊!”
เสี่ยวไป๋ร้องตะโกนตื่นตัว เทเลพอร์ตฉินเฟิงไปปรากฏอีกที่หนึ่ง
“โครม!”
แรงปะทะก่อให้เกิดเสียงอึกทึกกึกก้อง
“ให้ตายสิ ไอ้พลังสมาธิเพิ่มการรับรู้นี่มันน่ารำคาญจริง!”
แม้ผู้ที่จะกลายเป็นมือปืนจะมีข้อกำหนดไม่สูงมากจนเกินไป แต่ในระหว่างที่พวกเขากลายเป็นมือปืน ก็ต้องผ่านกระบวนการเสริมความสามารถในการรับรู้สิ่งรอบตัว ให้ดีมากขึ้นเป็นพิเศษเสียก่อน
ด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้แม้ตอนนี้ฉินเฟิงจะซ่อนตัวอยู่ในมุมอับที่ควันฟุ้งอยู่รอบตัว อีกฝ่ายก็ยังสาดโจมตีได้อย่างแม่นยำและไร้ความปราณี
การรับรู้ของมือปืนเลเวล F ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถหลบเลี่ยงได้โดยง่าย ในสายตาของอีกฝ่าย ฉินเฟิงอยู่ในห้องปิดตาย อย่างไรก็ไม่สามารถหลบหนี
“โห? น่าสนใจดีนี่” มือปืนหัวเราะเบาๆ เขาคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าฉินเฟิงจะหลบพ้น แต่เมื่อก้าวเข้ามาอีกก้าว สีหน้าของเขาก็พลันแข็งทื่อ
“นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน?”
ในการรับรู้ของเขา ร่างของฉินเฟิงจู่ๆก็มาโผล่ตรงระเบียงทางเดิน แต่ทางออกเดียวจากห้องทดลองมีเขาขวางกั้นประตูอยู่ แล้วฉินเฟิงสามารถผ่านมันไปได้อย่างไร?
เป็นไปได้ไหมว่าอีกฝ่ายสามารถทะลุกำแพงได้?
ในเวลาเดียวกัน ฉินเฟิงเองก็ตกใจเหมือนกับมือปืน เขาก้มลงมองพื้นด้วยความฉงน
-นั่นเพราะมีคนตายนอนกองอยู่ตรงนี้
แถมยังสวมชุดกาวน์ เห็นได้ชัดว่าคือบุคลากรของห้องทดลอง แต่ตอนนี้ดันถูกสังหารลง
ถ้าอย่างงั้นใครเป็นคนฆ่าเขา? มือปืนคนเมื่อกี้อย่างงั้นหรอ?
แต่ทำไมกัน? หรือว่ามือปืนคนนั้นไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับคนจากห้องทดลอง!?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น