ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 309-316

 ตอนที่ 309 อารมณ์ดีแล้วถึงเรียกท่านพี่


 


เฉินยางก็เป็นคนปากไม่ตรงกับใจ เพิ่งจะโทษเฝิงเยี่ยไป๋ที่ไปยุ่งกับแมวก่อนอยู่เลย ตอนนี้ทายาให้เขากลับไม่กล้าจะออกแรง พอทายาแล้วก็เป่าที่มือของเขาเบาๆ อีก ท่าทางนั้น เขาก็ยังใจแข็งไปโทษนางได้อย่างไร รักยังไม่ทันเลย!


 


 


คนที่ทำลายบรรยากาศดีๆ เช่นนี้เป็นเฉาเต๋อหลุน เขาโค้งคำนับอยู่ข้างนอก แทบอยากจะตบปากตัวเอง เข้ามาช่างไม่ได้เวลาเสียจริง ภาพที่หายากเช่นนี้ กลับถูกเขาทำลายเสียแล้ว


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ทำตาขาวใส่เขา “เฉาเต๋อหลุน เจ้าชักจะใจกล้าขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ข้าให้เจ้าเข้ามาแล้วหรือ”


 


 


เฉาเต๋อหลุนยกมือตบหน้าตัวเองสองที “บ่าวสมควรตาย…ท่านอ๋อง แม่นางเจี่ยงมาแล้ว”


 


 


ช่วงนี้เว่ยหมิ่นยุ่ง ยุ่งอะไรไม่ทราบ เพียงแต่มองใบหน้ายิ้มแย้มของนางนั้น เกรงว่ากำลังมีความสุขกับเหลียงอู๋เย่ว์อยู่กระมัง ทั้งสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วต่างเขินอายกันนัก ก็ควรจะให้เวลาพวกเขาได้ปรับเข้าหากัน ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นน่าอวี้ที่มาเยี่ยมเฉินยางคนเดียว


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ทั้งแค้นทั้งจนใจ น่าอวี้กับเฉินยางคุยกันได้ถูกคอนัก อยู่ด้วยกันได้ทั้งวัน ไม่รู้กลายเป็นเพื่อนสนิทเสียตั้งแต่เมื่อใด เขาอยู่ที่เฉินยางกลับกลายเป็นแขกหายาก อยากจะคุยกับนางยังต้องต่อหลังน่าอวี้อีก


 


 


ให้มาบ่อยๆ ไม่ใช่ให้นางมาทุกวัน เฝิงเยี่ยไป๋รู้สึกหงุดหงิด กำลังจะอ้าปากเรียกเฉาเต๋อหลุนให้ไปบอกน่าอวี้ว่าให้นางมาวันอื่น เฉินยางกลับชิงเขาพูดขึ้นมาก่อนว่า “รีบเรียกนางเข้ามา” จากนั้นก็ผลักเฝิงเยี่ยไป๋ไปนั่งที่เตียงเล็กตรงขอบหน้าต่าง “ท่านก็รีบแกล้งป่วยเร็วเข้า อย่าให้น่าอวี้สังเกตเห็น อีกเดี๋ยวให้เฉาเต๋อหลุนส่งท่านกลับ”


 


 


ระหว่างที่พูดอยู่นั้น นางก็มาถึงหน้าประตูแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋จึงได้แต่แสร้งทำท่าทางป่วยอย่างลำบาก นั่งพิงอยู่บนเตียง กัดฟันจนส่งเสียงออกมา


 


 


วันนี้น่าอวี้สวมกระโปรงสีเขียว รองเท้าสีขาว เวลาเดินนั้นเหมือนดั่งลอยอยู่บนเมฆ อ่อนหวานดั่งใบหลิวต้องลม แต่ละก้าวล้วนมีเสน่ห์มากมาย คนเช่นนี้ กลับมีใบหน้าสุขุมสง่างาม ในความทะเล้นนั้นก็มีความสูงส่งแฝงอยู่ ใต้ฟ้านี้ เกรงว่าก็มีเพียงนางคนเดียวแล้วกระมัง!


 


 


มาตั้งหลายครั้งเช่นนี้ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เห็นเฝิงเยี่ยไป๋ในห้องเฉินยาง นางกำชายผ้าแล้วโค้งคำนับ “ท่านอ๋องสุขสำราญ พระชายาสุขสำราญ” มารยาทช่างงดงามเหลือเกิน ไม่ได้มีความหยิ่งยโสที่เสแสร้งทำออกมา แม้แต่สายตาที่มองเฝิงเยี่ยไป๋เพียงเสี้ยววินาทีนั้นก็ล่องลอยจับความหมายไม่ได้


 


 


เฉินยางไม่รู้ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ในใจระหว่างพวกเขา นางจูงมือน่าอวี้ด้วยความสนิทสนมไปดูแมว “ข้าใช้เวลาอยู่ตั้งนานถึงจับได้ แมวตัวนี้นิสัยดุนัก ข้าถูกมันข่วนไปหลายครั้งแล้ว”


 


 


น่าอวี้ค่อยๆ ยกมือนางขึ้นมาดู ไม่ได้มองผ่านๆ แล้วแสร้งพูดว่าสงสาร นางดูจริงๆ จากนั้นก็ย่อตัวลงเสนอความคิดให้นาง “แมวล้วนชอบให้คนเกาคอของมัน เกาเบาๆ เจ้าดู…” นางยื่นมือเข้าไปแสดงให้นางดูก่อน “ทำเช่นนี้ เจ้าเกามันสบายแล้ว มันก็จะร้องฮูๆ ออกมา เกาเช่นนี้ทุกวัน ไม่กี่วันก็จะภักดีกับเจ้าแล้ว”


 


 


เฉินยางก็เหมือนดั่งเด็กที่สอนง่าย นางจ้องตาโต มองน่าอวี้ด้วยท่าทางเคารพ “จริงด้วย มันไม่ข่วนเจ้าเลย ข้าและท่านพี่ล้วนถูกมันข่วนจนเละหมดแล้ว!”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ได้รู้นิสัยของเฉินยางอย่างถ่องแท้เสียที อารมณ์ดีก็เรียกท่านพี่ อารมณ์ไม่ดีก็เรียกทั้งชื่อทั้งแซ่ ยามที่ไม่ได้อารมณ์ดีหรืออารมณ์ไม่ดีก็เรียกนี่ๆ


 


 


 


 


 


——


 


 


 ตอนที่ 310 เจ้านายแมวต้าหนา


 


 


 


 


เฉินยางรู้สึกน่าอวี้เป็น ‘ผู้รอบรู้’ เจ้าคุยอะไรกับนางก็สามารถคุยได้ ยามนี้พูดถึงแมว ก็ได้ยินน่าอวี้พูดว่า “มีหญ้าชนิดหนึ่ง ชื่อว่าเมาปั้วเหอ[1]แมวชอบที่สุดแล้ว ตากแห้งแล้วบดเป็นผง ผสมในเนื้อให้มันกิน ขอเพียงเป็นแมวไม่มีตัวใดไม่ชอบ ก็เหมือนกับ… ก็เหมือนกับคนชอบสูบยาสูบเช่นนั้น เพียงแต่แมว ‘สูบ’ เมาปั้วเหอไม่สูบจนตาย”


 


 


เรื่องนี้แม้แต่เฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่เคยได้ยิน พวกนางคุยกันถูกคอนัก คนหนึ่งเห็นเขาเป็นอากาศ อีกคนก็ทำเหมือนไม่เห็นเขา ยามนี้เขาอยู่ที่นี่กลับเป็นส่วนเกินเสียแล้ว


 


 


น่าอวี้ถามอีกว่า “เจ้าตั้งชื่อให้แมวหรือไม่”


 


 


เฉินยางเกาคอแมวกำลังได้ที่ ได้ยินก็ส่ายหน้าขึ้นมา “ข้ารู้หนังสือน้อยนัก ไม่มีความรู้ ไม่รู้จะตั้งอย่างไรดี”


 


 


“การตั้งชื่อนั้นไม่ต้องใช้ความรู้อะไร ตั้งให้ถูกใจเป็นพอ ตั้งเอาสนุก”


 


 


เฉินยางเงยหน้าคิดอยู่นาน บ่นพึมพำอยู่ในปากก็ไม่ได้ตั้งสักชื่อหนึ่ง


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋กระแอมเบาๆ สองที เฉินยางถึงนึกถึงเขาขึ้นมาได้ “ท่านพี่ ท่านช่วยข้าตั้งชื่อแล้วกัน!”


 


 


ทิ้งเขาเอาไว้อยู่นาน จะให้เขาใช้สมองเพียงประโยคนี้ประโยคเดียวหรือ เขาจงใจแกล้งนาง เขาจิบชาแล้วอ้าปากพูดว่า “เรื่องนี้… ข้าก็ช่วยไม่ได้”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋มองน่าอวี้ด้วยสายตาอ้อนวอน น่าอวี้หันมาพูดว่า “ท่านอ๋องมีความรู้มากมายยิ่งนัก เพียงอ้าปากก็เป็นกลอนได้ ตั้งชื่อให้แมวนี้เป็นโชคดีของมัน อย่างไรก็ขอให้ท่านอ๋องประทานชื่อเถิด”


 


 


อะไรที่เรียกว่าขอร้องให้คนช่วย? ไม่มีรางวัลที่ให้ได้ คำพูดดีๆ ก็ต้องพูดให้เป็น นี่ก็เพื่อจะเตือนเฉินยาง ให้น่าอวี้ทำเป็นตัวอย่างให้นางดู แม้ว่าเขาจะไม่ได้ชอบคำชมเท่าใดนัก แต่ก็ตกลงรับปาก


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจงใจล้อนางเล่น “ไม่ใช่ว่าเจ้าชอบเรียกมันว่าเจ้านายแมวหรือ เช่นนั้นก็ตั้งชื่อว่า ‘ต้าหนา’ แล้วกัน ทั้งจำง่ายและพูดง่าย เหมาะสมกับมันที่สุดแล้ว”


 


 


เฉินยางยังไม่รู้สึกตัว น่าอวี้ได้ยินก็เอามือป้องปากหัวเราะขึ้นมาเสียก่อนแล้ว


 


 


เฉินยางไม่ได้เติบโตที่เมืองหลวง ภาษาถิ่นของเมืองหลวงมากมายนางฟังไม่ออก ต้าหนาเป็นภาษาถิ่นของปักกิ่ง ก็คือคนที่เป็นเจ้านายดูแลเรื่องต่างๆ เรียกแมวตัวหนึ่งว่าต้าหนา ไม่ใช่จงใจล้อคนเล่นหรือ!


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ก็เอามือป้องปากหัวเราะเบาๆ น่าอวี้หัวเราะนางไม่รู้อะไร แต่เฝิงเยี่ยไป๋หัวเราะจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ต้าหนาต้าหนา ฟังดูแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่ชื่อที่ดีนัก “ไม่เอาต้าหนา น่าเกลียดตายเลย พี่น่าอวี้ เจ้าช่วยข้าคิดชื่อหนึ่งเถิด!”


 


 


นางเป็นพระชายาอี้ผิ่น เรียกนางว่าพี่สาว แม้จะไม่ได้มีผลมากมายนัก แต่อย่างไรก็ไม่เหมาะสม เช่นนั้นแล้วเขาล่ะ? ไม่ใช่ต้องเรียกตามหรือ สีหน้าของเฝิงเยี่ยไป๋ดูไม่ดีนัก น่าอวี้ก็รู้สึกผิดสังเกต จึงรีบลุกขึ้นมาพูดอย่างเคร่งเครียดว่า “พระชายากล่าวหนักแล้ว คำว่าพี่สาวนี้ข้ารับไว้ไม่ได้ นี่ไม่ใช่จะทำให้ข้าอายุสั้นหรือ”


 


 


เฉินยางไม่รู้สึกว่าไม่เหมาะ ยังคิดว่านางเกรงใจ “ไม่เป็นไร ระหว่างพวกเราไม่ถือเรื่องนั้น เจ้าโตกว่าข้า เรียกพี่สาวก็ใช้ได้อยู่”


 


 


น่าอวี้พูดว่า “ข้ารู้ว่าพระชายาหวังดี เพียงแต่อย่างไรเสียฐานะของท่านและข้าก็ต่างกัน อย่าได้เสียระเบียบเลย หากหลุดออกไปคนอื่นก็จะพูดว่าข้าไร้มารยาทนัก”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋กึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่ พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “นางพูดไม่ผิด ระเบียบจะเสียไม่ได้ หากหลุดออกไปเจ้าไม่เป็นอะไร คนอื่นจะนินทานางเอาได้”


 


 


อยู่ที่เมืองหลวง ระเบียบมีมากมาย เฉินยางเรียนอยู่ในวังเพียงไม่กี่วันก็ถูกเฝิงเยี่ยไป๋พากลับมาเสียแล้ว พากลับมาเฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่หาคนมาสอนนาง เรื่องเหล่านี้นางย่อมไม่รู้อยู่แล้ว


 


 


 


 


——


 


 


[1] เมาปั้วเหอ (猫薄荷) คือต้นแคตนิปหรือกัญชาแมว


ตอนที่ 311 ให้เจ้าแต่งกับเฝิงเยี่ยไป๋ 


 


 


 


 


 


รถม้าแล่นผ่านถนนฟู่กุ้ยค่อยๆ ไปข้างหน้า น่าอวี้ไอขึ้นมาบนรถอีกครั้ง อวี๋เอ๋อร์ลูบหลังให้นาง แล้วโทษนางที่วันนี้ไม่ควรออกมาเลย 


 


 


น่าอวี้ไอจนเจ็บหน้าอกจึงพิงบนตัวอวี๋เอ๋อร์ พูดจาเสียงอ่อนระโหยว่า “วันนี้ข้าเห็นเฝิงเยี่ยไป๋อยู่ในห้องเฉินยาง” 


 


 


อวี๋เอ๋อร์ตกใจ “เขาไม่ใช่ไม่พบแขกหรือ ไม่ใช่ว่าป่วยหนักหรืออย่างไร” 


 


 


“อาจจะเพราะนึกไม่ถึงข้าจะไปยามนั้น ไปแล้วเจอพอดี เพียงแต่ข้าเห็นสีหน้าเขาขาวซีด ยามไอยังรุนแรงกว่าข้าเสียอีก ก็ไม่รู้ว่าป่วยเป็นโรคใด” 


 


 


อวี๋เอ๋อร์พูดพึมพำว่า “ไฉนถึงบังเอิญเช่นนี้ บอกจะป่วยก็ป่วยเลย แถมยังเป็นวันเดียวกับที่ฮ่องเต้มอบปิงฝูให้เขาวันนั้น ข้าได้ยินว่ามีผีร้ายเข้าสิง คุณหนูช่วงนี้ท่านก็อย่าได้ไปเสียเถิด จะได้ไม่ต้องถูกผีร้ายเข้าสิง” 


 


 


น่าอวี้ตบที่มือนางเบาๆ “อะไรผีร้ายเข้าสิง เรื่องนี้เจ้าก็เชื่อ? เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว จะล้มเลิกได้อย่างไร ต้องเร่งมือเข้าถึงจะได้ ไม่เช่นนั้นกรมราชสำนักยังจะมีที่ให้พวกเราอยู่ได้อย่างไร” 


 


 


“เพียงแต่…” อวี๋เอ๋อร์อ้ำอึ้ง จะปิดบังก็ไม่ใช่ จึงได้แต่พูดออกมา “ครั้งก่อนข้าแอบได้ยินนายท่านคุยกับฮูหยิน บอกว่า… บอกว่าฮ่องเต้จะให้ท่านแต่งงานกับเฝิงเยี่ยไป๋” 


 


 


เวลานี้ให้นางแต่งงานกับเฝิงเยี่ยไป๋ นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ฮ่องเต้คิดจะควบคุมเฝิงเยี่ยไป๋อยู่ในพระหัตถ์ให้แน่นหนา ใช้เพียงบ่าวเหล่านั้นไม่ได้แน่ๆ ไม่เคยเห็นใครพูดความในใจกับบ่าวรับใช้ เพียงแต่คนข้างหมอนก็ไม่เหมือนกันแล้ว ความในใจทุกอย่างล้วนได้หมด มีเฉินยางคนหนึ่งแล้วไม่เป็นไร ผู้ชายมีภรรยาสามคนสี่คนไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่งอีกคนหนึ่งก็ยังได้ 


 


 


แม้ว่านางจะรุกถอยได้ดีนัก จนถึงยามนี้เฝิงเยี่ยไป๋ก็ยังไม่แสดงทีท่าที่รังเกียจนาง เพียงแต่ใจของเขาที่มีต่อเฉินยางนั้น ยามนี้ไม่มีที่ว่างให้คนที่สองเป็นแน่แท้ เวลาเช่นนี้ให้นางแต่งกับเขา เช่นนั้นแล้วความพยายามทั้งหมดที่นางทำก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเสียเปล่าหรือ 


 


 


ฮ่องเต้ทำเช่นนี้สุดท้ายแล้วก็รังแต่จะยกก้อนหินหล่นใส่เท้าตัวเอง เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย เขาจะเดาความหมายนี้ไม่ออกหรือ 


 


 


น่าอวี้โกรธไม่บ่อยนัก โกรธไปก็เท่านั้น เรื่องที่ใช้สมองแก้ไขได้ ไยต้องโกรธเพื่อทำร้ายตัวเอง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน นี่เป็นความตั้งใจของฮ่องเต้ คำพูดดั่งทองคำ คำพูดที่ฮ่องเต้ตรัสออกมาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ 


 


 


“คุณหนู พวกเราควรทำอย่างไรดี ท่านยอมแต่งหรือ” อวี๋เอ๋อร์จนปัญญาจึงได้แต่หวังพึ่งน่าอวี้ คนเหล่านี้ช่างใจดำยิ่งนัก ใช้ประโยชน์ก็ช่างเสียแล้ว ยังคิดจะให้คุณหนูของพวกนางทำเรื่องหลอกให้เป็นจริงคืออย่างไร 


 


 


ในหัวน่าอวี้วุ่นวายนัก หลังจากสงบอยู่พักหนึ่งถึงพูดว่า “กลับบ้านก่อน ในหัวพวกเขาคิดอะไรอยู่ คิดจะปิดบังข้า? ฝันไปเถอะ!” 


 


 


ทางฝั่งนี้ พั่งไห่กำลังดื่มชาอยู่ในกรมราชสำนัก อย่าว่าไป เจี่ยงเหว่ยนี้ แม้จะไร้ความสามารถแต่ชาที่บ้านกลับไม่เลวนัก เขาดื่มไปพลางรอน่าอวี้ไปพลาง แล้วนั่งไขว่ห้าง บนปากร้องเพลงเสียงเพี้ยน เหลือบมองเจี่ยงเหว่ย พูดจาสบายใจว่า “วันก่อนได้ยินใต้เท้าเจี่ยงได้ลูกชาย ยุ่งอยู่ตลอด จึงยังไม่ทันได้มาอวยพรให้ใต้เท้าเจี่ยง วันนี้มาด่วนมา…” เขาแบมือออก “อะไรก็ไม่ได้เอามา วันหลัง วันหลังจะให้คนมาส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้ถึงจวนใต้เท้าอย่างแน่นอน” 


 


 


ในใจเจี่ยงเหว่ยพูดว่า ‘เจ้ามาให้น้อยๆ ก็ถือเป็นของขวัญที่ใหญ่ที่สุดสำหรับข้าแล้ว’ เพียงแต่วันนี้พั่งไห่เป็นรองผู้ดูแลของตำหนักหย่างซิน เป็นคนสำคัญที่อยู่ข้างพระกายของฮ่องเต้ นอกจากยอแล้วก็ได้แต่ยอ เขาจึงอมยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้ดูแลใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว” 


 


 


  


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 312 แต่งกับเขาเจ้าก็ไม่เสียหาย 


 


 


 


 


 


ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมืดลง ตะวันเริ่มตกดิน พั่งไห่ดื่มชาสองชั่วยามกว่าแล้ว น่าอวี้ก็ยังไม่กลับมา เขารอจนหงุดหงิด ความโกรธจึงได้แต่ระบายที่เจี่ยงเหว่ย “ข้าว่าใต้เท้าเจี่ยง ลูกสาวท่านเมื่อใดจะกลับมาหรือ ทำเอาพวกเรารอนานเสียเหลือเกิน ฝ่าบาทยังรอให้ข้ากลับไปปรนนิบัติอยู่เลย!” 


 


 


“ขออภัยที่ให้กงกงรอนานแล้ว” 


 


 


พั่งไห่เพิ่งพูดจบ น่าอวี้ก็กลับมาแล้ว คนอื่นเรียกผู้ดูแลใหญ่ นางกลับเรียกกงกง ขันทีคนหนึ่ง ปีนสูงอย่างไร มีอำนาจมากมายเพียงใดก็ยังเป็นขันทีอยู่ดี คนที่ขาดสิ่งนั้นไป เรียกว่ากงกงก็ยังถือว่าให้เกียรติแล้ว 


 


 


พั่งไห่ก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนาง เจี่ยงเหว่ยกลับดึงนางเข้าหา ยื่นมือหยิกบนตัวนาง “อย่าได้เสียมารยาทนัก รีบคำนับรองผู้ดูแลเร็วเข้า” 


 


 


น่าอวี้ไม่ขยับแม้แต่น้อย นางปัดมือเจี่ยงเหว่ยออก ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านได้รับปากกับฮ่องเต้จะให้ข้าแต่งกับเฝิงเยี่ยไป๋ใช่หรือไม่” 


 


 


เจี่ยงเหว่ยถูกถามจนพูดไม่ออก พั่งไห่ร้องโอ๊ยขึ้นมา พูดใส่ไฟไม่กลัวจะทำให้เรื่องใหญ่โตขึ้นว่า “โหย! ใต้เท้าเจี่ยง ที่แท้ท่านก็เล่าไปเสียแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะได้ไม่ต้องพูดซ้ำ แม่นางเจี่ยง ท่านอ๋องพวกเราหน้าตาดียิ่งนัก ตอนนี้มีทั้งอำนาจบารมี แต่งกับเขา เจ้าก็ไม่ได้เสียหาย!” 


 


 


“ไม่เสียหายอยู่จริง” รอยยิ้มของนางทำเอางุนงงนัก “ก่อนหน้านี้พวกเจ้าให้ข้าใกล้ชิดเขาแล้วสืบข้อมูลจากเขา ข้าก็ทำตามแล้ว เพียงแต่เขาไม่หลงกลข้าก็ไม่อาจบีบคอเขาแล้วถาม เฝิงเยี่ยไป๋เป็นคนฉลาด ยามนี้พวกเจ้าให้ข้าแต่งกับเขา เขาจะโง่ไม่รู้เรื่องใดๆ แต่งกับข้าดีๆ หรือ” 


 


 


พั่งไห่ก็หัวเราะขึ้นมา หลังหัวเราะเสร็จก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นี่เป็นความประสงค์ของฝ่าบาท พวกเราล้วนเป็นบ่าวรับใช้ของฝ่าบาท เบื้องบนว่าอย่างไรพวกเราก็เพียงทำตามก็พอ ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ก็ต้องมีเหตุผลของพระองค์เอง แม่นางเจี่ยงฉลาดเช่นนี้ คงจะไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจเหตุผลในนั้นกระมัง!” 


 


 


“เช่นนั้นหากข้าไม่แต่งล่ะ” 


 


 


เจี่ยงเหว่ยเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมา พั่งไห่จับฝาถ้วยชาเกลี่ยฟองชาออกแล้วจิบคำหนึ่ง พูดอีกว่า “ต่อให้เจ้าไม่นึกถึงตัวเอง ก็ต้องนึกถึงน้องชายกระมัง ปีนี้น้องชายเจ้าอายุเท่าใดเอง เดินยังเดินไม่เป็นเลย เจ้าจะให้ตระกูลเจี่ยงของเจ้าขาดผู้สืบตระกูลในมือเจ้าไม่ได้กระมัง!” 


 


 


น้องชายที่พั่งไห่พูดถึงนั้นไม่ใช่ลูกชายของเจี่ยงเหว่ย แต่เป็นน้องชายแท้ๆ ของนาง นางก็ไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของเจี่ยงเหว่ย แต่เป็นหลานสาวของเจี่ยงเหว่ย หนึ่งปีก่อน ตระกูลนางเกิดเหตุการณ์เลวร้าย หนึ่งร้อยแปดสิบชีวิตในบ้านก็มีเพียงนาง น่ายงที่ยังเป็นทารกและอวี๋เอ๋อร์ นางเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง อยู่กับน้องชายใช้ชีวิตต่อไม่ไหวจริงๆ จึงได้แต่มาหาอาเจี่ยงเหว่ยที่อยู่เมืองหลวง 


 


 


เจี่ยงเหว่ยรับเลี้ยงนางไว้ ก็ไม่ใช่เพราะความผูกพันญาติมิตรอะไรเลย น่าอวี้หน้าตาสวยงาม ตอนแรกที่เจี่ยงเหว่ยเห็น ก็เกิดความรู้สึกที่อยากยึดนางไว้เป็นของตัวเอง การกระทำที่ผิดเครือญาติน่ารังเกียจยิ่งนัก น่าอวี้ไม่ยอม เขาจึงใช้น่ายงมาขู่นาง ตอนหลังถูกภรรยาที่ดุร้ายในบ้านพบเข้า ต่อหน้าแม้จะไม่กล้าทำอะไรกับตัวเอง เพียงแต่ลึกๆ แล้วเขาก็ยังไม่ตายใจ น่าอวี้ก็ตามหาน้องชายของตัวเองอยู่ตลอด เพียงแต่เฒ่าเจี่ยงเหว่ยนี้ซ่อนน่ายงไว้อย่างมิดชิดนัก นางไม่มีเบาะแสจึงหาไม่เจอเลย 


 


 


ยามนี้ได้ยินพั่งไห่พูดถึงน่ายง จึงหันศีรษะไปมองเจี่ยงเหว่ย สายตาแทบจะพ่นไฟออกมา “ท่านให้น่ายงกับเขาหรือ เจี่ยงเหว่ย! ท่านยังเป็นคนอยู่หรือไม่ ท่านไม่รู้สึกผิดต่อท่านพ่อของข้าหรือ” 


 


 


เจี่ยงเหว่ยกลับพูดว่า “เจ้าต้องเชื่อฟังผู้ดูแลใหญ่ แต่งเข้าจวนท่านอ๋องดีๆ น้องชายเจ้าจะอยู่ดีมีสุขอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะเอาเด็กคนหนึ่งมาก็ไร้ประโยชน์ ยังต้องเลี้ยงเขาอีก ไม่คุ้มกันเลย เจ้าว่าใช่หรือไม่” 


 


 


น่าอวี้หัวเราะเย็นชาถามเขากลับ “เจ้ารู้หรือไม่ลูกชายคนแรกของท่านตายอย่างไร” 


ตอนที่ 313 โจรในบ้านป้องกันยาก 


 


 


 


 


 


พูดถึงลูกชายคนโตของตัวเองเจี่ยงเหว่ยก็รู้สึกเสียใจ เพียงแต่น่าอวี้กับลูกชายคนโตของเขานั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องมากมายนัก ไฉนนางถึงพูดเรื่องการตายของเขา 


 


 


พั่งไห่พอเดาบ้างแล้ว น่าอวี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ ดอกไม้แสนงามที่ถูกเลี้ยงไว้อยู่ในกรมราชสำนักเช่นนี้ ไร้ที่พึ่งพิง ลูกชายของเจี่ยงเหว่ยนั้นก็ขึ้นชื่อเรื่องเจ้าชู้นัก ท่านพ่อของเขายังไม่สนจริยธรรมเลย ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เขาจะดีไปกว่ากันได้อย่างไร คาดว่าคงมีความคิดชั่วร้ายนานแล้ว การตายของคุณชายเจี่ยง คงหนีไม่พ้นกับนางแน่ๆ 


 


 


“ตอนแรกพี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องตาย” จู่ๆ น่าอวี้ก็เปลี่ยนไปใช้เสียงอ่อนหวาน “เพียงแต่ใครให้เขาไร้แววตานัก ใครไม่ยุ่งดันมายุ่งกับข้า เรื่องที่เขาโกงเงินกองทัพนั้น…เป็นข้าที่บอกศัตรูของท่าน ดังนั้นเขาถึงมีหลักฐานไปฟ้องฮ่องเต้ เจี่ยงเหว่ย ข้าจะบอกท่านให้ หากน้องชายข้าเป็นอะไรไป ข้าก็ส่งท่านไปอยู่เป็นเพื่อนเขา!” 


 


 


พั่งไห่เดาได้เพียงว่าเกี่ยวข้องกับนาง แต่นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้ถึงกับมีความอาจหาญเช่นนี้ ตัวเองไม่ลงมือ แถมยังยืมดาบฆ่าคน ใช้ได้ มาครั้งนี้ไม่ผิดหวัง ผู้หญิงฉลาด ทำงานก็จะได้คล่องแคล่ว อย่างน้อยก็เอาตัวรอดได้ ไม่ถึงกับสร้างปัญหาใหญ่หลวงนัก 


 


 


เจี่ยงเหว่ยนึกไม่ถึงเลยว่าน่าอวี้ผู้ขี้โรคนี้จะเป็นตัวการที่แท้จริงที่ทำให้ลูกชายของเขาต้องตาย ลูกชายของเขา สุดที่รักของเขา ตั้งแต่เด็กจนโตก็ไม่เคยตีแม้แต่ครั้งเดียว สุดท้ายกลับถูกผู้หญิงคนนี้ฆ่าตาย ช่างเ**้ยมโหดยิ่งนัก! 


 


 


“ป้องกันทุกอย่างโจรในบ้านป้องกันยาก นึกไม่ถึงว่าข้าถึงกับเลี้ยงคนเนรคุณเอาไว้อยู่ในบ้าน เจี่ยงน่าอวี้ ข้าจะให้เจ้าตายซะ!” อย่างไรเสียเขาก็เป็นเสนาบดีกรมทหาร หากลงมือจริงๆ ฟาดมือลงไป น่าอวี้ที่มีร่างกายอ่อนแอนี้ ชีวิตก็คงจบสิ้นแล้ว 


 


 


จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้ ทางก็ได้ปูไว้ก่อนหน้าแล้ว หากยามนี้นางตาย ที่เฝิงเยี่ยไป๋นั้นใครจะเป็นคนไป ที่ฝ่าบาทนั้นจะรายงานอย่างไร 


 


 


ลมฝ่ามือปะทะมาข้างหน้า น่าอวี้อย่าว่าแต่จะหลบเลย แม้แต่ตาก็ยังไม่กะพริบ คนที่ฝึกฝนวิชามาหลายปี หนังที่มือย่อมหนา หากฝ่ามือนี้ฟาดลงใส่ศีรษะของนาง…กระนั้นนางก็เพียงแค่คิดเท่านั้น มีพั่งไห่อยู่ นางจะตายได้อย่างไร! 


 


 


ว่าแล้วก็เป็นเช่นนั้น มือนั้นหยุดลงกลางคัน พั่งไห่ก็เป็นคนฝึกวิชา เมื่อต้องประมือก็ใช่ว่าไม่กี่กระบวนท่าแล้วจะจัดการได้ โชคดีที่เขาตอบสนองไวห้ามเอาไว้ ไม่เช่นนั้นน่าอวี้ยามนี้คงจะไปเยี่ยมยมบาลเสียแล้ว 


 


 


แม่นางผู้นี้ทำท่าทางราวกับทุกอย่างอยู่ในการควบคุม มั่นใจเต็มเปี่ยมฉลาดเหลือล้น ชีวิตใกล้จะจบสิ้นแล้วก็ยังหัวเราะอีก นี่คือมั่นใจว่าเขาจะต้องช่วยนางแน่ๆ ! 


 


 


พั่งไห่ชักสีหน้าบึ้งตึง ผลักเจี่ยงเหว่ยถอยหลังไปหลายก้าว ความโกรธเริ่มปะทุขึ้นมา รอยยิ้มบนหน้าก็หายไป “ใต้เท้าเจี่ยง ท่านทำอะไรอยู่ นางเป็นพระชายารองที่ฝ่าบาทมีพระบัญชาสั่งการด้วยพระองค์เอง วันหลังเจอนางแล้ว ท่านยังต้องคำนับนางอยู่เลย ว่าอย่างไร ราชโองการของฝ่าบาทท่านก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาเสียแล้วหรือ” 


 


 


เจี่ยงเหว่ยมองพั่งไห่ด้วยความอึ้ง ขันทีฝึกวิชาเพื่อป้องกันตัวเองตอนแรกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เพียงแต่วิชาของพั่งไห่นี้ช่างร้ายกาจนัก นี่เป็นฝีมือที่ขันทีควรจะมีเสียที่ใด หัวหน้ากององครักษ์ก็ยังสู้เขาไม่ได้เลย! 


 


 


“ผู้ดูแลใหญ่ ท่านก็ได้ยินแล้ว เป็นนางที่ยอมรับเอง ลูกชายข้าตายเพราะนาง ข้าจะต้องแก้แค้นให้ลูกชายข้า!” 


 


 


พั่งไห่เบื่อหน่ายที่จะคุยกับคนเช่นนี้เป็นที่สุด คุยแล้วเหนื่อย เจี่ยงเหว่ยที่ไร้สมองเช่นนี้ สามารถอยู่จนถึงวันนี้ได้ถือว่าโชคดีแล้ว! 


 


 


“แก้แค้นๆ แก้อะไร ลูกชายท่านโกงเงินกองทัพเป็นความจริง แคว้นมีกฎของแคว้น ไม่อาจให้ท่านมาทำเสียกฎ!” 


 


 


  


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 314 รูปร่างงดงาม 


 


 


 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ป่วยนาน ฮ่องเต้กังวลพระทัยยิ่งนัก จึงได้เชิญนักพรตไปจวนท่านอ๋องขับไล่สิ่งชั่วร้าย ได้ยินว่านักพรตเป็นเทพเซียนกลับชาติมาเกิด พลังยิ่งใหญ่ ส่วนอาการป่วยของเฝิงเยี่ยไป๋ ตรวจแล้วไม่รู้เป็นโรคจากสิ่งใด ตัวร้อนไม่หาย คาดว่าคงถูกสิ่งชั่วร้ายสิงร่าง ส่งนักพรตไปก็มีเหตุผล 


 


 


บนหน้าผากเฉินยางแปะยันต์ที่นักพรตตให้ไว้ บอกว่าสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายไม่ให้สิงร่างได้ เฉินยางรู้สึกว่านักพรตคนนี้แสร้งเล่นละคร เป็นนักพรตหรือ เป็นพวกต้มตุ๋นชัดๆ ในบ้านไม่ได้มีสิ่งชั่วร้ายเลย เขากลับเต้นเชิญเทพเสียตั้งใจเชียว 


 


 


ยังมีเฝิงเยี่ยไป๋อีกคน ช่างแกล้งเก่งจริงๆ ท่าทางใกล้ตายของเขานั้น แม้แต่หนังตาก็ไม่ขยับ สีหน้าขาวซีด ดูแล้วหายใจยังลำบาก ช่างเป็นคนแสดงละครได้เก่งยิ่งนัก หากนางไม่รู้เรื่อง คงได้ร้องไห้ออกมาแน่ๆ 


 


 


นักพรตทำพิธีอยู่นาน สุดท้ายก็จบลง เฉินยางทำตามที่เฝิงเยี่ยไป๋กำชับไว้ก่อนหน้า ยัดเงินถุงหนึ่งให้กับนักพรต ก็ไม่รู้ว่ามีเท่าไร อย่างไรเสียนางถืออยู่ในมือก็รู้สึกหนัก 


 


 


ยัดเงินเป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องสนว่าฮ่องเต้ส่งเขามาคือตั้งใจหรือไม่ ยามที่คนไปขอเพียงกระเป๋าไม่ว่างเปล่า ยามที่กลับไปรายงานฮ่องเต้ก็ย่อมไม่ใส่ร้ายนัก นี่เป็นระเบียบที่รู้กันเอง เขาไม่ได้ขาดเงินเหล่านี้เสียหน่อย ให้ไปก็ไม่เสียอะไรมากนัก มีเรื่องน้อยย่อมดีกว่ามีเรื่องมาก 


 


 


ตอนแรกนักพรตยังปฏิเสธอยู่ แสร้งทำท่าทางลำบากใจ ปากพูดว่าไม่รับ แต่มือกลับซื่อสัตย์ยิ่งนัก กึ่งผลักกึ่งรับ สุดท้ายก็ให้ลูกศิษย์รับเอาไว้ 


 


 


อย่างไรเสียก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ส่งมา ความยิ่งใหญ่จึงมีไม่น้อย เกี้ยวแปดคนหาม ข้างหลังมีลูกศิษย์เดินตามสิบกว่าคน แต่ละคนล้วนสีหน้าเคร่งเครียด ล้วนมีคนหามทั้งสิ้น พอออกจากจวนท่านอ๋องไปก็กลับไปรายงานที่วังอย่างอลังการ 


 


 


ยามที่เฉินยางกลับไปนั้น เฝิงเยี่ยไป๋ก็ลุกขึ้นมาแล้ว สีหน้ายังคงขาวซีดไม่เปลี่ยน ทั้งคนดูแล้วเหมือนป่วยหนัก มีความรู้สึกดั่งหญิงงามป่วยหนัก เพียงแต่คุณชายอ่อนแอ ต่อให้มีท่าทางที่ป่วยหนักก็ยังคงทำเอาคนดูแล้วหลงเสน่ห์ได้ สมองเล็กๆ ของเฉินยางสุดท้ายก็รู้เรื่องในที่สุด รู้สึกได้ถึงว่าสามีของตัวเอง ‘สวย’ มากเพียงใด 


 


 


เฉาเต๋อหลุนโค้งตัวพูดกับเฝิงเยี่ยไป๋ว่า “นักพรตมาอย่างอลังการ ทั้งยังเป็นฮ่องเต้ที่ส่งมาอีก บ่าวรู้สึกว่าคงเป็นแผนซ้อนแผนแน่” 


 


 


เสื้อผ้าของเฝิงเยี่ยไป๋คลุมอยู่บนตัวหลวมๆ เผยกล้ามเนื้อแข็งแรงครึ่งตัวบนที่ซ่อนอยู่ในชุดหรูหรามานานหลายปี คำนั้นคือคำอะไรนะ เฉินยางพยายามใช้ความคิด สุดท้ายก็พึมพำออกมา พูดโดยไม่รู้ตัวว่า “ประณีตยิ่งนัก” 


 


 


“เจ้าว่าอะไรหรือ” เฝิงเยี่ยไป๋ยิ้มมองนาง “พึมพำอยู่คนเดียวอะไรหรือ” 


 


 


เฉินยางตกใจจนหน้าแดง จู่ๆ ถูกคนขานชื่อ นางถอยหลังไปสองก้าวพูดว่า “ข้าจะกลับไปเลี้ยงต้าหมี่แล้ว ท่านมีเรื่องใดค่อยเรียกข้า” 


 


 


นางได้ตั้งชื่อให้แมวยโสตัวนั้นว่า ‘ต้าหมี่’ แถมยังภูมิใจเสียด้วย บอกว่ากินข้าวสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด แมวตัวนี้เลือกกินนัก เรียกมันว่าต้าหมี่ก็คือจะเตือนให้มันอย่าเลือกกินนัก กินจนตัวอ้วนๆ ขาวๆ ถึงจะเป็นแมวดี 


 


 


ตอนที่เฝิงเยี่ยไป๋ได้ยินเหตุผลที่นางตั้งชื่อให้แมวนั้น เกือบจะหัวเราะจนหายใจไม่ทัน ชื่อต้าหมี่หรือจะไพเราะกว่าต้าหนาของเขา 


 


 


นึกถึงแมวที่เชื่องขึ้นเรื่อยๆ อีกแล้ว นิสัยเฉินยางเหมือนดั่งมัน ขอเพียงลูบให้แมวสบาย ก็เชื่อฟังและกล่อมง่าย ไม่ต้องใช้เงินทองอาภรณ์หรูเลี้ยง คนเขามีเสื้อก็ใส่ ไม่ว่าจะหรูหราหรือไม่ เพียงแต่สิ่งเดียวที่ไม่ยอมก็คือเรื่องกิน เขาไม่ให้นางกินขนมหวานตอนกลางคืน เพียงแต่เจ้าเด็กนี่เจ้าเล่ห์นัก อ้างชื่อ ‘ต้าหมี่’ แล้วกินเองจนท้องกลม เขามองดูนาง ช่วงนี้นางโตขึ้นแล้ว รูปร่างก็ยิ่งงดงามขึ้น ที่ที่ควรจะอวบอิ่มก็เริ่มโตขึ้น จุดนี้ก็ไม่เลวนัก 


ตอนที่ 315 ข้าไม่เอาถ่านอย่างไร


 


 


 


 


“เมื่อครู่พูดไปถึงไหนแล้ว เจ้าพูดต่อเลย” เขาจุ๊ปาก มองดูร่างของนางแล้วดึงสติกลับมา ทั้งๆ ที่ดูแล้วก็ยังเป็นเด็กที่ยังไม่โต แต่ตัวนางกลับมีกลิ่นอายความเป็นผู้หญิงเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เปลี่ยนแปลงเสียตั้งแต่เมื่อใดหรือ เขานวดหว่างคิ้วคิดเล็กน้อย เหมือนจะเป็นคราวที่เขากลับมาจากหอนางโลมนั่น


 


 


ในใจเฉาเต๋อหลุนคิดไปว่า ข้าพูดจบแล้ว ถึงท่านออกคำสั่งแล้ว เพียงแต่มองดูสายตาคู่นั้น ท่านอ๋องของเขา ในสายตามีแต่พระชายา เกรงว่าคงยังไม่ได้ดึงสติกลับมาทั้งหมด จึงได้แต่พูดว่า “บ่าวพูดว่า ฝ่าบาทคงใช้แผนซ้อนแผนกับท่าน จึงอยากจะถามท่านว่า ต่อไปควรทำอย่างไรดี”


 


 


แววตาของเฝิงเยี่ยไป๋ถึงได้เปล่งประกายขึ้นมา เขาลูบคางแล้วคิดอยู่เล็กน้อย และถามไม่ตรงคำถามว่า “คนที่ฮ่องเต้ส่งไปแจกเงินนั้นน่าจะถึงแล้วกระมัง!”


 


 


เฉาเต๋อหลุนนับนิ้วแล้วตอบกลับว่า “ก็เจ็ดแปดวันมาแล้ว คาดว่าคงใกล้ถึงจิ้งชวนแล้ว ผ่านจิ้งชวนไปก็เป็นเมืองเหมิง ฮ่องเต้ตรัสเอาไว้แล้ว ให้อ้อมเมืองเหมิงไป พออ้อมไปนี้ก็ต้องช้าไปอีกสองสามวัน”


 


 


ฮ่องเต้ก็อยากให้ประชาชนเมืองเหมิงได้เห็น ให้พวกเขารู้ว่าตัวเองตามผิดคนเสียแล้ว เขาถึงจะเป็นเจ้าแคว้นที่แท้จริง ผู้ที่เป็นศัตรูกับเขานั้น ล้วนไม่ได้ดี


 


 


“รอก่อนเถิด อีกไม่กี่วัน ก็มีเรื่องสนุกเกิดขึ้นแล้ว” เขาพิงกับเตียงอย่างสบาย “ขโมยไก่ไม่สำเร็จแถมต้องเสียข้าวสาร ฝ่าบาทนี่เท่ากับให้ของขวัญซู่อ๋องเลยนะ!”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋แผนลึก คนทั่วไปเดาความคิดของเขาไม่ออกนัก เฉาเต๋อหลุนก็เดาไม่ออก ตั้งแต่ที่เขาตามเฝิงเยี่ยไป๋ ฟังเขาพูด ก็เหมือนดั่งมองดอกไม้ในหมอกเช่นนั้น หากเขาไม่อธิบาย ย่อมก็ไม่มีทางเข้าใจความตั้งใจของเขา


 


 


เฉาเต๋อหลุนก็เพียงทำงานตามคำสั่ง อย่างอื่นเขาก็ไม่ถาม ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ด้วยความงุนงง ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงถอยออกไป ในเมื่อท่านอ๋องบอกว่ามีเรื่องสนุกเกิดขึ้นก็รอดูแล้วกัน!


 


 


ช่วงหลายวันนี้ น่าอวี้ก็ไม่มาเยี่ยมเฉินยางแล้ว เฉินยางรู้สึกเบื่อหน่าย นางกอดต้าหมี่มองดูนอกหน้าต่าง “ไฉนช่วงนี้น่าอวี้ถึงไม่มาเสียแล้ว รังเกียจข้าแล้วใช่หรือไม่”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ปิดหนังสือ ‘จือจื้อทงเจี้ยน[1]’ ในมือ แล้วยื่นมือจัดผมของนางไปทัดข้างหลังหู “นางเป็นลูกสาวผู้ดี วันๆ อยู่กับเจ้าที่ไม่เอาถ่านเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าไม่ต้องเรียนระเบียบ งานเย็บปักถักร้อยต่างๆ ล้วนไม่ต้องทำ นางเป็นเช่นนั้นไม่ได้ วันก่อนที่มาเยี่ยมเจ้าทุกวันก็ลำบากมากแล้ว”


 


 


เขาชมน่าอวี้นางไม่ได้รู้สึกอะไร เพียงแต่เขาชมก็ชมเถิด ไฉนถึงยังต้องดูถูกตัวเองอีก เฉินยางปัดมือเขาออก แล้วลูบขนต้าหมี่ พูดด้วยความโกรธว่า “ข้าไม่เอาถ่านอย่างไร… ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ได้มาจากท่าน”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ยื่นมือลูบต้าหมี่ ต้าหมี่ไม่ขยับ มันพลิกตัว เผยท้องออกมา ในลำคอร้องกรู่ๆ


 


 


“ไม่เช่นนั้นข้าไปเยี่ยมน่าอวี้แล้วกัน”


 


 


“ไม่ได้!”


 


 


“ไฉนถึงไม่ได้”


 


 


น่าอวี้อุตส่าห์ไม่มาเพื่อแลกเวลาให้พวกเขาสองคนอยู่ตามลำพัง ข้างนอกร้อนยิ่งนัก อยู่ด้วยกันในห้องให้เย็นสบายดีเสียยิ่งกว่าสิ่งใด นางจะต้องให้มีคนนอกเข้ามาวุ่นวายให้ได้ จิตใจทำด้วยอะไรหรือ


 


 


“เฉินยาง… ช่วงนี้เจ้าอ้วนขึ้นแล้ว” เขาจิ้มแก้มนาง หัวเราะออกมา “มองแล้วดูดีกว่าเมื่อก่อนมากเลย”


 


 


เฉินยางก็ไม่ได้สนใจว่าจะอ้วนหรือผอม เพียงแต่ถูกคนอื่นชมนางก็รู้สึกดีใจ นางนั่งตัวตรง สองก้อนนั้นส่ายไปมา ภาพนั้นเข้ามาในใจเฝิงเยี่ยไป๋ เลือดพุ่งขึ้นหัวทันที สายตาจ้องมองขยับไม่ออก แม่นางนี้ช่างโตได้ที่เสียจริง ทั้งตัวล้วนเป็นที่เขาชอบ


 


 


 


 


——


 


 


[1]จือจื้อทงเจี้ยน (资治通鉴) หรือ คันฉ่องส่องกระบวนรัฐศาสตร์ ของ ซือหม่ากวง (1019 – 1086) นักประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ซ่ง รวบรวมเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุครณรัฐจนถึงยุคห้าราชวงศ์


 


 


 


 


ตอนที่ 316 อย่ามองข้าเป็นคนโง่


 


 


 


 


แววตาของเขาที่มองนางยิ่งร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เฉินยางต้านทานไม่ไหว สายตามองไปรอบๆ ไม่รู้จะมองที่ใดดี ซั่งเหมยซั่งเซียงเห็นบรรยากาศเปลี่ยนไปก็ปิดประตูออกไปนานแล้ว ใจเฉินยางเต้นตึกตักอยู่ตรงอก เวลาเช่นนี้ไม่ควรนิ่งเงียบ นางกอดต้าหมี่กลับไปนั่งบนเตียง แล้วพูดลอยๆ ว่า “ใช่แล้ว ยาที่อิ๋งโจวผสมให้ท่านเป็นอะไรหรือ ข้าเห็นทุกครั้งที่ท่านดื่มไปก็เหมือนดั่งป่วยเสียแล้วจริงๆ สีหน้าขาวซีดจนน่าตกใจนัก”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ขยับไปนั่งตาม แล้วแก้ให้นางว่า “ไม่ใช่เหมือน ยานั่นดื่มไปแล้วจะป่วยจริงๆ เป็นยาที่มีพิษสามส่วน คนดีๆ อยู่จะดื่มยาที่ทำร้ายร่างกาย เจ้าว่าข้าจะดีได้หรือ”


 


 


เขาขยับร่างกายเข้าไปใกล้ กอดนางเอาไว้ ที่จริงแล้วในห้องเย็นนัก เพียงแต่เขาอยู่ ก็เหมือนดั่งมีอ่างไฟ เฉินยางทนไม่ไหวคิดจะหลบ พอมือขยับต้าหมี่ก็หลุดจากมือ นางยืนขึ้นผ่อนคลายร่างกาย “วันนี้อากาศดีเสียจริงๆ ข้าจะออกไปเดินเล่น ท่านรออยู่ที่นี่เสีย ถึงยามที่กินข้าวข้าจะกลับมาเอง”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋กอดนางจากด้านหลัง “อากาศร้อนเช่นนี้ ออกไปกลับมาก็มีแต่เหงื่อเต็มตัว ไม่อึดอัดหรือ”


 


 


นางออกแรงแกะมือที่กอดประสานอยู่บนท้องของนาง “ไม่ร้อน ข้าและซั่งเหมยซั่งเซียงไปเล่นที่บ่อ ต่อให้ไม่ได้อีกก็ไปเล่นหมากที่ศาลาก็ได้ วันๆ อยู่แต่ในห้อง ข้าเกือบจะขึ้นราอยู่แล้ว”


 


 


“เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเรียกพวกนาง ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง”


 


 


บอกจะไปก็ไป ไม่มีการรีรอใดๆ เฉินยางถูกเขาดึงเอาไว้ ออกจากประตู พระอาทิตย์ช่างแสบตายิ่งนัก ยังเดินไม่ทันถึงสองก้าว เหงื่อก็ไหลลงมาเสียแล้ว นางยืนนิ่ง ทำหน้าบูดบึ้ง “ข้าไม่ไปแล้ว”


 


 


“ไฉนถึงไม่ไปอีกแล้ว”


 


 


ท่าทางที่หงุดหงิดนี้ก็ดูดี อย่างไรเสียก็ย้ายสายตาออกไม่ได้แล้ว ยิ่งรักก็ยิ่งหลุดไม่พ้น มือของเขาออกแรงกอดไปเอวของนาง นางไม่ทันระวังทั้งคนเซล้มไปหาเขา ขนเข้ากับกล้ามเนื้อแข็งแรงตรงอกของเขา จมูกทั้งเจ็บทั้งชา “ท่านทำอะไร” นางปิดจมูกเงยหน้าถามเขา “ท่านไม่มีสิ่งใดจะทำหรือ วันๆ มาหาแต่ข้าที่นี่ ไม่ต้องใช้สมองวางอุบายใส่คนอื่นแล้ว?”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋หยิกจมูกนางเบาๆ “ตอนนี้ข้าเป็นคนที่ถูกผีร้ายเข้าสิง ทุกคนต่างรู้ว่าข้าป่วยจนลุกขึ้นก็ยังไม่ได้ ใครจะให้ข้าไปทำงาน อีกอย่าง เจ้าเห็นข้าวางอุบายใส่ใครแล้วหรือ”


 


 


นางหันหลังกลับไปอีก เมื่อครู่ที่บอกจะออกไปก็เพื่อจะหลบเขา ตอนนี้ออกมาแล้ว ข้างนอกร้อนยิ่งนัก ร้อนจนทำเอาทนไม่ไหว กลับไปอยู่ในห้องเสียเถิด จะต้องทรมานตัวเองทำไมกัน!


 


 


ต้าหมี่ก็คงจะรู้สึกข้างนอกร้อน ออกไปเดินเล่นเสียรอบหนึ่งก็กลับมาอีก ตอนที่เดินผ่านเฝิงเยี่ยไป๋ก็ถูกขาของเขาเอาใจ เฝิงเยี่ยไป๋ก็ยากจะมีช่วงเวลาที่อารมณ์ดีนัก เขาอุ้มต้าหมี่ขึ้นมาลูบเล็กน้อย ไม่ย่อท้อที่จะเอาคำตอบกับเฉินยางให้ได้ “เจ้าบอกข้ามาสิ ตกลงข้าวางอุบายใส่ใครหรือ”


 


 


“อย่ามองข้าเป็นคนโง่นัก ข้ารู้ว่าท่านและฝ่าบาทไม่ถูกกัน และก็รู้ว่าเฉาเต๋อหลุนตอนแรกก็เป็นคนของฮ่องเต้ ตอนหลังถูกท่านซื้อไป ยังมีอีก ข้ารู้ว่าท่านส่งคนมาเฝ้าจับตาดูข้า”


 


 


สองข้อแรกนางรู้ก็ไม่แปลก เพียงแต่เรื่องที่เขาส่งคนเฝ้าติดตามนางอยู่ตลอดเวลา นางรู้ได้อย่างไร


 


 


เฉินยางตาต่อตาฟันต่อฟัน นางเชยคางมองเขา “ข้าบอกว่าท่านอย่าได้มองข้าเป็นคนโง่นัก” จากนั้นก็ถามเองตอบเองด้วยท่าทางลึกลับว่า “ครั้งก่อนที่ข้าจับต้าหมี่ มันวิ่งขึ้นต้นไม้ไป ข้าจับมันไม่ถึง จึงเอาปลาแห้งเรียกมัน จากนั้นซั่งเหมยซั่งเซียงมาหาข้า ข้าเพียงหันตัวไป แล้วกลับมามองอีกครั้ง ต้าหมี่ก็ถูกคนมัดขาวางไว้อยู่ที่พื้นเสียแล้ว นอกจากคนของท่าน จะยังมีใครที่สามารถเข้าออกจวนท่านอ๋องได้อย่างอิสระเช่นนี้ได้อีก!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม