วาสนาบันดาลรัก 307-313

ตอนที่ 307 วสันตฤดู
 
“เมื่อเช้าหลังกินอาหารเช้าเสร็จพระราชนัดดาบอกว่าอยากเห็นปลาจิ๋นหลี่ แต่หากให้ผู้อื่นไปจับก็กลัวปลาจิ๋นหลี่จะตกใจจนไม่ว่ายน้ำอีกจึงให้หม่อมฉันไปที่สระปี้ปัวจับปลามาสองตัว หม่อมฉันจึงจำเป็นต้องไป ไม่คิดว่าพอกลับมาจะไม่พบพระราชนัดดาแล้วเพคะ” แม่นมหนิวพูดจบก็หันไปถลึงตาใส่นางกำนัลไม่กี่คนนั้น
 
 
แม่นมหรงเอ่ยตะกุกตะกักขึ้นว่า “พระราชนัดดาอยากจะดื่มนมน้ำผึ้งจึงให้หม่อมฉันไปสั่งที่ห้องครัวเล็ก…”
 
 
นางยังมิทันกล่าวจบก็ถูกตัดบทขึ้นว่า “บ่าวไพร่มากมายเพียงนั้นเหตุใดต้องให้เจ้าไปให้ได้”
 
 
“พระราชนัดดาบอกว่ามีเพียงหม่อมฉันที่รู้ว่าทรงต้องการดื่มแบบใด…” แม่นมหรงคุกเข่าก้มศีรษะติดพื้น มิกล้าพูดต่อไปอีก
 
 
ตั้งแต่ไปอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงและได้เห็นท่าทีที่พระราชนัดดามีต่อเจียหมิงเซี่ยนจู่ นางก็เริ่มวางแผนการในใจแล้ว
 
 
พระราชนัดดาเพิ่งสูญเสียมารดา หากได้เป็นคนที่ใกล้ชิดและไว้ใจที่สุดย่อมได้รับประโยชน์ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ต้องพูดถึงเจียหมิงเซี่ยนจู่ที่มีเหตุบังเอิญทำให้ผูกพันกัน หากนางใส่ใจกับเรื่องอาหารการกินมากสักหน่อยให้พระราชนัดดาเคยชินกับการดูแลของนาง เมื่อวันเวลาผ่านไปความผูกพันก็ยิ่งต้องลึกซึ้งขึ้นแน่
 
 
องค์ชายสามกวาดตามองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นคราหนึ่ง “ข้าจำได้ว่านอกจากพวกเจ้าสองคน จิ่งเกอยังมีสาวใช้ที่คอยดูแลอยู่อีกสี่คนมิใช่หรือ”
 
 
สาวใช้ชุดสีเขียวผู้หนึ่งซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นจึงเอ่ยว่า “เพคะ หลังจากแม่นมหรงออกไป พระราชนัดดาก็…”
 
 
“มันอันใดก็พูดมา!”
 
 
สาวใช้ชุดเขียวจึงกัดฟันเอ่ยว่า “เพราะรอแม่นมหนิวจนหงุดหงิดจึงไล่พวกหม่อมฉันออกมาเพคะ พวกหม่อมฉันคอยเฝ้าอยู่หน้าประตูจนแม่นมหนิวกลับมาแล้วเข้าห้องไปพร้อมกันจึงพบว่าหน้าต่างเปิดอยู่แต่พระราชนัดดากลับหายไป”
 
 
“พระราชนัดดาหายไปตั้งแต่หลังอาหารเช้า แต่พวกเจ้าเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้ คิดว่าคงไปตามหามาแล้วกระมัง”
 
 
คนทั้งหลายตกใจจนต้องโขกศีรษะติดกันหลายครา
 
 
แม่นมหนิวรวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “เพคะ พวกหม่อมฉันตามหาไปทั่วตำหนักแล้ว…”
 
 
เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดจบแล้ว ความอดทนขององค์ชายสามก็หมดสิ้นแล้วเช่นกัน เขายกมือขึ้นสะบัด “พวกเจ้าเอามาลากตัวสาวใช้ไม่ได้ความพวกนี้ออกไปขังไว้ในห้องเก็บฟืนก่อน รอให้ตามหาพระราชนัดดาพบแล้วค่อยว่ากันอีกที!”
 
 
“ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วย ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต…”
 
 
คนทั้งหกต่างโขกศีรษะระรัว หลังจากนั้นไม่นานก็ยังคงถูกลากตัวออกไปอยู่ดี
 
 
ตำหนักเยี่ยนอ๋องแทบจะถูกพลิกขึ้นมา ในที่สุดก็หาจิ่งเกอพบที่หอพระธรรมที่พระชายามักไปบ่อยยามมีชีวิตอยู่
 
 
ตอนที่องค์ชายสามไปถึง จิ่งเกอกำลังขดตัวอยู่ในมุมห้องไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้
 
 
“จิ่งเกอ…” องค์ชายสามยื่นมือออกไปหา
 
 
จิ่งเกอยิ่งถอยไปด้านหลัง
 
 
องค์ชายสามจิ่งอุ้มเข้ากลับไปที่ตำหนักแล้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดจิ่งเกอจึงไปที่นั่น”
 
 
“ข้า…ข้าคิดถึงพระมารดา”
 
 
องค์ชายสามมีสีหน้าขรึมลง “พ่อเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าพระมารดาไม่อยู่แล้ว เจ้ายังหนีบ่าวไพร่แอบออกไปอีก หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจะทำเช่นใด”
 
 
“หากข้าบอก พวกนางก็คงไม่ยอมให้ข้าไปหาพระมารดา” จิ่งเกอเอ่ยขึ้นอย่างน้อยใจ
 
 
องค์ชายสามมองไปที่หน้าต่างคราหนึ่งแล้วหันมาสำรวจจิ่งเกอ “จิ่งเกอ หน้าต่างสูงเพียงนี้เจ้ากระโดดลงไปได้อย่างไร บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
 
 
จิ่งเกอเม้มริมฝีปากไว้ไม่พูดจา
 
 
องค์ชายสามหน้าขรึมไปทันที “เป็นอันใด เจ้ายังคิดจะปิดบังพ่ออีกหรือ”
 
 
สำหรับพระบิดา…จิ่งเกอนั้นมีความกลัวอยู่บ้างมาเสมอ เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้จึงมิกล้าปิดบังอีก จิ่งเกอเอ่ยด้วยท่าทีน่าสงสารว่า “ข้ามิได้โดดลงไป แค่เปิดหน้าต่างไว้แล้วมุดเข้าไปใต้เตียง รอให้พวกนางเข้ามาไม่เห็นข้าแล้วออกไปตามหา ข้าก็เดินออกไปทางประตู”
 
 
ประกายตาขององค์ชายสามเปล่งประกายขึ้นมาทันใด
 
 
เขาคิดไม่ถึงว่าจิ่งเกอที่แม้จะขี้ขลาดไปสักหน่อยนั้นจะฉลาดเช่นนี้
 
 
เดิมเขารู้สึกหมดหวังกับจิ่งเกอไปหลายส่วนแล้ว เขายังหนุ่มแน่น ภายหน้าขึ้นครองตำแหน่งนั้นแล้วก็ยังมีบุตรชายได้อีกมากมาย หากจิ่งเกอไม่เอาไหน เขาก็แค่เลือกคนที่เก่งกว่าขึ้นเป็นรัชทายาท
 
 
แต่คิดไม่ถึงว่าจิ่งเกอจะฉลาดกว่าที่เขาคิดไว้มาก บุตรชายคนโตที่ปราดเปรื่องนั้นย่อมมีผลดีมากกว่า
 
 
“พระบิดา…” จิ่งเกอกระตุกแขนเสื้อองค์ชายสามอย่างขลาดๆ “ข้าไปหาพระมารดาที่หอพระธรรมแล้วก็ไม่เจอ พระมารดาถูกฝังไปในดินเหมือนปลาจิ๋นหลี่จริงๆ หรือ”
 
 
“อืม”
 
 
จิ่งเกอคิดแล้วคิดอีกจึงเอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “เช่นนั้นหากรอจนถึงปีหน้า จะมีพระมารดามากมายเกิดขึ้นมาจากดินหรือไม่”
 
 
“แน่นอนว่าไม่…” องค์ชายสามยังมิทันเอ่ยจบก็เห็นแววตาลังเลทั้งเสียใจนั้นของจิ่งเกอ เขาจึงเปลี่ยนใจเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่เป็นปัญหาอันใดเลย จิ่งเกอวางใจได้ รอจนถึงปีหน้าเจ้าก็จะมีพระมารดาแล้ว”
 
 
จิ่งเกอคลี่ยิ้มด้วยความยินดี “จะเหมือนกับพระมารดาทุกประการเลยหรือไม่”
 
 
โลหิตบนขมับองค์ชายสามกระตุกอยู่ตลอด บุตรชายฉลาดเกินไปย่อมมิง่ายที่จะหลอกได้
 
 
“จิ่งเกอเจ้าดูสิ ผลไม้บนต้นไม้ยังมีทั้งลูกท้อ สาลี่ แล้วคนจะเหมือนกันได้อย่างไรเล่า”
 
 
จิ่งเกอนิ่งเงียบไป
 
 
หลังจากผ่านไปนานจึงเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่เหมือนพระมารดา จิ่งเกอไม่ชอบ”
 
 
พูดถึงตรงนี้แล้วก็ลังเลขึ้นมาเล็กน้อยค่อยเอ่ยว่า “หากเหมือนท่านอาเจียหมิง จิ่งเกอถึงชอบ กลิ่นบนกายท่านอาเหมือนพระมารดาไม่มีผิด”
 
 
องค์ชายสามได้ยินเช่นนั้นก็เกิดประกายวูบขึ้นในตาคราหนึ่ง “จิ่งเกอชอบท่านอาเจียหมิงมากเลยหรือ”
 
 
จิ่งเกอพยักหน้าหงึกหงักอย่างแรง
 
 
“เช่นนั้น หลังจากที่จิ่งเกอเริ่มเรียนตำราก็ต้องขยัน หากเจ้าทำได้ดี พ่อจะพาเจ้าไปพบท่านอาเจียหมิงบ่อยๆ ดีหรือไม่”
 
 
“ดียิ่ง” จิ่งเกอรับปากทันที และเผยรอยยิ้มแรกในช่วงหลายวันมานี้เสียที
 
 
องค์ชายหกเห็นแล้วก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น
 
 
หากจิ่งเกอสามารถพัฒนาตนเป็นคนเก่งกาจขึ้นมาได้ ภายหน้าเขาจะยอมละเว้นชีวิตเจียหมิงแล้วรับนางเข้ามาเป็นสนมในวังอย่างเงียบๆ ก็มิใช่จะทำไม่ได้
 
 
ส่วนหลัวเทียนเฉิงนั้นจะให้เก็บไว้ก่อนชั่วคราวได้ แต่อนาคตเขามิคิดจะให้หลัวเทียนเฉิงมีชีวิตอยู่ต่อไป
 
 
หลัวเทียนเฉิงควบคุมหน่วยองครักษ์ที่จักรพรรดิไว้พระทัยที่สุดนั้นเขาไม่สน แต่ในสายตาเขา ขุนนางที่เขามิเคยเห็นความต่ำต้อยในตัวคนผู้นั้นเลยเขาหยิบมาใช้งานก็ไม่มีทางสบายใจได้!
 
 
เดิมนั้นแม้แต่เจียหมิงเซี่ยนจู่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยไป แต่ในเมื่อจิ่งเกอชอบ ไว้ชีวิตนางผู้ซึ่งเป็นเพียงสตรีคนหนึ่งก็คงมิทำให้เกิดเหตุอันใดได้
 
 
ภาพของเจินเมี่ยวปรากฏวูบขึ้นในหัว แล้วก็ต้องพยักหน้าอย่างพอใจ ทั้งเกิดความรู้สึกตื่นเต้นอันยากจะบรรยายเกิดขึ้นอยู่ลึกๆ
 
 
หลังจากที่ชายาจากไป เขาก็งดเรื่องนั้นมาเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็อดกลั้นไว้ไม่ไหว จึงลอบเข้าไปหานางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ที่ห้องตำรามาตลอดผู้นั้น
 
 
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาก็ถึงเดือนสามที่อากาศแสนอบอุ่น บุปผานับร้อยผลิบาน ต้นหญ้าเขียวแตกยอดต้อนรับสายลม ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิ
 
 
จื่อซูได้ออกเรือนไปในวันมงคลของเดือนนี้
 
 
เจินเมี่ยวให้เงินขวัญถุงแก่นางสองร้อยตำลึง ทั้งยังมอบเครื่องทองบริสุทธิ์ประดับเกศาหนึ่งชุด เครื่องเงินประดับเกศาสองชุด ผ้าชั้นดีอีกหลายพับ
 
 
สาวใช้ทั้งหลายจากเรือนอื่นๆ เห็นเขาต่างก็เกิดความอิจฉาอย่างยิ่ง
 
 
จื่อซูโขกศีรษะด้วยน้ำตาคลอก่อนออกจากประตูไป ผ่านไปสามวันก็กลับมาเยี่ยมคารวะนายตน เจินเมี่ยวเห็นมุมปากนางเคลือบไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ ทำให้ดูน่าชิดใกล้กว่าในอดีตขึ้นมากก็วางใจ
 
 
“หลัวเป้าดีต่อเจ้า ข้าก็วางใจ พวกเจ้าเพิ่งแต่งงาน ข้าจะให้เจ้าลาพักสองเดือน หลังจากนั้นอีกสองเดือนค่อยเข้ามาเป็นแม่บ้านผู้ดูแลเรือนข้า”
 
 
“ต้าไหน่ไหน่ บ่าวมิต้องการลาพักถึงสองเดือน ให้บ่าวเริ่มทำงานตอนนี้เลยเจ้าค่ะ”
 
 
เจินเมี่ยวจึงเอ่ยเย้าว่า “วางใจได้ แม้นลาพักข้าก็ยังให้เบี้ยหวัดประจำเดือนเจ้าอยู่”
 
 
“ต้าไหน่ไหน่ บ่าวมิได้หมายความเช่นนั้น…”
 
 
เจินเมี่ยวหลุดหัวเราะออกมา “เจ้ามิต้องรีบดอก แม้นหลัวเป้าจะต้องตาเจ้าก่อน แต่พวกเจ้าทั้งสองก็ยังมิเคยอยู่ด้วยกันอย่างเป็นจริงเป็นจังสักที อย่างไรก็ควรอยู่ด้วยกัน เรียนรู้กันให้มากไปสักระยะ ความรักจึงจะลึกซึ้งผูกพัน”
 
 
เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ จื่อซูก็หน้าแดงขึ้นมาโดยพลัน
 
 
ครั้นเห็นจื่อซูที่มักมีท่าทีเคร่งขรึมอยู่ตลอดเขินอายขึ้นมา บรรดาสาวใช้ในห้องจึงเอ่ยเย้าขึ้น
 
 
“ใช่แล้ว พี่จื่อซู แม้พวกเราจะโง่เขลาไปบ้าง แต่การปรนนิบัติต้าไหน่ไหน่ในช่วงสองสามวันมานี่กลับยังมิเคยโดนด่าเลยสักครั้ง ท่านวางใจเถิด”
 
 
“ผิดแล้ว ตอนนี้ไม่ควรเรียกว่าพี่จื่อซู ต้องเรียกว่าคนของบ้านสกุลหลัว”
 
 
จื่อซูทั้งเขินทั้งโมโห แต่สาวใช้ทั้งหลายกลับหัวเราะกันใหญ่
 
 
เจินเมี่ยวชำเลืองมองพวกนางคราหนึ่ง “พวกเจ้าวางใจได้ หากพวกเจ้าออกเรือน ข้ารับรองว่าทุกคนจะได้หยุดพักสองเดือนเช่นเดียวกันอย่างไม่เลือกปฏิบัติ”
 
 
ครานี้สาวใช้ที่อายุมากสักหน่อยหลายคนก็เริ่มหน้าแดงเรื่อขึ้นมา จึงหาข้ออ้างหลบออกไป มีเพียงชิงเกอที่ยังงงงวยอยู่ “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวไม่อยากลาพัก หากหยุดทำงานก็คงมิได้อาหารที่ห้องครัวเล็กทำเป็นแน่เจ้าค่ะ”
 
 
ไป๋เสาที่ยืนอยู่ด้านหลังเจินเมี่ยวอดยิ้มออกมามิได้ รอจนทุกคนออกไปหมดแล้วจึงเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวเห็นท่าทางงงงันของชิงเกอแล้วก็ได้แต่กลุ้มใจแทนนาง”
 
 
“คนเขลาก็มีวาสนาของคนเขลา ว่าแต่เจ้าเถิด ไม่คิดออกเรือนจริงๆ หรือ”
 
 
ไป๋เสาหุบยิ้มแล้วพยักหน้า
 
 
“หากมีคนมิติดใจกับรอยแผลเป็นบนหน้าเจ้าเล่า?”
 
 
ความจริงเมื่อรักษาดูแลมาสองปีแล้ว แผลเป็นบนใบหน้าไป๋เสาก็เหลือเพียงรอยจางๆ เท่านั้น เจินเมี่ยวไม่รู้สึกเลยว่านางจะหาคู่ครองไม่ได้เพราะรอยแผลนี้
 
 
นิ่งเงียบอยู่นาน ไป๋เสาจึงเอ่ยเสียงแผ่วขึ้นว่า “อาจจะไม่ติดใจในชั่วเวลาหนึ่งแต่ต่อไปอาจจะติดใจขึ้นมาก็ได้ บ่าวคอยรับใช้ต้าไหน่ไหน่เช่นนี้ตลอดไปก็มีความสุขเจ้าค่ะ”
 
 
ในที่สุดเจินเมี่ยวก็เข้าใจความคิดของไป๋เสาแล้ว นางแค่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพราะเสียโฉมแต่มิได้ปฏิเสธการแต่งงาน เพียงแต่ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวบุรุษเท่านั้น
 
 
เจินเมี่ยวจะจดจำเรื่องนี้ไว้ ต่อไปจะได้มองหาคนที่เหมาะสมกับนางได้ง่ายขึ้น
 
 
เดือนนี้เจินเหยียนเองก็คลอดบุตรเช่นกัน นางให้กำเนิดบุตรตัวอวบอ้วนน้ำหนักแปดจิน ตอนพิธีอาบน้ำทารกเจินเมี่ยวเห็นแขนขาอวบขาวราวรากบัวของหลาน และใบหน้ารูปไข่อวบอ้วนนั้นแล้วนางก็หลงรักอย่างที่สุด
 
 
นางเวินจึงเริ่มพร่ำบ่นกับต่างว่า “พี่รองของเจ้ามีที่ยืนอันมั่นคงในตระกูลสามีแล้ว เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าก็แต่งออกไปหนึ่งปีแล้ว เหตุใดจึงยังไม่มีวี่แววเลย”
 
 
นี่ยังไม่พอ บรรดาสตรีที่เข้าร่วมพิธีอาบน้ำทารกนั้นต่างมีทั้งญาติใกล้ชิดและญาติห่างๆ มาร่วมด้วย จึงมีทั้งคนที่เป็นห่วงเป็นใยจริงๆ และมีคนที่อิจฉาที่เจินเมี่ยวอายุยังน้อยแต่กลับมีบรรดาศักดิ์สูงส่งเช่นนี้แล้วจึงอดพูดจาเสียดแทงสักสองสามประโยคมิได้ มีทั้งพูดตามตรงและพูดทางอ้อมถึงเรื่องที่เจินเมี่ยวยังมิตั้งครรภ์
 
 
เจินเมี่ยวหงุดหงิดอยู่ค่อนวันถึงได้กลับจวนมาพร้อมกับอาสะใภ้ทั้งหลาย
 
 
เมื่อนางเถียนกลับถึงเรือนซินหยวนก็เรียกเสวี่ยเยี่ยนมาหาเงียบๆ
 
 
เสวี่ยเยี่ยนเป็นสาวใช้ที่รูปโฉมงดงามโดดเด่นที่สุขของนางเถียน เพื่อกำราบเยียนเหนียงนางเถียนจึงยกนางให้นายท่านรองสกุลหลัว แต่น่าเสียดายที่ใจของเขามัวพะวงหาแต่เยียนเหนียง ทำให้สตรีงดงามราวบุปผาดุจหยกถูกหยิบใช้งานเพียงสองครั้งก็ทิ้งขว้างเสียแล้ว
 
 
นางเถียนกำชับนางอยู่หลายคำ
 
 
เสวี่ยเยี่ยนฟังแล้วก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที เมื่อเห็นแววตาเย็นเยียบที่ส่งมาของนางเถียน นางจึงพยักหน้าเงียบๆ
 
 
นายท่านเป็นที่พึ่งให้นางมิได้ นางคงได้แต่พึ่งฮูหยินแล้ว หากล่วงเกินฮูหยินอีก นางคงมีแต่ทางตายเช่นเดียวกับหลี่ว์เอ๋อร์
 
 
นางเถียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
 
 
วันหนึ่งเสวี่ยเยี่ยนไปแอบร้องไห้อยู่ใต้ซุ้มดอกไม้แต่ก็ถูกหย่วนซานที่มาเก็บดอกกไม้เห็นเข้าพอดี
 
 
พวกนางนั้นเป็นสาวใช้รุ่นเดียวกันจึงมีความผูกพันกันอยู่บ้าง ภายหลังถูกแยกไปอยู่คนละเรือน ความสัมพันธ์จึงค่อยๆ จืดจางลงเมื่อหย่วนซานได้กลายเป็นสาวใช้ทงฝังของซื่อจื่อไปเป็นเวลานานแล้วแม้เห็นเสวี่ยเยี่ยนร้องไห้อยู่แต่หย่วนซานซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นเฉินอวี๋แล้วนั้นกลับยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ 
 
 
ตอนที่ 308 หย่วนซาน
 
“เช็ดก่อนเถิด ที่นี่ลมแรง เจ้าร้องไห้ตาบวมหมดแล้ว กลับไปจะตอบผู้อื่นอย่างไร?” หย่วนซานล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้เสวี่ยเยี่ยน
 
 
เสวี่ยเยี่ยนเห็นผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีนั้นแล้วก็กัดมันไว้อยู่นานจึงเอ่ยขึ้นว่า “อย่างไรการได้อยู่เรือนชิงเฟิงก็ดีกว่าสักหน่อยจริงๆ ผ้าเช็ดหน้าเช่นนี้ ข้าไม่มีทางได้ใช้แน่”
 
 
หย่วนซานแค่นยิ้มเย็น “เจ้าพูดวาจาตัดพ้อเช่นนี้เพื่ออันใด ใครไม่รู้บ้างว่าตอนนี้เจ้ารับใช้นายท่านรองอยู่”
 
 
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้เสวี่ยเยี่ยนก็เม้มริมฝีปาก น้ำตารินไหลออกมา “หย่วนซาน เราเป็นสาวใช้รุ่นเดียวกัน ข้าจึงไม่กลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะข้า นายท่านรองมีเยียนเหนียงผู้นั้นอยู่ทั้งคนแล้วจะหันมามองข้าได้อย่างไร แค่ทำลายความบริสุทธิ์ของข้าไปเพียงครั้งก็ปัดทิ้งไม่ไยดีอีกเลย”
 
 
วาจานี้กระตุกใจหย่วนซานยิ่ง
 
 
ผู้อื่นอาจไม่รู้ว่าตั้งแต่ที่ต้าไหน่ไหน่แต่งเข้ามา มิใช่…ตั้งแต่ซื่อจื่อกับต้าไหน่ไหน่หมั้นหมายกัน มีเพียงฉี่เย่ว์ที่ถูกขายไปแล้วเท่านั้นที่เคยได้รับความโปรดปราน แต่พวกนางสามคนกลับไม่เคยได้เข้าใกล้ซื่อจื่ออีกเลย!
 
 
แน่นอนว่าในเรื่องการอยู่การกินนั้นไม่มีผู้ใดปฏิบัติไม่ดีต่อพวกนาง เพราะคนของเรือนชิงเฟิงย่อมต้องใช้ของดีมากกว่าเรือนอื่นๆ เป็นธรรมดา
 
 
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ใจของหย่วนซานก็ยังรู้สึกเจ็บปวดจนยากจะเอื้อนเอ่ย
 
 
นางยังอยู่ในวัยแรกแย้ม รูปโฉมก็งดงามยิ่ง ในอดีตซื่อจื่อมักจะให้นางคอยเฝ้าอยู่ข้างกายเสมอ ยามความรักสุกงอมอย่างยิ่งนั้น บางราตรีก็เรียกร้องนางอยู่หลายครั้ง ผู้ใดจะทราบว่าสองปีนี้กลับละทิ้งไม่ไยดีเสียแล้ว
 
 
หย่วนซานไม่เข้าใจจริงๆ แม้นต้าไหน่ไหน่จะรูปโฮมงดงาม อุปนิสัยแสนดี ซื่อจื่อจึงรักถนอมต้าไหน่ไหน่ แต่ก็ย่อมมีช่วงที่ต้าไหน่ไหน่มิอาจปรนนิบัติซื่อจื่อได้กระมัง แต่ก็อ่านมาปีกว่าแล้ว เหตุใดจึงมิเห็นซื่อจื่อมาที่เรือนฝั่งตะวันตกบ้างเลยเล่า
 
 
ต้าไหน่ไหน่…
 
 
หย่วนซานท่องสามคำนี้อยู่เงียบๆ ความเจ็บปวดผุดขึ้นมาในใจระลอกหนึ่ง แล้วคิดอย่างแค้นเคืองว่า ต้าไหน่ไหน่ช่างประเสริฐยิ่งนัก หากนางแสนดีจริงเหตุใดจึงจับซื่อจื่อไว้ไม่ยอมปล่อยเลย ไม่มีความใจกว้างอย่างผู้เป็นนายหญิงปกครองเรือนแม้แต่น้อย!
 
 
“หย่วนซาน…” เมื่อเห็นนางนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา เสวี่ยเยี่ยนก็ร้องเรียกขึ้น
 
 
หย่วนซานรู้สึกระคายหูยิ่ง นางแค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “อย่างเรียกข้าว่าหย่วนซาน ต้าไหน่ไหน่เปลี่ยนชื่อให้ข้าใหม่เป็นเฉินอวี๋แล้ว”
 
 
พลันคิดถึงเมื่อคราแรกเริ่มขึ้นมา พวกนางห้าคน ซิ่วเฟิง จิ้งสุ่ย ฉี่เย่ว์ ฉุยซิง หย่วนซาน ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะแปลกหู ทั้งยังเป็นชื่อที่ซื่อจื่อตั้งให้ด้วยตนเองอีกด้วย ซิ่วเฟิงตายไปก่อนจึงมิขอพูดถึง แต่เมื่อต้าไหน่ไหน่มาถึงก็เปลี่ยนชื่อพวกนางเป็นเฉินอวี๋ ลั่วเยี่ยน ปี้เย่ว์ ซิ่วฮวา ชื่อที่แสนจะธรรมดาไร้ความสง่า คงเห็นแล้วว่ามิใช่คนดีอันใด!
 
 
เสวี่ยเยี่ยนอึ้งงันไปครู่หนึ่ง พลันยิ้มขื่นออกมา “เฉินอวี้ชื่อนี้ช่างเข้ากับข้าเสวี่ยเยี่ยนเหลือเกินแล้ว!”
 
 
หย่วนซานเองก็เงียบลงเช่นกัน
 
 
ช่วงเวลานี้ คนทั้งสองที่เป็นสาวใช้ทงฝังเช่นเดียวกันก็เกิดเห็นใจในความทุกข์ของกันและกันขึ้นมา
 
 
คนทั้งสองผู้หนึ่งนั่งผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ซุ้มดอกไม้ ดอกจื่อเถิงเลื้อยขยายเต็มซุ้มดอกไม้แล้ว แม้ยังมิบานสะพรั่งแต่ก็มีดอกตูมขึ้นเต็มจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่กระจายอยู่โดยรอบ ทั้งยังคอยขวางกั้นสายลมอันเสียดแทงนั้นไว้ให้อยู่แต่เพียงภายนอก แสงแดดสายส่องเข้ามาจากช่องว่างเล็กๆ นั้นคล้ายถูกเจาะทะลุไว้ก็มิปาน เกิดเป็นเงาสลับทับซ้อนกระจายไปทั่วบริเวณ เมื่อลมพัดดอกจื่อเถิงปลิวไหว แสงนั้นก็ขยับตามไปด้วย
 
 
“หย่วนซาน ข้าขอพูดความในใจกับเจ้าสักประโยคเถิด การเป็นสาวใช้ทงฝังที่มิได้รับความโปรดปรานนั้นช่างทุกข์ทรมานเหลือเกิน อย่างไรเจ้าก็ดีกว่าข้ายิ่ง”
 
 
หย่วนซานหัวเราะเยาะออกมาคราหนึ่ง “ตาข้างใดของเจ้าที่เห็นว่าข้าดีกว่าเจ้า?”
 
 
เสวี่ยเยี่ยนลอบเยาะหยันอยู่ในใจว่าหย่วนซานยังคงมีอุปนิสัยเหมือนเดิม ใจแคบ ชอบอยู่แถวหน้า พูดจาประชดประชัน แต่ว่าคนเช่นนี้ ความจริงมิใคร่จะมีสติปัญญานัก ง่ายต่อการถูกหลอกล่อมากที่สุด
 
 
นางถอนหายใจแผ่วต่ำ
 
 
ฮูหยินรองช่างเก่งกาจนัก ถึงกับมองอุปนิสัยของคนเหล่านั้นในเรือนชิงเฟิงได้อย่างชัดเจน
 
 
เสวี่ยเยี่ยนเผยสีหน้าอิจฉาออกมา “พวกเจ้าติดตามซื่อจื่อมานาน ย่อมมีความผูกพัน ทั้งซื่อจื่อก็ยังหนุ่มแน่นแม้จะรักต้าไหน่ไหน่มากแต่ก็ยังมีแรงเหลือเฟือมาดูแลพวกเจ้า ไม่เหมือนข้า…”
 
 
พูดถึงตรงนี้นางก็แดงขึ้นมาเล็กน้อย “นายท่านรองอายุปูนนั้นแล้ว เกรงว่าคงเอาความคิดและจิตใจไปไว้ที่เยียนเหนียงหมดแล้ว แม้แต่ฮูหยินรองก็มิได้ไปหานานแล้ว ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงข้าเลย”
 
 
หย่วนซานจ้องเสวี่ยเยี่ยนด้วยท่าทีแปลกประหลาด
 
 
นางอยากจะพูดเหลือเกินว่าซื่อจื่อนั้นมิสู้นายท่านรองด้วยซ้ำ สองปีมานี้มิเคยมองพวกนางแม้แต่หางตาด้วยซ้ำ ทว่ารู้สึกขายหน้าจึงได้อดทนเอาไว้
 
 
เสวี่ยเยี่ยนเอ่ยเสียงเบาลงอีกเล็กน้อยว่า “ข้าได้ยินว่าต้าไหน่ไหน่สุขภาพมิค่อยดี คงมิอาจตั้งครรภ์ได้ในระยะเวลาสั้นๆ นี้?”
 
 
“เรื่องนี้…ข้าจะรู้ได้อย่างไร” หย่วนซานเอ่ยด้วยท่าทีลังเล
 
 
เสวี่ยเยี่ยนแสดงสีหน้าเห็นใจออกมา “หากเป็นเช่นนี้จริง พวกเจ้าก็มิใช่ต้องคอยกินยาอยู่ตลอดหรอกหรือ”
 
 
ในที่สุดหย่วนซานก็อดกลอกตา มองบนมิได้ นางจึงหลุดเอ่ยออกมาว่า “ต้องหยุดกินยาด้วยหรือ ตั้งแต่ต้าไหน่ไหน่แต่งเข้ามา ซื่อจื่อก็มิเคยมาเรือนฝั่งตะวันตกอีกเลย!”
 
 
นางเจตนาเอ่ยเป็นนัยๆ ถึงเรื่องที่หลัวเทียนเฉิงมิเคยแตะต้องพวกนางมาตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว หากเอ่ยเช่นนี้แล้วก็คล้ายว่าจะสามารถผลักสาเหตุทั้งหมดไปที่ต้าไหน่ไหน่ได้ เช่นนี้นางก็มิได้ดูย่ำแย่เกินไป
 
 
“ห๊ะ?” เสวี่ยเยี่ยนปิดปากด้วยความตกใจ
 
 
หย่วนซานรู้สึกเสียใจขึ้นมาหลายส่วน แต่วาจานั้นเอ่ยออกไปแล้วมิอาจแก้ไขอันใดทันได้ นางจึงกัดริมฝีปากเอ่ยว่า “วาจานี้เจ้าได้อย่าเอาไปพูดที่ใดเล่า ซื่อจื่อทราบเข้าต้องโกรธข้าแน่”
 
 
เสวี่ยเยี่ยนพยักหน้าหงึกหงัก น้ำเสียงยิ่งดูสนิทชิดเชื้อขึ้นอีกหลายส่วน “หย่วนซาน ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าเองก็ขมขื่นเช่นกัน”
 
 
หยวนซานนิ่งไป
 
 
เสวี่ยเยี่ยนเอ่ยลากเสียงยาว แล้วถอนหายใจออกมา เสียงถอนหายใจนั้นยืดยาวยิ่ง คล้ายจะยาวไปถึงใจของหย่วนซานเลยทีเดียว
 
 
“ยามนี้ข้าไม่หวังเป็นที่รัก หากมีบุตรสักคนชีวิตอีกครึ่งคงมีที่พึ่ง เท่านี่ก็พอใจแล้ว มิเช่นนั้นผ่านไปอีกสักสองสามปีก็อาจจะถูกยกไปให้ผู้อื่น สตรีที่ไร้ความบริสุทธิ์แล้วเช่นเรายังมิสู้สาวใช้คนสนิทของบรรดานายท่านด้วยซ้ำ แล้วจะหวังให้บุรุษเหล่านั้นจริงใจกับเราได้สักกี่ส่วนกัน?”
 
 
วาจานี้คล้ายดั่งค้อนหนักที่ทุบเข้าไปในใจของหย่วนซาน
 
 
เหตุใดจุดจบที่เสวี่ยเยี่ยนเป็นกังวลจะมิใช่สิ่งที่นางกังวลเช่นกันเล่า!
 
 
ยามนี้นางมีความงามอันเย้ายวนอยู่หลายส่วนแท้ๆ แต่ซื่อจื่อกลับไม่ไยดีนางเสียแล้ว หากผ่านไปอีกสักสองสามปีจะเป็นเช่นไรเล่า
 
 
หากนางมีบุตรสักคน…
 
 
หย่วนซานบอกลาเสวี่ยเยี่ยนแล้วกลับห้องไปนอนคิดกลับไปกลับมา
 
 
ไม่…ไม่ได้ หากมีบุตรก่อนที่ภรรยาเอกจะตั้งครรภ์จะต้องถูกทำแท้งแน่
 
 
ทว่า…ต้าไหน่ไหน่มิใช่สุขภาพไม่ดี มิอาจตั้งครรภ์ได้ในระยะอันใกล้นี้หรอกหรือ หากอีกสองสามปีไม่มีบุตรสักที ไม่แน่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าอาจจะยอมเมตตาให้นางเก็บเด็กไว้
 
 
คิดถึงตรงนี้หย่วนซานก็ยิ่งกลัดกลุ้ม เรื่องที่เร่งด่วนตอนนี้เกรงว่าคงมิใช่เรื่องบุตรแต่จะทำอย่างไรให้ซื่อจื่อยอมมาที่ห้องของนางอีกครั้งต่างหาก
 
 
เสวี่ยเยี่ยนพูดถูก หากไม่พยายามตอนนี้ จะต้องให้แก่ชราร่วงโรยจนถูกขับไล่ออกไปงั้นหรือ
 
 
ผ่านไปอีกหลายวัน หย่วนซานกับเสวี่ยเยี่ยนก็ได้บังเอิญพบกันอีก นางจึงเห็นว่าเสวี่ยเยี่ยนมีสีหน้าดีขึ้นมาก ครั้นเห็นใบหน้านัยน์ตานางมีความสดใสดุจดรุณีแรกรุ่น หย่วนซานก็เกิดสงสัยจึงเข้าไปรั้งเสวี่ยเยี่ยนเข้ามาสอบถาม
 
 
เสวี่ยเยี่ยนหน้าแดงไปหมด นิ่งเงียบอยู่นานก็มิยอมเอ่ย
 
 
หย่วนซานร้อนใจยิ่ง “เสวี่ยเยี่ยน ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่น้องจึงได้ถามเจ้า หากจ้าไม่อยากบอกก็แล้วไปเถิด!”
 
 
เสวี่ยเยี่ยนดึงหย่วนซานที่หมุนตัวจะเดินหนีไปไว้ แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “เจ้าอย่าโกรธเลย ข้าพูดแล้วก็ได้ แต่เรื่องนี้เจ้าอย่าไปบอกบุคคลที่สามเด็ดขาด มิเช่นนั้น…ข้าคงไม่มีหน้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว”
 
 
“ร้ายแรงเพียงนั้น?” หย่วนซานรู้สึกแปลกใจยิ่ง
 
 
เสวี่ยเยี่ยนดึงนางไปในถ้ำหุบเขาจำลองแล้วเอ่ยด้วยหน้าอันแดงก่ำว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้ามีญาติผู้พี่คนหนึ่งใช่หรือไม่”
 
 
หย่วนซานพยักหน้า
 
 
เสวี่ยเยี่ยนมีญาติผู้พี่ที่บิดามารดาเสียชีวิตไปแล้วผู้หนึ่ง นางเป็นสตรีทำงานบนเรือสำราญ พวกนางยังเคยหัวเราะขบขันเสวี่ยเยี่ยนเพราะเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
 
 
“ญาติผู้พี่ของข้าก็เป็นคนที่มีชีวิตรันทดคนหนึ่งเช่นกัน ความจริงหลายปีก่อนตอนที่พวกเราออกไปซื้อของด้วยกันจึงทำให้ได้พบกับญาติผู้พี่ที่มิได้เจอกันนานแล้วเข้า นานๆ ทีข้าก็ติดต่อกับนางไปบ้าง หลายวันก่อนข้าอดที่จะส่งจดหมายไปถามนางมิได้ว่า…ว่ามีวิธีใดจะทำให้บุรุษมาหาเราถึงห้องบ้าง…”
 
 
หย่วนซานฟังแล้วอึ้งไป
 
 
เสวี่ยเยี่ยนผลักนางคราหนึ่ง “นี่ ข้าไม่พูดแล้ว เจ้าต้องดูถูกข้าเป็นแน่!”
 
 
“ไม่ เจ้ารีบพูดมาเถิด”
 
 
เสวี่ยเยี่ยนหน้าแดงกว่าเดิม นางไม่กล้ามองตาหย่วนซานแล้ว “ญาติผู้พี่ข้าส่งยาลูกกลอนชนิดหนึ่งมาให้ ข้าใช้แล้วสองครั้ง นายท่านรองก็มาข้าถึงสองครั้ง” เอ่ยถึงตรงนี้ก็เหลือบตาขึ้นมองหย่วนซานคราหนึ่ง “ข้ามิได้ขอสิ่งใด แค่อยากจะมีบุตรสักคนก็พอ…”
 
 
หย่วนซานใจเต้นรัวเร็วขึ้นมาทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ในที่สุดก็อดถามออกมามิได้ว่า “ยาลูกกลอนนั่น เจ้าแบ่งให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่ ข้าจะซื้อ!”
 
 
เสวี่ยเยี่ยนไม่พอใจขึ้นมา “หย่วนซาน เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นใด ข้าจะรับเงินเจ้าได้งั้นหรือ? อีกอย่าง นั่นเป็นยาสูตรลับเฉพาะของญาติผู้พี่ นางกำชับหนักหนาว่ามิอาจแพร่งพราย”
 
 
สีหน้าหย่วนซานเต็มไปด้วยความผิดหวัง
 
 
เสวี่ยเยี่ยนถอนหายใจออกมา “เช่นนั้นข้าจะแบ่งให้เจ้าก่อนสามเม็ดแล้วกัน ญาติผู้พี่นางมีข้าเป็นญาติเพียงคนเดียวแล้วจึงดีต่อข้ายิ่ง”
 
 
“ขอบใจเจ้ามาก” ดวงตาหย่วนซานเป็นประกายขึ้นมา แต่ก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย “ยานี้มีผลต่อสุขภาพของบุรุษหรือไม่”
 
 
นางนั้นชอบซื่อจื่อด้วยใจจริง แต่นางก็มิได้ขออันใดมาก แค่มีบุตรสักคนข้างกายได้ใช้ชีวิตอยู่กับซื่อจื่อตลอดไปนางก็พอใจแล้ว
 
 
“ไม่เลย กลิ่นหอมของมันเพียงทำให้บุรุษระลึกถึงเจ้าเท่านั้น มิได้ให้กินเสียหน่อยจะมีโทษต่อสุขภาพได้อย่างไร หากเป็นเช่นนั้นจริง แม้ตีข้าให้ตายข้าก็คงมิกล้าใช้”
 
 
หย่วนซานจริงวางใจลงได้
 
 
เสวี่ยเยี่ยนจึงหาโอกาสนำยาลูกกลอนสามเม็ดนั้นมาให้นางทั้งเอ่ยกำชับว่า “ให้ใส่ยานี้ไว้ในถุงหอมพกติดกาย เมื่อจะใช้ก็บีบให้แตก บุรุษต้องดื่มสุราจึงจะเห็นผล หากตอนนั้นเขาได้กลิ่นนี้ก็จะกระทำทุกอย่างตามแต่ใจเจ้าทั้งสิ้น”
 
 
หย่วนซานกำขวดกระเบื้องที่บรรจุยาลูกกลอนนั้นไว้แน่นแล้วพยักหน้า
 
 
วสันตฤดูมาเยือน หมอกควันที่ติดตามมากับเรื่องการลอบสังหารนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป งานเลี้ยงฉลองต่างๆ ก็เริ่มมีมากขึ้น
 
 
หลัวเทียนเฉิงมักจะกลับมาในยามพลบค่ำเสมอ บางคราเขาก็หลีกเลี่ยงการดื่มสุรากับสหายร่วมงานมิได้
 
 
วันนี้เขากลับช้ากว่าปกติอยู่สักหน่อย ดวงดารากระจายเต็มท้องฟ้า สายลมยามวสันต์หอบมาปะทะหน้า กลิ่นหอมของดอกไม้อบอวลจนทำให้คนแทบลุ่มหลงมัวเมา แต่ใจของเขากลับหนักอึ้งอยู่ไม่น้อย
 
 
ดูเหมือนว่ารัชทายาทจะมีการเคลื่อนไหวบางอย่างแล้ว
 
 
เพราะเรื่องราวดำเนินไปไม่เหมือนชาติก่อน เขาจึงไม่รู้ว่ารัชทายาทจะทำเรื่องใด แม้ไม่คิดก็ยังรู้ว่าการที่องค์ชายหลายพระองค์ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องและเข้าดูแลงานในหกกรม หากคืนวันผ่านไปนานรัชทายาทก็จะไร้ตัวตนไปในที่สุด
 
 
เกรงว่ารัชทายาทคงทนได้อีกไม่นานแล้ว
 
 
หากรัชทายาทคิดกบฏจะต้องถูกปลดแน่ เมื่อตำแหน่งรัชทายาทไม่มั่นคง ใจคนก็จะเริ่มคลอนแคลนเกรงว่าชิงเป่ยจะฉวยโอกาสนี้เข้ามาทำสงครามเอาได้ หากเป็นเช่นนั้น ไม่แน่ว่าเขาก็คงต้องเข้าร่วมสมรภูมิรบในครั้งนี้
 
 
ออกไปสู้รบนั้นเขาไม่กลัวแต่หากสงครามได้เริ่มขึ้นก็อาจจะเป็นปีหรือสองปีมิอาจตอบ เจี๋ยวเจี่ยวไร้บุตรข้างกาย นานวันเข้าเกรงว่าจะต้องถูกผู้คนวิจารณ์ต่อว่า
 
 
แต่นางยังมิหยุดกินยาทั้งมิอาจเร่งให้นางหายได้
 
 
หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วขึ้นอย่างยุ่งยากใจ
 
 
สายตามองไกลๆ ไปเห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตู ในมือถือตะเกียงครอบแก้ว อาภรณ์พัดปลิวไปตามลมทำให้เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีรูปร่างบอบบางผู้หนึ่ง ใจเขาพลันสั่นไหวขึ้นมา ความสุขอันยากจะบรรยายเอ่อล้นขึ้นเต็มหัวใจ
 
 
เจี๋ยวเจี่ยวถึงกับมารอเขาที่หน้าประตูเชียวหรือ!
 
 
เขารีบก้าวเท้าเดินเข้าไปโดยเร็ว กระทั่งได้เห็นหน้าสตรีผู้นั้นชัดๆ เขาก็ถึงกับอึ้งงันไป 
 
 
ตอนที่ 309 ความเชื่อใจ
 
คิ้วงามดั่งหุบเขาในเมฆหมอกอันแสนไกล นัยน์ตาคล้ายสายน้ำยามวสันต์ที่พลิ้วไหว หย่วนซาน[1]ช่างงดงามนัก หลัวเทียนเฉิงในชาติก่อนคิดว่าตนฉลาดหนักหนา เขาตั้งชื่อให้กับสาวใช้ผู้เองทั้งยังเคยชอบนางยิ่ง
 
 
แน่นอนว่าความชอบชนิดนี้มิอาจเรียกได้ว่าเป็นความรักของหนุ่มสาว มันเป็นเพียงแค่ชมชอบหลงใหลในสิ่งงดงามน่ามองเท่านั้น ความรู้สึกที่บุรุษในยุคสมัยนี้มีต่อสาวใช้ทงฝังหรืออนุของตนมากที่สุดก็คงมีเพียงเท่านี้แล้ว
 
 
พูดตามตรงคือสาวใช้ทงฝังนั้นมีไว้เพื่อความบันเทิงของบุรุษเท่านั้น หากทำตัวดี บุรุษก็ย่อมเอ็นดูมากสักหน่อย หากมีวันใดมิได้ดั่งใจก็สามารถละทิ้งได้ทันที แล้วเปลี่ยนไปหาคนที่สวยงามน่ามองมากยิ่งกว่าเท่านั้นเอง
 
 
แต่หลัวเทียนเฉิงนั้นเป็นบุคคลที่ตายแล้วเกิดใหม่อีกครั้ง เขาย่อมมีความคิดต่อสาวใช้ทงฝังที่งดงามดุจบุปผาดั่งหยกเหล่านั้นแตกต่างไปจากคนทั่วไปเป็นธรรมดา
 
 
หรืออาจจะพูดว่าเป็นเพราะเรื่องที่เจินเมี่ยวคบชู้ในชาติก่อนทำให้เขากลายเป็นฆาตกร จนต้องไปเป็นนักโทษเสริมกำลังในกองทหาร เผชิญเรื่องทุกข์ทรมานต่างๆ ดังนั้นความคิดของเขาที่มีต่อสตรีเพศจึงแตกต่างจากบุรุษทั่วไป
 
 
ครั้นพบสตรีงดงามผู้หนึ่งมายืนรอตนอยู่ตรงนี้ เขากลับมิได้คิดว่านางมารอเขา แต่คิดว่านางกำลังจะก่อเหตุอันใดบางอย่างมากกว่า
 
 
สีหน้าของเขาพลันเคร่งขรึมขึ้นมา แววตามืดดำกว่าฟ้าในยามราตรีนี้เสียอีก น้ำเสียงเย็นชาไร้ความอบอุ่นใด “เจ้ามาทำอันใดที่นี่”
 
 
น้ำเสียงที่เย็นเยียบเช่นนี้ไม่ต่างอันใดกับการสาดน้ำเย็นเฉียบถังหนึ่งใส่ร่างหย่วนซานทำให้นางหนาวสั่นไปถึงขั้วหัวใจ ขนลุกซู่ขึ้นมาทั่วกายคล้ายมิได้อยู่ในวสันตฤดูอันอบอุ่นแต่อยู่ในเหมันตฤดูที่เหน็บหนาว
 
 
ใบหน้านางค่อยๆ ขาวซีดขึ้นแต่เมื่อคิดว่าจะต้องบีบเม็ดยานั้นให้แตกยามหลัวเทียนเฉิงเดินผ่านไป นางก็เริ่มมีความเชื่อมั่นขึ้นมาเล็กน้อย
 
 
กลิ่นหอมนั้นมิฉุนเกินไปจึงถูกกลิ่นหอมที่สตรีมักประพรมกลบจนสิ้น ไม่มีทางที่จะถูกผู้คนสงสัยแน่
 
 
ที่สุดสำคัญคือนางโชคดีไม่เลว นางมาคอยอยู่ที่นี่มาสองสามวันแล้ว และวันนี้ซื่อจื่อก็มาเสียที นางบีบเม็ดยานั้นแตกทันทีโดยไม่มีเวลาแม้แต่จะลังเล ทว่าหากซื่อจื่อมิได้ดื่มสุรา เม็ดยาอันล้ำค่านี้ก็คงเสียไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว
 
 
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดนางก็ได้กลิ่นสุราจางๆ มาจากกายของซื่อจื่อ
 
 
ดูเอาเถิดแม้แต่สวรรค์ก็ยังเข้าข้างนาง แล้วนางจะมีเหตุผลใดที่จะทำไม่สำเร็จเล่า
 
 
หย่วนซานให้กำลังใจตนอยู่เงียบๆ นางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ดวงตางดงามนั้นจ้องมองหลัวเทียนเฉิง น้ำเสียงอ่อนโยนคล้ายสายน้ำพลิ้วไหวยามวสันต์ “ซื่อจื่อ บ่าวมารอท่านเจ้าค่ะ ฟ้ามืดแล้วทางเดินก็ลื่น บ่าวจึงมาถือตะเกียงให้ท่านเจ้าค่ะ”
 
 
หลัวเทียนเฉิงเม้มริมฝีปากแน่น
 
 
เขาย่อมต้องเข้าใจในความหมายของหย่วนซาน
 
 
หากเอ่ยถึงสาวใช้ทงฝังหลายคนในชาติก่อนของเขา หย่วนซานคือคนที่จริงใจกับเขาอยู่หลายส่วน ตอนที่เขาสูญเสียตำแหน่งคุณชายผู้สืบทอดทั้งยังกลายเป็นนักโทษก็มีเพียงหย่วนซานที่ไปเยี่ยมเขา ทั้งยังเอาเงินให้เขาอีกนับสิบตำลึง
 
 
ตอนที่เขาอับจนและเศร้าเสียใจอย่างที่สุด ไมตรีนั้นเขาจดจำไว้ในใจตลอดมา ภายหลังเขาจับน้องสามของตนในสงครามจึงถามถึงสาวใช้ผู้นั้นที่เคยมีใจจงรักภักดีต่อเขา น้องสามแค่นยิ้มเย็นแล้วบอกกับเขาว่า หย่วนซานตายไปนานแล้ว นางเถียนไม่อยากให้พวกนางอยู่ในเรือนจึงหาคนให้แต่งออกไป หยวนซ่านจึงวิ่งชนกำแพงตาย
 
 
เขายังจำท่าทีโกรธแค้นและเหยียดหยามของน้องสามได้ ‘พี่ใหญ่ ท่านเห็นหรือไม่ ขอเพียงเป็นคนใกล้ชิดกับท่านต่างก็ต้องพบจุดจบอันเลวร้าย! ทั้งที่ท่านเป็นผู้ทำผิดแต่กลับมิยอมรับโทษ แต่กลับไปเป็นบ่าวรับใช้กบฏจนทำให้จวนเจิ้นกั๋วของเราต้องเผชิญกับความยากลำบาก!’
 
 
หลัวเทียนเฉิงได้ฟังแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งใจในตัวสาวใช้ผู้จงรักผู้นั้นอยู่หลายส่วน
 
 
แน่นอนว่าเป็นเพราะนางเถียนตั้งใจจะแก้แค้นที่หย่วนซานให้เงินหลัวเทียนเฉิงจึงคิดยกนางให้กับพ่อบ้านที่ป่วยเป็นกามโรค แต่คุณชายสามสกุลหลัวมิได้เอ่ยถึงเพราะเขาไม่รู้รายละเอียดเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็เป็นสาวใช้ทงฝังของพี่ใหญ่ เขาย่อมมิไปใส่ใจอันใดมากนักแค่ได้ยินบ่าวไพร่พูดคุยกับโดยบังเอิญไม่กี่คราจึงได้ทราบว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
 
 
ดังนั้นแม้หลัวเทียนเฉิงจะตัดสินใจว่าจะอยู่ห่างจากสาวใช้ทงฝังทุกคนแต่กับหย่วนซานนั้นอย่างไรก็มีความแตกต่างกันอยู่หลายส่วน
 
 
แตกต่างเช่นไรหรือ
 
 
หากเป็นฉุยซิง จิ้งสุ่ยหรือคนอื่นๆ มายืนรอที่นี่ เกรงว่าเขาคงจะเตะกระเด็นไปไกลโดยไม่พูดจาอันใดสักคำแล้ว แต่เมื่อเป็นหย่วนซาน เขากลับยังมีความอดทนพอที่จะเอ่ยปฏิเสธ “ไม่ต้องถือตะเกียงให้ข้าดอก ข้ามองเห็น”
 
 
เขาพูดแล้วก็เดินก้าวยาวผ่านหย่วนซานไป กลิ่นหอมคล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นกำจายออกมาจากร่างนาง ไม่ทราบด้วยเหตุใด ใจของเขาก็พลันร้อนรุ่มขึ้นมาจึงชะงักฝีเท้าตนอย่างไม่รู้ตัว
 
 
หย่วนซานจับแขนเสื้อหลัวเทียนเฉิงไว้ทันที “ซื่อจื่อ“
 
 
หลัวเทียนเฉิงก้มหน้ามองมือนวลดุจที่จับแขนเสื้อเขาไว้แล้วขมวดคิ้วมองหน้าหย่วนซาน
 
 
“ซื่อจื่อ บ่าวมิกล้าขออันใดมาก เพียงอยากถือตะเกียงส่องทางให้ท่านเท่านั้น ท่านโปรดอย่าปฏิเสธบ่าวเลย ได้หรือไม่เจ้าคะ” นางเงยหน้าขึ้น ประกายคลื่นในดวงตาเต้นระริกอยู่ภายใน เป็นความรักความรู้สึกที่มิอาจปิดบังเอาไว้ได้
 
 
ไม่ทราบเหตุใดหลัวเทียนเฉิงจึงรู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจมากยิ่งขึ้นอีก
 
 
เมื่อต้องเผชิญกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรักความอาวรณ์ เขาก็ไพล่คิดไปว่าตนมิเคยได้เห็นท่าทางเช่นนี้จากเจี๋ยวเจี่ยวเลย แม้นางจะเริ่มชอบเขาแล้วแต่ความต่างระหว่างรักกับชอบนั้นมองแค่แวบเดียวก็สามารถแยกออกได้ชัดเจน
 
 
เขาเป็นคนละโมบยิ่งจึงอยากจะได้รับจากนางให้มากกว่านี้
 
 
กลิ่นหอมนั้นลอดมุดเข้าไปในโพรงจมูกหลัวเทียนเฉิงอย่างไร้สุ้มเสียง ทำให้เขารู้สึกสับสนวุ่นวายใจขึ้นมา
 
 
“ไปเถิด” เขาพยักหน้ารับดั่งพูดบอกเทพสั่ง
 
 
หย่วนซานพลันผลิยิ้มออกมาทันที รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ภายใต้แสงจันทร์อันขมุกขมัวนี้มันช่างดูงดงามอย่างยากจะบรรยายออกมาได้
 
 
ไม่ว่าใครก็ตามหากพบคนผู้หนึ่งที่เผยรอยยิ้มแห่งความรักภักดีอย่างหมดใจให้เขาก็คงยากที่จะไม่เกิดความซึ้งใจ
 
 
ในช่วงเวลาที่ไม่ทันรู้ตัวนี่ความรู้สึกปิดกั้นที่มีมาแต่แรกก็จืดจางลงไปหลายส่วน แต่ภาพที่นางช่วยเหลือตนในชาติก่อนกลับค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้น
 
 
คนทั้งสองผู้หนึ่งเดินนำหน้า ผู้หนึ่งเดินตามหลัง แต่หย่วนซานก็ทิ้งห่างหลัวเทียนเฉิงไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างยังคงได้กลิ่นกายของกันและกัน
 
 
เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่กำจายออกมาจากกายนาง นางก็ได้กลิ่นหอมของสุราที่คละคลุ้งออกมาจากกายเขา กลิ่นหอมสองชนิดนี้รัดรึงผสมผสานกันอยู่ทั่วบริเวณคล้ายแยกพวกเขาออกจากโลกภายนอกไปในทันที
 
 
เมื่อหลัวเทียนเฉิงเดินผ่านประตูไปจึงรู้สึกตัวว่านี่คือเรือนฝั่งตะวันตก เรือนพักของหย่วนซาน!
 
 
ร่างกายของเขาถึงกับมีปฏิกิริยาขึ้นมาโดยที่เขาไม่ทันแม้แต่จะรู้ตัว บริเวณใต้ท้องน้อยของชุดคลุมตัวยาวสีเขียวเข้มถูกผลักออกมาจนเกิดเป็นกระโจมเล็กหลังหนึ่ง
 
 
“ซื่อจื่อ…” เมื่อเห็นมีปฏิกิริยาเช่นนั้นหย่วนซานก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหวอีกจึงซบลงบนอกเขาด้วยร่างอันอ่อนปวกเปียก
 
 
กลิ่นนั้นกลับส่งกลิ่นหอมมากยิ่งขึ้น
 
 
มู่จือที่ยืนอยู่มุมประตูนั้นแทบจะบินทะยานเข้าไปในเรือนเลยทีเดียว
 
 
นางเป็นสาวใช้ขั้นสามและเพิ่งมารับตำแหน่งแทนเจี้ยงจูได้ไม่นานจึงไม่มีสิทธิ์ดูแลรับใช้ใกล้ชิดเจินเมี่ยว ยามนี้ฟ้าก็มืดแล้ว เมื่อนางวิ่งพรวดพราดเข้ามาจึงถูกไป๋เสาขวางไว้
 
 
“ต้าไหน่ไหน่กำลังอาบน้ำ วิ่งลนลานเข้ามาในนี้ทำอันใดกัน”
 
 
มู่จือร้อนใจจนวางเท้าไม่ติดพื้นแล้ว “พี่ไป๋เสา ข้าเห็น…เห็นซื่อจื่อไปที่เรือนฝั่งตะวันตก!”
 
 
ไป๋เสาหน้าเปลี่ยนสีไปทันที “จริงหรือ”
 
 
มู่จือพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าเห็นกับตา พี่ไป๋เสา ท่านรีบไปบอกต้าไหน่ไหน่เร็ว”
 
 
ไป๋เสากำลังจะหมุนกายจากไปแต่ก็ต้องชะงักหยุดทันที
 
 
อย่าว่าแต่บุรุษที่ฐานะเช่นซื่อจื่อเลย ไม่ว่าจะเป็นบุรุษคนใดหากคิดจะไปร่วมหลับนอนกับสาวใช้ทงฝัง ภรรยาเอกก็มิอาจทัดทานอันใดได้มิใช่หรือ
 
 
หากต้าไหน่ไหน่ทราบก็ทำได้แค่เพียงเสียใจ ความสัมพันธ์ที่กำลังดีขึ้นของคนทั้งสองจะกลับไปแย่ลงอีกหรือไม่
 
 
หากเป็นเช่นนั้นก็มิสู้ไม่รู้ดีกว่า
 
 
ไป๋เสาพลันเกิดความคิดนี้ขึ้นมาในหัวอย่างกะทันหัน แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวฉับๆ อยู่ภายในห้อง นางก็สะบัดศีรษะตนคราหนึ่ง
 
 
นางเป็นสาวใช้ใหญ่ของต้าไหน่ไหน่ นางอาจมีใจที่อยากปกป้องเจ้านายตน แต่ไม่ควรล้ำเส้นด้วยการตัดสินใจแทนต้าไหน่ไหน่โดยพลการ
 
 
ไป๋เสาจึงเดินเข้าไปด้านในทันที
 
 
เจินเมี่ยวเพิ่งอาบน้ำเสร็จ นางปล่อยผมเปลือยเท้านั่งอยู่บนขอบเตียง อาหลวนกำลังถือผ้าผืนนุ่มคอยเช็ดผมให้นางอยู่
 
 
เมื่อได้ยินเสียงคนนางก็หันไปมอง ครั้นเห็นว่ามีมู่จือตามมาด้วยก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “ไป๋เสา มีอันใดหรือ”
 
 
ภายในห้องมีเพียงอาหลวนและเยี่ยอิง ไป๋เสาจึงมิจำเป็นต้องอ้อมค้อมใดๆ แต่ก็ยังรู้สึกลำบากใจอยู่เล็กน้อยที่จะเอ่ยวาจานั้นออกมา นางสูดลมหายใจเข้าลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่เจ้าคะ มู่จือเห็นซื่อจื่อไปที่เรือนฝั่งตะวันออกเจ้าค่ะ!”
 
 
ยามนี้มิใช่เวลากลางวัน การไปที่เรือนฝั่งตะวันตกหมายความว่าอย่างไรนั้นคนที่อยู่ที่นี่ต่างเข้าใจดี
 
 
ผ้าผืนนุ่มที่อาหลวนใช้เช็ดผมให้เจินเมี่ยวร่วงลงพื้นทันที นางรีบก้มลงเก็บ รู้สึกไม่กล้ามองหน้าเจินเมี่ยวขึ้นมา จึงส่งสัญญาณให้เยี่ยอิงไปเปลี่ยนผ้าผืนใหม่มาให้
 
 
เยี่ยอิงกลับมัวแต่ตกตะลึงอยู่จึงมิเห็นสัญญาณที่อาหลวนส่งมาให้ตน
 
 
ชั่วขณะนั้นคล้ายว่าบรรยากาศทุกอย่างในห้องพลันหยุดชะงักไป
 
 
สุดท้ายเป็นเจินเมี่ยวเองที่เอ่ยปากถามขึ้นก่อนว่า “ซื่อจื่อไปหาใคร”
 
 
ทุกคนหันไปมองที่มู่จือ
 
 
มู่จือจึงเอ่ยว่า “บ่าวเห็นซื่อจื่อเข้าไปในห้องของเฉินอวี๋เจ้าค่ะ”
 
 
“ซื่อจื่อไปทำอันใดเล่า” เจินเมี่ยวขมวดคิ้ว
 
 
สาวใช้ทั้งหลายพลันเบ้ปากขึ้นพร้อมกัน ทั้งอดเอามือขึ้นก่ายหน้าผากมิได้
 
 
เหตุใดเมื่อเรื่องอันน่ากระอักกระอ่วนที่ทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดใจนี้ถูกเอ่ยออกมาจากปากของต้าไหน่ไหน่แล้วกลับให้ความรู้สึกว่ามันมิได้หนักหนาอันใดเลย
 
 
ครั้นเห็นว่าเจินเมี่ยวยังคงรอให้ตอบคำถาม ไป๋เสาจึงแข็งใจเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่เจ้าค่ะ ท่านกินยาอยู่ตลอดจึงมิอาจปรนนิบัติซื่อจื่อได้ คิดว่าซื่อจื่อคง คง…”
 
 
เจินเมี่ยวตกใจขึ้นมา “ซื่อจื่อจะไปนอนที่ห้องของหย่วนซานงั้นหรือ”
 
 
ในความคิดของนางนั้นแม้ยามที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองย่ำแย่ที่สุดเขาก็ยังไม่เคยไปนอนกับสาวใช้ทงฝังสักครั้ง แล้วยามนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว เขาไม่มีเหตุผลใดที่ต้องทำเรื่องเช่นนั้นเลย
 
 
จุดสำคัญที่สุดที่ทำให้นางค่อยๆ เอาเขาเข้ามาไว้ในหัวใจทีละนิดๆ นั้นก็เพราะเขามิได้เที่ยวนอนกับสตรีไปทั่วในตอนที่แต่งงานกับนางแล้ว
 
 
มิใช่ว่านางเก่งกาจอยู่เหนือสตรีอื่นอยู่ขั้นหนึ่ง สามีผู้อื่นล้วนเป็นเช่นนี้นางมีสิทธิ์อันใดไปแง่งอน
 
 
แต่อย่างไรนางก็มาจากโลกที่ต่างกัน บุรุษผู้หนึ่งร่วมหลับนอนกับสตรีมากหน้าหลายตาในเวลาเดียวกัน นางรู้ดีว่าสำหรับที่นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในด้านความรู้สึกนางกลับมิอาจรับได้ แน่นอนว่านางมิอาจทำอันใดได้แต่อย่างน้อยนางก็สามารถรักษาใจของตนไว้มิให้เอาไปมอบแก่บุรุษเช่นนั้น
 
 
แต่การกระทำของหลัวเทียนเฉิงได้ทลายความกังวลใจของนางไปเสียสิ้น ทำให้นางค่อยๆ ชอบเขา เช่นนั้นนางก็จะเชื่อใจเขา
 
 
ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยานั้นอาจจะต้องวางความรักไว้หลังความเชื่อใจมันจึงจะคงอยู่ได้นาน
 
 
ในเมื่อนางคิดว่าจะใช้ชีวิตอันยาวนานอย่างมีความสุขไปด้วยกัน ทั้งเขายังมีฝันร้ายที่เคยเผชิญเมื่อชาติก่อนอีก เช่นนั้นางก็ยินดีที่จะมอบความเชื่อใจให้เขาก่อน
 
 
“อาหลวนช่วยเช็ดผมให้ข้าเร็วเข้า” เจินเมี่ยวเอ่ยกำชับคราหนึ่ง แล้วหันไปไป๋เสาว่า “ไป๋เสา เจ้าไปบอกซื่อจื่อที่เรือนฝั่งตะวันตกว่าหากเขาจัดการธุระเสร็จแล้วให้มาที่นี่ ข้ารอเขาอยู่”
 
 
“ต้าไหน่ไหน่?” ไป๋เสาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าต้าไหน่ไหน่จะไม่มีอาการโกรธเคืองสักนิด ทั้งยังคิดไปว่าซื่อจื่อไปหาหย่วนซานเพราะมีธุระ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
 
 
“ไปเถิด”
 
 
ไป๋เสาอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็มิได้พูดออกไป สุดท้ายจึงหมุนกายเดินออกไป นางออกจากห้องเดินเข้าไปในความมืด ในมือถือโคมสีเหลืองเข้ม ยิ่งใกล้เรือนฝั่งตะวันตกมากเท่าใด เท้าของนางก็เริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
 
 
ต้าไหน่ไหน่คงจะต้องเสียใจแน่กระมัง?
 
 
 
 
——
 
 
[1] หย่วนซาน (远山) แปลว่าหุบเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป มองเห็นอยู่ไกลลิบๆ 
 
 
ตอนที่ 310 วิธีแก้ปัญหา
 
ร่างอันบอบบางหอมกรุ่นนั้นขยับเข้ามาใกล้ กายของหลัวเทียนเฉิงเห่อร้อนไปหมด ร้อนจนเขาเกิดความคิดที่อยากจะขจัดมันไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่ใจของเขากลับค่อยๆ เย็นเยียบขึ้น
 
 
การสูญเสียการควบคุมเช่นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเขาได้!
 
 
คล้ายว่ามีเขาอีกผู้หนึ่งที่แยกร่างออกไปยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเฉยเมย
 
 
เขาอยากจะดูสักหน่อยว่าที่แท้แล้วมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่
 
 
หย่วนซานเห็นหลัวเทียนเฉิงมิผลักนางก็ยินดีอยู่ในใจ
 
 
ซื่อจื่อมิได้แตะต้องกายนางมาสองปีแล้ว ภายในความปีติอย่างที่สุดนี้ นางจึงมิไปสนใจกริยาท่าทีที่สตรีควรมีอีกต่อไปแล้ว นางยื่นมือขาวดุจหยกเข้าไปกอบกุมกระโจมน้อยนั้นของเขาไว้โดยที่มิเดินเข้าไปแม้แต่ในห้องนอนด้วยซ้ำ
 
 
หลัวเทียนเฉิงพลันสูดพลันหายใจเข้าท้อง แล้วกัดริมฝีปากไว้กระทั่งได้กินคาวโลหิตจางๆ คล้ายมีน้ำแข็งก่อตัวขึ้นในแววตาเบื้องลึกของเขากระนั้น เขาจ้องพินิจหย่วนซานด้วยสีหน้าเรียบเฉย
 
 
หย่วนซานถอดเสื้อตัวนอกทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
 
 
เสื้อผ้ายามวสันต์นั้นมิได้หนาและสวมใส่ยุ่งยากเท่าเสื้อผ้ายามเหมันต์ ชุดที่หย่วนซานใส่ในวันนี้ก็บางเป็นพิเศษ นางจึงใช้เวลาเพียงไม่นานก็ปลดเปลื้องจนเหลือเพียงเสื้อตัวในสีขาวหิมะตัวเดียว
 
 
เมื่อชุดกระโปรงนั้นร่วงลงสู่พื้น หลิ่นหอมนั้นก็ยิ่งส่งกลิ่นฉุนมากขึ้นกว่าเดิม
 
 
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกถึงความปวดหนึบตรงบริเวณนั้นขึ้นมา ความเจ็บปวดนี้มันช่างรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ คล้ายว่าหากมิสอดตัวผสานกายกับสตรีตรงหน้าร่างของเขาก็จะระเบิดออกมากระนั้น
 
 
ทว่าความปวดหนึบชนิดนี้กลับทำให้เขามีสติมากยิ่งโดยแยกออกจากกายของเขาอย่างสิ้นเชิง
 
 
หย่วนซานในตอนนี้เป็นหย่วนซานคนเดียวกับที่เคยให้เงินเขาตอนตกอับเมื่อชาติก่อนหรือไม่
 
 
เป็นหยวนซานที่ยอมตายเพียงเพราะไม่ยินยอมที่จะแต่งงานกับบุรุษอื่น?
 
 
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกสับสนขึ้นมา
 
 
คล้ายว่าตรงหน้าเขานั้นมีความมืดมิดทะมึนอันไร้ขอบเขต และเขาก็เป็นเพียงเรือไม้ใบที่ลอยเคว้งอยู่เพียงลำพังและพยายามที่จะลอยตัวอยู่ให้ได้บนน้ำอันเย็นยะเยือกในความมืดมิด
 
 
ที่แท้แล้วอันใดคือถูก อันใดคือผิด คนที่เคยทำร้ายเขาเมื่อชาติก่อนเขาย่อมเอาคืนอย่างไม่ไว้ไมตรี ผู้ที่มีบุญคุณต่อเขา เขาย่อมปฏิบัติด้วยอย่างดี เช่นนี้มีอันใดไม่ถูกต้องหรือ
 
 
ข้อยกเว้นหนึ่งเดียวนั้นมีเพียงเจี๋ยวเจี่ยว
 
 
คำสองคำนี้คล้ายดั่งลำแสงสว่างสายหนึ่งที่มาขับไล่ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดนั้นออกไปในทันใด
 
 
‘ชีวิตของคนผู้หนึ่งตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบใหญ่นั้น การเลือกทางเดินบางอย่างโดยไม่รู้ตัวอาจจะเปลี่ยนตัวเขาไปตลอดกาล ท่านจะเห็นเพียงสิ่งที่พวกเขาเป็นในตอนสุดท้าย แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นเด็กน้อยที่เคยเห็นเมื่อคราแรกเริ่มเล่า?’
 
 
วาจาที่เจินเมี่ยวเคยเอ่ยนั้นดังขึ้นข้างหูคล้ายแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ขับไล่หมอกควันที่ทำให้คนสับสนให้มลายหายไป
 
 
ใช่แล้ว หย่วนซานตรงหน้ากับหย่วนซานเมื่อชาติก่อนนั้นมีส่วนที่เหมือนกันและส่วนที่ไม่เหมือนกัน ไม่! อาจบอกได้ว่าเป็นเพราะการปฏิบัติตัวของเขาที่มีต่อหย่วนซานในชาตินี้ไม่เหมือนเดิม นางจึงเลือกทางเดินที่ต่างออกไปเช่นกัน
 
 
‘ซับซ้อน’ นั่นแลจึงเรียกว่ามนุษย์ที่แท้จริง
 
 
การกระทำของหย่วนซานในชาติก่อนนั้นทำให้เขาอภัยให้นางได้ในหลายๆ สิ่งแต่กลับมิได้มีผลต่อการตัดสินใจของเขาอย่างเด็ดขาด
 
 
ชั่วขณะนี้หลัวเทียนเฉิงกลับกระจ่างแจ้งขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
 
 
หย่วนซานหน้าแดงก่ำ ดวงตาปรือ ผมยาวสลวยที่ไม่ทราบถูกปล่อยกระจายลงมาตั้งแต่เมื่อใด คล้ายพรายน้ำที่มาพร้อมไอหมอกที่คอยกอดเกี่ยวรอบคอของหลัวเทียนเฉิงอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมจางๆ
 
 
นางเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อยหวังประทับจุมพิตที่ริมฝีปากเขา
 
 
เมื่อเขาเห็นริมฝีปากบางนั้นเผยอขึ้นเล็กน้อยก็ก้มหน้าพ่นวาจาหนึ่งออกมา “หย่วนซาน เจ้าพรมสิ่งใดบนกายข้า?”
 
 
คนทั้งสองยังคงยืนอยู่ส่วนด้านหน้านอกห้องนอน แสงตะเกียงอันริบหรี่นั้นได้สาดสะท้อนให้เงาของคนทั้งสองปรากฏขึ้นบนผ้าม่านโปร่งสีเขียวหยกที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่ไม่นานนี้เอง
 
 
ตอนที่ไป๋เสาถือโคมเดินเข้ามาก็เห็นยาวสูงโปร่งดุจต้นสนเขียวของบุรุษผู้หนึ่งยืนตัวตรงดุจพู่กันอยู่ ส่วนเงาอันอรชรดุจกิ่งหลิวของสตรีนั้นยกสองมือขึ้นถอดชุดกระโปรงของตนออกอย่างรวดเร็ว
 
 
นางเห็นกระทั่งชุดกระโปรงที่ปลิวลอยร่วงหล่นลงพื้นไปอย่างรวดเร็วภายใต้เงาที่สะท้อนอยู่บนผ้าม่านของหน้าต่าง
 
 
ไป๋เสาหน้าแดงขึ้นมาทันใด
 
 
ส่วนหนึ่งคือเขินอาย อีกส่วนหนึ่งคือโทสะ
 
 
คนทั้งสองที่อยู่ด้านในนั้นต้องรีบร้อนเพียงใดกัน จึงได้ถอดเสื้อปลดชุดกันตั้งแต่ยังมิทันได้เข้าไปในห้องนอนเลยด้วยซ้ำ!
 
 
ต้าไหน่ไหน่ช่างโง่เขลานัก!
 
 
ไป๋เสาคิดถึงเจินเมี่ยวแล้วก็รู้สึกว่าวาจาทั้งหลายที่นางเพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่นั้นช่างดูโง่เขลายิ่ง แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างที่สุดแทนนางด้วยเช่นกัน
 
 
ไป๋เสาหมุนกายจากไปอย่างรีบร้อนแต่ตอนที่จะเดินผ่านประตูเย่ว์ต้งก็ไม่ทราบว่าเท้าไปสะดุดกับสิ่งใดเข้าจึงเซถลาไปด้านหน้า ทว่านางคว้ากำแพงไว้ได้จึงมิล้มคะมำลงไปแต่หน้าผากกลับชนเข้าที่ขอบประตู
 
 
ความเจ็บลึกนั้นประเดประดังเข้ามา โคมในมือจึงร่วงหล่นลงพื้น แสงไฟกะพริบปริบๆ ครู่หนึ่งก็ดับไป
 
 
เมื่อความมืดมิดมาเยือนกะทันหัน ไป๋เสาจึงมองทางข้างหน้าไม่เห็นอันใดเลย แต่นางกลับไม่สนใจยังคงรีบร้อนเดินมุ่งหน้าต่อไป
 
 
นางผลักประตูออกโดยแรง เจินเมี่ยวที่เช็ดผมเสร็จแล้วกำลังนั่งอยู่บนตั่ง มีเยี่ยอิงถือหวีทรงเขาวัวสีเหลืองเข้มที่ยืนอยู่ด้านหลังคอยหวีผมให้
 
 
นี่เป็นเรื่องที่เยี่ยอิงนั้นทำเป็นปกติทุกครั้งหลังจากเจินเมี่ยวสระผมเสร็จ ทว่าวันนี้เยี่ยอิงกลับดูเหม่อลอยเป็นพิเศษ ในช่วงขณะก่อนที่ไป๋เสาจะเข้ามานั้นนางก็เผลอลากหวีแรงไปทำให้เส้นผมดำขลับของเจินเมี่ยวขาดออกมาถึงสองเส้น
 
 
เจินเมี่ยวร้องโอ๊ยด้วยความเจ็บคราหนึ่งแต่มิได้เอ่ยตำหนิเยี่ยอิง ทว่ากลับมองไปยังไป๋เสาที่ใบหน้าขาวซีดซึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู
 
 
“ไป๋เสา?”
 
 
ไป๋เสาคล้ายรู้แล้วว่าท่าทีของตนนั้นออกจากเสียกิริยาไปสักหน่อยจึงฝืนยกมุมปากขึ้นยิ้ม แล้วพยายามใช้น้ำเสียงอันราบเรียบที่สุดเอ่ยออกไปว่า “ต้าไหน่ไหน่ ซื่อจื่อ…ซื่อจื่อคงนอนกับ…”
 
 
“นอน?” เจินเมี่ยวลุกขึ้นทันใด “ที่ห้องของหย่วนซานหรือ”
 
 
ดวงตาคู่นั้นของนางงดงามอย่างที่สุด ทั้งสุกใสและแวววาว แต่ไป๋เสากลับไม่กล้ามองจึงทำเพียงพยักหน้าเบาๆ ทุกคราที่พยักหน้าล้วนรู้สึกหนักอึ้งนับพันชั่ง
 
 
กระทั่งยามคิดถึงวาจาอันแสดงถึงความเชื่อใจของต้าไหน่ไหน่เมื่อครู่แล้วนางยังรู้สึกแย่และเจ็บปวดแทน
 
 
“ข้าไม่เชื่อ” เจินเมี่ยวเม้มปากตน แล้วก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอกทันที “ข้าจะไปดูให้เห็นกับตา”
 
 
ไป๋เสารีบเข้าไปขวางไว้ตามสัญชาตญาณ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ต้าไหน่ไหน่ ท่านไม่ได้นะเจ้าคะ!”
 
 
เจินเมี่ยวมิได้เอ่ยวาจาใด เพียงเลิกคิ้วขึ้นเท่านั้น
 
 
ไป๋เสากัดฟันตนเอ่ยออกมาว่า “ซื่อจื่อกำลังอยู่กับหย่วนซาน ท่านจะไปไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ”
 
 
หากเห็นภาพเช่นนั้นคงต้องเสียใจมากแน่!
 
 
เจินเมี่ยวชะงักเท้าครู่หนึ่ง แต่ก็เพียงครู่หนึ่งเท่านั้น สุดท้ายนางก็เดินอ้อมไป๋เสาแล้วพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
 
 
ไป๋เสากับเยี่ยอิงต่างตกตะลึงขึ้นพร้อมกัน อาหลวนรีบหยิบเสื้อคลุมกันลมที่พาดอยู่บนฉากบังลมแล้ววิ่งตามไปทันที
 
 
ไป๋เสาและอาหลวนจึงวิ่งตามไปติดๆ
 
 
เจินเมี่ยววิ่งเร็วดุจบินได้ก็มิปาน นางนั้นมือเท้าว่องไวกว่าอาหลวนยิ่ง เมื่อทะยานวิ่งออกไปเช่นนี้ มีหรืออาหลวนที่มือถือเสื้อคลุมไปด้วยนั้นจะตามทัน
 
 
ครั้นเห็นเงาร่างของคนสองคนที่แนบชิดกันสะท้อนอยู่บนผ้าม่านหน้าต่าง นางกลับมิได้จากไปอย่างสิ้นหวังดั่งสตรีส่วนใหญ่
 
 
หูฟังอาจเพี้ยนตาเห็นจึงเป็นจริง ทว่าบางคราการมองเห็นก็สามารถหลอกคนได้เช่นกัน
 
 
แค่เพียงเงาเท่านั้น หากคนทั้งสองยืนผิดตำแหน่งทำให้เกิดภาพที่ผิดเพี้ยนก็เป็นได้!
 
 
นางจะต้องเห็นเขากับตาอย่างชัดเจนจึงสามารถสงบจิตใจได้
 
 
หรือไม่ก็ตัดใจได้!
 
 
หากยังมิเข้าใจอย่างกระจ่างก็หมุนกายจากไปเงียบๆ แล้วตัดสินโทษตายให้แก่คนผู้นั้นทันทีย่อมมิใช่วิสัยของนางแน่
 
 
หลัวเทียนเฉิงเดินตามหย่วนซานเข้าห้องไปเพราะเขาสงสัยและอยากจะรู้ว่านางใช้วิธีใดถึงทำให้ร่างกายของเขามีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาได้
 
 
เขากล้าบอกได้เลยว่า หากเกิดปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายเช่นนี้ขึ้นกับบุรุษอื่นนั้นเกรงว่าคงมิอาจยับยั้งต้านทานได้แน่
 
 
เรื่องนี้เป็นแผนของอารองกับอาสะใภ้รองหรือพวกเผ่าเย่ว์อี๋ รัชทายาทพระองค์ก่อนหรือไม่
 
 
เขาสืบเรื่องนี้มานานแล้ว แม้จะยังไม่พบข้อมูลอันใดนักแต่ก็พอจะรู้ว่าเผ่าเย่ว์อี๋นั้นดูเหมือนจะมีความแค้นกับจวนกั๋วกงเป็นพิเศษ
 
 
เรื่องนี้เข้าใจไม่ยากเลย เพราะบิดาของเขาเป็นผู้คอยสนับสนุนจั่งกงจู่เองทั้งยังเป็นผู้นับทัพเข้าไปบุกโจมตีเผ่าเย่ว์อี๋ด้วย เมื่อเผ่าพันธุ์ต้องสูญสิ้นก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะเอาความแค้นทั้งหมดมาโยนใส่จวนเจิ้นกั๋วกง
 
 
เดิมนั้นหลัวเทียนเฉิงก็มิได้คิดว่าจะเข้ามาร่วมหลับนอนกับผู้ใด เขาจึงมิได้ขัดประตูไว้
 
 
เมื่อเจินเมี่ยวมาถึงหน้าประตู นางก็ผลักประตูเปิดออกอย่างไม่ลังเลและไม่อยากที่จะลังเล
 
 
นางเห็นภาพทุกอย่างที่อยู่ภายในห้องอย่างชัดเจน
 
 
“หย่วนซาน เจ้าพรมสิ่งใดบนกายข้า?” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา ครั้นเอ่ยจบ สองมือแขนของหย่วนซานก็เข้ามาคล้องคอเขาไว้พอดี
 
 
ผู้หนึ่งเอ่ยถาม ผู้หนึ่งตกใจ
 
 
หย่วนซานที่กำลังเขย่งเท้าอยู่นั้นถึงกลับลืมกริยาทุกอย่าง ในหัวขาวโพลนไปหมด
 
 
วิธีเค้นความจริงของหลัวเทียนเฉิงนั้นคือการทำให้อีกฝ่ายเกิดความกดดันแล้วเอ่ยความจริงออกมาโดยไม่รู้ตัว และถ้าหากอยากสร้างความกดดันที่ว่านั้นก็ต้องรักษาท่าทีสุขุมนุ่มลึกยากจะคาดเดาเอาไว้และเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุดเพื่อมิให้อีกฝ่ายรู้ตัวเสียก่อน
 
 
ในขณะที่คนทั้งสองกำลังอยู่ในอิริยาบถที่กล่าวมา พวกเขาก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออกจึงหันไปมองพร้อมกัน
 
 
หลัวเทียนเฉิงตัวแข็งค้างขึ้นมาทันใด
 
 
เจินเมี่ยวสวมเพียงเสื้อตัวในสีขาวราวหิมะ ที่เท้าสวมรองเท้าผ้าบางสีเหลืองอ่อน ผมดำขลับนั้นปล่อยสยายปลิวสะบัดตามการเคลื่อนไหวเมื่อยามเปิดประตูออก แล้วหยุดยืนอยู่ระหว่างความมืดและสว่างคล้ายวิญญาณบุปผาที่แปลงกายขึ้นจากหมอกในยามราตรีที่พร้อมจะปลิวละล่องไปตามลมได้ทุกเมื่อ
 
 
“เจี๋ยวเจี่ยว!”
 
 
เวลานี้เองที่ความหวาดกลัวอย่างยิ่งยวดได้จู่โจมเข้ามา หลัวเทียนเฉิงรีบวิ่งเข้าไปหาแล้วจับมือนางไว้
 
 
เขากลัวว่านางจะหันกายจากไปแล้วไม่ไยดีเขาอีกเลยนับตั้งแต่จากนี้
 
 
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าฟังข้าก่อน!”
 
 
เจินเมี่วมองหย่วนซานที่สวมเสื้อตัวในเช่นเดียวกันกับตนคราหนึ่ง
 
 
รูปแบบของเสื้อตัวในที่สวมใส่ก็ไม่ต่างกันมากนัก ส่วนมากก็มักเป็นสีขาว ยามนี้ทั้งสองยังใส่เสื้อตัวในเหมือนกันอีก ดูไปแล้วก็แทบไม่ต่างอันใดกันเลย
 
 
หนึ่งภรรยาหนึ่งสาวใช้ต่างสวมใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกันยืนเผชิญหน้าอยู่กับบุรุษผู้เป็นสามีในห้องของสาวใช้ทงฝัง สำหรับภรรยาเอกแล้วมันคือเหยียดหยามชนิดใดกัน!
 
 
ไป๋เสาและอาหลวนที่ตามมาถึงต่างก็ใช้สายตาโกรธเคืองมองไปที่หลัวเทียนเฉิงและหย่วนซานที่หน้าดำดุจดิน
 
 
พวกนางคิดว่าที่หย่วนซานมีสีหน้าย่ำแย่เช่นนี้เพราะถูกต้าไหน่ไหน่เข้าไปขัดขวางเรื่องดีงามของตนยังต้องฟังซื่อจื่อเอ่ยอันใดอีก เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว พูดอันใดออกมาก็คงเป็นเพียงคำแก้ตัว!
 
 
ทุกคนล้วนคิดเช่นนี้
 
 
แม้แต่หย่วนซานที่เพิ่งมีสติคืนมาจากความตกใจในคำถามเมื่อครู่ของหลัวเทียนเฉิงก็ยังเกิดความรู้สึกสุขใจชนิดหนึ่งซึ่งยากจะบรรยายออกมาได้เมื่อเห็นเจินเมี่ยวที่สวมใส่เสื้อผ้ายังไม่เรียบร้อยดีนั้น
 
 
ถูกต้อง…นางรู้สึกอิจฉาริษยาสตรีผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าตนจนแทบบ้าคลั่ง!
 
 
นางไม่ขออันใดมากเลย ขอแค่ได้อยู่เคียงข้างซื่อจื่อไปชั่วชีวิตก็พอ ซื่อจื่อมีภรรยาแล้วนางมิกล้าคิดแย่งชิงด้วยซ้ำ แค่มาหานางเดือนละครั้งสองครั้งให้นางได้ใกล้ชิดเขาบ้าง นางก็พอใจแล้ว
 
 
แต่สตรีผู้นี้กลับมิยอมให้โอกาสนางแม้แต่น้อยนิด!
 
 
มีสิทธิ์อันใด
 
 
นางเป็นสาวใช้ทงฝังของซื่อจื่อมีหน้าที่ปรนนิบัติซื่อจื่อมิใช่หรือ
 
 
นางทำผิดอันใดเล่า
 
 
เพียงเพราะนางมีฐานะต่ำต้อย ดังนั้นแม้จะพบกับซื่อจื่อและเป็นคนของเขาก่อนด้วยซ้ำ แต่โอกาสที่จะได้อยู่เคียงข้างเขาไปตลอดชีวิตอย่างเจียมตัวกลับไม่มีสักนิดเลยหรือ
 
 
แม้แต่หวงโฮ่วยังมิบ้าอำนาจถึงเพียงนี้!
 
 
ความหวาดกลัวอันมากหลายที่เกิดขึ้นเพราะถูกหลัวเทียนเฉิงจับได้ถึงความผิดปกติของหย่วนซานนั้นได้อันตรธานหายไปในเวลานี้เอง นางเผยท่าทีหงุดหงิดระคนขมขื่นที่เรื่องดีงามของตนถูกขัดขวางออกมาตามสัญชาตญาณแทบจะในทันที แล้วจึงคุกเข่าลงเสียงดังพลั่กคราหนึ่ง ทั้งเอ่ยด้วยตัวสั่นงันงกในขณะที่สวมเสื้อตัวในอยู่ว่า “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวผิดเองเจ้าค่ะ อย่าได้เข้าใจซื่อจื่อผิดไปเลย!”
 
 
ซื่อจื่ออยู่ในห้องนาง บริเวณนั้นของเขายังคงชูชันอยู่เพราะผลจากกลิ่นหอมนั่น เข้าใจผิดอันใดกัน เหอะๆ
 
 
หย่วนซานอยากจะหัวเราะออกมาเหลือเกิน
 
 
หากต้าไหน่ไหน่กับซื่อจื่อผิดใจกันขึ้นมา บางทีนางอาจจะได้ใกล้ชิดกับซื่อจื่อขึ้นมาจริงๆ แล้วก็ได้ว่าหรือไม่ 
 
 
ตอนที่ 311 จัดการ
 
เจินเมี่ยวหันไปมองหลัวเทียนเฉิงอีกครา
 
 
เขาสวมชุดคลุมยาวเข้ารูปสีสันแปลกตาขับให้งดงามราวจันทร์กระจ่างในคืนลมพัดโชย แต่กระโจมหลังน้อยที่ชูชันขึ้นมานั้นกลับทำลายความรู้สึกงดงามทั้งหมดไปจนสิ้น
 
 
เจินเมี่ยวมีท่าทีแปลกไปเล็กน้อย
 
 
ผู้หนึ่งยังคงมีอารมณ์ตอบสนองเช่นนั้นอยู่ได้ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเขามิถูกวางยาบางชนิดมันคงดูไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง!
 
 
ทว่านางกลับยังคงอยากเตะกระโจมน้อยที่มันขวางตานั้นให้ล้มคว่ำลงไปอยู่ดี ทำอย่างไรเล่า
 
 
นางรู้สึกอึดอัดและทรมานใจยิ่ง
 
 
พวกเขามิได้ทำอันใดกันก็จริง แต่หากนางไม่มา พวกเขาอาจจะสมหวังกันไปแล้วใช่หรือไม่
 
 
กลิ่นหอมหวานเลี่ยนในอากาศนั้นทำให้นางรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
 
 
เจินเมี่ยวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
 
 
หากคำอธิบายของเขาคือการถูกวางยา เช่นนั้นนางจะเก็บความชอบที่มีต่อเขากลับคืนมาทันหรือไม่?
 
 
ในชีวิตทั้งสองภพของนาง นี่เป็นครั้งแรกที่ชอบบุรุษขึ้นมาสักคนหนึ่ง นางไม่รู้ว่าหากสตรีอื่นพบเจอเรื่องเช่นนี้จะมีปฏิกิริยาเช่นไร แต่สำหรับนางมันช่างทรมานนัก
 
 
เจินเมี่ยวยื่นมือออกไปแกะนิ้วมือของหลัวเทียนเฉิงที่จับข้อมือนางไว้ เมื่อเห็นเขาอ้าปากคิดจะเอ่ยวาจา นางก็ยกนิ้วชี้ขึ้นจ่อที่ริมฝีปากเขาแล้วเอ่ยว่า “ข้าย่อมต้องฟังคำอธิบายของท่านแน่ แต่มิใช่ตอนนี้ ท่านไปจัดการปัญหาตรงหน้าท่านก่อนเถิด”
 
 
นางหมุนกายเดินจากไป ยามรองเท้าผ้าบางสีเหลืองอ่อนเหยียบลงพื้นนั้นไร้สุ้มเสียงแต่เศษหินเล็กๆ กลับทิ่มเท้าจนรู้สึกเจ็บ
 
 
ไป๋เสาและอาหลวนรีบวิ่งตามไปทันที
 
 
หลัวเทียนเฉิงมองมือตนเองอย่างอึ้ง เขาล้วงเอานกหวีดอันประณีตออกมาจากแขนเสื้อแล้วเป่าคราหนึ่ง
 
 
เพียงเค่อก็มีบุรุษหน้าตาธรรมดาสองคนปรากฏตัวขึ้น
 
 
“เฝ้านางไว้ให้ดีอย่าให้เป็นอันใดเด็ดขาด และไม่ต้องแตะต้องของทุกชิ้นในนี้”
 
 
เขาเอ่ยวาจานี้จบก็วิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานก็ตามทันเจินเมี่ยว
 
 
หลัวเทียนเฉิงเข้าไปอุ้มเจินเมี่ยวขึ้นต่อหน้าไป๋เสาและอาหลวน ทั้งไม่สนต่อเสียงร้องตกใจและการทุบตีของนาง เขาอุ้มนางมุ่งหน้าไปที่ห้องโถงของเรือนหลัก
 
 
เจินเมี่ยวโกรธอย่างยิ่งจึงกัดเข้าไปที่ไหล่ของเขาโดยแรง แม้นได้ลิ้มชิมรสคาวของโลหิตก็ยังไม่ยอมหยุด
 
 
หลัวเทียนเฉิงลูบหลังนางแผ่วเบาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเกิดเถิด ขอเพียงมันช่วยคลายโทสะให้เจ้าได้ก็พอ”
 
 
เจินเมี่ยวกลับไม่มีแรงกัดแล้ว นางพลิกกายหันหลังพิงเขาแล้วเอ่ยเสียเบาว่า “หลัวเทียนเฉิง ข้าก็เหนื่อยเป็นเช่นกัน”
 
 
ใช่ ชาติก่อนเขาต้องพบเจอเรื่องร้ายๆ มามาก ในเมื่อนางครอบครองร่างนี้ก็ควรชดใช้หนี้ที่ร่างนี้ติดค้างไว้ แต่หากว่ากันตามจริงแล้วนางมีความผิดอันใดเล่า
 
 
หากเลือกได้นางคงไม่ยอมมาอยู่ในร่างนี้ ต่อให้งดงามหยาดเยิ้มหาใดเปรียบแล้วอย่างไร นางแค่อยากมีชีวิตที่อิสระและเรียบง่าย
 
 
และมีบุรุษธรรมดาๆ สักคนที่รักนางเพียงคนเดียว ไม่ต้องคอยกังวลว่าใจของเขานั้นแบกปมอันใดไว้ แล้วจะเสียสติคลุ้มคลั่งขึ้นมาเมื่อใด
 
 
“เจี๋ยวเจี่ยว…” หลัวเทียนเฉิงร้องเรียกนางเสียงหนึ่ง
 
 
เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว
 
 
เขาไม่ควรมั่นใจในตนเองเกินไป เมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของหย่วนซานจึงคิดจะจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมดเงียบๆ
 
 
เขาจึงตัดสินใจบอกนางไปตามความจริง
 
 
“ค่ำนี้หย่วนซานถือตะเกียงไปรับข้าที่หน้าประตู กล่าวตามจริงแล้วแม้ข้ามิได้มีความรู้สึกกับนางฉันหนุ่มสาว แต่เมื่อคิดถึงอดีตที่ผ่านมาจึงมิได้ปฏิเสธการมารับของนาง แต่ภายหลังข้ารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปของร่างกายจึงคิดว่าหย่วนซานต้องมีบางอย่างที่ผิดปรกติแน่ ข้าเลยผลักเรือตามน้ำยอมตามนางไปในห้องเพราะอยากจะรู้ว่านางจะทำอันใดกันแน่ แต่เจ้าก็มาพอดี”
 
 
เขายื่นมือออกไปจับร่างเจินเมี่ยวให้หันมาสบตากัน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “เจี๋ยวเจี่ยวข้ามิได้แก้ตัวนะ ข้าไม่เคยคิดว่าจะมีอันใดกับหย่วนซานเลยและไม่มีทางที่จะทำอันใดกับนางแน่ ไม่ว่าเจ้าจะมาหรือไม่ ผลก็ยังคงเป็นเช่นเดิม”
 
 
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถึงตรงนี้ก็หน้าม่อยขึ้นมาเล็กน้อย
 
 
เกรงว่าวาจานี้คงไม่มีคนเชื่อแน่ ไม่ว่าผู้ใดก็คงคิดว่าเพราะเจี๋ยวเจี่ยวไปเห็นเข้าเรื่องดีงามนั้นจึงถูกทำลายลง
 
 
แต่ที่ต้องถูกเข้าใจผิดก็เป็นเพราะเขาเลือกวิธีผิดเองจึงไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะไปโวยวายอันใด
 
 
“เจี๋ยวเจี่ยวข้าทำให้เจ้าต้องเสียใจ ข้าผิดไปแล้ว”
 
 
นิ่งเงียบอยู่นาน เจินเมี่ยวจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ว่าข้าจะไปหรือไม่ ท่านก็ยังควบคุมตนเองได้งั้นหรือ”
 
 
หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า
 
 
เจินเมี่ยวแค่นยิ้มออกมา “หลัวเทียนเฉิง ท่านเห็นข้าเป็นคนโง่หรือจึงปลอบข้าเช่นนี้”
 
 
นางเบิกตามองใบหน้าที่ค่อยๆ ถอดสีของเขาแล้วจึงพอรู้สึกเบิกบานขึ้นมาบ้าง
 
 
ความจริงนางเชื่อเขา
 
 
บุรุษเช่นเขานั้นมิใคร่ชำนาญเรื่องการโป้ปดสักเท่าใดนัก
 
 
แต่ในเมื่อนางยังรู้สึกเจ็บปวดทรมานใจอยู่ แล้วเหตุจึงจะยอมให้อภัยเขาง่ายๆ เล่า เพื่อให้เขาสบายใจงั้นหรือ
 
 
เขาเองก็ต้องลิ้มชิมกับรสชาติอันแสนทรมานนี้เช่นกันจะได้จดจำไว้ให้มั่น!
 
 
การค้นหาความจริงให้กระจ่างนั้นมีนับพันนับหมื่นวิธี เขาอาจจะเลือกวิธีที่ได้ผลที่สุด แต่มันก็เป็นวิธีที่ทำให้นางเจ็บปวดทรมานที่สุดเช่นกัน!
 
 
หากเขามิเข้าใจในจุดนี้ ภายหน้าพวกเขาทั้งสองก็คงไปกันได้ไม่ถึงไหน
 
 
“ท่านออกไปเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ” เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงเรียบ
 
 
หลัวเทียนเฉิงกลับมิยอมขยับ
 
 
เจินเมี่ยวจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นว่า “หากท่านไม่ไป ข้าก็จะยิ่งโกรธกว่านี้”
 
 
หลัวเทียนเฉิงจึงลุกขึ้น เขายิ้มขืนก่อนเอ่ยว่า “ได้ ข้าไปก็ได้”
 
 
เขาเดินย่ำทีละก้าวออกไป เงาร่างนั้นดูหงอยเหงาอย่างยิ่ง สุดท้ายจึงหันหลังกลับไปมองเจินเมี่ยวด้วยสีหน้าน่าสงสารยิ่ง
 
 
เจินเมี่ยวเบนสายตาหนีทันที
 
 
“เจี๋ยวเจี่ยวข้าจะไปที่ห้องหย่วนซานเพื่อสืบหาความจริงสักหน่อย”
 
 
หลัวเทียนเฉิงกล่าวจบจึงจากไป เขามุ่งไปที่เรือนฝั่งตะวันตกทันที เมื่อเขาเข้าไปในห้อง องครักษ์ลับสองคนที่คอยท่าอยู่ก็ถึงกับผ่อนลมหายใจโล่งอกออกมา
 
 
หย่วนซานที่ขดตัวนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงก็มีสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที นางวิ่งเข้าไปหาเขาอย่างไม่สนใจแม้แต่จะสวมรองเท้า
 
 
“ซื่อจื่อ ท่านกลับมาแล้ว…” นางเอ่ยเสียงสะอื้น บนกายมีเสื้อตัวนอกสีชมพูคลุมไว้อย่างทุลักทุเล เห็นแล้วช่างทำให้คนรู้สึกสงสารอย่างยิ่ง
 
 
หลัวเทียนเฉิงชำเลืองมองนางด้วยสายตาเย็นชา แล้วเอ่ยกับองครักษ์ลับว่า “พวกเจ้ามิได้แตะต้องสิ่งของในห้องนี้เลยใช่หรือไม่”
 
 
“ขอรับ”
 
 
“ไปตามสิบเอ็ดมา”
 
 
องครักษ์ลับผู้หนึ่งจึงออกไป ผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชาก็มีสตรีแต่งกายเรียบง่ายผู้หนึ่งเดินเข้ามา นางทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “สิบเอ็ดคารวะนายท่าน”
 
 
“พวกเจ้าออกไปก่อน” หลัวเทียนเฉิงพูดกับองครักษ์ลับหนุ่มสองคนนั้น
 
 
รอจนพวกเขาออกไปแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็ชี้ไปที่หย่วนซานแล้วเอ่ยว่า “ค้นตัวนางให้ละเอียดทุกซอกทุกมุม รวมทั้งเสื้อผ้าที่กองอยู่เหล่านั้นด้วย”
 
 
“ซื่อจื่อ!” หย่วนซานเบิกตาขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ตามด้วยความรู้สึกหวาดกลัวลนลาน
 
 
หลัวเทียนเฉิงกลับก้าวเท้าเดินออกไปทันที
 
 
เมื่อผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ สิบเอ็ดก็เชิญให้หลัวเทียนเฉิงเข้าไปในห้อง
 
 
“นายท่าน ข้าน้อยได้ตรวจดูเรียบร้อยแล้ว พบว่ามียาลูกกลอนสองเม็ดอยู่ในถุงหอมของนางซึ่งดูเหมือนว่ามันจะมิใคร่ปกติสักเท่าใดนัก”
 
 
“เจ้าชำนาญเรื่องนี้ที่สุด เอายาลูกกลอนนั้นไปศึกษาดูที”
 
 
“เจ้าค่ะ” สิบเอ็ดจึงออกไป
 
 
ภายในห้องเหลือเพียงหลัวเทียนเฉิงและหย่วนซานเพียงสองคน
 
 
“หย่วนซานข้าคิดว่าเจ้าเป็นสาวใช้ที่ฉลาดผู้หนึ่ง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องราวเป็นเช่นใดเจ้าก็พูดออกมาเถิดจะได้มิต้องเจ็บตัว อย่าทำให้ความอดทนสุดท้ายของข้าต้องหมดสิ้นลงจะดีกว่า!”
 
 
“ซื่อจื่อ ซื่อจื่อ…” หย่วนซานคุกเข่าลงแทบเท้าหลัวเทียนเฉิงแล้วร้องไห้ออกมา นางเงยหน้าขึ้น แม้นน้ำตาจะเอ่อคลอจนมองไม่ถนัดแต่ใบหน้าอันเย็นชาของคนผู้นั้นกลับชัดเจนยิ่ง
 
 
นางนั่งลงพับลงกับพื้นทันที “บ่าว…บ่าวพูดแล้วเจ้าค่ะ”
 
 
กระทั่งนางพูดจบ หลัวเทียนเฉิงจึงเลิกคิ้วขึ้น “อ้อ เจ้าจะบอกว่ายาลูกกลอนนั่นญาติผู้พี่ของเสวี่ยเยี่ยนให้นาง แล้วนางก็แบ่งให้เจ้างั้นหรือ”
 
 
“เจ้าค่ะ บ่าวไม่กล้าปิดบังท่านแม้แต่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
 
 
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” หลัวเทียนเฉิงก้าวเท้าออกไปทันที
 
 
“ซื่อจื่อ…” หย่วนซานพลันยื่นมือไปกอดขาเขาไว้
 
 
หลัวเทียนเฉิงก้มลงมองสตรีที่กำลังเกาะกอดเขาไว้
 
 
นางเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถามอย่างดึงดันว่า “เพราะเหตุใดเจ้าคะ”
 
 
“ปล่อย”
 
 
หย่วนซานแทบจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้วนางเอ่ยว่า “ท่านโปรดบอกบ่าวด้วยเถิดว่าเพราะเหตุใด ทั้งที่แต่ก่อนท่านมิได้เป็นเช่นนี้! เป็นเพราะต้าไหน่ไหน่ใช่หรือไม่ เพราะต้าไหน่ไหน่ไม่ยอมให้ท่านกับบ่าวอยู่ด้วยกัน?”
 
 
“เจ้าปล่อยก่อนแล้วข้าจะบอกเจ้าว่าเพราะเหตุใด”
 
 
หย่วนซานปล่อยมือ
 
 
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง มิได้มีท่าทีล้อเล่นแม้แต่น้อย “หย่วนซาน เจ้าฟังนะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับต้าไหน่ไหน่ เป็นข้าเองที่อยากทำเช่นนี้และก็ทำแล้วด้วย”
 
 
“ไม่จริง ไม่จริง” หย่วนซานส่ายศีรษะอย่างบ้าคลั่ง “ซื่อจื่อ ท่านเคยบอกว่าชอบบ่าว แล้วเหตุใดจึงมิคิดจะอยู่กับบ่าวอีกแล้วเล่าเจ้าคะ”
 
 
นางพึมพำกับตัวแล้วประกายในตาก็สว่างวาบขึ้นโดยพลัน “ซื่อจื่อ บ่าวรู้แล้ว เป็นเพราะบ่าวมีฐานะต่ำต้อยใช่หรือไม่เจ้าคะ ทั้งที่บ่าวติดตามท่านมาก่อน ก่อนหน้านี้ท่านก็ดีกับบ่าวยิ่ง มิเช่นนั้นเหตุใดเมื่อมีต้าไหน่ไหน่ทุกอย่างถึงได้เปลี่ยนไปหมดเล่าเจ้าคะ หาก…หากบ่าวมีฐานะเช่นเดียวกับต้าไหน่ไหน่…”
 
 
หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “หย่วนซานเจ้าคิดซับซ้อนเกินไปแล้ว ความจริงนั้นง่ายมาก ข้าชอบต้าไหน่ไหน่แค่เพียงคนเดียวเท่านั้น หากเป็นคนที่ข้ารัก ต่อให้ฐานะจะต่ำต้อยเพียงใด ข้าก็ย่อมจะเก็บตำแหน่งภรรยาเอกไว้ให้แก่นางไม่มีทางให้เป็นแค่สาวใช้ทงฝังแน่”
 
 
หย่วนซานได้แต่อึ้งงัน หลัวเทียนเฉิงกลับเดินออกไปอย่างไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ
 
 
คนของเขาไปตามสืบเบาะแสอย่างไม่หยุดพัก
 
 
ไม่มีทางที่นางโลมธรรมดาผู้หนึ่งจะมียาชนิดนี้ได้
 
 
ดั่งคาด…ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็สามารถสืบเรื่องนี้ได้อย่างกระจ่างแล้ว
 
 
ญาติผู้พี่ของเสวี่ยเยี่ยนนั้นไม่ได้รับความนิยมแล้ว แม้แต่ดูแลตนเองยังแทบจะไม่รอด ไหนเลยจะมียาอัศจรรย์เช่นนี้มาให้เสวี่ยเยี่ยน
 
 
แต่เป็นนางเถียนต่างหากที่กลับไปเยี่ยมตระกูลมารดาบ่อยยิ่งในช่วงสองเดือนนี้ ช่างแปลกพิกลนัก
 
 
ไม่นานเรื่องของนางเถียนก็ถูกเขียนเป็นจดหมายลับส่งมาถึงหลัวเทียนเฉิง
 
 
เขามองจดหมายลับนั้นแล้วก็ได้แต่แค่นยิ้มเย็น
 
 
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตระกูลเถียนจะรับคนของเผ่าเย่ว์อี๋เข้ามาอยู่ด้วยไม่น้อยเลย ดูท่าคงหนีไม่พ้นความผิดที่ช่วยเหลือคนร้ายเป็นแน่
 
 
เขาไม่เคยคิดให้นางเถียนตายเลย
 
 
การตายนับเป็นอันใดได้ ช่วยให้นางสบายเกินไปเสียมากกว่า เขาต้องการให้นางได้รับความทรมานไปอีกนานแสนนานเพื่อตอบแทนความเจ็บปวดที่เขาเคยได้รับ!
 
 
แต่ในเมื่อนางใจร้อนถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเขาก็คงต้องช่วยเร่งเวลาให้นางแล้ว
 
 
ทว่าเรื่องนี้ไม่ควรเป็นเขาที่สืบพบเบาะแส
 
 
ควรต้องทราบว่าในสายตาคนทั้งหลายนั้นนางเป็นอาสะใภ้ที่ดูแลเขาดุจมารดาแท้ๆ เขาย่อมต้องทำตัวเป็น ‘บุตรที่ดี’ เช่นกัน
 
 
หลัวเทียนเฉิงเรียกให้คนผู้หนึ่งเข้ามาแล้วกำชับว่า “เอาข่าวนี้ไปแพร่งพรายแก่ใต้เท้าตู้ให้เขาล่วงรู้มันโดยบังเอิญ”
 
 
ตู้เยี่ยนเซิงเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินอีกผู้หนึ่ง เขามีอายุมากกว่าและมีคุณสมบัติเหมาะสมกว่าหลัวเทียนเฉิง แต่เจาเฟิงตี้กลับโปรดปรานหลัวเทียนเฉิงมากกว่า
 
 
ภายนอกคนทั้งสองนั้นดูปรองดองกัน แต่เขารู้ว่าในใจของตู้เยี่ยนเซิงกลับมิยอมรับเขา คิดว่าตู้เยี่ยนเซิงคงรู้สึกยินดียิ่งหากได้หาเรื่องยุ่งยากมาให้เขาได้
 
 
เมื่อกำชับทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็กลับจวน เขาไปที่เรือนชิงเฟิงก่อน เมื่อยืนอยู่ข้างหน้าต่างอย่างโง่งมอยู่ครู่หนึ่งก็ก้าวเท้าไปที่เรือนฝั่งตะวันตก
 
 
มีบางเรื่องที่เขาคิดว่าถึงเวลาที่ต้องจัดการเสียที หากมัวแต่เมตตา สุดท้ายคนที่เสียใจก็คือคนที่เขารักที่สุด
 
 
สองวันมานี้คนที่ทุกข์ทนที่สุดก็คือหย่วนซาน ยามที่นางไปปรากฏกายต่อหน้าผู้อื่นนั้นจึงเห็นว่านางซูบผอมจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว
 
 
ฉุยซิงกับจิ้งสุ่ยไม่ทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงที่มิได้ย่างกรายมาที่เรือนฝั่งตะวันตกนานแล้วก็ดีใจจนน้ำตาคลอเบ้า
 
 
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยออกมาตามตรงว่า “วันนี้ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาเพราะมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูด พวกเจ้าสามคนติดตามข้ามานานหลายปีแล้ว สองปีนี้เป็นเช่นไรพวกเจ้าก็รู้ดีแก่ใจ วันนี้ข้าจึงขอพูดให้เข้าใจทั่วกันว่าต่อไปข้าจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องมีความหวังใดๆ อีกทั้งสิ้น หากพวกเจ้ายินยอม ข้าจะหาคนที่เหมาะสมให้พวกเจ้าแต่งออกไป หากไม่อยากแต่งงานจะไปอยู่กับญาติหรือปลีกตัวไปอยู่คนเดียวก็ได้ ข้าจะส่งคนไปดูแลอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าจะเลือกทางใดพวกเจ้าก็มิจำเป็นต้องกังวลเลย เช่นนั้นก็บอกข้ามาตอนนี้เถิดว่าจะตัดสินใจอย่างไร” 
 
 
ตอนที่ 312 น้ำล้างหน้า
 
“ซื่อจื่อ!” ฉุยซิงกับจิ้งสุ่ยต่างตะลึงลานยิ่ง
 
 
มีเพียงหย่วนซานที่พอจะรู้ตัวอยู่ก่อนแล้ว นางจึงก้มหน้าบิดผ้าเช็ดหน้า เส้นโลหิตเขียวบนหลังมือนูนขึ้นมายิ่งทำให้เห็นว่านางผอมลงไปมากเพียงใด
 
 
ในบรรดาสาวใช้ทงฝังนั้นจิ้งสุ่ยเป็นคนที่สุภาพและสงบเสงี่ยมที่สุด ปกติมักมิกระทำเรื่องเหลวไหล เมื่อนางตกใจเสร็จชำเลืองหางตาไปมองหย่วนซานอย่างรวดเร็ว แล้วก็คล้ายเข้าใจบางอย่างขึ้นมา
 
 
สองวันมานี้หย่วนซานปิดห้องไม่ออกไปไหน หรือเป็นเพราะไปก่อเรื่องมา?
 
 
ฉุยซิงเอ่ยปากขึ้นก่อนว่า “ซื่อจื่อ บ่าวไม่ไปจากท่านเด็ดขาดเจ้าค่ะ”
 
 
แววตาหลัวเทียนเฉิงเย็นชายิ่ง นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ความอดทนข้ามีจำกัน พวกเจ้าคิดให้ดีก็แล้วกัน”
 
 
ฉุยซิงคุกเข่าลงทันที “ซื่อจื่อ ยามมีชีวิตบ่าวเป็นคนของท่าน ยามตายก็เป็นผีของท่าน ท่านได้โปรดอย่าไล่บ่าวไปเลยเจ้าค่ะ!”
 
 
แต่งงานมีอันใดดีเล่า นางได้ติดตามบุรุษเช่นซื่อจื่อแล้ว ไหนเลยจะไปถูกใจบุรุษที่หยาบคายที่ไม่รู้จักอักษรสักตัวพวกนั้นได้เล่า
 
 
ไปอยู่กับญาติหรือสหายหรือ…นางตัวคนเดียวมาตั้งนานแล้วจะไปพึ่งพาอาศัยผู้ใดได้เล่า
 
 
ส่วนการปลีกตัวไปตั้งเรือนอยู่คนเดียวนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ นางไม่มีญาติทั้งไม่มีบุตร อนาคตจะมีความหวังใด ต่อให้ซื่อจื่อส่งคนไปดูแลทุกอย่าง แต่ชีวิตที่ผ่านไปของนางจะมีความหมายใดเล่า?
 
 
ในเมื่อการไปตั้งเรือนอยู่ข้างนอกก็ต้องอยู่คนเดียว แต่การอยู่ที่นี่อย่างแย่ที่สุดก็แค่มิได้ใกล้ชิดกับซื่อจื่อเท่านั้น
 
 
ทั้งตอนนี้ซื่อจื่อก็เพิ่งแต่งงานกับต้าไหน่ไหน่ได้ไม่นาน เป็นช่วงที่ความรักระหว่างสามีภรรยากำลังร้อนแรงอยู่ รอให้ผ่านไปสักสามปีห้าปี ไม่แน่ว่าซื่อจื่อก็อาจจะคิดถึงพวกนางขึ้นมาก็ได้มิใช่หรือ หรือซื่อจื่อจะมีต้าไหน่ไหน่คนเดียวไปตลอดชีวิตได้
 
 
ฉุยซิงยืนหยัดในความคิดตน นางพยักหน้าติดกันหลายครา สุดท้ายก็ยื่นมือออกไปดึงขากางเกงหลัวเทียนเฉิงไว้
 
 
หลัวเทียนเฉิงข่มกลั้นตนมิให้เตะสตรีตรงหน้าให้กระเด็นออกไป เขายกเท้าถอยหลังสองก้าว แล้วหันมองจิ้งสุยด้วยสีหน้าเย็นชาอย่างที่สุด “ลั่วเยี่ยน เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
 
 
จิ้งสุ่ยกลั้นหายใจตอบว่า “ซื่อจื่อ บ่าวชื่อซิ่วฮวาเจ้าค่ะ”
 
 
มุมปากหลัวเทียนเฉิงกระตุกคราหนึ่ง
 
 
เจี๋ยวเจี่ยวเปลี่ยนชื่ออันใดของนางกัน เหลือเกินจริงๆ!
 
 
“แค่บอกความคิดของเจ้าออกมาก็พอแล้ว!”
 
 
จิ้งสุ่ยปล่อยมือแนบกายเพื่อรักษาท่าทีอันสงบนิ่งของตนไว้ “บ่าวคิดว่าจะแต่งงานเจ้าค่ะ”
 
 
หากเป็นไปได้ นางก็อยากมีบุตรสาวบุตรชายอย่างพร้อมหน้า มีบุรุษสักคนที่ดีต่อนางโมโหร้ายใส่นาง ต่อให้จะขี้เหร่สักหน่อย ใจร้อนไปบ้างแล้วอย่างไรเล่า ซื่อจื่อนั้นต่อให้ดีเพียงใด ก็มิได้ดีต่อนาง แล้วความดีเหล่านั้นเกี่ยวอันใดกับนางเล่า
 
 
“ดีมาก” หลัวเทียนเฉิงจึงเผยรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดออกมา แล้วมองไปที่หย่วนซาน
 
 
สองวันมานี่หย่วนซานได้ครุ่นคิดอยู่ก่อนแล้วนับพันนับร้อยครั้งแค่รอให้หลัวเทียนเฉิงถามออกมาเท่านั้น
 
 
นางเอ่ยเสียงเรียบว่า “บ่าวไม่คิดจะแต่งงานและไม่คิดจะออกไปอยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ หากซื่อจื่อ อนุญาตก็ให้บ่าวไปบำเพ็ญตนอยู่อารามในจวนเถิดเจ้าค่ะ”
 
 
นางกำลังพนัน หากทำเช่นนี้แล้วซื่อจื่อยังไม่สงสารยอมให้นางอยู่ที่นี่ เช่นนั้นนางก็คงต้องยอมรับแล้ว
 
 
นางไม่เชื่อดอกว่าหากบุรุษผู้หนึ่งได้พบกับสตรีที่รักและชื่นชมในตัวเขาแล้ว เขาจะใจร้ายทำเช่นนั้นได้!
 
 
ฉุยซิงกับจิ้งสุยต่างตาถลนออกมาพร้อมกัน
 
 
คำตอบของหย่วนซานทำให้หลัวเทียนเฉิงรู้สึกคาดไม่ถึงอย่างยิ่ง เขามองหย่วนซานอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ตามใจเจ้าเถิด แต่เมื่อใดที่เกิดเสียใจขึ้นมาก็สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะยังคงเก็บทางเลือกสามทางนี้ไว้ให้เจ้าเสมอ”
 
 
หย่วนซานนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง นางเหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยพึมพำออกมาว่า “ขอบพระคุณซื่อจื่อเจ้าค่ะ”
 
 
หลัวเทียนเฉิงชำเลืองมองฉุยซิงอีกครา “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่คิดจะเก็บใครไว้ที่เรือนฝั่งตะวันตกนี้อีก ในเมื่อเจ้าไม่อยากจะออกไป ข้าก็จะให้เจ้าไปอยู่กับหย่วนซานแล้วกัน”
 
 
ร่างฉุยซิงโงนเงนขึ้นมาจนแทบล้มคว่ำลงไป
 
 
แสงโคมอันโดดเดี่ยวกับพุทธรูปเก่าแก่ นางต้องเหงาหงอยไปชั่วชีวิตทั้งยังมิอาจกินเนื้อสัตว์ได้อีก!
 
 
เพียงคิดถึงสถานการณ์เช่นนั้นฉุยซิงก็รู้สึกย่ำแย่อย่างยิ่งแล้ว นางแทบจะคุกเข่ากอดขาขอร้องเลยทีเดียว “ซื่อจื่อ บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวไม่อยากออกบวช บ่าว…บ่าวยอมแต่งงานเจ้าค่ะ”
 
 
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” หลัวเทียนเฉิงกวาดตามองทั้งสามคนคราหนึ่ง “เช่นนั้นพวกเจ้ากลับไปเก็บของเถิด อีกวันสองวันข้าจะส่งพวกเจ้าออกจากจวน”
 
 
หลัวเทียนเฉิงจัดการทุกอย่างเร็วยิ่งแค่วันที่สองเขาก็ส่งพวกนางทั้งสามคนออกจากจวนแล้ว
 
 
จิ้งสุ่ยแต่งให้กับพ่อม่ายผู้หนึ่ง เป็นเถ้าแก่อายุสามสิบต้นๆ ภรรยาสิ้นไปหลายปีเพราะคลอดบุตรยากแต่เขาก็มิได้แต่งภรรยาใหม่ รูปร่างหน้าตาใช้ได้ แม้นจะอายุมากกว่าจิ้งสุ่ยถึงสิบกว่าปี แต่เมื่อจิ้งสุ่ยเห็นคนผู้นั้นแล้วก็ยังรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง นางคิดไม่ถึงว่าตนจะได้แต่งงานกับคนเช่นนี้ทั้งยังเป็นภรรยาเอกอีกด้วย
 
 
เถ้าแก่ผู้นี้อายุมากแล้ว ภรรยายังตายเพราะคลอดบุตรยากอีกจึงรู้จักที่จะดูแลเอาใจใส่ผู้อื่น เมื่อจิ้งสุ่ยแต่งเข้าไปก็ปฏิบัติต่อนางราวสมบัติล้ำค่า เพียงแค่สามเดือนนางก็ตั้งครรภ์ ปีต่อมาจึงคลอดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง วันเวลาหลังจากนั้นจึงผ่านไปอย่างมีความสุขมากขึ้นไปอีก
 
 
ฉุยซิงแต่งกับบุตรชายคนเล็กของผู้นำหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
 
 
บุตรชายคนเล็กนั้นเข้าเรียนที่สถานศึกษาตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่เพราะซุกซนจึงตกต้นไม้จนขาเป๋ไปเล็กน้อยจึงมิได้เรียนตำราต่อ
 
 
แม้มิได้มีชาติกำเนิดสูงส่งแต่กับหัวดียิ่ง ทั้งยังเป็นคนดีมีคุณธรรม เขามักจะคอยช่วยเขียนจดหมายหรืออักษรต่างๆ ให้กับคนในหมู่บ้านโดยไม่รับค่าตอบแทน ดรุณีน้อยในหมู่บ้านที่ไม่รังเกียจทั้งยังอยากแต่งกับเขานั้นมีไม่น้อยเลย
 
 
แรกเริ่มฉุยซิงนั้นรังเกียจที่เขาขาเป๋ แต่ต่อมาจึงพบว่าสตรีน้อยใหญ่ในหมู่บ้านต่างมองนางด้วยสายตาอิจฉาริษยา นางก็รู้สึกตัวลอยขึ้นมาเล็กน้อย อีกทั้งสามีของนางก็เป็นผู้รู้ตำรา หน้าตาหล่อเหลา มิใช่บุรุษหยาบกระด้างอย่างที่นางคิด นางจึงค่อยๆ เปลี่ยนความคิดไป
 
 
กล่าวไปแล้วก็บังเอิญนัก ฉุยซิงเองก็พบว่าตนตั้งครรภ์หลังจากผ่านไปแล้วสามเดือนเช่นกัน ปีถัดมาจึงคลอดเด็กน้อยอ้วนพีผู้หนึ่งออกมา
 
 
แน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในเวลาถัดมา
 
 
ส่วนหย่วนซานนั้นก็เก็บข้าวของตนย้ายไปอยู่ที่อารามที่สร้างขึ้นในมุมหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของจวนเจิ้นกั๋วกง
 
 
ครั้นเจินเมี่ยวไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าในวันถัดมาจึงได้ยินนางเถียนถามขึ้นว่า “หลานสะใภ้ ข้าได้ยินมาว่าต้าหลังได้ไล่สาวใช้ทงฝังทั้งสามออกไปจากเรือนแล้วงั้นหรือ เป็นเพราะพวกนางดื้อรั้นจึงไปยั่วโทสะเจ้าใช่หรือไม่”
 
 
เจินเมี่ยวอึ้งงันไป
 
 
หลัวเทียนเฉิงมิได้เอ่ยกับนางในสิ่งเหล่านี้ที่เขาทำเลย
 
 
เขาถึงกับไล่สาวใช้ทงฝังทั้งสามออกไปเลยหรือ
 
 
แต่อันใดที่เรียกว่ายั่วโทสะนางเล่า
 
 
เจินเมี่ยวย่นหัวคิ้วตนคราหนึ่ง “หากพบกับซื่อจื่อ ข้าจะถามเขาดูนะเจ้าค่ะ”
 
 
นางเถียนได้แต่ลอบสะกดกลั้นโทสะตนไว้
 
 
ดูท่าทางจองหองของนางเถิด มิใช่อยากจะแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าต้าหลังให้ความสำคัญกับนางหรอกหรือ!
 
 
ความจริงนั้นเป็นเพราะมีเยียนเหนียงจึงทำให้นางเถียนรู้สึกกับเรื่องพวกนี้อย่างยิ่ง
 
 
นางถอนหายใจออกมา “จะว่าไปแล้ว ในเมื่อซื่อจื่อไล่คนออกไปหมดแล้วก็มิเป็นไรดอก สาวใช้ทงฝังก็เป็นแค่ของเล่นที่ทำให้บุรุษเบิกบานเท่านั้น เมื่อไม่ชอบแล้วก็แค่เปลี่ยนใหม่ แต่ข้าได้ยินมาว่าสาวใช้ที่ชื่อหย่วนซานถูกส่งไปที่อารามในจวน ข้ารู้สึกสงสารนางจริงๆ อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ”
 
 
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วกลับมีความรู้สึกที่แตกต่างไปอยู่บ้าง แต่ก็มิได้พูดอันใดออกมา
 
 
ในสายตาฮูหยินผู้เฒ่านั้น ไม่มีอันใดที่ตนต้องพูดแทนสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่ง จนทำให้หลานสะใภ้ต้องเสียหน้าเลย
 
 
นางเถียนลอบแค้นเคืองท่าทีใจกว้างจอมปลอมของฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงเม้มปากเป็นรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “แต่อย่างไรบุรุษก็ต้องมีคนคอยปรนนิบัติ หลานสะใภ้ หากเจ้ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ก็มิสู้ให้อาสะใภ้เช่นข้าช่วยจัดการให้ดีหรือไม่ เจ้าวางใจได้ ข้ารับรองว่าจะเลือกคนที่ว่านอนสอนง่ายมาสักสองคน”
 
 
เจินเมี่ยวฟังแล้วถึงกับอึ้งไป
 
 
ที่แท้แล้วคนนั้นสามารถทำเรื่องน่าละอายได้ถึงขั้นนี้เชียวหรือ!
 
 
นางทนกับการแสร้งทำตัวเป็นผู้อาวุโสยามอยู่ต่อหน้านาง และท่าทีเป็นกังวลคิดแทนตนของนางเถียนมามากพอแล้ว
 
 
นางกะพริบตาคราหนึ่งแล้วเอ่ยถามด้วยท่าทีลนลานเล็กน้อยว่า “อาสะใภ้รอง ท่านหมายความว่าจะส่งสาวใช้ทงฝังมาให้ซื่อจื่อหรือเจ้าคะ”
 
 
นางเถียนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
 
 
แม้นความจริงจะเป็นเช่นนั้นแต่เมื่อเอ่ยออกมาโต่งๆ เช่นนี้ว่าตนต้องการจะหาสาวใช้ทงฝังให้หลานชาย มันก็ฟังดูแล้วน่าเกลียดเหลือเกิน
 
 
เจินเมี่ยวยังถามอีกว่า “อาสะใภ้รอง ท่านหมายความเช่นนี้หรือไม่เจ้าคะ”
 
 
นางเถียนหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย นางชำเลืองมองคนทั้งหลายโดยไวคราหนึ่งแล้วฝืนยิ้มออกมา “เจ้ายังเด็กนัก ทั้งยังไม่มีแม่สามีอีก อาก็แค่กลัวว่าเจ้าอาจจะคิดอันใดไม่รอบคอบจึงได้เอ่ยเตือนเท่านั้น”
 
 
“อ้อ ที่แท้ก็แค่เตือนหลานสะใภ้เท่านั้น ขอบพระคุณท่านอาสะใภ้รองมากเจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากคราหนึ่ง “แต่หลานสะใภ้เข้าใจดีมาตลอดว่าอยู่เรือนเชื่อฟังบิดาออกเรือนเชื่อฟังสามี ในเมื่อซื่อจื่อไม่ต้องการสาวใช้ทงฝัง ข้าจะไปขัดเจตนารมณ์ของเขาได้อย่างไรเล่า หากอาสะใภ้อยากจะส่งสาวใช้ทงฝังมาให้ก็พูดกับซื่อจื่อเองเถิดเจ้าค่ะ”
 
 
ครั้นเจินเมี่ยวเอ่ยว่า ‘อยากจะส่งสาวใช้ทงฝังมาให้’ ออกมาก็ทำเอานางเถียนขัดใจจนแทบกระอักตาย
 
 
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยขึ้นว่า “นางเถียน ต้าหลังมีภรรยาแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องไปกังวลใจแทนแล้ว แต่เจ้าควรไปจัดการเยียนเหนียงที่อยู่เรือนเจ้าให้ดี อย่าให้นางทำอันใดวุ่นวายขึ้นมาได้”
 
 
นางเถียนพลันปวดใจจนพูดไม่ออกขึ้นมา
 
 
เจินเมี่ยวจึงย่อกายคารวะแล้วเอ่ยว่า “ท่านย่า หลานตุ๋นไข่กบหิมะไว้จะทำมะละกอตุ๋นไข่กบหิมะ ขอตัวไปดูก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ประเดี๋ยวทำเสร็จจะยกมาให้ท่านชิมเจ้าค่ะ”
 
 
กระทั่งถึงยามราตรีหลัวเทียนเฉิงก็กลับมา แต่กลับเดินวกไปวนมาอยู่ข้างหน้าต่างอย่างโง่งม
 
 
เจินเมี่ยวแสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วเปิดหน้าต่างออกเอาน้ำล้างหน้าในอ่างตนสาดออกไปพลางเอ่ยพึมพำว่า “สาวใช้พวกนี้นับวันยิ่งชักช้า น้ำล้างเท้าวางไว้ตรงนี้นานแล้วก็มิรู้จักยกออกไปเททิ้ง!”
 
 
กล่าวจบก็สาดน้ำลงไปข้างหน้าต่างทันที
 
 
หลัวเทียนเฉิงยืนนิ่งอยู่นอกหน้าต่างราวกับระกาไม้ ร่างกายเปียกโชกไปหมด
 
 
น้ำนั้นค่อยๆ ไหลหยดลงมาตามเส้นผมของเขา คล้ายว่ามีกลิ่นหอมจางๆ ผสมอยู่
 
 
เขาตกใจขนานใหญ่
 
 
หรือว่าเขาต้องมนต์ปีศาจเข้าแล้ว เหตุใดจึงรู้สึกว่าน้ำล้างเท้าก็ยังหอมเล่า!
 
 
เขายืนโง่งมอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม
 
 
ดูท่าที่เจี๋ยวเจี่ยวยอมสาดน้ำล้างเท้าใส่เขาก็แสดงว่ามิได้คิดจะไม่ไยดีเขาไปตลอดกระมัง
 
 
เจินเมี่ยวเข้าไปนั่งอยู่บนเตียงที่ห้องด้านใน หลังจากคลายโทสะก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
 
 
เรื่องเลวร้ายเช่นนี้นางไม่เคยทำเลยสักครั้ง!
 
 
ผ่านไปสองเค่อ นางจึงถามอาหลวนว่า “ซื่อจื่อเล่า”
 
 
“ซื่อจื่อยังคงยืนอยู่นอกหน้าต่างเจ้าค่ะ”
 
 
เจินเมี่ยวโกรธจนต้องตบลงที่เตียง “เขาต้องมีตั้งใจแน่ๆ!”
 
 
คนน่าอายผู้นี้ยืนอยู่ข้างหน้าต่างทั้งที่เปียกโชกไปทั้งตัวเช่นนั้นเพราะตั้งใจจะให้นางใจอ่อนใช่หรือไม่
 
 
สุดท้ายเจินเมี่ยวก็ยังคงเลือกที่จะคืนดี “ไปเชิญซื่อจื่อเข้ามา”
 
 
ในยุคสมัยนี้นั้นแค่เพียงเป็นไข้หวัดเพราะอากาศหนาวก็สามารถเอาชีวิตคนได้ ต่อให้นางโกรธเพียงใดก็คงมิใช่ข้อนี้ไปทรมานคนดอก
 
 
ไม่นานหลัวเทียนเฉิงก็เดินเข้ามาในห้อง อาหลวนจึงออกไปอย่างรู้งาน
 
 
“ท่าน…เหตุใดจึงไล่คนไปหมดแล้วเล่า”
 
 
มิอาจปฏิเสธได้ว่าการกระทำนี้ของเขาทำให้นางเบิกบานจริงๆ
 
 
อย่าบอกการเอาใจนางช่างง่ายนักเลย ในยุคสมัยนี้สาวใช้ทงฝังนั้นเป็นเพียงสิ่งของชิ้นหนึ่งที่บุรุษต้องใช้งาน หากต้องการก็ไปหยิบใช้ได้ทุกเมื่อ มันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลยิ่ง
 
 
หากบุรุษผู้หนึ่งไม่ยอมหยิบใช้แล้วก็เป็นเพียงเพราะเขาไม่อยากให้ภรรยาเสียใจเท่านั้น ไม่มีทางที่เขาจะคิดว่าการนอนกับสาวใช้ทงฝังนั้นเป็นเรื่องที่ผิดบาปแต่อย่างใด
 
 
นี่เป็นกรอบความคิดที่พวกเขาถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เยาว์วัยเหมือนกับที่เจินเมี่ยวรู้สึกว่าบุรุษก็เป็นเหมือนแปรงสีฟันที่มิอาจใช้ร่วมกันได้
 
 
“ในเมื่อการที่มีพวกนางอยู่ทำให้เจ้าไม่สบายใจ ข้าก็ไม่เก็บพวกนางไว้จะดีกว่า”
 
 
คำตอบของหลัวเทียนเฉิงเป็นการยืนยันแล้วว่าสิ่งที่เจินเมี่ยวคิดนั้นถูกต้อง
 
 
ความคิดของคนทั้งสองที่มีช่วงเวลาห่างกันนับพันปีกลับลงกันได้กันพอดี
 
 
นางคิดว่านางไม่อาจเปลี่ยนบุรุษผู้หนึ่งไปให้เหมือนที่นางต้องการได้ทุกประการ แต่หากบุรุษผู้นี้ยินดีที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อนาง นั่นย่อมเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีอย่างหนึ่ง
 
 
เจินเมี่ยวกำลังคิดเรื่องเหล่านี้อยู่แต่กลับไม่เผยสีหน้าอันใดออกมาเลย เพียงเอ่ยถามราบเรียบว่า “ข้าได้ยินมาว่าหย่วนซานไปอยู่ที่อารามหรือ นางทำเพื่อท่านถึงเพียงนี้ สำหรับท่านแล้วนางเป็นคนที่พิเศษคนหนึ่งกระมัง?” 
 
 
ตอนที่ 313 ความพินาศของตระกูลเถียน
 
“ในสายตาผู้อื่นการเลือกของนางอาจจะพิเศษอยู่สักหน่อย แต่สำหรับข้าแล้ว นางก็ไม่มีอันใดต่างจากฉุยซิงและจิ้งสุ่ย” หลัวเทียนเฉิงอยากจะยื่นมือออกไปจับมือเจินเมี่ยวแต่เพราะเขาเปียกโชกทั้งกายจึงมิได้กระทำเช่นนั้น
 
 
นัยน์ตาของเขาเปล่งประกาย น้ำเสียงแสนจริงใจ “เจี๋ยวเจี่ยว บนโลกนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่พิเศษสำหรับข้า ต่อไปจะไม่มีสาวใช้ทงฝังอีก มีแค่เราสองคนที่จะใช้ชีวิตไปด้วยกันอย่างมีความสุข ได้หรือไม่”
 
 
นิ่งเงียบอยู่นานเจินเมี่ยวจึงเอ่ยขึ้นว่า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ส่วนหย่วนซานเมื่อใดที่นางคิดได้แล้วก็ช่วยจัดการให้นางได้พบที่ทางที่ดีเถิด”
 
 
แม้ซื่อจื่อจะกล่าวเช่นนี้แต่นางก็ต้องทำลายความเป็นไปได้ใดๆ ก็ตามที่จะทำให้หย่วนซานกลายมาเป็นไฝติดตามกายเขา
 
 
อีกอย่างหย่วนซานเองก็มิได้ผิดอันใด นางเองก็มีจุดที่น่าสงสารเช่นกัน
 
 
“วางใจได้ หากภายหน้านางได้พบกับจิ้งสุ่ยและฉุยซิง ไม่แน่อาจเปลี่ยนใจก็ได้”
 
 
“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น”
 
 
หลัวเทียนเฉิงยิ้มอย่างมั่นใจแล้วเอ่ยว่า “เพราะคนที่ข้าเลือกให้จิ้งสุ่ยกับฉุยซิงนั้นเหมาะสมกับพวกนางยิ่ง คิดว่าหากมิใช่สุกรโง่ตัวหนึ่งก็ย่อมต้องเลือกมีชีวิตที่มีความสุขแน่ รอให้หย่วนซานเห็นพวกนางมีความสุขดีก็ย่อมต้องหวั่นไหวแน่”
 
 
“หากนางไม่หวั่นไหวเล่า”
 
 
เขาจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตหรือไม่
 
 
หลัวเทียนเฉิงยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “หากนางยังคงยืนยันที่จะออกบวช เช่นนั้นก็แสดงว่านางมีสติปัญญาดีและมีวาสนากับทางธรรมอย่างไรเล่า”
 
 
เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขาคราหนึ่ง “ท่านนี่ช่างเอาใจใส่ผู้อื่นดีเสียจริง”
 
 
หลัวเทียนเฉิงอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็ชะงักไป
 
 
“มีอันใดหรือ”
 
 
“หากข้าพูดไปก็กลัวเจ้าจะโกรธแล้วไม่สนใจข้าอีก”
 
 
“ท่านไม่พูด ข้ายิ่งจะโกรธ!”
 
 
หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว พวกนางสามคนติดตามข้ามานาน นอกจากหย่วนซานที่ใช้อุบายเช่นนั้นแล้ว อีกสองคนที่เหลือก็มิได้ทำความผิดอันใด ความจริงกล่าวไปแล้วก็เป็นข้าที่ผิดเอง หากข้ารู้ว่า…”
 
 
เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดไปคล้ายละอายที่จะเอ่ยต่อ
 
 
เจินเมี่ยวเพียงเหล่ตามองเขาเท่านั้น
 
 
หลัวเทียนเฉิงก็หูแดงขึ้นมา “หากรู้ว่าจะได้พบกับเจ้าทำให้ข้ามิอาจควบคุมตนได้ปานถูกมนต์ปีศาจเช่นนี้ ข้าคงไม่รับพวกนางมาเพื่อสร้างเวรกรรมนี้ให้ตนดอก ดังนั้นข้าจึงหวังว่าจะสามารถหาคนดีๆ ให้พวกนางได้ เจ้าเข้าใจข้าหรือไม่”
 
 
เจินเมี่ยวยื่นมือออกไปหยิกเข้าที่แขนเขาคราหนึ่ง “ท่านบอกว่าผู้ใดมีมนต์ปีศาจกัน”
 
 
หลัวเทียนเฉิงได้แต่ยิ้มขืนแล้วปล่อยให้นางหยิกต่อไป
 
 
เจินเมี่ยวถอนหายใจออกมาแล้วบอกว่า “ที่ท่านพูดมา ข้าเข้าใจทั้งสิ้น แต่ข้าก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ ทำอย่างไรดี”
 
 
“เช่นนั้นเจ้าจะด่าจะตีข้าอย่างไรก็ได้ ดีหรือไม่ หรือจะสาดน้ำล้างเท้าใส่ข้าอีกก็ได้?”
 
 
“ข้าไม่อยากล้างเท้าอีกแล้วเสียหน่อย” เจินเมี่ยวส่งเสียง ‘ฮึ’ ขึ้นคราหนึ่ง “ท่านรีบไปอาบน้ำเถิด แล้วกลับไปที่ห้องตำรา ข้าจะได้มิเห็นท่านแล้วอารมณ์เสียขึ้นมาอีก”
 
 
หลัวเทียนเฉิงรู้ดีว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อทุกอย่างก็นับว่าเป็นฟ้าหลังฝนแล้ว เขาจึงเผยยิ้มโง่งมออกไปแล้วไปอาบน้ำทันที
 
 
ผ่านไปอีกไม่กี่วัน ฎีกาฟ้องร้องหลัวเทียนเฉิงก็ถูกส่งไปถึงเจาเฟิงตี้
 
 
เขาเรียกให้หลัวเทียนเฉิงเข้าวังแล้วเอาฎีการายงานให้เขาดู
 
 
หลัวเทียนเฉิงกวาดตามองคราหนึ่งก็คุกเข่าคงข้างหนึ่งในทันใด “กระหม่อมมีความผิดขอฝ่าบาทโปรดลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
 
 
แม้เจาเฟิงตี้จะหน้าซีดขาวไปบ้างแต่กลับยังคงรักษาท่าทีอันคาดเดามิได้อยู่เช่นเดิม “ขุนนางหลัวมีความผิดอันใดหรือ การให้ที่ซ่อนตัวกับเผ่าเย่ว์อี๋ที่เขียนอยู่ในฎีกานั้นเป็นเรื่องของตระกูลเถียนอย่างเห็นได้ชัด เราว่าการดึงเจ้าเข้าไปเกี่ยวนั้นออกจะเขียนเกินเลยไปมากอยู่ ตู้เยี่ยนเซิงผู้นี้มิอาจแยกแยะผิดถูกได้ถึงเพียงนี้ ประเดี๋ยวข้าต้องตักเตือนเขาสักหน่อยแล้ว”
 
 
หลัวเทียนเฉิงคุกเข่าหลังตรงเอ่ยว่า “กระหม่อมละอายใจนัก ใต้เท้าตู้มิได้ผิดอันใดเลย กระหม่อมต่างหากที่เป็นถึงหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน มีอำนาจในการสืบและสอบสวนเรื่องต่างๆ แต่สุดท้ายตระกูลมารดาของอาสะใภ้ของกระหม่อมกลับให้ที่หลบซ่อนเผ่าเย่ว์อี๋ กระหม่อมผิดต่อพระเมตตาของพระองค์ หากไม่ลงโทษกระหม่อมคงไม่มีหน้าไปขุนนางทั้งหลายในราชสำนักแน่พ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์โปรดทรงยึดตำแหน่งหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินของหม่อมฉันไว้ชั่วคราวแล้วมอบเรื่องนี้ให้กับใต้ตู้สืบสวนต่อเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
 
 
เจาเฟิงตี้นิ่งเงียบอยู่นานก็เรียกคนเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “ประกาศราชโองการออกไปว่าหลัวเทียนเฉิงหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินบกพร่องในหน้าที่จึงมิทราบเรื่องที่ตระกูลเถียนของอาสะใภ้ตนให้ที่ซ่อนแก่คนของเผ่าเย่ว์อี๋จึงให้งดทำหน้าที่นี้เป็นการชั่วคราวเพื่อตรวจสอบเรื่องราวให้ละเอียด ระหว่างนี้ให้เขากักตนสำนึกผิดในจวนเป็นเวลาหนึ่งเดือน”
 
 
ครั้นราชโองการนี้ถูกประกาศออกไปคนทั่วทั้งราชสำนักต่างก็ฮือฮายิ่ง
 
 
หลัวเทียนเฉิงเดินออกมาอย่างมิได้ใส่ใจกับสายตาที่แปลกไปเหล่านั้นเลย
 
 
เซียวอู่ซางกลับตามเขามา “หลัวซื่อจื่อ ที่แท้แล้วเกิดอันใดขึ้นกันแน่ มีอันใดให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่”
 
 
หลัวเทียนเฉิงพลันอุ่นใจขึ้นมา
 
 
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในเวลาที่ทุกคนต่างหลบเลี่ยงเขาจนแทบไม่ทันนั้นกลับมีคนผู้หนึ่งเข้ามาขวางเขาไว้ทั้งยังเอ่ยวาจาเช่นนี้อีก
 
 
ดูท่าแล้วความเอ็นดูที่องค์ชายหกมีให้เขาตลอดมานั้นก็อาจเพราะเหตุผลนี่เอง
 
 
เขามองเซียวอู๋ซางคราหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างมีเลศนัยว่า “ขอบใจมาก แต่หากสืบเรื่องไปจนถึงต้นตอได้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว”
 
 
เซียวอู๋ซางฟังแล้วรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง
 
 
เมื่อเขาพบองค์ชายหกก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ออกมา องค์ชายหกเพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามิต้องไปกังวลเรื่องนี้แล้ว หลัวซื่อจื่อย่อมรู้ดีว่าต้องทำเช่นใด”
 
 
นายท่านรองสกุลหลัวกลับเข้าจวนมาด้วยสีหน้าดำคล้ำ
 
 
นางเถียนยังคงตรวจดูรายการสินเดิมของหลัวจื้อหยาอยู่โดยไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในราชสำนัก
 
 
ใกล้จะถึงปลายวสันต์แล้ว แม้นทางเหนือจะหนาวแต่หิมะก็เริ่มละลายหมดแล้ว อีกไม่นานขบวนส่งตัวเจ้าสาวก็จะออกเดินทางแล้ว
 
 
นายท่านรองสกุลหลัวเตะประตูเข้ามาทันที
 
 
เมื่อได้ยินเสียงนางเถียนก็หันไปมอง นางวางบัญชีสินเดิมลงเสียงดังปึกแล้วยืนขึ้น
 
 
“ท่านมีเป็นอันใดอีกเล่า”
 
 
“หรือคนเรือนนั้นยั่วโทสะท่าน เป็นไปไม่ได้กระมัง?” นางทำบ้างบุ้ยใบ้ไปยังเรือนของเยียนเหนียง
 
 
เมื่อเห็นรอยยิ้มจอมปลอมของนาง นายท่านรองสกุลหลัวก็โกรธเกรี้ยวมากยิ่งขึ้นจนสูญเสียสติ สัมปชัญญะไปทันที
 
 
เขาจึงคว้ามือเข้าบีบคอนางเถียนแล้วเอ่ยเสียงดุดันว่า “สตรีจัญไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้าหลังถูกพักตำแหน่งชั่วคราว!”
 
 
ซี๊ด… นางเถียนเจ็บจนต้องซูดปาก นางพยายามดึงมือของนายท่านรองสกุลหลัวออก “ท่านรีบปล่อยมือก่อน ท่านพี่ ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรือไร ต้าหลังถูกพักตำแหน่งแล้วอย่างไรเล่า นั่นมิใช่เรื่องดีหรอกหรือ หากเขายิ่งมีหน้ามีตาก็ยิ่งไม่เห็นเราอยู่ในสายตามิใช่หรือ!”
 
 
ถุย! นายท่านรองสกุลหลัวถ่มน้ำลายใส่หน้านางเถียนแล้วเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดต้าหลังจึงถูกพักตำแหน่งชั่วคราว? ก็เป็นเพราะตระกูลมารดาเจ้าทำเรื่องงามหน้าไว้นั้นแล!”
 
 
นางเถียนหน้าซีดลงทันที นางร้องเสียงแหลมขึ้นว่า “อันใดกัน แล้วมันเกี่ยวอันใดกับตระกูลมารดาข้า? ท่านพี่ ท่านพูดมาให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้!”
 
 
นายท่านรองสกุลหลัวโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งจึงมิกะหนักเบา เมื่อเขาออกแรงบีบคอนางก็ทำเอานางเถียนตาถลนออกมาทีเดียว
 
 
หลัวจื้อหยาจึงพุ่งเข้ามาตีแขนของนายท่านรองสกุลหลัวทันที “ท่านพ่อ ท่านรีบปล่อยท่านแม่เดี๋ยวนี้!”
 
 
นายท่านรองนั้นขาดสติไปนานแล้ว เขาจึงสะบัดแขนโดยแรงทำเอาหลัวจื้อหยากระเด็นไปทันใด
 
 
ตั้งแต่เกิดเรื่องของเยียนเหนียง คุณชายสามก็ออกจากสำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยน แม้จะถูกนายท่านรองเฆี่ยนตีปางตายอยู่หลายคราก็ไม่ยอมไปเรียน
 
 
นายท่านสี่สกุลหลัวเคยสัญญาว่าจะหาทางให้เขาไปอยู่ในหกค่าย ระยะเวลาที่ผ่านมานี่คุณชายสามจึงอยู่แต่ในจวน เวลาส่วนใหญ่มักหมดไปกับการฝึกที่ลานฝึกยุทธ์
 
 
เขามีกำลังมากจึงเดินเข้าไปดึงนายท่านรองออกมาได้สำเร็จ “ท่านพ่อ มีอันใดก็พูดจากันดีๆ เถิด”
 
 
นายท่านรองตบเข้าที่ข้างหูคุณชายสาม “ลูกจัญไร เจ้ากล้ามาขวางข้า?”
 
 
“ท่านพ่อ หากท่านยังทำเช่นนี้ต่อไปท่านแม่ก็คงต้องตายเป็นแน่ แล้วจะให้ลูกกับน้องสาวลืมตามองเฉยๆ งั้นหรือ หากท่านแม่เกิดเหตุอันใดขึ้นจริง ท่านจะให้ลูกกับน้องสาวมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”
 
 
นายท่านรองจึงมีสติกลับคืนมาได้บ้าง
 
 
เขาหอบหายใจอยู่ตลอด ดวงตาแดงก่ำนั้นเอาแต่จ้องถลึงนางเถียน มองดูแล้วช่างน่าขนลุกนัก
 
 
นางเถียนถูกบีบคอจนหน้าเขียวคล้ำไปหมด ผมของนางกระเซอะกระเซิงรากลับผีร้ายก็มิปาน สภาพยามนี้ของคนทั้งสองก็ไม่ต่างกันนัก
 
 
“ท่านพูดมา ตระกูลมารดาข้ามีอันใด?” นางเถียนไอเสียงดังอยู่หลายคราก็พุ่งเข้าไปเอ่ยคำถาม แต่ถูกหลัวจื้อหยาขวางไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย
 
 
นายท่านรองแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ที่ต้าหลังถูกพักตำแหน่งชั่วคราวก็เพราะทางการสืบพบว่าตระกูลมารดาเจ้าให้ที่ซ่อนเผ่าเย่ว์อี๋อย่างไรเล่า!”
 
 
นางเถียนหน้าซีดไปทันที นางส่ายหน้าติดกันหลายครา “เป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร! ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องกลับไปถามให้แน่ชัด”
 
 
นางพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการกอดกุมของหลัวจื้อหยาแต่ถูกนายท่านรองถีบเอาคราหนึ่ง “สตรีจัญไร เจ้ายังกล้ากลับตระกูลมารดาอีกหรือ คิดว่าเท่านี้ยังแปดเปื้อนไม่พออีกหรือ เหตุใดข้าถึงได้แต่งสตรีโง่งมเช่นเจ้าได้เล่า!”
 
 
นางเถียนถูกนายท่านรองถีบจนมึนงงไปหมด นางได้แต่มองเขาอย่างเหม่อลอย
 
 
“เจ้าอยู่ที่นี่เฉยๆ ก็พอ ตั้งแต่นี้ต่อไปข้าไม่อนุญาตให้เจ้ากลับตระกูลมารดาอีก ข้าจะลองไปหาทางอื่นดู!”
 
 
นายท่านรองสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
 
 
นางเถียนอึ้งงันอยู่ครู่หนึ่งจึงร้องไห้ออกมาเสียงดัง
 
 
หลัวจื้อหยารู้สึกว่าทางข้างหน้าช่างมืดมนนักจนอยากจะหลับตาแล้วไม่ลืมขึ้นมาอีก แต่ก็แข็งใจเอ่ยปลอบประโลมนางเถียน
 
 
คุณชายสามกลับมุ่งหน้าไปหาคุณชายรองที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนเพื่อหารือ
 
 
นายท่านรองเที่ยวไปไหว้วานผู้คนไปทั่ว แต่น่าเสียดายที่เขาตำแหน่งต่ำต้อยไร้อำนาจ ที่พอมีอยู่บ้างก็คือเกียรติแห่งจวนกั๋วกงเท่านั้น
 
 
เวลานี้คุณชายผู้สืบทอดของจวนกั๋วกงที่เป็นถึงหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน มีทั้งตำแหน่งและอำนาจยังแทบจะล้มครืนลงมาแล้ว ผู้ใดจะให้เกียรติกับขุนนางยศน้อยเช่นเขาเล่า ทุกคนต่างพากันหลบเลี่ยงจนแทบไม่ทันเลยทีเดียว
 
 
ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้ก็ถอนหายใจยาวออกมา “ช่างเถิด คนแก่เช่นข้าคงต้องยอมแบกหน้าเข้าวังเพื่อไปขอร้องไท่โฮ่วเสียแล้ว”
 
 
นายท่านสี่สกุลหลัวที่รีบกลับเข้ามาจากนอกเมืองได้เข้าไปขวางฮูหยินผู้เฒ่าไว้
 
 
“ท่านแม่แม้แต่ต้าหลังยังถูกฝ่าบาทลงอาญาเพราะเรื่องของตระกูลพี่สะใภ้รอง ข้าว่าหากท่านเข้าวังไปขอร้องไท่โฮ่วจะมิยิ่งทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วหรอกหรือ ถึงตอนนั้นการพักตำแหน่งของต้าหลังอาจจะกลายเป็นปลดจากตำแหน่งก็ได้!”
 
 
วาจานี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าล้มเลิกความคิดนั้นไป
 
 
ความจริงนางก็มิคิดจะไปยุ่งเรื่องของตระกูลเถียนอยู่แล้ว
 
 
นางนับวันก็ยิ่งเห็นการกระทำอันไม่เหมาะสมของนางเถียนในช่วงสองปีนี้ดี หากการที่ตระกูลนางต้องเผชิญเรื่องเช่นนี้ก็อาจทำให้นางสงบเสงี่ยมลงได้บ้าง เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีไม่น้อยเลย
 
 
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าไปยุ่งสักคน นายท่านรองก็หมดหนทางอย่างที่สุดแล้ว
 
 
ยามนี้เขาจึงเริ่มหงุดหงิดที่เหตุใดต้าหลังจึงถูกพักตำแหน่งชั่วคราว หากเขาไม่เป็นอันใด ยามนี้ก็คงพอมีทางช่วยได้บ้าง
 
 
ต่อให้ต้าหลังจะพอระแคะระคายความคิดของตนกับภรรยา แต่หากอาสะใภ้ตกที่นั่งลำบากแล้วเขาไม่ช่วย ผู้คนคงได้ด่าเขาสาดเสียเทเสียอยู่ลับหลังแน่
 
 
ทว่ายามนี้ฝ่าบาทกลับมีรับสั่งให้ต้าหลังสำนึกผิดอยู่ในจวน เขาจึงไม่มีหนทางใดอีกแล้ว
 
 
คนที่ร้อนใจในจวนเจิ้นกั๋วกงต่างก็พยายามหาทุกวิถีทาง แต่คนที่ไม่ร้อนใจก็ใช้ชีวิตในจวนอยู่อย่างสบาย ส่วนผู้ตู้เยี่ยนเซิงหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินอีกผู้หนึ่งที่คิดจะกดหลัวเทียนเฉิงให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็ทุ่มเทแรงกายในการสืบคดีอย่างเบิกบานใจ
 
 
การสืบครั้งนี้ไม่เพียงสืบไปถึงเผ่าเย่ว์อี๋แต่ยังสืบพบการค่าเกลือเถื่อนของตระกูลเถียนในอดีตเมื่อหลายปีก่อนอีกด้วย
 
 
ตระกูลเถียนนั้นยากจนแต่กลับร่ำรวยขึ้นมาอย่างกะทันหัน ตระกูลเช่นนี้ไหนเลยจะสะอาดบริสุทธิ์ เมื่อตู้เยี่ยนเซิงผู้ดูแลหน่อยองครักษ์จิ่นหลินสืบทราบเรื่องนี้ก็คาดเดาได้อยู่แล้วว่าหลัวเทียนเฉิงจะต้องทูลขอรับโทษอย่างแน่นอน
 
 
การแทงทะลุรังแตนเช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าขอร้องแน่ เจาเฟิงตี้จึงลงอาญาต่อตระกูลเถียนอย่างรวดเร็วยิ่ง
 
 
สมบัติที่มีนั้นยึดเข้าหลวง ทายาทที่เป็นชายที่มีอายุมากกว่าสิบปีให้ส่งไปเป็นนักโทษเสริมทัพที่ชายแดนอันไกลโพ้น แต่อาจเพราะเห็นแก่หน้าของตระกูลเจิ้นกั๋วกงจึงมิได้ละเว้นโทษสตรีในตระกูล พวกนางจึงมิต้องถูกขายไปเป็นทาส
 
 
นางเถียนทราบข่าวนี้แล้วถึงกลับกระอักโลหิตออกมาทีเดียว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม