ลิขิตฟ้าชะตารัก 307-314

 ตอนที่ 307 พลังยุทธ์ในร่าง 



 


อวี้อาเหราตกตะลึง ยังไม่ทันจะได้คิดอะไร ชายชราก็แยกกลีบปากของเจาเอ๋อร์ออก แล้วสอดยาเข้าไปเสียแล้ว 


 


 


เมื่อคิดดูแล้วก็ถูก ในเมื่ออย่างไรก็ต้องตายแล้ว เช่นนั้นก็ไม่สู้ลองดูเสียหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะรอดชีวิตก็เป็นได้ 


 


 


รออยู่ชั่วครู่ สีหน้าขาวซีดของเจาเอ๋อร์ก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ สีหน้าของนางดีขึ้นมาก ทุกคนจึงค่อยถอนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ชายชรายิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ “โชคดีที่แม่หนูคนนี้ดวงแข็ง หากเป็นคนอื่นถูกพิษเช่นนี้คงจะตายไปเสียนานแล้ว!” 


 


 


ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว ก็พอจะรู้ว่าพิษคงถูกถอนออกจนหมดแล้ว หลังจากถอนหายใจอย่างโล่งอกก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมาอีก “แต่ท่านบอกเองมิใช่หรือว่าจะต้องใช้คนที่มีลมปราณแกร่งกล้ามาช่วยถอนพิษให้นาง?” 


 


 


“จริงด้วย” ชายชราลูบใบหน้า “มัวแต่ดีใจจนลืมไปเสียสนิท ยาถอนพิษนี้ใช้เพื่อระงับพิษเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น แต่พิษที่อยู่ในร่างกายนั้นไม่อาจรับมือได้โดยง่าย หากยังไม่สามารถกำจัดพิษออกไปได้จนหมด ต่อไปก็อาจจะกำเริบขึ้นมาอีก เมื่อถึงตอนนั้นจะช่วยเหลือก็คงลำบากเต็มที”  


 


 


“แต่ใครเล่าจะช่วยถอนพิษให้เจาเอ๋อร์ได้” หานสือมองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกทุกข์ใจขึ้นมา 


 


 


“เฮ้อ” อวี้อาเหราถอนหายใจ สายตากวาดมองไปทางฉู่ป๋าย “พลังยุทธ์ในร่างของเจ้าก็ใช้ออกมาไม่ได้แม้แต่น้อยเชียวหรือ” 


 


 


“ใช่ได้แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” เขาตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ 


 


 


ทว่าหานสือไม่เห็นด้วย “คราวก่อนที่ซื่อจื่อช่วยเหลือคุณหนูก็ได้ใช้พลังปราณไปจนหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ก็เพียงน้อยนิด หากยังใช้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นอีกก็คงไม่อาจรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้แล้วขอรับ!” 


 


 


“เอาเถิด” อวี้อาเหราไม่พูดอะไรอีก 


 


 


นางไม่อาจให้ฉู่ป๋ายสละชีวิตตัวเองเพื่อเจาเอ๋อร์ได้ หากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับนางได้ทำลายชีวิตคนไปหนึ่งชีวิตเลยทีเดียว แม้ว่าเขาจะยอมหรือไม่ยอมช่วย แต่นางไม่มีทางยอมให้เขาทำเช่นนี้แน่ 


 


 


ส่วนเรื่องของเจาเอ๋อร์นั้น นางก็ได้ทำอย่างเต็มความสามารถแล้ว ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามบัญชาสวรรค์ก็แล้วกัน 


 


 


เมี่ยวอวี้มองทุกคนในที่แห่งนั้น จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “คุณหนู ข้าช่วยเจาเอ๋อร์ได้เจ้าค่ะ” 


 


 


“เจ้า?” อวี้อาเหราสงสัย “เจ้ามีวรยุทธ์หรืออย่างไร” 


 


 


“ข้าไม่ขอปิดบังคุณหนูแล้ว เดิมทีเมี่ยวอวี้เป็นองครักษ์ที่ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษเพื่อคุ้มครองคุณหนู แน่นอนว่าพลังยุทธ์นั้นไม่ด้อยไปกว่าองครักษ์ของเซิ่นซื่อจื่อ เชื่อว่าการช่วยเหลือเจาเอ๋อร์นั้นไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงเจ้าคะ” เมี่ยวอวี้บอกกล่าวเรื่องทั้งหมดออกมา 


 


 


อวี้อาเหราตกใจเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าคนรับใช้ข้างตัวของตนเองจะมีวรยุทธ์ด้วย เหตุใดก่อนหน้านี้นางก็ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนเลยนะ ทั้งยังเป็นองครักษ์ที่หลิงอ๋องฝึกฝนเป็นพิเศษเพื่อเอาไว้คุ้มครองอยู่ข้างกายนาง เมี่ยวอวี้ไม่เพียงเป็นแค่คนที่หลิงอ๋องส่งมาเพื่อจับตาดูนาง แต่เหตุใดนางถึงไม่บอกเรื่องจริงออกมาเล่า? 


 


 


ราวกับเมี่ยวอวี้รู้ถึงความในใจของนาง จึงตอบกลับมาว่า “หลิงอ๋องทรงเห็นว่าคุณหนูมักจะถูกลอบทำร้ายอยู่เสมอ เพราะอย่างนั้นจึงให้บ่าวทำตัวเป็นปกติ เช่นนี้จึงจะสามารถเป็นหูเป็นตาได้ ดังนั้นจึงไม่อาจบอกให้คุณหนูรู้ถึงสถานะของข้าได้เจ้าค่ะ” 


 


 


“แล้วเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน อีกทั้งยังนำยาถอนพิษของเจาเอ๋อร์มาได้ด้วย?” 


 


 


“เป็นเพราะหลิงอ๋องทรงทราบว่าคุณหนูหายไป จึงให้บ่าวแอบสะกดรอยตามมา ภายหลังจึงได้พบกับพวกต้าเว่ยที่กำลังต่อสู้พัวพันกับพวกโจรอยู่ เช่นนั้นจึงได้เข้าไปช่วย พวกเขากำลังคุมตัวโจรผู้นั้นแล้วนำตัวกลับมา แต่กลับหนีไปได้อีก ดังนั้นจึงให้บ่าวนำยาถอนพิษมาให้เจาเอ๋อร์ก่อนเจ้าค่ะ” 


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวี้อาเหราเข้าใจขึ้นมาแล้ว เมื่อคิดเช่นนี้แล้วหลิงอ๋องคงรู้เกี่ยวกับเรื่องที่นางมายังตลาดมืดนี่นานแล้วสินะ แต่เขาก็ไม่ทำลายแผนการของนาง แล้วยังให้เมี่ยวอวี้ลอบคุ้มกันนางลับๆ นางก็เข้าใจหลิงอ๋องผิดไปเสียแล้ว ไม่คิดว่าขิงนั้นยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด 


 


 


“พวกเจ้าบ่นพึมพำกันเสร็จแล้วหรือยัง นี่ก็เสียเวลามากเกินพอแล้ว ยังมีคนนอนรอความตายอยู่ตรงนี้ทั้งคนนะ พวกเจ้าไม่คิดจะสนใจกันเลยหรืออย่างไร!” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 308 ได้เงินหรืออย่างไร 


 


 


 


 


 


ชายชราที่ยืนมองอยู่ข้างๆ เริ่มทนมองไม่ไหว เช่นนั้นจึงตะคอกขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด ยื่นมือออกไปเรียกเมี่ยวอวี้เข้ามา “แม่นาง เจ้ามานี่ ข้าจะดูว่าวรยุทธ์ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง จะสามารถช่วยเหลือแม่หนูที่นอนอยู่บนเตียงได้หรือไม่” 


 


 


เมี่ยวอวี้มองไปยังอวี้อาเหรา จนกระทั่งนางพยักหน้าลงน้อยๆ เช่นนั้นจึงเดินเข้าไปหา 


 


 


ชายชราวางมือลงบนข้อมือของเมี่ยวอวี้ หลับตาลงแล้วลูบเคราไปมา ท่าทีเหมือนกับหมอจริงๆ ไม่มีผิด ในช่วงเวลานี้ใบหน้าของเขาก็ฉายรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยมือของเมี่ยวอวี้ออก “แม่หนูนางนี้ดวงยังไม่ถึงขาดจริงๆ แม่นางเมี่ยวอวี้คนนี้มีลมปราณกล้าแกร่งยิ่งนัก ดูแล้วคงจะต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยากลำบากเป็นแน่ อีกทั้งยังมีฝีมือสูงส่งกว่าเจ้าหนุ่มนักทำอาหารนั้นตั้งแยะเชียว” 


 


 


“จริงหรือ” อวี้อาเหราไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเขาเท่าไรนัก ฝีมือของเมี่ยวอวี้จะสูงกว่าหานสืออีกหรือ นี่ก็ยากที่จะเชื่อเสียจริงๆ หากบอกว่าฝีมือเหนือกว่าพวกชิงอวิ๋นก็คงพอที่จะเชื่อได้บ้าง แต่ในทางกลับกันนางก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะอย่างน้อยๆ เจาเอ๋อร์ก็จะรอดตายแล้ว 


 


 


“หากข้าหลอกเจ้าแล้วจะได้เงินหรืออย่างไร” ชายชรากลอกตาใส่นาง ก่อนจะโบกมืออย่างรำคาญ ลุกขึ้นแล้วดันร่างอวี้อาเหราให้ออกไปด้านนอก “เจ้าออกไปรอด้านนอกก่อนเถิด ให้แม่นางเมี่ยวอวี้ช่วยรักษาแม่หนูก่อน อย่าได้รบกวนเวลาคนอื่นเดินลมปราณเลย” 


 


 


อวี้อาเหราสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของชายชราโดยไม่พูดอะไรออกมา จ้องมองมือที่ยึดแขนของตัวเองไว้อย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “ปล่อยข้านะ!” 


 


 


“ปล่อยก็ปล่อยสิ เจ้าจะดุทำไมกัน?” ชายชรายังคงใช้โทนเสียงเหมือนเด็กน้อยพูดขึ้นมา มองนางด้วยหยาดน้ำตาที่คลอเบ้า เพราะหลังของเขาที่งุ้มงอ ทำให้ทุกครั้งที่อวี้อาเหรามองเขาจำต้องก้มหน้ามองเสียทุกครั้ง เมื่อเห็นว่าเขามีท่าทีเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดใจ เป็นเขาที่แกล้งนางแท้ๆ แต่เหตุใดเขาถึงชอบทำตัวเหมือนตนเองถูกรังแกตลอดเวลาด้วยนะ 


 


 


ฉู่ป๋ายและหานสือมองคนทั้งสองที่ถลึงตาใส่กันไปมา แล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา 


 


 


มุมปากของหานสือแย้มออกเป็นรอยยิ้ม “คุณหนูรอง ท่านอย่าได้ถือสาอะไรกับท่านผู้เฒ่าเลยขอรับ เขาไม่กล้าทำอะไรท่านจริงๆ หรอก หากเขากล้าที่จะทำอะไรท่านจริงๆ ก็คงจะถูกท่านเตะจนตายไปแล้ว” 


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงได้รู้นิสัยนางดีนัก” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่ป๋ายก็หรี่ตาลง 


 


 


หานสือรีบกระแอมไอออกมาทันที “มิได้ ข้าน้อยเพียงได้ยินเจาเอ๋อร์พูดขึ้นเท่านั้นขอรับ” 


 


 


“อ้อ?” ฉู่ป๋ายยังมีท่าทีไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก คิ้วของเขากระตุกยกขึ้นสูง 


 


 


“ข้าน้อยมิกล้าโกหก” เมื่อถูกสายตาเย็นชาของเขาจับจ้องเข้า ทั่วทั้งร่างของหานสือก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาในทันที ไม่รู้ว่าจะไปวางมือเท้าเอาไว้ที่ตรงไหน 


 


 


อวี้อาเหรามองมาที่พวกเขาด้วยความแปลกใจ “พวกเจ้าสองคนกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่” 


 


 


“ไม่มีอะไร” ตอนนี้เองฉู่ป๋ายถึงได้เคลื่อนย้ายสาตาไปจากร่างของหานสือ 


 


 


อวี้อาเหรายักไหล่อย่างไม่ใคร่จะสนใจนัก ไม่รู้ว่าสองนายบ่าวนี้กำลังทำอะไรกันอยู่ นางมองออกไปนอกเรือนไม้ เห็นประตูถูกปิดลง ทำให้มองไม่เห็นว่าด้านในเกิดอะไรขึ้นบ้าง ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ชายชราก็ไม่สนใจใบไม้และดินโคลน ทรุดกายนั่งลงใต้ต้นไม้แล้วรวบรวมสมาธิ 


 


 


ด้านหลังของเรือนไม้มีลำธารสายเล็กๆ บางครั้งก็ได้ยินเสียงน้ำไหลเย็นลอยเข้ามา 


 


 


นางก้าวฝีเท้า ก่อนจะเดินไปทางด้านหลังของเรือนไม้ 


 


 


เมื่อมาถึงลำธารสายเล็กนั้นก็เห็นว่ามีเศษใบไม้ลอยอยู่ด้านหน้าไม่น้อย แต่กระนั้นน้ำก็ยังใสสะอาด เมื่อมองไปที่ผิวน้ำก็สามารถมองเห็นหินใต้น้ำได้อย่างชัดเจน แม้กระทั่งกุ้งปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำก็ยังสามารถมองเห็นได้ นี่ก็ไม่ต้องกล่าวเลยว่าแม่น้ำสายนี้ใสสะอาดจนมองเห็นก้นบึ้งมากเพียงใด 


 


 


ในขณะที่นางกำลังเหม่อมองอย่างเลื่อนลอย ชั่วครู่นั้นเอง ทันใดนั้นก็มีพิราบขาวบินมาเหนือศีรษะ 


 


 


พิราบขาวลอยวนอยู่เหนือศีรษะนางไม่ยอมไปไหน นางจึงเกิดสงสัยขึ้นมา เมื่อมองไปที่ขาของพิราบอย่างพินิจ จึงได้เห็นว่ามีกระดาษชิ้นหนึ่งผูกเอาไว้ เป็นจดหมายที่ส่งมาให้นางหรือ? อวี้อาเหราคิดอย่างสงสัย แล้วจึงค่อยดึงเอากระดาษแผ่นนั้นลงมา 


ตอนที่ 309 ฟื้นแล้ว 


 


 


 


 


 


พิราบขาวหายไปในหมู่ต้นไม้ มองไม่เห็นแม้แต่เงา 


 


 


หากไม่มีกระดาษจดหมายในมือเป็นเครื่องรับประกัน นางก็คงคิดว่าพิราบขาวตัวนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาเป็นแน่  


 


 


อวี้อาเหราเปิดกระดาษออกอ่าน ถึงได้เห็นว่าเป็นชื่อที่ตัวเองไม่ต้องการเห็นมากที่สุด หนิงจื่อเย่ 


 


 


นางรีบกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง โชคดีที่ตอนนี้นางหลบอยู่ด้านหลังของเรือนไม้ แต่พวกฉู่ป๋ายและชายชราอยู่ด้านหน้า ทำให้พวกเขาย่อมมองไม่เห็นว่านางกำลังทำอะไร ในขณะที่นางถอนหายใจออกมานั้นก็พลันคลี่กระดาษออกอ่านด้วยความหนักใจ ด้านในมีตัวอักษรที่เขียนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเอาไว้  


 


 


‘ใช้โอกาสตอนที่อยู่ในตลาดมืดนี้ ฆ่าฉู่ป๋ายเสีย’  


 


 


ตัวอักษรง่ายๆ เพียงไม่กี่ตัว กลับกลายเป็นคำสั่งคร่าชีวิตของคนคนหนึ่งไปเสียได้ 


 


 


อวี้อาเหราพลันเข้าใจขึ้นมาได้ในทันที ที่แท้หนิงจื่อเย่ก็รู้อยู่แล้วว่านางอยู่ที่ตลาดมืด แต่เขารู้ร่องรอยของนางได้อย่างไรเล่า? อีกอย่าง หากคนของเขาตามอยู่ข้างกายของนางตลอดเวลา เหตุใดนางถึงไม่รู้ตัวเลย… 


 


 


ในเมื่อต้องการให้นางสังหารฉู่ป๋ายในตลาดมืดแห่งนี้ ถ้าหากออกไปจากตลาดมืดแห่งนี้แล้วทำไม่สำเร็จ ผลที่ตามมาเล่าจะเป็นเช่นไร? 


 


 


หรือว่าเขาจะเปิดโปงสถานะอันจอมปลอมของนาง? หากเป็นเช่นนั้นจริง เมื่อกลับเฟิ่งเฉิงก็เท่ากับเดินเข้าสู่กับดักด้วยตัวเองชัดๆ! 


 


 


นางควรจะทำอย่างไรดี? จะต้องสังหารฉู่ป๋ายเพื่อรักษาสถานะของตัวเอง หรือจะยอมเผชิญหน้ากับภัยอันตรายโดยไม่ยอมฆ่าผู้บริสุทธิ์ สิ่งที่ยากที่สุดในตอนนี้ก็คือนางจะสังหารฉู่ป๋ายได้อย่างไร ข้างกายของเขายังมีหานสือคอยคุ้มครองอยู่ อีกทั้งยังไม่รู้เลยว่าตัวเขานั้นมีคนที่คอยคุ้มกันอีกกี่คน หากนางตัดสินใจที่จะฆ่าเขาขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะรับมือได้หรือไม่ 


 


 


สุดท้าย อย่างไรเสียก็จบไม่สวยสักทาง 


 


 


นี่เป็นจุดที่ยากลำบากที่สุดแล้ว 


 


 


นางนั่งลงข้างลำธาร มองผิวน้ำที่ไหลเอื่อยๆ อย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จะสังหารหรือไม่สังหารก็ล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาทั้งนั้น ทุกวันนี้เรื่องทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับนางเลย ทันใดนั้นนางก็นึกถึงจุดมุ่งหมายที่มายังตลาดมืดได้ นางมาเพื่อค้นหานักพรตเพื่อที่จะได้รู้เรื่องหยกเลือดและความลับในการย้อนอดีตมิใช่หรือ? 


 


 


หากสามารถตามหาตัวนักพรตคนนั้นได้ เช่นนั้นจะสามารถไขปริศนาทุกอย่างได้หรือไม่… 


 


 


“คุณหนู” ในขณะที่นางกำลังตกอยู่ในห้วงของความคับข้อง ทันใดนั้นที่ด้านหลังก็มีเงาร่างร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมา 


 


 


อวี้อาเหราตกใจเสียจนสะดุ้ง แต่เมื่อหันกลับไปเห็นเป็นเมี่ยวอวี้จึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมา เพียงแต่ว่านางยังคงลังเลอยู่เล็กน้อย จากนั้นจึงฉีกกระดาษในมือเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและโยนลงไปในลำธาร เมื่อสายตาเห็นว่ากระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยหายไปในน้ำ นางจึงค่อยเผยยิ้มออกมา “เจาเอ๋อร์ฟื้นแล้วหรือ”  


 


 


โชคดีที่ไม่ใช่ฉู่ป๋าย มิเช่นนั้นนางคงได้ตกใจเสียยิ่งกว่านี้แน่ 


 


 


เมี่ยวอวี้ตอบกลับมาว่า “เจาเอ๋อร์ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ เชิญคุณหนูไปดูนางเถิด” 


 


 


“ตกลง” อวี้อาเหรารับคำ ก่อนจะก้าวเท้าเดินนำหน้าไป 


 


 


เมี่ยวอวี้กำลังคิดจะเดินตามไป แต่ฝีเท้ากลับชะงักลง แล้วถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “คุณหนู เหตุใดจู่ๆ บ่าวถึงได้กลิ่นน้ำหอมบางๆ มาจากกายของท่านเล่าเจ้าคะ เมื่อครู่นี้ก็เหมือนจะไม่ได้กลิ่น…” 


 


 


“จริงหรือ” อวี้อาเหราก้มลงดมกลิ่นของตัวเอง กลับไม่เห็นว่าจะได้กลิ่นอะไร แต่นางก็ยังไม่วางใจ “ไม่เห็นมีกลิ่นหอมอะไรเลยนี่ เจ้าคิดไปเองหรือเปล่า” 


 


 


“อาจจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” 


 


 


ทั้งสองเดินไปด้านหน้า ชายชรา ฉู่ป๋ายและหานสือต่างก็เข้าไปในเรือนแล้ว หลังจากที่อวี้อาเหราเดินเข้าไป เมื่อนางเห็นเจาเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนเตียงก็ยินดีขึ้นมา จึงลึมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไปชั่วขณะ 


 


 


เจาเอ๋อร์ดึงมือของนางด้วยความยินดี “คุณหนู บ่าวยังคิดว่าจะไม่พบท่านอีกแล้วเจ้าค่ะ!” 


 


 


“ได้อย่างไรกัน” ใบหน้าของอวี้อาเหราเผยยิ้มบาง “คุณหนูของเจ้าไม่ปล่อยให้เจ้าตายเปล่าแน่ รออีกสักครู่ พวกต้าเว่ยก็จะลากตัวแม่นางเซียวน่าตายผู้นั้นกลับมา ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าเอง!” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 310 กินข้าวต้องจ่ายเงิน 


 


 


 


 


 


“ขอบพระคุณคุณหนูเจ้าค่ะ” เบ้าตาของเจาเอ๋อร์แดงก่ำ ร่างกายพลันอ่อนแรงขึ้นมาก 


 


 


อวี้อาเหราประคองให้นางเอนตัวนอนลง “เจ้าพักผ่อนเสียเถิด รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีๆ โชคดีที่รอยแผลที่หัวไหล่ไม่ค่อยหนักเท่าใด เพียงแค่ต้องพิษเท่านั้น ตอนนี้เมี่ยวอวี้ได้ช่วยขจัดพิษให้เจ้าแล้ว นี่ก็ค่อยวางใจหน่อย” 


 


 


“เจ้าค่ะ บ่าวทราบแล้ว” เจาเอ๋อร์พยักหน้าลง แล้วถึงได้มองเมี่ยวอวี้เสียใหม่ คิดที่จะอ้าปากขึ้น ทว่าผ่านไปนานจึงค่อยรวบรวมคำพูดออกมาจากปากได้ “ขอบคุณเจ้ามากนะ” 


 


 


“ไม่เป็นไร” เมี่ยวอวี้ส่ายหน้า  


 


 


อวี้อาเหราเห็นว่านางเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากขึ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ในใจของนางก็ยินดียิ่งนัก 


 


 


รอจนกระทั่งเจาเอ๋อร์นอนหลับไปอย่างวางใจแล้ว ชายชราจึงมองไปยังคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ “วันนี้ทุกคนต่างก็เหนื่อยกันมากแล้ว ตามข้าไปทานข้าวร่ำสุรากันด้านนอกเถิด ข้ากำลังรอให้บางคนเตรียมอาหารให้ข้าอยู่” 


 


 


ความนัยของคำพูดนี้ แน่นอนว่าเขาพูดถึงอวี้อาเหราอย่างไม่ต้องสงสัย 


 


 


“ท่านจะรีบร้อนไปทำไมกัน คิดว่าข้าจะหลอกท่านหรืออย่างไร” อวี้อาเหราหันกลับไปสั่งหานสือ “เจ้าไปเตรียมเหล้าและอาหารเถิดไป เตรียมอาหารให้ท่านผู้เฒ่ามากสักหน่อย เขาจะได้ไม่พูดว่าข้ารังแกเขาอีก” 


 


 


“…ขอรับ ข้าน้อยรับคำสั่ง” หานสือมองไปทางซื่อจื่อของตนเอง แล้วจึงทำได้เพียงรับคำสั่ง 


 


 


หานสือกำลังจะหมุนกายเพื่อจากไป แต่กลับถูกอวี้อาเหราร้องเรียกเอาไว้ก่อน นางมองไปทางชายชราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้ามอบเงินทั้งหมดของข้าให้ท่านไปแล้ว หากท่านไม่จ่ายเงินแล้วใครจะซื้ออาหารและสุราให้ท่านกัน จ่ายมาสิ” 


 


 


คนทั้งหมดรู้สึกขบขัน ต่างพากันคิดว่าคุณหนูรองนั้นอย่างไรแล้วก็ไม่ยอมเสียเปรียบแน่ๆ  


 


 


ชายชราโกรธจนถลึงตา “เจ้าให้ข้าแล้วก็ให้เลยสิ เหตุใดข้าจะต้องจ่ายเงินซื้อข้าวปลาอาหารให้เจ้าด้วย” 


 


 


“ก็เพราะว่าท่านอยากทานอย่างไรเล่า” อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้น แสดงท่าทีวางอำนาจขึ้นมาทันที ที่นี่ไม่ใช่ตลาด นางนึกอยากจะรังแกตาเฒ่าผู้นี้แค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวโดนผู้อื่นตำหนิ แม้ฉู่ป๋ายคิดจะเอ่ยปากสอดขึ้นมานางก็ไม่กลัว และหานสือกับเมี่ยวอวี้ก็ไม่กล้าขัดนางอยู่แล้ว 


 


 


ชายชราเห็นว่านางไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นจึงจำต้องควักเงินที่อยู่ในอกออกมาแต่โดยดี ที่กล่าวกันว่าลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ ก็คงเป็นไปตามนั้น ชายชราคนนี้ช่างอ่านสถานการณ์เก่งยิ่งนัก! 


 


 


อวี้อาเหราแกล้งปั่นประสาทเขาสักครู่เพื่อให้จิตใจชื่นบาน จากนั้นจึงโยนถุงเงินให้กับหานสือ แล้วสั่งให้เขาไปซื้อสุราและอาหารมา 


 


 


หานสือมองเงินในมืออย่างจนใจ ที่นี่ก็มีเสบียงอาหารน้อยยิ่งนัก ราคาจึงแพงกว่าในตัวเมืองเฟิ่งเฉิงหลายเท่าตัว คุณหนูรองให้เพียงเศษเงินเท่านี้ คงจะพอซื้อได้เพียงน่องไก่สองน่องเท่านั้น 


 


 


ชายชราจ่ายเงินที่เม้มมาได้อย่างยากลำบาก ภายในใจเต็มไม่ด้วยความโกรธเคือง แล้วเดินเข้าไปในป่าอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก แม้จะมองเห็นเพียงหลังโก่งๆ ของเขาก็สามารถมองเห็นถึงสีหน้าโกรธเคืองเพียงใด ในใจคงกำลังด่าทออวี้อาเหราเป็นแน่ 


 


 


เมี่ยวอวี้มองพวกเขาเล็กน้อย “คุณหนู เซิ่นซื่อจื่อ พวกท่านพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ บ่าวจะเข้าไปดูเจาเอ๋อร์ในห้องเอง” 


 


 


“ไปเถิด” อวี้อาเหราโบกมือ 


 


 


บริเวณนอกเรือนนั้นจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคน ที่ยืนฟังเสียงใบไม้กระทบกันอย่างเงียบสงบ 


 


 


อวี้อาเหราปรายตามองเขาอย่างไม่ใส่ใจนัก “ถือโอกาสที่หานสืออกไปซื้อสุราและอาหาร เจ้ายังอยากให้ข้าไปเก็บสมุนไพรเป็นเพื่อนเจ้าหรือไม่” 


 


 


“ไม่ต้องหรอก พรุ่งนี้ก่อนค่อยว่ากันเถิด” ฉู่ป๋ายมองท้องฟ้า จึงรู้ว่าใกล้จะค่ำแล้ว ในเวลาป่านนี้จะออกไปหาสมุนไพรได้หรืออย่างไร  


 


 


“ก็ได้” อวี้อาเหราพยักหน้าลง 


 


 


ฉู่ป๋ายมองนาง เมื่อได้กลิ่นหอมบางเบาก็มั่นใจว่าลอยออกมาจากตัวนางไม่ผิดแน่ ดวงตาดำขลับส่องประกายวาววับ ราวกับมีดวงดาวทั้งหมดบนท้องนภากำลังส่องสว่างอยู่ภายในดวงตาคู่นั้น ดวงตาที่สุกสกาวเช่นนี้คงจะไม่มีท้องฟ้าที่ไหนที่จะส่องสว่างได้เท่าดวงตาของเขาอีกแล้ว 


ตอนที่ 311 ใครไม่อยากได้กัน 


 


 


 


 


 


ลมหนาวพัดเข้ามา เสียงไอเบาๆ อย่างอ่อนแรงของเขาดังขึ้น ทำให้อวี้อาเหราต้องหันไปมอง “เจ้าเป็นอะไรไป” 


 


 


“ไม่เป็นอะไร ข้าเพียงแต่แต่ไอเล็กน้อยเท่านั้น” ฉู่ป๋ายส่ายหน้า 


 


 


ทันทีที่วาจานั้นจบลง พวกต้าเว่ยและชิงอวิ๋นก็ลากตัวแม่นางเซียวกลับมาได้แล้ว 


 


 


แม่นางเซียวถูกเชือกมัดตัวเอาไว้จนแน่นหนาไม่อาจสลัดได้หลุด ดวงตาฉายแววโกรธเคืองจ้องมองมาที่อวี้อาเหรา ในปากของนางมีผ้าชิ้นใหญ่อุดเอาไว้ กันไม่ให้นางพูดจาส่งเดช และก็คงเป็นเพราะผ่านการต่อสู้มา เสื้อผ้าของพวกเขาขาดวิ่นอยู่หลายจุด ไม่ว่าใครก็ล้วนดูสะบักสะบอม โดยเฉพาะแม่นางเซียวนั้น นางเพียงคนเดียวก็ไม่อาจสู้พวกต้าเว่ยได้เลย หากไม่ใช่ว่ามีพัดเคลือบยาพิษและผงพิษ นางก็คงโดนจับเสียนานแล้ว  


 


 


“คุณหนู จับตัวกลับมาได้แล้วขอรับ” ชิงอวิ๋นก้าวเข้ามารายงาน 


 


 


อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้น มองฉู่ป๋ายครู่หนึ่งแล้วจึงเบนสายตากลับมา “นำตัวมา” 


 


 


นางนั้นไม่ใช้คนกระจอกที่จะสามารถจัดการได้ง่ายๆ และแม่นางเซียวยังกล้าที่จะลงมือกับคนของนางจนได้รับบาดเจ็บ อย่างไรเสียก็คงไม่มีทางปล่อยตัวอีกฝ่ายไปได้ง่ายๆ แน่ 


 


 


ต้าเว่ยนำตัวนางเข้ามา มองมาที่อวี้อาเหรา “คุณหนู จะจัดการกับนางอย่างไรดีขอรับ” 


 


 


“ไม่ต้องรีบร้อน” อวี้อาเหราโบกมือ ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้น “เหตุใดเจ้าจำต้องชิงหยกเลือดของข้าด้วย” 


 


 


“เหตุใดน่ะหรือ” เมื่อแม่นางเซียวได้ยินเข้าก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย “เหตุใดข้าจึงต้องการแย่งชิงหยกเลือดของเจ้าน่ะหรือ? หยกเลือดนั้นเป็นสมบัติล้ำค่า มีมูลค่ามากมายมหาศาล ต้องโทษตัวเจ้าเองที่ใส่ของดีขนาดนั้นแล้วเดินร่อนไปทั่วทั้งเมือง ที่จริงแล้วข้าก็นึกอยากจะเอาเงินเจ้าเท่านั้น แต่ของมีค่าที่ชุบชีวิตคนตายช่วยเหลือคนเป็นเช่นนั้นเป็นใครจะไม่อยากได้บ้าง? หึ จะฆ่าจะแกงก็เชิญเลย ข้าไม่มีอะไรจะพูดอยู่แล้ว!” 


 


 


ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องประทินโฉมเลอะเทอะนั้นทำเอาคนที่มองเห็นต้องย่นจมูกแล้วเบือนหน้าหนี น้ำเสียงของนางไม่หลงเหลือความอ่อนโยนเหมือนก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย กลับเต็มไปด้วยท่าทีเยาะเย้ยเหยียดหยัน 


 


 


ถือว่านางเป็นคนที่กล้าหาญมากคนหนึ่ง ที่กล้ากล่าววาจาเช่นนี้ต่อหน้าอวี้อาเหราโดยไม่กลัวตายได้ 


 


 


“หุบปาก!” ต้าเว่ยตะคอกใส่ด้วยโทสะ 


 


 


แม่นางเซียวไม่สนใจเขา “ครั้งนี้ถือว่าเจ้ามีคนมากกว่าถึงสามารถจับตัวข้าได้ มิเช่นนั้นไหนเลยข้าจะยอมตกอยู่ในกำมือของเจ้าโดยง่ายเล่า” 


 


 


เมื่อได้ยินนางพูดขึ้นด้วยความมั่นใจเช่นนี้ อวี้อาเหราจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แล้วอดไม่ได้ที่จะแทรกคำพูดอวดอ้างตัวเองของนางเสีย “พวกเรามีคนมาก เรื่องนี้ไม่ปฏิเสธแม้แต่น้อย แต่เจ้าเองก็มีคนในมือเยอะแยะมิใช่หรือ ทั้งยังใช้พัดอาบยาพิษทำร้ายสาวใช้ของข้าจนได้รับบาดเจ็บ และยังจะใช้ผงพิษทำร้ายพวกเราเกือบตาย ใครกันแน่ที่น่าสงสาร?” 


 


 


เมื่อพูดเช่นนี้แม่นางเซียวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ทำได้แต่เพียงแสดงท่าทีอึกอักพูดไม่ออกเท่านั้น 


 


 


อวี้อาเหราถามต่อไปว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าหยกเลือกเป็นสมบัติล้ำค่า แล้วเจ้าไปรู้มาจากที่ใดกัน” 


 


 


“ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย” แม่นางเซียวแค่นจมูก 


 


 


“ก็เพราะตอนนี้เจ้าตกอยู่ในกำมือของข้าอย่างไรเล่า ยังมีคำกล่าวที่ว่ากล้าพนันก็ต้องกล้าที่จะยอมแพ้มิใช่หรือ? ในเมื่อเจ้าแพ้ให้กับคนของข้า ก็เท่ากับแพ้ให้กับข้า บอกความจริงกับข้ามาดีๆ เถิด มิเช่นนั้นหากข้าใจร้ายขึ้นมา ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเล่า” ยามที่พูดคุยกันนั้นน้ำเสียงของอวี้อาเหราก็ได้เปลี่ยนไปเป็นดุดันขึ้นมา โดยเน้นย้ำทุกคำที่พูด ราวกับมิใช่คนเดียวกันกับคนที่มีท่าทีง่ายๆ สบายๆ ก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย 


 


 


แม่นางเซียวก็ตื่นตระหนกกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของนาง จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ไม่รู้ก็คือไม่รู้ เจ้าบังคับถามข้าอย่างไรข้าก็ไม่บอก หากเจ้ามีความสามารถจริงก็ฆ่าข้าเสียซี แต่อย่างไรข้าก็ไม่บอกเจ้า ดูสิว่าเจ้าจะทำอย่างไรกับข้าได้” 


 


 


“ทำอะไรเจ้าได้หรือ” อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้น ก้มลงไปเล่นกับปอยผมที่เคลียอยู่บนช่วงอก โดยใช้นิ้วมือม้วนเล่นอย่างไม่ตั้งใจ น้ำเสียงที่ออกมาจากปากฟังดูนิ่งๆ ฟังไม่ออกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ยินดีหรือโกรธเคืองกันแน่ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 312 มนุษย์สุกร 


 


 


 


 


 


“เมื่อก่อนข้าเคยอ่านหนังสือหนึ่งเล่ม เป็นเรื่องราวของฮองเฮาพระองค์หนึ่งที่เจ็บแค้นพระสนมที่เกือบจะแย่งตำแหน่งรัชทายาทของโอรสพระองค์ไป ดังนั้นรอจนกระทั่งโอรสของนางได้สืบทอดตำแหน่งแล้ว นางจึงนำพระสนมพระองค์นั้นไปตัดมือ ตัดเท้า ตัดหู จับกรอกยา จากนั้นจึงขังเอาไว้ในกองอาจม จึงเรียกว่ามนุษย์สุกร…” 


 


 


อวี้อาเหราอธิบายเรื่องวิธีการประหารที่เรียกว่ามนุษย์สุกรจากประวัติศาสตร์ของลู่ไทเฮาและพระสนมฉีฟู่เหริน น้ำเสียงของนางเรียบนิ่งและเย็นชา และเมื่อรวมกับสายลมเย็นเฉียบที่พัดผ่านทางด้านหลัง ก็ช่างทำให้รู้สึกขนลุกยิ่งนัก จนแทบเดาไม่ออกเลยว่าคนที่ถูกลงโทษเหล่านั้นจะรู้สึกอย่างไร 


 


 


แม้แต่ชิงอวิ๋นที่เป็นชายหนุ่มร่างใหญ่ก็ยังกัดริมฝีปากด้วยใบหน้าขาวซีด “คุณ…คุณหนู เป็นเรื่องจริงหรือขอรับ เหตุใดข้าน้อยไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” 


 


 


“แน่นอนว่าจริงสิ เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครเคยได้ยินก็เท่านั้น” หลังจากที่อวี้อาเหราพูดจบ นางก็มองไปยังแม่นางเซียวอีกครั้ง “ว่าอย่างไรเล่า อยากลองความเจ็บปวดของมนุษย์สุกรดูหรือไม่ จะทำให้เจ้าตายทั้งเป็นเลยทีเดียว” 


 


 


“เจ้าช่างโหดร้ายยิ่งนัก!” แม่นางเซียวตกใจเสียจนหน้าขาวซีด เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ใบหน้าก็ยิ่งซีดเผือดราวกับกระดาษไม่มีผิด แม้แต่เครื่องสำอางหนาหนักบนใบหน้าก็ไม่อาปิดบังน้ำเสียงที่สั่นเทาของนางได้ 


 


 


“ข้าโหดร้ายหรือ? ข้าไม่เห็นจะรู้สึกเช่นนั้นเลย หลังจากที่ข้าประหารเจ้าด้วยวิธีมนุษย์สุกรแล้ว ค่อยเอาน้ำผึ้งทา ให้งูและเหล่าหนอนแมลงต่างๆ ค่อยๆ กัดกินร่างกายของเจ้าจนสิ้น รสชาติเช่นนี้สิถึงจะเรียกว่าน่าเวทนาอย่างแท้จริง” อวี้อาเหราก้มตัวลงเล็กน้อย จ้องมองหน้าอกที่ล้นทะลักโอฬารของนางอย่างพินิจพิเคราะห์ หัวเราะเสียงต่ำ “สะสวยถึงเพียงนี้ หากถูกงูกินก็คงจะน่าเสียดายแย่…” 


 


 


ระหว่างที่นางกำลังพูดอยู่นั้น ฉู่ป๋ายที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ไม่อาจทนมองได้อีก ทันใดนั้นเองก็ยื่นมือออกไปดึงมือของนางเอาไว้ น้ำเสียงนิ่งสงบ ทว่าดวงตาที่มองมายังนางกลับดูเหนื่อยหน่ายเป็นอย่างมาก “เจ้าเล่นสนุกพอหรือยัง” 


 


 


อวี้อาเหราเดิมทีก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก นางนั้นกำลังเขียนเสือให้วัวกลัว ทว่ากลับถูกฉู่ป๋ายที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ขัดจังหวะเสียได้ เมื่อปรายตาไปมองสีหน้าไม่สู้ดีของเขาแล้ว ความโกรธเคืองก็ค่อยๆ สลายหายไป นางยอมหุบปากลงแต่โดยดี แล้วถอยหลังไป “สนุกพอแล้ว” 


 


 


นางควรจะเป็นคนที่ดูน่ากลัวแท้ๆ ทว่าเมื่อได้เห็นสีหน้าของฉู่ป๋ายแล้ว ก็จำต้องล่าถอยไป 


 


 


เช่นนั้นชิงอวิ๋นจึงค่อยถอนหายใจออกมา เขานึกว่าคุณหนูของตนจะทรมานแม่นางเซียวด้วยวิธีการมนุษย์สุกรจริงๆ เสียแล้ว อย่างไรเสียคนที่ออกปากน่ะเป็นนาง แต่คนที่ลงมือทำนั้นเป็นพวกเขาที่เป็นคนใต้บัญชา เพียงได้ยินนางบรรยายถึงวิธีการลงโทษ ก็ยิ่งไม่อยากจะลงมือทำด้วยตัวเอง… 


 


 


เมื่อได้ยินว่านางล้อเล่น แม่นางเซียวก็กลืนน้ำลาย 


 


 


ฉู่ป๋ายเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปได้ดีแล้ว เช่นนั้นจึงเอ่ยปากกับอวี้อาเหราว่า “ต่อไปนี้เจ้าก็จัดการเองก็แล้วกัน” 


 


 


“อืม” อวี้อาเหาก้าวไปข้างหน้า ใบหน้าไม่ปรากฏรอยยิ้มยินดีเลยแม้แต่น้อย “แม่นางเซียว ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้ารู้เรื่องหยกเลือดได้อย่างไรกัน หากยังเฉไฉไม่ยอมบอกความจริงกับข้า ข้าก็จะลงโทษเจ้าด้วยวิธีมนุษย์สุกรจริงๆ!” 


 


 


“…” แม่นางเซียวลังเลไปชั่วครู่ “ข้าเคยได้ยินนักพรตคนหนึ่งพูดถึงโดยบังเอิญ” 


 


 


“นักพรต? นักพรตคนไหน เจ้าเคยเห็นเขาหรือ” คำถามรัวเร็วสามชุดพุ่งเข้าหามาอีกฝ่าย ชั่วขณะนั้นเหมือนอวี้อาเหราค้นพบอะไรบางอย่าง จึงรีบถามขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น ในเมื่อรู้เรื่องหยกเลือดอย่างละเอียดขนาดนี้ ก็จะต้องมีความสัมพันธ์กับนักพรตอย่างไม่ต้องสงสัย! 


 


 


พวกของชิงอวิ๋นและต้าเว่ยมองไปที่นางอย่างมึนงง ล้วนไม่เข้าใจว่านักพรตที่นางพูดถึงนั้นคือเรื่องอะไรกันแน่ 


 


 


ฉู่ป๋ายเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง เขาจึงมองไปยังแม่นางเซียวด้วยความสงสัย แววตาฉายแววพินิจพิเคราะห์ 


 


 


แม่นางเซียวหลุบตาลงต่ำ “เคยพบ” 


ตอนที่ 313 ไร้ยางอาย 


 


 


 


 


 


“เช่นนั้นแล้วเขามีหน้าตาอย่างไรกัน แล้วแต่งกายเช่นไร เจ้าพบเขาที่ไหน” อวี้อาเหราถามขึ้นอย่างร้อนใจ  


 


 


ทุกคนมองนางด้วยสายตาแปลกประหลาด คุณหนูรองจะสนใจนักพรตผู้นี้ไปทำไมกัน 


 


 


“เห็นที่ตลาดมืดนี่ละ ตอนนั้นเขาสวมหน้ากากอยู่จึงทำให้มองไม่เห็นใบหน้า รูปร่างสูงใหญ่เป็นอย่างมาก สวมชุดสีน้ำเงินอันเป็นเครื่องแบบของนักพรต ในมือยังถือแส้เอาไว้หนึ่งด้าม ได้ยินเขากำลังสนทนากับคนผู้หนึ่งอยู่อย่างไม่ตั้งใจ แล้วพูดถึงเรื่องหยกเลือดขึ้นมา ถึงได้รู้ว่าในโลกนี้ยังมีของล้ำค่าเช่นนี้อยู่” แม่นางเซียวนึกย้อนกลับไป 


 


 


“แล้วคนที่เขากำลังพูดคุยด้วยนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไรกัน” อวี้อาเหราซักถามต่อ 


 


 


“คนที่เข้ามาในตลาดมืดล้วนแล้วแต่สวมหน้ากากทั้งนั้น ไหนเลยจะรู้ว่ามีหน้าตาอย่างไร” แม่นางเซียวกลอกตา ราวกับกำลังตำหนิว่าคำถามของนางช่างโง่เง่านัก 


 


 


“เจ้า…” อวี้อาเหราที่ความโกรธกำลังพวยพุ่ง รีบสะกดกั้นความโกรธลงไปตามเดิม “ถ้าเช่นนั้นเขาสวมเสื้อผ้าแบบไหน เจ้าก็คงจะบอกได้ใช่หรือไม่” 


 


 


“ข้าไม่รู้ ผ่านมานานหลายปีแล้ว นอกจากนักพรตผู้นั้นที่อยู่ในความทรงจำลึกซึ้งแล้ว ข้าต้องจำคนอื่นด้วยหรืออย่างไร” หลังจากที่แม่นางเซียวตอบคำถาม นางก็เงยหน้าขึ้นมา “ข้าบอกเรื่องที่ข้ารู้ให้กับเจ้าฟังจนหมดแล้ว เจ้ายังต้องการอะไรอีก” 


 


 


“ก็ไม่ต้องการอะไร” อวี้อาเหราถามสิ่งที่ตัวเองอยากรู้จนหมดแล้ว ก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะรั้งตัวแม่นางเซียวคนนี้เอาไว้อีก เช่นนั้นจึงค่อยหันไปสั่งการกับพวกต้าเว่ย “พวกเจ้าก็ดูแล้วกันว่าควรจะจัดการนางอย่างไร ไม่ต้องถามความเห็นของข้าแล้ว” 


 


 


“เจ้าคนตระบัดสัตย์! ข้าบอกเรื่องที่ข้ารู้จนหมดแล้วเจ้ายังไม่ปล่อยข้าอีกหรือ!” แม่นางเซียวดวงตาแดงก่ำ 


 


 


อวี้อาเหราหันกลับมามองนางเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าจึงเรียกข้าว่าคนตระบัดสัตย์? ข้าก็ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะปล่อยเจ้าไป แล้วข้าจะตระบัดสัตย์ได้อย่างไรกัน ต้าเว่ย คุมตัวนางเอาไว้ รอจนเจาเอ๋อร์ฟื้นแล้วค่อยให้นางจัดการด้วยตัวเอง ให้นางได้รู้ว่าคนที่รังแกคนของข้าจะต้องเจอกับอะไร” 


 


 


“ไร้ยางอาย!” แม่นางเซียวนิ่งงันไปสักครู่จากนั้นจึงค่อยพ่นคำพูดออกมา ราวกับหมดคำจะพูดกับการกระทำของอวี้อาเหราเต็มที จนไม่รู้ว่าจะใช้คำใดในการด่าว่านาง 


 


 


“หุบปาก! หากเจ้ายังด่าคุณหนูของข้าอีก ข้าจะตัดลิ้นเจ้าออกมาเสีย!” ต้าเว่ยควบคุมมือเท้าของนางที่กำลังขัดขืนอยู่อย่างทันเวลาพอดี แล้วจึงแค่นเสียงด่าทออย่างอารมณ์ไม่ดี ทว่าท่าทีของแม่นางเซียวนั้นดูอ่อนลงผิดไปจากเมื่อครู่ แล้วพยายามหลบหนีจากการควบคุมตัวของคนของต้าเว่ย พูดกับอวี้อาเหราขึ้นว่า “ข้ามีเรื่องที่จะต้องคุยกับเจ้าเพียงลำพัง” 


 


 


“มีเรื่องอะไรเจ้าก็พูดออกมาเสียตอนนี้” อวี้อาเหรากวาดตามองอย่างเรียบๆ 


 


 


“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก หากเจ้าไม่สนใจว่าจะมีคนมากมายได้ยิน ข้าก็จะไม่สนใจเช่นกัน เจ้าจะฟังหรือไม่” แม่นางเซียวยิ้มลึกล้ำ ราวกับกำลังจะเอ่ยถึงความลับอันยิ่งใหญ่ออกมา 


 


 


“มีเรื่องอะไรที่จะต้องใส่ใจ” อวี้อาเหราถามกลับอย่างไม่แยแส เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของนางเช่นนั้น ในใจก็เริ่มจะสงสัยขึ้นมา นางมองไปยังฉู่ป๋าย เมื่อเห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไร ก็หันไปหาต้าเว่ย “เจ้าพานางไปยังด้านหลังของเรือนไม้ก่อนเถิด ข้าก็อยากรู้นักว่านางจะพูดเรื่องอะไร” 


 


 


“หญิงผู้นี้เป็นผู้ใช้พิษ หากต้องอยู่กันตามลำพัง ข้าน้อยเกรงว่านางจะทำร้ายคุณหนูเข้า…” ต้าเว่ยไม่วางใจ พวกเขานั้นตามไล่จับมาเป็นเวลานาน หากปล่อยให้นางอยู่ร่วมกับคุณหนูกันตามแต่ลำพัง จะต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่ 


 


 


“ไม่เป็นไร พานางไปเถิด แล้วมัดนางเอาไว้ให้แน่น จะได้ไม่ต้องกลัวว่านางจะหนีไปไหนอีก”  


 


 


 


 


 


ตอนที่ 314 เม่ยเก๋อ 


 


 


 


 


 


น้ำเสียงของนางนั้นฟังดูสบายๆ แต่กลับแฝงไปด้วยท่าทีสงสัย เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ พวกต้าเว่ยก็ไม่กล้าที่จะชักช้า รีบพานางไปยังด้านหลังของเรือนไม้ จากนั้นจึงค่อยถอยออกไป 


 


 


เมื่ออวี้อาเหราเห็นว่าพวกเขาจากไปแล้ว เช่นนั้นค่อยมองไปยังแม่นางเซียว น้ำเสียงเข้มงวดเอ่ยเตือนขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรก็รีบพูดมา ข้าไม่มีเวลามาฟังเจ้าพูดพล่ามถึงเพียงนั้น หากคิดจะหนี ก็อย่าคิดว่าข้านั้นจะยอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆ!” 


 


 


“ข้าไม่ได้คิดจะหนี” แม่นางเซียวส่ายหน้าอย่างขบขัน 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอะไร” อวี้อาเหราไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ 


 


 


แม่นางเซียวเม้มริมฝีปาก “เจ้าเป็นคนของเม่ยเก๋อใช่หรือไม่” 


 


 


“เจ้าพูดเรื่องอะไร” สายตาของอวี้อาเหราแฝงความตื่นตกใจเอาไว้ นางนั้นไม่ใช่คนของสำนักเม่ยเก๋อเสียหน่อย เพียงแต่ตอนนี้นางทำงานให้กับหนิงจื่อเย่เท่านั้น แต่เหตุใดแม่นางเซียวผู้นี้ถึงรู้ว่านางนั้นมีความสัมพันธ์กับเม่ยเก๋อ? 


 


 


“อย่าเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไปหน่อยเลย ดูท่าคนข้างนอกพวกนั้นคงจะไม่รู้กันสินะ…” แม่นางเซียวไม่สนใจคำถามของนาง ยังคงตั้งใจที่จะพูดเสียงเนิบๆ ราวกับเรื่องทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนางเลยแม้แต่น้อย  


 


 


อวี้อาเหราขยับเข้าไปใกล้อีกก้าว ทว่ายังคงไม่ยอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้าจะไปเกี่ยวข้องกับเม่ยเก๋อได้อย่างไรกัน เหลวไหลยิ่งนัก!” 


 


 


“เหลวไหลงั้นหรือ?” แม่นางเซียวทำราวกับเพิ่งจะได้ยินเรื่องตลกที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา พูดขึ้นเน้นย้ำทีละคำ “ไม่ต้องยอมรับก็ได้ ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าคือคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋อง ผู้ซึ่งเพิ่งจะทำงานให้กับเจ้าสำนักเมื่อหลายวันก่อนใช่หรือไม่ ได้ยินมาว่าคำสั่งของเจ้าคือการสังหารเซิ่นซื่อจื่อ และชายหนุ่มที่สวมอาภรณ์สีขาวที่ยืนอยู่ด้านนอกนั้นก็คงจะเป็นเซิ่นซื่อจื่อสินะ หากเขารู้ถึงจุดประสงค์ของเจ้าแล้วจะมีท่าทีอย่างไรกันเล่า” 


 


 


“เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงรู้เรื่องพวกนี้?” อวี้อาเหราตกใจ นางไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น และสำนักเม่ยเก๋อเองก็คงจะไม่ยอมแพร่งพรายความลับให้กับคนนอกได้รู้โดยง่ายเป็นแน่ เพราะฉะนั้นแล้ว แม่นางเซียวรู้ได้อย่างไรกัน หรือว่า… 


 


 


แม่นางเซียวพยักหน้าลง “ไม่ผิด เจ้าเดาไม่ผิดหรอก ข้าคือคนของเม่ยเก๋อ” 


 


 


“เจ้าน่ะหรือ” อวี้อาเหราพยายามที่จะควบคุมตัวเองให้สงบลง “ในเมื่อเจ้าเป็นคนของสำนักเม่ยเก๋อ แล้วเหตุใดถึงได้มาเป็นโจรปล้นชิงอยู่ในตลาดมืดแห่งนี้ อีกอย่างเจ้ามองข้าออกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” 


 


 


แม่นางเซียวไม่มีทางเคยพบนางมาก่อนแน่ และยิ่งไม่มีทางที่จะรู้จักนางตั้งแต่พบหน้าได้ ก่อนหน้านี้นางก็รู้สึกไม่คุ้นหน้าคุ้นตาแม่นางเซียวมาก่อน ทว่านางกลับพูดเหมือนรู้จักเช่นนี้ จะต้องมีเรื่องผิดปกติอะไรเป็นแน่! 


 


 


“หึ เรื่องของข้านั้น ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ถามเลย! แล้วเรื่องที่ข้ารู้จักเจ้าได้อย่างไรน่ะหรือ ที่จริงก็ง่ายดายมาก คนของเม่ยเก๋อนั้นมักจะหลงเหลือกลิ่นหอมที่ปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษเอาไว้บนกาย เพียงได้สัมผัสสักครั้งก็ยากที่จะลบเลือนออก ไม่มีใครรู้ว่านี่เป็นสัญลักษณ์ของสำนักเม่ยเก๋อ เมื่อคิดเช่นนี้แล้วเจ้าก็คงจะเพิ่งพบกับคนหรือเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับสำนักเม่ยเก๋อใช่หรือไม่ ดังนั้นถึงได้มีกลิ่นหอมเช่นนี้ และคงเพราะเพิ่งจะได้สัมผัสเมื่อไม่นานมานนี้ กลิ่นหอมจึงยังคงเข้มข้น ถึงว่าเล่า ก่อนหน้านี้ข้าจึงไม่ได้กลิ่นออกมาจากกายของเจ้า” 


 


 


เกี่ยวข้องกับสำนักเม่ยเก๋อ? 


 


 


หรือว่าจะเป็น จดหมายฉบับนั้น?! 


 


 


อวี้อาเหรานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นว่าเป็นไปอย่างที่แม่นางเซียวว่าเอาไว้จริงๆ ก่อนหน้านี้นางได้สัมผัสจดหมายที่ส่งมาจากหนิงจื่อเย่ คิดว่ากลิ่นหอมคงมาจากสิ่งนั้น มิน่าเล่าจู่ๆ เมี่ยวเอ๋อร์ก็พูดขึ้นมาว่าได้กลิ่นหอมมาจากกายนาง คิดว่าคงจะเป็นสัญลักษณ์ของเม่ยเก๋ออย่างไม่ต้องสงสัย 


 


 


นางเบิกตากว้าง เดินเข้าไปหาแม่นางเซียวให้ใกล้ขึ้นอีก ถึงค่อยได้กลิ่นหอมบางเบาของเครื่องหอมชนิดพิเศษจากกายของนางจริงๆ หลังจากที่นางพิสูจน์แล้ว แม่นางเซียวก็มองท่าทีกระวนกระวายของนาง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วยังจะลงโทษข้าด้วยวิธีมนุษย์สุกรอีกหรือไม่ เจ้าควรรู้ว่าหากแตะต้องข้าแม้เพียงปลายเส้นผม เจ้าสำนักคงไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่!” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม