ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด 306-329

 ตอนที่ 306 เราจะปกป้องเจ้า


 


 


แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเลือก มู่หรงนี่อวิ๋นทำได้เพียงหยุดเดิน ใครใช้ให้อีกฝ่ายเป็นฮ่องเต้เล่า เมื่อก่อนเขาคิดว่าฐานะของตนเองใช้ได้แล้ว เป็นถึงลูกชายภรรยาหลวงในจวนมู่หรงก็มีหน้ามีตาเฉิดฉาย คิดไม่ถึงว่าแม่สาวน้อยคนนี้จะไปต้องตาคนที่ฐานะสูงกว่าเขาทั้งสิ้น ทำให้เขาหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง


 


 


หลิงอวี้จื้อเดินตามหลังเฉินมั่วฉือ นี่กำลังฝันอยู่หรือเปล่า นึกไม่ถึงว่าเฉินมั่วฉือจะว่าง่ายขนาดนี้ เธอรู้สึกไม่ชิน


 


 


“เรารู้ว่าลูกสาวของหรงอิงทำเพื่อช่วยเจ้า ไม่ได้คิดจะทำร้ายเสด็จแม่


 


 


“คืนนี้เราจะจัดการให้นางออกไปจากวังหลวง เจ้าต้องเปลี่ยนตัวตนใหม่ให้กับนาง อย่าปล่อยให้นางตกอยู่ในมือของเสด็จแม่อีก อวี้จื้อ เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าเราไม่รู้เรื่องการชอบใครสักคน เราคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว การชอบใครสักคนต้องปกป้องคนนั้น เราจะปกป้องเจ้า”


 


 


หลิงอวี้จื้อตกใจจนอ้าปากค้าง ไม่รู้เลยว่าควรจะพูดอะไร เมื่อเห็นหลิงอวี้จื้ออึ้ง เฉินมั่วฉือก็พูดดุๆ


 


 


“ยังไม่รีบตามมาอีก เดี๋ยวเรากลับใจเสียหรอก”


 


 


“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันยังรู้สึกว่าตอนนี้ฝ่าบาทไม่ควรคิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ นะเพคะ”


 


 


“เจ้ารังเกียจที่ข้าเด็กใช่หรือไม่ เดี๋ยวเราก็โต ตอนนี้เจ้าอยากอยู่ข้างกายเซียวเหยี่ยนก็อยู่ไป ต่อไปถ้าอยากไปจากเซียวเหยี่ยนค่อยมาบอกเรา”


 


 


ยังมีนิสัยเด็กๆ ตามคาด ความรักมันง่ายเหมือนที่เขาพูดเสียเมื่อไหร่ คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป


 


 


“ต่อไปหม่อมฉันก็ไม่มีทางไปจากเซียวเหยี่ยน”


 


 


“ไม่แน่หรอก เรื่องในวันหน้าก็ค่อยคุยกันวันหน้า พูดตอนนี้มันเร็วเกินไป”


 


 


ใช่ เรื่องในวันหน้าค่อยคุยกันวันหน้า ไม่แน่ต่อไปเฉินมั่วฉืออาจจะชอบสาวอื่นแล้ว คนที่ชอบในวัยยังไม่บรรลุนิติภาวะยังถือเป็นจริงจังไม่ได้ แต่สิ่งที่เหนือกว่าคือความรู้สึกรักอย่างบริสุทธิ์


 


 


“ฝ่าบาทยอมปล่อยตัวมั่วชิงจริงหรือเพคะ”


 


 


เห็นหลิงอวี้จื้อยังสงสัยตน เฉินมั่วฉือก็ไม่ปลื้มอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าหล่อเหลาหุบเป็นก้อนเดียวกัน


 


 


“เราเป็นประมุขของชาติ จะหลอกเจ้าเพื่ออะไร แม้ว่าเราจะขอให้เจ้าตอบแทน เจ้าก็ตอบแทนเราไม่ได้ เรารู้สถานะตนเองดี จะพูดเรื่องไร้ประโยชน์ไปเพื่ออะไร”


 


 


“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”


 


 


เฉินมั่วฉือทำเสียงหึแล้วพาหลิงอวี้จื้อเข้าไปที่แผนกพิจารณาโทษ มั่วชิงถูกมัดไว้กับกระดานทรมานนักโทษ มีขันทีสองคนกำลังถือแส้ฟาดมั่วชิงเต็มแรง


 


 


“หยุดนะ”


 


 


เห็นเสื้อเจี๋ยอ่าวของมั่วชิงถูกแส้ฟาดจนขาดกระจุย ไส้ปุยฝ้ายปลิ้นออกมา บนนั้นมีเลือดไหลซิบ หลิงอวี้จื้อก็สงสารจับใจ รีบร้องบอกให้หยุด โหดเ**้ยมเกินไปแล้ว เพิ่งจะถูกจับเข้ามาก็ถูกตีเสียขนาดนี้ หากถูกขังไว้อีกสองสามวัน คงถูกตีตายไปแล้ว


 


 


“ใครใช้ให้พวกเจ้าทรมานนาง รีบออกไปเดี๋ยวนี้”


 


 


เฉินมั่วฉือขึ้นเสียง ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด คนแผนกพิจารณาโทษเห็นเฉินมั่วฉือสีหน้าไม่ดี และไม่รู้ด้วยว่าเฉินมั่วฉือมีเจตนาอย่างไรกันแน่ จึงรีบถอยออกไปทันที


 


 


“คุณหนู มาได้อย่างไรเจ้าคะ ข้าไม่เป็นอะไร”


 


 


“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันอยากคุยกับมั่วชิงตามลำพังสักครู่เพคะ”


 


 


หากเป็นเมื่อก่อน เฉินมั่วฉือไม่รับปากแน่นอน แต่คราวนี้เขากลับออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ


 


 


เฉินมั่วฉือให้คนไปสืบมาว่าปกติเซียวเหยี่ยนปฏิบัติต่อหลิงอวี้จื้ออย่างไร รู้ว่าเซียวเหยี่ยนดูแลทะนุถนอมหลิงอวี้จื้อ อะไรก็ยอมตามเธอ เขาจึงตัดสินใจทำเช่นนี้ ไม่ทำเรื่องเด็ก ๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้วเพื่อไม่ให้หลิงอวี้จื้อมองเขาเป็นเด็กอีก


 


 


หลิงอวี้จื้อใจจดจ่ออยู่กับมั่วชิง ไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเฉินมั่วฉือ เฉินมั่วฉือไปแล้ว หลิงอวี้จื้อก็พูดขึ้นทันที


 


 


“มั่วชิง เจ้าไม่ต้องกังวล ฝ่าบาทรับปากข้าแล้วว่าคืนนี้จะปล่อยเจ้า เจ้าอดทนอีกหน่อย ฝ่าบาททรงเอ่ยปากแล้ว ต่อไปคงไม่มีใครกล้าทรมานเจ้าอีก”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 307 ยาทำหมันเยอะขนาดนั้นเชียว


 


 


มั่วชิงพยักหน้า


 


 


“อื้ม ข้าจะอดทน”


 


 


“ที่จริงเจ้าไม่ได้มีวิธีอะไรอยู่แล้ว ใช่หรือไม่”


 


 


“ชีวิตของคุณหนูสำคัญกว่าข้า”


 


 


“เจ้าก็เป็นคุณหนู”


 


 


“เบื้องหลังชีวิตเหล่านั้นข้ากุขึ้นมาเอง ข้าไม่ใช่ลูกสาวของหรงอิง ข้าเป็นเด็กกำพร้า ได้มารู้จักกับแม่นางหรงโดยบังเอิญ นางไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ถือว่าข้าช่วยนางให้สมความปรารถนา”


 


 


“เจ้ากุเรื่องเป็นแล้ว นับว่าได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากข้าแล้ว”


 


 


หลิงอวี้จื้อยิ้มแล้วพูดว่า


 


 


“ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่จวนมหาเสนาบดี มั่วชิง ขอบใจเจ้าอีกครั้ง”


 


 


“ข้าควรทำเจ้าค่ะ คุณหนูไม่ต้องขอบคุณ คุณหนูยังเหลือยาที่ไทเฮาเตรียมเอาไว้หรือไม่เจ้าคะ ข้ารู้เรื่องยา เอามาให้ข้าดูได้”


 


 


หลิงอวี้จื้อเก็บมาอีกหนึ่งเม็ดจริงๆ และคิดว่ากลับไปแล้วจะให้หมอตรวจสอบดูสักหน่อย ดูว่ามู่หรงกวานเย่ว์คิดจะให้นางกินยาอะไร


 


 


เธอหยิบเม็ดยาสีดำที่เก็บมาได้ออกมาจากเข็มขัดแล้วส่งให้มั่วชิง มั่วชิงให้หลิงอวี้จื้อวางยาในปากของนาง หลิงอวี้จื้อทำตาม มั่วชิงชิมรส แล้วพ่นเม็ดยาออกมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าประหลาดใจก่อน หลังจากนั้นเปลี่ยนเป็นสีหน้าภูมิใจ


 


 


“มั่วชิง นี่คือยาอะไร”


 


 


“นี่คือยาทำหมันเจ้าค่ะ กินยานี้เข้าไปแล้วจะไม่มีทางมีลูกได้อีกตลอดชีวิต”


 


 


หลิงอวี้จื้อเกือบจะด่าแม่แล้ว มู่หรงกวานเย่ว์โหดเ**้ยมเกินไป นึกไม่ถึงว่าจะให้เธอกินยาแบบนี้ ยังดีที่เธอยังไม่ได้กิน มิเช่นนั้นทั้งชีวิตนี้คงถูกมู่หรงกวานเย่ว์ทำลายย่อยยับจริงๆ


 


 


แบบนี้ไม่ถูกสิ เม็ดเดียวก็เป็นหมันแล้ว แสดงว่ายานี้แรงมาก


 


 


ยาชนิดนี้ควรจะมีค่าราคาแพงสิ แต่ใน**บนั้นมีตั้งหลายเม็ด ราวกับเป็นเม็ดถั่วอย่างไรอย่างนั้น มู่หรงกวานเย่ว์ทำยาทำหมันเยอะขนาดนั้นไปเพื่ออะไร นางเป็นถึงไทเฮา จะเอาไปทำร้ายใครได้ หรือว่านางทำไว้จำหน่าย เรื่องนี้น่าสับสนจริงๆ


 


 


“ยานี้มีมูลค่าหรือไม่”


 


 


“ข้างนอกไม่มีเจ้าค่ะ”


 


 


มั่วชิงดูเหมือนจะลังเล สุดท้ายก็ยังตัดสินใจบอกหลิงอวี้จื้อ


 


 


“ยานี้มีที่มาจากสำนักอู๋จี๋”


 


 


เดี๋ยวนะ ทำไมชื่อนี้ถึงคุ้นขนาดนี้ เธอนึกอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็นึกออก ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้พิษปลุกเสกที่หลิงอวี้หรงกับหนานเยียนโดนก็มาจากที่นี่ เซียวเหยี่ยนเคยบอกเธอ เธอยังจำได้


 


 


“ข้าได้ยินอาเหยี่ยนบอกว่าสำนักอู๋จี๋หายสาบสูญไปแล้ว เหตุใดยังดำเนินการอยู่ หรือว่าไทเฮากับสำนักอู๋จี๋เกี่ยวข้องอะไรกัน มิเช่นนั้นคงจะไม่มียาทำหมันในครอบครองเยอะขนาดนี้”


 


 


มั่วชิงพยักหน้า


 


 


“ไทเฮาจะต้องมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับสำนักอู๋จี๋แน่นอนเจ้าค่ะ”


 


 


“มั่วชิง เจ้ามั่นใจได้อย่างไร”


 


 


“ในยาพวกนี้มีพืชสลายวิญญาณ เป็นสมุนไพรที่สำนักอู๋จี๋เพาะเลี้ยงขึ้นมา มีที่สำนักอู๋จี๋เท่านั้น ข้ารู้จักกลิ่นของพืชสลายวิญญาณ ดังนั้นยานี้ต้องมาจากสำนักอู๋จี๋แน่นอนเจ้าค่ะ”


 


 


มั่วชิงหลบตาลง น้ำเสียงเรียบนิ่ง


 


 


ขณะนี้หลิงอวี้จื้อกำลังใช้ความคิด ดังนั้นจึงไม่ได้สังเกตว่าตอนที่มั่วชิงพูดเรื่องเหล่านี้นางมีสีหน้าไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ นางจึงหลบสายตาลงเพื่อซ่อนความรู้สึกในดวงตา


 


 


หลิงอวี้จื้อเริ่มคิดบรรเจิดอีกแล้ว เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังสำนักอู๋จี๋คงไม่ใช่มู่หรงไทเฮาหรอกนะ!


 


 


ตัวเองเป็นไทเฮา แล้วยังควบคุมองค์กรลัทธิมารอีก เรื่องนี้ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ รอเซียวเหยี่ยนกลับมา เธอจะต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกเซียวเหยี่ยน ให้เซียวเหยี่ยนสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างแจ้ง


 


 


ข้างนอกมีคนมาเร่งหลิงอวี้จื้อแล้ว นางกำชับมั่วชิงสองสามประโยคแล้วจึงออกไปก่อน มั่วชิงถึงได้เหลือบตาขึ้นมา แววตาสับสน หลายปีขนาดนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่าฝันร้ายนี้จะยังอยู่ มันมาเกี่ยวข้องกับไทเฮาได้อย่างไร


 


 


พอกลับไปแล้ว หลิงอวี้จื้อก็รอข่าวมั่วชิงอยู่ในห้องตลอด เธอตัดสินใจว่าจะไม่นอนแล้ว


 


 


รอจึงถึงเที่ยงคืน ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวมาจากในเรือน เธอยินดีทันใด จากนั้นประตูห้องก็ถูกคนเปิดออก มั่วชิงเดินเข้ามา




ตอนที่ 308 เซียวเหยี่ยนหายไปแล้ว


 


 


หลิงอวี้จื้อส่งยิ้มสดใสให้มั่วชิง รีบเข้าไปประคองมั่วชิง


 


 


“ต้อนรับกลับบ้าน”


 


 


มั่วชิงนั่งลง


 


 


“ฝ่าบาทใช้นักโทษประหารแลกตัวข้าออกมา คุณหนู อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอะไร”


 


 


“หรูเยียน รีบเชิญหมอมาสิ”


 


 


หรูเยียนพยักหน้า รีบไปเชิญหมอมา มั่วชิงนั่งสักครู่ก็ลุกขึ้น


 


 


“ข้ากลับห้องก่อน คุณหนู ดึกแล้ว รีบนอนพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ ถึงเวลาค่อยให้หรูเยียนล้างแผลให้ข้าสักหน่อย”


 


 


“ข้าส่งเจ้ากลับห้อง”


 


 


หลิงอวี้จื้อยืนยันจะส่งมั่วชิงกลับห้อง มั่วชิงก็ไม่ได้ปฏิเสธ หลิงอวี้จื้อประคองมั่วชิงกลับไป จวบจนหมอสั่งยาให้มั่วชิงแล้ว เธอกับหรูเยียนช่วยกันทายาและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง ทำเสร็จแล้ว เธอถึงกลับห้องตนเองอย่างสบายใจ ถอดเสื้อนอกออกก็ล้มตัวลงบนเตียงก่อนหลับไปอย่างรวดเร็ว


 


 


จากนั้นสองสามวัน หลิงอวี้จื้อก็อยู่ในเรือนของตนเองมาตลอด เธอไถ่ถามตามอาการมั่วชิง ดูแลนางเอง มั่วชิงรู้สึกซาบซึ้งใจจนไม่รู้จะซึ้งอย่างไรแล้ว หลายปีมานี้ เป็นครั้งแรกที่มีคนเอาใจใส่นางขนาดนี้ ทำให้นางมุ่งมั่นที่จะจงรักภักดีหลิงอวี้จื้อมากยิ่งขึ้น


 


 


ข้างนอกอากาศดี หลิงอวี้จื้อให้คนย้ายม้านั่งสามสี่ตัวไปวางในลานบ้าน เล่าเรื่องขุนศึกตระกูลหยางให้พวกสาวใช้ในเรือนฟัง หลิงอวี้จื้อเล่าเรื่องอย่างออกรสออกชาติ พวกสาวใช้ข้างล่างต่างตั้งใจฟังราวกับถูกสะกด


 


 


ในตอนที่กำลังเล่าถึงฉากสำคัญของเรื่องก็มีสาวใช้วิ่งเหยาะๆ เข้ามารายงาน


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ ท่านจู…”


 


 


ตอนนี้ทุกคนต่างรู้เรื่องที่จูจิ่นมีสถานะเป็นผู้หญิง นางออกจากตำแหน่งซื่อจื่อแล้ว กระทั่งชั้นยศของชางผิงโหวก็ถูกถอดแล้ว ดังนั้นจูจิ่นจึงไม่ใช่ซื่อจื่ออีกต่อไป ถือว่าเป็นคุณหนูของครอบครัวขุนนางธรรมดาคนหนึ่ง


 


 


“ที่นี่ไม่ได้มีหมูสักหน่อย”


 


 


หลิงอวี้จื้อขมวดคิ้วตอบกลับไปหนึ่งประโยค ถูกขัดจังหวะตอนนี้ อีกประเดี๋ยวจะจำไม่ได้ว่าตนเองเล่าไปถึงไหนแล้ว


 


 


“อวี้จื้อ เจ้านี่ช่างมีความสุขเสียจริง นึกไม่ถึงว่าจะมานั่งเล่านิยายในจวน”


 


 


จูจิ่นสวมชุดผู้หญิงสีเขียวน้ำทะเลสาบ ผมรวบขึ้นลวกๆ ถึงแม้จะปักปิ่นที่ดูธรรมดา แต่กลับสวยงามมาก เดิมทีนางเป็นผู้หญิงที่หน้าตาสะสวยผิวขาวผ่องอยู่แล้ว


 


 


พอเห็นว่าเป็นจูจิ่น หลิงอวี้จื้อก็รีบลุกขึ้น ยิ้มบางๆ


 


 


“โอ้โห สาวสวยบ้านไหนกันเนี่ย ไม่นานก็รักษาแผลหายแล้ว มา ให้พี่ลูบคลำหน่อย”


 


 


“อวี้จื้อ เจ้าอย่าเพิ่งรีบลูบคลำข้า รอให้ข้าพูดจบก่อน ถึงตอนนั้นหากเจ้ายังมีแก่ใจจะลูบคลำข้าก็ค่อยลูบ”


 


 


หลิงอวี้จื้อกลับลงไปนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง บิดขี้เกียจ


 


 


“ตัดสินใจจะบอกว่าคนที่เจ้าชอบเป็นใครแล้วหรือ”


 


 


“อาเหยี่ยนหายตัวไปแล้ว”


 


 


หลิงอวี้จื้อบิดขี้เกียจได้ครึ่งหนึ่ง ได้ยินข่าวนี้แล้ว ก็ชักมือกลับทันที มองจูจิ่นอย่างตระหนกตกใจ


 


 


“เจ้าพูดว่าอะไรนะ พูดใหม่อีกทีสิ”


 


 


“ข้าได้ยินข่าวมาจากข้างนอก ตอนแรกก็ไม่อยากเชื่อ จึงจงใจเขียนจดหมายถึงอาเหยี่ยน แต่ว่าติดต่ออาเหยี่ยนไม่ได้ คาดการณ์ว่าเขาคงเกิดเรื่องจริงๆ ข้าส่งคนไปอำเภอฉางหนิงแล้ว ก็หาอาเหยี่ยนไม่เจอ นี่เป็นจดหมายตอบกลับจากพวกเขา”


 


 


พูดจบก็ส่งจดหมายให้หลิงอวี้จื้อ เธอรีบฉีกจดหมายเปิดออก


 


 


เพราะรีบร้อน เธอจึงฉีกจดหมายหยาบๆ เกือบฉีกจดหมายขาดเป็นสองซีก จดหมายเขียนว่าตามหาทั้งอำเภอฉางหนิงแล้วก็ไม่พบเซียวเหยี่ยน ยิ่งไปกว่านั้นนอกเมืองอำเภอฉางหนิงยังเคยเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด มีรอยเลือดอยู่มาก


 


 


หลิงอวี้จื้อคลายมือ จดหมายในมือตกลงบนพื้น สมองว่างเปล่า ร้อนใจจนแทบไม่ไหว เธออยู่ที่นี่เฝ้ารอให้เซียวเหยี่ยนกลับมาเร็วๆ เขาเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่ ไม่ได้ เธอจะต้องไปหาเขาที่อำเภอฉางหนิงเอง ประเดี๋ยวออกเดินทางเลย เธอไม่สามารถรอข่าวอยู่ที่นี่ได้


 


 


“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าเคยรับปากอาเหยี่ยนว่าจะไม่บอกเจ้า ข้าเห็นว่าการหายตัวไปของอาเหยี่ยนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จึงบอกเจ้าเสียดีกว่า”


 


 


หลิงอวี้จื้อหันกลับมาตัวเกร็ง


 


 


“อาเหยี่ยนมีเรื่องอะไรปิดบังข้า”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 309 ข้าจะไปหาเขา


 


 


“หลายปีมานี้อาเหยี่ยนไม่ได้มัวแต่หาพระชายาซีหนานอ๋อง หกปีก่อนได้ยินมาว่าพระชายาซีหนานอ๋องปรากฏตัวที่อำเภอฉางหนิง เขาไปอำเภอฉางหนิงด้วยตนเอง ใครจะไปรู้ว่าไปเขาจะไปขัดใจผู้หญิงที่รับมือยากคนหนึ่งเข้าที่อำเภอฉางหนิง ผู้หญิงคนนั้นชื่อเฟิงอิ๋น เป็นจอมยุทธ์หญิง วิทยายุทธ์ล้ำเลิศ ซ้ำยังเชี่ยวชาญการใช้พิษ”


 


 


หลิงอวี้จื้อไม่พูดอะไร รอจูจิ่นพูดต่อ นางหมายความว่าเซียวเหยี่ยนออกไปทำงานคราวนี้ ที่จริงคือไปหาผู้หญิงคนนี้หรือ


 


 


“เจ้าอย่าเข้าใจผิด อาเหยี่ยนมิได้สนใจผู้หญิงคนนั้น แต่เฟิงอิ๋นคอยเกาะแกะอาเหยี่ยนมาตลอด เรื่องนี้อาเหยี่ยนคอยอดทนรำคาญ เมื่อมั่นใจว่าที่อำเภอฉางหนิงไม่มีพระชายาซีหนานอ๋องแล้ว อาเหยี่ยนก็เตรียมจะไปจากอำเภอฉางหนิง เฟิงอิ๋นเห็นว่ารั้งอาเหยี่ยนไว้ไม่อยู่ ก็คิดแค้น วางยาพิษอาเหยี่ยน”


 


 


พูดถึงเรื่องนี้ จูจิ่นเริ่มกัดฟันกรอด เห็นได้ชัดว่าเกลียดผู้หญิงที่ชื่อเฟิงอิ๋นคนนี้มาก


 


 


“นางวางยาพิษอะไรให้อาเหยี่ยน”


 


 


“หลงโฉมงาม”


 


 


ชื่อเพราะขนาดนี้ เป็นพิษอะไรกันแน่ ใช้ทำอะไรกัน


 


 


จูจิ่นยังไม่ทันได้อธิบาย มั่วฉือที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยออกมา


 


 


“หลงโฉมงามเป็นพิษที่แปลกมากชนิดหนึ่ง เมื่อโดนพิษนี้แล้วจะไม่สามารถแตะต้องผู้หญิงได้อีก มิเช่นนั้นพิษจะออกฤทธิ์ถึงตาย”


 


 


นี่เป็นเหตุผลที่หลายปีมานี้เซียวเหยี่ยนครองตนบริสุทธิ์ใช่หรือไม่ ก่อนหน้านี้เธอยังสงสัยว่าเซียวเหยี่ยนกับมู่หรงกวานเย่ว์มีความสัมพันธ์อะไรแบบนั้นกัน ดูท่าเธอคงเข้าใจเซียวเหยี่ยนผิดไปแล้ว คิดถึงตรงนี้ หลิงอวี้จื้อก็เริ่มรู้สึกผิด


 


 


“เดิมทีอาเหยี่ยนไม่มีคนที่หมายปองจึงไม่ได้เอาเรื่องนี้มาใส่ใจ ต่อมาฮ่องเต้องค์ก่อนเสด็จสวรรคต ไทเฮาต้องการให้อาเหยี่ยนช่วยสนับสนุนลูกชายนางให้ก้าวขึ้นบัลลังก์ฮ่องเต้ จึงเสนอตนให้ แต่ถูกอาเหยี่ยนปฏิเสธ


 


 


“เมื่อรู้มาว่าอาเหยี่ยนโดนวางยาพิษ ไทเฮาก็ทุ่มเทสุดกายสุดใจหายาถอนพิษมาจนได้ อาเหยี่ยนจึงรับปากว่าจะช่วยสนับสนุนให้ฝ่าบาทก้าวขึ้นบัลลังก์ฮ่องเต้


 


 


ไม่นานมานี้ร่างกายของอาเหยี่ยนไม่ค่อยสู้ดี พอตรวจดูก็พบว่ายาถอนพิษที่ไทเฮาให้อาเหยี่ยนมามีเพียงครึ่งเดียว คราวนี้อาเหยี่ยนไปอำเภอฉางหนิงเพื่อไปเอายาถอนพิษจากเฟิงอิ๋น”


 


 


หลิงอวี้จื้อด่ามู่หรงกวานเย่ว์อย่างเจ็บแสบอยู่ในใจ นังผู้หญิงคนนี้แผนร้ายเยอะนัก รู้แก่ใจว่าเซียวเหยี่ยนโดนพิษ ให้ยาถอนพิษก็ให้แค่ครึ่งเดียว มีใครที่ไหนที่ทำกับคนที่รักแบบนี้ การที่เซียวเหยี่ยนได้พบนาง ถือเป็นเคราะห์ร้ายอย่างยิ่ง


 


 


ที่เซียวเหยี่ยนหายตัวไปคราวนี้ จะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่ชื่อเฟิงอิ๋นหรือไม่


 


 


ไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยว เธอก็ต้องไปหาเซียวเหยี่ยนที่อำเภอฉางหนิง เธอทนไม่ได้อีกแม้แต่ครู่เดียว เธอหันกลับไปถาม


 


 


“จูจิ่น อำเภอฉางหนิงอยู่ไกลจากเมืองหลวงเพียงใด”


 


 


“หากไปอย่างเร็วที่สุด สี่วันก็ถึงแล้ว”


 


 


“เช่นนั้นก็ไม่ไกล มั่วชิง รีบไปเตรียมของสักหน่อย เตรียมของเสร็จแล้วพวกเราออกจากเมืองกัน”


 


 


จูจิ่นห้ามหลิงอวี้จื้อ


 


 


“ประเดี๋ยวฟ้าก็มืดแล้ว เจ้ายังจะออกจากเมืองอีก ถ้าจะไปก็ค่อยรอฟ้าสว่าง”


 


 


“พี่สาวใหญ่ ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายเอง กว่าอาทิตย์จะลับทิวเขาก็อีกหลายชั่วยาม เจ้าก็ว่าฟ้าจะมืดเสียแล้ว”


 


 


หลิงอวี้จื้อกรอกตาใส่จูจิ่น เห็นมั่วชิงยืนอยู่ไม่ขยับก็พูดเร่ง


 


 


“รีบไปเก็บของเดี๋ยวนี้เลย”


 


 


มั่วชิงพยักหน้า หมุนตัวกลับห้องพร้อมหรูเยียน


 


 


เมื่อเห็นว่าหลิงอวี้จื้อจะไปบ่ายนี้จริงๆ แบบนี้จูจิ่นถึงได้รู้สึกว่าเซียวเหยี่ยนไม่ได้รักคนผิด ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าหลิงอวี้จื้อเป็นฝ่ายรับความรักตลอด เธอคงไม่ได้รักอาเหยี่ยนลึกซึ้งขนาดนั้น แต่ไหนแต่ไรมา เซียวเหยี่ยนก็ไม่ได้ต้องการให้หลิงอวี้จื้อทำอะไรเพื่อเขา ตอนนี้เห็นปฏิกิริยาของหลิงอวี้จื้อ ใจนางจึงรู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร


 


 


“เจ้าไม่มีวิทยายุทธ์”


 


 


“มั่วชิงมีวิทยายุทธ์”


 


 


“จากคำบรรยายของอาเหยี่ยน เฟิงอิ๋นเป็นผู้หญิงที่เก่งกาจมาก เจ้าพามั่วชิงไปก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”


 


 


“ข้าไม่ได้ไปหานางเพื่อประลองยุทธ์สักหน่อย”


 


 


หลิงอวี้จื้อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แสงอาทิตย์เจิดจ้าทำให้เธอหรี่ตา


 


 


เซียวเหยี่ยน ข้าเปลี่ยนที่รอท่าน ท่านบอกแล้วว่าผ่านตรุษจีนไปจะมาสู่ขอข้า ข้ากำลังให้คนไปเตรียมชุดแต่งงานแล้ว ท่านจะคืนคำไม่ได้นะ




ตอนที่ 310 ข้าโง่ขนาดนั้นหรือ


 


 


“ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า”


 


 


จูจิ่นตบไหล่หลิงอวี้จื้อเบาๆ


 


 


“เจ้าอยู่รอข่าวที่เมืองหลวงดีกว่า มั่วชิงต้องปกป้องสองคน ภาระหนักเกินไป ข้าอยากเหลือโอกาสรอดให้ตัวเองอีกสักหน่อย”


 


 


คำอธิบายนี้ไม่มีใครโต้ได้ จูจิ่นกลอกตาใส่หลิงอวี้จื้อ


 


 


“เช่นนั้นพวกเราต่างคนต่างไป”


 


 


“รักษาแผลเจ้าให้หายก่อนแล้วค่อยมาคุย ข้าจะไปหาผู้ชายของข้า เจ้าไม่ต้องมาร่วมวงด้วย อาจิ่น รออยู่ที่เมืองหลวงอย่างเชื่อฟังเถิด”


 


 


พูดจบก็เลียนแบบเซียวเหยี่ยน ลูบหัวจูจิ่นเหมือนลูบหัวหมาน้อย


 


 


จูจิ่นผลักมือเธอออก ไม่ชอบอย่างยิ่งที่หลิงอวี้จื้อลูบหัวนางเช่นนี้ บาดแผลของนางยังไม่หายดี หากไปด้วยก็คงช่วยอะไรไม่ได้ รังแต่จะถ่วงพวกนางเอาเปล่าๆ นางรอฟังข่าวอยู่ที่เมืองหลวงก็ดี


 


 


“มีเรื่องอะไรรีบส่งจดหมายบอกข้าทันที”


 


 


“อื้ม วางใจเถิด! ข้าไม่เกรงใจแน่นอน”


 


 


มั่วชิงเก็บของเสร็จอย่างรวดเร็ว หลิงอวี้จื้อเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ สั่งการหรูเยียนอย่างละเอียดอีกรอบ แล้วพามั่วชิงออกจากจวนมหาเสนาบดี


 


 


จูจิ่นไปส่งเธอที่ประตูเมือง หลิงอวี้จื้อยิ้มให้จูจิ่น


 


 


“เอาล่ะๆ เจ้ารีบกลับไปเถิด! ข้างนอกถึงจะมีแสงแดด แต่ลมแรง ข้ากลัวร่างบอบบางปลิวลมของเจ้าจะล้มป่วยเสีย เจ้าวางใจเถิด ข้ากับอาเหยี่ยนจะต้องกลับมาด้วยกันแน่นอน”


 


 


“หากเจ้าได้เจอเฟิงอิ๋น อย่าใช้ไม้แข็งกับนางเด็ดขาด ต้องหัวไวหน่อย ถึงแม้นางจะมีใจให้อาเหยี่ยน แต่อาเหยี่ยนไม่สนใจนางเลยแม้แต่นิดเดียว”


 


 


“ข้าโง่ขนาดนั้นหรือ”


 


 


“โง่กว่าเมื่อก่อน อย่างไรข้าก็ต้องเตือนเจ้าสักหน่อย ไม่ง่ายเลยกว่าอาเหยี่ยนจะชอบใครสักคน ข้ากลัวว่าเขาจะเป็นพ่อหม้าย”


 


 


“ไปเลยไป”


 


 


หลิงอวี้จื้อจ้องจูจิ่นเขม็ง ตอนนี้สองคนนี้สนิทกันมากขึ้นทุกที พูดจาอะไรก็ไม่ต้องคิดมาก กลายเป็นเพื่อนสนิทกันจริงๆ แล้ว


 


 


จูจิ่นเตรียมตัวจะกลับ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเกือกม้าอยู่ไม่ไกล สองคนหันไปพร้อมกัน คนที่กำลังขี่ม้าสีดำคือมู่หรงนี่อวิ๋น เขาสวมชุดคลุมสีแดงเข้ม ม้าห้อตะบึง มู่หรงนี่อวิ๋นดึงบังเ**ยนให้ม้าหยุด กระโดดลงมาจากม้าสีดำ เขาดูฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยพลัง


 


 


“ยังดีที่ตามมาทัน”


 


 


“เจ้ามาได้อย่างไร”


 


 


หลิงอวี้จื้อถามด้วยความประหลาดใจ เรื่องนี้มู่หรงนี่อวิ๋นไม่สามารถรู้ได้ เรื่องนี้อู่จิ้นจะต้องบอกแค่จูจิ่นแน่นอน จู่จิ่นเองก็ไม่ใช่คนพูดอะไรส่งเดช เซียวเหยี่ยนหายตัวไปไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากปิดได้ก็ย่อมต้องปิดไว้ให้ดี ไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นรู้ได้


 


 


“ข้าเพิ่งไปหาเจ้าที่จวน หรูเยียนบอกว่าเจ้าออกนอกเมืองไปแล้ว ข้าจึงรีบตามมา ยามนี้แล้ว เจ้าจะออกนอกเมืองไปทำอะไร”


 


 


เห็นมู่หรงนี่อวิ๋นรีบตามมาตาลีตาเหลือก จูจิ่นก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ พูดจากระทบกระทั่ง


 


 


“คนเขาจะออกนอกเมืองเกี่ยวอะไรกับเจ้า คุณชายมู่หรง ความดูแลเอาใจใส่นี้ดูแปลกๆ นะ”


 


 


“ข้าเองมิได้ดูแลเอาใจใส่แม่นางจูสักหน่อย แม่นางจูยุ่งอะไรเรื่องส่วนตัวข้า”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นจงใจย้ำตรงแม่นางจูสามพยางค์นี้ เหตุใดถึงรู้สึกแปลกแปร่ง เขาพินิจพิเคราะห์จูจิ่นด้วยรอยยิ้มปลอมๆ


 


 


“อยู่ดีๆ จากผู้ชายกลายเป็นผู้หญิง แม่นางจูรู้สึกอย่างไร”


 


 


“รู้สึกดีที่สุด คุณชายมู่หรงอยากลองด้วยหรือไม่”


 


 


จูจิ่นตอกกลับ


 


 


“พวกเจ้าค่อยๆ ทะเลาะกันไปนะ ข้าไปก่อนแล้ว นี่อวิ๋น เจ้าพาอาจิ่นไปส่งด้วยเสียเลย ตอนนี้นางเป็นผู้หญิง เจ้าทำตัวเป็นสุภาพบุรุษหน่อย”


 


 


พูดจบหลิงอวี้จื้อก็แง้มม่านขึ้นรถม้าไป เธอเพิ่งจะขึ้นไปบนรถม้า มู่หรงนี่อวิ๋นก็จะตามขึ้นมาด้วย หลิงอวี้จื้อตะลึง


 


 


“เจ้าขึ้นมาทำไม”


 


 


“เย็นขนาดนี้แล้ว เจ้าออกนอกเมือง ข้าไม่วางใจ ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า”


 


 


เห็นได้ชัดว่าจูจิ่นเองก็นึกไม่ถึงว่ามู่หรงนี่อวิ๋นจะขึ้นไปด้วย นางยื่นมือออกไปดึงเสื้อผ้าของมู่หรงนี่อวิ๋น


 


 


“คุณชายมู่หรง เจ้ายังเห็นแก่หน้าตนเองอยู่หรือไม่ จะไปวอแวหลิงอวี้จื้อทำไม เจ้าอย่าลืมว่าอวี้จื้อเป็นว่าที่พระชายาท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นะ”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 311 ปากร้ายเช่นนี้ จะขายออกได้อย่างไร


 


 


“ข้าจะปกป้องว่าที่พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มันผิดตรงไหน เจ้าปล่อยมือเสีย ตอนนี้เจ้าเป็นผู้หญิง ข้าจะไม่จู้จี้กับเจ้า เจ้าคงเข้าใจนะว่าชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกัน!”


 


 


จูจิ่นไม่ปล่อยมือ ดึงเข็มขัดมู่หรงนี่อวิ๋น มู่หรงนี่อวิ๋นรู้ว่าร่างกายจูจิ่นมีบาดแผล ประกอบกับนางเป็นผู้หญิง จึงไม่กล้าออกแรงนัก สองคนยึดยื้อกันอยู่เช่นนี้จนสุดท้ายจูจิ่นก็ดึงเข็มขัดของมู่หรงนี่อวิ๋นจนหลุด


 


 


สามคนมองหน้ากัน ทันใดนั้นหลิงอวี้จื้อก็ทนไม่ไหว หัวเราะกระจาย


 


 


“พวกเจ้าสองคนทำอะไรกัน เตรียมจะถอดเสื้อกันกลางถนนหรือ ข้าไม่ได้สนใจจะดูนะ นี่อวิ๋น เจ้ากลับไปเถิด ข้ามีธุระจริงๆ”


 


 


“นอกเสียจากว่าเจ้าจะกลับด้วย มิเช่นนั้นอย่างไรข้าก็ต้องไป”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นดึงเข็มขัดของตนกลับมาจากมือจูจิ่นแล้วขึ้นรถม้าไป จูจิ่นยังคงตะลึงอยู่ จนกระทั่งมู่หรงนี่อวิ๋นขึ้นรถม้าไปแล้ว จูจิ่นถึงได้ด่าว่า


 


 


“มู่หรงนี่อวิ๋น เจ้ามันเป็นคุณชายเสเพลที่ชอบแส่เรื่องชาวบ้าน”


 


 


“รีบออกรถ ไม่ต้องสนใจผู้หญิงปากร้าย”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นสั่งคนบังคับรถม้า


 


 


หลิงอวี้จื้อรู้ว่าไล่มู่หรงนี่อวิ๋นไปไม่พ้นแน่ หากลากต่อไป ฟ้าจะมืดเสียก่อน เธอจึงพยักหน้า คนบังคับรถยกแส้ขึ้นออกรถ


 


 


จูจิ่นโกรธจนกระทืบเท้า มู่หรงนี่อวิ๋นคนนี้ เหตุใดถึงน่ารำคาญเช่นนี้


 


 


คิดถึงตรงนี้ นางก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง ถึงแม้จะรำคาญ แต่พอไม่เห็นเขาจริง ๆ นางก็นึกถึงมู่หรงนี่อวิ๋นอีกแล้ว สองคนต่อปากต่อคำกันเป็นประจำ ต่างคนต่างไม่ยอมกัน แต่ก็แปลก พอไม่เห็นเขาแล้วก็อยากเจอเขา


 


 


ตัวเองหาเรื่องไปอยู่ในตำแหน่งต่ำต้อยแท้ๆ


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นรีบใส่เข็มขัดอย่างกระอักกระอ่วนบนรถม้า หรือว่าเพราะจูจิ่นเคยเป็นผู้ชายมาก่อน แรงมือถึงได้เยอะขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าจะดึงเข็มขัดเขาหลุดไปได้ต่อหน้าต่อตา


 


 


“แม่จูจิ่นคนนี้ร้ายกาจนัก ต่อไปจะขายออกได้อย่างไร”


 


 


“ไม่ดึงกางเกงเจ้าขาดก็บุญแล้ว แค่เข็มขัดเส้นเดียวไม่เห็นเป็นอะไร”


 


 


“หากนางดึงจริง ข้าก็เฉยๆ แค่กลัวว่าเจ้าจะตกใจ”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นพูดยิ้มๆ


 


 


“ข้าจะไปตกใจอะไร เจ้านึกว่าข้าไม่เคยเห็นผู้ชายหรือ”


 


 


“เจ้ากับท่านอ๋องถึงขั้นนี้แล้วหรือ”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นถามอย่างค่อนข้างหงุดหงิด


 


 


“เอ่อ…”


 


 


หลิงอวี้จื้อเริ่มกระอักกระอ่วนแล้ว ยิ่งพูดยิ่งไปไกล เธอกระแอมไอเบาๆ สองครั้ง


 


 


“ในเมื่อเจ้าขึ้นมาบนรถแล้ว ข้าก็จะไม่ปิดเจ้า อาเหยี่ยนหายตัวไปที่อำเภอฉางหนิง ข้าจะไปหาอาเหยี่ยน”


 


 


“ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า ระหว่างทางก็มีคนดูแลสักคน วิทยายุทธ์ของข้าคงไม่ไปถ่วงความเจริญของเจ้าหรอก”


 


 


“ขอบใจนะ นี่อวิ๋น”


 


 


หลิงอวี้จื้อพูดพลางยิ้มให้มู่หรงนี่อวิ๋น


 


 


เห็นหลิงอวี้จื้อยิ้มแล้ว มู่หรงนี่อวิ๋นก็สติกระเจิง


 


 


ทั้งๆ ที่มีหน้าตาราวกับเด็กน้อยแต่เวลาเธอยิ้มน่าดูมาก เขาเองก็เจอผู้หญิงมาไม่น้อย กระทั่งได้ครอบครองผู้หญิงมาแล้วก็ไม่น้อย แต่ไม่มีใครยิ้มแล้วน่าดูเหมือนหลิงอวี้จื้อเลย นัยน์ตาราวกับมีแสงประกาย ส่องระยิบระยับ


 


 


“เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ในเมื่อเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ก็ไม่ต้องพูดขอบคุณแล้ว ต่อไปข้าก็ต้องมีเรื่องให้เจ้าช่วยเช่นกัน”


 


 


ปากพูดไปอย่างนั้น แต่ที่จริงเขาเข้าใจดี เขาคงไม่มีเรื่องอะไรให้หลิงอวี้จื้อช่วย


 


 


เรื่องอันตรายไม่ให้เธอทำแน่นอน เรื่องอื่นตนเองสามารถแก้ไขได้ สิ่งที่เขาอยากทำก็คือใช้สถานะเพื่อนที่ดีเพื่ออยู่เคียงข้างเธอตลอดไป ไม่บอกความลับให้รู้ แอบเก็บไว้ในใจ แบบนี้ก็ดีมากแล้ว


 


 


“ไม่มีปัญหา ถึงเวลานั้นต้องรีบบอกข้านะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อคิดถึงเซียวเหยี่ยน ตลอดทางไม่ได้พักผ่อนนัก ทหารลับที่เซียวเหยี่ยนทิ้งไว้ให้ที่เรือนก่อนหน้านี้ก็เดินทางตามมาด้วย คอยปกป้องหลิงอวี้จื้อในที่ลับ ดังนั้นตลอดทางมานี้ปลอดภัยมาก ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย ช่วงหัวค่ำวันที่ห้า พวกเขาก็เข้าอำเภอฉางหนิงอย่างราบรื่น




ตอนที่ 312 เหมือนเมืองผีสิง


 


 


เร่งเดินทางติดต่อกันหลายวัน หลิงอวี้จื้อก็เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง คืนนี้พวกเขาตัดสินใจพักผ่อนสักคืนที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในอำเภอฉางหนิง พรุ่งนี้ค่อยไปสืบถามข่าวคราว


 


 


อำเภอฉางหนิงยามย่ำค่ำเงียบสงบ ประกอบกับข้างนอกอากาศหนาว บนถนนใหญ่ไม่มีคนสักคน ลมหนาวพัดหวีดหวิว ข้างนอกให้ความรู้สึกน่ากลัว


 


 


หลิงอวี้จื้อแง้มม่าน มองไปข้างนอก


 


 


“อำเภอฉางหนิงนี้ทำไมถึงเหมือนเมืองผีสิงเช่นนี้ ฟ้าเพิ่งจะมืดก็มองไม่เห็นคนแม้แต่คนเดียวแล้ว แต่ละบ้านปิดประตูกันหมด เข้ามาถึงก็รู้สึกไม่ค่อยดี”


 


 


“เจ้ากลัวผีหรือ”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นหัวเราะลั่นพลางถาม


 


 


“ถ้าหากมีผี ข้าก็กลัวจริงๆ หากเจ้าไม่กลัว เจ้าต้องเป็นคนเดินนำหน้านะ”


 


 


“ขี้ขลาดจริง โลกนี้มีผีที่ไหนกัน”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นหัวเราะเยาะหลิงอวี้จื้อ เพิ่งจะสิ้นเสียงพูดของเขา ก็มีเสียงคล้ายเสียงร้องของผู้หญิงดังแว่วมาจากที่ไกลๆ เสียงร้องหดหู่อ้างว้างมาก ได้ยินเสียงร้องเช่นนี้บนถนนอันว่างเปล่าก็ยิ่งรู้สึกหลอน


 


 


หลิงอวี้จื้อขนลุกซู่ไปทั้งตัว แม่เจ้า อำเภอเล็กๆ แห่งนี้คงไม่มีผีจริงๆ หรอกนะ!


 


 


ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้นับถือเทพเจ้า แต่การที่อยู่ๆ เธอก็ข้ามภพมานี่ก็อัศจรรย์พันลึกพอแล้ว ด้วยเหตุนี้ เธอจึงจับทางไม่ได้ว่าในช่วงเวลายุคนี้จะมีของจำพวกผีสางอะไรหรือไม่


 


 


เสียงร้องไห้นี้ พวกเขาต่างได้ยินกันหมด


 


 


มั่วชิงมองออกไปข้างนอกอย่างระวังตัว หลิงอวี้จื้อฝืนตัวเองให้อยู่ในอาการสงบ มู่หรงนี่อวิ๋นพูดปลอบอย่างไม่ค่อยสนใจว่า


 


 


“ค่ำๆ เช่นนี้อาจจะมีผู้หญิงที่ถูกสามีทิ้งกำลังร้องไห้ก็ได้ อวี้จื้อ เจ้าไม่ต้องกลัว หากมีผีจริง ข้าจะยืนข้างหน้าเอง”


 


 


รถม้าเดินหน้าต่อไป หลิงอวี้จื้อได้ยินเสียงร้องที่ไม่เหมือนกันดังขาดๆ หายๆ โดยพื้นฐานต่างก็เป็นเสียงร้องไห้ของผู้หญิง


 


 


ได้ยินเสียงร้องไห้ครั้งแรกก็ค่อนข้างตกใจจริงๆ ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรแล้ว


 


 


เงี่ยหูฟังอย่างละเอียด จากเสียงร้องไห้สามารถวิเคราะห์ได้ว่า โดยพื้นฐานแล้วต่างก็เป็นหญิงสาวแรกรุ่น อำเภอเล็กๆ แห่งนี้พอตกค่ำแล้วเหตุใดถึงมีเสียงผู้หญิงมากมายขนาดนี้กำลังร้องไห้ ประหลาดจริงๆ


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง พวกเราจะไปพักหรือไม่เจ้าคะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อพยักหน้า


 


 


“พักแน่นอน”


 


 


หลิงอวี้จื้อแง้มม่านกระโดดลงจากรถม้า โรงเตี๊ยมไม่ใหญ่ ข้างหน้าประตูแขวนโคมไฟสองอัน เห็นเด่นชัดมากในตอนกลางคืน พวกเขาเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเตรียมจะปิดประตู เห็นว่าตอนนี้ยังมีแขกมาพัก ก็ตกใจเป็นอย่างมาก


 


 


หลิงอวี้จื้อยิ้มตาหยีถาม


 


 


“ผู้ดูแล ยังมีห้องว่างหรือไม่”


 


 


ผู้ดูแลจึงได้สติกลับมา


 


 


“มีแน่นอนขอรับ”


 


 


“ผู้ดูแล พวกเจ้าทำกิจการโรงเตี๊ยม ปิดประตูเร็วขนาดนี้เชียวหรือ”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นถามอย่างใคร่รู้


 


 


ผู้ดูแลเดินไปหลังโต๊ะต้อนรับ หยิบพู่กันที่อยู่บนโต๊ะต้อนรับ เตรียมให้พวกเขาลงทะเบียน ถอนหายใจแรงหนึ่งครั้ง


 


 


“พอย่ำค่ำก็ไม่มีคน ปิดประตูเร็วหน่อยดีกว่าขอรับ”


 


 


“เมื่อครู่ข้ามาจากถนนใหญ่ ได้ยินเสียงร้องไห้ไม่น้อย ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ”


 


 


ผู้ดูแลเงยหน้า แล้วส่ายหน้าพูดว่า


 


 


“พวกท่านคงมาจากต่างถิ่นกระมัง! พวกท่านต้องระวัง โดยเฉพาะคุณชายท่านนี้ กลางคืนห้ามออกไปไหนเด็ดขาด


 


 


ไม่นานมานี้ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในอำเภอ มีผู้ชายหายตัวไปสิบกว่าคนติดต่อกันแล้ว ล้วนแต่เป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบสามสิบปี ไม่กี่วันมานี้ศพที่พบติดๆ กัน ไม่รู้ว่าถูกสัตว์ร้ายอะไรกัดเข้า เละเทะผิดรูปผิดร่างไปหมด


 


 


ตอนนี้คนในอำเภอต่างก็ตื่นตระหนก พอฟ้ามืดก็ไม่มีใครกล้าออกมาแล้ว เสียงร้องไห้ที่ท่านได้ยินต่างก็เป็นเสียงภรรยาของชายที่ตายไปแล้วกำลังร้องไห้ ช่างน่าเวทนาเสียจริง”


 


 


หลิงอวี้จื้อใจหายวาบ หรือว่าที่เซียวเหยี่ยนหายตัวไปก็เพราะตกอยู่ในมือของคนพวกนี้เช่นกัน ดูจากฝีมือวิทยายุทธ์ของเซียวเหยี่ยนแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 313 อยากแต่งเป็นผู้หญิงหรือไม่


 


 


“ทางการสืบสวนอะไรได้บ้างหรือไม่”


 


 


หลิงอวี้จื้อถามต่อ


 


 


“อย่าพูดถึงทางการเลยขอรับ ตอนนี้แม้แต่พวกข้าราชการก็ไม่กล้าออกมาตอนกลางคืน ท่านแขกผู้มาพัก พวกท่านรีบพักผ่อนเถิด ข้าจะปิดประตูแล้ว”


 


 


ผู้ดูแลพูดจบแล้วก็ให้เสี่ยวเอ้อร์นำพวกเขาขึ้นไป แล้วไปลงกลอนประตูใหญ่


 


 


หลิงอวี้จื้อกับมู่หรงนี่อวิ๋นเดินไปทางข้างหน้าพร้อมกัน หลิงอวี้จื้อหันข้างมามองๆ มู่หรงนี่อวิ๋น


 


 


“หรือไม่เจ้าก็แต่งตัวเป็นผู้หญิงเถิด! เช่นนี้ค่อยปลอดภัยขึ้นสักหน่อย”


 


 


“ข้าไม่ได้กลัวเท่าเจ้าสักหน่อย อวี้จื้อ เรื่องนี้แปลกๆ เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของท่านอ๋อง อำเภอฉางหนิงแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องแปลกประหลาด”


 


 


“ข้าก็รู้สึกเช่นกัน หากอาเหยี่ยนตกอยู่ในมือของคนพวกนี้ได้ เช่นนั้นคนพวกนี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ อาเหยี่ยนไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป ฝีมือวิทยายุทธ์ของเขาก็สูงขนาดนั้น ข้าคิดอะไรออกแล้ว ที่นี่มีพวกองค์กรลัทธิมารอะไรหรือไม่”


 


 


หลิงอวี้จื้อจำได้ว่าจูจิ่นพูดถึงเฟิงอิ๋น ในเมื่อเฟิงอิ๋นเก่งกาจขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าอาจมีองค์กรหนุนหลัง เรื่องเหล่านี้ ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน ได้เพียงแค่สันนิษฐานไว้เช่นนี้ก่อนเท่านั้น


 


 


“พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน คืนนี้เจ้าพักผ่อนเร็วหน่อย”


 


 


หลิงอวี้จื้อพยักหน้า เร่งเดินทางมาหลายวัน เธอเหนื่อยแล้วจริงๆ จำเป็นต้องพักผ่อนให้ดีๆ สักคืนถึงจะมีแรงเผชิญหน้ากับเรื่องที่กำลังจะมา เรื่องอื่นนั้นเธอไม่มีทางมั่นใจได้ มีเพียงเรื่องเดียวที่พอจะมั่นใจได้นั่นก็คือ การหายตัวไปของเซียวเหยี่ยนกับผู้หญิงที่ชื่อเฟิงอิ๋นต้องมีความเกี่ยวข้องกันอย่างยิ่ง


 


 


เธอกับมั่วชิงพักห้องเดียวกัน อาจเป็นเพราะเหนื่อยแล้ว นอนลงไม่ถึงห้านาที เธอก็หลับไป


 


 


มั่วชิงนอนเตียงเดียวกับหลิงอวี้จื้อ พลิกตัวไปมาไม่หยุด ลืมตาโพลงตลอด มาถึงที่นี่แล้ว เรื่องพวกนี้จะบอกหลิงอวี้จื้อดีหรือไม่ หากไปสืบสาวราวเรื่องกับเธอต่อไป พวกเขาจะต้องค้นพบนางแน่นอน


 


 


ณ พระตำหนักเว่ยอ๋อง


 


 


เฉินจิ่งเฟิงกับลู่ซูหว่านอยู่ในห้อง มองดูจดหมายที่ส่งต่อมาจากข้างนอก


 


 


เห็นเนื้อหาข้างในจดหมาย เฉินจิ่งเฟิงก็หัวเราะลั่นอย่างเบิกบานใจ


 


 


“สะใจจริงๆ ซูหว่าน เซียวเหยี่ยนหายตัวไปที่อำเภอฉางหนิงแล้ว เดิมทีข้ายังคิดจะฉวยโอกาสลงมือตอนที่เขาออกไปคราวนี้ ดูท่าแล้วเรื่องนี้พวกเราไม่จำเป็นต้องลงมืออีกแล้ว ท่านเทวดาเก็บเขาแทนพวกเราแล้ว”


 


 


“ใครกันที่เก่งกาจเพียงนี้ ถึงขนาดลักพาตัวท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปได้”


 


 


“จะเป็นใครก็ช่าง ขอเพียงเซียวเหยี่ยนกลับมาไม่ได้อีกก็ดีแล้ว เซียวเหยี่ยนตายไป ฮ่องเต้น้อยก็ไม่มีคนคอยคุ้มกัน ถึงตอนนั้นบังลังก์ฮ่องเต้ก็ตกเป็นของข้าไปโดยปริยาย”


 


 


เฉินจิ่งเฟิงดีใจสุดขีด สำหรับเขาแล้ว เซียวเหยี่ยนเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุด อำนาจในมือเขาใหญ่กว่า เขาทำอะไรเซียวเหยี่ยนไม่ได้ จึงได้แต่ก้มหัว


 


 


“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คงไม่ถูกคนจับไปง่ายๆ หรอกเพคะ เกรงว่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล ท่านอ๋องเองก็ต้องระวัง นอกจากท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว อุปสรรคก้อนใหญ่ที่สุดของท่านอ๋องก็คือท่านอู๋อ๋องนะเพคะ ก่อนหน้านี้ท่านอู๋อ๋องไม่แสดงตัวใดๆ แต่กลับส่งไป๋อู่มาอยู่ข้างกายท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็ต้องระวังท่านอู๋อ๋องไว้ด้วยนะเพคะ”


 


 


เฉินจิ่งเฟิงทำเสียงหึอย่างเย็นชา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เห็นเฉินเซี่ยวหรูอยู่ในสายตา


 


 


“เฉินเซี่ยวหรูชาติกำเนิดต่ำต้อย ไม่มีทั้งอำนาจทางทหารและบารมี เขาจะเอาอะไรมาสู้กับข้า ขอเพียงเซียวเหยี่ยนตาย ใต้หล้านี้ก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งข้าได้ คราวนี้เป็นโอกาสที่หายากยิ่งนัก ข้าจะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้แน่นอน”


 


 


เห็นเฉินจิ่งเฟิงดูถูกศัตรู ลู่ซูหว่านก็พูดเตือน


 


 


“ท่านอ๋อง บางครั้งคนที่ยิ่งถูกมองข้ามก็ยิ่งอันตรายนะเพคะ ท่านอู๋อ๋องนับอยู่ในประเภทนี้ จากที่ข้าดู ท่านอู๋อ๋องไม่ได้รับมือง่ายไปกว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เลยเพคะ”


 


 


เมื่อเห็นลู่ซูหว่านพูดถึงเฉินเซี่ยวหรูอีกครั้ง เฉินจิ่งเฟิงก็เริ่มใส่ใจคำพูดของนาง ถามว่า


 


 


“ซูหว่าน เจ้ามีแผนอะไรดีๆ หรือ”


ตอนที่ 314 แผนการของเว่ยอ๋อง


 


 


“ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์รักหลิงอวี้จื้อ เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วหล้า ข้าให้คนไปสืบมาอย่างละเอียดแล้ว ก่อนหน้านี้หลิงอวี้จื้อกับท่านอู๋อ๋องใกล้ชิดกันมาก ถึงขั้นนัดท่านอู๋อ๋องไปเฉิงซีตามลำพัง หากท่านอู๋อ๋องก็ชอบหลิงอวี้จื้อเช่นกัน อย่างนั้นเรื่องนี้ก็น่าสนใจแล้วเพคะ ท่านอู๋อ๋องเล่นอุบายยั่วยุได้ พวกเราก็เล่นได้เหมือนกัน”


 


 


เฉินจิ่งเฟิงหยักหน้าติดต่อกัน ถามต่อ


 


 


“เล่าให้ข้าฟังสิ”


 


 


“ท่านอ๋องยังจำพระชายาซีหนานอ๋องได้หรือไม่เพคะ”


 


 


“เหตุใดจะจำไม่ได้ นี่ก็เป็นผลกรรมของเซียวเหยี่ยน มารดาที่ตามหามาหลายปีแต่งไปเป็นภรรยาคนอื่นเสียแล้ว ซ้ำยังให้กำเนิดลูกชายคนลูกสาวคน หากเปลี่ยนเป็นข้า คงตัดหัวทั้งตระกูลอวิ๋นไปแล้ว เหลือตระกูลอวิ๋นเอาไว้ก็เหมือนเหลือเรื่องน่าอับอายเอาไว้นั่นแหละ”


 


 


“พระชายาซีหนานอ๋องให้กำเนิดลูกชายหนึ่งคนลูกสาวหนึ่งคนแก่ตระกูลอวิ๋น ลูกสาวคนโตตายไปโดยไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ นางยังมีลูกชายคนเล็กอีกคน ข้าให้คนไปตามหาอวิ๋นซั่วได้แล้ว เขาเกลียดเซียวเหยี่ยนเข้ากระดูกดำ ข้าบอกอวิ๋นซั่วว่า เซียวเหยี่ยนอยู่ที่อำเภอฉางหนิง


 


 


อวิ๋นซั่วไปตามหาเขาแล้ว หากเซียวเหยี่ยนหนีรอดไปได้ อวิ๋นซั่วก็จะลงมือ ข้าติดต่ออวิ๋นซั่วในฐานะอู๋อ๋อง เรื่องนี้จึงต้องเกี่ยวข้องกับอู๋อ๋องอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นท่านอ๋องรอดูละครฉากเด็ดก็พอเพคะ”


 


 


เฉินจิ่งเฟิงหัวเราะเสียงดัง


 


 


“ซูหว่าน เจ้าก็ยังเป็นคนที่คิดรอบคอบเสมอ ได้แต่งงานกับเจ้าถือเป็นวาสนาของข้า”


 


 


พูดจบก็กอดลูซูหว่านในอ้อมแขน ลู่ซูหว่านซบอกเฉินจิ่งเฟิง


 


 


“ขอเพียงใจท่านอ๋องมีข้าอยู่ แค่นี้ข้าก็พอใจแล้วเพคะ”


 


 


“ตรงนี้ของข้ามีที่ให้เจ้าเสมอ”


 


 


เมื่อเฉินจิ่งเฟิงเอ่ยคำสัญญาแล้ว ลู่ซูหว่านก็ก้มหน้าหัวเราะออกมา


 


 


เช้าตรู่วันถัดมา หลิงอวี้จื้อกับมู่หรงนี่อวิ๋นก็ไปตามถนนอำเภอฉางหนิง อยากดูว่ามีข่าวคราวอะไรหรือไม่ อำเภอฉางหนิงตอนกลางวันคึกคักกว่าตอนกลางคืนอย่างเห็นได้ชัด แต่คนก็ไม่ถือว่ามากนัก เทียบกับเมืองหลวงแล้วแตกต่างกันมาก


 


 


พวกเขาสอบถามว่าผู้ชายที่หายไปหายตัวไปจากตรงไหน ปรากฏว่าข่าวคราวที่ได้ยินมาไม่มีประโยชน์อะไรเลย ทำได้เพียงยืนยันได้ว่าหายตัวไปตอนที่อยู่คนเดียวเพียงลำพัง


 


 


ตอนเดินผ่านร้านค้าแห่งหนึ่ง หลิงอวี้จื้อก็ได้ยินคนสองสามคนรวมตัวกันสนทนา เธอจึงหยุดฟัง


 


 


หนึ่งในนั้นพูดว่า


 


 


“ช่วงนี้บ้านไหนจัดงานมงคล นึกไม่ถึงว่าจะซื้อผ้าไหมแดงร้านข้าไปหมด แล้วยังบอกข้าอีกว่าไม่พอ”


 


 


“ข้าไปถามมาจนทั่วแล้ว ครอบครัวใหญ่ไม่กี่ครอบครัวในอำเภอนี้ไม่มีใครจัดงานมงคลเลย แปลกจริง”


 


 


“ใช่ไหมเล่า เฉินเหล่าฮั่นที่ขายเทียนก็บอก ว่าเมื่อวานเทียนร้านเขาก็ถูกซื้อเกลี้ยง ให้เงินดีด้วย เขาไปเอาสินค้ามาจากที่อื่น วันนี้คนพวกนั้นก็ยังมาเอาเทียนไปอีกแน่ะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อสนใจข่าวนี้มาก ครอบครัวใหญ่ในเมืองไม่มีใครจัดงานมงคล คนธรรมดาก็คงไม่สามารถจ่ายหนักได้ คนต่างถิ่นจัดงานมงคลก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องถ่อมาซื้อของที่อำเภอเล็กๆ เช่นนี้ ความเป็นไปได้อย่างเดียวคือคนเหล่านี้ไม่ใช่คนที่มีสถานะธรรมดา


 


 


หลิงอวี้จื้อเข้าไปร่วมวง ยิ้มพลางถามว่า


 


 


“ร้านของเฉินเหล่าฮั่นอยู่ที่ไหนหรือ ข้าก็อยากซื้อเทียนสักหน่อย”


 


 


“ไปข้างหน้าเลี้ยวขวาร้านแรกเลย เจ้าต้องรีบไปเร็วหน่อย ตอนเย็นคนพวกนั้นก็ซื้อเกลี้ยงแล้ว”


 


 


“ขอบใจจ้ะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อพูดจาขอบคุณหวานๆ แล้วพูดกับมู่หรงนี่อวิ๋นว่า


 


 


“ไป พวกเราก็ไปดูกันหน่อยเถิด”


 


 


“คนเขาจะจัดงานมงคล เจ้าไปร่วมวงอะไรด้วย”


 


 


“ตอนนี้ไม่มีเบาะแส เช่นนั้นเราก็ไปดูเล่นกันสักหน่อย ถือว่าได้ไปรับบรรยากาศมงคล”


 


 


หลิงอวี้จื้อพูดจบ เห็นมั่วชิงยังเหม่ออยู่ ก็ชนมั่วชิงเบาๆ


 


 


“คิดอะไรอยู่หรือ ติดต่ออู่จิ้นได้หรือยัง”


 


 


“ยังไม่ได้เจ้าค่ะ หากได้ข่าวแล้ว ข้าจะแจ้งคุณหนูให้ทราบ”


 


 


“อู่จิ้นคนนี้หายไปไหนกันนะ หรือว่าถูกจับแล้ว”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 315 อดีตของมั่วชิง


 


 


หลิงอวี้จื้อพึมพำกับตนเอง พูดพลางก็เดินไปทางร้านค้าของเฉินเหล่าฮั่น


 


 


ตอนที่พวกเขาเดินไปถึงหน้าร้าน ข้างในมีชายวัยกลางคนกำลังจ่ายเงินเฉินเหล่าฮั่น ในมือกำลังหอบเทียนอยู่ไม่น้อย หลิงอวี้จื้อกลัวว่าถ้าพวกเขาเข้าไปด้วยกันหมดจะถูกคนจับได้ จึงให้มั่วชิงเข้าไปดูว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรกันแน่


 


 


ทั้งวันไม่ได้อะไรเลย จวบจนฟ้ามืดแล้วมั่วชิงกลับมา หลิงอวี้จื้อกับมู่หรงนี่อวิ๋นกำลังทานข้าวในห้อง มั่วชิงเพิ่งจะเข้ามาก็ลงไปคุกเข่าดังตึงกับพื้นตรงหน้าหลิงอวี้จื้อ


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ ข้าน้อยมีเรื่องจะพูดเจ้าค่ะ”


 


 


การกระทำที่กะทันหันเช่นนี้ทำให้หลิงอวี้จื้อตกใจ


 


 


“มีเรื่องจะพูดก็พูดได้เลย อยู่ดีๆ คุกเข่าเพื่ออะไร”


 


 


“คุณหนู วันนี้ข้าน้อยตามคนที่มาซื้อเทียนไปจนออกนอกเมือง พวกเขา…”


 


 


“พวกเขาทำไมหรือ”


 


 


หลิงอวี้จื้อเริ่มร้อนใจ เธอรู้ว่ามั่วชิงมีเรื่องที่ยังปิดบังเธออยู่


 


 


มั่วชิงดูเหมือนจะไม่อยากพูดถึงเรื่องที่ตามมา เงียบไปสักครู่หนึ่งจึงพูดต่อ


 


 


“พวกเขาเข้าไปในเขาอวิ๋นเฟิง ข้าน้อยจึงไม่ได้ตามไปต่อ ข้าน้อยยืนยันได้ว่า พวกเขาคือคนจากสำนักอู๋จี๋เจ้าค่ะ”


 


 


“อ๋อ…ลัทธิมารที่อาเหยี่ยนเคยพูดถึงนั่นเอง เจ้ายืนยันได้อย่างไรว่าพวกเขาเป็นคนจากสำนักอู๋จี๋”


 


 


“เพราะว่าข้าน้อยเคยเป็นคนของสำนักอู๋จี๋มาก่อน”


 


 


มั่วชิงเงยหน้าขึ้น สายตาประกายความหวาดกลัวแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเรื่องในอดีตช่วงนั้นทำให้นางทุกข์ทรมานมาก นางไม่อยากนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องเหล่านั้น


 


 


พอคำพูดนี้ออกมา หลิงอวี้จื้อกับมู่หรงนี่อวิ๋นต่างก็มองมั่วชิงอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึงว่านางจะเป็นคนของสำนักอู๋จี๋


 


 


หลิงอวี้จื้อไม่ค่อยรู้เรื่องสำนักอู๋จี๋นัก พอพูดถึงสำนักอู๋จี๋ก็นึกถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมของหลิงอวี้หรงกับหนานเยียน ในสายตาของเธอ สำนักอู๋จี๋ถือเป็นสถานที่ที่น่ากลัวมาก นึกไม่ถึงว่าสามารถปรุงยาพิษให้คนกลายเป็นผีดิบได้ ในนั้นจะน่าสะพรึงกลัวถึงขั้นไหนก็ยากจะจินตนาการ เจ้าสำนักจะต้องเป็นคนวิกลจริตมากๆ แน่นอน


 


 


“สำนักอู๋จี๋ไม่ได้สลายหายไปแล้วหรอกหรือ”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นถามอย่างตกใจ


 


 


“สำนักอู๋จี๋มิได้ถูกทำลายสิ้นซาก เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่เท่านั้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสำนักอู๋จี๋ก็ปรากฏให้เห็นไม่บ่อยนัก พัฒนาเติบโตขึ้นในที่ลับ”


 


 


หลิงอวี้จื้อมีสติกลับคืนมา


 


 


“เจ้าพูดช้าๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”


 


 


“ตอนที่ข้าอายุหกขวบก็ถูกจับเข้าไปในสำนักอู๋จี๋ ถูกเจ้าสำนักอู๋จี๋รับเป็นศิษย์ เฟิงอิ๋นเป็นศิษย์คนสำคัญของสำนักอู๋จี๋ ที่จริงนางเป็นศิษย์พี่ของข้า เจ้าสำนักให้ความสนใจกับทั้งข้าและเฟิงอิ๋น พวกเราเรียนการต่อสู้และการใช้ยาพิษตั้งแต่เด็ก เรียนฝึกการปรุงยาพิษ ทุกวันข้าทำตามระเบียบวินัย เพื่อจะได้มีโอกาสกลับเยี่ยมบ้านบ้าง หลายปีมานี้ ข้าคิดถึงพวกเขาทุกวัน


 


 


ปีนั้นข้าอายุสิบสามปี ในที่สุดก็ได้รับการชื่นชมจากเจ้าสำนัก นางส่งข้าไปปฏิบัติภารกิจ ข้าฉวยโอกาสกลับบ้านสักหนโดยอาศัยความจำ อยากไปดูพวกเขาสักหน่อย แต่กลับถูกเจ้าสำนักจับได้ นางฆ่าคนในตระกูลข้าทุกคนต่อหน้าข้า คนในตระกูลทั้งหมดมีสามสิบคน ไม่มีใครรอดพ้น”


 


 


มั่วชิงก้มหน้าลง ร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน หลิงอวี้จื้อสงสารมั่วชิงอย่างยิ่ง มิน่านางถึงไม่อยากพูดถึงสำนักอู๋จี๋ แค้นใหญ่หลวงฝังลึกโดยแท้


 


 


“ด้วยแรงกระตุ้น ข้าหลุดพ้นจากคนที่กำลังควบคุมตัวข้าอยู่ คิดจะฆ่าเจ้าสำนัก สุดท้ายข้าก็ถูกจับตัว


 


 


เจ้าสำนักกักขังตัวข้าไว้ ทุกวันจะทรมานข้าอย่างไร้มนุษยธรรม ทำให้ข้าอยากขออยู่ก็ไม่รอดขอตายก็ไม่ได้ สิ่งที่สำนักอู๋จี๋มีคือวิธีการทรมานคน


 


 


ต่อมาในที่สุดข้าก็หาโอกาสหนีจนได้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้คนสำนักอู๋จี๋ตามเจอได้ ข้าทำลายใบหน้าของตนเอง ท่านอ๋องเป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้ ใบหน้านี้ท่านอ๋องก็เป็นคนมอบให้ข้า ตั้งแต่นั้นมาข้าปิดบังชื่อแซ่คอยอยู่ข้างท่านอ๋อง ถือว่าเป็นการปลดแอกตนออกจากสำนักอู๋จี๋”



ตอนที่ 316 นึกไม่ถึงว่ายังมีการลักพาตัวผู้ชาย


 


 


หลิงอวี้จื้อประคองมั่วชิงลุกขึ้น


 


 


“เจ้ารีบลุกขึ้นเถิด ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าสำนักอู๋จี๋จะป่าเถื่อนเพียงนี้”


 


 


“ที่นั่นคือนรกดีๆ นี่เอง ข้าก็อยากบอกเรื่องนี้กับคุณหนูก่อนหน้านี้แล้ว พอได้ยินว่าท่านอ๋องหายตัวไปที่อำเภอฉางหนิง ข้าก็นึกถึงสำนักอู๋จี๋ แต่ข้ากลัวจริงๆ … สองวันมานี้ข้าก็ตัดสินใจจะเอาเรื่องพวกนี้มาบอกคุณหนู ไม่สามารถยื้อไปได้อีกแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ความหวาดกลัวนั้นซึมลึกเข้าไปในไขกระดูก มั่วชิงเติบโตจากที่นั่นตั้งแต่เด็กๆ ทั้งเจ็บแค้นและหวาดกลัวสำนักอู๋จี๋ ที่นั่นคือฝันร้ายของนาง


 


 


“พูดเช่นนี้แสดงว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการจะอยู่ข้างในสำนักอู๋จี๋”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นมีสติกลับมาถาม


 


 


มั่วชิงพยักหน้า


 


 


“น่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”


 


 


“มั่วชิง เจ้าอยู่ที่สำนักอู๋จี๋นานขนาดนี้ เห็นคนของไทเฮาติดต่อกับสำนักอู๋จี๋บ้างหรือไม่”


 


 


มั่วชิงส่ายหน้า


 


 


“ไม่เคยเห็นเจ้าค่ะ ข้าจากสำนักอู๋จี๋มาก็หกปีแล้ว”


 


 


“เจ้าสำนักอู๋จี๋เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย มีอานุภาพเกรียงไกรขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเขาจะแต่งภรรยาหรอกกระมัง!”


 


 


“เจ้าสำนักเป็นผู้หญิง นางโกรธแค้นผู้ชายมาก ไม่มีทางแต่งงานเด็ดขาด ข้าตามคนพวกนั้นไป ได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงชื่อเฟิงอิ๋น หากเดาไม่ผิด น่าจะเป็นเฟิงอิ๋นที่จะแต่งงานเจ้าค่ะ ตอนนี้ตำแหน่งของเฟิงอิ๋นเป็นรองจากเจ้าสำนัก ดังนั้นเจ้าสำนักจึงให้นางได้จัดงานแต่งงานเช่นนี้ได้”


 


 


หลิงอวี้จื้อตะลึง เฟิงอิ๋นจะแต่งงาน อย่างนั้นคนที่จะแต่งด้วยก็คือเซียวเหยี่ยนสิ ยังดีที่พวกเขาตามมาทันเวลา มิเช่นนั้นเซียวเหยี่ยนก็จะกลายเป็นผู้ชายของคนอื่นไปแล้ว


 


 


ปีนี้ได้ยินแต่ลักพาตัวผู้หญิง นึกไม่ถึงว่ายังมีการลักพาตัวผู้ชายด้วย ซ้ำคนที่ถูกลักพาตัวยังเป็นเซียวเหยี่ยน น่ากลัวเหลือเกิน


 


 


เธอผุดยืนขึ้นทันใด


 


 


“มั่วชิง มีวิธีใดที่จะแฝงตัวเข้าไปในสำนักอู๋จี๋หรือไม่”


 


 


“สำนักอู๋จี๋มีกฎอยู่ข้อหนึ่ง เมื่อใดที่เข้าไปในสำนักอู๋จี๋แล้ว ไม่มีทางรอดตายออกมาได้เจ้าค่ะ การลงโทษของสำนักอู๋จี๋โหดเ**้ยมเหลือเกิน ทุกวันจะต้องมีสาวใช้ที่ไม่เชื่อฟังหรือทนไม่ไหวตายจากไป ดังนั้นสำนักอู๋จี๋จึงรับสาวใช้อยู่ตลอด พวกเราจะเข้าไปในสำนักอู๋จี๋ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น ตอนนี้เฟิงอิ๋นจะแต่งงาน คงต้องการสาวใช้จำนวนมาก พวกเราต้องลองดู”


 


 


“ข้าจะไปกับพวกเจ้า”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นวางใจให้หลิงอวี้จื้อไปสำนักอู๋จี๋เสียที่ไหน ดังนั้นจึงบอกว่าจะไปด้วยทันที


 


 


“เจ้าตัดสินใจจะไปเป็นศพข้างในหรืออย่างไร”


 


 


หลิงอวี้จื้อกลอกตาใส่มู่หรงนี่อวิ๋น


 


 


“ข้าแต่งเป็นผู้หญิงได้”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นกัดฟันพูด


 


 


เดิมทีมู่หรงนี่อวิ๋นเป็นคุณชายเจ้าสำราญประเภทฟันขาวปากแดงอยู่แล้ว ประกอบกับดวงตารูปลูกท้อคู่นั้น ลักษณะท่าทางก็เป็นคนมีเสน่ห์ เหมาะแก่การแต่งหญิงมากทีเดียว


 


 


“เวลาไม่คอยท่า เร็วเข้า”


 


 


หลิงอวี้จื้อเร่ง


 


 


ตอนนี้มู่หรงนี่อวิ๋นรู้สึกอนาถใจอย่างยิ่ง ให้เขาแต่งตัวเป็นผู้หญิงช่างเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบายด้วยคำพูดสั้นๆ ได้ ยังดีที่ที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวง และไม่มีคนรู้จักมาเห็นเข้า เขาสามารถทุ่มสุดตัวได้ ผู้หญิงบ้าคนนี้ เหตุใดรู้สึกเหมือนนางกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น


 


 


มั่วชิงทำงานเร็วมาก ใช้เวลาไม่นานก็ช่วยมู่หรงนี่อวิ๋นเปลี่ยนชุดผู้หญิงเรียบร้อย เพราะว่าจะไปเป็นสาวใช้ ดังนั้นเสื้อผ้าที่เปลี่ยนจึงเป็นเสื้อผ้าเนื้อหยาบ หลิงอวี้จื้อออกมาก็สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบอยู่แล้ว เพื่อจะได้ไม่ถูกปล้น


 


 


พอเห็นมู่หรงนี่อวิ๋น หลิงอวี้จื้อก็กลั้นไม่ไหวหัวเราะฮาลั่นออกมา มู่หรงนี่อวิ๋นที่เปลี่ยนเป็นชุดผู้หญิง นอกจากตัวสูงจนเตะตาไปหน่อยแล้ว รูปร่างหน้าตากลับ มองไม่เห็นถึงความแตกต่างว่าเป็นชายหรือหญิง เดินไปบนถนนไม่แน่อาจจะดึงดูดให้ผู้ชายมาสารภาพรักก็ได้


 


 


“ที่แท้คุณชายมู่หรงของเราจะแต่งหญิงก็ได้แต่งชายก็ดี”


 


 


“อย่ามาเพ้อเจ้อ มั่วชิงเจ้ารีบนำทางเร็ว”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง ตนเองยังไม่กล้ามองกระจก ได้แต่แสร้งทำเป็นเร่งมั่วชิงอย่างจริงจัง


 


 


ขณะนี้ยังมีธุระที่ต้องจัดการ หลิงอวี้จื้อเก็บรอยยิ้มบนใบหน้ากลับไป


 


 


“พี่สาวอวิ๋น พวกเราไปเถิด!”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 317 สมัครเป็นสาวใช้


 


 


“หญิงบ้า เจ้ายังกล้าหัวเราะอีก”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นตบหัวหลิงอวี้จื้อหนึ่งป้าบ


 


 


“ไม่เจ็บเลย ถ้าข้าไม่เรียกเจ้าว่าพี่สาว หรือเจ้าจะเรียกข้าว่าพี่สาว หากเจ้ายินดีเรียก ข้าก็ไม่ว่าอะไร”


 


 


หลิงอวี้จื้อลูบหัวตัวเอง


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นไม่สนใจหลิงอวี้จื้อ เดินข้างหน้าเธอ หลิงอวี้จื้อกลั้นขำไม่ไหวอีกแล้ว ไม่ได้แล้ว แบบนี้ตลกเกินไปจริงๆ แค่เห็นมู่หรงนี่อวิ๋น เธอก็กลั้นไม่ไหวอยากหัวเราะ


 


 


มั่วชิงนำทางทั้งสองคนมาถึงมุมถนนของถนนทิศตะวันตกอำเภอฉางหนิง มีผู้หญิงวัยสี่สิบกว่าสองคนวางโต๊ะหนึ่งตัวไว้ตรงนั้น ข้างๆ มีป้ายผ้าสีขาวแขวนอยู่ บนนั้นเขียนว่ารับสมัครสาวใช้เข้าบ้านตระกูลใหญ่


 


 


แคว้นเว่ยตะวันตกก็เข้าใจเล่นทีเดียว วิธีการรับสมัครคนเหมือนกับยุคปัจจุบันทุกอย่าง มั่วชิงพูดเสียงต่ำ


 


 


“พวกนางเป็นคนจากสำนักอู๋จี๋ สาวใช้ที่สมัครเข้าไปล้วนอยู่ในความควบคุมของพวกนาง พวกนางต่างผลัดกันออกมาหาคน และจะไม่ออกมาในตำแหน่งที่แน่นอน บางครั้งก็ไปหาที่อื่น เวลาก็ไม่แน่นอน เฟิงอิ๋นจะแต่งงาน ข้าเดาว่ากำลังคนของพวกนางไม่เพียงพอ อย่างที่คาดเอาไว้”


 


 


“ไป พวกเราเข้าไปเถิด”


 


 


หลิงอวี้จื้อเดินข้างหน้า แสร้งทำเป็นหยุดลงตรงหน้าป้ายรับสมัครที่พวกนางเอามาวาง ยิ้มตาหยีถามว่า


 


 


“พี่สาว พวกเจ้าต้องการสาวใช้หรือ พวกเราสามคนมาจากหมู่บ้านเดียวกัน ต่างก็ออกมาหางานทำจ้ะ”


 


 


“อายุเท่าไหร่แล้ว”


 


 


“สิบเจ็ดแล้ว”


 


 


“สิบเจ็ดแล้วจริงหรือ”


 


 


หลิงอวี้จื้อรีบอธิบาย


 


 


“ข้ามีใบหน้าที่ตกทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ ดังนั้นก็เลยดูอ่อนวัย บ้านข้ามีพี่น้องหลายคน ข้าทำงานเก่งที่สุด”


 


 


“คนนี้ไม่เลว”


 


 


ป้าที่สวมเสื้อสีเขียวชี้ไปที่มั่วชิง นางจงใจทาหน้าดำ แต่ก็ยังมีลักษณะท่าทางที่เหมาะสมมากอยู่ดี


 


 


“ส่วนพวกเจ้าสองคน คนสูงก็สูง คนเตี้ยก็เตี้ย ข้าไม่เอาแล้ว”


 


 


หลิงอวี้จื้อนึกไม่ถึงว่าเธอกับมู่หรงนี่อวิ๋นจะถูกปัดตก เธอจะต้องแฝงตัวเข้าไปให้ได้


 


 


คิดถึงตรงนี้ เธอก็บีบน้ำตาออกมา


 


 


“ข้ากับเจ้าสูงคนนี้ล้วนทำงานเป็น พวกเราหางานมาทั้งวันแล้ว เจ้ารับพวกเราไปเถิด! พวกเราหน้าตาก็ไม่ได้น่าเกลียด รับเข้าไปแล้วไม่ทำให้พวกเจ้าขายหน้าแน่นอน หากไปเจอที่ที่เตี้ยๆ พวกเจ้าก็เข้าไปไม่ถึง ข้าสามารถมุดเข้าไปได้”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นก้มหน้าลง มุมปากยกขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะเรียกเขาว่าเจ้าสูง ต้องขอบใจนางที่คิดออกมาได้


 


 


“ข้างนอกหนาวขนาดนี้ ผู้คุมกฎเฟิงจะแต่งงานพรุ่งนี้อยู่แล้ว สามคนนี้ก็พอดูได้ ได้มาอีกสามคนก็น่าจะพอแล้ว”


 


 


ป้าที่สวมชุดสีน้ำเงินถูมือไปมาพูดขึ้น


 


 


ในที่สุดป้าชุดเขียวก็พยักหน้า


 


 


“ก็ได้ เช่นนั้นสามคนนี้แล้วกัน พวกเจ้าตามข้ามา”


 


 


หลิงอวี้จื้อแอบถอนหายใจโล่งอก ในที่สุดก็แฝงตัวเข้าไปได้


 


 


หลิงอวี้จื้อรู้ว่ามั่วชิงกลัวสำนักอู๋จี๋อย่างมาก และกลัวคนในสำนักอู๋จี๋รู้ตัวตนที่แท้จริงของมั่วชิง ต้องพูดน้อยลงหรือพยายามพูดให้น้อยที่สุดยิ่งดี ให้เธอเป็นคนเจรจาต่อรองเอง


 


 


พวกเขาสองสามคนเดินตามป้าสองคนออกไปจากอำภอฉางหนิง ป้าเสื้อเขียวสั่งการระหว่างทางว่า


 


 


“ต่อไปพวกเจ้าเรียกข้าว่าแม่หรงก็ได้ เมื่อพบนายจ้างแล้ว พวกเจ้าจำไว้ อะไรไม่ควรพูดก็ไม่ต้องพูด ไม่ควรถามก็ไม่ต้องถาม ให้เจ้าทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น มิเช่นนั้นผลที่ตามมาพวกเจ้ารับผิดชอบกันเอาเอง”


 


 


ทั้งสามคนรับปาก แม่หรงไม่ได้พูดอะไรอีก นำพวกเขาเข้าไปในเขาอวิ๋นเฟิง หลิงอวี้จื้อแสร้งทำเป็นใคร่รู้ ถามว่า


 


 


“เหตุใดนายจ้างท่านนี้ถึงอาศัยอยู่บนเขาล่ะ”


 


 


แม่หรงจ้องหลิงอวี้จื้อด้วยสายตาโหดเ**้ยม เธอจึงก้มหน้าลง ไม่ถามอะไรอีก


 


 


พอเข้าไปในเขาอวิ๋นเฟิงแล้ว แม่หรงก็พาพวกเขาเดินเลี้ยวลดคดเคี้ยว หลิงอวี้จื้อเดินวนจนมึน บนเขานี้ดูเหมือนจะมีรูปแบบบางอย่าง คนธรรมดาขึ้นเขามาแล้วคาดว่าคงหาที่นี่ไม่เจอ ไม่รู้ว่าทหารลับจะตามมาถูกหรือไม่


 


 


สุดท้ายแม่หรงก็หยุดลงข้างหน้าถ้ำแห่งหนึ่ง ประตูหินปรากฏขึ้นด้านหน้า แม่หรงบิดกลไกข้างประตูหิน ไม่นานประตูหินก็ค่อยๆ เปิดออกช้าๆ




ตอนที่ 318 เป็นเซียวเหยี่ยนจริงๆ


 


 


ข้างหน้าเป็นทางแคบและมืดมาก แม่หรงหยิบหินเหล็กไฟจุดตะเกียงน้ำมันที่แขวนอยู่บนกำแพงหิน แล้วถือตะเกียงน้ำมันเดินไปข้างหน้า นางเดินนำอยู่ข้างหน้า ส่วนป้าอีกคนอยู่ข้างหลัง


 


 


หลิงอวี้จื้อมองสำรวจไปรอบๆ ตลอดทาง นึกไม่ถึงว่าสำนักอู๋จี๋แห่งนี้ถึงได้สร้างชื่อเสียงมากมายเช่นนี้ ประเดี๋ยวพอจะหนีออกไปก็เป็นปัญหาแน่ ยังดีที่มีมั่วชิง นางควรจะรู้ทาง


 


 


ทางเดินสามารถเดินได้เพียงคนเดียว มองไปไม่เห็นสุดทาง เดินประมาณสิบนาทีถึงได้เห็นแสงสว่าง เดินต่อไปอีกไม่กี่นาที ในที่สุดก็เห็นแสงสว่างจ้า เธอเห็นว่าข้างหน้ามีคฤหาสถ์หลังใหญ่ นี่เหมือนเป็นวังหลวงขนาดย่อมไปแล้ว ป้ายข้างหน้าคฤหาสถ์เขียนว่าสำนักอู๋จี๋ มีชายสวมชุดดำเฝ้าอยู่


 


 


สำนักอู๋จี๋ใหญ่กว่าที่เธอจินตนาการไว้มาก เดิมทีคิดว่าเป็นสำนักเล็กๆ ในยุทธภพ คิดไม่ถึงว่าจะใหญ่โตโอ่อ่าเพียงนี้ ความแข็งแกร่งของลัทธิมารนี้ดูถูกไม่ได้เลย


 


 


แม่หรงเห็นหลิงอวี้จื้อกับมู่หรงนี่อวิ๋นกำลังมองไปรอบๆ ก็พูดดุด้วยสีหน้าเคร่ง


 


 


“มาถึงที่นี่แล้วไม่อนุญาตให้มองนั่นมองนี่”


 


 


สองคนหยุดมอง แม่หรงพาพวกเขาเข้าไปในลานเล็กๆ ให้พวกเขาลงชื่อในสัญญาขายตัว ไม่ให้ดูเนื้อหา ให้ประทับลายนิ้วมือเท่านั้น หากเดาไม่ผิด ก็คงเป็นสัญญาที่บอกว่าให้ตายอย่างไรก็ออกไปไม่ได้


 


 


จากนั้นก็มีสาวใช้หยิบชุดสาวใช้สีชมพูมาให้พวกเขา รอพวกเขาเปลี่ยนชุดแล้ว แม่หรงมาก็ยืนตรงหน้าพวกเขาทั้งสามคน ทำสีหน้าเคร่งอีกครั้ง


 


 


“พรุ่งนี้เป็นวันแต่งงานของผู้คุมกฎเฟิง กำลังคนที่นั่นไม่พอ พวกเจ้าสามคนต้องไปช่วยงานผู้คุมกฎเฟิง”


 


 


พูดจบก็ชี้ไปที่หลิงอวี้จื้อ


 


 


“เจ้าไปคอยรับใช้หลานเขยก็แล้วกัน”


 


 


แม่หรงกำลังคิดคำนวณในใจ สาวใช้อีกสองคนดูโง่เง่าเกินไป เฟิงอิ๋นไม่ให้สาวใช้วัยรุ่นหน้าสวยไปรับใช้หลานเขย สาวใช้คนนี้ถึงแม้จะหน้าตาไม่เลว แต่หน้าตาอ่อนวัยราวกับเด็กเช่นนี้ ไปรับใช้หลานเขยคงไม่มีปัญหาอะไร


 


 


การแบ่งงานนี้ตรงความปรารถนาของหลิงอวี้จื้อพอดี เธอยินดีในใจทันที แต่พยายามควบคุมสีหน้าไว้ ไม่ได้แสดงอารมณ์ออกไปแม้แต่น้อย รับคำอย่างเรียบร้อยตามระเบียบ


 


 


จากนั้นมีสาวใช้นำพวกเขาไปที่เรือนเฟิงอวิ๋น หลิงอวี้จื้อเห็นสาวใช้ที่นำทางพวกเขาหน้าตาสะสวย พูดจาก็นุ่มนวล ดูเหมือนเพิ่งมา เธอเริ่มพยายามตีสนิท


 


 


“พี่สาว ข้าชื่ออวี้เอ๋อร์ เจ้าชื่ออะไรหรือ”


 


 


ในเมื่อตัวเองมีใบหน้าสาวน้อยโลลิ ดูเด็กกว่าคนส่วนใหญ่ เรียกว่าพี่ไม่มีทางผิด


 


 


“ข้าชื่อหมิ่นเอ๋อร์”


 


 


“ข้าไปที่เรือนท่านหลานเขยทำอะไรบ้าง”


 


 


“ท่านหลานเขยไม่ชอบพูดจา หากเขาต้องการอะไร เจ้าทำตามเขาก็พอแล้ว จำไว้เล่าว่าไม่ต้องพูดมาก”


 


 


หลิงอวี้จื้อพยักหน้า ใกล้จะได้พบเซียวเหยี่ยนแล้ว ในใจรู้สึกประหวั่นอย่างบอกไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเซียวเหยี่ยนถึงรับปากแต่งงานกับเฟิงอิ๋น หรือว่าคนนั้นไม่ใช่เซียวเหยี่ยนเสียด้วยซ้ำ


 


 


สมองของหลิงอวี้จื้อคิดฟุ้งซ่าน ความเป็นไปได้ต่างๆ นานาผุดขึ้นมา


 


 


สุดท้ายหมิ่นเอ๋อร์ก็นำทางพวกเขาเข้าไปในเรือนที่ค่อนข้างใหญ่ พาหลิงอวี้จื้อไปส่งที่ห้องหนึ่งก่อน นางยืนตรงธรณีประตูพูดอย่างเคารพนอบน้อมว่า


 


 


“ท่านหลานเขย นี่คือสาวใช้ที่จัดมาให้ท่านเจ้าค่ะ นางอยู่ที่นี่แล้ว บ่าวขอตัวก่อน”


 


 


พูดจบก็ทำสัญญาณให้หลิงอวี้จื้อเข้าไป แล้วพามู่หรงนี่อวิ๋นกับมั่วชิงไปอีกห้อง


 


 


หลิงอวี้จื้อใจเต้นเร็วมาก สูดหายใจลึกแล้วผลักประตูเปิดออก ข้างในมีผู้ชายสวมชุดคลุมผ้าไหมสีแดง หันหลังให้เธอ หลิงอวี้จื้อเห็นปราดเดียวก็ดูออกว่าเขาเป็นใคร นี่คือเซียวเหยี่ยน เป็นเขาจริงๆ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 319 เซียวเหยี่ยนสูญเสียความทรงจำกะทันหัน


 


 


หลิงอวี้จื้อรีบวิ่งขึ้นไปข้างหน้า เรียกด้วยความตื่นเต้น


 


 


“อาเหยี่ยน…”


 


 


ได้ยินเสียงเธอ เซียวเหยี่ยนที่หันหลังอยู่ก็สะดุ้งเบาๆ หันกลับมาอย่างเร็ว พอเห็นหลิงอวี้จื้อ ก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย


 


 


“เจ้าเป็นใคร”


 


 


คำถามนี้ทำให้หลิงอวี้นจื้อมึนงง ทำไมเซียวเหยี่ยนถึงไม่รู้จักเธอ เป็นไปไม่ได้ แต่แววตาของเขาดูไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง หน้าตาท่าทางเหมือนไม่รู้จักเธอจริงๆ


 


 


“ข้าคืออวี้จื้อไง อาเหยี่ยน ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจสิ แม้แต่ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร”


 


 


“แม่นาง เจ้าจำคนผิดแล้ว ข้าไม่รู้จักเจ้า”


 


 


หลิงอวี้จื้อเหมือนถูกน้ำเย็นสาดตั้งแต่หัวจรดเท่า เฟิงอิ๋นทำอะไรเขากันแน่ ทำไมอยู่ๆ ก็ไม่รู้จักเธอเสียแล้ว


 


 


เธอได้ยินเสียงฝีเท้าข้างนอก และกลัวเซียวเหยี่ยนจะไม่ระวังพูดออกไปหมด จึงได้แต่ฝืนยิ้มพูดว่า


 


 


“ถ้าเช่นนั้นข้าคงจำคนผิดจริงๆ ท่านหลานเขยหน้าตาคล้ายคนที่ข้าชอบมากเจ้าค่ะ”


 


 


เซียวเหยี่ยนไม่พูดอะไร มีคนผลักประตูเข้ามา ผู้หญิงวัยสาวสวมชุดเจี๋ยอ่าวสีแดงชาดเดินเข้ามา หน้าตากลางๆ แววตามีความห้าวหาญ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่ควรไปหาเรื่อง


 


 


หากเดาไม่ผิด คนๆ นี้ก็คือเฟิงอิ๋น นังผู้หญิงเวร นึกไม่ถึงว่าจะน่ารังเกียจยิ่งกว่ามู่หรงกวานเย่ว์เสียอีก


 


 


“เจ้าเป็นสาวใช้ที่แม่หรงเลือกมาหรือ”


 


 


“เจ้าค่ะ”


 


 


น้ำเสียงของหลิงอวี้จื้อเคารพนอบน้อม เธอยังต้องสืบรู้ให้กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดังนั้นจะเผยตัวตนไม่ได้เด็ดขาด


 


 


“แม่หรงจัดการเก่งจริง เลือกสาวใช้ได้ดีมาก”


 


 


เฟิงอิ๋นพอใจหลิงอวี้จื้อมาก เห็นได้ชัดว่ามองหลิงอวี้จื้อเป็นเด็กน้อย นางเดินไปตรงหน้าเซียวเหยี่ยน น้ำเสียงออดอ้อน


 


 


“ข้ารอวันนี้มานานแล้ว เซียวเหยี่ยน ในที่สุดข้าก็ได้แต่งกับเจ้า เจ้าดีใจหรือไม่”


 


 


ดีใจกับผีสิ ผู้ชายในโลกนี้ก็ไม่ได้ตายไปหมดสักหน่อย เกาะแกะเซียวเหยี่ยนอยู่ได้ น่าขยะแขยงจริงๆ


 


 


“ข้าดีใจแน่นอน เฟิงอิ๋น ข้านึกเรื่องในอดีตไม่ออกเลย วันนี้ปวดหัวอีกแล้ว ยังมียาอีกหรือไม่ ข้าปวดหัวทีไรแทบทนไม่ไหว”


 


 


ท่าทางเซียวเหยี่ยนดูเจ็บปวด ราวกับว่าเปลี่ยนเป็นคนละคน ช่างแตกต่างกับเซียวเหยี่ยนในอดีตผู้เย็นชาโดยสิ้นเชิง


 


 


เฟิงอิ๋นยื่นมือออกไปนวดขมับให้เซียวเหยี่ยน ทำอย่างเบามือมาก


 


 


“เจ้ากินยาพวกนั้นไม่ได้อีกแล้ว อีกสองวันก็ไม่ปวดหัวแล้ว พวกคนที่ลงมือกับเจ้าก็โหดร้ายจริงๆ หากข้าได้เจอพวกนั้น ข้าจะต้องแก้แค้นให้เจ้าแน่นอน


 


 


ตอนนี้วิทยายุทธ์ของท่านสลายไปหมดแล้ว ร่างกายยังฟื้นไม่เต็มที่ วันนี้ต้องพักผ่อนให้ดีๆ พรุ่งนี้ยังต้องไปสู่ขอข้าอีก


 


 


เซียวเหยี่ยน เดิมทีเจ้ากับข้าหมั้นกันอยู่แล้ว เราต่างรักซึ่งกันและกัน นึกไม่ถึงว่าพอหาเจ้าเจอแล้ว เจ้ากลับลืมเรื่องในอดีตไปหมด ลืมไปก็ไม่เป็นไร ท่านเทวดายังอยากให้เราได้สมปรารถนา มิเช่นนั้นข้าคงหาเจ้าไม่พบ


 


 


พรุ่งนี้ข้าก็แต่งกับเจ้าแล้ว ชาติภพนี้จะไม่จากเจ้าไปอีก จากวันนี้เป็นต้นไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามีล้วนเป็นของเจ้า”


 


 


เฟิงอิ๋นพูดจบก็ซบอกเซียวเหยี่ยน หลิงอวี้จื้ออยากจะตบเฟิงอิ่นสักฉาดจริงๆ


 


 


ผู้หญิงคนนี้ยังมียางอายอยู่หรือไม่ ฉากนี้ช่างบาดตาเหลือเกิน เธอไม่อยากให้เฟิงอิ๋นเข้าใกล้เซียวเหยี่ยนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีทางจะไปหยุดยั้งเฟิงอิ๋นได้ เธอจามออกมาอย่างไม่เข้ากับบริบท


 


 


ความสนใจของเฟิงอิ๋นถูกรบกวน นางขมวดคิ้ว หลิงอวี้จื้อลงไปคุกเข่าขอขมากับพื้นแล้ว


 


 


“ขออภัยคุณหนูเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้ตั้งใจ คุณหนูกับท่านหลานเขยเหมาะสมกันขนาดนี้ บ่าวอดไม่ได้ที่จะชื่นชมยินดีกับท่านหลานเขยและคุณหนูเจ้าค่ะ”


 


 


เซียวเหยี่ยนยังคงไม่ผลักเฟิงอิ๋นออก ปฏิกิริยาของเซียวเหยี่ยนทำให้เฟิงอิ๋นดีใจอย่างยิ่ง คิ้วถึงได้คลายออกอย่างสบายใจ


 


 


“แม่สาวน้อยช่างพูดเสียจริง ท่านหลานเขยกินยาแล้ว คืนนี้ยังต้องการผู้หญิงสักคนมาลองดูว่าท่านหลานเขยฟื้นฟูแล้วหรือยัง เดิมทียังไม่รู้จะหาใคร ตอนนี้ข้าว่าเจ้าก็ไม่เลว เอาเจ้านี่แหละ”



ตอนที่ 320 ข้าไม่ได้สนใจเจ้า


 


 


“บ่าวไม่เข้าใจความหมายของคุณหนูเจ้าค่ะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อเข้าใจความหมายของเฟิงอิ๋น แต่จงใจแสร้งทำหน้างง เหมือนเด็กน้อยที่ไม่ประสาโลก


 


 


“เจ้ามาปรนนิบัติท่านหลานเขยคืนนี้”


 


 


เดิมทีหลิงอวี้จื้อหน้าตาอ่อนวัยอยู่แล้ว ดังนั้นการที่เธอไม่เข้าใจ ไม่ได้ทำให้คนอื่นสงสัยแม้แต่น้อย


 


 


เฟิงอิ๋นพอใจหลิงอวี้จื้อมาก


 


 


“เจ้านั่นแหละ เจ้าไม่เข้าใจ แต่ท่านหลานเขยเข้าใจก็พอแล้ว”


 


 


เซียวเหยี่ยนทำหน้ารังเกียจ


 


 


“นางเด็กเกินไป ไม่ได้”


 


 


“เซียวเหยี่ยน เจ้าหยวนๆ สักหน่อย ข้าก็ไม่อยากมอบเจ้าให้ใคร แต่นี่เป็นเจตนาของเจ้าสำนัก พวกเราไม่สามารถต่อต้านคำสั่งของเจ้าสำนักได้ มิเช่นนั้นจะไม่เป็นผลดีกับเจ้า


 


 


เซียวเหยี่ยน พรุ่งนี้จะเป็นคืนแต่งงานของเรา คืนพรุ่งนี้ข้าจะอยู่กับเจ้า ต่อไปพวกเราจะไม่แยกจากกันอีก จะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตนี้”


 


 


น้ำเสียงของเฟิงอิ๋นอ่อนโยน งึมงำข้างๆ หูเซียวเหยี่ยน หลิงอวี้จื้อได้ยินเต็มสองรูหู ขนลุกซู่ไปทั้งตัว แต่ก็ควบคุมตัวเองไว้อย่างแข็งขัน


 


 


“ก็ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าจัดการ เพื่อไม่ให้เจ้าสำนักตำหนิเจ้า”


 


 


เซียวเหยี่ยนรับปาก สำหรับปฏิกิริยาของเซียวเหยี่ยน เฟิงอิ๋นดีใจมาก น้ำเสียงอ่อนโยนลงไปอีก


 


 


“วันนี้ยังมีเรื่องอีกมาก พรุ่งนี้ข้าจะมาหาเจ้าใหม่”


 


 


พูดจบเฟิงอิ๋นก็ออกไปจากห้อง แถมยังปิดประตูห้องด้วย


 


 


หลิงอวี้จื้อยืนอยู่ข้างๆ โกรธจนแทบกระอักเลือด หากไม่ได้อยู่ตรงหน้าก็ยังดี แต่ดันมาอยู่ต่อหน้าตนเองเสียนี่ ถึงแม้เซียวเหยี่ยนจะสูญเสียความทรงจำแล้ว เธอก็ทำใจยอมรับที่ผู้หญิงอื่นมากอดเซียวเหยี่ยนแบบนี้ไม่ได้ ทำตาโตใส พูดจาเหลวไหลต่อหน้าเขา แบบนี้มันผู้หญิงแอ๊บแบ๊วคนหนึ่งนี่เอง


 


 


ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ อยู่ๆ หลิงอวี้จื้อก็ยื่นมือออกไปโอบเอวเซียวเหยี่ยน สำหรับการรุกของหลิงอวี้จื้อ เซียวเหยี่ยนไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ผลักหลิงอวี้จื้อออกอย่างเยือกเย็น


 


 


“เมื่อครู่เจ้ายังไม่เข้าใจอยู่มิใช่หรือ”


 


 


“ตอนแรกข้าไม่เข้าใจ ต่อมาพูดชัดเจนขนาดนี้ หากข้ายังไม่เข้าใจอีก เช่นนั้นสมองข้าคงมีปัญหาแล้ว… คุณชาย ท่านหน้าตาคล้ายคนที่ข้าชอบขนาดนี้ ข้าสามารถบังคับใจปรนนิบัติท่านได้”


 


 


หลิงอวี้จื้อรู้สึกเสียใจมาก แต่ก็รู้ว่าจะรีบร้อนไม่ได้ เฟิงอิ๋นอาจจะให้เขากินยาอะไรไป ทำให้เขาสูญเสียความทรงจำ เธอไม่สามารถเผยตัวตนเร็วเกินไป ยังต้องคิดหาวิธีอีกถึงจะได้


 


 


“ไม่ต้องแล้ว ข้าไม่ได้สนใจเจ้า เจ้าไปได้แล้ว”


 


 


“ข้าขายตนเองให้สำนักอู๋จี๋แล้ว คุณชาย ท่านจำเรื่องเมื่อก่อนไม่ได้แล้วหรือ”


 


 


เซียวเหยี่ยนดูเหมือนไม่ชอบหลิงอวี้จื้อเอามากๆ ท่าทางยังคงเย็นชา


 


 


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”


 


 


“ท่านยินดีแต่งงานกับเฟิงอิ๋นจริงหรือ”


 


 


สีหน้าของเซียวเหยี่ยนเผยให้เห็นความไม่พอใจ


 


 


“เหตุใดจะไม่ยินดี เฟิงอิ๋นทั้งใจกล้าและห้าวหาญ ข้าชอบนางจริงๆ ได้แต่งนางเป็นภรรยาก็เป็นโชคดี”


 


 


“ท่าน…เช่นนั้นอะไรที่เรียกว่าใจกล้าและห้าวหาญหรือ นางไม่ได้ใส่ใจท่านสักหน่อย หากใจนางมีท่าน เหตุใดถึงกักบริเวณท่านให้อยู่ในห้อง นางทำเช่นนี้ ท่านไม่ถือสาหรือ”


 


 


“ไม่ถือสา”


 


 


หลิงอวี้จื้อจะกระอักเลือดแล้ว เซียวเหยี่ยนเป็นอะไรกันแน่ พูดจากับเธอแบบนี้ได้อย่างไร นึกไม่ถึงว่าจะชอบเฟิงอิ๋นสุดจิตสุดใจขนาดนี้ ด้วยความโมโหถึงขีดสุด เธอจึงถามว่า


 


 


“ท่านลืมเรื่องเมื่อก่อนไปแล้ว แล้วไม่กลัวว่าตนเองจะมีภรรยาไปแล้วหรือ”


 


 


“เฟิงอิ๋นไม่มีทางหลอกข้า หากเจ้ายังพูดถึงเฟิงอิ๋นผิดๆ อีก ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้ว”


 


 


เซียวเหยี่ยนรินน้ำให้ตนเองแก้วหนึ่ง พูดว่า


 


 


“เจ้าออกไปเถิด! ข้าไม่ต้องการให้ใครมาปรนนิบัติ”


 


 


หลิงอวี้จื้อกัดปาก อยากพูดอะไรต่อ แต่เห็นเซียวเหยี่ยนไม่ได้อยากพูดกับตนด้วยซ้ำ เธอก็กลืนคำพูดลงไป รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 321 ข้ายินดี ท่านยุ่งอะไร


 


 


จากที่ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ วันที่เซียวเหยี่ยนจะพูดจาเช่นนี้กับเธอ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้มีสาเหตุ แต่ใจเธอก็รับไม่ค่อยได้


 


 


เห็นหลิงอวี้จื้อยืนอยู่ไม่ขยับ เซียวเหยี่ยนก็เอ่ยปากทันใด


 


 


“แม่สาวน้อย สำนักอู๋จี๋ไม่ใช่ที่ๆ เจ้าควรมา”


 


 


“เหตุใดข้าจึงมาไม่ได้”


 


 


หลิงอวี้จื้อได้ยินประโยคนี้จึงถามต่อทันที คำพูดนี้ฟังแล้วผิดปกติ เซียวเหยี่ยนดูเหมือนจะรู้จักเธอ


 


 


“ไม่มีทั้งความสามารถไม่มีทั้งสมอง เจ้ามาทำอะไรที่สำนักอู๋จี๋ เกรงว่าคงเป็นสาวใช้ไปจนตาย ดูจากคุณสมบัติของเจ้า อยู่ที่นี่เจ้าคงไม่มีอนาคตอะไร”


 


 


ประโยคเดียวก็ทำให้หลิงอวี้จื้อหมดกำลังใจแล้ว พอสูญเสียความทรงจำไป นึกไม่ถึงว่าเซียวเหยี่ยนจะรังเกียจเธอขนาดนี้ ดูแคลนเธอจนแทบจะไม่มีอะไรดี


 


 


“จุดมุ่งหมายของข้าก็คือเป็นสาวใช้ ที่นี่ให้ค่าแรงสูง เป็นสาวใช้ตลอดชีวิตแล้วอย่างไร ข้ายินดี ท่านยุ่งอะไร”


 


 


ด้วยอารมณ์หงุดหงิด หลิงอวี้จื้อจึงพูดด้วยน้ำเสียงหึงหวงเต็มที่


 


 


“คุณหนูแข็งแรงขนาดนี้ ท่านหลานเขยคงจะถูกบีบจนไม่เหลือแม้แต่น้ำ”


 


 


เซียวเหยี่ยนยิ้มตาหยีมองหลิงอวี้จื้อ


 


 


“ข้ายินดี”


 


 


“ท่าน…”


 


 


“ออกไป”


 


 


เห็นเซียวเหยี่ยนเย็นชากับตนขนาดนี้ ถึงแม้ในใจจะอึดอัดเสียใจ แต่เธอก็ไม่สามารถพูดมากได้ ทำได้เพียงออกไปก่อน


 


 


ออกมาจากห้องแล้ว หลิงอวี้จื้อก็มองไปรอบๆ เห็นนอกห้องเซียวเหยี่ยนไม่มีสาวใช้ ในเรือนว่างเปล่า มีเพียงทหารยามที่เฝ้าอยู่ตรงประตูใหญ่ ยืนตัวตรง ทุกคนหันหลังให้เธอ


 


 


เฟิงอิ๋นก็อยู่ที่เรือนนี้เช่นกัน เพียงแต่พักอยู่ทางทิศตะวันตก


 


 


ตอนนี้มั่วชิงกับมู่หรงนี่อวิ๋นต่างอยู่กับเฟิงอิ๋น เธอกำลังจะไปหามั่วชิง ทันใดนั้นก็มีสองมือจากนอกประตูลากเธอเข้าไปในห้องข้างๆ เมื่อครู่กำลังจะขัดขืน เสียงมั่วชิงก็ดังขึ้นข้างหู


 


 


“คุณหนู ข้าเอง”


 


 


“มั่วชิง ข้ากำลังจะไปหาเจ้าพอดี ท่านอ๋องดูเหมือนจะเสียความทรงจำไปแล้ว สำนักอู๋จี๋มียาพิษทำให้คนเสียความทรงจำหรือไม่”


 


 


“มีเจ้าค่ะ ยาพิษอะไรสำนักอู๋จี๋ก็มีหมด หากท่านอ๋องสูญเสียความทรงจำจริงๆ เช่นนั้นเฟิงอิ๋นต้องป้อนยาพิษปลุกเสกที่ทำให้ท่านอ๋องสูญเสียความทรงจำแน่นอน”


 


 


“มียาถอนพิษหรือไม่”


 


 


“ไม่มีเจ้าค่ะ”


 


 


มั่วชิงพูดด้วยความลำบากใจยิ่ง


 


 


“ยาพิษที่สำนักอู๋จี๋ปรุงแต่งออกมา โดยปกติจะไม่มียาถอนพิษ ข้าไปสืบมาบ้างแล้ว ตอนนี้ยาพิษทั้งหมดที่ปรุงแต่งมาล้วนอยู่ในความดูแลของเฟิงอิ๋น แม้จะมียาถอนพิษ ก็มีแต่นางเท่านั้นที่มี”


 


 


ได้ยินว่าไม่มียาถอนพิษ หลิงอวี้จื้อก็ห่อเ**่ยวเหมือนลูกบอลยางที่ลมออกทันที


 


 


“ผู้หญิงคนนั้นจะเอายาถอนพิษออกมาให้ได้อย่างไรล่ะ พรุ่งนี้พวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว ข้าจะต้องหยุดยั้งการแต่งงานครั้งนี้ให้ได้


 


 


มั่วชิง นับว่าเจ้าก็รู้จักเฟิงอิ๋นมานานแล้ว คงจะเข้าใจเฟิงอิ๋น เจ้าเล่าสถานการณ์ในสำนักอู๋จี๋ให้ข้าฟังละเอียดหน่อย ข้าจะคิดดูว่าจะมีวิธีรับมือกับเฟิงอิ๋นบ้างหรือไม่”


 


 


มั่วชิงคิดสักครู่ พูดต่อว่า


 


 


“วิธีการของเฟิงอิ๋นโหดเ**้ยม ชอบทรมานคน เย็นชาอย่างยิ่ง ตอนนั้นข้ากับนางไปคารวะอาจารย์ สาวใช้สำนักอู๋จี๋ต่างก็กลัวเฟิงอิ๋น แต่เฟิงอิ๋นอยู่ที่สำนักอู๋จี๋ก็ใช่ว่านางจะไม่กลัวเทวดาฟ้าดิน”


 


 


“นางกลัวเจ้าสำนักใช่หรือไม่”


 


 


“ใช่เจ้าค่ะ ส่วนใหญ่เจ้าสำนักจะไม่ค่อยสนใจอะไรมากนัก แต่ที่นางเกลียดที่สุดคือการหักหลังจากผู้อื่น ทันทีที่จับได้จะไม่มีทางออมมือเด็ดขาด ต่อหน้าเจ้าสำนักเองเฟิงอิ๋นก็จะระมัดระวังมาก


 


 


ใช่แล้ว ข้างกายเจ้าสำนักมีผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนที่ข้ายังไม่ออกจากสำนักอู๋จี๋นางก็อยู่ข้างกายเจ้าสำนักแล้ว เจ้าสำนักรักใคร่เอ็นดูนางมาก ไปไหนก็ต้องพาไปด้วย ขนาดเฟิงอิ๋นเจอนางยังต้องเกรงใจ เมื่อก่อนข้าก็รู้ว่าเฟิงอิ๋นกับนางไม่ค่อยลงรอยกัน ตอนนี้ก็คงยังเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ”


 


 


ถึงแม้มั่วชิงจะเล่าอย่างคลุมเครือมาก หลิงอวี้จื้อก็ยังเข้าใจ ความหมายของนางคือเจ้าสำนักชอบผู้หญิง


 


 


หลิงอวี้จื้อกำลังใช้ความคิด พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า จะรับมือกับเฟิงอิ๋นต้องลงมือที่เจ้าสำนัก ส่วนจุดอ่อนของเจ้าสำนักก็อยู่ที่ผู้หญิงคนนี้


ตอนที่ 322 อับอายขายหน้าไปถึงบ้านยาย


 


 


มีแนวทางแล้ว เรื่องก็จัดการง่ายขึ้น เพียงแต่เธอมีเวลาไม่มากแล้ว พรุ่งนี้ไม่ว่าอย่างไร เธอจะต้องหยุดยั้งการแต่งงานระหว่างเซียวเหยี่ยนกับเฟิงอิ๋นให้ได้


 


 


เห็นหลิงอวี้จื้อกำลังใช้ความคิด มั่วชิงก็พูดเตือนเบาๆ


 


 


“คุณหนู ท่านไม่มีวิทยายุทธ์ ต้องระวังนะเจ้าคะ”


 


 


“เจ้าเตรียมของให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่”


 


 


“คุณหนูต้องการอะไรเจ้าคะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อแนบข้างหูมั่วชิง พูดกระซิบ


 


 


มั่วชิงพยักหน้า


 


 


“เรื่องนี้จัดการง่ายเจ้าค่ะ พืชแปลกใหม่ของสำนักอู๋จี๋มีมากมาย อีกสักครู่ข้าจะส่งมาให้คุณหนู”


 


 


“เจ้ารีบกลับไปเถิด! อย่าให้คนอื่นจับได้”


 


 


มั่วชิงเองก็ไม่กล้าอยู่นาน ออกไปก่อนอย่างไว


 


 


หลิงอวี้จื้อเฝ้าอยู่ที่ประตูต่อไป มีสาวใช้อีกสองสามคนเข้ามาแล้ว หลิงอวี้จื้อปากหวานมากและพูดเก่งด้วย ไม่นานก็ได้ข้อมูลจากสาวใช้เหล่านั้นมาไม่น้อย


 


 


โดยเฉพาะข้อมูลของผู้หญิงคนโปรดของเจ้าสำนัก รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นชื่อชุนเหนียง รักสวยรักงาม ไม่มีเหตุผล ชอบเสแสร้ง คนประเภทนี้รับมือได้ง่ายที่สุด


 


 


มั่วชิงหยิบของมา แอบส่งมาให้หลิงอวี้จื้อ นางเพิ่งไป หลิงอวี้จื้อที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูก็ได้กลิ่นแป้งฝุ่นเข้มข้นมาก


 


 


หมิ่นเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ถองศอกใส่หลิงอวี้จื้อ พูดเสียงเบาว่า


 


 


“ชุนเหนียงมาแล้ว ตั้งแต่ท่านหลายเขยมา ชุนเหนียงก็มาเยี่ยมท่านหลายเขยทุกวัน ผู้คุมกฎเฟิงไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่ก็ทำอะไรชุนเหนียงไม่ได้”


 


 


หลิงอวี้จื้อมองไป อยากรู้ว่าหญิงคนโปรดของเจ้าสำนักหน้าตาเป็นอย่างไร รอจนเห็นชัดแล้ว เธอก็ยอมใจรสนิยมของเจ้าสำนัก เครื่องหน้างดงามยิ่ง แต่ท่าทางบ้านๆ มาก เป็นคนท่าทางบ้านๆ ที่มีสเน่ห์เย้ายวน ไม่เหมือนฟางไท่เฟย ที่เป็นคนประเภทเซ็กซี่ไปถึงข้างในกระดูก


 


 


สายตาของเจ้าสำนักถือว่างั้นๆ กลิ่นแป้งฝุ่นแรงขนาดนี้ยังรับได้ นางสวมชุดเจี๋ยอ่าวสีบานเย็น แต่งตัวฉูดฉาด เดินโยกย้ายส่ายสะโพกมา ทุกคนต่างเรียกนางอย่างเคารพว่า


 


 


“ชุนเหนียง”


 


 


“แม่นางทั้งหลาย ท่านหลานเขยเล่า”


 


 


“ท่านหลานเขยอยู่ข้างในเจ้าค่ะ ชุนเหนียง เชิญด้านในเจ้าค่ะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อเปิดประตูอย่างกระตือรือร้น ทำท่าเชิญ สำหรับความกระตือรือร้นของหลิงอวี้จื้อ ใช้ได้ผลกับชุนเหนียงมาก


 


 


“สาวใช้คนนี้ไม่เลวทีเดียว รู้จักกาลเทศะ”


 


 


ชุนหนียงจิ้มหน้าผากหลิงอวี้จื้อเบาๆ กลิ่นนี้ทำเธอจุกจนเกือบอาเจียนออกมา แต่ก็ต้องฝืนทนไว้ แล้วยิ้มสดใสให้ชุนเหนียง


 


 


ชุนเหนียงเข้าไปแล้ว หลิงอวี้จื้อก็ถือโอกาสเข้าไปด้วย เธออยากดูว่าชุนเหนียงมาหาเซียวเหยี่ยนทำไม เธอรินชาให้ชุนเหนียงอย่างกระตือรือร้นทันที หันหลังให้พวกเขา แอบเอาผงยาที่ซ่อนไว้ในมือใส่เข้าไปในถ้วยชาของชุนเหนียง


 


 


“ชุนเหนียง ชาเจ้าค่ะ”


 


 


ชุนเหนียงรับชาไป มองหลิงอวี้จื้อด้วยแววตาชื่นชม ราวกับกำลังยกย่องเธอ เมื่อเทียบกับความกระตือรือร้นของหลิงอวี้จื้อ เซียวเหยี่ยนกลับเย็นชามาก ราวกับมองไม่เห็นชุนเหนียงอย่างไรอย่างนั้น


 


 


“ชุนเหนียง ค่อยๆ คุยกับท่านหลานเขยนะเจ้าคะ บ่าวขอตัวออกไปก่อน”


 


 


หลิงอวี้จื้อเห็นชุนเหนียงกำลังจะโบกมือให้ตนออกไป ก็ออกจากห้องไปก่อนแล้ว ถึงแม้นางจะอยากได้ยินว่าชุนเหนียงจะคุยอะไรกับเซียวเหยี่ยนบ้าง แต่ตอนนี้เป็นสาวใช้ ไม่มีเหตุผลจะอยู่ต่อจริงๆ


 


 


ขณะที่ยืนตรงธรณีประตู ข้างในคุยอะไรกันไม่ได้ยินเลย ไม่นานชุนเหนียงก็ออกมาอย่างรีบร้อน นางอายมาก ตอนที่เดินมาถึงธรณีประตู พวกนางได้ยินเสียงปู้ดดังมาก จากนั้นก็มีกลิ่นเหม็นโชยออกมา สาวใช้สองสามคนเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่กล้าพูดอะไร ทุกคนล้วนก้มหน้ากลั้นขำ


 


 


ชุนเหนียงอับอายเป็นพิเศษ จ้องหน้าพวกนางเขม็ง ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็สาวเท้าออกไปจากเรือนอย่างเร็ว


 


 


หลิงอวี้จื้อก็อยากหัวเราะ ฉากเมื่อครู่น่าอับอายขายหน้าไปถึงบ้านยาย มิต้องพูดถึงว่าชุนเหนียงเป็นถึงผู้หญิงคนโปรดของเจ้าสำนักเสียด้วย


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 323 ลองเชิงนางสักหน่อย


 


 


หากเดาไม่ผิด ไม่นานชุนเหนียงคงจะให้คนมาเรียกตัวเธอ ถึงตอนนั้นเธอจะต้องใช้ประโยชน์จากไพ่ชุนเหนียงนี้ให้ดี


 


 


ตามคาด พอฟ้ามืด คนจากในเรือนชุนเหนียงก็มา นำทางหลิงอวี้จื้อไปทันที


 


 


พอเห็นหลิงอวี้จื้อมา นางก็โกรธจัดขึ้นมาทันใด สีหน้าเย็นชาในพริบตา


 


 


“นังบ่าวชั่ว เจ้าช่างกล้านัก ก่อนหน้านี้เจ้าเอายาระบายมาใส่ในน้ำชาของข้าใช่หรือไม่”


 


 


หลิงอวี้จื้อคุกเข่า หมอบกับพื้น ร้องไห้ออกมา


 


 


“ชุนเหนียงไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ ผู้คุมกฎเฟิงสั่งให้บ่าววางยาระบายพวกนั้น บ่าวเป็นแค่คนใช้ กล้าขัดคำสั่งผู้คุมกฎเฟิงเสียที่ไหนเจ้าคะ บ่าวรู้ว่าชุนเหนียงเป็นคนข้างกายเจ้าสำนัก ไม่คิดวางยาอยู่แล้ว ผู้คุมกฎเฟิงข่มขู่บ่าว บ่าวทำอะไรไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ”


 


 


ชุนเหนียงหัวเราะเยาะเบาๆ


 


 


“เป็นนางตามคาด เฟิงอิ๋นเป็นอะไรไปแล้ว เอาผู้ชายไม่เป็นโล้เป็นพายเข้ามา ก็จะแต่งกับเขาแล้ว คนผู้นี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา ถึงแม้จะเสียความทรงจำแล้ว อยู่ในสำนักอู๋จี๋ก็เหมือนเป็นภัยซ่อนเร้น เจ้าสำนักก็ตามใจนางด้วย ชายหนุ่มรูปงามขนาดนี้แต่งกับเฟิงอิ๋นช่างน่าเสียดายจริงๆ”


 


 


หลิงอวี้จื้ออึ้ง พูดแบบนี้แสดงว่าชุนเหนียงไม่รู้จักตัวตนของเซียวเหยี่ยน หากนางไม่รู้ เช่นนั้นเจ้าสำนักก็คงจะไม่รู้เรื่องเช่นกัน เฟิงอิ๋นปิดบังตัวตนของเซียวเหยี่ยนเอาไว้


 


 


ก็ใช่ เซียวเหยี่ยนเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หากให้เจ้าสำนักอู๋จี๋รู้ตัวตนที่แท้จริงของเซียวเหยี่ยน เกรงว่าจะฆ่าเซียวเหยี่ยนเสีย นางคงเคยได้ยินมาว่าตอนนั้นผู้ที่เป็นคนรวบรวมสำนักใหญ่ๆ ต่างๆ ในยุทธภพมาทำลายสำนักอู๋จี๋ก็คือซีหนานอ๋อง


 


 


หากนางเปิดเผยตัวตนของเซียวเหยี่ยน งานมงคลครั้งนี้คงเกิดขึ้นไม่ได้ แถมยังทำให้เซียวเหยี่ยนกังวลเรื่องชีวิตของเขา นางไม่มีทางทำเช่นนี้เด็ดขาด


 


 


ได้ยินชุนเหนียงพูดว่าเซียวเหยี่ยนรูปงาม แล้วยังไปหาเซียวเหยี่ยนทุกวัน เธอก็เกิดความคิดขึ้นในหัว ชุนเหนียงคงไม่ได้ชอบความเป็นชายของเซียวเหยี่ยนหรอกนะ! นางไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้าสำนักเพราะชอบผู้หญิงด้วยซ้ำ บางทีอาจจะโดนบังคับ


 


 


คิดถึงตรงนี้ เธอก็ตัดสินใจจะลองเชิงชุนเหนียง


 


 


“บ่าวก็เพิ่งไปรับใช้ข้างกายท่านหลานเขย ผู้คุมกฎเฟิงไม่ชอบให้บ่าวมีปฏิสัมพันธ์กับท่านหลานเขยมากเกินไป ขนาดบ่าวอยู่ใกล้ๆ ท่านหลานเขยยังต้องหลบเลี่ยงไม่ให้เป็นที่สงสัย ไม่กล้าพูดกับท่านหลานเขยมากไปเจ้าค่ะ


 


 


ตอนที่ผู้คุมกฎเฟิงเอายาระบายมาให้บ่าวยังบอกว่าชุนเหนียงมีเจตนาแอบแฝง… คำพูดที่เหลือบ่าวลำบากใจที่จะพูดเจ้าค่ะ”


 


 


“นางยังพูดอะไรอีก”


 


 


“ล้วนเป็นคำพูดไม่น่าฟังทั้งนั้นเจ้าค่ะ ท่านอย่าทำให้บ่าวลำบากใจเลย บ่าวพูดไม่ออกจริงๆ เจ้าค่ะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อทำหน้าลำบากใจ ชุนเหนียงได้ยินคำนี้ก็หัวเราะ


 


 


“มิน่านางถึงเลือกเจ้ามาอยู่ข้างกายหลานเขย ที่แท้ก็มีความคิดเช่นนี้ นางคิดว่าเป็นผู้คุมกฎแล้วก็สามารถมองข้ามข้าไปได้ นึกไม่ถึงว่าจะลงมือกับข้าต่อหน้าฝูงชน เก็บชายคนป่ากลับมาดูแลเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่า ข้าไม่มีทางทำให้นางสมปรารถนาหรอก ต้องทำให้นางรู้ ที่สำนักอู๋จี๋ ขอเพียงเจ้าสำนักเห็นข้าเป็นคนในครอบครัว นางก็จะต้องเกรงใจข้าตลอดไป แค่นี้ข้าก็เหนือกว่านาง”


 


 


ชุนเหนียงกับเฟิงอิ๋นไม่ถูกกันมานานแล้ว ต่างคนต่างเกลียดขี้หน้าซึ่งกันและกัน


 


 


เฟิงอิ๋นไม่ชอบชุนเหนียง รู้สึกว่านางอาศัยมารยาหญิงไต่เต้าขึ้นมา ผิวเผินแล้วก็สุภาพกับนาง แต่ความจริงไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา การกระทำกับความคิดที่ขัดกันนี้ ชุนเหนียงย่อมรู้ดี แต่อุปสรรคอยู่ที่หาจุดอ่อนของเฟิงอิ๋นไม่เจอ จึงได้แต่อดทนไป


 


 


ตอนนี้มีชนวนจุดระเบิดแล้ว นางไม่สามารถทนได้อีกแม้แต่ครู่เดียว


 


 


“ชุนเหนียงไว้ชีวิตบ่าวด้วย บ่าวรู้ผิดแล้วจริงๆ บ่าวก็ถูกบังคับ ผู้คุมกฎเฟิงเป็นเจ้านายของบ่าว นางสั่งการมา บ่าวจะขัดคำสั่งไม่ได้เจ้าค่ะ”



ตอนที่ 324 ทุกหนแห่งล้วนอวดฝีมือการแสดงได้


 


 


หลิงอวี้จื้อพูดไปก็โขกหัวไป รู้สึกตกใจอย่างยิ่ง


 


 


ชุนเหนียงมีความคิดในใจแล้ว เห็นหลิงอวี้จื้อคุกเข่ากับพื้นโขกหัวไม่หยุดก็ลุกขึ้นทันใด ประคองหลิงอวี้จื้อขึ้นมาจากพื้นด้วยมือของตนเอง ความโกรธบนใบหน้ามลายหายไปสิ้น แถมยังยิ้มให้หลิงอวี้จื้อด้วย เพียงแต่รอยยิ้มนั้นดูปลอมมากเท่าที่จะปลอมได้ ฝีมือการแสดงน่าเป็นห่วงจริงๆ


 


 


“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้ารู้ว่าเจ้าฟังคำสั่งนางมา ข้าจะทำให้เจ้าลำบากใจไปทำไม แม่สาวน้อย เจ้าชื่ออะไร อายุเท่าไหร่แล้ว”


 


 


หลิงอวี้จื้อยินดีทันใด ชุนเหนียงเริ่มลงมือตามคาด สองคนนี้สะสมความแค้นจนฝังลึก แทบจะเรียกได้ว่าจุดนิดเดียวก็ติด ต่อไปเธอจะต้องอวดฝีมือการแสดงให้ดี ๆ


 


 


“บ่าวชื่ออวี้จื้อ ปีนี้อายุสิบเจ็ดปีแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


“หน้าไม่เหมือนอายุสิบเจ็ดเลย ถึงแม้จะดูแล้วอ่อนวัยไปหน่อย แต่ก็หน้าตาไม่เลว มาเป็นสาวใช้อยู่กับหลานเขยช่างน่าเสียดายจริง ๆ”


 


 


หลิงอวี้จื้อทำหน้าเศร้า ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา


 


 


“นี่คือชะตาชีวิตของบ่าวเจ้าค่ะ บ้านบ่าวมีพี่น้องผู้ชายหกคน มีเพียงบ่าวคนเดียวที่เป็นผู้หญิง เพื่อให้พวกพี่ชายสามารถสู่ขอพี่สะใภ้มาได้ พ่อแม่จึงขายบ่าวมาเป็นสาวใช้


 


 


บ่าวมีชะตาเป็นสาวใช้ไปตลอดชีวิต ยังไม่รู้ด้วยว่าจะมีชีวิตถึงวันไหน บ่าวถูกท่านเรียกพบ ไม่รู้ว่าผู้คุมกฎเฟิงจะคิดอย่างไรกับบ่าว กลัวเพียงแต่ว่ากลับไปก็ตายเช่นกัน


 


 


ชุนเหนียง ท่านมีน้ำใจเมตตากรุณา ช่วยคลายทุกข์ให้บ่าวทีเถิด! ได้ยินมาว่าผู้คุมกฎเฟิงมีวิธีทรมานมากมาย บ่าวกลัวจริงๆ เจ้าค่ะ”


 


 


พูดจบก็น้ำตาร่วงสามสี่เม็ด ไม่ทำให้ใครสงสัยคำพูดของเธอแม้แต่น้อย


 


 


“เจ้าพูดได้ถูกต้องมาก ออกจากที่นี่ไป ผู้คุมกฎเฟิงไม่มีทางปล่อยเจ้าแน่ คนที่ตายด้วยน้ำมือนางมีนับไม่ถ้วน เจ้าก็คงรู้ว่าพวกสาวใช้สำนักอู๋จี๋แอบเรียกเฟิงอิ๋นว่าอะไรใช่หรือไม่”


 


 


หลิงอวี้จื้อส่ายหน้าอย่างงุนงง แสดงให้เห็นว่าตนไม่รู้


 


 


“ทุกคนต่างเรียกนางว่าพญายมราช วิธีการลงโทษต่างๆ ไม่มีสิ้นสุด ทั้งควักหัวใจ ตัดเอว ใช้ม้าแยกร่าง ทอดน้ำมัน…”


 


 


ชุนเหนียงพูดพลางสังเกตสีหน้าของหลิงอวี้จื้อไปพลาง เห็นเธอตกใจจนตัวสั่นงันงก ก็รู้สึกพอใจอยู่ในใจ แม่สาวน้อยคนนี้ตกใจไม่เบาจริงๆ


 


 


“อย่างนั้นบ่าวจะทำอย่างไร ชุนเหนียง ช่วยบ่าวหน่อยเถิด ขอร้องเจ้าค่ะ”


 


 


“นี่ก็!”


 


 


ชุนเหนียงมองหลิงอวี้จื้ออย่างจงใจทำให้ลำบากใจ แววตาเปี่ยมด้วยความเสียดาย หลิงอวี้จื้อโขกหัวขอความเมตตาต่อ แสร้งทำท่าทางกลัวตายอย่างยิ่ง เดิมทีนางก็กลัวตาย เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกในลักษณะแบบนี้


 


 


เมื่อเห็นว่าพอใช้ได้แล้ว ชุนเหนียงถึงได้เอ่ยปาก


 


 


“เห็นเจ้าน่าสงสาร ข้าช่วยเจ้าสักครั้งแล้วกัน ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธี ดูแค่ว่าเจ้ากล้าหรือไม่”


 


 


“ชุนเหนียง ท่านรีบบอกมาเถิด”


 


 


“เจ้าก็รู้ว่าพรุ่งนี้เฟิงอิ๋นจะแต่งงานแล้ว ข้าไม่อยากให้นางสมหวัง หากเจ้าช่วยข้าทำเรื่องนี้สำเร็จ ถึงตอนนั้นข้าก็จะปกป้องชีวิตเจ้าต่อหน้าเจ้าสำนักเอง หากข้าเอ่ยปาก เจ้าสำนักคงไม่มีทางทำให้เจ้าลำบาก ซ้ำยังปล่อยเจ้าให้ออกไปจากที่นี่ด้วย”


 


 


“คือ…”


 


 


หลิงอวี้จื้อลังเลแล้ว แบบนี้ตรงกับใจเธอต้องการพอดี เธออยากจะรับปากในทันที แต่ทำแบบนั้นก็จะไม่สอดคล้องกับนิสัยตัวละครของเธอในขณะนี้


 


 


“โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ทำไม่ทำก็แล้วแต่เจ้า”


 


 


พูดจบก็โบกมือให้หลิงอวี้จื้อออกไป หลิงอวี้จื้อหักใจ แล้วรับคำ


 


 


“ได้ ข้าช่วยท่านทำธุระ ชุนเหนียง ท่านต้องจำสิ่งที่ตกลงกับข้าเอาไว้นะเจ้าคะ”


 


 


ชุนเหนียงกวักมือด้วยความพอใจอย่างยิ่ง เป็นสัญญาณให้หลิงอวี้จื้อเข้าไปใกล้ๆ แล้วกระซิบกระซาบข้างหูหลิงอวี้จื้อ หลิงอวี้จื้อทำสายตาสงสัย สุดท้ายก็พยักหน้ารับคำ


 


 


พอเห็นหลิงอวี้จื้อรับคำแล้ว ชุนเหนียงก็วางใจ คราวนี้นางจะต้องตั้งใจกำจัดความกร่างของเฟิงอิ๋น อย่างดีที่สุดคือทำให้เฟิงอิ๋นกลับมาผงาดไม่ได้อีก


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 325 กังวลใจจริงๆ


 


 


พอออกมาจากเรือนชุนเหนียง หลิงอวี้จื้อก็เช็ดๆ ตา เมื่อครู่ร้องไห้ตั้งนาน ตาเริ่มบวมนิดนึงแล้ว


 


 


หน้าผากก็ยังเลือดออก ชุนเหนียงลงมือหนักขนาดนี้ อีกนิดเดียวจะทำเอาเธอเป็นลมแล้ว นางบอกว่าเพื่อเอาไว้รับมือการสอบสวนของเฟิงอิ๋น หวังว่าจะคุ้มค่ากับที่ลงทุนไป มิเช่นนั้นคราวนี้คงโดนรังแกไปโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ


 


 


ระหว่างทางกลับไป เธอปล่อยมวยผมให้กระเซอะกระเซิงที่สุด ดูอ่อนแรงเหนื่อยล้าไปทั้งตัว


 


 


ขณะนี้เฟิงอิ๋นอยู่ที่ห้องของเซียวเหยี่ยน เห็นเธอกลับมา เฟิงอิ๋นก็ถามตรงๆ ว่า


 


 


“ชุนเหนียงเรียกเจ้าไปมีเรื่องอะไรหรือ”


 


 


หลิงอวี้จื้อคุกเข่ากับพื้นดังตึง เงยหน้าขึ้น น้ำตาอาบแก้ม


 


 


“วันนี้ชุนเหนียงมาหาท่านหลานเขยเจ้าค่ะ นางไม่สบายท้อง เป็นเพราะตัวเองไปกินอาหารจนท้องเสียมาแน่นอน


 


 


บ่าวรินชาให้นางหนึ่งถ้วย นางก็เอาแต่บอกว่าบ่าวใส่ยาลงไปในนั้น จะบังคับให้บ่าวยอมรับว่าผู้คุมเฟิงเป็นคนสั่งมา บ่าวบอกว่าไม่ใช่ นางก็ตีบ่าวจนมีสภาพเช่นนี้ บ่าวไม่มีหน้าจะมาพบท่านแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


พอเห็นหน้าผากหลิงอวี้จื้อเลือดไหล ผมกระเซอะกระเซิง เฟิงอิ๋นก็มีสีหน้าขรึมลง จะตีหมายังต้องดูเจ้าของ ชุนเหนียงทำเช่นนี้แสดงว่าเอาสาวใช้คนนี้ไปตบตีต่างหน้า


 


 


นางเป็นตัวอะไร ก็แค่คนใช้ที่อาศัยการปรนนิบัติพัดวีเจ้าสำนักเพื่อเลื่อนขั้นเท่านั้น คิดว่าตนเองเป็นคนสำคัญจริงๆ เสียแล้ว


 


 


เซียวเหยี่ยนก็อยู่ในห้อง พอเห็นหลิงอวี้จื้อกำลังร้องไห้ ก็แค่กวาดตาแวบเดียว แล้วเคลื่อนสายตาไปที่อื่นอย่างเร็ว ราวกับไม่เห็นหลิงอวี้จื้ออย่างไรอย่างนั้น


 


 


“ในเมื่อเจ้าเป็นคนในเรือนข้า ต่อไปไม่อนุญาตให้ร้องไห้กระซิกอีก โดยเฉพาะต่อหน้าชุนเหนียง เช่นนี้ดูไม่จืดเลย”


 


 


เฟิงอิ๋นตีหน้าเคร่งพูดสั่งสอน


 


 


หลิงอวี้จื้อรีบเช็ดน้ำตา


 


 


“ผู้คุมกฎเฟิงสั่งสอนถูกแล้วเจ้าค่ะ บ่าวจำได้แล้ว ต่อไปจะไม่ทำให้ผู้คุมกฎเฟิงขายหน้าอีก คราวนี้บ่าวไม่ได้เรื่องเองเจ้าค่ะ”


 


 


“ข้ารับรู้เรื่องนี้แล้ว เจ้าไปพันแผลสักหน่อย คืนนี้ไม่ต้องมารับใช้หลานเขยแล้ว”


 


 


“เจ้าค่ะ บ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อรับปากแล้วถอยออกไป


 


 


ก่อนไปเธอแอบพิจารณาดูเซียวเหยี่ยนแวบหนึ่ง เห็นว่าตลอดเวลาที่อยู่ในห้องเซียวเหยี่ยนไม่มองตนเองเลย อารมณ์เธอก็ดำดิ่งลงมาก ดูท่าทางเขาคงจำเธอไม่ได้แล้ว เธอบาดเจ็บแบบนี้ เซียวเหยี่ยนไม่ชายตาดูเธอเลย หากเป็นปกติแบบเมื่อก่อนเขาจะต้องเข้ามาปลอบเธอตั้งนานแล้ว


 


 


พันแผลเสร็จแล้ว หลิงอวี้จื้อก็นอนเหยียดในห้องคนใช้อย่างหงุดหงิดไม่เป็นสุข เธอนอนห้องเดียวกับหมิ่นเอ๋อร์ ตอนนี้หมิ่นเอ๋อร์กำลังเข้ากะทำงาน ดังนั้นในห้องจึงมีเธอเพียงคนเดียว


 


 


ช่วงที่กำลังสะลึมสะลือนั้น รู้สึกว่ามีคนเข้ามาในห้อง เธอไม่กล้านอนหลับลึก ลืมตาขึ้น เห็นหมิ่นเอ๋อร์เดินเข้ามา เธอก็หาวหนึ่งครั้ง


 


 


“เข้ากะเสร็จแล้วหรือ”


 


 


“ข้ามาดูเจ้า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ข้าไม่เป็นอะไร แค่รู้สึกมึนหัวเล็กน้อย”


 


 


หมิ่นเอ๋อร์ยื่นขวดกระเบื้องสีดำให้ ยิ้มพูดว่า


 


 


“ข้าเปิดดูแล้ว นี่คือยาจินช่วง [1] ไม่รู้ใครมาวางเอาไว้ตรงปากประตู ข้าแค่หยิบเข้ามาให้เจ้า เจ้ารีบทาสิ”


 


 


หลิงอวี้จื้อรับยาไป


 


 


“ก่อนหน้านี้ข้าหลับไปแล้ว ผู้คุมกฎเฟิงอาจจะให้คนเอามาวางไว้ที่นี่”


 


 


“ผู้คุมกฎเฟิงดีกับเจ้าจริงๆ ”


 


 


หมิ่นเอ๋อร์ทำหน้าอิจฉา หลิงอวี้จื้อยิ้ม ที่จริงเธอแปลกใจมากว่าใครเอาขวดยานี้มาวางไว้ตรงประตู อย่างไรเสียก็ไม่มีทางเป็นเฟิงอิ๋นแน่ หรือว่าเป็นมั่วชิง


 


 


หมิ่นเอ๋อร์พูดไม่กี่ประโยคก็ไปก่อนแล้ว หลิงอวี้จื้อพิงขอบเตียง หยิบยามาแต่ไม่กล้าทา ถึงแม้หมิ่นเอ๋อร์บอกแล้วว่าเป็นยาจินช่วง เธอก็ยังกลัวว่ายานี้อาจจะมีปัญหา เธอกับหมิ่นเอ๋อร์เพิ่งจะรู้จักกัน ยังไม่กล้าเชื่อคำพูดของหมิ่นเอ๋อร์


 


 


 


 


——


 


 


[1] ยาจินช่วง(金创药)เป็นยาใช้พอกสมานแผลที่บาดเจ็บจากอาวุธพวกโลหะ



ตอนที่ 326 ความรู้สึกนั้นช่างแทงใจดำเหลือเกิน


 


 


คราวนี้ประตูห้องถูกคนผลักเปิดเบาๆ มู่หรงนี่อวิ๋นรีบสาวเท้าเดินมาข้างเตียงหลิงอวี้จื้อ เห็นหลิงอวี้จื้อมีแผลที่หัว ก็ทำหน้าเจ็บปวดถามว่า


 


 


“หน้าผากเจ้าเป็นอะไร”


 


 


หลิงอวี้จื้อเล่าเรื่องทั้งหมดคร่าวๆ เมื่อได้ยินขั้นตอนทั้งหมดแล้ว มู่หรงนี่อวิ๋นก็เอาแต่ส่ายหน้า


 


 


“อันตรายเกินไป หากโดนจับได้ เจ้าจะเอาตัวรอดอย่างไร”


 


 


“จะโดนจับได้ได้อย่างไร หากข้าไม่มีความสามารถนี้แม้แต่น้อย จะมีหน้าไปเป็นพระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เสียที่ไหน


 


 


สองคนนี้แค้นเคืองกันมาก่อนแล้ว ข้าแค่ช่วยผสมโรงอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ต้องยับยั้งการแต่งงานวันพรุ่งนี้ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน แล้วทางเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง


 


 


“อย่าพูดถึงเลย มั่วชิงยังคอยรับใช้อยู่ข้างใน นึกไม่ถึงว่าจะแบ่งงานให้ข้าไปกวาดลานบ้าน ยังดีที่เป็นงานสบายๆ ข้าไม่วางใจเรื่องเจ้า จึงตั้งใจมาดูเจ้าสักหน่อย”


 


 


หลิงอวี้จื้อกลั้นขำไม่ไหว


 


 


“กวาดลานบ้านเป็นงานที่จะไม่เผยตัวตนของเจ้าที่สุดแล้ว เหมาะกับเจ้ามาก”


 


 


“เจ้ายังกล้ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอีกหรือ ข้าอัดอั้นมามากพอแล้ว ช่วงบ่ายตอนที่ข้ากวาดพื้น อยู่ๆ ก็ได้ยินเรื่องๆ หนึ่ง จริงๆ ที่ข้ามาก็เพื่อบอกเรื่องนี้กับเจ้าด้วย”


 


 


“เรื่องอะไรหรือ”


 


 


หลิงอวี้จื้อถามอย่างจริงจัง


 


 


“ได้ยินแม่นมชราสองคนบอกว่าขาดยาอีกหนึ่งตัวก็จะสำเร็จแล้ว พวกนางดูเหมือนจะกำลังผลิตยาที่ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมา ข้าอยู่ไกล ได้ยินไม่ค่อยชัดเจน เรื่องก็คงเป็นประมาณนี้”


 


 


“นั่นไม่ใช่นักรบไร้ชีพของสำนักอู๋จี๋หรอกหรือ”


 


 


“ไม่ใช่ ฟังจากน้ำเสียงของพวกนาง สำนักอู๋จี๋ทำเรื่องนี้มาหลายปีมากแล้ว นับรบไร้ชีพมีมาแต่เดิมแล้ว ไม่ใช่การฟื้นคืนชีพในลักษณะนี้แน่นอน


 


 


การฟื้นคืนชีพเช่นนี้มีประโยชน์อะไร เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเท่านั้น มิหนำซ้ำพวกนางยังพูดถึงอ๋องอะไรสักอย่าง ข้าได้ยินไม่ค่อยแม่นยำชัดเจน เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวพันกับราชสำนัก”


 


 


หลิงอวี้จื้อชักสนใจขึ้นมาแล้ว ซักถามต่อ


 


 


“นอกจากเรื่องพวกนี้แล้วยังได้ยินอะไรมาอีก”


 


 


“ไม่มีแล้ว ที่ปรุงยาอยู่ที่เรือนตะวันตก ข้าไปสืบถามมาแล้ว ที่นั่นเป็นเขตหวงห้าม มีทหารยามเฝ้าอยู่ข้างนอก ห้ามคนอื่นเข้าไป ไม่มีใครรู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่”


 


 


“จะอะไรเสียอีกล่ะ ก็พวกของบ้าๆ ที่สำนักอู๋จี๋ปรุงแต่งขึ้นมานั่นแหละ ข้าสงสัยว่าสำนักอู๋จี๋ก็มีนักรบไร้ชีพ เอาละ เอาละ อย่าพูดเรื่องไร้สาระกันเลย ที่นี่มีคนไปๆ มาๆ ตลอดเวลา เจ้าออกไปก่อนเถิด มีอะไรข้าค่อยไปหาเจ้า”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นยังอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อย แต่ก็กังวลว่าจะมีใครมาพบเข้า ที่นี่เป็นสำนักอู๋จี๋เสียด้วย พวกเขาสองสามคนแฝงตัวเข้ามา อย่างไรก็ยังอันตรายมาก พวกเขาจะประมาทเลินเล่อไม่ได้เด็ดขาด


 


 


พอมู่หรงนี่อวิ๋นไปแล้ว หลิงอวี้จื้อก็อยากนอนหลับสักครู่ สะลึมสะลือจนผล็อยหลับไปจริงๆ ในความฝัน เธอเห็นเซียวเหยี่ยนจูงมือเฟิงอิ๋นไปกราบไหว้ฟ้าดิน เธอเรียกเซียวเหยี่ยนสุดแรง แต่เซียวเหยี่ยนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จับมือเฟิงอิ๋นเอาไว้ตลอด เธอตกใจตื่นขึ้นมาทันที


 


 


พอตื่นแล้ว หลิงอวี้จื้อก็ยื่นมือออกไป ลูบหน้าผากมีแต่เหงื่อ เธอมองออกไปข้างนอก ฟ้าเริ่มสางแล้ว หมิ่นเอ๋อร์ที่อยู่เตียงตรงข้ามยังนอนหลับสนิทอยู่


 


 


เธอไม่มีอารมณ์จะนอนแล้ว จึงสวมเสื้อผ้าลุกจากเตียงเสียเลย ข้างนอกประดับอักษรมงคลสีแดงทั่วไปหมด ส่วนแนวระเบียงทางเดินมีโคมแดงใหญ่แขวนอยู่ บนโคมก็ติดอักษรมงคลสีแดงไว้เช่นกัน


 


 


เห็นสิ่งเหล่านี้ หลิงอวี้จื้อก็รู้สึกบาดตาเหลือเกิน ตอนที่เซียวเหยี่ยนออกจากเมืองหลวงยังบอกเธอให้รอเขากลับมาอยู่เลย บอกให้รอถึงวันปีใหม่ก็จะไปสู่ขอเธอ แต่ตอนนี้เธอกลับต้องมาเป็นผู้ชมการแต่งงานของเขากับผู้หญิงอื่น ความรู้สึกนั้นช่างแทงใจดำเหลือเกิน


 


 


เห็นอักษรมงคลที่ติดบนหน้าต่าง เธอก็ยื่นมือไปกำลังจะฉีกออก เพิ่งจะแตะโดนอักษรมงคลนั้น เสียงของเฟิงอิ๋นก็ดังขึ้นข้างหลังเธอ


 


 


“เจ้ากำลังทำอะไร”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 327 คู่รักฟ้าประทาน


 


 


หลิงอวี้จื้อหันกลับไป ทำหน้าเริงร่า


 


 


“บ่าวเห็นอักษรมงคลตัวนี้ติดไม่แน่น จึงตั้งใจติดใหม่ให้ดี ยินดีกับผู้คุมกฎเฟิงด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


“ข้างนอกฟ้าเพิ่งจะสาง เหตุใดเจ้าถึงตื่นเร็วเช่นนี้”


 


 


“เมื่อวานผู้คุมกฎเฟิงมิได้ตำหนิบ่าว บ่าวรู้สึกขอบพระคุณอย่างยิ่งเจ้าค่ะ วันนี้เป็นวันมงคลของผู้คุมกฎ บ่าวจึงอยากตื่นเช้าสักหน่อย ดูว่าช่วยอะไรได้บ้าง ผู้คุมกฎจะไปเยี่ยมท่านหลานเขยใช่หรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะช่วยประคองท่านเข้าไปเจ้าค่ะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อพูดจบก็เข้าไปหาอย่างเอาใจใส่ เฟิงอิ๋นอารมณ์ดีทีเดียว และไม่ได้จุกจิกกับหลิงอวี้จื้อ ใบหน้ายังมีรอยยิ้มบางๆ


 


 


“นับว่าเจ้ามีความตั้งใจดี”


 


 


พูดจบก็ยื่นมือให้หลิงอวี้จื้อ ให้หลิงอวี้จื้อช่วยประคองนาง


 


 


ตอนแรกหลิงอวี้จื้อคิดจะใช้เซียวเหยี่ยนเป็นข้ออ้างไปหาเฟิงอิ๋น แบบนี้ก็ดี ประหยัดแรงไปหนึ่งเรื่อง


 


 


เซียวเหยี่ยนแต่งตัวเรียบร้อยแต่เช้าแล้ว นั่งอยู่ข้างหน้าโต๊ะน้ำชา ดูเหมือนกำลังเขียนอะไร


 


 


บนโต๊ะน้ำชาจุดตะเกียงน้ำมันไว้หนึ่งดวง เห็นเฟิงอิ๋นเข้ามา เซียวเหยี่ยนก็ดึงเฟิงอิ๋นไปอย่างอ่อนโยน หยิบกระดาษเซวียนจื่อบนโต๊ะให้เฟิงอิ๋นดู ในนั้นมีเพียงห้าพยางค์ คู่รักฟ้าประทาน


 


 


หลิงอวี้จื้อยืนอยู่ข้างหลังเฟิงอิ๋น เธอย่อมมองเห็นได้อย่างชัดเจน เห็นคำห้าพยางค์นั้น ใจเธอเหมือนโดนเข็มแทง เจ็บแปลบ เจ็บจี๊ด


 


 


นึกไม่ถึงว่าเซียวเหยี่ยนจะเขียนคำห้าพยางค์นี้ให้เฟิงอิ๋น หากพวกเขาเป็นคู่รักฟ้าประทาน แล้วเธอเป็นอะไร


 


 


เฟิงอิ๋นอารมณ์ดีถึงขีดสุด แอบอิงอ้อมอกเซียวเหยี่ยน สีหน้ามีความสุข หลิงอวี้จื้อทนดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงรีบหลบตาลง เผื่อควบคุมตนเองไม่อยู่แล้วจะทำให้เฟิงอิ๋นจับพิรุธได้


 


 


“อุ๊ย ข้างนอกฟ้าสว่างแล้ว ผู้คุมกฎเฟิงควรจะกลับไปแต่งหน้าหวีผมแล้ว ท่านหลานเขยกับผู้คุมกฎยังไม่ได้กราบไหว้ฟ้าดิน ตอนนี้ท่านหลานเขยก็ไม่สะดวกไปส่งผู้คุมกฎเฟิง เช่นนั้นบ่าวส่งผู้คุมกฎเฟิงกลับไปแทนท่านหลายเขยนะเจ้าคะ!”


 


 


แม้ใบหน้าหลิงอวี้จื้อจะมีรอยยิ้มสดใส แต่จิตใจย่ำแย่ไปหมด ดีที่ตนเองเป็นนักแสดงมืออาชีพ รู้จักการควบคุมอารมณ์ตนเอง มิเช่นนั้นคงไม่มีทางแสดงออกได้ดีขนาดนี้


 


 


“เฟิงอิ๋น ให้นางไปส่งเจ้าแล้วกัน เช่นนี้ข้าจะได้วางใจด้วย”


 


 


น้ำเสียงเซียวเหยี่ยนอบอุ่น เพิ่งจะสิ้นเสียงของเขา เฟิงอิ๋นก็หอมแก้มเซียวเหยี่ยนต่อหน้าหลิงอวี้จื้อ เซียวเหยี่ยนมิได้ปฏิเสธ ซ้ำยังลูบหัวเฟิงอิ๋นด้วย


 


 


หลิงอวี้จื้อเกือบจะพุ่งเข้าไปดึงเฟิงอิ๋นออก แต่ก็ควบคุมตนเองไว้ให้มั่น ได้แต่บอกตัวเองไม่หยุดหย่อนว่าเซียวเหยี่ยนสูญเสียความทรงจำไปแล้ว โกรธไม่ได้นะ โกรธไม่ได้


 


 


หลิงอวี้จื้อรู้สึกว่าตนเองเป็นเทพไปแล้วจริงๆ เผชิญเรื่องแบบนี้ยังยิ้มออกมาได้ เธอยังนับถือตนเอง ที่ถือว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่ละครฉากหนึ่งโดยสมบูรณ์แบบ


 


 


ความใกล้ชิดของเซียวเหยี่ยนได้ผลกับเฟิงอิ๋นอย่างยิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าไม่หายไปเลย เธอพยักหน้าให้เซียวเหยี่ยน เตรียมจะออกจากห้อง


 


 


หลิงอวี้จื้อประคองมือเฟิงอิ๋นอย่างเอาใจใส่ สองคนเดินไปทางห้องของเฟิงอิ๋นด้วยกัน ตลอดทาง หลิงอวี้จื้อปรนนิบัติอย่างทั่วถึงมาก คอยถามไถ่ทุกข์สุขอยู่ไม่ขาด หากเธอมีวิทยายุทธ์ จะต้องบีบมือเฟิงอิ๋นแตกกระจุยแน่นอน


 


 


เมื่อถึงห้องของเฟิงอิ๋น หลิงอวี้จื้อก็ประคองเฟิงอิ๋นนั่งลง พูดอย่างกระตือรือร้น


 


 


“ผู้คุมกฎเฟิง บ้านเกิดของบ่าวมีกฎอย่างหนึ่งคือ ตอนที่ผู้หญิงแต่งงานจะให้คนจากฝั่งผู้ชายมาหวีผมให้เจ้าสาว เมื่อเจ้าสาวแต่งไปแล้วทุกอย่างจะได้ราบรื่น เช่นนั้นให้บ่าวเป็นตัวแทนของคนฝั่งท่านหลานเขยหวีผมให้ผู้คุมกฎเฟิงดีไหมเจ้าคะ จะได้เป็นการเริ่มต้นที่ดีด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูอยู่แล้ว ประกอบกับวันนี้เฟิงอิ๋นอารมณ์ดีมาก ได้ยินหลิงอวี้จื้อพูดถึงเรื่องนี้ ก็ตอบรับไปโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ


 


 


“ให้เจ้าเป็นคนหวีผมให้ข้าก็แล้วกัน แม่สาวน้อย เจ้าชื่ออะไรหรือ”



ตอนที่ 328 แอบลงมือ


 


 


“บ่าวชื่ออวี้เอ๋อร์เจ้าค่ะ”


 


 


“เจ้าทำงานเก่งเช่นนี้ เดี๋ยวไปรับรางวัลแล้วกัน!”


 


 


“ขอบคุณเจ้าค่ะผู้คุมกฎ”


 


 


หลิงอวี้จื้อรับคำอย่างดีใจ หยิบหวีจากโต๊ะเครื่องแป้งมาหวีผมเฟิงอิ๋น ฉวยโอกาสตอนที่หวีผม หลิงอวี้จื้อแอบเอาผงแป้งที่ซ่อนอยู่ในเล็บโรยลงบนหัวของเฟิงอิ๋น แทรกเข้าไปในผมของเฟิงอิ๋นอย่างเงียบเชียบ


 


 


พอเห็นผงแป้งแทรกเข้าไปในผมของเฟิงอิ๋นแล้ว หลิงอวี้จื้อก็แอบถอนหายใจโล่งอก สิ่งต่างๆ ถือว่าราบรื่นดี ต่อไปต้องรอดูชุนเหนียงแล้ว


 


 


หวีผมเสร็จแล้ว หลิงอวี้จื้อก็รับรางวัลแล้วออกไปก่อน ได้รับทองคำหนักมาหนึ่งแท่ง ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดวันนั้นเซียวเหยี่ยนถึงได้บีบกำไลแก้วจนกลายเป็นผุยผง


 


 


หลิงอวี้จื้อออกไปได้ไม่นาน เฟิงอิ๋นก็เปลี่ยนเป็นชุดแต่งงานสีแดง จากนั้นก็นั่งตรงหน้ากระจกทองแดงรอสาวใช้แต่งหน้าทำผมให้ ทำผมเสร็จแล้ว สาวใช้ก็กำลังจะคลุมผ้าแดงให้เฟิงอิ๋น


 


 


ตอนนั้นเองชุนเหนียงก็ถือของขวัญเข้ามา พอเข้ามาแล้วก็ให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติเฟิงอิ๋นอยู่ในห้องออกไป เห็นชุนเหนียง เฟิงอิ๋นก็ยิ้มปลอมๆ แล้วพูดว่า


 


 


“ชุนเหนียง เหตุใดวันนี้จึงมาเช้าเช่นนี้”


 


 


“วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของผู้คุมกฎเฟิง ข้าย่อมต้องรีบมาเอาใจเจ้าเป็นคนแรก นี่เป็นของขวัญเจ้าสาวที่ข้าเตรียมไว้ให้ผู้คุมกฎเฟิง หวังว่าผู้คุมกฎเฟิงจะอยู่กับท่านหลานเขยไปจนแก่เฒ่า”


 


 


ชุนเหนียงหัวเราะคิกคักมอบ**บผ้าในมือให้เฟิงอิ๋น


 


 


“ขอบคุณชุนเหนียงมาก ลำบากเจ้าแล้ว”


 


 


เฟิงอิ๋นรับ**บผ้าไป พูดขอบคุณอย่างสุภาพมาก นางไม่อยากปะทะกับชุนเหนียงในวันงานมงคล ดังนั้นจึงพูดจากับชุนเหนียงอย่างสุภาพยิ่ง


 


 


เห็นชุนเหนียงยังไม่มีทีท่าว่าจะไป เฟิงอิ๋นก็เริ่มขับไล่ น้ำเสียงเจือความแดกดัน


 


 


“ชุนเหนียง เจ้าก็ควรไปดูแลท่านอาจารย์ได้แล้ว ตอนนี้ข้างกายท่านอาจารย์ขาดเจ้ามิได้เลย”


 


 


“วันนี้ข้าได้รับคำสั่งจากเจ้าสำนักให้มาอยู่เป็นเพื่อนผู้คุมกฎเฟิง ทำไมหรือ ผู้คุมกฎเฟิงไม่อยากให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนหรือ”


 


 


หางตาชุนเหนียงเฉียงขึ้น แววตามีเสน่ห์ กลิ่นแป้งฝุ่นเข้มข้นโชยปะทะหน้า


 


 


เฟิงอิ๋นขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ กำลังจะตอบกลับ อยู่ๆ ก็รู้สึกเริ่มเวียนหัว นางจะลุกขึ้น แต่ร่างกายกลับไม่มีแรงแม้แต่น้อย ไม่นานนางก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงชี้หน้าด่าชุนเหนียง


 


 


“เจ้า…เจ้ากำลังทำอะไร”


 


 


ชุนเหนียงโน้มตัวลง แนบข้างหูเฟิงอิ๋นแล้วพูดเสียงต่ำ


 


 


“เฟิงอิ๋น เจ้าไม่ได้เจอผู้ชายมานานเกินไปแล้วใช่หรือไม่ ถึงได้สุ่มจับผู้ชายคนหนึ่งจากข้างนอกกลับมาด้วย แล้วเอาตนเองไปแต่งงานกับเขา


 


 


ข้าดูออกว่าเจ้าชอบผู้ชายคนนี้เหลือเกิน อย่างไรข้าก็จะไม่ให้เจ้าสมหวัง”


 


 


“ชุนเหนียง เจ้าต้องคิดให้ดีว่าเจ้ากำลังทำอะไร เจ้ากล้าฆ่าข้า รอข้าฟื้นขึ้นมา ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าแน่ มันไม่คุ้มกับที่เจ้าจะทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้”


 


 


ชุนเหนียงยืนตัวตรง ขยับปิ่นบนมวยผม


 


 


“ข้าเกรงว่าเจ้าจะขู่ไม่สำเร็จน่ะสิ เฟิงอิ๋น เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน เจ้าก็เป็นแค่หมาตัวหนึ่งที่เจ้าสำนักเลี้ยงมาเท่านั้น ถือตัวเป็นเจ้าของจริงๆ เสียแล้ว ข้าไม่กล้าฆ่าเจ้า แล้วเจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ ตราบใดที่เจ้าสำนักยังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้แม้แต่ปลายผม”


 


 


เฟิงอิ๋นยังอยากพูดอีก เพียงแต่สติยิ่งเลือนรางลงไปทุกที ฉากตรงหน้ามืดลง แล้วเป็นลมไปโดยสมบูรณ์


 


 


เห็นเฟิงอิ๋นเป็นลมไปแล้ว ชุนเหนียงก็เตะตัวเฟิงอิ๋นอีกหนึ่งครั้ง


 


 


“เจ้ามากร่างอะไรต่อหน้าข้า วันนี้นับว่าเจ้าตกอยู่ในมือของข้าแล้ว”


 


 


สาวใช้ของชุนเหนียงล่อสาวใช้ประจำตัวของเฟิงอิ๋นไปแล้ว หลิงอวี้จื้อที่ซ่อนในที่ลับผลักประตูเข้ามา


 


 


ชุนเหนียงจัดผมเผ้าอยู่หน้ากระจกทองแดง ชี้ไปที่เฟิงอิ๋นซึ่งฟุบอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง


 


 


“เฟิงอิ๋นสลบไปแล้ว เจ้ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง”


 


 


“นี่…”


 


 


หลิงอวี้จื้อทำหน้าหวาดกลัว


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 329 แต่งงานแทน


 


 


ชุนเหนียงเริ่มทนไม่ไหวแล้ว


 


 


“เร็วหน่อย ตอนนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์จะมาตัดสินเรื่องนี้แล้ว มิเช่นนั้นเจ้าต้องตายตอนนี้เลย เจ้าอยากตายหรือ”


 


 


“ชุนเหนียงไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ บ่าวฟังชุนเหนียงเจ้าค่ะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อพูดจบก็ถอดชุดแต่งงานบนตัวเฟิงอิ๋นออกด้วยความเร็วสูงสุด แล้วเอาเสื้อผ้าตนเองเปลี่ยนให้เฟิงอิ๋น พร้อมทั้งสวมหน้ากากหน้าคนที่ชุนเหนียงเตรียมเอาไว้


 


 


เฟิงอิ๋นสูงกว่าเธอ แต่ไม่ได้สูงกว่ามากนัก ดูแล้วอย่างมากก็สูงหนึ่งเมตรหกสิบพอดี กะดูแล้วยังขาดอีกเล็กน้อย เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องความสูง เธอจึงตั้งใจใช้ของยัดไว้ใต้รองเท้า


 


 


ชุนเหนียงประคองเฟิงอิ๋นที่สลบอยู่เดินออกจากห้องด้วยตนเอง เฟิงอิ๋นคอตก ผมที่ปรกลงมาปิดบังใบหน้าของนาง ชุนเหนียงเดินไปพูดไป


 


 


“โอ๊ยตาย แม่สาวน้อยคนนี้จริงๆ เลย แค่ตำหนินางไม่กี่คำ นึกไม่ถึงว่าจะสลบไปได้ เคราะห์ร้ายจริง เซียนเอ๋อร์ รีบมาประคองนางทีเถิด!”


 


 


ได้ยินเสียงของชุนเหนียง เซียนเอ๋อร์ก็วิ่งมาทันที ประคองเฟิงอิ๋นไว้ สองคนพาเฟิงอิ๋นออกจากเรือนอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ แต่กลับไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น


 


 


หลิงอวี้จื้อคลุมผ้าแดงนั่งอยู่ตรงหน้ากระจกทองแดง ขณะนี้อารมณ์เธอสับสน ฉากนี้เธอเคยจินตนาการมานับครั้งไม่ถ้วน ขนาดฝันยังเคยฝันมาแล้ว


 


 


วันนี้ ในที่สุดก็ได้ใส่ชุดแต่งงานสีแดง แต่กลับได้แต่งงานกับเซียวเหยี่ยนในสถานะของคนอื่น เรื่องศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้กลับมาถูกผู้หญิงอีกคนบังคับจนทำพัง ทำเอาเธอเหมือนเป็นมือที่สามอย่างไรอย่างนั้น เป็นใครก็ไม่มีความสุขทั้งนั้น


 


 


ชุนเหนียงไปแล้ว ชิวเยี่ยซึ่งเป็นสาวใช้ประจำตัวของเฟิงอิ๋นก็เดินเข้ามา ถามเสียงเบา


 


 


“ผู้คุมกฎเจ้าคะ บ่าวเพิ่งเห็นสาวใช้ของท่านหลานเขยสลบไป ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อเป็นนักแสดง การเปลี่ยนเสียงไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเธอ เธอเองก็สามารถพากย์เสียงได้ ความสามารถในการทำงานยังนับว่ายอดเยี่ยม เธอพูดเลียนเสียงของเฟิงอิ๋น


 


 


“ข้าไม่เป็นอะไร นางแค่เอาสาวใช้คนหนึ่งมาระบายอารมณ์ วันนี้เป็นวันมงคลของข้า อย่าไปเสียอารมณ์กับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เลย”


 


 


“ผู้คุมกฎพูดถูกเจ้าค่ะ ชุนเหนียงก็ไม่กล้าทำอะไรผู้คุมกฎอยู่แล้ว แค่ปากพูดจาไม่ดีไม่กี่คำ ท่านผู้คุมกฎอย่าใส่ใจเลยเจ้าค่ะ อีกไม่กี่วัน เจ้าสำนักก็คงเบื่อชุนเหนียงแล้ว ถึงตอนนั้นผู้คุมกฎจะจัดการนางอย่างไรก็จัดการได้ทั้งนั้น”


 


 


“เหตุใดข้าจะต้องเห็นนางอยู่ในสายตาด้วย ใช่แล้ว เมื่อวานไม่ใช่มีสาวใช้มาใหม่กลุ่มหนึ่งหรอกหรือ เจ้าหามาสักสองคนที่หน้าตาสวยสักหน่อยมาดูแลรับใช้ จะได้ไม่อายเขา”


 


 


ชิวเยี่ยไม่ได้คิดมาก ออกไปอย่างเร็ว ไม่นาน มั่วชิงก็ถูกนำตัวเข้ามา พูดเรื่องหน้าตา นางอยู่ที่นี่ย่อมเหนือกว่าใคร


 


 


มั่วชิงเพิ่งมาถึง ก็ได้ฤกษ์พอดี สี่เหนียง [1] ประคองหลิงอวี้จื้อไปกราบไหว้ฟ้าดิน ผู้เป็นสักขีพยานในงานแต่งก็คือเจ้าสำนักอู๋จี๋ หลิงอวี้จื้อคลุมผ้าแดงอยู่จึงมองเห็นไม่ค่อยชัดว่าเจ้าสำนักผู้ลึกลับนี้หน้าตาเป็นอย่างไร เพียงแต่ได้ยินเสียงของเจ้าสำนักเท่านั้น เสียงต่ำมาก เหตุใดถึงเสียงคล้ายผู้ชายขนาดนี้ มิน่าถึงชอบผู้หญิง


 


 


เธอเดาว่าเจ้าสำนักเป็นผู้ชายที่คล้ายผู้หญิงมาก


 


 


เธอยังไม่ได้แตะตัวเซียวเหยี่ยนโดยตรง สองคนถือผ้าไหมสีแดง ต่างคนต่างถือตรงปลายอีกด้าน คุกเข่ากราบไหว้ภายใต้เสียงตะโกนบอกของสี่เหนียง


 


 


จากนั้นหลิงอวี้จื้อก็ถูกส่งไปยังห้องหอ ชิวเยี่ยยังอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาเธอไม่ได้พูดอะไรเลย รอเซียวเหยี่ยนมาอย่างเงียบๆ เวลาค่อยๆ ผ่านไป ฝ่ามือเธอมีเหงื่อซึม ทำไมถึงขี้ขลาดเช่นนี้ ละครที่มีการแต่งงานเช่นนี้แสดงมาไม่รู้กี่รอบแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะยังกังวลจนเหงื่อออกอีก


 


 


จริงสิ อีกสักครู่เซียวเหยี่ยนจะมาแล้ว ตนเองควรจะพูดอะไรดี


 


 


 


 


——


 


 


[1] สี่เหนียง (喜娘)หญิงแต่งงานแล้วที่ทำหน้าคอยช่วยเหลือแนะนำเจ้าสาวในพิธีแต่งงานในสมัยโบราณ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม