เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 31-40

 31

หอมหวานรสชาติดี

 


 


 


 


จิ่งเหิงปัวตะลึงลานกลืนน้ำเข้าไปต่อเนื่องหลายอึก อยากจะรีบดิ้นรนให้พ้นเขา แต่เรี่ยวแรงของนางจะไปเทียบกงอิ้นได้อย่างไรกัน? สองคนเกี่ยวพันแนบแน่นสะบัดไม่หลุด คลื่นธารพุ่งกระเพื่อมเป็นระลอก ดูท่าทางจิ่งเหิงปัวกำลังจะถูกกงอิ้นรั้งลงไปใต้น้ำ 


 


 


จิ่งเหิงปัวเบิกตาโพลง…เป็นคนดีคงไม่ไหว! 


 


 


สติสัมปชัญญะของกงอิ้นเลือนราง สองมือของนางถูกล็อกไว้ ซ้ำยังไร้เรี่ยวแรงดิ้นรน จะถูกลากไปตายอย่างไม่ยุติธรรมขนาดนี้เลยจริงๆ น่ะหรือ? 


 


 


จิ่งเหิงปัวยื่นหน้าขึ้นไปทันที 


 


 


ปากของนางกัดริมฝีปากของกงอิ้นไว้! 


 


 


จากนั้นนางก็หงายสองมือโอบเอวของกงอิ้น ร่างกายเบียดแนบเข้าไปมากยิ่งขึ้นพลางใช้แรงโถมทับเขาไว้! 


 


 


นางไม่เชื่อว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ ไม่เชื่อว่าเขาที่วางมาดสุภาพบุรุษผู้บำเพ็ญตบะคนนี้เมื่อถูกปลุกด้วยเสน่ห์ของสตรีที่ทำทั้งสองสิ่งพร้อมกันยังปลุกไม่ฟื้น! 


 


 


ริมฝีปากของกงอิ้นทั้งเย็น ทั้งนุ่ม ทั้งลื่น พาให้นางนึกถึงวุ้นหอมกรุ่นสดใหม่ นางอดจะขบเม้มแล้วเลียสักหน่อยไม่ได้ อืม เด้งดึ๋งนุ่มนิ่ม หอมหวานรสชาติดี… 


 


 


ช่วงเอวของเขาผอมแกร่งแข็งแรง มือของนางประคองเข้าไปลูบไล้ลงมาตามแนวโค้งราบรื่นแนวหนึ่ง 


 


 


ยามที่ผิวกายสัมผัสกันคือการพานพบกันระหว่างผืนต่วนและผ้าไหม คือความสมัครสมานแห่งสรรพสิ่งทั่วหล้า เรือนร่างนุ่มนวลงดงามและแข็งแกร่งเกรียงไกรคล้ายธารา ผสมผสานกลมกลืนแหวกวาดฟองอากาศวาวแววผืนหนึ่งออกมา… 


 


 


เขาแทบจะลืมตาขึ้นมาในทันใด 


 


 


นัยน์ตาแบ่งแยกสีดำขาวแจ่มชัด ขอบสีดำคล้ายมีแสงรุ่งโรจน์สีน้ำเงินทอประกายผ่านวูบหนึ่งยิ่งเผยให้เห็นความเพริศพริ้ง ประดุจท้องนภากว้างใหญ่บนภูผาหิมะซึ่งถูกวายุสวรรค์พัดผ่าน 


 


 


ชั่วพริบตาต่อมา เขาพุ่งตรงดิ่งย้อนธาราขึ้นไป 


 


 


เสียงตู้มเสียงหนึ่งดังขึ้นรุนแรงกว่าครั้งก่อนหน้า สายน้ำพวยพุ่งเป็นเสาธารท่อนหนึ่งกลางอากาศ เบ่งบานดุจบัวหิมะ 


 


 


เขากำเนิดกลางนลินีไร้ฝุ่นธุลีแปดเปื้อน สีหน้าขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ 


 


 


พริบตาต่อมา สองคนหมอบซ้อนกันอยู่บนฝั่งแม่น้ำ จมูกของจิ่งเหิงปัวเกือบจะชนจนรู้สึกเจ็บปวด 


 


 


นางพลิกตัวออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย จ้องมองริมฝีปากของกงอิ้น ใจหนึ่งคิดว่าเจ้าคนนี้มีสีหน้าย่ำแย่ขนาดนั้นแล้ว เหตุใดริมฝีปากยังสดนวลนุ่มยั่วยวนขนาดนี้ อีกใจหนึ่งคิดว่าวุ้นนี่กินแล้วไม่เลี่ยนอย่างที่คิดเอาไว้เลย ครั้งหน้าไม่รู้ว่าตอนไหนถึงจะได้กัดอีกสักคำ? 


 


 


เขาติดค้างนางมามากขนาดนี้ หากกัดสักคำคงไม่เป็นอะไรมากหรอกกระมัง? ปัวปัวสาวงามผู้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่จะยินยอมพร้อมใจจุ๊บกับใครก็ได้นะ 


 


 


ทว่ากงอิ้นที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ทำให้ยากต่อการลวนลาม จิ่งเหิงปัวคิดอย่างเกียจคร้าน นางอยากจะคลานขึ้นมา แต่ถูกตาข่ายบนหลังรัดไว้จนต้องหมอบลงไปครั้งหนึ่ง ตอนนี้นางเพิ่งพบว่าตาข่ายนี้ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน เมื่อเจอน้ำจะขยายออก แต่เมื่อพ้นน้ำ ผนึกตาข่ายกลับหดตัวฉับพลันจนแน่นมากกว่าเดิมเสียอีก รัดแน่นจนนางเคลื่อนไหวไม่ได้ 


 


 


“นี่ เจ้าคิดหาวิธีแก้ตาข่ายนี่ก่อนสิ” จิ่งเหิงปัวดึงเชือกตาข่ายด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ พลางเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นพี่มิต้องถูกเจ้าลวนลามตลอดเวลาเลยหรือ” 


 


 


กงอิ้นลืมตาขึ้นมองนางปราดเดียวมิเอ่ยวาจา แววตาเปิดเผยแจ่มแจ้งว่า ใครลวนลามใครกันแน่? 


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่ได้ใส่ใจนัก เรื่องลวนลามน่ะ เจ้าทำหรือข้าทำมันต่างกันด้วยหรือ? 


 


 


“ยามนี้พลังแท้ของข้ายังไม่ฟื้นคืน ปลดตาข่ายมิได้” เขาตอบหลังผ่านไปครู่หนึ่ง 


 


 


“แล้วจะฟื้นคืนเมื่อไร” นางถามพลางคว้าแขนเขาไว้ 


 


 


กงอิ้นมองนางปราดเดียว รู้สึกว่าดวงตาของนางสว่างสดใสดุจสุนัขตัวน้อย 


 


 


อารมณ์ประหลาดเบาบางหอบหนึ่งพวยพุ่งในจิตใจเขา ความประหลาดนี้เกิดขึ้นเพราะนาง 


 


 


เขามิเคยพบเคยเห็นคนเช่นนี้เสียจริง เอ่ยว่าขี้ขลาดย่อมขี้ขลาด กรีดร้องขึ้นมาเอะอะจนคนแทบสิ้นชีพ เอ่ยว่าใจกล้าย่อมใจกล้า ใกล้สิ้นชีพยังกล้าเคลื่อนย้ายก้อนหินเขวี้ยงไปบนฟ้า เอ่ยว่าอัปลักษณ์ย่อมอัปลักษณ์ แววตาของสตรีนางหนึ่งยามมองบุรุษลุ่มหลงลึกล้ำ เอ่ยว่าสูงส่งย่อมสูงส่ง นอกจากเมื่อครู่ใต้น้ำที่ไร้หนทางจนต้องชิดใกล้ ยามปกตินางก็มิได้อิงแอบแนบชิด นางหน้าตางดงาม ทำให้มักถูกผู้อื่นใช้แววตาโลมเลีย ทว่านางคล้ายจะมิได้ใส่ใจ ซ้ำบางครายังชม้ายชายตา ทว่าในเบื้องลึกแววตานั้นแจ่มชัดว่ามิได้สนใจ 


 


 


เสียงตะโกนก้องของนางในพริบตาสุดท้ายก่อนถึงเสาหิน แต่เดิมเขามิควรเชื่อฟัง ทว่ายังทำตามคำสั่งของนางอย่างน่าอัศจรรย์ เช่นนั้นจึงรอดชีวิตมาได้ดั่งใจคิด…นางนับว่าเป็นสตรีมหัศจรรย์นางหนึ่ง 


 


 


หลังตกน้ำ เดิมทีเขาใช้ปราณเต่ารักษาบาดแผล มิกลัวจมน้ำสิ้นชีพเป็นแน่ ผู้ใดจะรู้ว่านางจะคว้าเขาลากไปลากมา รบกวนยามเขาปรับปราณ เขาจึงตระเตรียมแกล้งจมน้ำถ่วงรั้งนางไว้เพื่อทำให้นางสงบลง หวังเพียงเพื่อจะสั่งสอนนางให้อยู่ห่างจากเขาสักหน่อย แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่า… 


 


 


เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ใต้น้ำเมื่อครู่แล้วก็อดจะนึกถึงริมฝีปากที่ทั้งเย็นทั้งลื่นทั้งนุ่มของนางมิได้ ริมฝีปากนั้นเจือไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นรุนแรง แรงกัดแผ่วเบาปานนั้นได้ทลายฟ้าดินสงบเงียบของเขา หรือเพราะยามมัวสลัวเค่อนั้น เรือนร่างของนางเบียดเข้ามาแนบแน่นดุจธารนุ่มลื่น ผิวกายสัมผัสกันจนแทบจะลื่นไหลลงไปคล้ายแสงจันทราสาดส่องช่วงหนึ่ง ส่วนที่ซึ่งอยู่ใกล้หัวใจนั้นคือความแนบชิดนุ่มนวลอีกแบบหนึ่ง ลมหายใจและดินฟ้าผูกพันอย่างอ่อนโยนและแข็งแกร่ง ดวงใจคล้ายสั่นไหวระรัว ควบอาชาทะยานทางยาวไกล พริบตาเดียวจิตคำนึงถึงหมื่นลี้… 


 


 


เขาไอโขลกทุ้มต่ำเสียงหนึ่งโดยพลัน หลุบขนตาลงต่ำ 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองสีแดงระเรื่อผืนหนึ่งบนดวงหน้าหล่อเหลาของเขาอย่างสงสัย…อยู่ดีๆ เหตุใดถึงหน้าแดงขึ้นมา? 


 


 


“นี่” นางจี้ถามอย่างไร้ความเมตตาว่า “เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลยนะ” 


 


 


กงอิ้นเคลื่อนปราณไหลเวียน ลมปราณติดขัดที่บางแห่งบริเวณอกด้านซ้าย เขาขมวดคิ้วน้อยๆ รู้ว่าตนเองบาดเจ็บไม่เบา 


 


 


แม้ว่าจะตระเตรียมแผนการต่อกรเหยียลี่ว์ฉีเอาไว้นานแล้ว แต่ยามกระทำการกลับเป็นคืนฝนตกพอดี นี่นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ท่ามกลางฝนตกหนักสลัวเลือนราง แม้แต่เขายังตกหลุมพราง สายตามองเห็นจิ่งเหิงปัวพุ่งไปด้านหน้าโดยไม่ออมแรงไว้ ถึงอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้วิ่งไปยังหน้าผาจึงร่วงตามลงไปด้วย ยังดีที่ว่าได้เตรียมตัวไว้บ้างแล้ว เพียงแต่แรงปะทะยามร่วงหล่นนั้นมีมากเกินไปจึงได้รับบาดเจ็บภายในเล็กน้อย 


 


 


ภายหลังวาดฝ่ามือสิบกว่าครั้งใส่เสาหิน ผลาญพลังแท้จนสิ้น ซ้ำยังถูกสะท้อนกลับมา ยามนี้อวัยวะภายในร่างว่างเปล่า แขนซ้ายหักบาดเจ็บสาหัส พลังการรบของเขามีจำกัดในช่วงนี้ ยิ่งไร้หนทางปลดแก้ ‘ผนึกสวรรค์’ ที่ตระกูลเหยียลี่ว์คิดค้นขึ้นโดยเฉพาะชิ้นนี้ 


 


 


“มิอาจฟื้นคืนได้ดังเดิมในระยะเวลาอันสั้น” เขาเอ่ยว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ดูแลข้าสักครา” 


 


 


“ถุย!” นางตอบอย่างแจ่มแจ้มชัดเจน 


 


 


“แล้วเหล่าองครักษ์ของเจ้าเล่า ประเดี๋ยวพวกเขาน่าจะตามมาถึงที่นี่” 


 


 


“ไม่มีทาง” เขาตอบว่า “ดินโคลนปิดตายเส้นทางด้านนั้น กระทั่งอาจเปลี่ยนแปลงรูปร่างของภูเขาทางนั้นให้ไม่อาจสัญจรได้อีก ยามนี้ทางนี้เท่ากับเป็นที่ลุ่มแห่งหนึ่งของเทือกเขาอื่น ยังมิต้องเอ่ยว่าจะหาเจอหรือไม่ หวังจะข้ามมาแทบจะไม่มีเส้นทาง ภูผาใหญ่โตรกชัฎนี้ ผู้ใดจะรับปากได้ว่ายามตนเองตามหาจะหาได้ถูกแห่ง?” 


 


 


จิ่งเหิงปัวลองตรองเหตุผลข้อนี้แล้วก็อดจะสูญเสียกำลังใจไม่ได้ 


 


 


“หรือว่าเราจะต้องเป็นคนป่าอยู่ที่นี่หรือ? นานเพียงใดกัน สามวัน? ห้าวัน? หนึ่งเดือน? สองเดือน? โอ้ สวรรค์! ไม่เอานะ! ชีวิตเช่นนี้ไม่เหมาะกับข้า!” 


 


 


“อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่” กงอิ้นใช้น้ำเสียงจืดจางเอ่ยว่า “เจ้าควรจะคิดก่อนว่าจะต่อกรกับสัตว์ป่าอย่างไรดีกว่า” 


 


 


“สัตว์ป่าเร๊อะ?” 


 


 


คงเป็นเพราะเสียงของจิ่งเหิงปัวสูงเกินไป ทำให้กงอิ้นชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “อืม ส่วนใหญ่ยามนี้คงถูกเสียงกรีดร้องของเจ้าทำให้ตกใจจนวิ่งพล่านแล้ว” 


 


 


“เราจะทำเช่นไรกันดี” จิ่งเหิงปัวไร้กะจิตกะใจที่จะโต้เถียงคนปากคอเราะร้ายผู้นี้ ก้มหน้านวดข้อเท้าด้วยความเศร้าสร้อยพลางกล่าวว่า “ไม่มีกิน ไม่มีดื่ม ไม่มีความช่วยเหลือจากภายนอก ซ้ำยังบาดเจ็บอีก จะอยู่รอดในป่าดงพงไพรนี้ได้อย่างไรเล่า” 


 


 


“ข้ามีปาก เจ้ามีมือ” สีหน้าของกงอิ้นคล้ายมองนางปราดเดียวด้วยความประหลาดใจยิ่ง เอ่ยต่อว่า “จะมีที่ใดอยู่ไม่ได้เล่า” 


 


 


“เหตุใดจึงไม่เอ่ยว่าข้ามีปากเจ้ามีมือ?” จิ่งเหิงปัวเคืองขึ้นมา เหตุใดฟังความนัยนี้แล้ว ตนคล้ายต้องถูกแยกให้ไปทำเรื่องใช้แรงงาน? 


 


 


“เช่นนั้นย่อมได้” กงอิ้นเล็งแขนของนางปราดเดียวแล้วเอ่ยว่า “ข้าหักแขนสองข้างของเจ้า เจ้าไม่มีมือแล้ว ข้าอาจใคร่ครวญให้เราแลกเปลี่ยนกัน” 


 


 


จิ่งเหิงปัวแนบสองแขนไว้ตรงหน้าอก เพื่อป้องกันเจ้าคนใจอำมหิตคนนี้มีอาการดุร้ายเฉียบพลันจนหักแขนสองข้างของตนอย่างกะทันหัน 


 


 


ท่วงท่านี้ของนางเหมือนจะไม่เหมาะสมนัก คล้ายความยั่วยวนไร้วาจาประโยคหนึ่ง กงอิ้นหลุบตาลงต่ำโดยพลันแล้วเอ่ยว่า “ไปเถิด หาที่พักสักแห่งก่อน” 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองท่วงท่าของสองคนซึ่งถูกตาข่ายรัดไว้แนบแน่น กล่าวถามอย่างงุนงงว่า “จะเดินไปอย่างไร” 


 


 


“เจ้าแบกข้า” กงอิ้นตอบอย่างสมเหตุสมผล 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าตนเองหูหนวกไปวินาทีหนึ่ง หลังจากหนึ่งวินาทีนั้นนางก็พบว่าสีหน้าบนใบหน้าของมหาเทพกงนั้นสงบนิ่งเป็นพิเศษ 


 


 


จิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจยาว 


 


 


มหาเทพย่อมเป็นมหาเทพ กิริยาหน้าหนาคนธรรมดามิอาจเทียบเทียม 


 


 


“เจ้าแขนหัก แต่ขาก็ไม่ได้หักไปด้วย เหตุใดถึงเดินไปเองไม่ได้เล่า” 


 


 


กงอิ้นมองนางด้วยสายตาประหลาดปราดหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าท่าทางเช่นนี้เราสองจะเดินขึ้นมาได้หรือ?” 


 


 


คนสองคนในหนึ่งตาข่ายเดียวกัน คิดจะเดินไปด้วยกันก็ยากเสียยิ่งกว่าเดินคนเดียวอีก 


 


 


“แล้วเหตุใดมิใช่เจ้าแบกข้า?” 


 


 


“เพราะว่าข้าเท้าเจ็บเช่นกัน ซ้ำข้ายังต้องเร่งรีบปรับปราณ หากข้าฟื้นคืนกำลังกายแล้วจึงมีทางรอดมากขึ้น” กงอิ้นเหลือบมองนางอย่างตื้นเขินคราหนึ่ง เอ่ยสืบต่อไปว่า “ส่วนเจ้าต่อให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมยังเป็นได้เพียงมูลสัตว์ป่า มูลเสียได้ปลดปล่อยพละกำลังออกมาบ้างย่อมเป็นเกียรติของเจ้าแล้ว” 


 


 


นายสิอุจจาระ! ทั้งตระกูลนายเป็นอุจจาระกันหมด! 


 


 


จิ่งเหิงปัวอยากย่ำใบหน้าเย็นชานั้นให้กลายเป็นอุจจาระ แต่สีหน้าสุขุมของกงอิ้นบอกนางว่า หากเขาเอาจริงขึ้นมา นางต้องกลายเป็นอุจจาระนั่นแน่นอน 


 


 


“แบกอย่างไร” นางได้แต่กัดฟันถาม แอบใคร่ครวญว่าอดทนสิบปีค่อยแก้แค้นยังไม่สาย 


 


 


สองคนเกี่ยวพันแนบแน่น นางอยากจะคลานขึ้นมายังลำบาก 


 


 


“หาหนทางเอาเอง” มหาเทพตอบอย่างไม่รับผิดชอบ 


 


 


จิ่งเหิงปัวทักทายบรรพบุรุษสามรุ่นของเขาอยู่ในใจจนเสร็จสิ้นแล้วจึงฝืนใจคิดหาวิธีสักวิธี นางหมอบอยู่บนพื้นกลิ้งไปหลายรอบ หลังผ่านการกลิ้งไปหลายครั้ง กงอิ้นก็ถูกห่อคล้ายม้วนผ้านวมกลุ่มหนึ่งแล้วถูกแบกขึ้นหลังของนาง 


 


 


ท่วงท่านี้น่าเกลียดอยู่บ้าง นางลอบมองสีหน้าของกงอิ้นจากหว่างแขน ตัดสินใจว่าขอเพียงเขาเผยให้เห็นแววตาเย้ยหยันเพียงนิดเดียวนางจะเหวี่ยงเขาลงแม่น้ำไปเลย 


 


 


ยังดีที่ว่ากงอิ้นสุขุมเย็นชามาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาเพียงแค่กระตุกคิ้วเล็กน้อย ยามใบหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ สีหน้าสูงส่งเย็นเยียบ ยามเมื่อมีอารมณ์แม้เพียงน้อย สีหน้าดั่งลมวสันต์ละลายธาราน้ำแข็งหมื่นลี้ ทุกนิ้วล้วนเป็นแดนสวรรค์มวลผกาเบ่งบาน จิ่งเหิงปัวแอบมองด้วยแววตาลึกล้ำลุ่มหลง ความงามพาให้งงงวยจนรู้สึกว่าใช้แรงสักหน่อยก็ไม่ได้เสียหายอะไรไปชั่วขณะ 


 


 


นางอ้ำอึ้งอยู่เนิ่นนานยังไม่ได้ลุกขึ้นมา จากท่วงท่านอนหมอบยืนขึ้นมาอีกครั้งเดิมทีไม่ใช่เรื่องง่าย ซ้ำยังต้องแบกคนผู้หนึ่งเอาไว้ กงอิ้นที่อยู่บนหลังเคาะมือแผ่วเบาบนแนวหลังของนางโดยพลัน ยังไม่รู้ว่าเข้าใช้วิธีอะไรนางถึงรู้สึกได้ทันทีว่าความอบอุ่นสายหนึ่งพุ่งไหลเข้ากลางหลัง ทั่วร่างเบาโปร่งมีกำลัง โซเซเล็กน้อยแล้วยืนขึ้นมา 


 


 


“เมื่อครู่เจ้าถ่ายทอดพลังแท้ให้ข้าหรือ” แววตานางทอประกาย เอ่ยว่า “ให้อีกสักหน่อยสิที่รัก” 


 


 


“สิ่งของเลอค่าใช้กับเจ้ามากเกินไปนับเป็นความผิดพลาด” เขาตอบ 


 


 


จิ่งเหิงปัวคิดอยากเหวี่ยงเขาลงไปแรงๆ อีกครั้ง แต่ว่ากงอิ้นที่อยู่บนหลังดึงเปียผมของนางโดยพลันแล้วเอ่ยว่า “รีบไป” 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกไปครู่หนึ่งว่าตนเองคล้ายม้าตัวหนึ่งซึ่งถูกเสียงตะโกนควบให้เดินทาง ประโยคต่อมาคนเหนือศีรษะตนเองนั้นคงจะตะโกนว่า “ฮี้…ย่า!” 


 


 


ผมยาวของนางเป็นทรงลอนใหญ่ซึ่งปล่อยคลายสลาย ถักเป็นเปียหางม้าเพื่อให้สะดวกต่อการหลบหนี ตอนนี้เขาคว้าเปียผมไว้ในมือลงแส้นางนี้ดุจม้าที่ถูกเคี่ยวเข็ญ 


 


 


บนร่างกายถูกตาข่ายรัดไว้เดินได้ไม่รวดเร็วเลยสักนิด ดีว่าตาของตาข่ายใหญ่พอควรเท้าจึงยังพอจะยื่นออกไปได้ เพียงแต่ขยับได้ก้าวละเล็กละน้อย จิ่งเหิงปัวคิดอย่างหมดความหวังว่าหรือก่อนจะได้รับความช่วยเหลือ ตนเองกับกงอิ้นจะต้องอยู่ด้วยกันในตาข่ายคล้ายทารกแฝดหรือ? 


 


 


ยังดีที่กงอิ้นดูรูปร่างสูงแต่ตัวไม่หนัก เท้าของจิ่งเหิงปัวไม่ได้ออกแรงมาก นางไม่รู้แน่ชัดว่านี่คือผลจากพลังแท้ที่กงอิ้นมอบให้นาง 


 


 


การสวมรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่ง เดินบนเส้นทางขรุขระไม่ราบเรียบเช่นนี้เป็นความทรมานโดยแท้ แต่จิ่งเหิงปัวยังคงปีติยินดี โชคดีที่เท้าตนสวมรองเท้าส้นสูงสายรัดคู่ ไม่อย่างนั้นทั้งร่วงหน้า ทั้งตกน้ำ รวมทั้งความทรมานเป็นกระบุงก่อนหน้านี้ รองเท้าล้ำค่าคู่เดียวคู่นี้ยังจะอยู่รอดหรืออย่างไร? 


 


 


ทว่าพริบตาต่อมานางก็ได้ยินกงอิ้นเอ่ยว่า “เปลี่ยนรองเท้าเสีย” 


 


 


“ไม่เปลี่ยน” จิ่งเหิงปัวปฎิเสธทันที 


 


 


“หากเป็นเช่นนี้จนฟ้ามืดเจ้าก็คงยังเดินไปไม่ถึงที่ปลอดภัย” นิ้วของกงอิ้นวางพาดไว้บนคอหอยนางแผ่วเบา น้ำเสียงราบเรียบยิ่งเอ่ยว่า “สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อฟัง ยามปกติข้าไม่เอ่ยเป็นครั้งที่สอง” 


 


 


ไม่กล่าวรอบสอง แล้วคิดจะทำอะไร? 


 


 


จิ่งเหิงปัวคล้ายได้ยินลำคอของตนเองส่งเสียง “กึก!” เสียงหนึ่งดังชัดเจน 


 


 


นางรู้สึกว่าคนบนศีรษะผู้นี้ทำได้แน่นอน 


 


 


“เปลี่ยนรองเท้า!” นางหยุดลงด้วยโกรธเคือง คว้ารองเท้าหุ้มข้อบนเท้าเขามาเปลี่ยนพลางถอดรองเท้าของตนเองยัดไปในมือเขาแล้วเอ่ยว่า “หิ้วไว้ให้ข้าด้วย ห้ามทำหายล่ะ!” 


 


 


นางเปลี่ยนรองเท้าพลางบ่นพึมพำว่า “เหม็นจะตาย เหม็นจะตายแล้ว!” 


 


 


แน่นอนว่านี่คือคำลวง รองเท้าหุ้มข้อของกงอิ้นเย็นสบายสดชื่น ซ้ำยังประหลาดมาก ไม่รู้ว่าทำจากหนังอะไร ทั้งอ่อนนุ่มสวมสบาย หุ้มข้อเท้าแน่นหนา ส่วนบนของรองเท้าแนบผสานไปบนขาท่อนล่างดุจดั่งผิวกายอีกชั้นหนึ่ง กระทั่งในรองเท้าหุ้มข้อก็ไม่ได้เปียกชื้นแต่อย่างใด มีประสิทธิภาพในการกันน้ำเสียด้วย 


 


 


ยิ่งน่ามหัศจรรย์กว่านั้นคือ รองเท้าหุ้มข้อสีขาวหิมะที่สวมใส่มาตลอดเส้นทางย่อมแปดเปื้อนดินโคลนใบหญ้าไม่น้อย ทว่าเดินไปหลายก้าวกลับนึกไม่ถึงว่าดินโคลนใบหญ้าเหล่านั้นก็ค่อยๆ ร่วงหล่นลงไป บนหน้ารองเท้ายังคงไม่แปดเปื้อนฝุ่นผง 


 


 


จิ่งเหิงปัวค้นพบความมหัศจรรย์ของรองเท้าหุ้มข้อคู่นี้ อดสงสัยจนเอ่ยถามไม่ได้ว่า “นี่คือหนังอะไรหรือ ฉิบ กันน้ำกันฝุ่นได้โดยธรรมชาตินี่นา!” 


 


 


ในมือกงอิ้นหิ้วรองเท้าส้นสูงลายเสือดาวของนางไว้ ดวงตาพลันหรี่พินิจส้นสูงแหลมยาวดุจตะปูนั้น พลางเอ่ยตอบด้วยเสียงเฉื่อยเนือยว่า “หนังสัตว์ชนิดหนึ่งในบ่อโคลนฝูสุ่ย” 


 


 


“หนังสัตว์ชนิดนี้หากเอามาตัดเย็บเสื้อผ้าต้องสวมสบายพลิ้วลมเป็นแน่!” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวทอประกาย เบื้องหน้าปรากฏภาพของตนเองสวมใส่ขนสัตว์งดงามสีขาวหิมะ ไม่เปรอะฝุ่นธุลี ไม่เปื้อนลมและหิมะ ท่าทางสูงส่งน่าเคารพราวเทพยดาจุติ กรี๊ด… 


 


 


“สัตว์นี้สิบปีมีหนึ่งตัว เรี่ยวแรงมหาศาล ในปากมีของเหลวมีพิษ อุ้งเท้าทั้งสี่ดุจลิงยักษ์ ทั่วร่างฟันแทงไม่เข้า ซ้ำมีนิสัยดุร้ายชอบสังหาร สถานที่ที่เร้นกายผ่านในพันลี้ไร้สิ่งมีชีวิต ซ้ำมีเพียงขนและหนังบริเวณหัวใจที่ใช้ได้ นอกนั้นล้วนมีพิษร้าย เผ่าฝูสุ่ยก่อตั้งได้ร้อยปีเคยส่งบรรณาการหนังเช่นนี้ยังนครากษัตริย์เพียงสองครั้ง ว่ากันว่าการออกล่าจับกุมทุกครั้งต้องใช้กองทัพมากกว่าพันนาย บาดเจ็บล้มตายสาหัสนัก” 


 


 


“ล้ำค่าขนาดนี้เชียว!” จิ่งเหิงปัวเอ่ยอย่างเพ้อฝันว่า “ยังมีหนังอีกผืนอยู่ที่ใด พระราชวังหรือ? นี่คือเครื่องบรรณาการที่ถวายให้ราชินีใช่หรือไม่? ข้านำไปทำผ้าพันคอได้ไหม” 


 


 


“ยังมีอีกผืน” กงอิ้นวิเคราะห์สายรัดบนรองเท้าของนาง ตอบอย่างอ้ำอึ้งว่า “ทำผ้าเช็ดมือของข้าไปแล้ว” 


 


 


จิ่งเหิงปัวนิ่งงัน “…” 


 


 


นางอยากจะใช้แรงโยนเจ้าคนฟุ่มเฟือยสิ้นเปลืองและใช้อำนาจบาตรใหญ่เหนือขุนนางผู้นี้ลงไปในโคลนตม! 


 


 


แต่ว่าสุดท้ายนางได้แต่ใช้แรงเหยียบย่ำรองเท้าหุ้มข้อของกงอิ้นลงไปในโคลนเลนมากขึ้น 


 


 


ริมฝั่งแม่น้ำมีกลุ่มก้อนขนาดใหญ่แปลกประหลาดก้อนหนึ่งกำลังเคลื่อนไหว ด้านล่างคือสตรีที่เคลื่อนกายไปเบื้องหน้าอย่างยากลำบาก ตรงกลางคือบุรุษที่สบายกายสบายใจ ในมือบุรุษนั้นยังกวัดไกวรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่ง ถุงตาข่ายเส้นไหมพาดไว้บนกายทั้งสองคน 


 


 


“เจ้าชักช้ายิ่งนัก” เจ้าคนนั้นหลับตาอยู่ สายรัดบางของรองเท้าส้นสูงกวัดแกว่งไปมาบนปลายนิ้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวสองมือกอดอกไว้ไม่อยากโต้เถียง อยากเพียงทำท่าทุ่มเหนือไหล่สักครั้ง 


 


 


“ไม่ต้องเดินไปเบื้องหน้า เดินไปทางทิศตะวันตกที่พืชพันธุ์แน่นหนา” ทหารม้าควบองค์ราชินีไว้พลางออกคำสั่งใหม่ 


 


 


“ข้าคล้ายจะมองเห็นถ้ำแห่งหนึ่งเบื้องหน้า” จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าถ้ำคืออุปกรณ์ประกอบฉากที่ต้องตระเตรียมเมื่อตัวละครหลักในนวนิยายทุกประเภทออกผจญภัย 


 


 


“อยากอยู่กับสัตว์ร้ายเจ้าก็ไปเสียเอง” 


 


 


“ทางตะวันตกพืชพันธุ์ป่าไม้เขียวชอุ่ม แล้วจะไม่มีสัตว์ร้ายหรือ” จิ่งเหิงปัวไม่พอใจ ไม่เชื่อว่าเขาอยู่ห่างขนาดนี้ยังล่วงรู้ได้ว่าในถ้ำนั้นมีสัตว์ป่า เจ้าคนนี้อยากจะทรมานตนเองชัดๆ! 


 


 


“สตรีมากวาจา ดวงหน้าอัปลักษณ์” เขาตอบ 


 


 


จิ่งเหิงปัวไปทางทิศตะวันออกอย่างขมขื่น พืชพรรณต้นไม้ใบหญ้าในป่าหนาแน่น เดินเท้ายิ่งลำบากยากเข็ญ นางเริ่มยินดีที่ได้เปลี่ยนรองเท้า ไม่อย่างนั้นเท้าคงเหยียบย่ำจนพังไปแล้ว 


 


 


นางเองรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เดินเท้ามาหลายลี้แล้ว ตนเองยังแบกคนผู้หนึ่งไว้ ไม่เพียงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย หน้าอกอึดอัดหายใจไม่ออกอยู่บ้างด้วยเพราะไหลร่วงจากหน้าผาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ก็โล่งโปร่งขึ้นมามากแล้ว 


 


 


แต่ว่ากงอิ้นที่อยู่บนหลัง มหาเทพถูกแบกเอาไว้กลับคล้ายมิได้เสพสุข เอ่ยวาจาน้อยครั้ง ปริปากบางครั้งบางคราคล้ายมีความเหนื่อยล้าเจือปนอยู่ด้วย 


 


 


บาดแผลกำเริบจนตายเลยน่าจะดี! นางคิดอย่างรังเกียจ 


 


 


ป่าผืนนี้คงเป็นป่าที่ไม่เคยมีใครมาเป็นแน่ พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ต้นไม้อวบหนาแข็งแรง ยังมีต้นไม้เก่าแก่อายุมากกว่าร้อยปี 


 


 


เหนือศีรษะคล้ายมีเสียงซู่ๆ ใบไม้ยุ่งเหยิงดังพึ่บพั่บรอบหนึ่ง จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นมองเห็นท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยกิ่งใบเขียวขจีอย่างผิดปกติ คล้ายมีเงาดำสายหนึ่งกะพริบวูบผ่าน 


 


 


“เหมือนจะ…มีตัวอะไรสักอย่าง!” นางกล่าวอย่างตกตะลึง

 

 

 


ตอนที่ 32

 

ร่วมรสร่วมรัก

 


 


 


 


“เหมือนจะ…มีตัวอะไรสักอย่าง!” นางกล่าวอย่างตกตะลึง 


 


 


“เจ้าหูฝาด” กงอิ้นมีท่าทีไม่ใส่ใจยิ่งนัก 


 


 


เสียง สวบ! เสียงหนึ่งดังแผ่วเบาอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวรู้สึกคล้ายกับว่ามีลมหอบหนึ่งแฉลบผ่านข้างกายไป นางยื่นมือออกไปไขว่คว้า จนลูบเจอสิ่งที่มีขนรุงรังอะไรสักอย่าง ขณะที่นางกำลังจะคว้าออกมาด้านนอก เบื้องหน้าก็มีใบไม้กลุ่มหนึ่งที่เด้งขึ้นมาอย่างกะทันหัน ใบไม้ขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือตบลงบนใบหน้าของนางเสียจนดวงตาของนางเจ็บปวด 


 


 


จิ่งเหิงปัวคว้าใบไม้ออกมาจากดวงตาด้วยท่าทางโกรธเคืองแล้วกล่าวว่า “มีตัวอะไรสักอย่าง!” 


 


 


ท้องฟ้าค่อยๆ มืดมิดลงแล้ว แสงสว่างยามพลบค่ำถูกกลบกลืนด้วยใบไม้ร่วงหล่นบนพื้นและใบหน้าของทั้งสอง แม้เป็นเพียงลวดลายมืดมิดกลุ่มหนึ่ง ทว่าในดวงตาของจิ่งเหิงปัวคล้ายแกว่งไกวด้วยเงาดำนับไม่ถ้วน นางเหน็บหนาวสั่นสะท้าน 


 


 


“ป่านี่อยู่ไม่ได้! มีตัวอะไรสักอย่าง! มีผี!” นางกรีดร้องเสียงแหลมว่า “เราออกไปกันเถอะ!” 


 


 


คำตอบของกงอิ้นคือการตบหลังศีรษะของนางครั้งหนึ่งเหมือนตบสุนัขตัวน้อยที่เกิดโง่เง่าขึ้นมา 


 


 


ในพงไพรพลบค่ำ คล้ายกับมีเสียงหัวเราะแปลกประหลาดดังคิกๆ คักๆ แว่วเข้ามา 


 


 


“ออกไปได้หรือไม่” จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้เอาเรื่องกับพฤติกรรมเสียนิสัยของกงอิ้น นางคว้ารองเท้าส้นสูงที่แกว่งไกวในมือของเขาเอาไว้พลางออดอ้อนว่า “ป่านี้มีผีจริงๆ นะ!” 


 


 


กงอิ้นจ่อส้นของรองเท้าส้นสูงไว้ตรงปากของนาง 


 


 


“ส้นรองเท้านี้แหลมยิ่งนัก” เขาเอ่ย 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันทีที่เอารองเท้าไปให้เขาถือ เอาไว้ในมือตนเองอย่างน้อยก็ยังเป็นอาวุธสังหารได้ชิ้นหนึ่ง! 


 


 


ไม่มีอาวุธสังหาร แต่นางก็ยังมีพลังพิเศษ นางสูดลมหายใจ สายตาทอดมองลงไปบนเศษหินก้อนหนึ่งไม่ไกลนักบนพื้น 


 


 


ขนาดกำลังพอดี ด้วยสภาพฟื้นคืนบ้างแล้วของนางในตอนนี้ คงจะพอไหว… 


 


 


“เอาเถิด ไปก็ไป เกิดเรื่องขึ้นมาเจ้าก็ต้องปกป้องข้านะ ไม่อย่างนั้นหากข้าตายแล้ว เจ้าคงต้องถูกมัดไว้ในตาข่ายเดียวกันกับซากศพ” สายตาของจิ่งเหิงปัวทอดมองลงบนหินก้อนนั้นเอ่ยว่า “ข้าเหนื่อยจัง เราหยุดพักสักประเดี๋ยวได้หรือไม่” 


 


 


กงอิ้นไม่ได้เอ่ยวาจา จิ่งเหิงปัวหยุดลงอย่างคิดเองเออเอง ร่างพิงอยู่กับริมต้นไม้ต้นหนึ่ง ตำแหน่งนั้นพอดีเสียจนทำให้กงอิ้นมองไม่เห็นก้อนหินนั้น แน่นอนว่าหากเขาขยับศีรษะสักหน่อย ก็ยังคงมองเห็นได้ 


 


 


เพื่อไม่ให้เขาขยับศีรษะ จิ่งเหิงปัวก็ได้แต่ขยับปากทำลายสมาธิของเขา 


 


 


“ข้าเล่านิทานให้เจ้าฟังสักเรื่องแล้วกัน กาลก่อนมีเจ้าลิงน้อยตัวหนึ่ง เขามีศิษย์น้องชายสามคน คนแรกนามว่าราชาปีศาจกระทิง คนสองนามว่าเด็กแดง คนสุดท้ายนามว่าเทพจื่อสยา…” 


 


 


สายตาทอดลงบนก้อนหิน ก้อนหินลอยขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ดีมาก ผ่านขั้นแรก! 


 


 


“เจ้าลิงได้กล่องแสงจันทร์ใบหนึ่งมาโดยไม่ได้ตั้งใจ…” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวจ้องมองหินก้อนนั้นแล้วกล่าวต่อไปว่า “กล่องวิเศษกล่องนี้สามารถพาคนย้อนกลับไปในอดีตเพื่อมองเห็นผู้ที่มีบุญกรรมสามชาติภพกับตน…” 


 


 


ก้อนหินเคลื่อนไหวไปด้านข้าง ดีมาก ผ่านขั้นที่สอง! 


 


 


“เจ้าลิงใช้กล่องแสงจันทร์ย้อนกลับไปในอดีต พบว่าตนเองเป็นเพื่อนร่วมหอพักสามชาติภพของราชาปีศาจกระทิง…” 


 


 


“สิ่งใดคือเพื่อนร่วมหอพัก” 


 


 


“คือผู้ที่นอนด้วยกัน” จิ่งเหิงปัวตอบโพล่งมา ไอ้หยา ก้อนหินขยับออกมาครึ่งเมตรแล้ว! 


 


 


กงอิ้นคล้ายจะ “อ้อ” ออกมาเสียงหนึ่ง เสียงนั้นมีความนัยลึกล้ำอยู่บ้าง แต่ว่าขณะนี้จิ่งเหิงปัวสนใจเสียที่ไหน 


 


 


“เพื่อนร่วมหอพักในชาติภพแรกนามว่าจวินเคอ เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย เพื่อนร่วมหอพักในชาติภพที่สองนามว่าไท่สื่อหลัน เป็นยัยผู้ชาย เพื่อนร่วมหอพักในชาติภพที่สามนามว่าเหวินเจิน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหาร วลีเด็ดของนางคือ ‘เนื้อคู่ที่ดีเหมือนวัตถุดิบอาหารชั้นดี’ ใช้วัตถุดิบมากไปสิ้นเปลืองกำลัง ต้องพิถีพิถันรสชาติน้ำเนื้อดั้งเดิม กินเรียบเกลี้ยงจานว่องไวไปผุดไปเกิดไวว่อง” 


 


 


“สิ่งใดคือเนื้อคู่ที่ดี” 


 


 


“ผู้ที่เจ้าอยากร่วมหลับนอนด้วยคนนั้น…อย่าส่งเสียงสิ อย่ารบกวนจินตนาการของข้า” จิ่งเหิงปัวบังคับก้อนหินเลี้ยวครั้งหนึ่งอ้อมไปด้านหลังของทั้งสองคน 


 


 


“อ้อ” 


 


 


“เจ้าลิงมองดูทั้งสามชาติภพของราชาปีศาจกระทิงจนจบแล้วก็ได้พลัดพรากจากเขา ยามที่เจ้าลิงกำลังคิดจะมองดูสามชาติภพของเด็กแดงก็ได้พานพบสตรีนางหนึ่งนามว่าเจินหวน เจินหวนเอ่ยกับเขาว่าเด็กแดงคืออันหลิงหรงศัตรูเก่าแก่ในชาติภพก่อนของเขา ชอบสวมใส่อาภรณ์สีขาวและสวมใส่ไข่มุก จิตใจเ**้ยมโหดวรยุทธ์ไร้จำกัด ซ่อนเร้นตัวตนซุ่มโจมตีอยู่ข้างกายเขาเพื่อวันหนึ่งวันใดจะได้กินเนื้อของเขา หากอยากเอาชนะเด็กแดงย่อมต้องร่วมมือกับเทพจื่อสยา…” 


 


 


จิ่งเหิงปัวตั้งใจพูดจามั่วซั่ว หินก้อนนั้นเข้าใกล้สองคนแล้ว! 


 


 


กงอิ้นฟังอย่างตั้งใจไม่เบา เอ่ยติเตียนว่า “นิทานเรื่องนี้ของเจ้าคล้ายจะมั่วซั่วไปสักหน่อย” 


 


 


“เจ้าจะเข้าใจอะไร จุดสุดยอดของนิทานอยู่ภายหลังต่างหาก” จิ่งเหิงปัวกลอกตาหนึ่งครั้ง อืม ก้อนหินพลิกเล็กน้อย ด้านแหลมคว่ำลง 


 


 


“ยามนี้เทพจื่อสยากลับชาติมาเกิดใหม่ในห้าร้อยปีก่อน เจ้าลิงใช้กล่องแสงจันทร์ย้อนกลับไปในห้าร้อยปีก่อน ดึงกระบี่จื่อชิงที่เทพจื่อสยาเก็บรักษาไว้ออกมา เทพจื่อสยายินยอมสมรสกับเจ้าลิงแล้วกลับไปปราบเด็กแดงด้วยกัน…” 


 


 


“เจ้าเพิ่งเอ่ยว่าเทพจื่อสยาคือศิษย์น้องชายของเจ้าลิง” กงอิ้นฟังแล้วมีช่องโหว่จึงเอ่ยทักขึ้นมา 


 


 


“ข้าได้เอ่ยว่าเจ้าลิงเป็นเพศผู้หรือ? อีกอย่างต่อให้เป็นบุรุษเพศ พวกเขาจะเป็นเกย์กันมิได้หรือ?” 


 


 


จิ่งเหิงปัวฉวยโอกาสนี้หันหน้าไปถลึงตาใส่เขา เมื่อกลอกสายตา อื้อหือ! ก้อนหินเคลื่อนมาถึงฝั่งขวาด้านหลังของนางแล้ว 


 


 


เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กงอิ้นพบเจอ นางหันหน้ากลับมาทันที 


 


 


“เจ้าไม่รู้ว่าเกย์คืออะไรใช่ไหมเล่า” เพื่อทำลายสมาธิของเขา นางก็ชิงตอบเสียเองว่า “ก็คือบุรุษรูปร่างหน้าตางดงามสองคน ที่ร่วมรสร่วมรักด้วยกัน อืม ดั่งเช่นเจ้ากับเหยียลี่ว์ฉี…” 


 


 


พอนึกถึงภาพกงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉีมีอะไรกัน สาววายขั้นสูงสุดในโลกปัจจุบันอย่างจิ่งเหิงปัวก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายจนเกือบจะลืมหินก้อนนั้นเสียแล้ว 


 


 


ก้อนหินมาถึงด้านหลังข้างกายนาง จิ่งเหิงปัวใช้สายตามองอีกไม่ได้แล้วจึงใช้ความคิดเคลื่อนย้ายก้อนหินแทน นางหลับตาลงพร้อมกับควบคุมก้อนหินให้เคลื่อนไหวไปทางกงอิ้นทีละเล็กละน้อย 


 


 


“…ถึงครึ่งทางเทพจื่อสยาพลัดหลงอยู่ในทะเลทราย ถูกอันหลิงหรงที่ชอบสวมอาภรณ์สีขาวและชอบสวมไข่มุกลักพาตัวไปบีบบังคับให้สมรสด้วย เจ้าลิงขี่เมฆาห้าสีมาช่วยจื่อสยา ช่วงเวลาสำคัญ…” 


 


 


ก้อนหินเฉียดผ่านศีรษะของนางดังฟิ้ว อีกเดี๋ยวจะถึงเหนือศีรษะของกงอิ้น จากนั้นก็จะทุบจนเขาสลบไสล นางก็จะหนีไปจากป่าผีสิงแห่งนี้ได้ รอให้ไปจากที่นี่แล้วเขายังจะเอ่ยอะไรได้อีก? งานใหญ่สำเร็จลุล่วง! 


 


 


“เจ้าลิง!” พอถึงช่วงเวลาสำคัญกงอิ้นตะโกนขึ้นมาทันใด 


 


 


“อ๊ะ?” จิ่งเหิงปัวหันหน้ามาโดยจิตสำนึก ความคิดพลันหยุดแล่น 


 


 


จากนั้นนางจึงรู้ว่าแย่แน่ แต่ว่าไม่ทันการเสียแล้ว 


 


 


เพี้ยะ! 


 


 


วัตถุสีดำขลับก้อนหนึ่งซึ่งด้านแหลมคว่ำลงร่วงจากฟ้าหล่นใส่ศีรษะนางเสียงดังกังวานแจ่มชัด 


 


 


เมฆาห้าสีล่องลอยเอย เคียงคู่ดวงดาราเอย… 


 


 


ตุ้บ! 


 


 


… 


 


 


กงอิ้นก้มหน้าลงมองจิ่งเหิงปัวที่ถูกก้อนหินที่นางเองควบคุมร่วงใส่จนล้มลง 


 


 


“เจ้าลิงเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าเล่านิทานได้ย่ำแย่ยวดยิ่งนัก” 


 


 


ผ่านไปชั่วครู่เขาคิดแล้วใช้ปลายเท้าเขี่ยจิ่งเหิงปัว 


 


 


“ส่วนนามว่าอันหลิงหรงนามนี้ ข้าไม่ชอบ” 


 


 


… 


 


 


“…โอ๊ยมารดาข้าเถอะ ไอ้ติ๊งต๊องตัวไหนเขวี้ยงหินใส่ข้า!” 


 


 


ชั่วพริบตาแรกที่จิ่งเหิงปัวฟื้นขึ้นมาก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดบริเวณหน้าผาก นางพาลด่าออกมาโดยไม่ได้ไตร่ตรอง หลังจากด่าเสร็จความคิดโลดแล่นเช่นเดิมแล้วจึงคิดเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้ 


 


 


นางรีบหุบปากแน่นพลางลืมตาขึ้นมา 


 


 


มีเสียงเฉื่อยเนือยสงบเงียบเสียงหนึ่งถามนางว่า “ไอ้ติ๊งต๊องหมายความว่ากระไร” 


 


 


“เฉลียวฉลาดสมบูรณ์พร้อม” นางตอบโต้รวดเร็วยิ่ง 


 


 


กงอิ้นไม่ได้เอ่ยวาจาแล้ว จิ่งเหิงปัวจึงกวาดตามองรอบด้านครู่หนึ่ง แล้วเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง 


 


 


ตาข่ายเหมือนจะหายไปแล้ว ตนเองอยู่ในห้องแห่งหนึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ห้องเล็กมาก กว้างเพียงแค่สองถึงสามตารางเมตร ใต้ร่างกายคือใบไม้แห้งกองหนา ทั้งสี่ด้านเป็นกำแพงสีดำ บนกำแพงคล้ายมีเส้นสีขาวเทาหลายเส้น 


 


 


ที่นี่คือที่ไหน 


 


 


นางรู้สึกว่าตนเองไม่ได้สลบไปนานเท่าไร ในระยะเวลาสั้นๆ นี้ กงอิ้นยังได้รับบาดเจ็บ จะพานางเดินออกมาจากป่าได้อย่างไร ซ้ำยังหาห้องอย่างนี้เจออีกด้วยเหรอ? 


 


 


แล้วตาข่ายที่ว่ากันว่าปลดแก้ไม่ได้ในระยะเวลาอันสั้นล่ะ? 


 


 


กงอิ้นทำได้อย่างไร? เขามีถุงเฉียนคุน[1]เหรอ? พลังเคลื่อนย้ายจักรวาล[2]เหรอ? ย่นพสุธาพันลี้เหรอ? ถุงจักรวาล[3]เหรอ? หรือมีแหวนสะสมพลังเวทย์? 


 


 


กงอิ้นนั่งปรับปราณโดยหันหลังให้นาง จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ในทันทีว่าใต้ร่างของตนเองแปลกประหลาดเล็กน้อย นางขยับกายนิดหน่อยก็พบทันทีว่ามีวัตถุอะไรสักอย่างดึงรั้งไว้ เมื่อก้มหน้ามอง เอ๋ เชือกตาข่ายเหรอ? 


 


 


ตาข่ายยังอยู่เหรอ? 


 


 


เช่นนั้นร่างกายของสองคนทำไมไม่ได้มัดอยู่ด้วยกัน? 


 


 


นอกจากนั้นแล้ว รูปร่างของห้องนี้คล้ายเกิดความเปลี่ยนแปลงตามการเคลื่อนไหวของนางเช่นกัน สี่ทิศแว่วเสียงเคลื่อนไหวซู่ๆ ระลอกหนึ่ง กลิ่นอายเขียวฝาดเข้มข้นของต้นไม้ใบหญ้าหอบหนึ่งพวยพุ่งมา 


 


 


“เจ้าติ๊งต๊อง อย่าขยับมั่วซั่ว” 


 


 


จิ่งเหิงปัวนิ่งงัน “…” 


 


 


หลังจากหายใจเข้าลึกๆ สามเฮือก นางก็กลั้นความใจร้อนอยากจะควบคุมวัตถุเขวี้ยงใส่คนอีกครั้งไม่ไหว พอเงยหน้ากวาดตามองรอบด้านอีกครั้ง ตอนนี้เพิ่งจะพบว่าทั้งสี่ด้านไม่ใช่ผนังแต่เป็นตาข่าย ตาข่ายถูกกางออกกลายเป็นทรงสี่เหลี่ยม กำแพงสีเขียวคล้ำเหล่านั้นคือใบไม้ ใบไม้พันเกี่ยวเชือกตาข่ายขัดขวางลมและแสงสว่างไว้แน่นหนา บดบังกระทั่งทัศนวิสัย 


 


 


เหนือศีรษะคล้ายเป็นกิ่งก้านแห้งอวบแข็งแรงของต้นไม้แก่พันปีต้นหนึ่งซึ่งกลายเป็นหลังคา รองเท้าส้นสูงของนางตรึงอยู่ที่มุมด้านบน ขึงสองมุมของเชือกตาข่ายให้กางออก สองมุมที่เหลือแต่ละมุมใช้กิ่งไม้แหลมคมแข็งแรงสองกิ่งขึงเอาไว้ 


 


 


นางกะพริบตาปริบๆ นึกไม่ถึงว่ารองเท้าส้นสูงยังนำไปใช้สอยแบบนี้ได้ 


 


 


สี่มุมด้านล่างกลับใช้ก้อนหินก้อนใหญ่สี่ก้อนทับเอาไว้ แบบนี้ตาข่ายทั้งผืนก็กลายเป็นห้องตาข่ายคลุมด้วยใบไม้ห้องหนึ่ง ตำแหน่งอาจเลือกอยู่ใต้ต้นไม้โบราณต้นใดต้นหนึ่ง 


 


 


ใต้ร่างกายยังมีเสียงน้ำดังจ๋อมแจ๋มคล้ายยังมีลำธารสายหนึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียง นับเป็นสถานที่ดีงามน่าอัศจรรย์เสียจริง 


 


 


ต้องกล่าวว่ากงอิ้นดูท่าทางสูงส่งยิ่งใหญ่เลิศล้ำ ยามลงมือเอาจริงขึ้นมาทั้งมีประสิทธิภาพและมีสติปัญญายิ่งนัก มีเพียงฟ้าที่รู้ว่าเขาคิดค้นห้องตาข่ายนี้ได้อย่างไร แบบนี้ทั้งกันลมได้ ทั้งหลุดพ้นจากการบีบรัดของตาข่าย ซ้ำยังอำพรางได้ดีเยี่ยม สัตว์ร้ายในป่ายากจะหาพบเจอ 


 


 


จิ่งเหิงปัวทดสอบเชือกตาข่าย ประสิทธิภาพการยืดหดของตาข่ายนี้ดีมาก แต่ตอนนี้ก็ยืดออกถึงขีดจำกัดแล้ว ตาตาข่ายทำได้มากสุดเพียงยื่นกำปั้นหนึ่งออกไปเท่านั้น อยากจะพ้นจากการมัดยังเป็นไปไม่ได้ 


 


 


แต่ว่าต่อให้เป็นแบบนี้ เทียบกับการบุกป่าฝ่าดงยากลำบากในครึ่งชั่วยามก่อน จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าได้ขึ้นสวรรค์ไปชั่วขณะ 


 


 


น่าเสียดายว่าห้องตาข่ายนี้เตี้ยไปหน่อย ไร้หนทางยืดตัวตรง นางต้องอยู่ในสภาวะที่ร่างกายเป็นอิสระและยืดตัวตรงจึงจะสามารถเคลื่อนย้ายหายตัวได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคงได้เป็นอิสระแล้ว 


 


 


เสียงท้องกำลังร้องโครกคราก จิ่งเหิงปัวกลัดกลุ้มอยู่บ้าง ห้องตาข่ายนี้แม้ว่าจะดี แต่จำกัดการเคลื่อนไหวร่างกาย แบบนี้จะไปล่าสัตว์หรือเก็บผลไม้ป่าที่สามารถกินได้ได้อย่างไร? รู้อย่างนี้เมื่อครู่ฉวยโอกาสเก็บมาบ้างตั้งนานแล้ว 


 


 


“นี่” นางใช้ปลายเท้าเขี่ยหลังของกงอิ้นแล้วกล่าวว่า “มีหนทางหาของกินบ้างหรือไม่” 


 


 


กงอิ้นเบี่ยงกายเล็กน้อย หางตาหลุบต่ำลงครั้งหนึ่ง มองเห็นหลังเท้าหดเกร็งของนางขาวใสนุ่มลื่นราวหิมะ เล็บเท้าทาสีแดงสว่างในถุงเท้าโปร่งแสงโผล่ออกมารำไร สีสดใสจนคล้ายเปลือกหอยสีแดงที่ถูกขัดเงา แสงสลัวเลือนรางกับถุงเท้าเบาบางบดบังแนวสายตา ทว่ายิ่งเพิ่มความเย้ายวนด้วยเหตุนี้ 


 


 


การแต่งกายและท่วงท่าเช่นนี้ หากอยู่ในต้าฮวงคงจะสามารถลงโทษนางในข้อหา ‘กำเริบเสิบสานไร้ความเคารพ’ ได้ข้อหนึ่ง 


 


 


เขาไม่ได้เอ่ยวาจา วัตถุทรงกลมลูกหนึ่งในมือเด้งออกมาเพียงครั้ง 


 


 


“โอ๊ย” หลังเท้าของจิ่งเหิงปัวถูกเขวี้ยงวัตถุใส่จนต้องรีบเร่งหดเท้า ตอนนี้จึงพบว่ามีผลไม้กลิ้งอยู่บนพื้น นางหยิบขึ้นมาเช็ดเปลือกผลไม้ พอกัดลงไปจึงส่งเสียง “โอ๊ย” อีกครั้ง 


 


 


ฝาดชะมัด! 


 


 


จิ่งเหิงปัวทำหน้ายู่ จะอ้วกก็เสียดายแต่จะโยนทิ้งก็ลังเล มองเห็นในมือกงอิ้นไม่มีผลไม้อย่างอื่นแล้ว ของกินคงไม่ใช่สิ่งนี้หรอกมั้ง? 


 


 


“เจ้าติ๊งต๊อง กินไม่กินแล้วแต่เจ้า” เขายังคงใช้น้ำเสียงเฉื่อยเนือยทำให้คนอื่นโกรธแทบตายเสียงนั้น 


 


 


“เจ้าสิเจ้าติ๊งต๊อง! ทั้งตระกูลเจ้านามว่าเจ้าติ๊งต๊อง!” จิ่งเหิงปัวกัดผลไม้อย่างรุนแรงคำหนึ่งด้วยอดรนทนไม่ได้ ดุจดั่งสิ่งที่กัดลงไปคือใบหน้าของกงอิ้นพลางเอ่ยว่า “พี่ชื่อว่าจิ่งเหิงปัว! คำว่าเหิงจากยลข้างเห็นยอดผา ยลหน้าเห็นเทือกเขา คำว่าปัวจากคลื่นใหญ่โค้งเว้า!” 


 


 


กล่าวไปพลางเบี่ยงกายดันหน้าอก ใช้เส้นละติจูด ลองติจูดจริงแท้แสดงสิ่งที่เรียกว่าความแท้จริงของคลื่นใหญ่และเทือกเขา 


 


 


น่าเสียดายว่าสายตาหวานคล้ายทำให้คนตาบอดดู กงอิ้นไม่ได้เหลือบมองแม้แต่ปราดเดียว เขากำลังกินผลไม้  


 


 


กลิ่นหอมหวานตลบอบอวลออกมา ในอากาศคล้ายเปี่ยมไปด้วยกลิ่นน้ำผึ้งและกลิ่นหอมสดชื่นเป็นเอกลักษณ์หอบหนึ่ง จิ่งเหิงปัวมองดูผลไม้อวบอิ่มกลมลื่นสีม่วงในมือเขาอย่างสงสัย แล้วมองดูผลไม้ผอมแกร็นสีเขียวในมือตนเอง ฉับพลันก็ย่นจมูกเข้าไปดมกลิ่น ฉิบ ไม่มีกลิ่นหอมแต่มีกลิ่นฝาดเจือจางหอบหนึ่ง 


 


 


ผลไม้ที่เขากินมีกลิ่นอายแบบนี้ ต้องหวานมากแน่ๆ! 


 


 


ไอ้เลวแบ่งผลไม้ฝาดให้นาง ส่วนตนเองกินผลไม้หวานเหรอ? 


 


 


ซ้ำยังไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวแล้วผลไม้มาจากไหน? 


 


 


จิ่งเหิงปัวจ้องเขาอย่างสงสัย มองเห็นกงอิ้นกินผลไม้เสร็จแล้วฉวยมือดีดเมล็ดผลไม้ลอดผ่านช่องว่างออกไป เงาดำกะพริบวูบฉับพลันในช่องว่าง รอให้กงอิ้นหดมือกลับมาในฝ่ามือมีผลไม้เพิ่มมาหลายลูกอีกครั้ง มีผลไม้สีม่วง ผลไม้สีเหลืองและผลไม้สีเขียว 


 


 


เบื้องนอกใบไม้ดังซู่ๆ คล้ายมีตัวอะไรลอยผ่านเหนือศีรษะ… 


 


 


จิ่งเหิงปัวขนลุกชันขึ้นมาทั่วร่าง คำว่า “มีผี” คำหนึ่งจะโพล่งออกมาจากปากอีกครั้ง 


 


 


กงอิ้นโยนผลไม้สีเหลืองหนึ่งผลมาอุดเสียงร้องตกใจของนางไว้ 


 


 


ผลไม้ลูกนี้ก็ไม่ได้อร่อยอะไรนักหรอก จิ่งเหิงปัวจ้องผลไม้หอมหวานของเขาอยากกินจนน้ำลายไหลน่าเสียดายว่าลูกไม้ใช้สายตาบ่งบอกเป็นนัยนี้ไม่ได้มีผลต่อมหาเทพกงแม้แต่น้อย จิ่งเหิงปัวได้แต่ดมกลิ่นหอมที่ทำให้คนลุ่มหลงนั้นพลางแทะผลไม้ฝาดของตนเงียบเชียบด้วยท่าทีแอบโกรธเคือง 


 


 


แต่ว่านางไม่ได้ถอดใจ 


 


 


ในกลุ่มสี่คนของสถาบันวิจัย จิ่งเหิงปัวเป็นคนหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับว่ามีนิสัยแปลกประหลาดที่สุด นางหัวไวกว่าจวินเคอ แต่ไม่หัวแข็งเหมือนไท่สื่อหลัน และไม่ได้คิกขุอ่อนหวานเท่าเหวินเจิน นางเจ้าชู้แต่ไม่สำส่อน นางขี้เกียจกลัวเกิดเรื่อง แต่ไม่ได้เกียจคร้าน นางเรื่อยเฉื่อยไม่ใส่ใจ แต่ละเอียดรอบคอบ นางดูคล้ายตามใจตน แต่รู้จักเทียมทันสถานการณ์ นางไม่ใจร้อน แต่ไม่ขาดความกล้าหาญ ในยามคับขันแน่นอน นาง…ใช้คำวิจารณ์ของไท่สื่อหลันกล่าวได้ว่า กระบอกหมื่นดอกไม้หลายสีสัน ปั้นกลมบีบแบนดั่งดินน้ำมัน 


 


 


พูดง่ายๆ ก็คือไร้กฎเกณฑ์ 


 


 


เพราะว่าไร้กฎเกณฑ์ นางจึงมีนิสัยยืดหยุ่นสูง ไม่เหมือนไท่สื่อหลันที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัวตรงไปตรงมา และไม่เหมือนจวินเคอที่ระแวงรอบคอบระมัดระวังทุกฝีก้าว นางจะทดสอบเส้นตายความอดทนของผู้อื่น ก่อนจะถึงเส้นตายจะทำอย่างไรก็ได้ แต่พอถึงเส้นตายหดกลับฉับพลัน 


 


 


เส้นตายของกงอิ้น นางอยากจะสัมผัสสักหน่อย 


 


 


“กรี๊ด! มีผี!” นางกระโดดขึ้นมาโผเข้าสู่อ้อมกอดของกงอิ้นทันที 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ถุงเฉียนคุน หนึ่งในสิบของวิเศษล้ำค่าโบราณ จากเกมออนไลน์เชี่ยนหนี่ว์โยวหุน ใช้สำหรับเก็บไอเทม 


 


 


[2] พลังเคลื่อนย้ายจักรวาล พลังเคลื่อนย้ายปราณของนิกายเม้งก่า จากเรื่อง ดาบมังกรหยก ประพันธ์โดยกิมย้ง  


 


 


[3] ถุงจักรวาล พลังประเภทหนึ่งในนิยายแฟนตาซี เป็นการใช้ช่องว่างจักรวาลเพื่อเก็บของล้ำค่า 

 

 

 


ตอนที่ 33

 

มีสตรีดุจหมาป่า

 


 


 


 


“กรี๊ด! ผี!” นางกระโดดขึ้นมาโผเข้าสู่อ้อมกอดของกงอิ้นทันที 


 


 


ดังที่คาดไว้ ชั่วพริบตาต่อมานางก็ถูกอัญเชิญกลับไปยังมุมห้องด้วยท่วงท่าสี่เท้าชี้ฟ้า ก่อนที่จะได้สัมผัสแผ่นอกอบอุ่นผืนนั้น 


 


 


จิ่งเหิงปัวนอนลงบนพื้น ส่งเสียงหัวเราะฮิๆ ออกมาเล็กน้อย 


 


 


นางคว้าผลไม้สีม่วงกำเอาไว้ในมือแน่น นี่ก็คือผลไม้ที่นางถือโอกาสหยิบฉวยติดมือมาด้วยเมื่อครู่นี้ ตอนที่แอบอ้างโผเจ้าใส่กงอิ้น 


 


 


พอคว้าผลไม้ไว้ในมือได้ กลิ่นหอมยั่วยวนหวานชื่นจรุงใจสายนั้นก็ยิ่งทำให้นางเคลิบเคลิ้มหวั่นไหว กลิ่นหอมชนิดนี้คล้ายจะมีเสน่ห์ตรึงใจ พร่ำเพรียกให้นางลิ้มลองทันที นางขดตัวอยู่ตรงมุมห้อง แอบกัดไปคำหนึ่ง อา…กลิ่นน้ำนมเข้มข้น สัมผัสดุจเส้นไหม… 


 


 


มีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามา ก่อนที่นางจะออกแรงฟาดเข้าที่มือข้างที่จะมายื้อแย่งรสโอชาของตนไป 


 


 


กงอิ้นก้มหน้ามองผลไม้ที่กัดไปแล้วคำหนึ่งด้วยสีหน้าลึกล้ำอยู่บ้าง ก่อนจะฉวยมือโยนผลไม้ทิ้งไป 


 


 


จิ่งเหิงปัวเขวี้ยงผลไม้รสฝาดที่เหลือใส่เขาอย่างรุนแรงด้วยความโกรธเคือง 


 


 


“พี่ไม่กินแล้ว! เจ้าทำข้าอดตายได้เลย!” 


 


 


นางล้มตัวไปด้านหลังเสียงดังตุ้บ สภาพไม่สะทกสะท้านเช่นหมูใกล้ตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก 


 


 


รอบด้านสงบเงียบยิ่งนัก กงอิ้นไม่ได้เข้ามาจัดการนาง ผ่านไปสักพักนางก็หรี่ดวงตาข้างหนึ่งลง แอบมองเห็นกงอิ้นเก็บผลไม้ที่ร่วงหล่นขึ้นมากองไว้ที่มุม จากนั้นนั่งขัดสมาธิต่อไป 


 


 


จิ่งเหิงปัวเริ่มรู้สึกว่าน่าเบื่อและเหนื่อยล้าขึ้นมาแล้ว นางหลับตาลงก่อนจะกลิ้งไปทางมุมหนึ่งแล้วนอนหลับอย่างรวดเร็ว 


 


 


ไม่รู้ว่านอนหลับไปนานเท่าไร จู่ๆ นางถูกเสียงลมเหนือศีรษะพาให้ตกใจตื่น 


 


 


เสียงซู่ๆ ของกิ่งไม้ใบไม้สั่นไหวแว่วเข้ามาอีกครั้ง นางเบิกดวงตากว้างอย่างตึงเครียด ตั้งใจฟังโดยละเอียด ห้องตาข่ายพันเกี่ยวด้วยใบไม้ ร่องตาข่ายหลายแห่งมีแสงจันทร์สาดส่องเข้ามา นางมองเห็นผลไม้มุมห้องกองนั้นขยับครั้งหนึ่งต่อหน้าต่อตา ก่อนจะขยับอีกครั้ง คล้ายกับมีเงาดำอะไรสักอย่างกะพริบวูบผ่านรอยแยก… 


 


 


นางนับจำนวนผลไม้ พบว่าน้อยลงไปหนึ่งผล… 


 


 


ผ่านไปสักพักผลไม้ขยับอีกครั้ง นางนับจำนวนอีกครั้ง พบว่าน้อยลงไปอีกหนึ่งผล 


 


 


บนหน้าผากของจิ่งเหิงปัวมีเหงื่อผุดซึมออกมา นางเหลือบมองกงอิ้นที่ฝั่งอยู่ตรงข้ามอย่างตึงเครียด ใบหน้าของกงอิ้นท่ามกลางความมืดมิดคือรูปสลักขาวบริสุทธิ์ ไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงใดๆ  


 


 


เจ้าคนนี้วรยุทธ์สูงขนาดนั้น จะไม่หูตาว่องไวหน่อยเหรอ? ทำไมไม่เห็นมีปฏิกิริยาอะไรเลยแม้แต่น้อยเล่า? 


 


 


ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ จิ่งเหิงปัวพลันรู้สึกว่ากล้ามเนื้อและผิวหนังบนร่างกายของตนหดเกร็ง คอหอยแห้งผาก เพลิงร้อนรุ่มสายหนึ่งวิ่งพล่านในเรือนร่าง เพลิงนั้นแผดเผาไปถึงในดวงตา หลังเสียงฟิ้วดังขึ้นเพียงครั้ง! 


 


 


นางเบิกตากว้างมองกงอิ้นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พลันพบว่าคอเสื้อของเขาหลุดลุ่ยเสียแล้ว! 


 


 


คอเสื้อของเขาเดิมทีก็มีไข่มุกกลัดไว้ หลังจากใช้ไข่มุกจัดการศัตรู คอเสื้อก็ย่อมหลุดลุ่ยออกเป็นธรรมดา ก่อนหน้านี้นางระทมทุกข์ตลอดทางจะมาใส่ใจเสียที่ไหนกัน แต่ขณะนี้ ท่ามกลางความมืดมิดใต้แสงจันทร์เบาบางและอารมณ์ตึงเครียด นางพลันค้นพบการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจุดหนึ่งนี้ของกงอิ้น 


 


 


นางเพ่งมองคอเสื้อนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย หากเอ่ยว่าดวงหน้าของกงอิ้นท่ามกลางความมืดมิดดั่งรูปสลักงามประณีต ลำคอของเขาก็ย่อมเป็นสายธารขาวใสไหลลื่นสายหนึ่ง ที่ซึ่งสายธารทอดยาวลงไปคือช่วงไหล่ ช่วงคอและแผ่นอกที่มีผิวพรรณเรียบลื่น และกระดูกไหปลาร้างามประณีต… 


 


 


เรือนร่างของนางร้อนรุ่มขึ้นมาดุจเปลวเพลิงที่โชติช่วง ลำคอแห้งผากจนเจ็บปวด นางอดจะกลืนน้ำลายอึกๆ ไม่ได้ เสียงตึกเสียงหนึ่งดังกังวานจนนางตกใจไปครั้งหนึ่ง 


 


 


เสียงนี้พาให้กงอิ้นตื่นขึ้น เขาลืมตาขึ้นมามองเห็นหมาป่าเจ้าชู้เพศเมียที่อยู่ตรงข้ามกำลังปลดปล่อยแววตาดุจเพลิงพราย กงอิ้นชะงักไปชั่วครู่ มองคอเสื้อของตนเองตามสายตาของจิ่งเหิงปัว ครุ่นคิดอีกชั่วครู่ก่อนจะยื่นมือออกไปเด็ดดึงก้านใบอ่อนนุ่มสีเขียวช่วงหนึ่งจากบนเถาวัลย์ด้านข้าง รูดใบอ่อนจนสิ้นเหลือไว้เพียงก้านสีเขียว… 


 


 


จากนั้นจิ่งเหิงปัวก็มองเห็นเขาร้อยของสิ่งนี้ผ่านคอเสื้อ วนล้อมรอบหนึ่งประดุจริบบิ้นไหมแล้วรูดอย่างเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้าเพียงครั้ง ดึงเข้าหากันจนแน่นมัดเป็นเงื่อนปมประณีตงดงามปมหนึ่ง 


 


 


… 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเงื่อนก้านกลัดคอเสื้ออันนั้นแล้ว เพลิงร้อนรุ่มรุนแรงในอกก็ดุจถูกน้ำเย็นสาดซัดดังฟึ่บเสียงหนึ่งแล้วดับสูญ 


 


 


โคตรขายหน้าเลยแม่งเอ้ย! 


 


 


นางรู้สึกว่าตนเองกลายร่างเป็นหมาป่าเจ้าชู้หน้าตาอัปลักษณ์ตัวหนึ่งในชั่วพริบตา พานพบภูผาน้ำแข็งหนาวเหน็บบำเพ็ญตบะ โหยหาความรักมิได้รับความรัก ซ้ำยังถูกรังเกียจ ยุติการกระทำเพราะหมาป่าเจ้าเล่ห์ 


 


 


นึกถึงคราวนั้น นางก็มีฉายาว่าสาวงามอันดับหนึ่งและผู้พิฆาตหนุ่มน้อยแห่งสถาบันวิจัย สถานที่ที่เดินผ่านมีบุรุษนับหมื่นโค้งกาย ภายใต้กระโปรงมีผู้เคารพบูชานับไม่ถ้วน แต่ไหนแต่ไรมาล้วนมีผู้อื่นเผยแววตาละโมบใส่นาง นางจึงแสร้งปล่อยเพื่อจับ พลางเล่นเกมกลบนโลกมนุษย์ ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน? 


 


 


ชื่อเสียงดั่งวีรชนชั่วชีวิต ในบั้นปลายไร้ทางรักษา พังทลายหมดแล้ว! 


 


 


สายตาของจิ่งเหิงปัวล้มตรงแน่วไปด้านหลังเพียงครั้ง นิ่งงันแข็งทื่อเสียแล้ว 


 


 


ร่างกายสงบลงแล้ว แต่ทว่าจิตใจดุจกระแสน้ำไหลเชี่ยวไม่หยุดหย่อน หรือมีคลื่นความร้อนไหลเชี่ยวไม่หยุดยั้งในเรือนร่างร่วมด้วย พวยพุ่งจนใบหน้าใบหูของนางแดงซ่าน ดูคล้ายถูกมือน้อยๆ นับไม่ถ้วนสะกิดเกาจนคันยุบยิบไปทั่ว เบื้องหน้าแต่ละฉากล้วนเป็นลำคองามพิลาสปานหงส์ของเขา ผิวพรรณใต้ลำคอสายหนึ่งปานแสงจันทราธาราหลั่งไหล… 


 


 


นางคว้าริมเชือกตาข่ายเอาไว้แน่น พลางแกะเกาเถาวัลย์อ่อนบางเหล่านั้น เตือนสติตนเองรอบแล้วรอบเล่าในใจว่า ห้ามโผไป ห้ามโผไป อย่าไปนะ อย่าไปนะ… 


 


 


ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ก้านใบล้วนถูกเด็ดดึงจนสิ้น การเตือนสติตนเองก็กลายเป็นว่า ไป? ไม่ไป? ไป? ไม่ไป? โผ? ไม่โผ? โผ? ไม่โผ? 


 


 


… 


 


 


ที่ด้านหลังมีคนเหนี่ยวรั้งไหล่ของนางกะทันหัน 


 


 


ในอกของนางมีเสียงครืนดังขึ้น สติสัมปชัญญะพังทลาย พลิกกายกว้างหนึ่งครั้งดังสวบ โอบกอดร่างนั้นเอาไว้ ขณะที่กระเถิบประชิดเข้าไปสุดชีวิต ก็พลางยื่นมือข้างหนึ่งจะไปกระตุก ‘เงื่อนกลัดคอเสื้อใบไม้เขียว’ ปมนั้นบนคอเสื้อของกงอิ้น  


 


 


นิ้วมือถูกกุมไว้ กงอิ้นคล้ายแค่นเสียงเย็นชาออกมาเสียงหนึ่ง เสียงที่แค่นออกมานั้นทำให้นางขวัญหนีดีฝ่อ รู้สึกเพียงว่าแม้เพียงแค่นเสียงยังฟังดูวิเศษดุจเสียงธรรมชาติ ‘เงื่อนกลัดคอเสื้อ’ สีเขียวนั้นคล้ายกลายเป็นคูน้ำที่ขวางกั้นระหว่างนางกับเขาไว้ นางผุดลุกขึ้นมาหวังจะใช้ปากกัดสิ่งกีดกั้นชั้นหนึ่งนั้นทิ้งไป จากนั้นคิดจะกระชากออกอีกเพียงครั้ง… 


 


 


พริบตาต่อมาก็คล้ายแผ่นฟ้าพลิกผืนดินคว่ำ ศีรษะของนางยัดเข้าไปในปากตาตาข่ายสักรู ไม่รู้ว่าเมื่อไร เสียงของกงอิ้นก็ดังอยู่ข้างหลังนางว่า “คายออกมาประเดี๋ยวนี้!” 


 


 


จากนั้นนางก็ถูกตบที่ด้านหลังครั้งหนึ่ง เสียงดังเคลื่อนไหวในลำคอชั่วครู่ก่อนมีวัตถุก้อนหนึ่งลื่นพรวดออกมาจากในปาก นางมองเห็นชัดเจนว่ามันคือเนื้อผลไม้สีม่วงนั้น ไม่นึกเลยว่ามันยังไม่ถูกย่อยสลายจนหมด 


 


 


ใบหน้าครึ่งซีกของนางโผล่พ้นตาตาข่าย ท่ามกลางความเลอะเลือนคล้ายมองเห็นเงาดำเส้นสั้นๆ สายหนึ่งกะพริบวูบผ่านพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะ “คิกๆ” ออกมารำไร อุ้งเท้าขนรุงรังข้างหนึ่ง หยิกอย่างเหลาะแหละเพียงครั้งบนใบหน้าของนาง… 


 


 


จิ่งเหิงปัวตกใจจนได้สติ เบิกตาโพลงขึ้นมาในฉับพลัน อยู่รอหวังมองให้ชัดเจน ร่างกายหนักอึ้งเพียงครั้ง ร่างของนางก็ถูกกงอิ้นลากกลับมาแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวเอนกายบนพื้น หายใจดังฮืดฮาด ใบหน้าของกงอิ้นอยู่เหนือร่างนาง ตอนนี้มองดูอีกครั้งใบหน้าและลำคอนี้ยังคงงามงด แต่พลันไร้ซึ่งความใจร้อนและร้อนรนจนรอคอยไม่ได้อย่างเมื่อครู่ 


 


 


นางคล้ายเข้าใจอะไรสักอย่างขึ้นมารำไร 


 


 


“ผลไม้สีม่วงนั่น…” 


 


 


“นั่นคือสิ่งที่เหล่าเจ้าป่าเขาแห่งนี้ใช้เพื่อช่วยคนรุ่นหลังสืบทอดเผ่าพันธุ์” กงอิ้นตอบย่างคลุมเครือ จิ่งเหิงปัวฟังแล้วใบหน้ากระตุกวูบ…น้ำมันเทพอินเดีย[1]สำหรับสัตว์โดยเฉพาะเหรอ? 


 


 


ถึงว่าเหตุใดกงอิ้นถึงไม่ยอมให้นางกิน นางยังนึกว่าเขาจะแย่งเอาไปกินคนเดียวเสียอีก… 


 


 


“ไม่สิ เจ้ากินเยอะกว่าข้าอีก…” 


 


 


“ข้าจิตใจผ่องใสไม่มักมาก ไม่เคยถูกความละโมบครอบงำให้ใจขุ่นมัว” กงอิ้นนั่งตัวตรงท่วงท่าประดุจเทพ เอ่ยต่อไปว่า “อีกทั้งรูปลักษณ์ของเจ้าไม่เพียงพอจะพาให้ข้าเสียการควบคุมตนเองโดยแท้จริง” 


 


 


จิ่งเหิงปัวสาบานว่าขอเพียงมีโอกาส นางจะต้องกรีดใบหน้าเขาจนลายพร้อยแน่นอน! 


 


 


เรียกเขาว่าไอ้จอมหยิ่ง! เรียกเขาว่าไอ้สูงส่งเย็นชา! เรียกเขาว่าไอ้จอมเหยียด! เรียกเขาว่าไอ้ปลิ้นปล้อน! 


 


 


ผู้ที่กล่าวว่าจิ่งเหิงปัวอัปลักษณ์ ไกลแค่ไหนก็ต้องประหาร! 


 


 


กงอิ้นหลุบขนตาต่ำลง รับความโกรธแค้นของนางเข้าสู่ม่านตาแล้วปิดลงแล้วผนึกไว้ 


 


 


ไม่เคยถูกความละโมบครอบงำให้ใจขุ่นมัว… 


 


 


เขาพลันนึกถึงยามที่นางพลิกกาย แขนสองข้างดุจดั่งอสรพิษน้ำและลมหายใจร้อนผ่าวหวานชื่นรดอยู่ข้างหูเขา ชั่วเค่อนั้นพลันเข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าอ่อนนุ่มดุจไร้กระดูก งามชดช้อยดั่งปีศาจจิ้งจอก มิใช่เพียงวาจาเลื่อนลอยที่อยู่ในคัมภีร์เรื่องอัศจรรย์ ชั่วครู่หนึ่งขณะที่เรือนร่างพลางสัมผัสคล้ายคลื่นสมุทรนวลนุ่มกระเพื่อมอยู่ข้างกาย ทุกๆ ชุ่น[2]คล้ายไหวสะท้านขึ้นมาโดยพลัน แสงจันทราถูกแกว่งไกวด้วยแรงไหวสะท้านจำแลงเป็นเปลวเพลิงสายน้อยนับมิถ้วนชอนไชสู่ร่าง เขาใช้เรี่ยวแรงมหาศาลผลักนางออกไปโดยพลัน ใช้เรี่ยวแรงมหาศาลยิ่งกว่ารักษาความเย็นชาและเด็ดเดี่ยวในเค่อนั้น จากนั้นจนถึงบัดนี้ ข้างปลายนิ้วคล้ายยังหลงเหลือกลิ่นหอมจรุงใจแต่กำเนิดของนาง… 


 


 


กงอิ้นรู้สึกว่าตนเองผิดปกติโดยที่ไม่คาดคิด นี่คงเพราะว่าร่างกายยังมิได้ฟื้นคืนเต็มที่เป็นแน่ 


 


 


วิธีสำคัญวิธีหนึ่งที่ใช้แก้ไขจิตใจวุ่นวายสับสนก็คือ บดขยี้ภาพเพ้อฝันงามล้ำทุกสิ่ง 


 


 


“กินผลไม้เข้าไปเยอะเพียงนั้น เจ้ากระหายน้ำหรือไม่” เขาถามขึ้นมาโดยพลัน 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าวาจาประโยคนี้ของเขาแปลกประหลาดมาก ซ้ำยังไม่สอดคล้องกับตรรกะใดๆ จากนั้นวาจาประโยคนี้ก็คล้ายเตือนสติถึงอะไรสักอย่าง นางกดท้องน้อยเอาไว้ครู่หนึ่งในทันที เผยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวออกมา 


 


 


ปวดฉี่! 


 


 


คราวนี้จิ่งเหิงปัวนิ่งอึ้งไป นางหลงลืมปัญหาสำคัญข้อนี้ไปเลย สองคนถูกกักขังไว้ในตาข่ายไร้หนทางหลีกหนีซึ่งกันและกัน แล้วปัญหาด้านชีวภาพจะจัดการอย่างไร? 


 


 


กงอิ้นชี้ไปยังร่องตาข่ายสักแห่งในมุมด้วยท่าทีนิ่งสงบไร้ใดเปรียบ บอกใบ้ให้นางปลดเบาตรงนั้นเสีย จากนั้นเขาหันกายไปอีกทาง 


 


 


ใบหน้าของจิ่งเหิงปัวแดงแล้วก็เขียว เขียวแล้วก็แดงอีกครั้ง สุดท้ายก็ต้านทานความเจ็บปวดส่วนท้องไม่ไหว เขยิบไปตรงขอบมุมทีละก้าว ค่อยๆ จัดการปลดเบาทีละน้อย หายใจเข้าแล้วหายใจเข้า ด้วยกลัวว่าจะมีเสียงเล็กเสียงน้อยเล็ดลอดออกมา 


 


 


เพื่อหลีกเลี่ยงไม้ให้มีเสียงดังให้เขาได้ยิน นางจึงอยากร้องเพลง แต่ว่าเมื่อร้องเพลงแล้วจะเสียการควบคุม นางจึงได้แต่ส่งเสียงพูดคุย 


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงไม่ต้องปลดทุกข์” 


 


 


“ข้าใช้พลังภายในส่งแรงขับไล่ไอน้ำในร่างกายได้” 


 


 


“แล้ว…ปลดทุกข์หนักเล่า? ขับออกผ่านรูขุมขนได้เช่นกันหรือ เมื่อถึงยามนั้นทั่วร่างเจ้าคงไม่ใช่ว่าจะมีสีเหลืองโผล่ออกมา…” นางพูดจามั่วซั่วได้อย่างง่ายดายภายใต้ความอึดอัด 


 


 


“ถึงยามนั้นข้าคงจะฟื้นคืนพลังแท้ครึ่งหนึ่ง หลุดพ้นจากความลำบากนี้แล้ว” กงอิ้นขัดจังหวะวาจาน่าขยะแขยงของนางอย่างรวดเร็ว สีหน้าออกสีเขียวเล็กน้อย 


 


 


“ฮือๆๆ ข้าจะเรียนวรยุทธ์” จิ่งเหิงปัวร่ำไห้ 


 


 


กงอิ้นไม่ได้สนใจนาง ผ่านความยากลำบากมากมายก่อนหน้านางยังไม่เอ่ยว่าจะเรียน แต่เพื่อจะปลดเบาก็เพิ่งคิดจะเรียนวรยุทธ์ขึ้นมา? อุดมการณ์และเจตนารมณ์ของนางคงจะมีเพียงเช่นนี้แล้ว 


 


 


ใช้เวลาสิบห้านาทีในการปลดเบาจนเสร็จอย่างง่ายดาย จิ่งเหิงปัวเก็บกวาดดังพึ่บพั่บ ทันทีที่เงยหน้าขึ้น มองลอดผ่านร่องตาข่ายก็เห็นฝั่งตรงข้ามมีเงาดำเตี้ยๆ เงาหนึ่งยืนอยู่ เงานั้นกำลังเคลิบเคลิ้มกับท่าทางสั่นสะท้านทั่วร่างของนาง เมื่อสิ่งนั้นมองเห็นนางมองมาจึงยืดพุงน้อยๆ ออกมาอย่างอัปลักษณ์ 


 


 


“กรี๊ด!” จิ่งเหิงปัวกรีดร้อง 


 


 


ตัวอะไรไม่รู้พวกนั้นตกอกตกใจวิ่งขึ้นมาดังฟิ้ว หางยาวกวาดผ่านใบหน้าของจิ่งเหิงปัวไปเกี่ยวกิ่งไม้เหนือศีรษะกิ่งหนึ่งไว้ สั่นไหวไม่กี่ครั้งแล้วหายไป 


 


 


เสียงกรีดร้องของจิ่งเหิงปัวหยุดลงฉับพลันแล้วกล่าวว่า “ลิงเหรอ?” 


 


 


ดวงตาของนางถลึงกลมโต ตอนนี้จึงพบว่ามีเงาดำนับไม่ถ้วนวิ่งไปวิ่งมาบนต้นไม้ 


 


 


ที่แท้เสียงเคลื่อนไหวในป่านี้ เงาภูติผีที่กะพริบวูบวาบต่อเนื่อง ผลไม้ในมือกงอิ้นที่ปรากฏอย่างอัศจรรย์แล้วพลันหายไปล้วนเป็นผลงานชิ้นเอกของลิงที่ไปมาดุจเหินฟ้าเหล่านี้ 


 


 


“นิทานเรื่องเจ้าลิงของเจ้าสนุกเหลือเกิน” กงอิ้นอยู่ข้างหลังนางเอ่ยว่า “พวกมันจึงมารอฟังบทสรุป” 


 


 


“บทสรุปของเจ้าลิงคือ!” จิ่งเหิงปัวหันมา ดวงตาโกรธเคืองเบิกกว้างกล่าวว่า “ในที่สุดพวกมันหาคนต่ำทรามนามอันหลิงหรงที่สวมอาภรณ์ขาวสวมไข่มุกจนพบแล้วรุมเข้าไปเพียงครั้ง เบิกทวารของเขาพร้อมกัน!” 


 


 


 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] น้ำมันเทพอินเดีย เป็นน้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่งซึ่งใช้ทาหรือพ่นบนอวัยวะเพศชาย 


 


 


[2] ชุ่น หน่วยมาตราวัดของจีน มีค่าเท่ากับนิ้ว (inch)

 

 

 


ตอนที่ 34

 

มีสัตว์ร้าย

 


 


 


 


หลังจากถูกลิงก่อกวนไปค่อนคืน จิ่งเหิงปัวผู้เหนื่อยล้ามามากด่าเสร็จเรียบร้อยแล้วยังต้องคว่ำหน้านอนไปรอบหนึ่ง 


 


 


แม้ว่าตาข่ายไม่ใช่แผนที่จีรังยั่งยืน แต่เพราะว่ากงอิ้นเลือกเฟ้นสถานที่ได้ดี ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้จึงยังคงอำนวยความสะดวกให้แก่พวกเขาอย่างมาก เมื่ออยากกินอาหาร พวกลิงจะนำผลไม้มาให้ ดูเหมือนกงอิ้นคล้ายจะบงการลิงเหล่านี้ได้ ผลไม้ที่นำมาให้ในภายหลังไม่มีน้ำมันเทพอินเดียฉบับลิงชนิดนั้นแล้ว เมื่ออยากดื่มน้ำ ก็ตระเตรียมเปลือกผลไม้สักเปลือก แล้วยื่นแขนออกไปจากตาตาข่ายสักมุมหนึ่ง ก็ไปถึงลำธารตื้นเขินสายหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ได้ แม้แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดยังได้รับการแก้ไข 


 


 


แต่ว่าจิ่งเหิงปัวยังคงไม่กล้าดื่มน้ำมากนัก เพราะการปัสสาวะทุกครั้งคือความทรมานรูปแบบหนึ่งจากความอึดอัดเก้อเขิน ภายหลังนางจึงพบว่าสถานที่ปัสสาวะของนางที่กงอิ้นชี้ให้คืออีกมุมหนึ่งซึ่งห่างจากแหล่งน้ำ ที่นั่นมีร่องน้ำไหลลงที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติจากรากไม้ เมื่อของเสียจากร่างกายไหลลงไปแน่นอนว่าย่อมไม่มีกลิ่นสกปรกมาถึงพวกเขา เห็นได้ชัดว่าตอนที่กงอิ้นกำลังทำตาข่ายก็คิดเรื่องนี้เอาไว้แล้ว และจัดทำดำเนินการได้อย่างเหมาะสมเรียบร้อย 


 


 


จิ่งเหิงปัวแสดงออกอย่างชัดเจนว่านางชอบความฉลาดล้ำของเขา และเกลียดความฉลาดล้ำของเขาเสียยิ่งกว่า 


 


 


แต่นางก็ยังคงมีเรื่องราวให้กลัดกลุ้ม หากปวดหนักล่ะ? ปวดหนักแล้วจะปลดทุกข์อย่างไร 


 


 


ยังดีที่ของกินมีน้อย วันแรกจึงไม่ต้องการอะไร เวลาส่วนใหญ่นางนอนหลับ ส่วนกงอิ้นนั่งปรับปราณ สายตามองเห็นสีหน้าของกงอิ้นดีขึ้นแล้ว นางคิดว่าบางทีวันที่สองเขาคงฟื้นฟูได้มากกว่าครึ่งแล้วฟันตาข่ายบ้าบอนี่จนขาดออก 


 


 


นางเคยถามเขาเรื่องพลช่วยเหลือ มองจากสภาพภูมิศาสตร์และความหนาแน่นของป่าเขา หากโชคดีคงได้รับการช่วยเหลือในเจ็ดถึงแปดวัน แต่หากโชคร้าย ชั่วชีวิตนี้อาจไม่พบความช่วยเหลือก็เป็นได้ ยังต้องเดินทางออกไปด้วยตนเอง 


 


 


จิ่งเหิงปัวกระวนกระวายใจ เพื่อสิ่งนี้นางจึงยอมลดตัวลงมาโดยไม่เสียดาย นางมองเห็นมือขวาของเขากระดูกหัก มือซ้ายคล้ายมีอาการเคล็ดเช่นกัน จึงแสดงท่าทีว่ายินยอมพร้อมใจช่วยเขาบีบนวดเพื่อให้เขาแข็งแรงฟื้นฟูได้โดยเร็ว 


 


 


คำตอบของกงอิ้นคือหยุดการปรับปราณโดยพลัน พลางรีบเร่งกระตุกก้านอ่อนหลายก้านมามัดคอเสื้ออะไรต่างๆ ของตนเองให้แน่นขึ้นอีกหน่อย 


 


 


ใบหน้าหนาด้านของจิ่งเหิงปัวประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาว คำรามกู่ก้องในท้องว่า ฉันไม่ได้คิดจะข่มขืนนาย! 


 


 


ยังดีที่แม้ว่ามหาเทพกงผู้บำเพ็ญตบะจะมีท่าทีไม่ไว้หน้านาง แต่ยังบอกนางว่าเขาฟื้นฟูอย่างรวดเร็วยิ่งนัก สองถึงสามวันคงคิดวิธีปลดแก้ตาข่ายได้ 


 


 


ใช้เวลาแค่วันเดียวทั้งสองคนก็อยู่ร่วมกับลิงจนคุ้นเคย พวกลิงในป่านี้เฉลียวฉลาดมากจนจิ่งเหิงปัวสอนให้ลิงนับหนึ่งถึงห้าได้ และแบ่งผลไม้ที่อร่อยที่สุดตามวิธีเทียบนิ้วมือว่ามีเท่าไร แน่นอนว่าพวกลิงที่มีอุ้งมือเท้าเพียงสี่ข้างชนิดนี้ย่อมแพ้เสียทุกครั้งไป 


 


 


ในระยะเวลาช่วงนี้จิ่งเหิงปัวกับกงอิ้นไม่ได้หยุดทดสอบการทำลายตาข่าย พบว่าเชือกตาข่ายนี้แม้ว่ามีประสิทธิภาพในการยืดหดแต่แข็งแรง น้ำไม่อาจแช่ให้เปื่อย ไฟไม่อาจเผาทำลาย อาวุธคมกรีดตัดไม่อาจตัดได้แม้แต่น้อยนิด กงอิ้นใช้พลังภายในกางตาข่ายออกจนถึงความกว้างที่สุดได้ แต่กางออกถึงระดับพอประมาณนี้แล้วยังไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลง ยังคงไม่ขาดและคนยังคงไม่อาจเข้าหรือออกทางตาตาข่ายได้ 


 


 


จิ่งเหิงปัววุ่นวายใจไม่เบาเพราะเรื่องนี้ พลบค่ำวันนี้ตอนทดสอบต่อ นิ้วมือใช้แรงมากเกินไปจนเล็บนิ้วหนึ่งหักดังเป๊าะ 


 


 


รสชาติของการเล็บหักไม่ได้น่าภิรมย์เท่าไหร่นัก จิ่งเหิงปัวประคองนิ้วร้องไห้โศกเศร้ารันทดด้วยเสียดายเล็บยาวที่ตนเองเลี้ยงไว้ตั้งอกตั้งใจบำรุงรักษามาเนิ่นนาน ตรงที่เล็บฉีกหักมีเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อย นางถูนิ้วแรงๆ ไปบนเชือกตาข่ายก่อนจะหันหน้าประคองเล็บฉีกหักเอาไว้ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ 


 


 


กงอิ้นพลันยื่นมือช้อนเชือกตาข่ายเปื้อนคราบเลือดช่วงหนึ่งนั้นมาวางไว้เบื้องหน้าพลางพินิจโดยละเอียด จิ่งเหิงปัวกล่าวสะอึกสะอื้นว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงที่ข้าบาดเจ็บ แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะประคองมือของข้าไว้แล้วเป่าให้ข้าหรอกหรือ…” 


 


 


“เชือกตาข่ายนี้มีการเปลี่ยนแปลง” กงอิ้นเอ่ยขึ้นโดยพลัน คล้ายจะไม่ได้ยินนางที่พูดเจื้อยแจ้ว  


 


 


จิ่งเหิงปัวชะเง้อหน้าไปมองดูอยู่เนิ่นนาน แล้วกล่าวว่า “อ๊ะ? ไม่มีนะ เปลี่ยนเป็นสีแดงหรือ เลือดของข้าสีฉูดฉาดดีจัง” 


 


 


กงอิ้นขยับกายออกห่างจากเจ้าคนหลงตัวเองอย่างยวดยิ่งผู้นี้เล็กน้อย ก่อนชี้ไปยังเชือกตาข่ายพลางเอ่ยว่า “ขาดไปเส้นหนึ่ง” 


 


 


จิ่งเหิงปัวพุ่งไปบนเชือกนั้น ดวงตาเบิกจ้องจนแทบบอดยังมองไม่ออกว่าเชือกตาข่ายหนาราวนิ้วมือมีตรงไหนขาดไปเส้นหนึ่ง 


 


 


เส้นหนึ่งนี้เป็นเส้นหนึ่งอย่างไรกันแน่ คงไม่ใช่เส้นบางเท่าเส้นผมจริงๆ หรอกมั้ง? 


 


 


แต่ว่าในเมื่อกงอิ้นพบว่าขาดไปเส้นหนึ่ง เช่นนั้นก็คงขาดแล้วแน่ๆ แม้ว่าปากของจิ่งเหิงปัวกล่าวว่าจะไม่ยอมรับอำนาจบารมีของกงอิ้นตลอดกาล แต่ในช่วงเวลาสำคัญก็ยังคงยินยอมเชื่อถือ 


 


 


“เจ้าหมายถึงโลหิตทำให้เชือกตาข่ายฉีกขาดได้หรือ?” ดวงตาของนางเปล่งประกายขึ้นมา ในที่สุดก็หาวิธีได้แล้ว! 


 


 


“อืม” วาจาประโยคต่อมาของกงอิ้นกำจัดความหวังงดงามของนางจนสูญสิ้นว่า “โลหิตหยดหนึ่งของเจ้าทำให้เชือกฉีกขาดไปด้วยความลึกประมาณหนึ่งในสิบของเส้นผม” 


 


 


จิ่งเหิงปัวคิดเปรียบเทียบอยู่สักครู่ ก่อนจะพบว่าตัวเลขผลลัพธ์สุดท้ายนั้นก็ช่างน่ากลัวเหลือเกิน 


 


 


“อีกทั้งอาจยังจำเป็นต้องใช้เวลาจุ่มแช่ไว้จึงได้ผล” กงอิ้นเอ่ยวาจาโจมตีเข้ามาอีก 


 


 


จิ่งเหิงปัวสูดอากาศหนาวเหน็บเฮือกหนึ่งอีกครั้ง รู้สึกทันทีว่าขนทั่วร่างลุกชันขึ้นมาจนสิ้น 


 


 


“เจ้าว่า…” นางชำเลืองตามองสีหน้าของกงอิ้นอย่างระมัดระวัง พลางกล่าวว่า “การซึมแทรกและจุ่มแช่พาให้เชือกนี้ฉีกขาดจนสิ้น ปริมาณโลหิตที่ต้องใช้จะประมาณสักเท่าใด” 


 


 


คงไม่ใช่ต้องใช้ปริมาณเลือดของคนหนึ่งคนหรอกมั้ง? 


 


 


กงอิ้นมองนางปราดเดียว ปราดเดียวนี้ก็มองจนนางเกิดอาการเหน็บหนาวทั่วร่าง 


 


 


“สังหารเจ้าแล้วก็คงจะเพียงพอ” 


 


 


นางนึกรู้ว่าแล้วต้องเป็นคำตอบนี้! 


 


 


จิ่งเหิงปัวกระโดดขึ้นไปถึงรองเท้าส้นสูงด้านบน 


 


 


“เจ้าจะทำอะไร” กงอิ้นคว้านางลงมา 


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่บอกกล่าว ก็พลันกระโดดดีดฝีเท้าขึ้นไปด้านบน… รองเท้าส้นสูงคือสิ่งเดียวที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งของประเภท ‘อาวุธสังหาร’ บนร่างนางตอนนี้ นางจะต้องเอามันลงมาปกป้องตนเอง! 


 


 


กงอิ้นจะต้องฆ่านางกลางดึกแน่ ก่อนที่จะใช้เลือดของนางแช่เชือกจนขาด แล้วนางก็จะตายตาไม่หลับอยู่ในตาข่าย จากนั้นก็ถูกขังไว้อย่างเดียวดายในป่าเขารกร้างไร้ผู้คนแห่งนี้ตลอดกาล… 


 


 


“ลงมา!” เมื่อนางกระโดดขึ้นอีกครั้ง กงอิ้นก็คว้าขาท่อนล่างของนางไว้ ดึงนางลงมาในครั้งเดียว จิ่งเหิงปัวควบคุมสมดุลไว้ไม่ได้หกล้มลงไปในอ้อมแขนเขา รองเท้าส้นสูงข้างหนึ่งร่วงหล่นจนกระแทกก้นของจิ่งเหิงปัว ตาข่ายครึ่งหนึ่งร่วงตามลงมามัดร่างกายครึ่งซีกของสองคนเอาไว้โดยพลัน 


 


 


ทว่าทั้งสองคนไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ชั่วคราว 


 


 


ทั้งสองคนตะลึงงันอยู่บ้าง 


 


 


จิ่งเหิงปัวซุกหน้าในอ้อมแขนของกงอิ้น ชั่วครู่นั้นไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน ปลายจมูกแว่วกลิ่นหอมอัศจรรย์เบาบาง มิใช่ดอกไม้และมิใช่ใบหญ้า ทว่าบริสุทธิ์หอมหวน ซ้ำเจือด้วยกลิ่นฝาดของต้นไม้ใบหญ้าบางส่วนรำไร ในความบริสุทธิ์ยังมีเรือนร่างแข็งแรงเพิ่มมาด้วยบางส่วน 


 


 


นางอดจะสูดหายใจลึกล้ำเฮือกหนึ่งไม่ได้ 


 


 


กงอิ้นตะลึงงันเล็กน้อย เส้นผมนุ่มลื่นเงางามของสตรีประชิดตรงขากรรไกรล่างของเขาจนคันยุบยิบ คล้ายยังได้ยินเสียงดวงใจที่เต้นตึกตักโดยไม่รู้ว่าเป็นดวงใจของผู้ใด เขารู้สึกเพียงว่าที่กลางฝ่ามืออุ่นร้อนอ่อนนุ่ม ครานี้ตะลึงด้วยว่าตนเองคล้ายยังกุมขาท่อนล่างของนางไว้จึงรีบเร่งปล่อยมือ มือยกขึ้นเล็กน้อยครั้งหนึ่งก็พลันสัมผัสกับสิ่งใดอีกสักสิ่ง ได้ยินจิ่งเหิงปัวร้อง “อ๊ะ” เสียงหนึ่งอย่างเลือนราง เขาก็รีบเร่งปล่อยมืออีกคราดุจต้องสายฟ้า รู้สึกคล้ายว่าตนเองสัมผัสที่ซึ่งมิควรสัมผัสเข้าอีกครั้งอย่างมิได้ตั้งใจ 


 


 


จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด ดวงหน้าคล้ายจะแดงซ่านน้อยๆ แต่เดิมนางผมดำขลับดุจคลื่น สีคิ้วดำคมเข้มสีปากดุจเพลิง หน้าตางดงามเพริศพริ้ง ยามนี้นัยน์ตาสุกสกาวปานแสงสีเหลืองอำพันของสุราชั้นเลิศสอดรับแก้มแดงชมพูระเรื่อหายากนี้ ในความเพริศพรายมีความอรชรเพิ่มมาสามส่วนพาให้ใจคนตื่นตะลึง 


 


 


ที่ซึ่งสายตากงอิ้นไปถึงพาให้ชะงักเพียงน้อยอีกครั้งหนึ่ง ชะงักครั้งนี้เล็กน้อยยวดยิ่ง จากนั้นสีสันสลับซับซ้อนแฉลบผ่านสายตาของเขา เขาประคองมือของจิ่งเหิงปัวไว้ผลักไปเบื้องนอกครั้งหนึ่งโดยจิตสำนึก 


 


 


ผลักครั้งหนึ่งนี้กลับผลักไม่ขยับเขยื้อน เชือกตาข่ายครึ่งซีกหดรัดมัดสองคนเอาไว้ กงอิ้นกำลังจะกางตาข่ายออกอีกครั้ง ใบไม้เหนือศีรษะก็พลันดังวุ่นวายดุจคลื่นสมุทร เสียงลมซู่ซู่ลอดผ่านจากที่ซึ่งลึกไปในป่าตามมาด้วยลิงกรีดร้องเจี๊ยวจ๊าวตื่นตระหนกเป็นระลอกใกล้เข้ามายิ่งขึ้น 


 


 


ลิงทั่วสารทิศคล้ายติดเชื้อความตื่นตระหนกเช่นนี้ไปด้วยจนวิ่งหนีว้าวุ่นหลบหนีวุ่นวาย ศีรษะและร่างกายของจิ่งเหิงปัวถูกอุ้งเท้าใหญ่ของลิงเหยียบย่ำอย่างต่อเนื่อง ซ้ำยังมีกิ่งไม้ที่ถูกหักโค่นกระแทกบนร่างนางไม่หยุดหย่อน 


 


 


“ไอ้บ้าเอ๊ย!” จิ่งเหิงปัวโพล่งปากด่าเสียงดังว่า “อยู่ดีๆ เป็นบ้าอะไรขึ้นมา! หยุดนะ! ข้าบอกให้หยุด! โอ๊ย ไอ้เลวยังกล้าเหยียบข้าอีก! โอ๊ย บัดซบ เจ้ากล้าเหยียบหน้าข้า…โอ๊ย เหม็นฉิบ!” 


 


 


ลมพัดกลิ่นคาวหอบหนึ่งเข้ามา กลิ่นสาบตัวผู้เข้มข้น จิ่งเหิงปัวที่อ้าปากด่าทอเกือบจะอาเจียนออกมาแล้ว 


 


 


“หุบปาก” กงอิ้นกดริมฝีปากของนางไว้โดยพลันพลางเอ่ยว่า “มีสัตว์ร้าย!” 


 


 


เสียง “กรี๊ด” เสียงหนึ่งของจิ่งเหิงปัวถูกอุดไว้ที่ปากคอหอย ชะงักไปหนึ่งวินาทีแล้วจึงรับรู้ข่าวร้ายนี้ได้ นางหันหน้ามองที่ซึ่งลึกไปในป่าดำทะมึน แล้วก้มหน้ามองท่วงท่าของตนเองกับกงอิ้น เบื้องหน้ามืดมิดไปชั่วขณะ 


 


 


สัตว์ร้ายเคลื่อนไหว ตาข่ายถูกทำลาย สองคนมัดอยู่ในตาข่าย มือเท้าถูกรัดไว้จะหนีรอดได้อย่างไร? 


 


 


นอกเสียจากว่าจะโจมตีสังหารในครั้งเดียว มิเช่นนั้นต่อให้ทำให้เสือดาวบาดเจ็บก็ย่อมเป็นเพียงการที่ตนเองรนหาที่ตาย แต่ท่าทางและข้อจำกัดอย่างนี้ แม้แต่แขนยังสะบัดออกไปไม่ได้ แล้วจะโจมตีสังหารสัตว์ป่าได้อย่างไร? 


 


 


ต่อให้ตาข่ายไม่ถูกทำลายก็ไม่มีประโยชน์ ตาข่ายถักเต็มไปด้วยใบไม้ลวงหลอกได้แค่ลิง ปิดบังเสือดาวที่มีประสาทการรับกลิ่นระดับว่องไวไม่ได้แน่นอน 


 


 


นึกถึงสองคนที่ถูกมัดไว้ในตาข่ายโดยไร้หนทางใช้มือเท้าต่อสู้ ถูกจิ้งจอก หมาป่า เสือและเสือดาวข่วนผ่านตาตาข่ายหนึ่งครั้งได้เนื้อก้อนหนึ่ง กัดฉีกอีกหนึ่งครั้งได้เนื้อท่อนใหญ่อีกหนึ่งท่อน…จิ่งเหิงปัวก็รู้สึกว่าไม่สู้ฆ่าตัวตายไปเลยดีกว่า 


 


 


“เราต้องปีนขึ้นไปบนต้นไม้ก่อน” ตอนนี้เองกลับนึกไม่ถึงว่าเสียงของกงอิ้นยังคงสงบนิ่งราบเรียบ จิ่งเหิงปัวสงสัยว่าหัวใจของเขาทำจากศิลาใช่หรือไม่ 


 


 


“ใช่ๆ ปีนต้นไม้!” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวประกายวูบ โอบต้นไม้ไว้ได้ก็ปีนขึ้น ตอนยังเด็กนางเคยปีนต้นไม้อยู่บ้าง แม้ว่าภายหลังไม่กล้าปีนอีกเพราะห่วงภาพลักษณ์ แต่ขณะนี้ช่วงเวลาอันตรายคงไม่ต้องกังวลมากมายถึงขนาดนั้นแล้ว 


 


 


เมื่อปีนขึ้นมาเมตรหนึ่งจึงรู้สึกว่าด้านล่างมีแรงเหนี่ยวรั้งไว้ เมื่อนางก้มหน้ามองก็เห็นกงอิ้นยังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน ก็พลันโกรธจนไฟลุกขึ้นมาสามจั้งไปชั่วขณะ 


 


 


สองคนถูกรัดไว้ในตาข่าย เคลื่อนไหวได้ในขอบเขตเล็กๆ แต่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวไปด้วยกันจึงขยับได้ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นนางลากกงอิ้นปีนต้นไม้ แล้วจะปีนขึ้นไปได้อย่างไร? 


 


 


“เจ้าแกล้งตายเหรอ” นางใช้เท้าเหยียบเปลือกต้นไม้โพล่งปากด่าเสียงดังว่า “ยังไม่รีบขึ้นมาอีก” 


 


 


กงอิ้นเงยหน้ามองนาง นัยน์ตาสะอาดใสแจ๋วปานหินสีดำในตาน้ำใส จิ่งเหิงปัวได้ยินเขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “หนึ่ง สอง สาม…” 


 


 


เสียงที่สามยังนับไม่ถึง จิ่งเหิงปัวลื่นลงมาดัง “หวืด” เสียงหนึ่ง 


 


 


นางล้มลงบนพื้นเสียงดังพลั่ก ถูกสิ่งอะไรไม่รู้ชนจนปวดเอว นางเอนกายลงบนพื้น เบิกดวงตาจ้องต้นไม้เหนือศีรษะกล่าวว่า “บนต้นไม้นี่มันอะไรเนี่ย ลื่นชะมัด!” 


 


 


“ต้นไม้ชนิดนี้จะหลั่งน้ำมันออกมา ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานจึงเคลือบเป็นไขแข็งชั้นหนึ่งบนต้นไม้แห้ง ทั้งลื่นทั้งแข็งยิ่งนัก ปีนได้ยากยิ่ง” 


 


 


“แล้วเหตุใดเจ้าไม่รีบบอกข้าก่อน?” จิ่งเหิงปัวบีบคลึงเอวอย่างปวดร้าว ปีติยินดีอีกครั้งว่าโชคดีที่ไม่ใช่ใบหน้าทิ่มพื้น 


 


 


“หากต้องเสียเวลาอธิบายให้เจ้าติ๊งต๊อง สู้ให้นางได้รับบทเรียนด้วยตนเองดีกว่า” กงอิ้นเอ่ยสืบต่อว่า “ประหยัดเวลา ประหยัดเรื่องราว ประหยัดกำลังกายใจของข้า” 


 


 


“เจ้าน่ะควรพยายามรักษากำลังกายใจไว้” จิ่งเหิงปัวกล่าวต่ออย่างชั่วร้ายว่า “ไม่อย่างนั้นข้าเกรงว่าเจ้าจะยืนหยัดได้ไม่ถึงหนึ่งนาที” 


 


 


“อะไรนะ” ใครบางคนที่มีสติปัญญายอดเยี่ยม ตำแหน่งสูงส่งอำนาจล้นเหลือ ในหลายสิบปีมานี้ก็แทบจะไม่มีผู้ใดเคยเอ่ยวาจาเลยเถิดเช่นนี้ต่อเขา ทำให้เขาไม่ทันได้โต้ตอบไปชั่วขณะ ทว่าชั่วพริบตาเดียว แววตาชั่วร้ายของจิ่งเหิงปัวและที่ซึ่งนางกวาดสายตาไปอย่างเลวทรามจึงพาให้เขาเข้าใจขึ้นมา 


 


 


สำหรับเรื่องนี้ คำตอบของเขาคือการคว้าจิ่งเหิงปัวขึ้นไปประชิดริมขอบตาข่ายเพียงครั้ง 


 


 


“เจ้าจะทำอะไร” แซ่จิ่งผู้ปากแข็งใจขลาดถามอย่างตื่นตระหนก 

 

 

 


ตอนที่ 35

 

รู้ใจ

 


 


 


 


“เจ้าจะทำอะไร” แซ่จิ่งผู้ปากแข็งใจขลาด ถามขึ้นอย่างตื่นตระหนก 


 


 


“เจ้าโจมตีข้า แต่ข้าไม่คิดจะโจมตีเจ้า” กงอิ้นเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้าที่ข้างหูของนางว่า “ข้ากลับอยากเห็นว่า ความงามแห่งสตรีที่เจ้าภาคภูมิใจเป็นหนักหนา จะยืนหยัดได้เกินหนึ่งนาทียามที่อยู่เบื้องหน้าเสือดาวหรือไม่?” 


 


 


หยุดไปชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะเอ่ยราวกำลังคิดตรึกตรองว่า “แม้ข้าจะไม่เข้าใจว่าหนึ่งนาทีคือสิ่งใด แต่คิดว่าคงเป็นวิธีคำนวณชั่วยาม พินิจจากสีหน้าชั่วร้ายของเจ้าแล้วเดาว่าคงไม่ได้เนิ่นนานนัก เจ้าน่าจะทำได้” 


 


 


“ไอ้เวรเอ๊ย!” จิ่งเหิงปัวหงายมือคว้าแขนเสื้อของเขาไว้แน่นเพียงครั้ง แล้วกล่าวว่า “เรื่องชั่วร้ายเลวทรามเช่นนี้เจ้ายังทำได้ลงคออีกหรือ? กรี๊ดด เจ้ายกไปถึงข้างบนจริงด้วย…อ๊าย ข้าผิดไปแล้ว…อ๊ายย ช่วยด้วย! อ๊าๆ ไอ้เลว ถ้านายยังไม่ปล่อยมืออีกถึงตายฉันก็จะลากนายไปด้วย…” 


 


 


เสียงกรีดร้องดึงดูดสัตว์ป่าได้ชะงัด ลิงฝูงใหญ่มาพร้อมเสียงกู่ร้อง ลิงฝูงใหญ่ก็ผ่านไปพร้อมเสียงกู่ร้อง ทิ้งรอยเท้านับไม่ถ้วนไว้บนร่างสองคน 


 


 


กงอิ้นกวักมือครั้งหนึ่งโดยพลัน ร่างของเหล่าลิงที่เหยียบตาข่ายหวังรอพลิกตัวขึ้นต้นไม้คล้ายถูกตรึงไว้ ได้แต่สูดหายใจอยู่เหนือตาข่ายเคลื่อนไหวไม่ได้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวหยุดดิ้นรนแล้วกะพริบตามองดู 


 


 


ลมยิ่งส่งกลิ่นเหม็นมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงคำรามใกล้ข้างหู ตามมาด้วยเสียงดังกร๊อบของกิ่งไม้ใบไม้ที่ถูกเสือดาววิ่งตะบึงเข้ามาใกล้อย่างต่อเนื่อง ลิงที่ถูกขังไว้บนตาข่ายยิ่งออกอาการตื่นตระหนก ร้องเจี๊ยกๆ จั๊กๆ กลายเป็นกลุ่มก้อนเดียว 


 


 


กงอิ้นปล่อยมือออกโดยพลัน จิ่งเหิงปัวร่วงไปด้านล่างเล็กน้อย จากนั้นกงอิ้นก็คว้าแขนของจิ่งเหิงปัวเอาไว้แล้วหิ้วนางไปด้านบน 


 


 


ชั่วพริบตานั้น จิ่งเหิงปัวขึ้นครั้งหนึ่งหล่นครั้งหนึ่ง ในดวงตามึนงงเป็นขดยากันยุง 


 


 


แต่เหล่าลิงคล้ายได้รับจุดมุ่งหมาย กรงเล็บที่กางออกคว้าเชือกตาข่ายไว้แล้วหิ้วขึ้นด้านบนโดยพร้อมเพรียงกัน 


 


 


ลิงสิบกว่าตัวหิ้วตาข่ายขึ้นมาขยับขึ้นบนต้นไม้อย่างรวดเร็วฉับพลัน สองคนถูกม้วนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จิ่งเหิงปัวมองดูพื้นดินที่ยิ่งห่างตนเองไกลไปเรื่อยๆ รู้สึกดีใจและแปลกใจจนหัวเราะก๊ากๆ ออกมา สุดท้ายก็ยอมกล่าวชื่นชมกงอิ้นประโยคหนึ่งว่า “โอ้โห! ความคิดเจ้านี่สุดยอดไปเลย!” 


 


 


ความคิดประหลาดเลิศล้ำจริงแท้ ใช้ประโยชน์จากสัญชาตญาณธรรมชาติของเหล่าลิงที่ชอบเลียนแบบ เพียงแค่ท่วงท่าเดียวทำให้เหล่าลิงหิ้วถุงตาข่ายขึ้นมาด้วยตัวเอง พาตนขึ้นต้นไม้ได้อย่างสบายๆ  


 


 


ที่เบื้องล่างมีเสียงร้องคำรามแหบแห้งหยาบทุ้มเสียงหนึ่ง ทั่วทั้งป่าไม้คล้ายสะเทือนดังซู่ๆ อานุภาพทรงพลังของสัตว์ร้ายสะท้านจนใบไม้ปลิวว่อนทั่วภูเขา ความมืดยามราตรีคล้ายทอเศษแสงสีขาวหินอ่อนยามรุ่งอรุณ 


 


 


พอจิ่งเหิงปัวก้มหน้าลงก็มองเห็นสันหลังมันวาวของเสือดาวที่โผล่ออกมาจากกลางพุ่มไม้เตี้ยๆ ด้านล่าง สีสันเหลืองดำลายพร้อยเป็นวงดุจดวงตาเ**้ยมโหดหลายคู่ ดูแวววาวบีบเค้นใจมนุษย์ในยามราตรี เสือดาวพุ่งไปใต้ต้นไม้ทว่ากลับหาเหยื่อในห้วงคำนึงไม่เจอ กรงเล็บแหลมครูดพื้น ร่างถอยไปด้านหลัง หางชี้ขึ้นมาดุจแส้เหล็ก ส่งเสียงคำรามเดือดดาลออกมาเนิ่นนาน 


 


 


ต้นไม้เก่าแก่คล้ายกับกำลังสั่นสะท้าน จิ่งเหิงปัวเตือนสติกงอิ้นอย่างอกสั่นขวัญแขวนว่า “ที่รัก อย่าได้มือไม้อ่อนเชียวนะ อย่าได้คลายมือปล่อยข้าลงไปนะ ถ้าหากเจ้าปล่อยมือลิงก็ร่วง พวกเราก็คงร่วงไปในปากเสือดาวพอดี…” 


 


 


ปลายเสียงยังไม่ทันสิ้น มือของกงอิ้นก็คลายออกโดยพลัน 


 


 


ดวงตาของเหล่าลิงเป็นประกายวูบไหว กรงเล็บคลายออกโดยพร้อมเพรียง 


 


 


ฟิ้ว! 


 


 


คำเตือนสติของจิ่งเหิงปัว ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องที่ถูกลมอุดไว้ในคอหอย 


 


 


เพิ่งได้ขึ้นสวรรค์ก็พลันตกนรก พอนางก้มหน้าลงก็มองเห็นเสือดาวด้านล่างที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาพอดี ลึกไปในแววตาคล้ายมีความดีใจระคนแปลกใจ จากนั้นก็อ้าปากกว้างดั่งแอ่งโลหิต รอคอยเหยื่อร่วงลงปากเสือดาวเองโดยมิต้องทำสิ่งใด ฟันแหลมคมสีขาวราวหิมะมันวาวขาวซีดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถมองเห็นเศษเนื้อสีแดงฉานกลุ่มหนึ่งที่ติดอยู่บนฟันหน้าด้านซ้ายซี่หนึ่งนั้น… 


 


 


ในชั่วพริบตาหนึ่งนี้ ในสมองของจิ่งเหิงปัวยังคงด่าทอบรรพบุรุษทั้งแปดชั่วโคตรของกงอิ้นอย่างกระจ่างแจ้ง 


 


 


หิ้วขึ้นต้นไม้ก็เพื่อห้อยนางลงมา ตอนนี้เขาก็ห้อยนางไว้เบื้องหน้า สอดรับกับปากกว้างของเสือดาว หลังจากรอให้เสือดาวขย้ำนางดังกร๊อบคำหนึ่ง เขาก็ย่อมหลบหนีเอาชีวิตรอดได้ นี่มันแผนการชั่วร้ายสุดๆ! 


 


 


ชาติหน้าถ้านางไม่เฉือนเนื้อถลกหนังเขามาต้มผัดแกงทอด นางสาบานเลยว่าจะไม่ขอเป็นคน! 


 


 


“โฮกก” เสียงคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ลมหายใจเหม็นคาวในปากของเสือดาวเหม็นจนจิ่งเหิงปัวแทบจะเป็นลม โชคดีที่เสือดาวตัวนั้นไม่คิดที่จะปีนขึ้นต้นไม้อีก สายตาแวววาวรอคอยอาหารรสเลิศร่วงจากฟ้าของตนเองอยู่ที่เดิม 


 


 


สองจั้ง…หนึ่งจั้ง…สามเมตร…สองเมตร…หนึ่งเมตร… 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ว่านิ้วมือของตนเองเกือบจะสัมผัสถึงฟันแหลมคมของเสือดาวแล้ว! 


 


 


นางเกลียดตนเองว่าทำไมยังไม่เป็นลมไปอีก? 


 


 


ซึ่บ! 


 


 


เสียงหนึ่งซึ่งแผ่วเบายวดยิ่งประดุจอสรพิษแลบลิ้นดังขึ้น 


 


 


ทันใดนั้น จิ่งเหิงปัวมองเห็นแสงสว่างสายหนึ่งอย่างอัศจรรย์ แสงนั้นดุจดั่งลิ้นสีขาวของอสรพิษที่ทะลุผ่านมาจากด้านหลังร่างของนาง แฉลบผ่านเฉียดใบหน้าของนางไปศูนย์จุดศูนย์หนึ่งเซนติเมตร กะพริบเพียงครั้งแล้วจมหายเข้าไปในดวงตาข้างซ้ายของเสือดาว 


 


 


พริบตาต่อมานางถูกเลือดแดงฉานพุ่งทะลักเปรอะเปื้อนไปทั้งใบหน้า 


 


 


แล้วถูกเสียงคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดินของเสือดาวสะเทือนเลือนลั่นจนหูแทบหนวก 


 


 


ชั่วพริบตาสุดท้ายนางร่วงหล่นลงมา ทั้งร่างกระแทกบนศีรษะของเสือดาว ชนเสือดาวนั้นจนกระเด็น ชั่วพริบตาที่หงายท้องนั้น นางมองเห็นวัตถุเรียวบางท่อนหนึ่งปักแน่วแน่กลางคอหอยของเสือดาวอย่างพอดี แล้วทะลุผ่านออกมาใต้ขากรรไกรของเสือดาว น้ำพุโลหิตเบาบางสายหนึ่งทะลักล้นไม่หยุดหย่อน ดุจสายธาราแห่งแม่น้ำฮวงโหย้อมลำธารน้อยข้างเคียงจนเป็นสีแดงฉาน 


 


 


‘กระบี่’ เล่มหนึ่งนั้นพุ่งเข้าไปในดวงตาข้างซ้ายของเสือดาว ทะลุผ่านลำคอของมันแล้วทะลุออกมาถึงใต้คาง… 


 


 


ชั่วพริบตานั้นนางสะสางท่วงท่า ไม่รู้สึกแล้วว่ากลิ่นคาวเลือดของเสือดาวเหม็นสาบ แต่ค่อยๆ ตื่นเต้นดีใจขึ้นมา 


 


 


นี่ปลอดภัยแล้วเหรอ? 


 


 


เดิมทีกงอิ้นไม่ได้คิดหนีตั้งแต่แรกเริ่ม เขาใช้ประโยชน์จากลิงหิ้วนางขึ้นไปแล้วห้อยนางกระแทกลงมา เพื่อหลบอยู่ด้านหลังกายนาง หยิบยืมแรงปะทะร้ายกาจนี้สังหารเสือดาวให้สิ้นชีพในครั้งเดียวเหรอ? 


 


 


ไม่อย่างนั้นกระบี่เรียวบางเป็นอย่างมากนั้นกับการผูกมัดที่ตาข่ายนี้ก็ยากจะสังหารเสือดาวให้สิ้นชีพในครั้งเดียวอย่างแท้จริงยิ่งนัก เสือดาวบาดเจ็บแต่ไม่ตายยิ่งทวีความดุร้าย เช่นนั้นพวกเขาคงจะต้องตายอย่างแน่นอน 


 


 


ในชั่วขณะนั้น ยามที่เผชิญหน้ากับภัยอันตราย เขาคิดได้อย่างไรกัน? 


 


 


จิ่งเหิงปัวเกิดความเลื่อมใสขึ้นมาบ้าง ขณะกำลังคิดจะคลานขึ้นในตาข่าย หลบเลี่ยงเลือดสกปรกของเสือดาว ก็พลันได้ยินเสียง “ระวัง!” แขนทั้งสองข้างยื่นเข้ามาโอบนางไว้แล้วกลิ้งหลุนๆ 


 


 


“โฮก!” เสียงคำรามดังเดือดดาลและสิ้นหวังเสียงหนึ่งสะเทือนจนใบไม้บนพื้นลอยล่อง กรงเล็บแสงยะเยือกวูบวาบคู่หนึ่งตะปบครูดไปบนพื้นข้างกายจิ่งเหิงปัวอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังเพี้ยะ ห่างจากข้างเอวนางเพียงครึ่งนิ้ว 


 


 


กล่าวอีกแบบหนึ่งก็คือ ถ้าไม่ใช่เพราะกงอิ้นโอบจิ่งเหิงปัวไว้แล้วกลิ้งออกมาได้ทันเวลา ตอนนี้จิ่งเหิงปัวก็คงอกฉีกท้องเละไปแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้างอย่างงุนงง มองเห็นเสือดาวนั้นถอนกรงเล็บสองข้างออกมาอย่างเดือดดาล ยกดินโคลนแข็งแรงที่ใหญ่ราวศีรษะขึ้นมาด้วย… 


 


 


“รีบกลิ้งเร็วเข้า!” จิ่งเหิงปัวกรีดร้องออกมาเสียงหนึ่ง ใช้แรงโผกอดกงอิ้นเอาไว้ ไม่กล่าวอะไรอีก กลิ้ง! 


 


 


กลิ้งผ่านรากต้นไม้ กลิ้งผ่านดินโคลน กลิ้งลงเนินเตี้ย กลิ้งผ่านลำธารตื้น กลิ้งสะบั้นดอกไม้ใบหญ้ากิ่งก้านใบไม้นับไม่ถ้วน ความร่วมมือของสองคนไม่เคยกลมเกลียวแน่นแฟ้นขนาดนี้มาก่อน ในสายตาของสองคนลอยวนด้วยแสงของโลหิตสีแดงฉานกับหนังสัตว์สีเหลืองดำ เสือดาวเดือดดาลใกล้ตายตัวนั้นตามมาโจมตีอย่างไม่พอใจ สะบัดโลหิตกระโจนข้ามพุ่มต้นไม้แต่ละพุ่ม ดุจลูกธนูลูกหนึ่งหลังพ้นสายธนูด้วยรุนแรง ทว่าต่อมากลับไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะเกือบพุ่งล้มเบื้องหน้ามนุษย์ร้ายกาจสองตัวนั้นที่มัดอยู่กับวัตถุประหลาด พลันเปล่งเสียงสิ้นหวังดุจแตรยาวเสียงหนึ่งออกมา 


 


 


พลั่ก! เสือดาวล้มลงรุนแรงจากกลางอากาศ ดินเลนสะเทือนจนสูงขึ้นไปครึ่งอากาศแล้วร่วงหล่นลงมา สีเหลืองอ๋อยปะปนทั่วใบหน้าของคนทั้งสอง 


 


 


“ถุยๆๆ” จิ่งเหิงปัวทั้งหอบหายใจทั้งถุยดินออกมาไม่หยุด ปากก็พลันถูกมือคู่หนึ่งคีบไว้กะทันหัน 


 


 


“เจ้าถุยมาถึงหน้าข้าแล้ว” มหาเทพเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา 


 


 


จิ่งเหิงปัวพูดไม่ได้จึงกระดกปากขึ้นมา ตอนนี้นางอารมณ์ดีมากจนอยาก ‘แผนใหญ่ลุล่วงมาจุ๊บสักที’ กับเขา 


 


 


กงอิ้นปล่อยปากของนางออกโดยพลัน แล้วใช้ฝ่ามืออุดเอาไว้ สะบั้นความเป็นไปได้เรื่องรักใคร่ของนางอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ 


 


 


ฝ่ามืออุดจมูกของจิ่งเหิงปัวไว้ ทำให้นางหายใจไม่สะดวก เช่นนั้นจึงใช้ปลายลิ้นวาดวงกลมวงหนึ่งที่กลางฝ่ามือเขา 


 


 


กงอิ้นคลายมือออกโดยพลันดุจต้องสายฟ้า แต่จิ่งเหิงปัวกลับมีสีหน้าเสียหายใหญ่หลวง จ้องเขาเขม็งแล้วกล่าวว่า “จบกัน ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าเหมือนจะไม่ได้ล้างมือมาหลายวันแล้ว อีกทั้งหลังจากปลดเบาก็ไม่ได้ล้างมือ…” 


 


 


“ข้ามิได้!” ที่กงอิ้นเอ่ยมาไม่รู้ว่าไม่ได้ปลดเบาหรือว่าไม่ได้ล้างมือ 


 


 


“ข้าดมหน่อย?” จิ่งเหิงปัวยื่นจมูกมา 


 


 


“อย่าได้ใช้ผิวกายอันสกปรกของเจ้ามาสัมผัสแตะตัวข้า” มหาเทพเริ่มปากร้ายอีกครั้ง 


 


 


“อ้อ?” จิ่งเหิงปัวชำเลืองสายตามองเขาแวบหนึ่ง พลางกล่าวว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้ายังจะสัมผัสผิวกายสกปรกของข้าอย่างแนบแน่นด้วยความเสียดายไม่ยอมห่างเล่า?” 


 


 


กงอิ้นก้มหน้ามองตามสายตาของนางไป จึงพบว่ายามนี้ตนเองยังทับร่างของนางไว้อย่างแนบแน่น จึงรีบเร่งพลิกกายลงมาเพียงครั้ง ไม่ได้เอ่ยวาจาอีก 


 


 


จิ่งเหิงปัวประสบชัยชนะครั้งแรก จึงรู้สึกปลอดโปร่งสบายอารมณ์ หัวเราะดัง “ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” ออกมาสามครั้ง 


 


 


เมื่อหัวเราะเสร็จก็ได้ยินเสียง “ผึงๆๆ” สามครั้ง จิ่งเหิงปัวตกอกตกใจยิ่งนัก เกือบนึกว่าตนเองโชคดีเกินไปจนเผลอปล่อยลมในท้องออกมา 


 


 


จากนั้นนางจึงมองเห็นกงอิ้นที่ยืนขึ้นมาอย่างเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้า และสง่างามยวดยิ่ง มือปัดบนแขนเสื้อ เชือกออกสีคล้ำเส้นหนึ่งร่วงลงไป 


 


 


จิ่งเหิงปัวชะงักไปชั่วครู่จึงนึกขึ้นได้ว่า เชือกตาข่ายนี้ก็เปียกเลือดของเสือดาวจนชุ่มโชกแล้ว…มันขาดแล้วหรือ? 


 


 


อ่าฮ่า ในที่สุดก็ขาดแล้วหรือ? 


 


 


ในที่สุดนางก็เป็นอิสระแล้ว? ในที่สุดก็ไม่ต้องถูกมัดอยู่ด้วยกันกับเจ้าคนนี้ทั้งเวลากลางวันกลางคืน ไม่ต้องถูกเขากลั่นแกล้งแล้วหรือ? 


 


 


สิ่งที่หลงเหลือจากความดีอกดีใจนั้น ไม่รู้ว่าเหตุใดยังมีความหดหู่ปะปนอยู่เล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงเรื่องสุดท้าย… 


 


 


นางคลานยืดขึ้นมา เชือกตาข่ายถูกเลือดปริมาณมากซึมแทรกจนค่อยๆ ฉีกขาดดังที่คาดไว้ ตอนนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งเข้าใจว่าก่อนหน้านี้กงอิ้นเสี่ยงภัยทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าโจมตีสังหารเสือดาว เดิมทีไม่เพียงเพื่อรักษาตนให้หนีรอด แต่เพื่อปลดแก้การผูกมัด หวังกระทำเพียงครั้งเดียวสบายไปตลอด 


 


 


ที่เรียกว่ายอดมนุษย์คงเป็นแบบนี้สินะ ทุกการกระทำก้าวหนึ่งต้องคิดถึงหลายก้าวต่อมา กระทำเรื่องหนึ่งไม่เพียงเพื่อจุดประสงค์เดียวแต่แรกเริ่ม? 


 


 


มองดูเชือกที่ถูกเลือดซึมจนออกสีคล้ำ พอลองคิดว่าเดิมทีตาข่ายนี้สร้างมาเพื่อให้เลือดของนางและกงอิ้นย้อมเชือกจนแดงเช่นนี้ นางก็อดที่จะสั่นสะเทือนสะท้านหนาวเหน็บไม่ได้ 


 


 


ชั่วพริบตาเดียวก็แตกหน่อความคิดที่จะหลบหนีอีกครั้ง 


 


 


ไม่มีอะไร คนพวกนี้น่ากลัวเกินไป จิตใจลึกล้ำสู้รบเดือดพล่าน นางเล่นด้วยไม่ไหว 


 


 


ดัชนีทองคำทะลุมิติมาเพื่อจิ้มหินเป็นทอง ไม่ได้ให้คนอื่นมาตัดเล่น 


 


 


แน่นอนว่าตอนนี้ไม่อาจพูดจาแบบนี้ได้ นางยังหวังพึ่งพากงอิ้นเพื่อออกไปจากป่าดงพงไพรแห่งนี้ 


 


 


กงอิ้นเดินไปไม่ไกลจากข้างซากเสือดาว ดึงวัตถุเรียวยาวท่อนหนึ่งออกมาจากคอหอยของเสือดาว ยังไม่รู้ว่าเขาลูบไปลูบมาอย่างไร วัตถุนั้นจึงหายไปจากมือภายในพริบตา จิ่งเหิงปัวมึนงงเบิกตากว้างยังไม่รู้สึกตัวว่านั่นคืออะไรและเก็บไว้ที่ไหน 


 


 


คิดๆ ดูแล้วบุคคลแบบนี้มักมีวัตถุรักษาชีวิตบางอย่างติดกาย ทั้งไข่มุกก็ดี วัตถุเรียวบางน้อยๆ นี่ก็ด้วย ที่ว่ากันว่าตำแหน่งสูงส่ง อำนาจล้นเหลือ อันตรายล้นหลาม จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าไม่น่าสนุกเลยสักนิดเดียว 


 


 


พอเงยหน้าขึ้นมองดูป่าไม้เขียวชอุ่ม นางก็กลัดกลุ้มเล็กน้อย ภูเขาลึกรกร้างไร้ผู้คนนี้จะเดินออกไปได้อย่างไรกัน? พื้นที่เขานี้กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ หนึ่งถึงสองคนหลงเข้าไปดุจเข็มจมในมหาสมุทร แล้วลูกน้องเหล่านั้นของกงอิ้นจะหาพวกเขาเจอได้อย่างไร? 


 


 


“ไปเถิด” กงอิ้นหันหน้ากลับมามองนาง 


 


 


“ไปที่ใด”

 

 

 


ตอนที่ 36

 

โฉมงามล่มแคว้น?

 


 


 


 


“ไปที่ใด” 


 


 


“พักผ่อนสักหน่อย” 


 


 


คราวนี้ตามหาถ้ำแห่งหนึ่งจนพบ เหมือนจะเป็นถ้ำแห่งนั้นที่นางมองเห็นในตอนแรก กลิ่นเหม็นสาบเหม็นสางโชยมาแต่ไกล ที่ปากถ้ำมีกระดูกสัตว์เกลื่อนพื้น ท่าทางคงจะเป็นรังเดิมของเสือดาวตัวนั้น 


 


 


กงอิ้นหยุดฝีเท้าลงโดยพลัน จากนั้นเศษกระดูกชิ้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากปากถ้ำดุจฟ้าผ่า ตามมาด้วยเสียงต่อสู้ดิ้นรนระลอกหนึ่ง ขนหลายหย่อมค่อยๆ ลอยออกมาร่วงหล่นบนนิ้วมือของจิ่งเหิงปัว 


 


 


จิ่งเหิงปัวคว้าขนนั้นไว้แล้วเหลือบมอง มีขนเสือดาวสีเหลืองดำ ขนสีขาวบางส่วนและขนยุ่งเหยิงรกรุงรังบางส่วน เสียงฮือๆ ที่แว่วมาจากส่วนลึกในถ้ำดังกังวาน คล้ายมีเสียงหายใจหอบและคล้ายมีตัวอะไรสักฝูงกำลังวิวาทกลิ้งเกลือก 


 


 


จิ่งเหิงปัวเดินออกมาด้านนอกทันที นางไม่อยากเผชิญหน้ากับเสือดาวตีกัน 


 


 


ทว่ากงอิ้นไม่ขยับ สายตาของเขายังคล้ายเจือความสนใจอยู่หลายส่วน ยามนั้นเองก็พลันมีเสียงกรีดร้องโหยหวนเสียงหนึ่ง ที่ปากถ้ำมีแสงสีเหลืองกะพริบวูบพร้อมมีเสือดาวตัวหนึ่งพุ่งออกมา 


 


 


จิ่งเหิงปัวตกอกตกใจจนถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งจนเกือบจะเหยียบโดนเท้าของกงอิ้น กงอิ้นยื่นแขนข้างหนึ่งมาคว้าคอเสื้อของนางไว้พลางเอ่ยว่า “เงียบ! กระต่ายยังหนักแน่นกว่าเจ้าอีก!” 


 


 


“เจ้าสิกระต่าย! เจ้ามันเทพกระต่าย!” จิ่งเหิงปัวแค่นเสียงเฮอะออกมา ตอนนี้จึงพบว่าเสือดาวตัวนั้นรูปร่างเล็กกระจ้อย ซ้ำยังเป็นเพียงเสือดาวเยาว์วัยตัวหนึ่ง 


 


 


แสงรุ่งโรจน์หลายสายกะพริบผ่านอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นกระต่ายตัวหนึ่ง นางเบิกตากว้างมองเห็นฟันหน้าของกระต่ายที่สว่างวูบกัดก้นของเสือดาวอย่างรุนแรง กัดจนเสือดาวน้อยนั้นตะเบ็งร้องดังโฮก 


 


 


จิ่งเหิงปัวขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก…ฝันไปเหรอเนี่ย? กระต่ายกัดเสือดาวงั้นหรอ? 


 


 


แสงสีเทากะพริบวูบ กวางโร[1]หลายตัวกระโดดออกมาจากในถ้ำ สัตว์ทุกตัวเป็นสัตว์กินพืชขนาดเล็กอ่อนแอไร้อันตราย แต่กลับรุมโจมตีเสือดาวน้อยตัวนั้นขึ้นมาต่อหน้าต่อตาพวกเขา พวกมันกลิ้งไปทะยานมา ไอสังหารเต็มไปทั่วทุกสารทิศ คางของจิ่งเหิงปัวยิ่งก้มลงเรื่อยๆ นัยน์ตากวาดมองทั่วพื้นและออกมาไม่ได้ 


 


 


กงอิ้นเอ่ยโดยพลันว่า “ดู!” 


 


 


เมื่อมองตามทิศทางที่เขาชี้ ตอนนี้จิ่งเหิงปัวจึงมองเห็นสัตว์เล็กขนสีขาวตัวหนึ่งหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ด้านหลังกระต่ายและกวางโรที่เดือดดาลเหล่านั้น รูปร่างปราดเปรียวท่าทางลับๆ ล่อๆ ยิ่งนัก มันไม่ได้ไปสู้รบปรบมืออยู่ข้างหน้า แต่กลับแวบพุ่งออกมากัดเป็นครั้งๆ ตลอดเวลา หลังจากหลายครั้งหลายครา แม้แต่จิ่งเหิงปัวที่ไม่เข้าใจวรยุทธ์นี้ยังพบว่า ทุกครั้งที่สัตว์เล็กตัวนี้ลงมือ พวกมันต้องให้เสือดาวเข้าสู่มุมอับหรือให้เสือดาวอยู่ในท่าทางเดิมเสียก่อน และในโอกาสที่ไร้หนทางโจมตีกลับนั้นมันจึงฝังเขี้ยวเด็ดเดี่ยวท่วงท่าแม่นยำ อีกทั้งกระต่ายและกวางโรเหล่านั้นดวงตาแดงฉาน ท่าทางดุร้ายแต่ร่างกายแข็งทื่อ แม้มีบาดแผลทั่วร่าง แต่ดุร้ายไม่ยอมสิ้นชีพ รู้เพียงว่าต้องบุกโจมตีอย่างต่อเนื่อง ท่าทางดูแปลกประหลาดเอาการ คล้ายว่าถูกอะไรควบคุมไว้อย่างนั้น 


 


 


การวิวาทครั้งนี้แม้เป็นระดับวัยเยาว์แต่ก็วิวาทจนกลิ้งไปพลิกมาขนกระจายว่อน จิ่งเหิงปัวร้องว่ายอดเยี่ยมออกมาอย่างต่อเนื่อง เสียดายแต่ไม่ได้พกโทรศัพท์มือถือมาด้วย ไม่อย่างนั้นนางจะต้องถ่ายวิดีโอโพสต์ลงเวยป๋อ[2]ให้โด่งดังสักครั้งจะได้เก็บซินลั่งวี[3]สักอัน 


 


 


เสือดาวสูญสิ้นอำนาจถูกกระต่ายรังแกพร้อมถูกฝูงสัตว์อ่อนแอรุมโจมตี สัตว์เล็กขนสีขาวนั้นคำรามเสียงแหลมออกมาเสียงหนึ่งโดยพลัน ก่อนพุ่งออกไปกัดท้ายทอยของเสือดาวอีกครั้งหนึ่งดุจสายฟ้า เสือดาวน้อยคำรามออกมาอย่างน่าเวทนาไม่หยุด พลางสะบัดหัวสุดชีวิต แต่สัตว์เล็กนั้นมีท่าทางดุร้าย ปากของมันกัดไว้ไม่ยอมปล่อย ร่างเล็กกระจ้อยถูกสะบัดพ้นความอึมครึมดุจกระสอบเปื่อยยุ่ย จิ่งเหิงปัวมองจนเวียนศีรษะ 


 


 


เสือดาวร้องโหยไห้ด้วยท่าทางน่าสงสา พลางสะบัดหัวอย่างแรง สัตว์เล็กถูกสะบัดออกไปดังสวบ อีกไม่นานคงจะกระแทกหน้าผาขระขระ… 


 


 


พลั่ก! ไม่ใช่เสียงกังวานของเลือดเนื้อแหลกสลาย ทว่าเป็นเสียงทึบของเนื้อนุ่มชนกับเนื้อเนียน 


 


 


ในนัยน์ตาสัตว์เล็กโผล่ระลอกคลื่นสีดำออกมา ร่างกายทั้งร่างสั่นไหว ล้มลงบนหน้าอกของจิ่งเหิงปัวแล้วแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน 


 


 


จิ่งเหิงปัวหิ้วเจ้าตัวนี้ขึ้นมาหัวเราะคิกคัก เมื่อครู่นางหายตัวไปขวางยังเบื้องหน้าของหน้าผา ช่วยของเล่นอัศจรรย์นี้เอาไว้ ตอนนี้มองดูทั่วตัวหัวจรดเท้า ก็อดจะ “เอ๋” ออกมาเสียงหนึ่งไม่ได้ 


 


 


“ทำไมขนเป็นสีม่วง?” 


 


 


ตอนนี้ถึงเพิ่งพบว่าสัตว์เล็กมีเพียงหางสั้นๆ ที่เป็นสีขาว ขนบนร่างกายเปล่งแสงสีเงินเหลือบม่วงออกมา ทั้งร่างคล้ายกับแมวดาวอ้วนสั้นตัวหนึ่ง นัยน์ตากลมโตจนคล้ายสวมด้วยลูกตาดำงดงาม หากตัดกรงเล็บแหลมคมยวดยิ่งทิ้งไปย่อมเป็นสัตว์น้อยน่ารักตัวหนึ่งแน่นอนร้อยเปอร์เซ็น 


 


 


จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้ว นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้มองเห็นเจ้าตัวเล็กเป็นก้อนสีขาวอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นสีนี้ได้? 


 


 


เสือดาวที่โชคร้ายบนพื้นสิ้นชีพลงแล้ว รวมถึงกระต่ายและกวางโรบ้าคลั่งหลายตัวนั้นด้วย หลังจากสู้รบอย่างดุเดือดรุนแรงครั้งหนึ่งก็ล้วนสิ้นชีพด้วยสูญสิ้นเรี่ยวแรง ตอนสิ้นชีพนั้นก็เดินโซเซสองก้าวแล้วล้มลงพื้นด้วยท่าทางแผ่ออกไป จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองสัตว์เล็กเหล่านั้นอย่างไม่แน่ใจ แต่รู้สึกว่าพวกมันกำลังยิ้มแย้ม 


 


 


ความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาดเกินไป นางอดที่จะหนาวสะท้านไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไมพออุ้มสัตว์เล็กแปลกประหลาดนี้เอาไว้อารมณ์ของนางก็ดีขึ้นมาในทันที มีความรู้สึกทั้งเคลิบเคลิ้มทั้งฮึกเหิมอย่างมากคล้ายอยากจะไล่จับอะไรสักอย่างมากัดสักคำ 


 


 


นางหันหน้ากลับมาจ้องลูกกระเดือกของกงอิ้นแล้วกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก 


 


 


สภาพของกงอิ้นนั้นคล้ายยังอยากนำก้านใบไม้สักก้านมาร้อยคอเสื้อเพื่อรักษาพรหมจรรย์แล้ว 


 


 


แต่ว่าสายตาของเขากลับจ้องมองมาที่สัตว์เล็กในอ้อมแขนของจิ่งเหิงปัวโดยตลอด สัตว์เล็กยังคงสลบไสลต่อไป ใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนสั้นๆ แนบเข้ากับเนินโค้งเว้าของนางสนิทแน่นอย่างสบายอกสบายใจ 


 


 


สายตาของกงอิ้นจ้องเขม็งเกินไป จิ่งเหิงปัวจึงยืดอกขึ้นมาถามเขาอย่างตั้งตารอว่า “ลึกไหม” 


 


 


สายตาของกงอิ้นเบนออกไปจ้องมองบนยอดของต้นไม้ที่อยู่ห่างไกลโดยพลัน  


 


 


จิ่งเหิงปัวก็พลันอารมณ์ดีขึ้นมา อุ้มสัตว์เล็กไว้แล้วยืดอกเดินผ่านไป ตอนที่เฉียดกายผ่านนั้นได้ยินมหาเทพกงเอ่ยกับต้นไม้นั้นแผ่วเบาว่า “มิเพียงลึก ทั้งยังหย่อนยานดุจเลขแปด[4]เสียแล้ว” 


 


 


จิ่งเหิงปัวนิ่งงัน “!” 


 


 


… 


 


 


ในถ้ำนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือดไม่อาจอาศัย ทั้งสองคนจึงได้แต่พักผ่อนอยู่ด้านนอก จิ่งเหิงปัวยังโกรธแค้นในวาจา ‘หย่อนยานดุจเลขแปด’ ประโยคนั้นของเขา จึงทำเป็นไม่สนใจกงอิ้น กงอิ้นก็คล้ายมีท่าทางไม่สนใจพลางกินผลไม้ป่าลูกหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าสิ่งนี้นามว่าเฝยเฝย” 


 


 


วาจาเพียงประโยคเดียวดึงดูดความสนใจใคร่รู้ของจิ่งเหิงปัวได้สำเร็จ นางหลงลืมความโกรธที่มีเมื่อครู่ทันที พร้อมชะเง้อหน้าเข้ามาเถียงว่า “เฟ่ยเฟ่ย[5]หรือ? เจ้าหลอกข้าหรืออย่างไร เฟ่ยเฟ่ยมิได้เหมือนเจ้าสิ่งนี้สักหน่อย” 


 


 


“คัมภีร์ซานไห่ว่าด้วยสัตว์อัศจรรย์บันทึกไว้ว่า บรรพตว่ามีสัตว์กายดุจแมวดาว ทว่าหางขาวมีแผงคอ นามเอ่ยเฝยเฝย เลี้ยงไว้ขจัดทุกข์” 


 


 


“ฟังไม่รู้ความ เอ่ยภาษามนุษย์สิ!” 


 


 


“เฝยเฝยคล้ายแมวดาว หางขาวใต้คอ มีขนยาวสีขาวดั่งแผงคออาชา เลี้ยงมันไว้ขจัดความทุกข์โศกได้” ยากนักที่กงอิ้นจะมานั่งแปลอย่างอดทนเช่นนี้ 


 


 


“เพ้อเจ้อ” จิ่งเหิงปัวลูบไล้ขนของเฝยเฝยที่ยังสลบไสลอยู่กล่าวว่า “เลี้ยงมันไว้ขจัดความทุกข์โศกได้อย่างไรกัน? มีวิธีขจัดอย่างไรหรือ” 


 


 


“คัมภีร์ซานไห่เอ่ยเอาไว้คลุมเครือ บางคราบอกใบ้ถึงพลังมหัศจรรย์ของสัตว์นี้ อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ก็ไม่มีผู้ใดเคยเห็นเจ้าสิ่งนี้มาก่อน” กงอิ้นมองดูซากกระต่ายและกวางโรทั้งสี่ด้านเอ่ยว่า “กระต่ายและกวางโรพวกนี้เดิมทีบนร่างมีบาดแผล แต่คาดว่าคงถูกแม่เสือดาวจับมาใช้ไล่กวดหยอกเล่น ฝึกฝนกรงเล็บให้เสือดาวน้อย พอเล่นเบื่อแล้วจึงค่อยจับกิน ผู้ใดจะรู้ว่าในนี้มีเฝยเฝยปนมาด้วยตัวหนึ่ง เฝยเฝยตัวนี้ฉวยโอกาสที่แม่เสือดาวไม่อยู่มอมเมากระต่ายและกวางโรให้เคลื่อนไหวโจมตีเสือดาวน้อย ส่วนตนเองหลบซุ่มโจมตีอยู่ด้านหลัง…เจ้าตัวเล็กร้ายกาจเช่นนี้” 


 


 


“เอ่ยเสียจนวิเศษวิโศ นี่มันแมวมิใช่มนุษย์” จิ่งเหิงปัวแบะปาก หิ้วเฝยเฝยขึ้นมามองหัวจรดเท้าไม่อยากจะเชื่อ 


 


 


“นี่ ข้าเรียกเจ้าว่าเฟยเฟย[6]ที่แปลว่ามิใช่ดีหรือไม่ หรือเฟยเฟยที่แปลว่าสวยงามหรูหรา หรือเฟยเฟยที่แปลว่าหมอก เจ้าเป็นตัวผู้หรือเป็นตัวเมียนะ? หากเป็นตัวผู้เรียกว่าเฟยเฟยที่แปลว่ามิใช่ก็แล้วกัน หากเป็นตัวเมียเรียกว่าเฟยเฟยที่แปลว่าหมอกดีหรือไม่” นางคว้าสัตว์เล็กหงายท้องเหลียวซ้ายแลขวากล่าวว่า “ตัวผู้หรือตัวเมียนะ? เฮ้อ กงอิ้นเจ้าช่วยข้าดูหน่อยสิ ข้าดูไม่ออกว่านี่ใช่เจ้าน้องชายของมันหรือไม่” 


 


 


“ความอัปยศอดสูแห่งสตรีเพศ” กงอิ้นนั่งอยู่ทางหนึ่ง หยิบกระต่ายตัวหนึ่งขึ้นมาถลกหนัง 


 


 


“ทางที่ดีเจ้าควรห่างจากมันสักหน่อย สัตว์มหัศจรรย์ชนิดนี้ไม่อาจปราบให้เชื่องได้” 


 


 


“ข้าช่วยชีวิตมันครั้งหนึ่งเชียวนะ!” จิ่งเหิงปัวหัวเราะเยาะเสียงขึ้นจมูกกล่าวว่า “เจ้าอิจฉาที่ข้าเก็บของดีได้ ก็เลยหวังให้ข้าถอดใจเองใช่หรือไม่? ไม่มีทาง!” 


 


 


กงอิ้นใช้สายตาแบบที่มองพวกด้อยปัญญามองนางปราดหนึ่ง ก่อนจะลงมือถลกหนังกระต่ายอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น แล้ววางหนังกระต่ายสมบูรณ์สองผืนไว้ที่ด้านหนึ่ง ล้างสะอาดและผึ่งลมให้แห้ง ส่วนตนเองเด็ดก้านไม้อ่อนนุ่มพวกหนึ่งมาสานเป็นอะไรสักอย่าง 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองนิ้วมือของเขาที่คล่องแคล่วดุจเล่นสานเชือก ดูแล้วก็งดงามยิ่งนัก แม้ว่าไม่กล้าเข้าใกล้ แต่หางตายังแอบชำเลืองมองอยู่หลายครั้ง 


 


 


ผ่านไปไม่นานของสิ่งนั้นก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นในมือของกงอิ้น ที่แท้ก็เป็นรองเท้าฟางคู่หนึ่ง จิ่งเหิงปัวไม่เคยเห็นรองเท้าฟางมาก่อน แต่ก็ยังรู้สึกว่ารองเท้าคู่นี้ก็สานได้อย่างงดงามประณีตและแข็งแรงมาก 


 


 


นางอยากจะหัวเราะขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าเจ้าคนบริสุทธิ์สูงส่งสุดชีวิตเช่นกงอิ้นนี้จะทำงานฝีมือของชาวชนบทเช่นนี้ก็เป็นด้วย 


 


 


เมื่อนางมองเห็นกงอิ้นตัดแบ่งหนังกระต่ายสองผืนที่ตากลมจนแห้งแล้วพลิกด้านที่มีขนด้านหนึ่งนั้นขึ้นมาปูรองในรองเท้า นางก็ยิ่งอยากจะหัวเราะมากขึ้น 


 


 


คราวนี้เขาก็กลายเป็นยายแก่จุกจิกเสียแล้ว 


 


 


เมื่อยายแก่จุกจิกแซ่กงที่ถูกหัวเราะเยาะยื่นรองเท้าฟางที่สานเสร็จแล้วมายังเบื้องหน้าของนาง สุดท้ายแล้วนางจึงหัวเราะไม่ออก 


 


 


“เอ่อ…ให้ข้าหรือ?” 


 


 


“รองเท้าหนังโด่งดังล้ำค่าของข้า มิอาจสวมใส่บนเท้าพวกด้อยปัญญาเช่นเจ้าได้” 


 


 


มีคนบางประเภทที่ต่อให้กระทำเรื่องดีเพียงใด เจ้าก็ยังไร้หนทางยอมรับน้ำใจของเขา นางก็อยากจะยัดรองเท้าฟางเข้าไปในปากเขายิ่งนัก 


 


 


กงอิ้นก็เช่นกัน 


 


 


จิ่งเหิงปัวอดทนอดกลั้นไว้แล้วจึงรับรองเท้าฟางมา รองเท้าของกงอิ้นคืนให้เขาไปแล้ว อย่างไรเสียรองเท้านั้นก็ใหญ่ไปหน่อย สวมแล้วไม่สะดวกอยู่บ้าง ส่วนรองเท้าส้นสูงของนางก็ยังไร้หนทางต่อสู้กับเส้นทางป่าเขาที่รกชัฏเช่นนี้ เพราะอย่างนั้นนางจึงต้องการรองเท้าคู่นี้จึงทำใจแข็งขึ้นมาไม่ไหว 


 


 


รองเท้าขนาดกำลังพอดี หนังกระต่ายนั้นอ่อนนุ่ม นางลุกยืนขึ้นมาแล้วลองเดินหลายก้าวก็รู้สึกเบาสบายทั่วร่าง 


 


 


แต่ไหนแต่ไรมาจิ่งเหิงปัวก็ไม่ใช่คนที่จิตใจคับแคบ นางแยกแยะเรื่องราวเป็นเรื่องๆ ไป นางยังหัวเราะคิกคิกกล่าวขอบคุณเขาว่า “รองเท้านี้แม้ว่าจะอัปลักษณ์ไปบ้าง แต่ว่าก็สานได้อย่างสบายยิ่งนัก คุณชายตระกูลผู้ดีผู้หนึ่งเช่นเจ้าเหตุใดจึงทำสิ่งนี้ได้” 


 


 


“ผู้ใดบอกเจ้าว่าข้าเป็นคุณชายตระกูลผู้ดี?” กงอิ้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ชาวต้าฮวงล้วนรู้ว่าข้ามาจากตระกูลยากจนข้นแค้น” 


 


 


“อ้อ” จิ่งเหิงปัวแอบชำเลืองมองเขา ในใจคิดว่าไอ้หน้ามนจากตระกูลยากจนข้นแค้นคนนี้อายุยังน้อย กลับไต่เต้าจนถึงตำแหน่งสูงอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร? 


 


 


นางคิดอยู่เนิ่นนาน ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา เข้าใจขึ้นมาโดยฉับพลันจนต้องปรบมือครั้งหนึ่ง 


 


 


นี่ยังต้องคิดอีกเหรอ? 


 


 


ก็เกาะผู้หญิงกินน่ะสิ! 


 


 


ต้องเป็นเพราะราชินีองค์ก่อนถูกรูปโฉมงดงามของเขามอมเมา เพื่อเขาแล้วจึงขับขานลำนำทุกค่ำคืนจนไม่ออกว่าราชกิจยามเช้า กระทั่งส่งมอบอำนาจใหญ่โตในแคว้นให้เขา เขาจึงได้มีตำแหน่งเหมือนยึดอำนาจฮุบแคว้นในวันนี้…ในนิยายเขียนไว้แบบนี้แหละ! 


 


 


อื้อหือ โฉมงามล่มแคว้นสินะ 


 


 


จิ่งเหิงปัวคาดเดาเรียบร้อยแล้วก็ยืนงงงวยอยู่ชั่วครู่ ไม่รู้ว่าทำไมในใจคล้ายยังติดขัดอยู่บ้าง จนกระทั่งจมูกได้กลิ่นเหม็นไหม้สายหนึ่งจึงรู้สึกตัวขึ้นมา 


 


 


“เฮ้ย! เจ้าย่างกระต่ายไหม้แล้ว!” 


 


 


ยังดีที่ยังมีกระต่ายอีกตัวหนึ่ง จิ่งเหิงปัวหยิบเอามาย่างบนไฟอย่างเชี่ยวชาญ อีกทั้งควานคลำในพงหญ้าข้างเคียง สายตาทอประกายวูบทันทีกล่าวอย่างยินดีว่า “มีหญ้าเซียงเหมา[7]ด้วยแฮะ!” 


 


 


หญ้าเซียงเหมาถือเป็นเครื่องปรุงรสสำหรับการปิ้งย่าง เป็นหนึ่งในเครื่องปรุงปิ้งย่างที่ชาวไทลื้อ[8]และชาวไทยชื่นชอบที่สุด แม้ว่าจิ่งเหิงปัวจะไม่รู้เรื่องการทำอาหารเลย แต่จากการขลุกอยู่กับเหวินเจินมานาน อีกทั้งนางแอบกินอาหารไปเยอะมาก อย่างน้อยยังต้องรู้เรื่องพวกนี้ นางเด็ดใบหญ้าเซียงเหมาเรียวบางนั้นมา ใบหญ้าชนิดนี้ส่งกลิ่นหอมดุจมะนาวเข้มข้นตามธรรมชาติชนิดหนึ่ง จิ่งเหิงปัวใช้หญ้าเซียงเหมามัดกระต่ายไว้แล้วย่างไฟอ่อน กลิ่นหอมมะนาวที่เป็นเอกลักษณ์อบอวลออกมา จมูกนางสูดกลิ่นอย่างตะกละตะกลาม แล้วกล่าวอย่างเสียดายเล็กน้อยว่า “เสียดายที่ไม่มีเกลือ…” 


 


 


กงอิ้นมองท่าทางของนางอย่างเงียบเชียบมาโดยตลอด นัยน์ตาดำขลับใสสะสาดทอดยาวไกลคล้ายท้องฟ้าสว่างสะอาดบนยอดป่าไม้ 


 


 


“เหตุใดเจ้าจึงย่างกระต่ายเป็น” 


 


 


“เหตุใดเจ้าจึงย่างกระต่ายไม่เป็น” 


 


 


สองเสียงเปล่งออกมาเป็นเสียงเดียว จากนั้นสองคนล้วนปิดปากชะงักงัน มองกันและกันอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวก็หัวเราะ “ฮึ!” ออกมาเสียงหนึ่ง กงอิ้นแม้ว่าไม่ได้หัวเราะ แต่สีหน้ากลับละมุนละไมขึ้นมาไม่น้อย 


 


 


นี่ยังเป็นช่วงเวลาหนึ่งตั้งแต่พบกันมา ที่สองคนสามัคคีกลมเกลียวเข้าบรรยากาศกันที่สุด ไม่มีการเผชิญหน้าโต้เถียงเสียดแทงกัน แต่เกิดเป็นความรู้ใจเงียบเชียบ อากาศสงบเงียบจนแม้แต่แสงเพลิงยังมีท่วงท่าอ่อนโยน 


 


 


จิ่งเหิงปัวพลิกย่างกระต่ายอยู่เช่นนั้น ใจคิดว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พอผ่านพ้นความเป็นความตายด้วยกันครั้งหนึ่ง ในที่สุดเจ้าคนนี้ก็มีความเป็นมนุษย์ขึ้นมาสักหน่อย 


 


 


“เจ้า…” 


 


 


“ข้า…” 


 


 


เปล่งเสียงหนึ่งในเวลาเดียวกันอีกครั้ง สองคนชะงักไปอีกคราว 


 


 


“เจ้าก่อน…” 


 


 


“เจ้าก่อน…” 


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมาหน้าหงายหลังคว่ำ กระต่ายในมือเกือบทิ่มไปบนหน้ากงอิ้น กงอิ้นยื่นมือมาจับไว้ จ้องมองนางที่ยิ้มงามเฉินฉันจากนัยน์ตาจรดหางคิ้ว ในใจสะท้านน้อยๆ ขึ้นมาโดยพลัน 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] กวางโร หรือกวางโรตะวันออก ชื่อวิทยาศาสตร์ Capreolus pygargus  


 


 


[2] เว่ยป๋อ สื่อโซเชียลมีเดียที่สำคัญของประเทศจีน 


 


 


[3] สัญลักษณ์วีใหญ่ หมายถึง ได้รับการรับรองส่วนบุคคลบนแพลตฟอร์มเวยปั๋ว เช่น ซินลั่ง เทนเซ็นต์ เน็ตอีสเป็นต้น จากการที่บัญชีเวยปั๋วมีแฟนคลับจำนวนมาก 


 


 


[4] เลขแปด (八) ของภาษาจีนมีลักษณะเป็นขีดสองเส้นห้อยลง 


 


 


[5] เฝยเฝย หรือลิงบาบูน ชื่อวิทยาศาสตร์ Papio 


 


 


[6] เฟยเฟย เป็นคำพ้องเสียงซึ่งมีหลายความหมาย เช่น ไม่ใช่ (非非) สวยงามหรูหรา (菲菲) หมอก (霏霏)  


 


 


[7] หญ้าเซียงเหมา หรือตะไคร้  


 


 


[8] ชาวไทลื้อ เป็นชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไท มีถิ่นฐานอยู่ในเขตสิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจีน

 

 

 


ตอนที่ 37

 

หายนะ

 


 


 


 


นางก็คือเด็กสาวนางหนึ่งที่มีความกำเริบเสิบสานแจ่มชัดแตกต่างจากผู้อื่น หลงตนเองไปนิด อัปลักษณ์ไปหน่อย คล้ายจะโง่เขลาอยู่บ้าง ทว่าช่วงเวลาสำคัญกลับปราดเปรียวยิ่งนัก ภายใต้รูปลักษณ์จิ้มลิ้มพริ้มเพรา ก็ผุดเผยความคิดแจ่มแจ้งสดใสไร้ซึ่งอำพราง 


 


 


เขามองนางประดุจมองเห็นกองเพลิงกองหนึ่งในวันเหมันตฤดู ลุกโชนแพรวพราวดึงดูดให้ผู้คนชิดใกล้ ทว่ากลับถูกความย่ามใจไร้ระวังนั้นทำให้ตกตะลึงจนไม่กล้าสืบเท้าเข้าใกล้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย คอเสื้อหลุดลุ่ยน้อยๆ เขาไม่หวังสืบเสาะลงไปจึงเบนสายตามองเลียบขึ้นไปตามลำคอขาวเนียน แล้วทอดลงบนริมฝีปากแดงเพริศแพร้ว นางหัวเราะอย่างไร้สิ่งกั้นขวาง ฟันดุจเปลือกหอยร้อยเรียงเปล่งประกายเจิดจรัส 


 


 


สายตาของเขาลอยล่องไป สีหน้าราวกับกำลังคิดตรึกตรอง 


 


 


จิ่งเหิงปัวใช้กระต่ายย่างในมือชี้ไปยังปากของเขา ยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องเอ่ยๆ ข้าเป็นสุภาพสตรีให้ข้ากินก่อน” 


 


 


กงอิ้นยิ้มเพียงครั้ง ไม่ได้เอ่ยวาจา เบื้องลึกในใจนุ่มนวลอบอุ่นดั่งหาดทรายภายใต้แสงสุริยันยามวสันตฤดู ทว่าถูกกรวดทรายที่ค่อยๆ อุ่นร้อนขัดเกลาจนเจ็บแสบเพียงน้อย 


 


 


“เจ้าสานรองเท้าฟางได้เชี่ยวชาญเช่นนี้ เหตุใดจึงย่างกระต่ายไม่เป็นเล่า” 


 


 


“ตอนยังเล็กไม่เคยกินกระต่ายย่าง ส่วนภายหลังข้าไม่จำเป็นต้องย่างกระต่ายเอง” 


 


 


“ไม่สิ เจ้าสานรองเท้าฟางได้ ตอนยังเล็กก็ย่อมต้องเดินป่าเดินเขาบ่อยครั้ง เดินป่าเดินเขาอาศัยภูเขายังชีพ แล้วจะไม่มีโอกาสได้กินสัตว์ป่าเลยหรือ” 


 


 


“มีโอกาส เพียงแต่ไม่เคยถึงคราวที่ข้าได้กิน” 


 


 


จิ่งเหิงปัวเงียบไป มองดูเล็บมือพร่างพราวของเขา จินตนาการได้ยากยิ่งว่าตอนยังเล็กเขาเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาสามัญได้อย่างไร 


 


 


“ถามหน่อยสิ” นางเขยิบเข้ามาด้วยท่าทีสนอกมสนใจเป็นอย่างมาก พลางถามว่า “เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญกลายเป็นชายหนุ่มสูงสง่าร่ำรวยหล่อเหลาได้อย่างไร หรือเป็นเพราะว่าพานพบคุณหนูสูงศักดิ์รูปงามร่ำรวยผู้ตามีแววล่วงรู้ความปรีชาสามารถ?” 


 


 


กงอิ้นคล้ายกำลังเหม่อลอย ตอบโพล่งไปว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร” 


 


 


จิ่งเหิงปัวชะงักงัน นึกไม่ถึงว่าคำตอบจะเป็นแบบนี้จริงๆ 


 


 


หา? เกาะผู้หญิงกินจนมีวันนี้จริงเหรอเนี่ย? เศรษฐีนีที่เลี้ยงดูเขาคนนั้นเป็นใครนะ ราชินีองค์ก่อนหรือ? เศรษฐีนีเลี้ยงดูไอ้หน้ามนแล้วถูกไอ้หน้ามนฆ่าอย่างนั้นเหรอ 


 


 


เรื่องราวนี้ฟังดูมีเหตุผลมาก แต่นางกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย 


 


 


สายตาของกงอิ้นแฉลบผ่านใบหน้านาง มองเห็นความงงงวยและหดหู่เบาบางอย่างชัดแจ้ง ในใจของเขาเขาสะท้านน้อยๆ เพียงครั้ง จากนั้นก็หัวเราะออกมาโดยไร้เสียง 


 


 


นางคงคิดมากไปแล้วสินะ? 


 


 


ได้พานพบเพียงชั่วยามนั้น จากนั้นพานพบยิ่งเจ็บปวดมิสู้มิพบพาน เขาหลุดพ้นความยากจนข้นแค้นในยามนั้นมาได้ แต่ไหนแต่ไรไม่ใช่เพื่อมือขาวเนียนคู่นั้นที่ยื่นออกมาจากรถม้าทองคำในสารทฤดูปีนั้น 


 


 


การคบหาเป็นเพียงใบไม้ร่วงลอยล่องในลมสารทคราหนึ่ง ทั้งเปี่ยมล้นด้วยความรักและการครอบครองอย่างแปลกประหลาด อีกทั้งยังซ่อนเร้นด้วยความหลอกลวง การทรยศ ความโกรธแค้นและความเจ้าอารมณ์ บดขยี้ทุกมุมทุกแห่งหนท่ามกลางสายลม ผสมปนเปกลายเป็นความจริงที่ไม่สมบูรณ์พร้อม 


 


 


สายตาของเขาทอดลงบนใบหน้าของนาง ดวงพักตร์นี้ที่อยู่เบื้องหน้า มีความคล้ายเคียงนางเมื่อสมัยนั้นบางส่วนจริงๆ เอ่ยขึ้นมาแล้วก็แปลกประหลาดนัก ราชินีกลับชาติมาเกิดในรัชศกก่อนหน้า มีเพียงวิญญาณกลับชาติมาเกิด แต่ไม่เคยได้ยินว่าแม้แต่หน้าตาก็ยังคล้ายกันเช่นนี้ 


 


 


หรือคือวัฏจักรที่รังสรรค์ท่ามกลางความวิเวก? สำหรับเขาแล้วคือหายนะหรือวาสนากันแน่นะ 


 


 


ทั้งสองคนเงียบลงแล้ว จิ่งเหิงปัวย่างกระต่ายอย่างเงียบเชียบ กลิ่นหอมค่อยๆ ลอยตลบอบอวล นางนำกระต่ายลงมาแก้หญ้าเซียงเหมาออกด้วยมืออันสั่นเทา พลางพึมพำว่า “ฟู่…ร้อน! ฟู่…ร้อน!” 


 


 


พลันมีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามารับกระต่ายไปตามใจตน แกะหญ้าเซียงเหมาออก ฉีกขาสองข้างออกมาแล้วส่งไปให้นาง 


 


 


จิ่งเหิงปัวเท้าคาง ในใจคิดว่านี่นับว่าเป็นความเป็นห่วงเป็นใยที่มหาเทพมีต่อนางหรือไม่นะ? 


 


 


เนื้อกระต่ายที่ใส่หญ้าเซียงเหมาสดนุ่มอวบแน่นดังที่คาดไว้ นางแทะขาสองข้างเสร็จภายในพริบตาเดียว พอกะพริบตามองเห็นกงอิ้น ก็เห็นว่าเขายังคงกินขาข้างหนึ่งอย่างเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้าด้วยท่วงท่าสง่างาม จิ่งเหิงปัวจึงร้องเฮอะเสียงหนึ่งด้วยความเหยียดหยามและอิจฉา ขณะที่กำลังเตรียมจะฉีกเนื้อกระต่ายออกมาบ้างนั้น กลับพบทันทีว่าร่างกระต่ายที่วางไว้ข้างกายนั้นหายไปแล้ว 


 


 


ข้างหลังแว่วเสียงดังกรอบแผ่วเบาราวหนูมุดเข้ารัง นางหันหน้าไปมองก็เห็นเฝยเฝยตัวนั้นกำลังยัดกระดูกกระต่ายชิ้นน้อยชิ้นสุดท้ายเข้าไปในปาก 


 


 


“ฮะๆๆ ที่แท้ก็เป็นเฟยเฟยนี่เอง” จิ่งเหิงปัวที่แต่เดิมเตรียมจะด่าคน กลับเปลี่ยนเป็นท่าทางรักใคร่ประจบเอ็นดูทันทีพลางกล่าวว่า “หอมหรือไม่ กินอิ่มหรือยัง ถ้ายังข้าจะให้กงอิ้นเอากวางโรสักตัวมาให้เจ้าอีกดีหรือไม่ เราจะกินแบบไหนดีนะ ตุ๋นน้ำแดงหรือแกงน้ำใส?” 


 


 


ตอนที่พูดจาเช่นนี้ในใจของนางก็รู้สึกอย่างเลือนรางว่ามีความผิดปกติอะไรอยู่บ้าง แต่เมื่อเฟยเฟยเงยหน้าใช้นัยน์ตากลมโตสีม่วงเข้มที่มีลูกตางดงามกะพริบตาใส่นางเพียงครั้ง นางก็ลืมไปเสียว่าอยากจะพูดอะไรไปชั่วขณะ 


 


 


“กวางโร? อืม? ย่างอีกสักตัวหรือ?” ใบหน้านางเปี่ยมด้วยแสงอันรุ่งโรจน์แห่งความรักใคร่เอ็นดู 


 


 


เฟยเฟยลูบท้องน้อยๆ ใส่นาง ราวกับอกใบ้ว่าตนเองกินอิ่มแล้ว จิ่งเหิงปัวปีติยินดี…เฝยเฝยตัวนี้แสนรู้จังนะ! 


 


 


“มันอิ่มแล้วแน่ล่ะ” กงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาอยู่อีกด้านหนึ่งว่า “กระดูกยังไม่หลงเหลือ” 


 


 


วาจาสบายๆ ประโยคเดียว แต่ฟังแล้วจิ่งเหิงปัวก็ขนลุกขนพอง จากนั้นจึงนึกออกว่าเป็นตรงไหนที่ผิดปกติกันแน่ ชั่วแวบเดียวเมื่อครู่นี้ เฝยเฝยตัวนี้ก็กินกระต่ายที่ตัวใหญ่กว่ามันจนหมดทั้งตัว ไม่เพียงแต่ไม่มีเสียงอะไร ทว่าแม้แต่เศษซากกระดูกยังไม่เหลือไว้ นี่จะต้องใช้ความเร็วน่ากลัวขนาดไหน ฟันแหลมคมขนาดไหนกัน กินอย่างดุร้ายแค่ไหนกัน ใช้ความเร็วขนาดนี้กินคนคนหนึ่งสักคนใช้เวลาเพียงห้านาที… 


 


 


นางหนาวเหน็บสั่นสะท้าน แต่ว่าเมื่อเฟยเฟยกะพริบตาเชื่องช้า อวดนัยน์ตางดงามใส่นางอีกครั้ง นางก็ปลอบใจตนเองอย่างรวดเร็วอีกครั้งว่า…บางทีมันก็อาจจะหิวก็ได้นะ อืม กินเร็วหน่อยก็ไม่แปลกอะไรหรอก 


 


 


พอกินกระต่ายเสร็จ ทั้งสองคนก็พักผ่อนครู่หนึ่ง กงอิ้นใช้ปลายแหลมของกิ่งไม้ปักลงบนพื้น จากนั้นก็ดึงออกมามองดูดินแล้วเอ่ยว่า “ดูจากรูปร่างภูเขาแล้ว เป็นไปได้มากว่าทิศตะวันตกเฉียงใต้มีทางออก” 


 


 


ทั้งสองคนกำลังจะออกเดินทาง แต่เฝยเฝยตัวนั้นก็พลันกระโดดออกจากอ้อมแขนของจิ่งเหิงปัวแฉลบผ่านไปเบื้องหน้าดุจสายฟ้าฟาด จิ่งเหิงปัวกำลังจะร้องเรียกเสียงดัง จากนั้นพบว่ามันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในใจสะท้านเพียงครั้ง สืบฝีก้าวตามขึ้นไปรวดเร็ว เฝยเฝยแวบไปแวบมาในพงหญ้าดังคาด อยู่ในขอบเขตสายตาของนางแต่ต้นจนจบคล้ายว่ากำลังนำทาง 


 


 


“ดูสิ เป็นเด็กดีที่รู้จักตอบแทนบุญคุณอีกต่างหาก ข้ารู้สึกว่ามันอยากส่งข้าออกไปจากภูเขาล่ะ” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มเบิกบาน 


 


 


“อาจจะส่งเจ้าไปสุสานร้างก็ได้” วาจาปากร้ายอย่างเรียบง่ายของกงอิ้น ฟังแล้วพาให้ขนทั่วร่างของจิ่งเหิงปัวลุกชันขึ้นมาอีกครั้ง นางถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่งอย่างโกรธเคือง ทว่ากงอิ้นสนใจท่าทางแข็งนอกอ่อนในของนางเสียที่ไหน สายตาของเขาเอาแต่จับจ้องเฝยเฝยตลอดเวลา 


 


 


เดินทางไปได้สักครู่หนึ่ง ก่อนอาทิตย์ลับฟ้าจิ่งเหิงปัวก็คร่ำครวญออกมาว่าถ้าให้นางเดินไปอีกก้าวนางจะฆ่าตัวตาย เช่นนั้นเฝยเฝยก็หยุดฝีเท้าราวกับจิตใจตรงกัน จิ่งเหิงปัวเอนกายลงตรงนั้น แล้วคิดจะยืดเหยียดกายตนเองออกไป แต่เฝยเฝยกลับกระโดดลงบนท้องของนาง ชี้ไปยังทางข้างหน้า จิ่งเหิงปัวไม่สนใจ ทำให้มันก็กระโดดไปกระโดดมาบนท้องของจิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าถ้าให้มันกระโดดต่อไปเช่นนี้ ก็เกรงว่าคงจะเหยียบจนของเสียออกมา จึงได้แต่คว้ามันไว้ครั้งหนึ่ง แล้วถามอย่างมีเรี่ยวแรงไร้กำลังว่า “หือ?” 


 


 


เฝยเฝยชี้ไปยังด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง จิ่งเหิงปัวพลิกกายอย่างเกียจคร้าน แล้วชำเลืองมองไปเห็นว่าด้านหน้ามีหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งซึ่งเรียบลื่นสะอาดสะอ้าน ด้านหลังพิงหน้าผา นับเป็นที่นอนหลับที่ดีแห่งหนึ่ง 


 


 


“ข้าไปนอนทางนั้นนะ” นางชี้ไปที่กงอิ้นพลางกล่าวว่า “ห้ามเจ้าเข้าใกล้ ห้ามเจ้าแอบดู ห้าม…” 


 


 


กงอิ้นให้หลังใส่นางครั้งหนึ่ง 


 


 


“อย่าชิดใกล้ข้า อย่าแอบมองข้า ขอบใจ” 


 


 


“มองน้องสาวนายน่ะสิ! พี่เคยมองนายตอนไหนกัน? ตาข้างไหนของพี่ชำเลืองมองนายไหว นายมีตรงไหนคุ้มค่าพอให้มอง หือ? ลำคอ? กระดูกไหปลาร้า? ร่องหน้าท้อง? กล้ามแขนสองข้าง?” นิ้วมือเรียวบางของจิ่งเหิงปัวเกือบจะจิ้มลงบนหน้าผากเขา เสียงดังกังวานไร้ซึ่งสีหน้าละอายใจ 


 


 


กงอิ้นแสดงความนับถือต่อความสามารถ ‘หันหน้าแล้วลืม’ อีกทั้ง ‘ให้ตายยังไม่ยอมรับ’ ของคนแซ่จิ่งบางคนจากใจจริง 


 


 


จิ่งเหิงปัวเอนกายนอนลงอย่างสบายอกสบายใจ เตรียมจะหลับสักงีบแล้วค่อยลุกมากินกวางโรย่างที่นำมาด้วย ข้างกายมีเฝยเฝยและกงอิ้นอยู่ นางก็ย่อมไม่กลัวสัตว์ป่ามาทักทาย 


 


 


การนอนหลับงีบนี้ลึกยิ่งนัก 


 


 


ในความฝัน มีเสือดาวสีแดงคำรามวิ่งมาหา วินาทีต่อมากงอิ้นพุ่งขึ้นจากน้ำบีบคอหอยของเสือดาวเอาไว้ เสือดาวโผล่ฟันสีขาวหิมะใส่นาง นางยืนตัวสั่นอยู่ที่เดิมด้วยความหวาดผวา ทันใดนั้นแสงสว่างสีม่วงคล้ำรำไรสายหนึ่งกะพริบวูบผ่าน กงอิ้นเหวี่ยงเสือดาวชุ่มโชกเลือดในมือมาทางนาง เสียงลมคำราม เลือดเสือดาวเปียกชุ่มโชกหยดใส่ใบหน้า นางตกใจจนถอยหลังไปครั้งหนึ่งรร้อง “กรี๊ดด…” 


 


 


เสียงเรียกสั่นสะเทือนจนตัวนางเองตื่นขึ้นมา บนแขนเกร็งแน่นกะทันหันด้วยถูกฝ่ามืออบอุ่นบีบเอาไว้แน่น เสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังอย่างขุ่นเคืองข้างหูนางว่า “ตื่นเร็ว!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวลืมตาตื่นขึ้น 


 


 


แวบแรกที่สายตามองเห็นคือหน้าผาสูงชัน 


 


 


ชั่วพริบตานางเกือบจะนึกว่าตนเองยังไม่ตื่นขึ้นมา ย้อนกลับไปสู่ในฝันร้ายที่ตกหน้าผาไม่กี่วันก่อนหน้าครั้งนั้น 


 


 


จากนั้นนางรู้สึกตัวว่าหน้าผาแห่งนี้ไม่เหมือนกัน หน้าผาแห่งนี้ไม่สูงนัก มองเห็นเบื้องล่างมีวัตถุพวกหนึ่งเปล่งแสงสีขาวรำไร 


 


 


แล้วจากนั้น นางก็พบว่าเท้าข้างหนึ่งของตนเองกำลังห้อยอยู่นอกหน้าผาสูงชัน ส่วนเท้าอีกข้างหนึ่งยื่นออกไปริมหน้าผาครึ่งหนึ่งแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 38

 

เจ้ามิใช่สวามีข้าสักหน่อย

 


 


 


 


หากไม่ใช่เพราะกงอิ้นที่อยู่ด้านหลังคว้านางเอาไว้ได้ทันเวลา ตอนนี้นางก็คงจะอยู่ใต้หน้าผาแล้ว 


 


 


“เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ หา? เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้?” จิ่งเหิงปัวตกตะลึงเหลียวมองรอบด้าน เมื่อมองข้ามหัวไหล่ของกงอิ้นไปก็เห็นว่าหินก้อนใหญ่หลังพุ่มไม้ที่นางนอนหลับอยู่เมื่อครู่ห่างออกไปไกลเสียแล้ว 


 


 


ละเมอเดินเหรอ? นางก็ป่วยเป็นโรคนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน 


 


 


กงอิ้นมองไปด้านบนด้วยสายตาเย็นชาเล็กน้อย ตอนนี้จิ่งเหิงปัวจึงมองเห็นว่าบนต้นไม้มีแสงรุ่งโรจน์สีม่วงเข้มกะพริบวูบวาบเข้ามาอย่างเชื่องช้า แสงนั่นก็คือเฝยเฝยที่กำลังกะพริบตาอย่างน่ารักน่าชัง 


 


 


“เจ้าหมายถึง…” นางกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันทีกล่าวว่า “เฟยเฟยหลอกล่อให้ข้ากระโดดหน้าผาหรือ?” 


 


 


กงอิ้นไม่ได้เอ่ยวาจา แต่สีหน้าดูไม่ดีเท่าไร เขาไม่ได้เข้าใจเจ้าสัตว์ชนิดนี้มากนัก นึกไม่ถึงว่ามันไม่เพียงมอมเมาสัตว์ป่าได้ ซ้ำยังมอมเมาผู้คนได้อีกด้วย มันหลอกให้จิ่งเหิงปัวไปที่ริมหน้าผาทั้งเช่นนั้น หากไม่ใช่เพราะเขารู้สึกว่าผิดปกติจึงรีบเร่งตามมา ยามนี้อาจจะต้องไปควานหาซากศพซากกระดูกของจิ่งเหิงปัวที่ใต้หน้าผาแล้ว 


 


 


แสงจันทราโผล่พ้นม่านเมฆา สาดส่องหน้าผาสีเขียวเข้มมืดครึ้ม ตอนนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งจะพบว่าวัตถุสีขาวใต้หน้าผานั้นคือโครงกระดูกของสัตว์หลากหลายชนิด 


 


 


นางขนลุกชันไปทั่วทั้งร่าง เหงื่อเย็นเยียบซึมแทรกทั่วรูขุมขน ได้ยินเสียงที่เย็นเยือกกว่าดวงเดือนของกงอิ้นเอ่ยว่า “ที่นี่คงเป็นคลังเก็บสะสมอาหารของเฝยเฝย” 


 


 


“มันกินเนื้อมนุษย์หรือ” เสียงของจิ่งเหิงปัวเปลี่ยนไป 


 


 


“นั่นยังไม่แน่ชัด” กงอิ้นเอ่ยว่า “มันอาจจะหวังเพียงหลอกเจ้าลงไปเบื้องล่างให้ขาหักบาดเจ็บสาหัสกลายเป็นเหยื่อล่อ ล่อให้สัตว์ดุร้ายมุ่งหน้ามากินเจ้า มันจะได้ฉวยโอกาสลอบโจมตีสัตว์ดุร้าย อาหารโอชะหนึ่งมื้อย่อมกลายเป็นเนื้อแดดเดียวที่สะสมเอาไว้” เขาชะโงกหน้ามองไปยังเบื้องล่างแล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “เลือกสถานที่ได้ไม่เลว เบื้องล่างระบายลมได้ดียิ่ง” 


 


 


จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองเศษกระดูกกระจัดกระจายเหล่านั้น มั่นใจว่ากงอิ้นคาดการณ์ได้ถูกต้องแน่นอน 


 


 


จากนั้นนางก็โกรธแค้นเดือดดาลขึ้นมา 


 


 


“อะ…อะ…ไอ้เจ้าบัดซบนี่!” นางกระโดดขึ้นไปบนหน้าผา ชี้นิ้วด่าเฝยเฝยบัดซบตัวนั้นเสียงดังว่า “ไอ้สัตว์เนรคุณ จิตใจเ**้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า! พี่ช่วยแกไว้ ป้อนอาหารให้แกกิน อักทั้งโอบแกอุ้มแก แกยังกล้าหลอกให้พี่ไปตายอัก! ทำไมแกไม่ตายไปซะล่ะ! ทำไมแกไม่ตายไปซะ!” 


 


 


ดวงตากลมโตของเฝยเฝยกะพริบอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ทันทีว่ามันมีความรู้สึกนึกคิด อีกทั้งความรู้สึกนึกคิดนี้แปลกประหลาดเอาการ 


 


 


นางยังไม่ทันได้ครุ่นคิดอะไร ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง “ฟ่อ” แผ่วเบาเสียงหนึ่ง คล้ายดังอยู่เหนือศีรษะ เฝยเฝยบนต้นไม้ตัวนั้นเมื่อได้ยินเสียงนี้ ขนทั่วร่างก็สยายออกมาฉับพลัน หันกายเพียงครั้งกระโดดไปถึงข้างหลังต้นไม้ เงยหน้ากำมือคารวะมุ่งไปทางเหนือศีรษะสุดชีวิต คล้ายกำลังวิงวอนอะไรสักอย่าง 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูอย่างงงวยด้วยไม่เข้าใจว่าความเปลี่ยนแปลงนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร กงอิ้นพลันเอ่ยว่า “เฝยเฝยอีกหนึ่งตัว!” 


 


 


เมื่อจิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้น ตอนนี้จึงพบว่าบนยอดต้นไม้ยังมีเฝยเฝยอีกตัวหนึ่ง รูปร่างใหญ่กว่าตัวเมื่อครู่นั้นมาก มันกำลังขมวดคิ้วตาขวางถลึงตาใส่ตัวเล็กตัวนั้นที่อยู่ข้างล่างด้วยความโกรธ 


 


 


“เจ้าตัวนี้มีสองตัวเลย…” จิ่งเหิงปัวถอนหายใจด้วยความตกตะลึง กงอิ้นมีสีหน้าท่าทางประหลาดใจยิ่งนักเช่นกัน 


 


 


ดูท่าว่าตอนนี้ ตัวข้างล่างที่ทำร้ายจิ่งเหิงปัวคล้ายกำลังหวาดกลัวตัวที่อยู่เหนือศีรษะนั้นมาก ซ้ำยังคล้ายถูกมันควบคุมไว้ ทั่วร่างสั่นสะท้านขอโทษขอโพยตลอดเวลา ตัวที่อยู่เหนือศีรษะนั้นคำรามเสียงทุ้มต่ำ สีหน้าท่าทางดุร้ายคล้ายกำลังต่อว่าต่อขาน 


 


 


ผ่านไปชั่วครู่ เฝยเฝยเหนือศีรษะก็คล้ายสูญสิ้นความอดทน ร่างกายพรวดพราดกะพริบวูบเพียงครั้งดั่งสายฟ้าฟาด พุ่งไปข้างตัวของเฝยเฝยข้างล่าง ยกแขนได้ก็ตบไปฉาดหนึ่ง 


 


 


ท่ามกลางเสียงอุทานตกใจของจิ่งเหิงปัว เฝยเฝยน้อยตัวนั้นร่วงเท้าชี้ฟ้าลงมาจากต้นไม้ครั้งหนึ่งแล้วล้มลงข้างเท้านาง ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่ลุกขึ้นมา 


 


 


จิ่งเหิงปัวก้มหน้ามองดูสัตว์ตัวน้อยที่เมื่อครู่ยังกำเริบเสิบสานมาก แต่ตอนนี้กลับน่าสงสารเป็นอย่างยิ่งด้วยสีหน้าท่าทางลังเล 


 


 


เฝยเฝยตัวใหญ่เหนือศีรษะตัวนั้นคล้ายหยิ่งยโสนัก มันไม่ได้ใส่ใจมนุษย์คนสองแม้แต่น้อย ปีนป่ายกิ่งไม้ลงมาดังซู่ๆ เปล่งเสียงทุ้มต่ำแปลกประหลาดระลอกหนึ่งออกมาใส่เฝยเฝยน้อย 


 


 


เฝยเฝยน้อยตัวนั้นชะงักงัน จากนั้นค่อยๆ ดิ้นรนขึ้นมาแล้วปีนไปริมหน้าผาเชื่องช้า 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเห็นนัยน์ตาแสนรู้สีม่วงเข้มของมันเหม่อลอยไม่รับรู้ไม่เคลื่อนไหว 


 


 


แสงจันทร์แผ่วบางเย็นยะเยือก ไร้หนทางสาดส่องยอดเขาสีคล้ำเช่นเหล็กให้สว่างไสว ได้เพียงแต่งแต้มน้ำค้างขาวผืนหนึ่งบนพื้นดิน เฝยเฝยน้อยนั้นปีนออกมาจากเงามืดด้วยท่าทีเชื่องช้า ขนสีเงินเหลือบม่วงบนร่างกลายเป็นสีขาวหิมะผืนหนึ่งอีกครั้งโดยพลัน 


 


 


มันไปยังหน้าผา 


 


 


สายตาของเฝยเฝยตัวใหญ่ผุดเผยแสงอำมหิต 


 


 


ในใจของจิ่งเหิงปัวเย็นยะเยือก รู้สึกเพียงว่าทั้งหวาดกลัวทั้งอึดอัดใจ นี่คงเป็นวิชามอมเมาของเฝยเฝย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเฝยเฝยเมื่อครู่ที่ยังมอมเมานางไปกระโดดหน้าผา ในช่วงเวลาเค่อสุดท้ายกลับกลายว่าถูกเฝยเฝยอีกหนึ่งตัวมอมเมาให้ไปกระโดดหน้าผาเช่นกัน 


 


 


นางขยับฝีเท้า 


 


 


กงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาอยู่ด้านหลังนางว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะช่วยสัตว์ป่าที่เป็นศัตรู?” 


 


 


นางอยากหัวเราะทว่าหัวเราะไม่ออก 


 


 


นางรู้ว่าที่เขาพูดมานั้นถูกต้อง นี่คือสัตว์ป่าไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีคุณธรรมจริยธรรม และไม่แน่ว่ามันจะรู้จักซาบซึ้งบุญคุณ 


 


 


เฝยเฝยน้อยตัวนั้นอาจจะอยากฆ่านางเองหรืออาจจะถูกเฝยเฝยตัวใหญ่บังคับให้ไปหาเหยื่อจึงอยากฆ่านาง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สัตว์ป่าพวกนี้เจ้าเล่ห์เ**้ยมโหดและเป็นสัตว์กินเนื้อ นี่อันตรายเกินไป 


 


 


แม้ว่ากงอิ้นจะไม่เคยเอ่ยวาจาไพเราะกับนาง แต่เมื่อเอ่ยถึงมโนธรรมในใจเขายังไม่เคยทำร้ายนางเลย ตั้งแต่รู้จักกันจนถึงตอนนี้เขาช่วยชีวิตนางเอาไว้หลายครั้ง อย่างเมื่อครู่นี้เขาก็ยังยับยั้งฝีเท้าที่กำลังกระโดดหน้าผาของนางเอาไว้ 


 


 


เฝยเฝยปีนไปยังริมหน้าผา ชะตาชีวิตที่มันจัดสรรให้จิ่งเหิงปัวเมื่อเค่อก่อน ชั่วครู่ต่อมาก็สับเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นตัวมันเอง 


 


 


จิ่งเหิงปัวหลับตาลง หันหน้ากลับมา กงอิ้นจ้องนางเขม็ง สีหน้าท่าทางใต้แสงจันทร์ดูอ่อนโยนอยู่บ้าง 


 


 


เฝยเฝยห่างจากริมหน้าผาไม่ถึงนิ้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่ง 


 


 


เฝยเฝยพลันเปล่งเสียงโหยหวนโศรกเศร้ารันทดออกมา เสียงนั้นไม่คล้ายสัตว์ป่า ทว่าคล้ายมนุษย์และคล้ายคนกำลังโหยไห้ยามสิ้นหวัง ผืนป่ารอบกายเลือนรางโดดเดี่ยวสุดหนทาง ฟังแล้วสะท้านใจคน 


 


 


เฝยเฝยตัวใหญ่ใต้ต้นไม้ยืนนิ่งอย่างหยิ่งผยอง แววตาดุร้ายเลวทราม 


 


 


เสียงโหยไห้ของเฝยเฝยตัวน้อยยังไม่ทันสิ้น มันก็ก้าวเท้าก้าวสุดท้ายแล้วร่วงหล่นลงไป 


 


 


ทันใดนั้นเอง มือข้างหนึ่งก็คล้ายโผล่ออกมาจากกลางอากาศคว้าเฝยเฝยเอาไว้เพียงครั้งในชั่วพริบตา 


 


 


จากนั้นเสียงแหบแห้งเดซิเบลสูงของจิ่งเหิงปัวดังขึ้นว่า “กรี๊ดๆๆ ข้าพุ่งไปเร็วเกิน! ข้ายืนไม่อยู่แล้ว! ช่วยด้วย! คว้าข้าไว้เร็ว!” 


 


 


เงาสีขาวกะพริบวูบ กงอิ้นปรากฎกายเบื้องหน้าหน้าผา ฉุดรั้งเรือนร่างสั่นไหวสะเปะสะปะของโฉมงามวีรสตรีที่ใจอ่อนยวบผู้ช่วยสัตว์ป่าเอาไว้ 


 


 


เขาคล้ายถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ทั้งคล้ายไม่ได้ถอนหายใจ ในแววตาไม่ได้มีความประหลาดใจยวดยิ่งแต่อย่างใด 


 


 


รู้ว่านางจะเป็นเช่นนี้ตั้้งแต่แรกเริ่ม 


 


 


เด็กสาวนางนี้ดูท่าทีคล้ายไม่ได้ใส่ใจ แต่แท้จริงแล้วยังคงใจอ่อน 


 


 


เสียงหนึ่งดังฟ่อแหลม แสงสีเงินกะพริบวูบ เฝยเฝยตัวใหญ่พุ่งมาทางกงอิ้น ฟันสีขาวหิมะสว่างดุจมีดด้ามน้อยพุ่งไปยังท้ายทอยของกงอิ้นหวังทำร้าย 


 


 


ฉึบ! 


 


 


คล้ายดาวตกสายหนึ่งพ้นผ่าน ท่ามกลางความมืดมิด แสงสีขาวเงาโหดร้ายยังหลงเหลือแช่มช้าในใจกลางม่านตา เลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาจากแผงอกของเฝยเฝยตัวใหญ่นั้น ซ้ำยังมีเส้นเรียวบางเส้นหนึ่งพุ่งเป็น ‘เลขหนึ่ง[1]’ ตรงดิ่งสายเดียวบนหน้าผา 


 


 


เฝยเฝยตัวใหญ่ร้องออกมาอย่างน่าเวทนา ไม่สนใจว่าบาดเจ็บหนัก มันกลิ้งพลิกกลับมาเพียงครั้งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แล้วกะพริบหายวับไป 


 


 


หน้าผากว้างโล่งเงียบสงัด หากไม่ใช่สีเลือด ‘เลขหนึ่ง’ บนหน้าผานั้นกำลังค่อยๆ ทอดยาวซ้อนกลีบลาดเอียงหยดย้อยไหลมา ฉากหนึ่งเมื่อครู่ก็คล้ายว่าไม่เคยเกิดขึ้น 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ทันทีว่าทั่วทั้งร่างของเฝยเฝยน้อยในฝ่ามือคล้ายผ่อนคลายขึ้นมา แม้แต่ขนยังสยายเรียบลื่นลงมา ขนสีขาวหิมะค่อยๆ กลายเป็นสีม่วงเจือจางอีกครั้ง 


 


 


สีขนของเจ้าตัวนี้คล้ายมีความสัมพันธ์กับความรู้สึก เมื่อตึงเครียด เศร้าโศกหรือตื่นเต้น สีขนจะเปลี่ยนเป็นสีขาว 


 


 


“พอแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว” จิ่งเหิงปัวฉวยมือโยนมันออกไป “ภายหลังระวังตัวให้ดีละกัน” 


 


 


นางไม่อยากหยุดอยู่ที่เดิมอีกจึงเตรียมหาที่พักแห่งใหม่อีกครั้ง เดินได้ไม่ถึงสองก้าวก็รู้สึกว่าเท้าสะดุด เมื่อก้มหน้ามองก็เห็นเฝยเฝยน้อยกัดชายกระโปรงนางไว้ พลางลากตัวตามมาด้วยในแต่ละก้าว 


 


 


“เป็นบ้าหรืออย่างไร” นางหิ้วเจ้าตัวนี้ขึ้นมาโยนออกไปพลางกล่าวว่า “ข้าไม่กล้าพาเจ้าไปด้วยอีกแน่ กลางดึกถูกพากระโดดหน้าผาน่าสนุกนักหรือ? ถึงกระแทกลงไปตัวเองไม่ตาย แต่ทับดอกไม้ใบหญ้าก็ไม่ดีนะที่รัก!” 


 


 


กงอิ้นคล้ายยิ้มออกมา 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกเองว่าทำเรื่องนี้ได้ใสสะอาดงดงาม ก็เชิดหน้าเดินต่อไปยังเบื้องหน้า แต่เดินไปไม่ถึงสองก้าว ก็หยุดฝีเท้าก้มหน้าทันที 


 


 


“กระโปรงพี่ไม่ใช่รถลากน้อยของแกนะ!” นางตะคอกอย่างโกรธเคือง 


 


 


เฝยเฝยตัวน้อยนั้นดึงกระโปรงนางเอาไว้ แล้วนั่งเอาก้นทับชายกระโปรงลากยาวของนางเสียเลย ทั้งขยับทั้งเขยื้อนตามฝีเท้าของนาง เมื่อได้ยินเสียงนางคำราม เฝยเฝยก็เงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตางดงามกลมโตสีม่วงเข้มค่อยๆ กะพริบแล้วกะพริบอีก… 


 


 


อารมณ์อิ่มอกอิ่มใจสายหนึ่งแผ่ขยายในใจของจิ่งเหิงปัว ใจของนางอ่อนยวบทันที 


 


 


“เอ่อ นี่…” นางพูดคุยกับแผ่นหลังของกงอิ้น 


 


 


กงอิ้นไม่ได้หันหน้ามา 


 


 


“จะว่าไปมันก็น่าสงสารออกนะ…” 


 


 


กงอิ้นไม่ได้สนใจนาง 


 


 


“มันต้องไม่ได้คิดอยากทำร้ายข้าเองแน่ๆ คงจะเป็นเพราะถูกเฝยเฝยตัวใหญ่บังคับให้ทำร้ายมนุษย์เป็นเหยื่อล่อ…” 


 


 


กงอิ้นไม่ได้ตอบโต้ 


 


 


“ตัวใหญ่เมื่อครู่ก็ไม่รู้ว่าตายไปหรือยัง เราไปแล้วมันคงทั้งกลัวทั้งแย่แน่เลย…” 


 


 


กงอิ้นฉวยมือเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งมาเคี้ยวอย่างแช่มช้า 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูแผ่นหลังตั้งตรงงามสง่าของเขาแล้ว เพลิงโทสะก็ลุกโชนขึ้นมา 


 


 


“ฉิบ! ประหลาดเสียจริง! ทำไมพี่ต้องทำเสียงอ่อนเสียงหวานให้นายเห็นใจด้วยนะ?” นางหิ้วเฝยเฝยขึ้นมาด้วยความโกรธเคือง วางไว้บนไหล่ตนเองพลางเอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่สวามีข้าสักหน่อย!” 


 


 


นางวางเฝยเฝยไว้บนไหล่ แล้วเดินก้าวใหญ่ผ่านกงอิ้นไป ตอนที่เดินผ่านข้างกายกงอิ้นนั้น นางก็จงใจชนไหล่ของเขา 


 


 


ตอนที่ไหล่เฉียดผ่านกันนั้น นางก็ได้ยินมหาเทพกงเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “นั่นสิ ผู้ใดจะไปรู้กับเจ้าเล่า” 


 


 


“…” 


 


 


จิ่งเหิงปัวร่างกายแข็งทื่อไปหนึ่งวินาที คล้ายว่าถูกสายฟ้าสายหนึ่งฟาดผ่านดวงใจกะทันหัน 


 


 


นั่นสิ ใครจะไปรู้กับฉันล่ะ 


 


 


เป็นเรื่องที่ตนเองสามารถตัดสินใจได้เองแท้ๆ แต่ทำไมถึงต้องให้เขาเห็นชอบก่อนล่ะ? ทำไมในน้ำเสียงของตนเองถึงเจือด้วยความปรารถนาจะสอบถาม ร้องขอ ประจบและได้รับอนุญาตอย่างอดไม่ได้…เหมือนกับ…เหมือนกับว่าภรรยาคนหนึ่งที่ทำความผิด แล้วคาดหวังอย่างขี้ขลาดตาขาวนิดหน่อยว่าจะได้รับความเห็นชอบของสามี… 


 


 


ถุย! ถุยๆๆ! ไม่ใช่สักหน่อย! 


 


 


เขาเป็นอะไรกับนางเหรอ? 


 


 


จิ่งเหิงปัวคงถูกมอมเมาแล้วกระมัง คงถูกประโยคชั่วร้ายประโยคเดียวมอมเมาเข้าแล้ว! 


 


 


เพราะว่านางกลัวเขาจะลงมือทำร้ายเฝยเฝย ถึงต้องร้องขอให้เขาเห็นด้วยแน่ๆ! 


 


 


เป็นแบบนี้แน่ๆ! 


 


 


“ฮะๆๆ” นางไม่สนใจกงอิ้น อุ้มเฝยเฝยไว้กล่าวเสียงออดอ้อนว่า “เฟยเฟย เฟยเฟย จากนี้เรียกเจ้าว่าเฟยเฟยละกัน ข้าช่วยเจ้าไว้สองครั้งแล้วนะ ต่อไปเจ้าต้องจงรักภักดีกับข้านะ…” 


 


 


กงอิ้นชำเลืองมองท่าทางเสแสร้งที่ไร้ค่าให้มองของนางปราดเดียว ก็คร้านจะสืบสาวราวเรื่องกับนาง 


 


 


เขาคงไม่มีทางบอกนางเป็นแน่ว่า เฝยเฝยที่มีนามว่าเฟยเฟยเช่นตัวเมียตัวนี้เป็นตัวผู้ 


 


 


ดวงตางามกลมโตสีม่วงเข้มของเฟยเฟยกะพริบไปมาเชื่องช้าคล้ายจะเป็นลมอยู่บ้าง อับอายจนมันอดจะสั่นสะท้านไปทั่วร่างไม่ได้ จิ่งเหิงปัวยังนึกว่ามันชอบชื่อที่อ่อนโยนเฉลียวฉลาดแอ๊บแบ๊ว ท่าทางอ่อนหวานน่ารักน่าชังน่าเอ็นดูชื่อนี้เข้าแล้ว ยิ่งอุ้มมันไว้พลางเรียกไม่ยอมหยุด พอเรียกครั้งหนึ่งมันก็สั่นครั้งหนึ่ง เรียกอีกครั้งหนึ่งมันก็สั่นอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


กงอิ้นรู้สึกว่าเขาไม่ต้องเพิ่มโทษทัณฑ์ใหม่ใดๆ ให้เฝยเฝยตัวนี้แล้ว แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว 


 


 


วันเวลาที่เดินทางในป่ารกชัฏแลดูผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นเพราะว่ามีเฟยเฟยนำทาง มันรู้ว่าตรงไหนมีสัตว์ดุร้าย รู้ว่าตรงไหนมีผลไม้ป่ารสอร่อยและน้ำพุภูเขา รู้ว่าเส้นทางไหนเดินทางสะดวกกว่าและเส้นทางไหนไม่เหมาะกับการสัญจร ที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือสถานที่ที่มันเดินผ่านนั้นงูและแมลงหลีกลี้ ตั้งแต่นั้นมาจิ่งเหิงปัวหลุดพ้นจากฝันร้ายที่ถูกยุงภูเขาขนาดมหึมาไล่ฆ่า ตุ่มบนร่างกายที่ถูกยุงกัดค่อยๆ หายไป เรื่องนี้พาให้นางจิตใจเบิกบานมีความสุข กิริยาท่าทางเดิมทีที่ลังเลอยู่บ้างตอนจะรับเลี้ยงเฟยเฟย ตอนนี้รู้สึกว่าห่างจากเจ้าตัวนี้ไม่ได้เสียแล้ว 


 


 


ในภูเขาไม่รู้วันรู้เดือนรู้เพียงว่าแสงอาทิตย์ไม่หยุดขึ้นจากขอบฟ้า เทือกเขาโค้งเว้าค่อยๆ ทอดยาวขึ้นมา ต้นไม้ใบไม้ใบหญ้าแปรเปลี่ยนเรียวยาว ค่อยๆ ปรากฏลำธารมากมายหลายสาขา แม้ว่าไม่ได้พบเจอองครักษ์ที่มุ่งหน้ามาตามหาเลย แต่จิ่งเหิงปัวก็มองจากสีหน้าท่าทางค่อยสบายใจขึ้นในแต่ละวันบนใบหน้าของกงอิ้นรู้ว่าใกล้จะเดินทางออกมาได้แล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 39

 

มาให้ข้าจัดการเสียดีๆ

 


 


 


 


พอจิ่งเหิงปัวคิดว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ก็ดีอกดีใจเป็นธรรมดา แต่ยังมีความผิดหวังเจือจางอยู่บ้าง วันเวลาที่เดินทางมาในป่าทึบนี้ นอกจากตอนเริ่มแรกที่พบเจอเสือดาวตัวหนึ่งภายหลังก็ไม่เกิดอะไรน่าหวาดเสียวขึ้น ทุกวันตอนเย็นกงอิ้นจะเลือกสถานที่ที่เหมาะแก่การนอนหลับสักแห่งให้นาง ส่วนตนเองก็พักผ่อนอยู่บริเวณใกล้เคียงทั้งเสื้อผ้าเต็มยศ บางครั้งแม้ว่านางมองไม่เห็นว่าเขาอยู่ที่ใด แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของเขา ในอากาศมีลมหายใจของเขาดำรงอยู่ ทั้งสงบเงียบและเยือกเย็นสุขุม ทอดยาวเชื่องช้า แผ่วเบาคล้ายบรรยากาศเงียบสงบที่ซ่อนเร้นนางไว้ชั้นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้นางจึงหลับลึกหลับสนิทไร้ความฝันตลอดคืน 


 


 


ยามตื่นนอนตอนเช้ามองจ้องยิ้มให้กันท่ามกลางแสงอรุณมัวสลัว แสงโปร่งในป่าไม้ดุจผ้าโปร่งเขียวขจี ทั้งเขาและนางรู้สึกว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายนั้นบริสุทธิ์สะท้านใจคน แม้ว่าหลังจากนั้นไม่นานนักจะเริ่มโต้เถียงกันด้วยวาจาเราะร้าย ทว่ายามอรุณรุ่งเพิ่งพ้นนิทรา ความนึกคิดรางเลือน อารมณ์ที่แสดงออกมากลางใจที่สว่างไสวชั่วครู่หนึ่งนั้นถึงเป็นสิ่งจริงแท้ 


 


 


นางค่อยๆ เรียนรู้การถลกหนังกระต่ายจากเขา จากแรกเริ่มที่ตะโกนโหวกเหวกด้วยความรังเกียจว่าสกปรกแลขยะแขยง จนในบัดนี้ทำเสร็จแคล่วคล่องเพียงนาทีเดียว เขาเองก็เรียนรู้การแยกแยะหญ้าเซียงเหมาและหาหญ้าหนิวจื้อ[1]เจอภายใต้การชี้นำของนาง สิ่งหลังนางมักเอ่ยว่ามีรสชาติของพิซซ่า ส่วนพิซซ่าคือสิ่งใดนั้นนางมิเอ่ยถึง เขาเองยิ้มแย้มทว่ามิเอ่ยวาจา…อย่างไรเสียการเดาสุ่มเรื่อยไปและดูจากสถานการณ์ที่เอ่ยวาจา ย่อมคาดเดาความหมายในวาจานางได้มากกว่าครึ่ง วาจามั่วซั่วไม่คล้ายผู้ใดของนางจึงเป็นฉากม่านหนึ่งซึ่งสว่างงามงดสดใสที่สุดในพงไพรนี้ เหตุใดจึงต้องสืบสาวราวเรื่องจนกระจ่างแจ้งด้วยเล่า? 


 


 


วันนี้เดินทางถึงริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง เมื่อถึงที่นี่ลำธารน้อยนับไม่ถ้วนก่อนหน้าไหลรวมเป็นแม่น้ำไหลหลากรินหลั่งลงไป กงอิ้นมองดูทิศทางการไหลของแม่น้ำแล้วเอ่ยว่า “หากเดินทางพ้นแม่น้ำสายนี้ ก็คงจะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว” 


 


 


จิ่งเหิงปัวหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่งอย่างสบายใจ 


 


 


กงอิ้นนำกวางโรบนบ่าลงมา มันคืออาหารของวันนี้ จิ่งเหิงปัวกลับนำหนังสัตว์กองหนึ่งบนบ่าลงมาปูบนพื้นยืดเหยียดขาเรียวยาวอย่างเหนื่อยล้า หนังสัตว์นี้ได้มาจากการที่กงอิ้นล่าสัตว์เก็บสะสมไว้ตลอดทาง ใช้ปูคลุมตอนกลางคืน หลีกเลี่ยงการถูกไอหนาวบนภูเขาซึมแทรกโจมตี ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนแบกมาตลอด เริ่มตั้งแต่เมื่อวาน หญิงเกียจคร้านเช่นจิ่งเหิงปัวกลับตัวกลับใจกะทันหัน แย่งหนังสัตว์หลายผืนมาแบกไว้ ฉะนั้นท่าทางของนางตอนนี้คล้ายว่านอนแล้วนอนเลยไม่อยากขยับเขยื้อน 


 


 


“มิได้เดินทางมากเท่าไร เหตุใดเจ้าจึงง่วงอีกแล้ว?” กงอิ้นขมวดคิ้วมองนาง 


 


 


“เจ้านอนกรนเสียงดังจนข้านอนไม่หลับ” 


 


 


“อ้อ?” กงอิ้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ข้ากรนหรือไม่ข้าไม่รู้ ทว่าคิดแล้วข้าไม่อาจนอนละเมอเอ่ยวาจา ยิ่งไม่อาจตะโกนก้องยามวิกาลว่า ‘คุณโทมินจุนฉันรักคุณ คุณโทมินจุนรีบเข้านอนเถอะค่ะ’ โทมินจุนคือผู้ใดหรือ” 


 


 


“เป็นไปได้อย่างไร!” จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นพรวดพราดกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “วาจาที่ข้าตะโกนน่าจะเป็น ‘โทมินจุนชิ คุณไม่ต้องอบอุ่นเป็นมิตรขนาดนี้ก็ได้ ฉันยังไม่ได้คิดให้ดีเลยค่ะ’!” 


 


 


“โทมินจุนคือผู้ใด” กงอิ้นยังคงตามติดคำถามนี้อย่างยวดยิ่ง 


 


 


“ข้าฝันถึงเขาหรือ? เหตุใดจึงจำไม่ได้” จิ่งเหิงปัวหงุดหงิดมากกล่าวว่า “โอ๊ย โอกาสดีงามครั้งยิ่งใหญ่ขนาดนี้…” 


 


 


“โอกาสเช่นนี้ของเจ้ายังมีอีกมาก” กงอิ้นก่อไฟด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์เอ่ยว่า “บางคราวเจ้ายังเอ่ยว่า ‘เบคแฮมคุณหล่อจัง หย่ากับวิคตอเรียเถอะ ฉันหุ่นดีกว่าเธอตั้งเยอะ!’ บางคราเจ้าเอ่ยว่า ‘โอปาขายาว ขาคุณยาวจัง ให้ฉันลูบคลำหน่อยได้ไหม?’ บางคราเจ้าเอ่ยว่า ‘เจวี่ยนฝู[2]ทำไมคุณยิ่งมองยิ่งหล่อล่ะ? มายิ้มให้พี่สักทีสิ’ บางคราเจ้าเอ่ยว่า ‘ว้าว! เสี่ยววา[3]! วาๆๆ วาๆ…’ ” 


 


 


“ว้าว…” สายตาของจิ่งเหิงปัวเหม่อลอยกล่าวว่า “เรื่องนี้ก็ฝันถึงด้วยหรือ?” 


 


 


กงอิ้นจ้องมองนางครู่ใหญ่ นางประคองดวงใจในดวงจิตล่องลอยหมื่นลี้นั้น ทั้งดีใจกับความฝันของตนเองและทั้งหงุดหงิดที่เหตุใดตนเองจึงจดจำความฝันเหล่านี้ไม่ได้ สีหน้าบนใบหน้าประเดี๋ยวดีใจประเดี๋ยวเศร้าซึม ประเดี๋ยวกลัดกลุ้มประเดี๋ยวโอ้อวด เปลี่ยนแปลงร้อยพันดาษดาจนคล้ายกระบอกสลับลาย น่าชมย่อมน่าชม ทว่าผู้จ้องมองเริ่มรู้สึกว่ากลัดกลุ้มเสียแล้ว 


 


 


ผู้ด้อยปัญญายังมองรู้ว่าชั่วขณะนี้นางทัศนาจรอยู่ในมหาสมุทรแห่งชายงาม กงอิ้นเอย เฟยเฟยเอย เหยียลี่ว์ฉีเอย และต้าฮวงเอยล้วนยืนอยู่ชายขอบจนสิ้น 


 


 


“ข้าถามเจ้าว่า…” สีหน้าของกงอิ้นออกสีเขียว เอ่ยถามอย่างเหลืออดเหลือทนว่า “โทมินจุนคือผู้ใด เบคแฮมคือผู้ใด โอปาขายาวคือผู้ใด เจวี่ยนฝูคือผู้ใด เสี่ยววาคือผู้ใด…” 


 


 


“ล้วนเป็นพ่อรูปงาม…” สายตาของจิ่งเหิงปัวจับจ้องมองเหม่อ มือโบกไปมากลางอากาศราวกับเรียกวิญญาณพลางเอ่ยว่า “พ่อรูปงาม มาให้ข้าจัดการเสียดีๆ…” 


 


 


กงอิ้นลุกขึ้นยืน กวางโรบนบ่าสะบัดออกมาชนกับบ่าของจิ่งเหิงปัว 


 


 


สาวงามแซ่จิ่งผู้จิตใจล่องลอยล้มลงไปตามเสียงดังเพี้ยะเสียงหนึ่ง 


 


 


นางนอนอ้าแผ่ขาสองข้างแลดูไม่เรียบร้อยอย่างมาก ปกติแล้วท่าทางแบบนี้ทั้งไม่สง่างามและน่าเกลียดอย่างยิ่ง แต่ซ่อนเร้นรูปร่างงดงามของนางไว้ไม่ได้ กลับจะยิ่งผุดเผยขาเรียวยาวข้อเท้าเรียวบางเอวราวรัดไว้ ทรวดทรงโค้งเว้างามอัศจรรย์ นางคล้ายไม่ได้รับรู้ว่าตนลักลอบโจมตีกงอิ้นแม้แต่น้อย พลิกเรือนร่างหันศีรษะครั้งหนึ่งยิ้มหวานอย่างเหม่อลอย ท่าทางยังคงกลัดกลุ้มว่าจะเลือกใครดี ระหว่างโทมินจุน อีมินโฮ เบคแฮม เจวี่ยนฝูหรือจงฮั่นเหลียง ตอนพลิกตัวกระโปรงกลับถลกขึ้นมา ขาเรียวยาวคล้ายซ่อนเร้นและคล้ายผลุบโผล่ ผิวพรรณผืนหนึ่งเกลี้ยงเกลาราวเทียนไขแลคล้ายหิมะขาวโพลนบนยอดผาห่างไกล 


 


 


เฟยเฟยนั่งน่าเอ็นดูอยู่ด้านหนึ่ง ท่าทางเฉลียวฉลาดและท่าทีระมัดระวัง สีหน้าเรียบร้อยยิ่งนัก เพียงแต่นัยน์ตางามเพ่งไปในร่องขาไม่หยุดหย่อน 


 


 


สายตาของกงอิ้นลอยผ่าน ลอยออกมา ลอยผ่านขาของนางอีกคราแล้วมองดูเฟยเฟย ครึ่งเค่อต่อมา เขาก็เดินผ่านไปข้างกายนาง พลางหอบเชื้อฟืนที่หามาได้กองหนึ่ง กิ่งไม้ก้านยาวห้อยลงมาเกี่ยวกระโปรงของจิ่งเหิงปัวไว้ ข้อมือกงอิ้นลากขึ้นเพียงครั้งก็พากระโปรงคลุมลงมาแล้ว 


 


 


ยังมีกิ่งไม้มีหนามอีกกิ่งหนึ่งที่ร่วงลงมากระแทกลงบนหัวของเฟยเฟย 


 


 


แม่นางแซ่จิ่งจอมสะเพร่าไม่ได้สังเกตเห็นการชิงไหวชิงพริบในชั่วครู่นี้เลยแม้แต่น้อย นางยังคงครุ่นคิดไปไกลโพ้นไม่จบสิ้น ถ้ารู้มาก่อนว่าตนเองมีความสามารถในการฝันถึงชายงาม ก่อนมาถึงที่นี่ควรจะพกรูปภาพชายงามมาเยอะกว่านี้ถึงจะถูก 


 


 


นางนึกถึงปัญหาสำคัญได้ปัญหาหนึ่งในทันที เหยียลี่ว์ฉีกับกงอิ้นก็อยู่ในมาตรฐานชายงามของนาง แต่นางได้เคยฝันถึงพวกเขาบ้างไหมนะ? ได้ตะโกนพูดอะไรออกมาหรือเปล่า 


 


 


แต่ดูจากสีหน้าอัปลักษณ์ ราวกับมีอาการวัยทองก่อนวัยอันควรของกงอิ้นแล้ว ดูท่าคงจะไม่มีหรอกมั้ง 


 


 


อืม ที่เขาไม่ดีใจคงจะด้วยรู้สึกว่า เขาหล่อเหลาขนาดนี้ แต่ไม่อาจเข้าสู่ความฝันของนางได้สินะ นี่ทำลายความหยิ่งยโสและหยิ่งในศักดิ์ศรีของเขาอย่างมหาศาล พาให้พฤติกรรมของเขาผิดแผกไปจากปกติ 


 


 


อืม ต้องใช่แน่นอน 


 


 


พอจะเข้าใจได้ ยินยอมให้อภัย 


 


 


พี่คือน้องนางใจกว้างคนหนึ่งนี่นะ 


 


 


“มาถลกหนัง” กงอิ้นเรียกนางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกไปเองว่าตนได้ทำเรื่องผิดพลาดเล็กน้อย คลานขึ้นไปถลกหนังของกวางโรอย่างกระตือรือร้นมาก หลังจากรับเฟยเฟยไว้ดูแล กงอิ้นเจ้าคนใจร้ายคนนี้ก็เอ่ยว่าเขาไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดูซากของเสียสองตัว จิ่งเหิงปัวจำต้องอุทิศตนใช้แรงงาน งานจัดการซากสัตว์ถูกโยนให้นางโดยบังคับ เขามอบกริชคมกริบเล่มหนึ่งให้จิ่งเหิงปัวพร้อมสอนนางว่าลงมืออย่างไรด้วยมือตนเอง ซ้ำยังตรวจตราท่วงท่าของจิ่งเหิงปัว ขอให้จิ่งเหิงปัวต้องทำตามเงื่อนไขขั้นตอนของเขาอย่างเคร่งครัด มีครั้งหนึ่งจิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าวิธีที่เขาสอนนั้นยุ่งยากจึงจงใจอู้งานแต่ถูกเขาพบเข้า วันนั้นกงอิ้นจับพวกสัตว์ต่างๆ เช่น กระต่าย กวางโรและตัวฮวน[4] ทั้งหมดสามสิบตัว บังคับให้นางจัดการอยู่ทั้งวันหนึ่ง เมื่อถึงตอนเย็น แม้แต่ข้อมือนางก็ยังยกขึ้นไม่ได้ อาหารยังต้องให้กงอิ้นยัดเข้าไปในปากนาง 


 


 


จิ่งเหิงปัวยืนหยัดคิดว่ากงอิ้นคือพวกโรคจิตหวาดระแวงคนหนึ่ง ท่าไม่ดีอาจจะราศีกันย์? ถ้าไม่ได้ทำตามลำดับขั้นตอนถูกต้อง เขาคงจะเป็นทุกข์เหมือนมีเหาทั่วร่างล่ะมั้ง? 


 


 


นางกดกวางโรไว้อย่างเชี่ยวชาญ ข้อมือเดี๋ยวปาดเดี๋ยวขึ้น หมุนผ่านแนวโค้งเรียบลื่นและแปลกประหลาดหลายแนว เสียงดังฉับๆๆ ระลอกหนึ่งดังแผ่วเบา กระดูกแยกออกมาจากขนและหนังก่อน ปลายมีดหมุนอีกเพียงครั้ง หนังเต็มผืนผืนหนึ่งคว้านออกมาอย่างสมบูรณ์ ขั้นตอนทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งนาที นายพรานที่เก่งกาจที่สุดมองแล้วยังต้องนึกว่านางอยู่ในพงไพรมายี่สิบปีแล้ว 


 


 


ลึกไปในดวงตาของกงอิ้นเผยให้เห็นแววตาพอใจเล็กน้อย 


 


 


“ข้าไปล้างมีดหน่อยแล้ว เดี๋ยวแวะไปปลดทุกข์นะ” จิ่งเหิงปัวพาดหนังสัตว์ไว้บนไหล่เดินลากขาไปทางแม่น้ำ 


 


 


กงอิ้นหันกายใช้หญ้าเซียงเหมาห่อหุ้มกวางโรแล้วนำเกลือหินที่ตากแดดไว้เมื่อหลายวันก่อนออกมาทาจนทั่ว เฟยเฟยกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนนาง 


 


 


จิ่งเหิงปัวเลี้ยวโค้งครั้งหนึ่ง เข้าไปหลังต้นไม้ใหญ่ที่พอจะบดบังทัศนวิสัย แล้วคว้าหนังสัตว์บนหัวไหล่มาพลิกออกทันที ในนั้นคือวัตถุที่ใช้หนังสัตว์เย็บติดกันเป็นเส้นยาวเส้นหนึ่งต่อกันเป็นวงกลม ดูลักษณะคล้ายกับลำไส้ขนาดมหึมา 


 


 


จิ่งเหิงปัวตบๆ ของสิ่งนั้น ท่าทางอ่อนเพลียจู่โจมเข้ามาจนกลั้นหาวครั้งหนึ่งไว้ไม่ได้ ของสิ่งนี้นางลับๆ ล่อๆ อดหลับอดนอนอยู่หลายคืนจึงทำออกมาได้ 


 


 


‘ลำไส้’ รูปร่างวงกลมปลายบนสุดเหลือรูสำหรับเป่าลมเเอาไว้ จิ่งเหิงปัวมองไปทางด้านนั้นอย่างกังวล พลางเขย่งเท้าเป่าลมไปในนั้นจนแก้มโป่ง เป่าไปสักพักใหญ่เกือบจะเป่าจนเจ็บหน้าท้องจึงฝืนเป่าของสิ่งนี้จนพองขึ้นมา ตอนนี้สามารถมองเห็นเค้าร่างสมบูรณ์ออกแล้ว…ห่วงยางหนังสัตว์ 


 


 


จิ่งเหิงปัวสวมห่วงยางบนเอวของตนเอง เขยิบเข้าไปกล่าวกับเฟยเฟยอย่างแผ่วเบาว่า “ยามนี้ เจ้าจะหาวิธีช่วยข้าหลบหนีได้หรือไม่” 


 


 


… 


 


 


ยามนี้แผ่นดินใหญ่ผืนนี้เข้าสู่กลางคิมหันต์แล้ว พระอาทิตย์สีแดงเพลิงทอประกายจากสุดปลายทิศตะวันออกของแคว้นต้าเยียนจวบจนถึงที่ราบสูงอวิ๋นเหลย ทว่าหยุดฝีก้าวที่หน้าบ่อน้ำเบื้องหลังที่ราบสูงอวิ๋นเหลยผืนหนึ่งนั้น บ่อน้ำสีดำไร้ขอบเขตตัดขาดสายตาและคล้ายตัดขาดแสงทิวา ต้าฮวงที่ลึกลับและอุดมสมบูรณ์สงบเงียบราวกำลังเฝ้ารอคอยอยู่ด้านหลังบ่อน้ำ 


 


 


เมืองหลวงตี้เกอแห่งต้าฮวง นครายิ่งใหญ่อันดับแรกตั้งตระหง่านใจกลางแคว้น ชั่วยามนี้ปกคลุมด้วยบรรยากาศลึกลับ เบื้องลึกความเงียบสงบคลื่นใต้น้ำพวยพุ่งเคลื่อนไหวเสียงดังเลือนลั่น 


 


 


ภายในเรือนพักขุนนางแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ผ้าม่านทึบหนักเงาผกาพุ่มหนา สายลมพัดมาจากผิวทะเลสาบถึงที่แห่งนี้วนเวียนแผ่วเบาไม่กล้าเร่งร้อน พื้นหินขัดสีหยกครามที่แสงพินิจคนได้สะท้อนเงาร่างองครักษ์ก้มหน้าเคร่งขรึม ทุกผู้คนสวมรองเท้าพื้นนุ่มเดินไปมา เดินฝีเท้าแผ่วเบากระชั้นดุจแมวเยื้องย่องท่ามความมืดมิดทีละตัว 


 


 


เสียงสนทนาเบาบ้างดังบ้าง ดังขึ้นท่ามกลางเสียงกระทบของม่านมุกและหยกงาม 


 


 


“พวกเขาหายสาบสูญไปในหุบเขาไร้นามเขตหลู่หนันภาคเหนือของแคว้นต้าเยียน จนบัดนี้ผ่านไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว” 


 


 


“หรือว่าพวกเขา…สิ้นชีพแล้ว?” 


 


 


“เจ้าช่างกล้าคิด! ข้าว่า กงอิ้นเป็นถึงผู้ใด การลอบสังหารไม่กี่ครั้งนอกแคว้นจะทำให้เขาทิ้งชีวิตไว้ต่างแคว้นได้หรือ? ข้าดูแผนที่ภูเขาแม่น้ำของแคว้นต้าเยียน เทือกเขาผืนนั้นที่พวกเขาอยู่ทอดยาวกว้างใหญ่ ทว่าทางออกประชิดภาคเหนือของแคว้นต้าเยียนพอดี หากกงอิ้นเดินทางอย่างรวดเร็ว ไม่แน่ว่ายามนี้อาจจะเดินทางออกจากภูเขาใหญ่แล้ว เข้าใกล้อาณาเขตแคว้นต้าเยียนหรือเขตซีเอ้อ” 


 


 


“น่าเสียดายนัก! โอกาสดีเยี่ยงนี้ เหยียลี่ว์ฉีและเผ่าจั๋นอวี่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมหาศาลปานนั้น ทว่ากลับหยุดยั้งไอ้เจ้ากงอิ้นนั่นไว้ไม่ได้ พาให้ผู้คนเสียดายยิ่งนัก!” 


 


 


“ไม่เพียงเท่านี้ เหยียลี่ว์ฉียังถูกบีบบังคับให้แตกหักกับเผ่าจั๋นอวี่ กษัตริย์แห่งเผ่าจั๋นอวี่ปฏิญาณว่าหากเขาไม่สิ้นชีพก็ไม่ยอมเลิกรากำลังส่งคนตามสังหารเขา ไม่กี่วันก่อนต้าซือโค่ว[5]แห่งเผ่าจั๋นอวี่ยังฝากคนส่งยาสูตรลับของล้ำค่าของเผ่าให้ผู้ชราอย่างลับๆ ด้วยหวังจะผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกับผู้ชรา” 


 


 


“เช่นนั้นท่านหมายความว่า…” 


 


 


“คราแรกพวกข้าเคยให้คำมั่นสัญญาว่าไม่ล่วงเกินนายท่านแห่งตำหนักอวี้จ้าวชั่วนิรันด์ ยิ่งกว่านั้นสายสืบ ‘ใยแมงมุม’ ใต้บัญชากงอิ้นร้ายกาจยวดยิ่ง ฉะนั้นการเคลื่อนไหวเปิดเผยใดๆ พวกข้าย่อมไม่อาจทำได้” 


 


 


“เวลาเปลี่ยนผ่านเรื่องราวเปลี่ยนผัน ตำหนักอวี้จ้าวยามนี้ยังถูกผู้อื่นบังคับครอบครองเปลี่ยนผู้เป็นนาย เหตุใดพวกข้าต้องยังปฏิบัติตามคำมั่นสัญญายามแรกเริ่ม อีกทั้งสิ่งใดเรียกว่ามิล่วงเกินชั่วนิรันด์ เรื่องที่พวกเรากระทำต่อพระองค์นั้นในยามนั้น…” 


 


 


“หุบปาก!” 


 


 


ภายในห้องเงียบสงบชั่วครู่ มีผู้ไอกระแอมขึ้นมาเสียงหนึ่ง 


 


 


“เอ่ยถึงตรงนี้ มีข่าวดีเรื่องหนึ่งจะรายงานแก่ทุกท่านว่าตามหาราชินีองค์ใหม่เจอแล้ว” 


 


 


“…เฮ้อ รู้ตั้งนานแล้ว นี่นับเป็นข่าวดีหรือ…” 


 


 


“เรื่องนี้ย่อมไม่นับว่าเป็นข่าวดีแน่ ข้ายังเอ่ยไม่จบ ได้ยินว่ารูปโฉมของราชินีองค์ใหม่ยังคล้ายคลึงกับพระองค์ก่อนหลายส่วน” 


 


 


“หา?” 


 


 


“พวกเจ้าดูสิ เอ่ยว่ากลับชาติมาเกิดนี้ย่อมมีเหตุผลหลายส่วนจริงแท้” มีผู้หัวเราะเหอะๆ ขึ้นมาด้วยรื่นรมย์ยิ่งนัก พร้อมเอ่ยว่า “กงอิ้นกุมอำนาจใหญ่เพียงผู้เดียว หงายมือควบเมฆคว่ำมือคุมฝน ทว่าไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีจุดอ่อน หากเขารู้ความจริงในยามนั้น…” 


 


 


“หากพวกเราตระเตรียมแต่เนิ่นๆ ตั้งใจบ่มเพาะราชินีองค์ใหม่…” มีผู้อมยิ้มเอ่ยสืบต่อว่า “บางคราในภายภาคหน้า ไม่ต้องให้พวกเราลงมือ ตำหนักอวี้จ้าวก็อาจระเบิดประกายไฟแห่งทะเลโลหิตออกมาเสียเอง” 


 


 


“ย่อมได้!” คล้ายคนกลุ่มหนึ่งหัวเราะอย่างสบายอกสบายใจ 


 


 


“ในเมื่อนางสืบทอดตำแหน่งของพระองค์นั้น ซ้ำยังสืบทอดรูปโฉมของนาง เช่นนั้นบุญคุณความแค้นยุ่งเหยิงพัวพันกันมิสิ้นของพระองค์ก่อน วางแผนเช่นไรก็เชิญนางสืบทอดต่อไป!” 


 


 


“พวกเราก็เตรียมตนให้พร้อม ต้อนรับการมาถึงของราชินีองค์ใหม่ให้เต็มที่เถิด!” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] หญ้าหนิวจื้อ หรือออริกาโน คือเครื่องปรุงสำคัญในอาหารอิตาลี เช่น พิซซ่า 


 


 


[2] เจวี่ยนฝู หรือเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ นักแสดงชาวอังกฤษ 


 


 


[3] เสี่ยววา หรือจงฮั่นเหลียง นักร้องและนักแสดงชาวฮ่องกง 


 


 


[4] ตัวฮวน หรือแบดเจอร์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Meles meles 


 


 


[5] ต้าซื่อโคว ตำแหน่งขุนนางผู้ดูแลทางด้านกฎหมาย การลงโทษ และการปราบปรามอาชญากรรม 

 

 

 


ตอนที่ 40

 

ทำเกินไปแล้ว

 


 


 


 


แม่น้ำหนึ่งสายไหลทะยานออกมาจากกลางเทือกเขาทอดยาว คดโค้งเพียงครั้งที่ทางแคบสายหนึ่ง จากนั้นไหลเข้าสู่ที่ราบลุ่มเบื้องหน้า 


 


 


กลางทางน้ำพลันมีเสียงตู้มดังขึ้นเสียงหนึ่ง เงาคนสายหนึ่งไหลตามน้ำออกมาจากร่องภูเขา เคลื่อนไหวรุนแรงจนละอองน้ำแวววาวกระเซ็นออกมาเต็มท้องฟ้า 


 


 


จิ่งเหิงปัวลอยอยู่ในแม่น้ำ นางเช็ดหยาดน้ำบนใบหน้าออกก่อนจะเบนสายตามองดูทัศนียภาพบนที่ราบลุ่มทั้งสี่ทิศด้วยสีหน้าท่าทางงงงวยอยู่บ้าง 


 


 


นางยังนึกไม่ถึงว่าจะสลัดกงอิ้นออกไปได้อย่างราบรื่นขนาดนี้จริงๆ! 


 


 


เมื่อครู่ก่อน นางก็ให้เฟยเฟยไปมอมเมากงอิ้น ยังไม่รู้ว่าเฟยเฟยใช้วิธีอะไร กงอิ้นที่กำลังนั่งย่างกวางโรก็พลันล้มลงไปอย่างช้าๆ เฟยเฟยพลันห้อตะบึงไปพลางใช้กรงเล็บทำสัญญาณบอกนาง นางมองแล้วเข้าใจความหมายนั้นว่าจำต้องรีบไปทันที ไม่อย่างนั้นอีกไม่นานกงอิ้นจะตื่นขึ้นมา นางจึงหอบห่วงยางหนังสัตว์เอาไว้อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย แล้วกระโดดลงแม่น้ำเสียงดังตู้ม 


 


 


ก่อนหน้านี้พวกเขาเดินเลียบตามแม่น้ำที่ยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตลอดสายนี้ เมื่อวานนางได้ยินกงอิ้นเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจว่าแม่น้ำนี้คงจะตรงทะลุไปถึงนอกภูเขา อีกทั้งปากภูเขาก็อยู่ไม่ไกลแล้ว 


 


 


เป็นดังที่คาดไว้ เมื่อกลั้นลมหายใจดำน้ำครู่หนึ่งว่ายน้ำครู่หนึ่งในสายน้ำไหล ทัศนียภาพเบื้องหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากหน้าผากลายเป็นที่ราบ นางหนีออกมาได้แล้ว! 


 


 


จิ่งเหิงปัวหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วปีนขึ้นบนฝั่ง เฟยเฟยลงมาจากบนหัวไหล่ของนางด้วยร่างเปียกปอน มันสะบัดน้ำบนหางสีขาวที่ยุ่งเป็นกระเซิง 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูป่าโล่งกว้างทั้งสี่ด้านด้วยจิตใจเบิกบานมีความสุข อุ้มเฟยเฟยเอาไว้แล้วจุ๊บแรงๆ ไปครั้งหนึ่งพลางกล่าวว่า “แผนใหญ่ลุล่วง มาจุ๊บสักที!” 


 


 


เฟยเฟยเปล่งเสียงเล็กเสียงน้อยอยู่บนหัวไหล่นาง จิ่งเหิงปัววิ่งไปยังริมกำแพงผาด้านหนึ่งอย่างดีใจจนเนื้อเต้น พลางกล่าวเสียงดังว่า “มา! สลักหน่อยว่าต้าปัวมาเที่ยวที่นี่!” 


 


 


เมื่อนางหยิบมีดน้อยที่กงอิ้นให้นางออกมาแล้วเริ่มสลักอักษร ก็พลันได้ยินเสียงดังซู่ๆ ดังขึ้นระลอกหนึ่งที่เหนือศีรษะ คล้ายมีวัตถุอะไรสักอย่างลอยมาถึงเหนือศีรษะแล้ว นางเงยหน้ามองไปอย่างปลาบปลื้มสุดขีดพลางกล่าวว่า “ลมข้างนอกนี่ช่างเป็นอิสระนัก พัดผ่านมายังไม่เหมือนกัน…เอ๊ะ? เอ๊ะ!” 


 


 


สิ่งของยุ่งเหยิงหลากหลายสีสันเหนือศีรษะนางกำลังพุ่งทวนลมลงมาปานกระสุนปืนใหญ่ ลมพัดขนด้านบนของเจ้าสิ่งนั้นจนลอยพุ่งทวนลมขึ้นมาเบ่งบานเป็นรูปทรงดอกต้าลี่[1] ขาน้อยเรียวยาวสีแดงดุจตะเกียบคู่หนึ่งที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วคล้ายจะทิ่มตรงดิ่งไปถึงดวงตาของจิ่งเหิงปัว 


 


 


“ต้นโพธิ์มิใช่ไม้ คันฉ่องใสใยส่องหน้า เบื้องล่างสัตว์แปลกตา เปิดทางมาให้ข้าเสีย!” 


 


 


เสียงดังประดุจฆ้องผุสะเทือนจนแก้วหูแทบจะหนวก จิ่งเหิงปัวชะงักค้าง ตกตะลึงร้องขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เจ้าหมาโง่!” 


 


 


สิ่งที่โน้มพุ่งลงมาจากยอดหน้าผาราวกับซูเปอร์แมนนั้นกลับเป็นซูเปอร์เบิร์ดเจ้าหมาโง่ เพียงแต่ตอนนี้สีหน้าท่าทางของมันคล้ายไม่ได้ดีใจระคนแปลกใจเท่าจิ่งเหิงปัว นัยน์ตาเท่าเม็ดถั่วเขียวกะพริบด้วยความตกตะลึงไร้ที่สิ้นสุด ร่างพุ่งดิ่งไปเบื้องล่างอย่างไร้หนทางควบคุมร่างกาย แรงโน้มถ่วงมหาศาลทำให้มันจนปัญญาที่จะเหยียบฝั่งหน้าผาไว้แล้ววิ่งหนีอย่างรวดเร็ว ร่างกายพุ่งออกไปสู่พื้นดินปานกระสุนปืนใหญ่… 


 


 


เจ้าหมาโง่จะท่องกลอน แต่ก็นึกไม่ออกแล้วจึงได้แต่ร้องอย่างน่าเวทนาว่า แม่งเอ๊ย ช่วยด้วยโว้ย! 


 


 


เสียง พลั่ก! ดังขึ้น เจ้าหมาโง่กระแทกเข้ากับความอ่อนนุ่มที่คุ้นเคยกลุ่มหนึ่งสมปรารถนา มันส่งเสียงร้องครวญครางออดอ้อนอ่อนแอเสียงหนึ่งออกมา กรงเล็บเกี่ยวตำแหน่งเดิมไว้เพียงครั้งหัวเอียงซบครั้งหนึ่ง 


 


 


ทว่ามันมิอาจเอียงซบเข้าไปตามใจปรารถนา 


 


 


กรงเล็บข้างหนึ่งยื่นออกมาหิ้วเจ้าหมาโง่ขึ้น มันสั่นอยู่ในกรงเล็บเพียงครั้ง ร่างพุ่งตรงไปยังพงหญ้าเบื้องหน้าดัง ฟิ้ว! 


 


 


เจ้าหมาโง่ลอยลิ่วสามจั้ง ปีกห้าสีรีบสยายกลางอากาศ จึงฝืนรักษาร่างกายที่เอนเอียงสั่นไหวลงถึงพื้น ร่างยังไม่ทันได้ยืนให้มั่นคงก็อ้าปากด่าว่าชุดใหญ่ว่า “แคว้นล่มเหลือชลผา วสันต์หญ้าหนากำแพง ไอ้โง่จากไหนแม่ง กล้ากำแหงใส่มารดา?” 


 


 


เงาสีขาวกะพริบวูบ เฟยเฟยปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าเจ้าหมาโง่แล้วงอกรงเล็บบิดข้อมือแกว่งหมัดขวาดังกร๊อบแกร๊บๆ ระลอกหนึ่ง 


 


 


“เฮ้ย! เอากระบวนท่าหมาโง่ไปกินซะ!”เจ้าหมาโง่ตอบโต้รวดเร็ว บินขึ้นมาเล็งคว้าหัวของเฟยเฟยไว้ นกตัวหนึ่งกับเฟยเฟยหนึ่งตัวเปิดศึกกันทันทีโดยไม่รีรอ ขนนกปลิวว่อนเศษหญ้ากระเด็นทั่วทิศ จิ่งเหิงปัวมองดูจนปากอ้าตาค้าง…ต้องขนาดนี้เลยเหรอ? สองตัวนี้พอเจอหน้าก็ตีกันเหรอ? หรือว่านี่คือศัตรูโดยธรรมชาติ ไม่ถูกกันแบบในตำนานเหรอ? 


 


 


“ว้าก! ผู้ชราโกรธายิ่งนัก!” เจ้าหมาโง่ถูกเฟยเฟยตบออกไปในกรงเล็บเดียว จนต้องท่องทำนองเสนาะเศร้าสลดกลางอากาศ เฟยเฟยตามขึ้นไปคว้าขานกของมันไว้เพียงครั้งแล้วดึงลงมา จับคอของเจ้าหมาโง่นำปากนกโค้งงอของมันเคาะๆๆ เคาะๆ ทิ่มพื้น… 


 


 


“พอแล้ว…” จิ่งเหิงปัวปิดตาไว้ด้วยทนดูไม่ได้ 


 


 


ไม่รู้ว่าเหตุใด มองดูเจ้าหมาโง่จอมโอหังถูกเฟยเฟยจอมเ**้ยมโหดจัดการเรียบร้อยไปรอบหนึ่ง นางจึงนึกถึงตนเองกับกงอิ้น… 


 


 


เฟยเฟยสะบัดเจ้าหมาโง่ไปด้านหนึ่งก่อนย่ำเท้าสองก้าวบนร่างมัน ยังฉวยโอกาสดึงขนสีแดงเส้นหนึ่งบนหัวที่เจ้าหมาโง่หวงแหนราวสิ่งล้ำค่ามาปักไว้บนหัวตน เสร็จแล้วถลาไถลเพียงครั้งกลับมายังข้างกายจิ่งเหิงปัวพลางถูไถน่องขานาง หางยุ่งเหยิงขนาดใหญ่ตบลงบนหลังเท้าของนางพลางกะพริบนัยน์ตางามอ่อนโยนน่ารักใคร่ด้วยแววตาบริสุทธิ์ไร้ความผิดให้นางอย่างเชื่องช้า 


 


 


หากไม่ใช่เพราะขนนกของเจ้าหมาโง่เกลื่อนไปทั่วพื้น จิ่งเหิงปัวก็เกือบจะนึกว่าฉากหนึ่งเมื่อครู่นี้คือภาพลวงตา 


 


 


นางเหน็บหนาวสั่นสะท้าน ยืนห่างจากเฟยเฟยออกมาอีกหน่อย 


 


 


ด้านหลังพลันแว่วเสียงเรียกตกตะลึงว่า “ต้าปัวหรือ?” 


 


 


จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงนี้แล้วชะงักงัน จากนั้นจึงรู้สึกตัวขึ้นมา แย่แล้ว! 


 


 


เหตุใดถึงลืมไปเลยว่าในเมื่อเจ้าหมาโง่อยู่แถวนี้ เช่นนั้นชุ่ยเจี่ย จิ้งอวิ๋นและยงเสวี่ยก็น่าจะอยู่แถวนี้ด้วยเช่นกัน ในเมื่อคืนที่ถูกโจมตีนั้นกงอิ้นเตรียมรับมือไว้นานแล้ว ดังนั้นตอนนั้นต่อให้ได้กุญแจมา ชุ่ยเจี่ยและจิ้งอวิ๋นก็หนีไม่พ้น ในเมื่อพวกนางหนีไม่พ้น พวกนางก็น่าจะยังอยู่ด้วยกันกับเหล่าองครักษ์ของกงอิ้น 


 


 


เหล่าองครักษ์ของกงอิ้นไม่กล้าเข้าไปตามหาในป่าเขาด้วยกลัวว่าทั้งสองฝ่ายจะคลาดกัน ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือทิ้งกำลังพลแล้วรอคอยที่ปากภูเขาหลายแห่ง ขอเพียงกงอิ้นกับนางเดินทางออกมา ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องได้พบกัน… 


 


 


เพิ่งออกมาจากถ้ำเสือ ก็เข้ารังหมาป่าอีกแล้ว! 


 


 


เมื่อคิดจนเข้าใจเรื่องเหล่านี้ นางก็เตรียมจะหันหลังคิดหนี ทว่าสายไปเสียแล้ว 


 


 


“ที่แท้ฝ่าบาทอยู่ที่นี่เอง นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมาโง่ไล่ตามผลไม้ร่วงจากหน้าผายังเผอิญพานพบฝ่าบาทอีก” เชือกบนหน้าผาแกว่งไกว บุรุษคุ้นตาผู้หนึ่งโรยตัวลงมา ดวงตาเรียวยาวจ้องมองนางไว้ ปากก็เอ่ยว่า “ฝ่าบาทบอกข้าทีได้หรือไม่ว่าราชครูอยู่หนใด” 


 


 


จิ่งเหิงปัวจำได้ว่าเขาคือหัวหน้าองครักษ์ผู้ผอมคนนั้นของกงอิ้น 


 


 


“เขาหรือ?” จิ่งเหิงปัวหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยว่า “สิ้นชีพแล้ว” 


 


 


สีหน้าองครักษ์นั้นแข็งทื่อเพียงครั้งเอ่ยว่า “อะไรนะ?” 


 


 


“หากจะกล่าวแล้วก็ล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง” จิ่งเหิงปัวบทจะร้องไห้ก็ร้องขึ้นมาจนน้ำตาคลอเบ้า ปากกล่าวว่า “พวกเราถูกมัดในตาข่ายไร้หนทางเคลื่อนไหว จมลงไปในแม่น้ำแล้วพบเจอเสือดาวที่ริมฝั่งแม่น้ำ เพื่อปกป้องข้าเขาจึงถูกเสือดาวจับกินเสียแล้ว เฮ้อ เขาช่างเป็นคนดีจริงแท้…ฮือๆๆ …” 


 


 


“ราชครูจะถูกเสือดาวจับกินได้อย่างไร!” ผู้ผอมเอ่ยขึ้นอย่างกระวนกระวาย 


 


 


“พวกเราถูกตาข่ายรัดไว้แล้วอย่างไรเล่า” จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้างมองเขา กล่าวพลางทำท่าทำทางว่า “ยามนั้นเป็นได้เพียงฝ่ายถูกกระทำถูกโจมตี เพื่อที่จะปกป้องข้า เขาผู้น่าสงสารก็พุ่งมาบนกายข้าเฉกเช่นต่งฉุนรุ่ย[2] เสือดาวจึงขย้ำเอวของเขาจนขาดสะบั้นในคำเดียว โอ๊ย เสียงใสไพเราะเช่นนั้นดังกังวานเช่นนั้น! ได้ยินเพียงเสียง ‘กร๊อบ!’ เสียงเดียว…” 


 


 


ผู้ผอมยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งแข็งทื่อ สีหน้าสยองขวัญ พลันปากก็ขัดจังหวะคำพูดของนางว่า “ทูลถามฝ่าบาท ต่งฉุนรุ่ยคือผู้ใด” 


 


 


“สหายบ้านใกล้เรือนเคียงกับข้าเอง แต่นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญหรอก” จิ่งเหิงปัวโบกไม้โบกมือแล้วกล่าวว่า “สิ่งสำคัญคือเพื่อจะปกป้องข้า เขาก็ถูกเสือดาวเคี้ยวกินทีละคำเสียแล้ว เขาแข็งแกร่งดั่งเหลยเฟิง[3] จวบจนสิ้นชีพก็ยังไม่ได้เปล่งเสียงออกมา เสือดาวนั้นหลังจากกินอิ่มแล้วจึงจากไป เขากุมมือของข้าทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้…” 


 


 


สีหน้าผู้ผอมตึงเครียดขึ้นมา ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกัดฟันกรอดเอ่ยถามว่า “คำสั่งเสีย…ว่าอย่างไร?” 


 


 


“เขาน้ำตาคลอ กุมมือของข้าไว้แล้วเอ่ยขอโทษข้า” จิ่งเหิงปัวเช็ดน้ำตาพลางกล่าวว่า “เขาเอ่ยว่าเขาไม่ควรจับข้ามา ไม่ควรบังคับข้า ไม่ควรฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของข้า บังคับข้าไปเป็นราชินีองค์นั้นที่ข้าไม่อยากเป็น ยามนี้ที่เขาสิ้นชีพอย่างน่าเวทนาเช่นนั้นก็ล้วนเป็นเพราะกรรมตามสนอง บอกข้าว่าไม่ต้องเก็บศพให้เขา ไม่ต้องแก้แค้นให้เขา ไม่ต้องรู้สึกผิดในจิตใจใดๆ และไม่ต้องไปเป็นราชินีองค์นั้นอีก นับแต่บัดนี้ข้าเป็นอิสระแล้ว ท้องนภาสูงใหญ่แล้วแต่วิหคจะโบยบิน ท้องสมุทรกว้างใหญ่แล้วแต่มัจฉาจะว่ายวน…” 


 


 


“ช้าก่อน” ผู้ผอมใบหน้ากระตุกเอ่ยว่า “ราชครูเอ่ยว่าท่านเป็นอิสระแล้ว?” 


 


 


“เจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร?” จิ่งเหิงปัวมองเขาด้วยสายตาสั่นไหว แล้วกล่าวว่า “ก่อนสิ้นชีพเขาเสียใจต่อสิ่งที่ได้กระทำจึงปล่อยข้าเป็นอิสระ เจ้าคือผู้ใต้บัญชาของเขาย่อมต้องปฏิบัติตามปณิธานก่อนสิ้นใจของผู้เป็นนาย นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปข้ากับพวกเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก อ้อ จริงสิ จิ้งอวิ๋น ชุ่ยเจี่ยและยงเสวี่ยก็ไปกับข้าด้วย พวกเจ้าควรจะทำสิ่งใดก็จงไปทำสิ่งนั้นเถิด” 


 


 


นางหิ้วเจ้าหมาโง่ขึ้นมาพลางอุ้มเฟยเฟยไว้ เดินไปข้างหน้าตามทางคดเคี้ยวของหน้าผาเตี้ย สายตามองเห็นกระเป๋าของตนเองที่ไม่รู้ว่าหามาจากไหนวางอยู่บนรถม้าข้างหน้า เช่นนั้นก็ดีอกดีใจจนลืมตัววิ่งไปหยิบกระเป๋าของตนเองลงมา ร้องเรียกจิ้งอวิ๋น ชุ่ยเจี่ยและยงเสวี่ยที่มีสีหน้าตกตะลึงให้ลงมาจากรถม้าว่า “ไปเถอะ!” 


 


 


“ช้าก่อน…” องครักษ์ที่เหลือคล้ายยังสับสนงงงวยอยู่ด้วยไม่รู้ว่าต้องเชื่อฟังวาจาไร้แก่นสารของสตรีนางนี้หรือไม่ ผู้ผอมนั้นครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนก้าวขึ้นไปขวางนางพลางเอ่ยว่า “พระองค์ห้ามไป…หากว่านายท่าน…” 


 


 


เขาขวางจิ่งเหิงปัวไว้ ใบหน้าหันหาปากทางร่องเขาพอดี ดวงตาแข็งทื่อโดยพลัน วาจาที่จะเอ่ยก็หยุดชะงักไป 


 


 


จิ่งเหิงปัวรออยู่ครู่หนึ่งเห็นเขายังงงงวยอยู่จึงเขี่ยเขาออกไปด้วยรำคาญ กล่าวว่า “เฮ้อ เจ้ากล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งเสียของเจ้านายเจ้า?” 


 


 


“เจ้านายข้า…” ผู้ผอมเอ่ย 


 


 


“ทว่าจะกล่าวไปแล้ว” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวกลอกกลิ้งไปมาครั้งหนึ่ง กล่าวสืบต่อว่า “เจ้านายเจ้าวรยุทธ์สูงส่งแข็งแกร่ง อภินิหารเลิศล้ำ แปลงกายเจ็ดสิบสองท่า[4]ไม่มีท่าใดไม่อัศจรรย์ เรื่องที่เขาถูกเสือดาวขย้ำอาจจะเป็นเรื่องลวงกระมัง? เขาอาจจะยังมิสิ้นชีพ? พวกเจ้าเป็นองครักษ์ควรจะรีบเร่งเข้าไปตามหาสักหน่อยถึงจะถูก ข้าจะบอกเจ้าเองว่าอยู่ที่ใด เขาก็อยู่ในพงไพรรกทึบที่ลึกเข้าไปในภูเขา เดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือราวสิบวัน…” 


 


 


“เขาอาจจะยังไม่สิ้นชีพ…” ผู้ผอมเหม่อลอยจ้องมองฝั่งตรงข้ามของภูเขา 


 


 


“นั่นสิ เขาก็อาจจะยังไม่สิ้นชีพ เจ้ารีบไปตามหาเขาสิ” จิ่งเหิงปัวแทบอยากจะให้เจ้าพวกนี้รีบหลีกไปเสียที หรือไม่ก็หลงทางอยู่ในเทือกเขาลึกแห่งนี้ตลอดไปเลยน่าจะดี 


 


 


“รีบไปตามหาเขา…” ผู้ผอมคล้ายกลับกลายคล้อยตามโดยพลัน 


 


 


ตอนนี้จิ่งเหิงปัวพบว่าเขาผิดปกติอยู่บ้าง เช่นนั้นจึงชำเลืองมองสายตาเหม่อลอยของเขาอย่างสงสัย แล้วมองตามสายตาของเขาไปทางด้านหลัง 


 


 


ด้านหลังนั้นก็คือร่องเขา น้ำในแม่น้ำไหลทะลักออกมาจากปากเขา ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน 


 


 


“มารเข้าแทรกหรือ?” นางยักไหล่อย่างไม่เข้าใจ แล้วผลักผู้ผอมที่ขวางทางออกไป ลากกระเป๋าเดินทางของตนเอง ปากก็ตะโกนร้องเรียกผู้คนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ด้านหลังนั้นว่า “ไปเถอะ!” 


 


 


ชุ่ยเจี่ยตามขึ้นไปโดยพลัน ส่วนยงเสวี่ยเมื่อมองดูองครักษ์ไม่ได้มีท่าทีขัดขวางก็ตามไปเช่นกัน จิ้งอวิ๋นยืนงงงวยอยู่ที่เดิมมองปากเขาแล้วมองเหล่าองครักษ์ 


 


 


“จิ้งอวิ๋น เหตุใดจึงยังไม่ไปอีก?” จิ่งเหิงปัวหันหน้ามาเรียกนาง พลางขมวดคิ้วขยิบตาให้นางสุดชีวิต…ถ้ายังไม่ไปอีกเดี๋ยวองครักษ์พวกนี้เปลี่ยนใจขึ้นมาจะหนีไม่พ้นแล้วนะ! 


 


 


จิ้งอวิ๋นยังคงมีท่าทีชะงักงัน จิ่งเหิงปัวนึกว่านางสมองช้า จึงเดินขึ้นมาคว้านางไว้ แล้วลากนางไปเสียเลย 


 


 


จิ้งอวิ๋นคล้ายจะขัดขืนอยู่บ้าง จิ่งเหิงปัวจึงมองนางอย่างงงงัน จิ้งอวิ๋นหันหน้ามองปากเขาอีกครั้ง ครุ่นคิดชั่วครู่พลันเม้มปาก ไม่ได้ขัดขืนอีก 


 


 


จิ่งเหิงปัวก็ไม่ได้สังเกตสีหน้าท่าทางของนาง นางลากคนกลุ่มนั้นไว้แล้วรีบไปในครู่เดียว สายตาเห็นว่าองครักษ์ไม่ได้ตามมาจริงๆ จึงร้องอย่างยินดีเสียงหนึ่งว่า “เย้ เป็นอิสระแล้ว! พวกเราไปไหนต่อดี แถวนี้มีเมืองหรือไม่ ไปหาเที่ยวร้านค้ายามค่ำคืนสักร้านดีไหม” 


 


 


… 


 


 


เสียงร้องยินดีที่อยู่ห่างไกลของจิ่งเหิงปัวแว่วเข้ามาในหูขององครักษ์ทางฝั่งนี้อย่างเลือนรางรำไร สีหน้าท่าทางของพวกเขาก็ดูแปลกประหลาดอย่างยวดยิ่ง 


 


 


ทุกคนล้วนมองไปยังร่องเขา แล้วมองไปยังทิศทางที่จิ่งเหิงปัวหายไป 


 


 


ในร่องเขามีสายลมพัดมาอย่างเอื่อยเฉื่อย ทำให้ต้นเถิงหลัว[5]สั่นไหวเชื่องช้า น้ำในแม่น้ำหลั่งไหลสงบเงียบสาดสะท้อนฟองคลื่นสีขาวหิมะ 


 


 


ชายผ้าสีหิมะเช่นเดิมผืนหนึ่งลอยเงียบเชียบบนฟองคลื่น ฝีก้าวของผู้นั้นตั้งตระหง่านมั่นคงดุจผืนพสุธาภูผากว้างใหญ่ เดินออกมาจากกลางขุนเขาดุจเทพเซียนย่ำเหยียบโลกมนุษย์ 


 


 


เหล่าองครักษ์ล้วนคุกเข่าลง 


 


 


“นายท่าน!” 


 


 


กงอิ้นเดินออกมาจากหลังต้นเถิงหลัวอย่างแช่มช้า ดวงหน้าขาวราวหิมะข้างหลังใบเถิงหลัวเขียวขจีนั้นดุจหินอ่อนสลักลาย 


 


 


บนใบหน้าของเขาไม่ได้มีสีหน้าท่าทางอันใด ยื่นมือออกมาฉวยรับผ้าเช็ดมือที่องครักษ์ผู้ผอมส่งให้ เช็ดมือไปมาแล้วโยนทิ้งโดยพลัน 


 


 


เมื่อออกจากภูผาใหญ่กว้างแล้ว บรรยากาศสูงศักดิ์สงบเสงี่ยมสง่างามของเขาก็ปกคลุมสี่ด้านให้เงียบเชียบอีกครั้งไปชั่วขณะ 


 


 


“นายท่าน เหตุใดพวกเราไม่…” ผู้ผอมหันหน้ามองดูทิศทางที่จิ่งเหิงปัวหายไป ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อครู่นายท่านก็ยืนอยู่แท้ๆ แต่กลับไม่เปิดโปงสตรีที่เอ่ยวาจาเต็มไปด้วยเรื่องโกหกนั้น ซ้ำยังปล่อยให้นางหนีไป 


 


 


กงอิ้นนั่งลงบนผ้าสักหลาดบนพื้นที่องครักษ์ปูเสร็จแล้ว วักน้ำในลำธารล้างมือเชื่องช้า 


 


 


“ต้องให้โอกาสนางได้เดินทัศนาร้านค้ายามค่ำคืนเสียบ้าง” 


 


 


น้ำเสียงนั้นคล้ายไม่ได้ใส่ใจ สีหน้าท่าทางก็ปกติยิ่งนัก มองไม่ออกว่ามีโทสะใดๆ ทว่าเหล่าองครักษ์พลันรู้สึกมืดครึ้มอึมครึมเล็กน้อย จนอดจะเหน็บหนาวสั่นสะท้านมิได้ 


 


 


“เช่นนั้นนางจะเที่ยวได้อย่างสบายอุรายิ่งขึ้น” 


 


 


เหล่าองครักษ์รู้สึกว่ารอบด้านนั้นยิ่งเหน็บหนาวมากขึ้น…มีไอสังหาร 


 


 


“ข้าในฐานะที่เป็นผู้วายชนม์คนหนึ่ง สมแล้วที่สิ้นชีพด้วยกระทำผิดต่อนางจนกรรมตามสนอง ไม่มีหน้าไปแก้แค้น…” กงอิ้นเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย 


 


 


เหล่าองครักษ์โอบสองแขนแนบแน่น…ช่วยข้าด้วย 


 


 


“ควรจะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะวิญญาณ” กงอิ้นเอ่ยว่า “ควรจะปรากฏกายอีกคราในยามที่ไม่ควรปรากฏกาย ถูกต้องหรือไม่?” 


 


 


เหล่าองครักษ์สั่นไหว…ทำเกินไปแล้ว 


 


 


กงอิ้นหยิบกิ่งไม้กิ่งหนึ่งขึ้นมาเล่นน้ำตามใจตน สายตาของเขาจดจ่อและออกแรงยวดยิ่ง เหล่าองครักษ์รู้สึกว่ากิ่งไม้นั้นช่างน่าสงสารยิ่งนัก 


 


 


“จินตนาการล้ำเลิศ” กงอิ้นคล้ายกำลังพึมพำกับตนเองว่า “ใช้กายปกป้องหรือ? สิ้นชีพในปากเสือดาวหรือ? ถูกเสือดาวขย้ำเอวสะบั้นในคำเดียวหรือ? ครุ่นคิดฉากสิ้นชีพงดงามจรุงใจเช่นนี้ออกมาได้ ในใจของนางย่อมต้องเฝ้าปรารถนามาเนิ่นนานแล้ว คงจะซักซ้อมมาหลายรอบแล้วกระมัง?” 


 


 


เหล่าองครักษ์ไม่กล้ารับวาจา ถอยหลังออกไปแช่มช้า…ชีวิตตนนั้นสำคัญกว่า 


 


 


“ขย้ำเช่นไรนะ? เช่นนี้หรือ” กงอิ้นโค้งงอกิ่งไม้ 


 


 


เหล่าองครักษ์รู้สึกว่าเอวของพวกตนเจ็บปวดยิ่งนัก 


 


 


“หรือว่าเช่นนี้?” พลิกกลับมาแล้วบิดอีกครา ประดุจบิดช่วงเอวอ่อนนุ่มของจิ่งเหิงปัว 


 


 


เหล่าองครักษ์ถอยออกมาไกลสามจั้งแล้ว… 


 


 


“หรือเช่นนี้?” นิ้วมือของกงอิ้นออกแรงหักเพียงครั้ง ทำให้กิ่งไม้หักสะบั้น 


 


 


เสียงใสไพเราะดังกังวาน เฉกเช่นเสือดาวขย้ำช่วงเอวขาดสะบั้นในคำเดียวกระนั้น 


 


 


กร๊อบ! 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ดอกต้าหลี่ หรือดอกรักแรก/ดอกรักเร่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Dahlia pinnata Cav. 


 


 


[2] ต่งฉุนรุ่ย เป็นวีรบุรุษสงคราม เสียสละชีวิตอย่างกล้าหาญในสงครามปลดแอกอำเภอหลงฮว่า 


 


 


[3] เหลยเฟิง ทหารสังกัดกองทัพปลดแอกประชาชนของสาธารณรัฐประชาชนจีน ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ 


 


 


[4] แปลงกายเจ็ดสิบสองท่า เป็นกระบวนท่าของซุนหงอคงในเรื่องไซอิ๋ว 


 


 


[5] ต้นเถิงหลัว หรือวีสเตียเรีย ชื่อวิทยาศาสตร์ Wisteria villosa Rehder 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม