เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก 305-312
ตอนที่ 305 ต่างคนต่างโดนก่อกวน
“นี่เจ๊ แฟนเธอทำอะไรล่ะถึงตื่นเต้นขนาดนี้”
“ไม่บอก” สวีรั่วชีจมอยู่ในโลกของตัวเอง อยากแบ่งปันความสุขของตนกับซย่าเสี่ยวมั่วแต่กลับไม่พูดว่าเกิดอะไรขึ้น ทำเอาซย่าเสี่ยวมั่วเหมือนคนป่วยประสาทที่ต้องมานั่งดูเขาเป็นบ้าเป็นบออย่างไรอย่างนั้น
ซย่าเสี่ยวมั่วหยิบดินสอขึ้นมาวาดรูปเล่น วาดเป็นสวีรั่วชีเวอร์ชันน่ารักที่พูดอย่างอวดดีว่า ‘ไม่บอก’
“ความรักนี่นะ ทำให้ผู้หญิงสาววิทย์อย่างเธอเป็นถึงขนาดนี้ได้ น่ากลัวชะมัด”
“ฉันยอมถลำลึกเข้าไปในความรัก” สวีรั่วชีตอบอย่างมีหลักการ
“เหอะๆ ตอนแรกที่เธอชันสูตรพลิกศพอยู่ที่แช่อยู่ในฟอร์มาลีนก็พูดแบบนี้เหมือนกัน” ซย่าเสี่ยวมั่วแฉความจริง
“การแต่งงานคือสุสานของความรัก ที่ฉันพูดแบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว”
ซย่าเสี่ยวมั่วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฉันจะบอกสวีอันหราน ว่าเธอคิดว่าแต่งงานกับเขาก็เหมือนแต่งงานกับศพที่แช่อยู่ในฟอร์มาลีน”
“ไสหัวไปเลย!” สวีรั่วชีที่กลุ้มใจอยู่ ฟังคำว่าฟอร์มาลีนจากปากของซย่าเสี่ยวมั่วแล้วก็รู้สึกฉุนจมูกไปหมด
“ฉันจะบอกให้นะ ตอนนี้บนโต๊ะของฉันมีตารางแผนงานแล้วก็ต้นฉบับของฉันวางกองกันอยู่ ฉันงานยุ่งอยู่นะ เธอโทรมากวนฉันแบบนี้ยังไม่ว่าอะไรเลย แต่ยังมาไล่ให้ฉันไสหัวไปอีกเนี่ยนะ”
“ตอนเธอโทรมากวนฉันเคยว่าอะไรไหม”
“เฮ้” พอพูดถึงเรื่องเมื่อก่อน ซย่าเสี่ยวมั่วก็ยิ่งมีเรื่องอยากจะพูด “เธอไม่ว่าอะไรก็จริง เธอโทรศัพท์ยังไม่รับเลย แล้วจะว่าอะไรได้ล่ะ”
สวีรั่วชีคิดไม่ถึงว่าตนจะโดนซย่าเสี่ยวมั่วทำร้ายกันขนาดนี้ พลังของคนโสดนี่ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ
“ก็ได้ๆๆ ฉันผิดเองโอเคไหม” สวีรั่วชีไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเธอต่อ “ไว้ว่างๆ จะพาเธอไปดูชุดเพื่อนเจ้าสาวนะ จะได้ไปดูชุดขี่ม้าด้วย”
“ฉันว่าเธอมาแกล้งฉันมากกว่ามั้ง” ก็แค่ให้เขาไปนัดบอดเป็นเพื่อนแค่นี้เอง ต้องมาแกล้งตนอย่างนี้เลยเหรอ
สวีรั่วชีเอ่ยอย่างจริงจัง “เธอต้องอัประดับตัวเองหน่อย จะทำให้ชีวิตช่วงวัยรุ่นเสียเปล่าต่อไปไม่ได้หรอกนะ”
“ยายแก่เอ๊ย” ซย่าเสี่ยวมั่วพูดเบาๆ แล้วรีบกดวางสาย กลัวว่าถ้าสวีรั่วชีรู้ตัวแล้วจะโดนด่า
สวีอิ๋งอิ๋งนั่งอยู่อย่างนั้นให้เหยียนเค่อรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน แถมยังไม่รู้ตัวอีกว่าตนน่ารำคาญมากเพียงไหน
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น ต่อไปเราอาจจะต้องนั่งตรงข้ามกันทุกวันก็ได้”
ฝันไปเถอะ! เหยียนเค่อตวัดตามองเธอทีหนึ่ง อารมณ์เสียไม่อยากพูดด้วย
ส่วนสวีอิ๋งอิ๋งก็เหมือนมองสีหน้าของเหยียนเค่อไม่ออก ยังคงพูดจ้ออยู่อย่างนั้นต่อไป ทำให้
เหยียนเค่อรู้สึกรำคาญไปเสียทุกสิ่ง
เหยียนเค่อคลุมโปงแล้วก็ยังได้ยินเสียงสวีอิ๋งอิ๋งพูดกับตัวเองอยู่ พูดตั้งแต่ว่าบ้านนั้นเป็นดองกับบ้านนี้ ไปจนถึงเรื่องของภรรยากับลูกชายของบ้านโน้นที่ล้มละลายไปหลายปีแล้ว เขาดูเหมือนเพื่อนชายคนสนิทมากเลยเหรอ ถึงต้องมานั่งฟังเธอพูดในสิ่งที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้
“ตอนนี้เธอควรจะไปหาพี่ชายฉันไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเปลี่ยนแผนมาวุ่นวายกับฉันแทนล่ะ” เหยียนเค่อเห็นว่าน้ำเกลือใกล้จะหมดแล้ว จึงดึงเข็มออกแล้วเอาสำลีมาห้ามเลือด
สวีอิ๋งอิ๋งตอบเหยียนเค่อ “คุณน้าบอกว่า สามีภรรยาต้องปรึกษาและแก้ไขปัญหาร่วมกัน ฉันก็เลยมาหานายเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาน่ะสิ”
“ได้ งั้นเธอแก้ปัญหาของเธอต่อไปแล้วกัน ฉันไปก่อนล่ะ” เหยียนเค่อหยิบเสื้อคลุมขึ้นพาดบ่า กดหลังมือของตนไว้แล้วเดินจากไป
สวีอิ๋งอิ๋งมองแผ่นหลังของเขาพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กระวีกระวาดเก็บเครื่องสำอางบนโต๊ะ
เหยียนเค่อออกมาจากทางฉุกเฉิน ถึงจะดูยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหน่อยแต่ก็บดบังความใหญ่โตโอ่อ่าเอาไว้ไม่ได้
เมื่อสวีอิ๋งอิ๋งออกมาก็ไม่เห็นเงาของเหยียนเค่อ เดินวนอยู่ที่เดิมรอบหนึ่งก็หาเขาไม่เจอ จึงกระทืบเท้าอย่างโมโหแล้วสะพายกระเป๋าเดินออกไปทางประตูใหญ่
เหยียนเค่อโทรหาสวีอันหรานด้วยท่าทีสบายๆ “ฉันจะให้โอกาสนายชดใช้ความผิด มารับฉันซะ”
สวีอันหรานที่กะว่าคืนนี้จะจู๋จี๋กับสวีรั่วชีสักหน่อยโดนเขาทำแผนพังไปหมด จึงออกจากบ้านไปเป็นคนขับรถให้เขาอย่างจำใจ
ตอนที่ 306 จับจุดอ่อนให้อยู่หมัด
สวีอันหรานเจอตัวเหยียนเค่อตรงทางออกส่วนตัว จึงตะโกนเรียกเขา “เร็วๆ หน่อย”
เหยียนเค่อเปิดประตูขึ้นไปนอนหลับอยู่บนเบาะหลัง “ฉันรำคาญยายสวีอิ๋งอิ๋งนั่นจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”
“นายโยนเขาออกไปข้างนอกได้เลยนะ ไม่ต้องเห็นแก่หน้าฉันหรอก”
“ไสหัวไป นายก็พูดได้สิ นายช่วยเคลียร์พื้นข้างล่างนี่ก่อนค่อยมาพูดกับฉัน” เหยียนเค่อโยนกล่องกระดาษทิชชูออกไป พลั่ก ถุงใส่ของขนาดเล็กถุงหนึ่งกระแทกเข้ากับกระจกรถ
เหยียนเค่อเอาสายตาสั้นห้าร้อยกว่าๆ ของตัวเองเป็นประกัน เขาเห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษด้านบนนั้นอย่างชัดเจน แถมยังเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลยด้วย
สวีอันหรานนิ่งไปชั่วครู่จึงจะดึงสติกลับมาได้ โยนถุงใส่ของบนคอนโซลหน้ารถไปไว้ด้านล่าง
สายตาของเหยียนเค่อมองอย่างทะลุปรุโปร่ง “อื้อหือๆๆ พระที่ไม่อยากกินเนื้อไม่ใช่พระที่ดีจริงๆ”
“นายไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละ”
“เหมือนว่าฉันจะเห็นหมดเลยนะ” เหยียนเค่อลูบคางก่อนจะไปรื้อดูตรงอื่น ก็เจออะไรไม่น้อย “เฮ้ นายโง่หรือเปล่าเนี่ย ทำไมถึงเอามาวางโจ่งแจ้งแบบนี้ล่ะ ตอนนั่งรถสวีรั่วชีไม่กอดหมอนหรือไง”
บริเวณที่สวีอันหรานซ่อนของไว้ค่อยๆ ถูกเหยียนเค่อค้นออกมา เจตนารมณ์ก็ถูกเปิดเผยออกมาอย่างหมดเปลือกเช่นกัน
“นายช่วยนึกถึงหน้าของเพื่อนนายคนนี้หน่อยได้ไหม!” สวีอันหรานหน้าแดงแล้วก็เขียว เขียวแล้วก็แดงอีกรอบ ตลกสุดๆ
เหยียนเค่อหยิบของเล่นอย่างพวกตุ๊กตาหมีกลับไปวางไว้ที่เดิมให้เขา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความรังเกียจ “ตอนที่นายเอาสวีอิ๋งอิ๋งมายัดให้ฉันเคยนึกถึงหน้าของฉันบ้างไหม รีบไปส่งฉันได้แล้ว ฉันไม่อยากนั่งรถที่เหมือนกับตู้ขายของอัตโนมัติแบบนี้หรอกนะ”
“นายหุบปากไปเลย” สวีอันหรานโดนเหยียนเค่อจับจุดอ่อนได้อีกครั้ง ในขณะที่ความจริงคืออกจะแตกตายอยู่แล้ว เขาคงว่ามากถึงมารับเหยียนเค่อ น่าจะปล่อยให้เขาตายข้างถนนไปเลย
เหยียนเค่อมองคนที่โมโหกลบเกลื่อนแล้วหัวเราะ เอนตัวลงนอนต่อ
พอสวีรั่วชีโดนซย่าเสี่ยวมั่วพูดแขวะแล้วก็โมโห จึงโทรหาสวีอันหราน ให้เขาพาเหยียนเค่อมาที่บ้าน
“เมียนายโทรมาเช็กอีกแล้วเหรอ” เหยียนเค่อตื่นเพราะเสียงคุยโทรศัพท์ของสวีอันหราน มองสีหน้ารักใคร่หลงใหลของเขาอย่างเอือมระอา
“เมียฉันให้ฉันพานายกลับไปกินข้าวที่บ้าน”
“มันต้องมีจุดประสงค์สิ” เหยียนเค่อไม่คิดว่าสวีรั่วชีจะเป็นคนขยันขนาดนั้น
“เลิกฝันได้แล้ว เมียฉันไม่ชอบนายหรอก”
“พูดเหมือนฉันชอบเขาอย่างนั้นแหละ” เหยียนเค่อร้องเหอะ สีหน้าเหยียดหยาม
สวีอันหรานหน้าเรียบตึง หันกลับไปค้อนเหยียนเค่อขวับ “ตอนนี้ฉันยังจับนายโยนออกไปข้างนอกได้อยู่นะ”
เหยียนเค่อเอาแขนก่ายหน้าผาก ไม่อยากคุยกับคนที่จากเปลี่ยนจากทาสน้องสาวมาเป็นทาสเมียต่อ “เออๆๆ”
สวีอันหรานกับสวีรั่วชียังไม่ได้ไปจดทะเบียน แต่ทั้งคู่ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันก่อนแล้ว ดังนั้นเมื่อเหยียนเค่อเห็นบ้านเดี่ยวหลังเล็กท่ามกลาง ‘เทือกเขาร้างไร้ซึ่งผู้คน’ แล้ว นอกจากกุมขมับแล้วก็ยังทอดถอนใจอย่างหมดแรงอีกด้วย
“นายเอายังไงกับฉัน ถึงพาฉันมานั่งดูพวกนายสวีตกันถึงที่นี่ บ้านหลังนี้ฉันซื้อให้นายนะ ช่วยมีจิตสำนึกหน่อยได้ไหม”
“อย่าพูดจาสองแง่สองง่ามแบบนี้ได้ไหม!” เขากลัวว่าสวีรั่วชีจะถือมีดออกมาสับเหยียนเค่อในฐานะที่เป็นศัตรูหัวใจน่ะสิ
“สองแง่สองง่ามที่ไหน ฉันพูดความจริงทั้งนั้น”
“รีบเข้าไปเถอะ”
สวีอันหรานลากเหยียนเค่อที่ยังคงอิดออดให้เข้าไปในบ้าน หลังจากเห็นการตกแต่งภายในแล้ว เหยียนเค่อก็ตกตะลึงไป
“รสนิยมของพวกนายสองคนดีขึ้นเยอะเลยนะ หรือว่าถ้าติดลบกับติดลบมาเจอกัน ผลจะออกมาเป็นบวก”
ไม่ง่ายเลยที่เหยียนเค่อจะชมสักครั้ง แถมไม่ได้ชมตัวเองเสียด้วย…
สวีอันหรานกระแอมอย่างกระอักกระอ่วน “นี่ซย่าเสี่ยวมั่วออกแบบให้น่ะ”
เหยียนเค่อมองเขาทีหนึ่งอย่างประหลาดใจ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเข้าอกเข้าใจ “ฉันว่าแล้ว รสนิยมของพวกนายสองคนเทียบได้กับสิงโตในทุ่งหญ้าแอฟริกา”
ตอนที่ 307 รู้แผนลับ
สวีรั่วชีได้ยินเสียงก็เดินออกมาจากห้องครัว ก็เห็นสองคนกำลังจ้องตากันอย่างลึกซึ้งอยู่ เธอครุ่นคิดในใจว่าจะเปลี่ยนไปเรียนจิตวิทยาดีหรือไม่ จะได้ศึกษาวิจัยสภาพจิตใจของคนที่เป็นไบเซ็กชวลและชาวรักร่วมเพศได้อีกขั้นหนึ่ง
“พี่”
“หืม?” สวีอันหรานหันกลับไป เมื่อเห็นสวีรั่วชีแล้วสีหน้าก็อ่อนลง
เหยียนเค่อเบือนหน้าหนีอย่างอึดอัด พยักหน้าให้สวีรั่วชีเป็นการทักทาย
สวีรั่วชีโบกมือภายใต้ถุงมือคู่ใหญ่ไปมาตรงหน้าสวีอันหราน “ฉันไปทำกับข้าวก่อน พี่ก็ไปเดินดูกับเหยียนเค่อละกัน”
“เหนื่อยหน่อยนะ” สวีอันหรานแค่เดินเข้าไปหาก็จะอยากกอดสวีรั่วชี แต่ติดที่มีเหยียนเค่ออยู่ข้างๆ เลยไม่ได้ทำอะไรลงไป
เหยียนเค่อเหลือบตามองเขาปราดหนึ่ง ก่อนจะกระซิบเสียงเบาที่ข้างหู “ทางที่ดีนายหยุดคิดแผนชั่วนั่นเลยนะ”
สวีอันหรานถองศอกใส่เขาลับหลังสวีรั่วชี “เดี๋ยวฉันจะพานายไปเดินดูรอบๆ”
“ไม่ต้องหรอก ยังไงก็เป็นบ้านที่ซย่าเสี่ยวมั่วตกแต่งให้ ไม่อะไรเกี่ยวกับนายสักหน่อย” ถึงแม้เหยียนเค่อจะไข้ลดแล้ว แต่หน้าก็ยังซีดเซียวอยู่ “ฉันขอเอนหลังบนโซฟาหน่อยแล้วกันนะ”
“ไม่ใช่แค่ซย่าเสี่ยวมั่วคนเดียวสักหน่อย สวีรั่วชีก็ออกไอเดียเหมือนกันนะ!” สวีอันหรานต้องปกป้องความเป็นที่สุดของเมียรักไว้ก่อน
เหยียนเค่อจ้องมองวอลล์เปเปอร์ห้องอยู่สักครู่ รู้สึกว่ามีจุดหนึ่งที่เรียบลื่น แต่รอบๆ เป็นกระดาษที่หยาบกระด้าง เขาดันสวีอันหรานออกไปอีกด้าน เปลี่ยนท่าแล้วดูใหม่ ก็เห็นตัวอักษรที่ปรากฏวับๆ แวมๆ อยู่ ตอนนี้ก็พอจะเดาได้แล้วว่าคืออะไร
สวีอันหรานมองรอยยิ้มปริศนาของเหยียนเค่อก็รู้สึกหวาดผวา “นายเป็นบ้าอะไรอีก”
ถ้าเขาไม่ได้เดาผิดละก็ ที่สวีรั่วชีประทับตัวอักษรลงไปอย่างไม่ชัดเจนเช่นนี้ก็เพราะไม่อยากให้สวีอันหรานเห็น และสวีอันหรานเองก็ไม่ได้เล่าให้เพื่อนฟังถึงด้านที่อ่อนไหวของสวีรั่วชี นั่นหมายความว่าสวีอันหรานต้องยังไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนได้กุมหมากไว้ตัวหนึ่ง…อืม เขาต้องขอบคุณซย่าเสี่ยวมั่วสินะ…เหยียนเค่อขบคิดในใจ ดูท่าแล้วเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
สวีอันหรานมองคนที่นอนตะแคงงีบหลับอยู่บนโซฟาแล้วก็รู้สึกว่าเขาเหมือนจะกำลังคิดเรื่องชั่วอะไรอยู่
“เป็นอะไรไป” สวีรั่วชีออกมาเห็นเหยียนเค่อหลับอยู่บนโซฟา สวีอันหรานนั่งดูโน้ตบุ๊กอยู่ข้างๆ ก็เดินเข้ามาสะกิดถามแฟนของตน
“วันนี้เขาไข้ขึ้น แถมยังโดนสวีอิ๋งอิ๋งก่อกวนอยู่ครึ่งวันอีก”
“สมน้ำหน้า!” สวีรั่วชีฟาดมือไปที่ไหล่ของสวีอันหรานหนึ่งที เจ็บจนสวีอันหรานไหล่ห่อ
สวีรั่วชีเพิ่งจะรู้สึกตัว รู้สึกเจ็บที่ฝ่ามือของตนเหมือนกัน จึงรีบลูบไหล่สวีอันหรานแล้วขอโทษเสียงเบา “ขอโทษๆ ฉันดีใจไปหน่อย”
สวีอันหรานดึงมือเธอมาดูแล้วบีบไปที่กลางฝ่ามือ “จะขอโทษทำไม ตัวฉันก็เป็นของเธอนั่นแหละ”
เหยียนเค่ออิจฉาจนแกล้งหลับต่อไปไม่ไหวแล้ว
“วันนี้ซย่าเสี่ยวมั่วบอกว่าฉันเป็นยายแก่อะ!” สวีรั่วชีเริ่มฟ้อง คำนี้ทำให้เธอโมโหเป็นอย่างมาก เธอเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่พึ่งพาตัวเองได้ชัดๆ จะเป็นยายแก่ได้อย่างไร!
สวีอันหรานชินเสียแล้วกับการที่สวีรั่วชีวิ่งมาฟ้องตนอย่างนี้ สวีรั่วชีแค่พูด ไม่ได้บอกให้สวีอันหรานไปแก้แค้นแต่อย่างใด ก็แค่แสดงความไม่พอใจของตนก็เท่านั้น
เหยียนเค่อฟังแล้วก็อยากจะหัวเราะ สวีอิ๋งอิ๋งน่าจะมาหาสวีอันหรานนะ นี่ต่างหากมาตรฐานของเพื่อนชายคนสนิท ทำไมต้องมาทำร้ายชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์อย่างเขาด้วย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวซย่าเสี่ยวมั่วก็จะเป็นสาวแก่ที่ขายไม่ออกแล้ว พวกเธอสองคนพอๆ กันนั่นแหละ” สวีอันหรานฝืนปลอบใจสวีรั่วชี เขาไม่เห็นว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะพูดผิดตรงไหนเลย…แต่งงานกับเขาแล้วก็เป็นผู้หญิงของเขา ต่อให้เป็นยายแก่ก็เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
สวีรั่วชีก็โอ๋ง่าย ได้ยินคำว่า ‘สาวแก่ที่ขายไม่ออก’ แล้วก็หัวเราะชอบใจ ประทับจูบลงบนข้างแก้มของสวีอันหรานอย่างเขินอาย
ตอนที่ 308 ใจตรงกัน
เหยียนเค่อลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง คู่รักด้านข้างถึงจะรู้สึกตัวว่าข้างๆ กันยังมีคนป่วยอยู่อีกคน
สวีรั่วชีเดินมาตบบ่าเหยียนเค่อ “นายไปในครัวกับฉัน”
“หืม?” สวีอันหรานที่ลุกขึ้นเตรียมจะเดินไปช่วยสวีรั่วชียกอาหารในห้องครัวรู้สึกไม่ค่อยเหมาะ ต่อให้เหยียนเค่อจะเป็นเพื่อนของตนก็เถอะ แต่จะใช้ให้เขาไปยกกับข้าวแบบนี้ไม่ได้ “เดี๋ยวฉันไปช่วยเอง”
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเหยียนเค่อ” สวีรั่วชีตบบ่าเขาเป็นการปลอบโยน “ฉันไม่ฆ่าเขาหรอกน่า”
เหยียนเค่อมองเธอแปลกๆ “เธอมีอะไรจะคุยกับฉันด้วยเหรอ”
“ตามฉันมาก่อนเถอะ” สวีรั่วชียังคงแผ่รังสีเยือกเย็นดุจนางพญา สีหน้าเยียบเย็นของคนงามกับห้องครัวไม่ได้ดูเข้ากันเลยแม้แต่น้อย
สองคนที่ไม่คุ้นเคยกันเท่าไร ต่างคนต่างยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์คนละด้านของห้องครัว ยืนคุมเชิงกันอยู่ห่างๆ
เหยียนเค่อเดินตามเข้าไปในห้องครัว มองอาหารที่สวีรั่วชีทำเสร็จก็เบนสายตาหนีอย่างรังเกียจ ฝีมือทำอาหารแค่นี้ ทำไมถึงกล้าทำให้สวีอันหรานกินอย่างมั่นใจกันนะ
“เธอเรียกฉันมาทำไม” เขากับสวีรั่วชีแค่รู้จักกันผิวเผินเท่านั้น มีเรื่องอะไรทำให้ต้องออกมาพูดคุยโดยส่วนตัวกัน?
“คิดบัญชีกับนายไง”
“คิดบัญชีกับฉัน? สมองเธอมีปัญหาหรือเปล่า”
“สมองฉันมีปัญหา?” สวีรั่วชีนึกอยากจะเอามีดผ่าตัดแทงเขานัก “ไม่พูดพล่ามละ สรุปว่านายชอบซย่าเสี่ยวมั่วหรือเปล่า”
ดวงตาที่หลุบมองต่ำของเหยียนเค่อช้อนขึ้นมามองเธอทีหนึ่ง แล้วกลับไปก้มหน้าเงียบๆ อีกครั้ง
สำหรับเรื่องนี้ เขาคิดว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมาเล่าให้คนอื่นนอกเหนือจากซย่าเสี่ยวมั่วฟัง
เหยียนเค่อยังคงอารมณ์ไม่ดีอยู่ คิ้วขมวดมุ่น แผ่รังสีความเย็นเยือกออกมาจากร่างกาย สวีรั่วชีแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางไม่อยากจะเสวนากับคนไม่สนิทของเขา “ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นเพื่อนเจ้าสาว นายก็ไปคิดแล้วจัดการเอาเองแล้วกัน”
เดิมทีเหยียนเค่อก็ไม่ชอบเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เขาไม่อยากเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวเลยสักนิด และไม่มีใครกล้ามาบีบบังคับเขาด้วย แต่ตอนนี้สวีรั่วชีดันหาเรื่องเสียเอง
เหยียนเค่อยืดตัวตรงแล้วเดินออกมาจากห้องครัว แสร้งทำเป็นตะโกนถามสวีอันหราน “บนผนังนั่นอะไรน่ะ”
ตอนแรกสวีรั่วชียังไม่รู้ตัว แต่พอเหยียนเค่อก้าวเข้าไปในห้องทานอาหารแล้วเธอจึงนึกเรื่องนี้ขึ้นได้ จึงรีบวิ่งไปดึงเหยียนเค่อให้เดินกลับมา
สวีอันหรานได้ยินเสียงเรียกก็หันไปมอง ก็เห็นสวีรั่วชีลากเหยียนเค่อกลับไปผ่านแผ่นที่กั้นไว้
เหยียนเค่อมองสีหน้างุนงงของสวีอันหรานแล้วยักไหล่อย่างจำใจ เขาไปทำอะไรให้สองผัวเมียนี่ไม่พอใจกันนะ ถึงได้มาทรมานเขาอย่างนี้ ต้องมีสักคนที่จ้องจะจับคู่ให้เขา เขาเป็นผู้ชายมุ่งมั่นในการส่งเสริมให้มีผัวเดียวเมียเดียวนะรู้ไหม…
สวีรั่วชีผลักเหยียนเค่อกลับเข้าไปในครัว ใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงต่ำ “นายวางแผนกับ ซย่าเสี่ยวมั่วมาใช่ไหม!”
เหยียนเค่อมองเธอนิ่งๆ แล้วตอบสั้นๆ “เปล่า” แต่ในใจกลับยิ้มแย้ม นี่เขาเรียกว่าใจตรงกันต่างหาก…
“ห้ามบอกสวีอันหรานนะ!” สวีรั่วชีต้องได้รับการยืนยันก่อนจึงจะวางใจได้
ถ้าเหยียนเค่อไม่ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ก็คงโง่เต็มทน “เธอให้สวีอันหรานจัดการเรื่องสวีอิ๋งอิ๋งให้ฉันก่อนสิ”
“จัดการยังไง” สวีรั่วชีกลอกตา พูดง่ายจริงๆ เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วจะให้ทำแบบนั้นได้เสียที่ไหนเล่า
“จะทำยังไงฉันก็ไม่สนหรอก” เหยียนเค่อไม่ร้องขออะไรแล้ว “แต่สุดท้ายถ้าจำเป็นจริงๆ ละก็ บ้านสวีต้องเป็นคนบอกให้ล้มเลิกเอง ฉันไม่สนว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม”
“นายประเมินสติปัญญาของสวีอิ๋งอิ๋งสูงเกินไปหน่อยนะ” สวีรั่วชีรู้สึกว่าเรื่องนี้มันง่ายมาก สายตาของสวีอิ๋งอิ๋งนั้น…อืม…ควรค่าแก่การศึกษาจริงๆ เธอตอบรับอย่างรวดเร็ว “ฉันตกลง”
“ได้”
หลังจากคุยเงื่อนไขเสร็จแล้ว ขืนยังอยู่ข้างในต่อสวีอันหรานคงต้องเข้ามาหาเขาแน่ เหยียนเค่อจึงก้าวเดินออกมาก่อน
สวีอันหรานเอาแต่จ้องมองไปทางห้องครัว จนกระทั่งเหยียนเค่อกับสวีรั่วชีเดินออกมาแล้วก็ยังไม่หลบ สายตาจ้องมองไปที่พวกเขา
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเมียนายนะ” เหยียนเค่อโดนสายตาของเขาเอาแต่จ้องมองมาไม่หยุดก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว
ตอนที่ 309 รักกันทำร้ายกัน
สายตาของสวีอันหรานเปี่ยมไปด้วยความไม่เชื่อมั่น
“แค่เรื่องฝีมือทำอาหารของเมียนาย ฉันก็ไม่ชอบเขาแล้วล่ะ” เหยียนเค่อพูดความจริง ฝีมือทำอาหารของสวีรั่วชีเทียบได้กับคุณแม่ของซย่าเสี่ยวมั่วเลย
สวีอันหรานได้ยินคำพูดนั้นแล้วก็สบายใจไม่น้อย “ก็จริง อาหารที่เสี่ยวชีของเราทำ มีแต่ฉันที่กินได้”
“นายพูดผิดไปหรือเปล่า” เหยียนเค่อพูดต่ออย่างเชื่องช้า “ ‘กินลง’ ต่างหาก”
สวีอันหรานถลึงตาใส่เขา แต่ในเมื่อเขาพูดความจริง ตนก็จะไม่โต้แย้งล่ะนะ
สวีรั่วชียกอาหารมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะเรียกให้ทั้งคู่มากินข้าว
“ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า”
สวีอันหรานจับบ่าเขาไว้แน่น “ลองชิมฝีมือพี่สะใภ้นายหน่อยสิ”
เหยียนเค่อรู้สึกได้ถึงเจตนาร้ายเต็มเปี่ยมที่แฝงอยู่ภายใต้รอยยิ้มอันอ่อนโยนนั่น
สวีรั่วชีต้องรักสวีอันหรานแค่ไหนกันนะ ถึงทำอาหารเต็มโต๊ะโดยไม่ได้สนใจฝีมือทำอาหารของตัวเองเลย เหยียนเค่อรู้สึกว่ากระเพาะของเขากำลังหดเกร็ง
“นายชอบกินซี่โครงหมูไม่ใช่เหรอ” สวีอันหรานเลื่อนซุปซี่โครงตุ๋นสีดำปิ๊ดปี๋ไปตรงหน้าเหยียนเค่อ
กินไอ้นี่เข้าไปจะเป็นมะเร็งหรือเปล่า เหยียนเค่อกำลังจะปริปากพูด สุดท้ายก็กลืนคำพูดนั้นลงไป
ฝืนคีบขึ้นมาหนึ่งชิ้นก็รู้สึกตัวเองอิ่มเสียแล้ว
“นายกินสิ” สวีอันหรานพูดเหมือนกับไม่รู้ความคิดของเขาอย่างไรอย่างนั้น ยังคงเร่งให้เขากินเข้าไปอย่างกระตือรือร้น
เหยียนเค่ออยากจะโยนซี่โครงใส่หน้าเขาจริงๆ ถ้านายอยากกินมากก็กินเองสิวะ จะมายุ่งกับฉันทำไม! เขาเลือกชิ้นเล็กๆ แล้วส่งเข้าปาก รสชาติไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้ ยังพอกินได้อยู่ แต่กระเพาะของเหยียนเค่อถูกซย่าเสี่ยวมั่วเลี้ยงแต่ของดีๆ จนเคยตัวแล้ว กินไม่ลงจริงๆ
จู่ๆ เขาก็รู้สึกโชคดีที่ซย่าเสี่ยวมั่วทำอาหารเป็น แถมฝีมือการทำอาหารยังดีไม่เลวอีกด้วย ถ้าอยู่กับสวีรั่วชีละก็ เขาคงจะหิวไปตั้งนานแล้ว
กินข้าวมื้อนี้ทำเอาเหยียนเค่อเจ็บปวดไปทั้งกายใจ ไม่ต้องให้สวีอันหรานไปส่ง เขาก็ขับรถกลับออกไปเอง
สวีอันหรานโอบเอวสวีรั่วชี ยิ้มแล้วโบกมือให้เหยียนเค่อ
เหยียนเค่อมองคู่รักท่ามกลางท้องฟ้ายามเย็น ก่อนจะโบกมือแบบขอไปทีแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
ในห้วงเวลาอันอ่อนโยนนั้น พวกเขาตามหาคนที่เป็นเจ้าของของกันและกันเจอ เพียงแค่การเอ่ยคำว่า ‘ในที่สุด’ ออกมาเบาๆ ในตอนท้ายเท่านั้น ในที่สุดก็หาเธอจนเจอ ในที่สุดก็ได้อยู่เคียงข้างกัน ในที่สุดก็ไม่ต้องเดียวดายอีกต่อไปแล้ว
แต่คนที่เป็นคำว่า ‘ในที่สุด’ ของเขาจะรอคอยวันที่จะได้เจอกันเหมือนเขาบ้างไหมนะ
เหยียนเค่อมองดูท้องฟ้าสีครึ้มนอกหน้าต่าง มีดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้าอันห่างไกล
เพราะซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกผิดต่อสวีรั่วชี หลังเลิกงานแล้วจึงซื้อดอกไม้ไปส่งให้เธอช่อหนึ่ง แน่นอนว่า ซย่าเสี่ยวมั่วที่โดนเหยียนเค่อพาเสียคนนั้นเขียนลงชื่อท้ายกระดาษว่า ‘จาก หลี่หมิงฉวีที่รักเธอ’
สวีอันหรานได้ยินเสียงออดจึงรีบไปเปิดประตู ก็เห็นดอกกุหลาบช่อใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
พนักงานส่งของพยายามยื่นหัวออกมาแล้วเอาใบเสร็จให้เขาเซ็นรับ “ไม่ทราบว่าใช่บ้านคุณสวีรั่วชีหรือเปล่าครับ ช่วยเซ็นรับหน่อยนะครับ”
สวีอันหรานขมวดคิ้ว เขียนชื่อสวีรั่วชีลงบนใบรับของก่อนจะรับช่อดอกไม้นั้นมา
“พี่…” สวีรั่วชีนึกว่าเป็นดอกไม้ที่สวีอันหรานซื้อมา แต่มองสีหน้าของสวีอันหรานแล้วไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น “นี่มัน…”
สวีอันหรานมองเธอปราดหนึ่งแล้วยื่นดอกไม้ไปให้ “ของเธอน่ะ ไม่รู้ว่าใครส่งมา”
สวีรั่วชีเห็นสายตาที่เขาจ้องกระดาษการ์ดใบเล็กนั่นแล้วก็อยากจะหัวเราะ จึงหยิบออกมาแล้วเปิดดูต่อหน้าเขา “นี่” กระดาษการ์ดใบเล็กปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“หลี่หมิงฉวี?” สวีอันหรานกับสวีรั่วชีมองหน้ากัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นโดยพร้อมเพรียง “เขาไม่ได้บ้าใช่ไหม”
สวีรั่วชีพลิกดูแล้วดูอีกก็ไม่เห็นถึงความผิดปกติอะไร “หรือว่าส่งผิดหรือเปล่า”
“ส่งมาให้เธอนั่นแหละ” สวีอันหรานปฏิเสธการคาดเดาของเธอ พนักงานก็บอกแล้วว่าส่งมาให้คนชื่อสวีรั่วชี ไม่มีทางผิดพลาดแบบนี้แน่นอน
ตอนที่ 310 ความคิดถึงเพียงเล็กน้อย
ซย่าเสี่ยวมั่วเชื่อในความเฉลียวฉลาดของตนเอง นึกว่าสวีรั่วชีไม่มีทางเดาได้ว่าเป็นฝีมือของตน จึงอารมณ์ดีตลอดทั้งคืน
สวีรั่วชีกับสวีอันหรานคาดเดากันตลอดทั้งคืน สุดท้ายก็พุ่งเป้าไปที่ซย่าเสี่ยวมั่ว
“เขานั่นแหละ” สวีรั่วชียืนยัน “มีแค่เขาที่รู้ที่อยู่บ้าน ต่อให้ลายมือไม่ใช่ของเขา แต่ต้องเป็นเขาที่ให้คนเขียนแทนแน่ๆ”
สวีอันหรานลองคิดดูอีกรอบ นอกจากเหยียนเค่อแล้วก็มีเพียงซย่าเสี่ยวมั่วคนเดียวเท่านั้น แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดี “ทำไมเธอถึงตัดหลี่หมิงฉวีออกไปล่ะ”
“เชื่อฉันสิ! ฉันกับหลี่หมิงฉวีไม่ได้รู้จักมักจี่กันสักหน่อยนะ!” สวีรั่วชีเขย่าแขนสวีอันหราน งัดทุกทักษะออกมาใช้
แต่สวีอันหรานก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ดี “เขาอาจจะตามจีบซย่าเสี่ยวมั่วไม่ติด จู่ๆ ก็คิดได้ว่า เธอเป็นเพื่อนสนิทที่น่าอิจฉา แถมยังสวยกว่าซย่าเสี่ยวมั่ว เขามาจีบเธอก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ”
สวีรั่วชีไม่รู้จะพูดอย่างไร ยอมแพ้ให้กับจินตนาการอันล้ำเลิศของเขา “เรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นแน่นอน ถ้าหลี่หมิงฉวีฉลาดขนาดนั้น เขาจะชอบซย่าเสี่ยวมั่วเหรอ”
คราวนี้สวีอันหรานจึงจะยอมเชื่อ “แล้วเธอจะทำยังไงต่อไป”
“เหอะ” สวีรั่วชีสะบัดการ์ดใบนั้น “ก็อุตส่าห์คิดได้นะ ถ้าฉันไม่เอาคืนบ้างละก็ ฉันไม่ขอใช้แซ่สวี!”
เมื่อเหยียนเค่อกลับถึงบ้านก็เห็นสามคนกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร เขาทักทายพวกเขาทีละคนก่อนจะขึ้นบ้านไป
คุณแม่เหยียนเห็นสีหน้าของเขาไม่ค่อยดีกำลังจะไถ่ถามอย่างห่วงใย เหยียนเค่อก็ปลีกตัวเดินออกไปเสียก่อน
“ตาลูกคนนี้ กลับมาก็ไม่มากินข้าว” คุณแม่เหยียนบ่นอุบ
“เขาไม่กินก็ช่างเขา ไม่แน่ว่าอาจจะกินมาก่อนแล้วก็ได้ ไม่ต้องไปสนใจเขา” ตอนนี้คุณพ่อเหยียนค่อยๆ เริ่มปลดตัวเองออกจากตำแหน่งบริหารสูงสุดแล้ว เขาไม่ค่อยรู้เรื่องของเหยียนเค่อเช่นกัน เหยียนเค่อเองก็ไม่เคยเปิดให้พวกเขาทำความเข้าใจเลยสักครั้ง ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกดูห่างเหินกันมาก
“เขาคงไม่ใช่ลูกคุณสินะ!” คุณแม่เหยียนวางตะเกียบแล้วยกน้ำขึ้นไปให้เหยียนเค่อ
คุณพ่อเหยียนเห็นว่าเหยียนเฟิงก็วางตะเกียบ จึงมองเขาปราดหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “กินต่อเถอะ ไม่ต้องสนใจพวกเขา”
เหยียนเค่อรู้สึกไม่สบายตัวนิดหน่อย จึงเปลี่ยนชุดแล้วนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง
คุณแม่เหยียนเคาะประตูก็ไม่มีคนตอบ จึงไขกุญแจเปิดประตูเข้าไป
“แม่” เหยียนเค่อได้ยินเสียงเปิดประตู ก็ยื่นหัวออกมามองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง
“ลูกไม่สบายหรือเปล่า”
เหยียนเค่อส่ายหัว “ผมง่วงน่ะครับ ไม่เป็นไร” ตอนนี้เขารู้สึกแขนขาอ่อนแรง อยากจะนอน
“งั้นก็พักผ่อนนะลูก” คุณแม่เหยียนนอกจากเห็นว่าสีหน้าเขาไม่ค่อยดีแล้ว ก็ไม่อยากรบกวนเขาต่ออีก “มีอะไรก็เรียกแม่ได้นะ”
“ครับ” ผ้าห่มคลุมล้อมรอบใบหน้าของเหยียนเค่อ โผล่ออกมาเพียงใบหน้าขาวหมดจดที่กำลังหลับตาพริ้ม พยักหน้าอย่างง่วงงุน
คุณแม่เหยียนเดินกลับออกไปอย่างเงียบเชียบ ไม่ลืมปิดไฟให้เหยียนเค่อด้วย
เหยียนเค่อลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืดในห้อง ยื่นมือออกไปก็เจอแก้วน้ำที่คุณแม่เหยียนหยิบเข้ามาให้ จึงหยิบยาออกมาจากลิ้นชักบนหัวเตียง พลิกดูท่ามกลางแสงไฟโทรศัพท์ก็เจอยาสองสามตัวที่ซย่าเสี่ยวมั่วเคยบอก แล้วดื่มน้ำและกลืนมันลงไป
ตอนแรกเขาว่าจะกลืนลงไปทั้งอย่างนั้นเลย แต่คุณแม่เอาน้ำเข้ามาให้พอดี ไม่อย่างนั้นยาเม็ดใหญ่ขนาดนี้เขาต้องติดคอตายแน่นอน
เหยียนเค่ออยู่เมืองนอกมาหลายปีก็ชินเสียแล้วกับการที่ต้องอยู่คนเดียวในตอนที่ป่วย น่าจะตั้งแต่ตอนแพ้ครั้งนั้นกระมัง เขาถึงจะรู้สึกว่า บางทีการป่วยก็ไม่ต้องอยู่คนเดียว และมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าเจ็บปวดอะไรเลย
ตอนที่คุณป่วย จะมีใครคนหนึ่งที่เป็นห่วงสุขภาพมากกว่าตัวคุณเอง สำหรับคนวัยหนุ่มสาวที่ไม่มีพ่อแม่คอยดูแลอย่างเหยียนเค่อแล้ว เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากทีเดียว
“ซย่าเสี่ยวมั่ว ฉันคิดถึงเธอจัง” คิดถึงเธอ คิดถึงช่วงเวลาที่ได้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
ในค่ำคืนอันมืดมิดไร้แสงไฟ เสียงพึมพำเล็ดลอดออกมาจากปากเขาโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นเสียงทอดถอนใจเบาๆ ที่ลอยละล่องอยู่ในห้วงเวลาอันล้ำลึกที่ไม่มีใครล่วงรู้
ตอนที่ 311 สนามบินหนานซาน
หลังจากความมืดในยามค่ำคืนลับหายไปก็แทนที่ด้วยแสงอรุณในยามเช้า
เมื่อเหยียนเค่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งไข้ก็ลดแล้ว แต่เหงื่อไหลโทรมกาย รู้สึกเหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก
“ฮัลโหล” เหยียนเค่อลุกจากเตียง จัดเสื้อผ้าแล้วกำลังจะไปอาบน้ำ
ผู้ช่วยหวังดูนาฬิกา ก็เป็นเวลานี้ถูกต้องแล้วนี่นา สมองของเจ้านายโดนสนิมกินจนลืมไปแล้วหรือยังไงนะ
“วันนี้ต้องไปคุยสัญญากับสนามบินหนานซาน…”
“อืม” เหยียนเค่อเพิ่งนึกขึ้นได้ เหมือนว่าเขาจะซื้อสนามบินแห่งหนึ่งมาเพราะความโมโห “เดี๋ยวมารับผมที่บ้านด้วยนะครับ”
“ครับ”
ความจริงสนามบินนั้นก็ไม่เชิงว่าซื้อมาหรอก แค่โดนเหยียนเค่อเช่าไว้เป็นเวลาเก้าสิบปีก็เท่านั้น…เก้าสิบปีต่อจากนี้ เหยียนเค่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่ถึงตอนนั้นไหม
เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วตื่นก็โดนสวีรั่วชีที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเล่นเอาซะตกอกตกใจหมด
“เธอมาบ้านฉันทำไมเนี่ย ตอนเช้าเป็นช่วงที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่านไม่ใช่เหรอ”
“งั้นเหรอ” สวีรั่วชีมองอย่างสงสัย “ทำไมฉันไม่รู้ล่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ซย่าเสี่ยวมั่วยิ้มแห้งแล้วลูบผมตัวเอง ก่อนจะเดินไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ
สวีรั่วชีเหมือนว่าจะหารือกับเธอ แต่ความจริงคือแค่มาแจ้งให้ทราบเท่านั้น ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่ได้รู้สึกว่าเธอมาปรึกษาเลยแม้แต่น้อย “ตัดผมให้สั้นหน่อยแล้วก็ดัด พอถึงตอนนั้นก็มัดเป็นมวยขึ้นไป ชุดเพื่อนเจ้าสาวของเธอฉันดูไว้ให้แล้ว วันนี้ไปลองใส่ดู”
“ฉันต้องไปทำงาน!” ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าเธอช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
สวีรั่วชีเมินเฉยต่อเสียงโวยวายของเธอ “รองเท้าฉันก็ดูไว้ให้แล้วเหมือนกัน ฉันซื้อให้ฟรีเป็นค่าเหนื่อย”
ซย่าเสี่ยวมั่วล้างหน้าให้สะอาดแล้วรีบพุ่งออกมาจากห้องน้ำ “เธอมันจอมเผด็จการ ต้องตายสถานเดียว!”
“ต่อให้ต้องตายก็ไม่ใช่วันนี้แน่นอน” สวีรั่วชีชูโทรศัพท์แล้วโบกไปมา “ฉันโทรไปลาเจ้านายให้เธอแล้ว เธอมากับฉันอย่างสบายใจได้น่า”
“ที่แผนกปล่อยให้ฉันมากับคนอย่างเธอได้ยังไงกันนะ” ซย่าเสี่ยวมั่วองค์ดราม่าควีนลง สะอึกสะอื้นแล้วแสร้งทำเป็นปาดน้ำตา
สวีรั่วชีแสยะยิ้ม “เก็บน้ำตาไว้ร้องทีหลังเถอะ”
“วันนี้ไปลองชุดก่อน เธอไปนัดบอดกับฉันเสร็จค่อยไปดูชุดขี่ม้า” ซย่าเสี่ยวมั่วกลัวว่าเขาจะเทนัด จึงพูดดักขึ้นก่อน
บนใบหน้าเย็นชาของสวีรั่วชีปรากฏความไม่พอใจ “ฉันหน้าเหมือนคนที่นัดไม่เป็นนัดหรือไง” ต้องเสนอเงื่อนไขกับเธอกันทุกคนเลยสิน่า
ซย่าเสี่ยวมั่วแบมือ “ฉันก็แค่ปกป้องตัวเอง”
เมื่อไปถึงหนานซานก็เกือบเที่ยงแล้ว แสงแดดเจิดจ้าขับให้สีผมและสีผิวของเหยียนเค่องดงามประดุจหยก ผิวขาวสะอาดนั้นยิ่งดูกระจ่างใส
ผู้ช่วยหวังมองเจ้านายของตนย้อนแสงหนึ่งที ก่อนจะหันหน้ากลับไป การที่หน้าตาดีเกินไปก็เป็นการทำร้ายผู้ชายด้วยกันเหมือนกันนะ
ช่วงนี้เหยียนเค่อป่วยบ่อย ไม่ได้ออกมาข้างนอกนานแล้ว ไม่เพียงขาวขึ้นเท่านั้นแต่ยังผอมลงด้วย
“ประธานเหยียนครับ พวกเราขึ้นไปกันเถอะ”
ผู้จัดการของสนามบินหนานซานเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ตัวเตี้ย รูปร่างอ้วนท้วม บนหัวก็เหลือเพียงเส้นผมน้อยๆ ไม่กี่เส้นเท่านั้น
เหยียนเค่อพยักหน้า แล้วเดินตามหลังเขาขึ้นไป
“สนามบินหนานซานสร้างขึ้นเมื่อปี 2009 นับว่าเป็นสนามบินที่ค่อนข้างใหม่แห่งหนึ่งเลย อีกทั้งยังมีประสบการณ์ที่สั่งสมมารวมไปถึงการปรับปรุงในภายหลัง ทำให้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกพื้นฐานครบถ้วนสมบูรณ์” ผู้จัดการสนามบินหนานซานเดินขึ้นบันไดพลางหอบหนัก และเอ่ยแนะนำประวัติและผลงานต่างๆ ของสนามบินหนานซานไปด้วย
เหยียนเค่อฟังเขาแนะนำด้วยรอยยิ้ม แต่จากสถานการณ์จริงที่ไปสำรวจมานั้น จำนวนผู้โดยสารของสนามบินหนานซานน้อยมาก ตำแหน่งก็ค่อนข้างไกล อุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็ล้าหลัง บอกได้คำเดียวว่า ‘แย่’
เหยียนเค่อเดินขึ้นบันไดด้านหน้าของสนามบินหนานซานแล้วก็หายใจหอบ มีสิ่งที่เขาไม่เข้าใจอีกอย่างก็คือทำไมต้องทำบันไดหลายขั้นขนาดนี้ตรงหน้าประตูทางเข้าสนามบินด้วย
“ที่พวกเราสร้างบันไดขึ้นมา ก็เพื่อให้ผู้โดยสารของพวกเราเดินเข้ามาอย่างรุ่งเรืองสูงส่งยิ่งๆ ขึ้นไป และก้าวออกไปได้อย่างราบรื่นครับ”
เหยียนเค่อมุมปากเหยียดขึ้น ราวกับได้ฟังเรื่องตลกก็ไม่ปาน ผู้ช่วยหวังเองก็กลั้นหัวเราะอยู่เช่นกัน
การที่สนามบินหนานซานมีผลตอบแทนที่ไม่ดีก็มีเหตุผลของมัน
ตอนที่ 312 ลองสวมชุดพิธี
เหยียนเค่อกำลังคิดว่าจะปรับปรุงสนามบินหนานซานอย่างไร ส่วนสวีรั่วชีก็กำลังคิดว่าจะแปลงโฉมซย่าเสี่ยวมั่วอย่างไร
“ซย่าเสี่ยวมั่ว ตัวนี้สวย” สวีรั่วชีแนะนำอย่างตั้งใจแล้วหยิบเสื้อผ้าได้ก็โยนใส่เธอ
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่เชื่อใจสวีรั่วชี ถึงเรื่องรสนิยมเธอจะสู้สวีรั่วชีไม่ได้ แต่อย่างไรเสียเธอก็เคยออกแบบชุดราตรีมาก่อน ดังนั้นจึงต้องขบคิดคำแนะนำของสวีรั่วชีให้ละเอียดถี่ถ้วน
“ตัวนี้เปิดหลังเยอะเกินไป” ซย่าเสี่ยวมั่วหยิบชุดพิธีที่แหวกหลังไปจนถึงเอวไปไว้อีกด้าน สวีรั่วชีมองแล้วเบ้ปาก นั่นให้เป็นของขวัญเหยียนเค่อต่างหากล่ะ…อย่างไรเสียแผ่นหลังงามๆ ของซย่าเสี่ยวมั่วก็ควรค่าแก่การโชว์อยู่แล้ว
ซย่าเสี่ยวมั่วหยิบชุดอีกตัวที่ผ่าหน้าจนถึงสะดือออกมา “ฉันไม่มีนมสักหน่อย เธอจะให้ฉันเอาอะไรมายึดฮะ!” พลิกเลือกดูอีกสักพัก เธอก็โยนอีกชุดที่แหวกอกเป็นรูปตัววีออกมา “เหตุผลเหมือนเมื่อกี้”
ช่างไม่รู้อะไรซะบ้างเลย! สวีรั่วชีหยิบชุดนั้นมาไว้ข้างๆ ตัว อีกสักประเดี๋ยวต้องให้ซย่าเสี่ยวมั่วลองใส่ชุดนี้ให้ได้
สุดท้ายซย่าเสี่ยวมั่วก็เลือกชุดกระโปรงหางปลาที่คลุมตั้งแต่คอจรดปลายเท้า สวีรั่วชีมองดูอยู่เงียบๆ ชุดนี้รัดรูปกว่าแท้ๆ แถมยังมีความเซ็กซี่นิดๆ ด้วย ไม่รู้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วเป็นพวกหัวโบราณจอมปลอมหรือเป็นพวกชอบโชว์จริงๆ กันแน่
เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วลองใส่ดูแล้วก็ตกตะลึง ไม่เพียงทำให้รูปร่างดูอ้อนแอ้นอรชรเท่านั้น แต่ยังทำให้เอวคอดสะโพกเด้งขายาวอีกต่างหาก ปกคอเสื้อตั้งขึ้นออกแบบให้เป็นกระดุมกลัด ทำให้ลำคอดูยาวระหงและสวยสง่า
หลังจากสวีรั่วชีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายไปหลายรูปแล้ว ก็เท้าศีรษะแล้วโบกมือ แสร้งทำเป็นไม่พอใจ “เธอเป็นเพื่อนเจ้าสาวนะ ใส่ชุดแบบนี้อยากให้เพื่อนเจ้าบ่าวมาอุ้มหรือไง”
“ไม่กล้าคาดหวังหรอกน่า” เธอจะกล้าไปรบกวนกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าวของสวีรั่วชีได้อย่างไรกันเล่า
ซย่าเสี่ยวมั่วเดินไปสองก้าว แต่ความจริงกลับขยับไปแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น แถมกระโปรงนี้ยังแนบไปกับร่างกาย ทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย ช่างน่าอึดอัดจริงๆ
สวีรั่วชียื่นชุดตัวที่ผ่าหลังมาให้ “เธอลองใส่ตัวนี้ดู”
ชุดนี้กระโปรงด้านหน้าสั้นส่วนด้านหลังยาว กระโปรงเป็นระบายยาวลากพื้นไปถึงข้างหลัง ปกคอก็ตั้งสูง ด้านหลังคอมีกระดุมซ่อนไว้สองเม็ด เพียงแต่เผยให้เห็นแผ่นหลังทั้งหมดเท่านั้น
เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วใส่ออกมาแล้วก็รู้สึกถึงลมพัดหวิวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
สวีรั่วชีพยักหน้า “ก็ใช้ได้ ก็แค่แย่งซีนฉันไปหน่อยเท่านั้น” เธอส่งชุดตัวสุดท้ายไปให้ “เธอใส่ตัวนี้ละกัน”
ซย่าเสี่ยวมั่วเหลือบมองเธอปราดหนึ่ง นี่สวีรั่วชีเล็งไว้แล้วงั้นเหรอ? แต่ให้เธอไปลองใส่ชุดซะเยอะเลย
“รีบไปเถอะน่า” สวีรั่วชีโบกมือไล่
ซย่าเสี่ยวมั่วใส่แล้วรู้สึกว่าชุดนี้ปกติที่สุดในบรรดาทุกตัวที่ใส่มา ถึงจะรู้สึกหวิวๆ บริเวรหน้าอกไปหน่อย แถมยังโป๊ไปนิด แต่ก็ยังพอรับได้
“เดี๋ยวฉันถ่ายรูปให้ดู ให้เธอได้รับรู้ถึงความสวยของตัวเอง” สวีรั่วชีก็พูดไปอย่างนั้น กดถ่ายรูปหน้าตรงไว้ได้หลายช็อต
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่รู้ว่าเธอจะทำอะไร จึงยืนตัวตรงอยู่อย่างนั้นปล่อยให้เธอถ่าย “ตัวนี้แหละ ถ้าเปลี่ยนชุดอีกฉันต้องเป็นลมแน่”
“ได้เลย” สวีรั่วชีตอบรับอย่างรวดเร็ว
หลังจากจัดการเสื้อผ้าให้ซย่าเสี่ยวมั่วเรียบร้อยแล้วสวีรั่วชีก็พาเธอไปทำผมอีก เธอบอกทรงผมที่ตัวเองอยากได้กับช่างแล้วจึงนั่งลงข้างๆ มองดูซย่าเสี่ยวมั่วโดนช่างทำผมทรมานหนังหัว
“กว่าเธอจะแต่งก็อีกนาน ฉันตัดผมตอนนี้ เดี๋ยวก็ยาวใหม่อยู่ดี!” ซย่าเสี่ยวมั่วที่เกลียดความยุ่งยากไม่อยากเสียเวลาทำผมเอาเสียเลย เอาเวลานี้ไปนอนยังจะดีกว่า!
“ยาวก่อนแล้วค่อยมาพูด” สวีรั่วชีพูดแขวะ
เมื่อคืนซย่าเสี่ยวมั่วอดนอน พอต้องมาเดินทั้งวันก็เริ่มเมื่อย ช่างทำผมด้านหลังกำลังตัดผมให้เธออยู่ เธอจึงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับไปทันที
สวีรั่วชีนับถือในความสามารถของเธอจริงๆ นั่งพลิกนิตยสารอยู่ข้างๆ เธอไม่เชื่อหรอกว่าเหยียนเค่อจะไม่กระวนกระวาย ถ้าเห็นซย่าเสี่ยวมั่วไปคู่กับเพื่อนเจ้าบ่าวคนอื่น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น