ยอดรักชายาอัปลักษณ์ 303-310

 ตอนที่ 303 สาวใหญ่ชั่วร้ายผู้ขายซาลาเปา


 


 


ยามอัสดง หนิงอวี้สภาพสะบักสะบอมเดินออกมาจากป่า เผ้าผมของนางกระเซอะกระเซิง ทั่วตัวแซมด้วยเศษใบไม้ใบหญ้า ชายกระโปรงขาดวิ่น ดูราวกับผีเสื้อที่ปีกโดนทำลาย


 


 


คนเหล่านั้นยังไม่ได้จากไป กลางหุบเขายังคงสว่างไปด้วยแสงจากคบเพลิง ทว่าตอนนี้ เป็นโอกาสอันงามที่นางจะหลบหนี กลางวัน นางไม่อาจระบุว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน แต่ในช่วงกลางคืน แสงคบเพลิงถูกพวกเขาจุดขึ้น ช่วยระบุตำแหน่งพวกเขาให้กับนาง


 


 


หนิงอวี้มือหนึ่งกุมท้องน้อย อีกมือคลำหาต้นไม้เพื่อค้ำยัน ดวงจันทร์เคลื่อนออกจากหลังก้อนเมฆ แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลงมา หนิงอวี้มองเห็นทางเบื้องหน้าอย่างชัดเจน


 


 


หนิงอวี้เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ท่ามกลางดวงดารานับหมื่นพันในที่สุดก็พบแสงสว่างนำทาง หนิงอวี้เดินตามดวงดาวนั้นไปช้าๆ ด้านหลังหนิงอวี้ ชายกระโปรงอันงามหรูถูกฉีกขาดเป็นเศษผ้ารุ่งริ่ง เมื่อชายกระโปรงเฉียดผ่านกิ่งไม้ ก็ทิ้งเศษผ้าแพรต่วนสีแดงสดไว้หนึ่งชิ้น ท่ามกลางสีเขียวชอุ่มไปทั่วเช่นนี้ดูสะดุดตาอย่างยิ่ง


 


 


หนิงอวี้ยกมือขึ้นหมายจะหักกิ่งไม้กิ่งทำมาเป็นไม้เท้า แต่ก็ออกแรงไม่ได้แม้แต่น้อย แม้กระทั่งจะกำหมัดก็ไม่อาจทำได้ หนิงอวี้เกิดกลัวขึ้นมาฉับพลัน นางส่ายหน้าไปมาอย่างร้อนรน


 


 


นางย่อเข่านั่งลงใช้มือทั้งสองเก็บก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นมาทุบไปยังกิ่งไม้จนหักแหว่ง ทำเช่นนี้ซ้ำไปมาในที่สุดกิ่งไม้ก็ขาดออก


 


 


อรุณเบิกฟ้า หนิงอวี้เดินออกจากหุบเขา เดินก้าวกระเผลก รองเท้าปักลายเต็มไปด้วยโคลนดิน สถาพโทรมอย่างยิ่ง หนิงอวี้เริ่มรวบรวมกำลังกลับมาได้ นางใช้มือทึ้งชายเสื้อชุดมงคลโยนลงพื้น แล้วเดินโซซัดโซเซไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ไกลออกไป


 


 


นางเดินจากมาไม่นาน ผู้คนขบวนหนึ่งก็วิ่งไปยังที่แห่งนั้น ผู้เป็นหัวหน้ากุมผ้าแพรต่วนแดงสดสองสามชิ้นในมือแน่น เขายืนอยู่ที่กับที่ยื่นมือไปเก็บชายกระโปรงชุดนั้นขึ้นมา ครั้นแล้วก็โยนมันลงพื้น


 


 


“ตามไป นางต้องหนีไปยังหมู่บ้านเล็กๆ นั่นแน่”


 


 


ผู้คนบนท้องถนนต่างประหลาดใจ มองไปยังหญิงสาวในสภาพสะบักสะบอมผู้นั้น ทั้งที่หมดสภาพเหลือทนเช่นนี้ แต่กลับดูงามสง่าจนยากที่จะละสายตาไปได้


 


 


นางสวมใส่ชุดงามหรู ชายกระโปรงกลับฉีกขาดจนหมดสภาพ ดูแล้วขัดสามัญยิ่งนัก หญิงใบหน้างามประณีต บนใบหน้ากลับมีรอยแผลยาวรอยหนึ่ง ในมือนางกุมแท่งไม้ยาวแน่น ดูแกร่งกล้าและอ่อนแอในเวลาเดียวกัน


 


 


หนิงอวี้ค่อยๆก้าวไปอย่างลำบาก ทุกที่ซึ่งขยับผ่านล้วนแต่ทิ้งรอยเลือดเอาไว้ ขาทั้งสองปวดจนชา แต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือก คงเพราะเลือดไหลซึมลงถึงถุงเท้า


 


 


หนิงอวี้ยิ้มแหย แม้นางจะสภาพสาหัสเช่นนี้ แต่ก็นับว่าหนีมาได้แล้ว ไม่ไกลจากที่นั่นมีเสียงหญิงวัยกลางคนตะโกนร้องขายซาลาเปา กลิ่นหอมลอยตามลมแตะปลายจมูก


 


 


หนิงอวี้รู้สึกท้องว่าง จึงขยับเขยื้อนตัวไปยังร้านซาลาเปาอย่างลำบาก


 


 


“มานางกินซาลาเปาไหม ลูกละสองเหวิน[1]”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้า ยื่นมือไปล้วงหาถุงผ้า ทันใดนั้นก็พบว่าตนเองกำลังตกสู่สภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


 


 


นางยื่นมือขึ้นดึงปิ่นทองด้ามหนึ่งออกจากผม แล้วยื่นให้สาวใหญ่


 


 


“แลกกับเงินและซาลาเปาทั้งหมดได้หรือไม่”


 


 


สาวใหญ่รับปิ่นปักผมทองมาสำรวจอย่างละเอียด แล้วหัวเราะจนหุบปากไม่ลง


 


 


หนิงอวี้ถอนใจอย่างโล่งอก กำลังจะยื่นมือไปหยิบซาลาเปา สาวใหญ่ก็ถลึงตาเชิดจมูก เอามือเท้าเอวตะโกนด่า “ดีจริงนะเจ้า เอาปิ่นทองปลอมมาให้ข้า แล้วยังคิดจะกินซาลาเปาข้าอีก คิดว่าข้าดูไม่ออกจริงหรือ”


 


 


นางพูด พลางเอาปิ่นทองเก็บไว้ในแขนเสื้อ หนิงอวี้ตั้งใจจะอธิบาย เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางนางแล้วก็ยิ้มเยาะ


 


 


“ในเมื่อเช่นนั้น เจ้าก็คืนปิ่นทองข้ามา”


 


 


สาวใหญ่ย่นคิ้วแล้วพึมพำออกมาว่า “ไม่ได้หรอก จะให้เจ้าเอาของปลอมไปเที่ยวหลอกผู้คนอีกได้กระไร ให้ซาลาเปาเจ้าสองลูก แล้วไปซะ!”


 


 


นางพูดไปไปพลางเอากระดาษขึ้นมาห่อซาลาเปาเย็นชืดที่อยู่ด้านข้างแล้วโยนไปกลางอกหนิงอวี้


 


 


หนิงอวี้ขบฟันรู้สึกโกรธขึ้นมาในใจเดือดดาลดังไฟลุก นางถลึงตาใส่สาวใหญ่ทีหนึ่ง สาวใหญ่ถูกสายตานั้นทำให้หวาดกลัวจนหดตัวถอย เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังตื่นกลัวก็เอามาขึ้นเท้าเอวอีกครั้ง


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] เหวิน หน่วยค่าเงินสกุลจีน เทียบกับหยวน หนึ่งหยวนจะเท่ากับหนึ่งพันเหวิน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 304 พบสหายเก่า


 


 


หากเป็นเมื่อก่อน หนิงอวี้คงจะพังแผงนางเป็นแน่ แต่ตอนนี้ ร่างกายนางไร้เรี่ยวแรง เบื้องหลังยังมีทหารคอยตามล่าอยู่นับไม่ถ้วน หนิงอวี้ขบฟัน กุมซาลาเปาเย็นชืดสองก้อนนั้นแน่น แล้วค่อยๆ ขยับกายกระเถิบไปด้านข้าง


 


 


“ป้าหลี่ ขอซื้อซาลาเปาสามลูก”


 


 


เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น หนิงอวี้หันกายกลับก็เห็นท่านหมอผู้รักษาบิดากำลังยืนอยู่ด้านหน้า


 


 


เขารับซาลาเปา นับเงินจำนวนหกเหวินอย่างรอบคอบแล้วจ่ายให้สาวใหญ่ ครั้นแล้วก็ยื่นซาลาเปาให้หนิงอวี้


 


 


“คาระวะท่านนายพลหนิง”


 


 


หนิงอวี้ชำเลืองขึ้น พยักหน้ารับสีหน้าเรียบแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “เจ้าหนีออกมาได้อย่างไร”


 


 


ท่านหมอยิ้มเจื่อน โน้มกายคำนับแล้วตอบ “ตอนนั้นทุกอย่างวุ่นวาย ข้าอาศัยช่วงโกลาหลหลบหนีออกมา ใช่แล้ว ดูสภาพท่านนายพลตอนนี้ มีอะไรที่ข้าช่วยเหลือได้หรือไม่”


 


 


หนิงอวี้ถือซาลาเปาที่เย็นชืดสองลูกหมุนตัวเดินจากไป ยังเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกเขาเรียกเอาไว้ “ท่านนายพลคงอยากรู้เรื่องราววันนั้นใช่หรือไม่ ข้าน้อยได้รับคำขอร้อง จึงพยายามช่วยเหลือท่านแม่ทัพอย่างสุดความสามารถ เสียดาย…”


 


 


หนิงอวี้ขมวดคิ้ว มือค้ำกิ่งไม้เคลื่อนตัวเดินไปช้าๆ นางไม่เอ่ยวาจา ยอมรับด้วยความเงียบงัน ท่านหมอรีบเดินตามมาแล้วอธิบายต่อด้วยเสียงอันเบา


 


 


“ข้าได้รับคำขอจากหนิงเฝ่ย ให้ไปรักษาท่านแม่ทัพ”


 


 


หนิงอวี้หันกายกลับฉับพลัน หมอไม่ทันสังเกต รีบยั้งฝีเท้าลงอย่างรีบร้อน อีกเพียงนิดก็เกือบชนกับนางเข้าแล้ว


 


 


“จริงหรือ”


 


 


หนิงอวี้ปล่อยมือจากกิ่งไม้และซาลาเปา ทั้งสองสิ่งตกลงสู่พื้นอย่างพร้อมเพียงกัน หนิงอวี้ไม่มีใจจะสน เอาแต่จ้องนิ่งไปยังเขาแล้วสอบถาม


 


 


“จริงขอรับ ข้าได้รับความช่วยเหลือจากหนิงเฝ่ย วันนั้น เขามาหาข้าแล้วกำชับสั่งเรื่องนี้แล้วก็หันกายเดินจากไปเสีย” หมอส่ายหน้าแล้วเปลี่ยนหัวเรื่อง “ข้าเองก็คิดว่าเขาตายไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมาปรากฏตัวแบบนี้”


 


 


หนิงอวี้ไม่ตอบ นางคร้านที่จะเก็บซาลาเปาและกิ่งไม้บนพื้น นางผินกายแล้วขยับเดินทีละก้าว ร่างกายแข็งทื่อราวกับผีตายซาก


 


 


“ข้าได้รับความช่วยเหลือจากหนิงเฝ่ย แต่กลับรักษาท่านแม่ทัพหนิงให้หายดีไม่ได้ ตอนนี้ท่านตกทุกข์บาดเจ็บ ได้โปรดให้ข้าช่วยเหลือท่านให้หลุดพ้นจากสภาพลำบากนี้เถอะ เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณต่อหนิงเฝ่ย”


 


 


“ไม่จำเป็น!” ริมฝีปากบางของหนิงอวี้กระทบกัน นางขบฟันกล่าวตอบออกไป ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับฟ้าหมุนแผ่นดินกลับ วินาทีที่ล้มลงกับพื้น นางเห็นท้องฟ้าหมุนไปมาไม่หยุด ก้อนเมฆหนึ่งก้อนบนนั้นราวกับซ้อนกันเป็นสามก้อน


 


 


——


 


 


เมื่อนางฟื้นขึ้น กลิ่นยาสมุนไพรก็โชยคละคลุ้งแตะปลายจมูก หนิงอวี้ลุกขึ้นนั่งอย่างลำบากก็เห็นภาพของห้องอันเก่าโทรมห้องหนึ่ง ประตูไม้เสียงดังเอียดอาดขึ้นหนึ่งที จนทำให้ต้องขบฟันแน่นด้วยความแสลงหู


 


 


“ท่านแม่ทัพหนิง ท่านตื่นแล้ว”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้ารับเงียบๆ นางเลิกผ้าห่มออกหมายจะลงเตียงก็ถูกท่านหมอรั้งตัวเอาไว้


 


 


“มิได้เด็ดขาดนะท่านแม่ทัพหนิง ตอนนี้ร่างกายท่านอ่อนแอถึงที่สุด จะฝืนอีกไม่ได้นะขอรับ”


 


 


“ข้าใส่ยาให้ท่านแล้ว ท่านหยุดพักก่อนสักสองสามวันเถิด”


 


 


หนิงอวี้ส่ายหน้าบอกปัด จะหยุดไม่ได้ ถ้าหากโดนตามทัน ความพยายามทั้งหมดก็ไร้ความหมาย


 


 


หนิงอวี้ลุกขึ้นโดยไม่พูด นางค้ำผนังเดินไปยังประตู หลังจากท่านหมอทายาให้ ข้อมือรู้สึกเย็นเล็กน้อย หนิงอวี้หยุดลง ค่อยๆ หมุนตัวกลับ ยกมือขึ้นดึงปิ่นทองด้ามสุดท้ายบนผมออกมาแล้วยื่นให้ท่านหมอ


 


 


“ขอบใจมาก นี่คือค่ายา”


 


 


หมอส่ายมือบอกปัดไม่หยุด หนิงอวี้วางปิ่นทองบนโต๊ะแล้วฝืนหน้าปั้นยิ้มน้อยๆ หนึ่งที จากนั้นก็ผินกายจากไป ท่านหมอขมวดคิ้ว รีบเดินตามไป


 


 


วินาทีที่เปิดประตูนั้น ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูดังขึ้น


 


 


“พี่น้องข้า! เข้าไปดู…อยู่นี่ จับนางไว้!”


 


 


หนิงอวี้ยิ้มเจื่อน คนเรานี่พอต้องโชคร้าย แม้น้ำเปล่าก็ยังติดคอได้


 


 


จะปล่อยให้บ้านหมอพังไม่ได้ นางโน้มตัวลงเก็บไม้กวาดบนพื้นด้ามหนึ่งขึ้นมา โชคดีที่หลับไปหนึ่งตื่น พอฟื้นพลังได้เล็กน้อยจนสามารถหยิบไม้กวาดขึ้นได้


 


 


 “บุกเลย พี่น้องทั้งหลาย!”


 


 


หนิงอวี้ยกไม้กวาดขึ้น ฝืนรับการโจมตี มืออันปวดล้าไร้เรี่ยวแรงกับไม่เชื่อฟัง ในจังหวะเดียวกันนั้น ท่านหมอก็ถือกระจาดตากข้าววิ่งพุ่งเข้ามา หลบได้หนึ่งดาบ กระจาดในมือท่านหมอขาดออกเป็นสองเสี่ยง


ตอนที่ 305 เด็กน้อยทะเลาะกัน


 


 


หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว เดินเข้าไปขวางหน้าเขาไว้ เวลานั้นเอง จอบด้ามหนึ่งก็พุ่งเข้ามาด้านหน้าหนิงอวี้พอดี


 


 


ผู้มาเยือนคิ้วเข้มตาคม ใช้จอบดั่งอาวุธอย่างน่าเกรงขาม หนิงอวี้ก้าวถอยสองสามก้าว ดูจากรูปร่างและลีลาของเขาก็รู้ได้ว่าฝึกฝนวิทยายุทธ์มาหลายปี แต่ทว่าคนผู้นี้กำลังภายในกลับไม่มากพอ


 


 


เมื่อหัวจอบกระเด็นกลิ้งไปกับพื้น คนผู้หนึ่งก็ถือดาบฟันเข้ามายังเขา หนิงอวี้ขมวดคิ้ว คนผู้นี้ไม่มีกำลังภายใน! นางย่นคิ้วจิกปลายเท้าลงดิน รู้สึกเจ็บเสียดขึ้นมาถึงหัวใจ นางทะยานขึ้นกลางอากาศใช้มือข้างหนึ่งฟันไปยังคนถือดาบนั้น


 


 


ชายผู้ซึ่งถือจอบกวัดแกว่งก้าวถอยสองสามก้าวแล้วเก็บเอาหัวจอบขึ้นมา


 


 


“พระชายาถอยก่อน มั่วซวนขอสาบานแม้ตายก็จะคุ้มครองท่าน”


 


 


มั่วซวน มั่วซวน น้องของซีเย่ว์! หนิงอวี้สองตาเบิกโพลง แม้แต่ท่านหมอเองก็ตะลังงัน


 


 


“น้องมั่ว เดิมทีเจ้าเคยรับใช้ท่านอ๋องใช่หรือไม่”


 


 


มั่วซวนไม่ตอบ กำลังยุ่งกับการสกัดรับการโจมตีจนไม่มีเวลาแบ่งความคิด หนิงอวี้ยื่นมือไปหยิบไม้กวาดบนพื้น แล้วรีบเดินไปรับหน้าศัตรู ข้อมือปวดระบม หนิงอวี้หาจังหวะท่ามกลางความวุ่นวายใช้ผ้าแถบหนึ่งพันมันเอาไว้จนแน่น


 


 


“ท่านนายพลหนิง! ไม่ได้เด็ดขาด การกดทับแผลจะทำให้บวมเลือด ต้องรักษาไปอีกหลายวัน!”


 


 


หนิงอวี้ไม่ตอบ มีเพียงเช่นนี้จึงจะสามารถใช้แรงออกมาได้บ้าง


 


 


อีกฝ่ายถือดาบ ฝึกปรือวรยุทธ์มาเนิ่นนาน กำลังภายในของมั่วซวนถูกทำลาย ในมือถือจอบบุกถอยด้วยท่าทีเหลือทน หนิงอวี้แม้แต่ย่างก้าวยังไม่มั่นคง เกือบถูกอีกฝ่ายฟันจนบาดเจ็บอยู่หลายครั้ง


 


 


ท้ายที่สุด ไม้กวาดในมือหนิงอวี้ก็ถูกฟันขาด ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น คนชุดดำนับไม่ถ้วนตั้งวงรายล้อมเรือนเล็กหลังนี้ไว้ มีคนผู้หนึ่งทะยานขึ้นกลางอากาศ เข้ามาขวางด้านหน้าหนิงอวี้ ในมือถือกริชสั้นแทงสังหารศัตรู


 


 


เสียงคำสั่งดังขึ้นหนึ่งที กองกำลังทั้งสองฝ่ายโรมรันฆ่าฟัน เพียงครู่เดียว เหล่าคนชุดดำที่มาถึงทีหลังก็สังหารเหล่าโจรที่มาก่อนจนสิ้น


 


 


ผู้เป็นหัวหน้าคุกเข่าลงกับพื้น


 


 


“อวี้หนูมาช้า ขอแม่นางโปรดอภัยให้ด้วย”


 


 


ผ้าดำปกปิดใบหน้าถูกดึงออก ปรากฏใบหน้าอันงามประณีตเย้ายวนของอวี้หนู


 


 


ไม้กวาดที่ขาดครึ่งร่วงลงกับพื้น หนิงอวี้ล้วงคลำในแขนเสื้อ เพื่อหาเข็มเงิน อวี้หนูยกตลับไม้ใบนั้นขึ้น แล้วพูดขึ้นเสียงเบา “นายท่านมอบให้อวี้หนู คอยส่งท่านกลับบ้าน ของขวัญชิ้นนี้ ท่านได้โปรดเก็บรักษาให้ดีด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


หนิงอวี้ชะงักนิ่ง อวี้หนูพยักหน้าแล้วชูตลับไม้ขึ้นเหนือศีรษะ หนิงอวี้ยื่นมือที่พันรัดไปด้วยแถบผ้าออกไป รับเอาตลับไม้มา อวี้หนูลุกขึ้นช้าๆ แล้วส่งยิ้มน้อยๆ ไปยังนางหนึ่งที ครั้นแล้วก็โพกผ้าหันกลับไปตะโกนสั่งเหล่าคนชุดดำที่ยืนอยู่กันเป็นแถวว่า “ออกเดินทางได้!”


 


 


หนิงอวี้หันกายกลับ แล้วยอบกายคำนับอย่างอ่อนหวาน


 


 


“ขอบคุณท่านหมอ เช่นนั้นขอลาก่อน”


 


 


ท่านหมอพยักหน้าไม่ขาดแล้วล้วงเอาขวดขี้ผึ้งยาออกมาจากในแขนเสื้อ


 


 


“ในเมื่อท่านนายพลหนิงมีคนคุ้มกันไปส่ง ข้าก็ไม่เพิ่มปัญหาให้ท่านแล้ว ขี้ผึ้งยาสองสามขวดนี้ให้ทาลงบนรอยบาดเจ็บ ช่วยลดอาการบวมอักเสบได้”


 


 


หนิงอวี้รับขี้ผึ้งยามาแล้วหันกายเดินจากไป มั่วซวนกลับโค้งคำนับแล้วเข้ามาขวางหน้านาง


 


 


“ข้าน้อยอยากติดตามพระชายาไปด้วย คอยอารักขาท่านกลับสู่ข้างกายท่านอ๋อง”


 


 


“ทำไมกัน ข้าจำได้…ตอนแรกเจ้าหมายใจให้ข้าตาย”


 


 


มั่วซวนได้ยินสีหน้าพลันเปลี่ยน เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบว่า “ข้าน้อยคิดเผื่อท่านอ๋อง ว่ามิควรลุ่มหลงในรูปลักษณ์ของอิสตรี หากแต่ตอนนี้ ท่านต่างหากที่ท่านอ๋องให้ความสำคัญที่สุด”


 


 


“ดังนั้น ข้าน้อยขออารักขาพาท่านกลับไปยังข้างกายท่านอ๋อง นี่ก็เป็นการคิดเพื่อท่านอ๋องเช่นกัน”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้าพยายามสงบใจ บนแก้มกลับแดงขึ้นระเรื่อด้วยความขวยเขิน


 


 


นาง ถึงจะเป็นผู้ที่ท่านอ๋องให้ความสำคัญหรือ หนิงอวี้ยกมุมปากยิ้ม ครู่หนึ่งก็รู้สึกตัวขึ้นได้ว่าตนกำลังยิ้มบาง นางก้มหน้าลง หมายใช้ปอยผมข้างใบหูปกปิดใบหน้าแดงๆ ของนาง


 


 


อวี้หนูมองอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเยือกเย็นแล้วพูดออกมาเสียงเบา “นายท่านของข้าก็ให้ความสำคัญท่านนะ”


 


 


มั่วซวนขมวดคิ้ว เขาพุดสวนกลับ “ข้าไม่รู้ว่านายท่านของเจ้าเป็นใคร! ท่านอ๋องต่างหากที่เป็นพระสวามีพระชายา เจ้าช่วยระวังคำพูดด้วย!”


 


 


“ฮึ หากใส่ใจจริง ไยจึงทำได้ปล่อยให้พลัดหลงเล่า”


 


 


“หึ ต่อให้พวกเจ้าหาพระชายาพบ ก็ยังต้องส่งนางกลับไปข้างกายท่านอ๋องอยู่ดีมิใช่หรือ”


 


 


“เจ้า!”


 


 


“ข้าเป็นอย่างไรหรือ”


 


 


เมื่อครู่ต่อสู่เข่นฆ่ากันรอบทิศ เรือนน้อยที่เต็มไปด้วยแสงเงินสะท้อนจากดาบและกระบี่ทันใดนั้นก็เต็มไปด้วยเสียงพูดจาราวกับเด็กๆ สองฝ่ายโต้เถียงกันไม่หยุด ราวกับเด็กน้อยทะเลาะกัน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 306 นายพลหนิงกลับมาแล้ว!


 


 


ภายใต้ดวงอาทิตย์อัสดงสีแดงเพลิง ผู้คนขบวนหนึ่งคอยหมุนสลับผลัดเวร ในที่สุดก็มาถึงที่ประจำการของกองทัพราชวงศ์ใต้ พวกเขาหลบซ่อนอยู่กลางป่าเขา มองไปยังกระโจมหนังวัวหลังแล้วหลังเล่า


 


 


ชุดมงคลบนตัวหนิงอวี้ขาดวิ่นจนดูไม่ได้เสียแล้ว แต่กลับยังดูงดงามไปอีกแบบ นางยังไม่ทันมวยผม เส้นผมดำขลับนับพันปลิวไสวตามสายลม นางทอดมองออกไปไกล แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นแห่งการรอคอย


 


 


อวี้หนูคุกเข่าลงกับพื้น แล้วพูดเสียงเบา “แม่นางหนิง เช่นนั้นก็ขอทูลลา”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้าเดินเข้าไปสองสามก้าวประคองนางลุกขึ้น แล้วพูดว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”


 


 


“ข้าน้อยทำหน้าที่รับใช้นายท่าน แม่นางหนิง นายท่านยังฝากบอกกับท่านว่า จากนี้ไปขอให้ระวังทุกสิ่งอย่าง ต้องรักษาร่างกายให้ดี”


 


 


มั่วซวนสองมือกอดอก ได้ยินดังนั้นก็แค่นเสียงเยาะหนึ่งที “ท่านอ๋องของข้าดูแลพระชายาได้ อย่าได้เป็นห่วงไปเลย” หนิงอวี้อยู่กลางคนทั้งสอง สัมผัสได้ถึงความตรึงเครียดระหว่างสองฝ่ายก็เป็นอันทำตัวไม่ถูก


 


 


“ฮึ!” อวี้หนูแค่เสียงออกปลายจมูกหนึ่งที ตามด้วยหันกายมายังหนิงอวี้ “นายท่านบอกว่า แม้นได้พบกันโดยบังเอิญ หวังว่าท่านจะเรียกพระองค์ว่าท่านพี่”


 


 


หนิงอวี้ไม่ตอบคำถามนี้ นางนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้มช้าๆ อวี้หนูเข้าใจความขัดขืนใจของนาง จึงได้แต่พยักหน้าแล้วพูดว่า “อวี้หนูจะไปเรียนนายท่าน อวี้หนูขอลา ขอท่านระวังตัวด้วย”


 


 


“ไม่ต้องลำบากเป็นห่วงหรอก ข้าจะอารักขาพระชายาเอง!”


 


 


“ฮึ ด้วยจอบของเจ้านั่นหรือ”


 


 


เอาอีกแล้ว หนิงอวี้บ่นครวญในใจหนึ่งที สองสามวันนี้ เอาแต่ปะทะคารมกันไม่หยุดไม่หย่อน ตอนแรกนางคิดว่ามั่วซวนที่เป็นองครักษ์มาก่อนคงไม่ช่างพาทีมากนัก คิดไม่ถึงว่าจะวาจาช่ำชองเพียงนี้ ทำเอาอวี้หนูถึงกลับหมดคำพูดได้แต่นิ่งเงียบอยู่บ่อยๆ


 


 


หนิงอวี้เงยหน้ามองท้องฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ครั้นแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ ดีจัง กลิ่นไอแห่งอิสรภาพ ข้างหน้ายังมีบางคนรอนางกลับบ้านอยู่


 


 


หนิงอวี้ลูบบนท้องน้อยๆ แล้วพูดออกมาเสียงเบา “ประเดี๋ยวก็จะได้พบท่านพ่อเจ้าแล้ว แม่รู้กาพย์กลอนน้อย แต่ท่านพ่อเจ้ารอบรู้หนังสือ ต้องตั้งชื่ออันไพเราะให้เจ้าได้แน่”


 


 


เสียงเอะอะดังอยู่เพียงครู่หนึ่ง อวี้หนูก็พาคนชุดดำหลายคนจากไป มั่วซวนยืนอยู่ที่เดิม มองไปยังภาพด้านหลังอันงามสง่าของอวี้หนูอยู่เงียบๆ ครั้นแล้วก็ก้มหน้าท่าทีดูกลัดกลุ้ม


 


 


หนิงอวี้มองอยู่จากอีกข้างแล้วพูดขึ้นมาทันใดว่า “หากตามไปตอนนี้ ยังทันนะ”


 


 


ทั้งสองโต้เถียงกัน ทีจริงก็สนุกไม่น้อย


 


 


มั่วซวนได้ฟังนิ่งอึ้ง บนใบหน้าที่ปกติไร้อารมณ์นั้นแดงขึ้นมาระเรื่อ เขากระแอมเบาๆ หนึ่งที แล้วคุกเข่าลงกับพื้น


 


 


“ให้ข้าน้อยส่งท่านกลับไปยังข้างกายท่านอ๋องเถอะขอรับ”


 


 


ทุกก้าวที่เดินเข้าใกล้ หนิงอวี้ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น นางยื่นมือไปจิกชายกระโปรงแน่น รู้สึกหัวเสียที่สภาพตนตอนนี้ดูไม่งามนัก ครั้นแล้วก็นึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกับเขาขึ้นมา


 


 


นางยื่นมือขึ้น จัดระเบียบเผ้าผมที่พันรุงรังแล้วเดินเข้าไปในค่าย พลทหารถือหอกยาวขวางนางไว้ แล้วตะคอกเสียงดัง “ที่นี่คือค่ายทหาร เจ้าเป็นผู้ใด”


 


 


“หนิงอวี้”


 


 


พลทหารได้ยินก็หัวเราะเยาะ ใบหน้าแผงด้วยความเย้ยหยัน


 


 


“ฮึ นายพลหนิงหรือ นายพลหนิงเดี๋ยวราชวงศ์เหนือจะมาส่งตัวเอง จะเป็นเจ้าได้อย่างไร…”


 


 


“เอะอะอะไรกัน”


 


 


คนผู้หนึ่งแหวกม่านเดินออกมา คนผู้นั้นสวมเกราะสีดำ ท่าทางดูคล่องแคล่วห้าวหาญ


 


 


“ท่านนายพลหนิง! ท่านกลับมาแล้ว!”


 


 


นายพลชุดดำตะโกนขึ้นเสียงดังแล้วรีบเดินเข้าไปโดยเร็ว ใบหน้าเขาเริ่มแดงขึ้น แต่ด้วยผิวอันคล้ำของเขาจึงไม่ได้แดงจนสะดุดตานัก


 


 


หนิงอวี้พยักหน้า ท่าทางอ่อนน้อม


 


 


“ใช่แล้ว วันนั้นข้าบุ่มบ่ามเกินไป ทำให้ท่านนายพลต้องผิดหวัง…”


 


 


นายพลชุดดำหันกายตะโกนเสียงแทรกขึ้นมาหนึ่งที “นายพลหนิงกลับมาแล้ว! รีบไปกราบทูลฮ่องเต้เร็ว”


 


 


ทันทีที่พูดจบ พลทหารนับไม่ถ้วนในกระโจมน้อยใหญ่ก็โผล่ออกมา ส่วนใหญ่ต่างแต่งตัวกันเรียบร้อย มีเพียงบางนายถือชุดฟางในมือยังไม่ทันสวมใส่ ก็อดใจรอไม่ได้จึงมุดออกมามุงดูอย่างสนใจ


ตอนที่ 307 นั่นไม่สำคัญ


 


 


“ฝ่าบาททรงทราบว่าท่านหายตัวไปกลางสนามรบ ทรงค้นหากลางกองซากศพอยู่สองชั่วยาม”


 


 


“อืม”


 


 


หนิงอวี้เอ่ยตอบ ในใจรู้สึกปวดร้าว


 


 


นายพลชุดดำยั้งฝีเท้าโดยพลัน เขายกมือขึ้นมาป้องปากแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ได้ยินว่าทรงกันแสงใหญ่เชียว…”


 


 


เสียงฝีเท้าดังขึ้น ชายในชุดเกราะสีเงินทั้งตัวเดินเข้ามาด้านหน้า


 


 


มือที่กุมชายกระโปรงแน่นของหนิงอวี้ปล่อยทิ้งลง สายตาเริ่มมัวพร่า เว่ยหยวนยืนอยู่หน้านาง แววตาดูซับซ้อน ใบหน้ากลับเยือกเย็นอย่างที่สุด


 


 


นายพลชุดดำเข้าใจสถานการณ์ก็ถอยออกไป มั่วซวนเองก็เช่นกัน ทั้งสองยืนมองคนทั้งคู่จ้องกันอยู่เงียบๆ


 


 


ทันใดนั้นเอง มั่วหลีก็เดินเข้ามา ทั้งสามเรียงหน้ากระดาน เบียดบดหลบในช่องระหว่างกระโจมอยู่เงียบๆ


 


 


“กลับมาก็ดีแล้ว”


 


 


เสียงอันคุ้นหูดังขึ้น หนิงอวี้ดีใจจนน้ำตาไหลอาบผ่านแก้ม ไหลไปตามรอยแผลยาว


 


 


นางก้าวเข้าไปสองสามก้าวแล้วกอดเว่ยหยวน เว่ยหยวนกอดนางแน่น ก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่านางผ่ายผอมลงไปไม่น้อย เขาก้มหน้าลงยังคงได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกล้วยไม้บนเรือนผมนาง


 


 


“หม่อมฉันกลับมาแล้วเพคะ”


 


 


ในที่สุดก็กลับมาแล้ว ต่อให้ทั่วทั้งกายเต็มไปด้วยบาดแผล ต่อให้หนทางจะยากลำบากมาตลอดก็ตาม เว่ยหยวนพึมพำเสียงเบา “กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”


 


 


ทั้งสองกอดกัน ท้องฟ้าสาดย้อมด้วยแสงสายันต์จนแดงแสดไปทั่ว แสงตะวันอันอบอุ่นสาดกระทบบนกายคนทั้งสอง


 


 


ครู่หนึ่ง เว่ยหยวนก็คลายอ้อมกอด แล้วกุมมือหนิงอวี้ขึ้น หนิงอวี้กลับร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทีหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เว่ยหยวนขมวดคิ้ว ยื่นมือหมายจะคว้ามือนางขึ้นมาสำรวจอย่างละเอียด หนิงอวี้กลับหดมือซ่อนไว้ด้านหลัง


 


 


เว่ยหยวนรู้สึกโกรธเล็กน้อย เขายื่นมือไปคว้ามือนางก็พบว่าร้อนผ่าวไปทั่ว หนิงอวี้หดตัวถอยเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นเสียงเบา “เพียงแค่บาดเจ็บเล็กน้อย…”


 


 


หนิงอวี้กระแอมหนึ่งที กลับถูกสายตาอันดุดันของเว่ยหยวนทำให้ตกตะลึงถอยหลัง ได้แต่ปล่อยให้เขาตรวจดูอย่างละเอียด บนข้อมือมีรอยบวมช้ำนูนขึ้นเป็นทางยาว ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง ฝ่ามือเลอะไปด้วยคราบเลือด ท่ามกลางคราบเลือดมีเศษไม้ใบหญ้าติดปนอยู่


 


 


เว่ยหยวนหลับตาทั้งคู่ลงพยายามสะกดความโกรธเอาไว้แล้วรวบตัวนางขึ้นอุ้มพาดบนแขน เขาก้าวเดินเข้าไปในกระโจมอย่างรวดเร็ว กระเทือนเข้ากับแผลเก่า หนิงอวี้รู้สึกเจ็บ แต่นางกลับไม่กล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่นิด ในความคิดนางเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเว่ยหยวนโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว


 


 


แกล้งป่วยหรือ ดูเหมือนจะไม่จำเป็น นางได้รับบาดเจ็บหนักอยู่แล้ว แผนการที่ดีที่สุดตอนนี้ ดูเหมือนจะเป็นการยอมรับผิดเสียแต่โดยดี เมื่อคิดถึงจุดนี้ หนิงอวี้ก็เงยหน้าขึ้นแล้วจุมพิตไปยังคางของเว่ยหยวนอย่างอ่อนหวานหนึ่งที


 


 


น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลของเว่ยหยวนวินาทีนี้หายไปจนสิ้นด้วยความอบอุ่นจากจุมพิตนี้ สีหน้าที่ฉาบด้วยความโกรธคลายลงเล็กน้อย เขาก้มหน้าลงหมายจะกล่าวสั่งสอนนางสักสองสามคำ ก็เห็นรอยแผลเลือดเกาะแข็งรอยหนึ่งบนหน้าผากหนิงอวี้


 


 


ภูเขาไฟที่มอดดับไปในตอนแรกกลับปะทุร้อนราวกลับตกลงกลางดาวอังคาร ลุกไหม้โชติช่วง ไฟโกรธพวยพุ่ง ลุกลามสามโยชน์


 


 


“อย่าขยับ! เดี๋ยวข้าจะตามหมอหลวงมาดู!”


 


 


หนิงอวี้กระแอมขึ้นหนึ่งเสียง นางเอนกายซุกกลางอกเขาอย่างว่าง่าย ทำไมยิ่งโกรธขึ้นเรื่อยๆ หรือว่าจุดที่นางจุมพิต เอาชนะความโกรธเขาไม่ได้เลยหรือ


 


 


“มองอะไรกัน! ไสหัวไปซะ!”


 


 


นายพลชุดดำตะโกนขึ้นหนึ่งที ตะคอกเหล่าพลทหารที่กำลังมองดูอยู่จนถอยหนี ครั้นแล้วก็หัวเราะร้าย สวมหมวกเกราะแล้วเดินจากไป


 


 


มั่วหลีสีหน้าตื่นเต้น เขารั้งมือมั่วซวนเอาไว้แล้วถามขึ้น “ช่วงนี้เจ้าอยู่ดีหรือไม่ ใช่แล้ว อีกไม่นานข้าจะแต่งงานแล้ว เจ้าต้องมาดื่มกันนะ”


 


 


มั่วซวนสะบัดมือเขาออกสีหน้าเย็นชา แล้วพูดขึ้นน้ำเสียงเรียบว่า “ข้าก็ใกล้จะแต่งงานแล้ว”


 


 


มั่วหลีหน้าตาตื่น ถามขึ้นด้วยความแปลกใจว่า “เจ้าหรือ มีหญิงที่ชอบแล้ว ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ เป็นไปได้อย่างไร…”


 


 


มั่วซวนตัดบทเขา หันกายมองไปทางทิศของราชวงศ์เหนือแล้วพูดว่า “อืม”


 


 


“จากที่ใดกัน”


 


 


“ราชวงศ์เหนือ”


 


 


“สาวราชวงศ์เหนือนี่เอง ถึงว่าทำไมเจ้าถึงต้องไปถึงชายแดน นางงามไหม นางรู้หรือเปล่าว่าเจ้าชอบนาง”


 


 


มั่วซวนหรี่ตา ครั้นแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างสดใส


 


 


“งามสิ ปากก็ร้าย ข้าถูกใจยิ่งนัก”


 


 


“เจ้าหมายตานาง แล้วนางชอบเจ้าหรือไม่”


 


 


“นั่นไม่สำคัญ”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 308 เว่ยหยวนโกรธ


 


 


เว่ยหยวนนั่งอยู่ข้างเตียง มองใบหน้าหนิงอวี้ที่กำลังนอนอยู่ด้วยแววตาอันซับซ้อน ถึงเตียงก็หลับสนิท เห็นได้ชัดว่านางลำบากอย่างมากมาตลอดทาง ท่านหมอบอกว่า นางบาดเจ็บไปทั้งตัว


 


 


รอยแผลที่ถูกดาบแทงบนหน้าอกกำลังอยู่ในช่วงสมานตัว บนแขนซ้ายมีรอยแผลโดนแทงที่ไม่ทราบสาเหตุ เดิมทีควรจะหายแต่นานแล้ว แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดจึงปริซ้ำ เนื้อแตกปริออกมา


 


 


รอยแผลบนหน้าผากแม้จะเป็นจุดอันตราย อาจถึงชีวิตได้ง่ายๆ โชคดีที่บาดแผลค่อนข้างเล็ก แรงกระแทกไม่ได้รุนแรงนัก


 


 


รอยแผลบริเวณข้อมือคงได้ทายาขี้ผึ้งยามาแล้ว อีกหลายวันก็คงหายดี จำเป็นต้องระวัง ห้ามใช้แรง เว่ยหยวนคิดถึงจุดนี้ ก็ก้มหน้าลงอย่างกลัดกลุ้ม


 


 


แผลเหล่านี้ล้วนแต่เป็นแผลใหญ่ ยังไม่ต้องพูดถึงรอยเขียวช้ำบนเข่า และรอยขีดข่วนบนแขนและขา รวมทั้งฝ่ามือที่เลอะไปด้วยคราบเลือด


 


 


เจ้าเจออะไรมาหรือ อวี้เอ๋อร์ เว่ยหยวนถอนใจเบาๆ ก้มหน้าลงจุมพิตบนหน้าผากนางเบาๆ หนึ่งที ครั้นแล้วก็หันตัวจากไป แต่เขากลับถูกหนิงอวี้รั้งแขนเสื้อเอาไว้


 


 


“อย่าไปได้ไหมเพคะ”


 


 


หนิงอวี้เห็นเขาไม่พูดก็รีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ “แค่ประเดี๋ยวเดียว หม่อมฉันรับรองว่าจะไม่ให้งานราชการพระองค์เสียแน่นอนเพคะ”


 


 


เว่ยหยวนเห็นใบหน้านางยิ้มอย่างเอาใจ ในใจก็ราวกับถูกก้อนหินขนาดมหึมาวางทับเอาไว้ ในเมื่อข้าสำคัญเพียงนี้ ไยแต่แรกเจ้าไม่อยู่รอข้า หรือแม้แต่ แม้แต่บอกลาด้วยตัวเอง ก็ยังดีกว่าจดหมายฉบับหนึ่ง


 


 


เจ้ารู้หรือไม่ ว่าข้าค้นหากลางกองศพอย่างสิ้นหวัง ข้าคาดหวังกับใบหน้าทุกดวง แต่สุดท้าย ก็เหลือเพียงความสิ้นหวัง หนึ่งหมื่นห้าพันหกร้อยครั้ง หนิงอวี้ ข้าหวังเต็มเปี่ยมกับทั้งหนึ่งหมื่นห้าพันหกร้อยครั้ง ก็ผิดหวังทั้งหนึ่งหมื่นห้าพันหกร้อยครั้ง


 


 


ร้อยหมื่นคำพูดติดอยู่ริมปากอยากจะร้องคำรามระบายออกมา แต่ครั้นก้มหน้าเห็นแววตาคาดหวังของนางก็ได้แต่กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงไป


 


 


“สะสางงานราชการ”


 


 


เว่ยหยวนหันกายเดินจากไป หนิงอวี้มือชะงักอยู่กลางอากาศ พักใหญ่จึงปล่อยมือลง ปวด บาดแผลที่ทายานั้นปวดแสบดั่งไฟลวก แต่ใจนาง เจ็บปวดยิ่งกว่า


 


 


หนิงอวี้มองเหม่อไปยังฝ่ามือที่ลงขี้ผึ้งยาจนทั่วของตน นี่เกิดจากนางเดินรอนแรมทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้ได้พบเขาโดยเร็ว นางได้ใช้มือดึงพุ่มไม้ กิ่งหนาม ปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นปักทิ่มบนมือ


 


 


หลายครั้งนักที่นางเกือบเป็นลมล้มพับ หลายครั้งนักที่นางแทบล้มกองกับพื้น แต่เมื่อนางคิดขึ้นว่า ว่ายังมีคนผู้หนึ่งที่กำลังรอนางด้วยความกังวลใจอย่างยิ่ง รอนางด้วยทั้งหมดของหัวใจ คอยชะเง้อคอรอนางหวนกลับ นางก็รู้สึกว่า ทั้งกายเกิดเรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างไม่สิ้น


 


 


เหน็ดเหนื่อยจนศีรษะถึงหมอนก็หลับไป แต่จุมพิตอันอ่อนโยนนั้นทำให้นางตื่น ร่างกายอ่อนล้าถึงขีดสุด แต่จิตใจกลับฮึกเหิม แต่ทว่าในทันใด จิตใจที่ยินดีแทบคลั่งนั้นก็พลันสลายไปชั่วพริบตา


 


 


หนิงอวี้ฝืนเหยียดมุมปากยิ้ม ยื่นมือไปลูบท้องน้อยแล้วพูดปลอบใจเด็กในท้อง หรือบางทีนั่นคือการปลอบใจตัวนางเอง “ท่านพ่อเจ้าเป็นฮ่องเต้ มีราชกิจมากมายให้สะสาง จึงยุ่งมาก พวกเราต้องเข้าใจนะ”


 


 


“แม่เอาแต่ใจทำตัวเหลวไหล สร้างปัญหาให้เขามากมาย บางที ท่านพ่อคงกำลังจัดการกับปัญหาที่แม่ก่ออยู่…”


 


 


“ไม่เป็นอะไร!”


 


 


หนิงอวี้พยายามกระตุ้นจิตใจให้ร่าเริง ฝืนยกมุมปากขึ้นยิ้ม


 


 


“หลับสักตื่น ไว้ท่านพ่อเจ้าสะสางงานราชการเสร็จ พวกเราค่อยไปหาเขานะ”


 


 


หนิงอวี้พูดประโยคนี้จบ ก็หลับตาทั้งคู่ลง แต่ก็นอนไม่หลับเสียที เว่ยหยวนโกรธแล้วจริงๆ…หนิงอวี้ถอนใจหนึ่งที จ้องมองไปยังมุ้งปักลายด้วยสายตาเหม่อลอย


 


 


ไม่เป็นอะไร เขาโกรธไม่นานหรอก เพียงสองสามวันก็จะเป็นฝ่ายยอมรับผิดเอง หนิงอวี้คิดภาพเมื่อเวลานั้นมาถึงก็ยิ้มน้อยๆ ดึงมือที่โผล่ออกนอกผ้านวมกลับ


 


 


ราวกับเป็นความฝัน นางหนีพ้นพระราชวังประดับทอง หนีพ้นมู่หรงเหยียนได้แล้วจริงๆ แต่น่าเสียดาย จดหมายทั้งสองฉบับนั้นไม่ทันที่จะเก็บเอามาด้วย แต่นางกลับถือของขวัญของมู่หรงเหยียนมาเสียนี่


 


 


หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว ทันทีที่นึกถึงมู่หรงเหยียนก็พลันขนพองสยองเกล้าจนทำตัวไม่ถูก ผิดชอบชั่วดี นางแยกแยะไม่ถูก ได้แต่หนีจากมา


 


 


คำพูดเมื่อครั้งบิดายังมีชีวิตอยู่ บอกให้นางไม่ต้องไปตามหาเขา เช่นนั้นนางก็จะไม่ไปตามหาอีก คอยอยู่ข้างกายเว่ยหยวนใช้ช่วงชีวิตที่เหลือก็พอ


ตอนที่ 309 เว่ยหยวนแกล้งโกรธ


 


 


“ท่านนายพลหนิง เชิญรับอาหารเถิด”


 


 


หนิงอวี้ยื่นมาไปหยิบตะเกียบ ข้อมือกลับสั่นเทิ้มเบาๆ อยู่กลางอากาศ แม้เพียงคว้าตะเกียบก็ยังสั่นเบาๆ


 


 


หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว ยื่นมือไปหยิบช้อนแกงที่อยู่ด้านข้างขึ้น แล้วตักน้ำแกงที่อยู่ด้านข้างมาถ้วยหนึ่ง กินอาหารอย่างไร้รสอยู่ชั่วครู่ นางก็วางช้อนลงแล้วถอนหายใจยาว


 


 


เวลาเดียวกันนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น เว่ยหยวนแหวกม่านแล้วเดินเข้ามาในกระโจม เห็นนางกินข้าวที่วางอยู่ด้านหน้าไปเพียงครึ่ง ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างห้ามมิได้


 


 


หนิงอวี้เผยสีหน้าประหลาดใจ ครั้นแล้วก็มองตามสายตาเขาไปยังถ้วยของตน กระแอมเบาๆ หนึ่งที หนิงอวี้หยิบช้อนตักข้าวขึ้นมาเข้าปาก มือสั่นเบาๆ หนิงอวี้ก้มหน้าไปรับช้อน ไม่อยากให้เว่ยหยวนเห็นว่าตนไม่สบาย


 


 


“ท่านหมอบอกว่า เจ้าจำเป็นต้องบำรุงรักษา ต้องกินเนื้อให้มาก”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้า ยื่นมือไปหยิบตะเกียบขึ้น วินาทีถัดจากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าบนมือตนบาดเจ็บ ตะเกียบที่ถือในมือ ราวกับหนักถึงพันชั่ง


 


 


ตะเกียบสั่นเล็กน้อย หนิงอวี้ยื่นมืออีกข้างออกไปหมายจะจับข้อมือเอาไว้ให้มั่น แต่ถูกเว่ยหยวนรั้งเอาไว้ เว่ยหยวนสีหน้าบึ้งตึง ยื่นมือไปหยิบตะเกียบของนางมาแล้วคีบเนื้อชิ้นหนึ่งยื่นไปกลางถ้วยนาง


 


 


หนิงอวี้ยกยิ้มบาง เว่ยหยวนสีหน้ายังคงไม่ยินดี ทำเพียงมองสายตาหนิงอวี้แล้วคีบผักขึ้น สาวใช้ได้ยินมาว่าฮ่องเต้ทรงรักพระชายาอย่างไร้ที่สิ้นสุด เมื่อรู้สถานการณ์ก็ถอยไปยังมุมผนัง


 


 


“หม่อมฉันอยากกินปลาเพคะ”


 


 


เว่ยหยวนชำเลืองมองนางปราดหนึ่ง เขาคีบเนื้อปลาหนึ่งชิ้นวางลงกลางถ้วยด้านข้างแล้วไซ้ก้างออกจนหมดเกลี้ยง


 


 


หนิงอวี้ก้มหน้าแล้วยิ้มอย่างพอใจ เว่ยหยวนจัดการก้างปลาแล้วก็คีบเนื้อปลางวางลงกลางถ้วยนาง เมื่อเห็นว่านางก้มหน้านิ่งไม่พูดจา เขาขมวดคิ้วมองจึงพบว่าบนมุมปากนางประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น


 


 


หนิงอวี้จับสังเกตสายตาเขาได้ ก็เงยหน้าขึ้นยักคิ้วส่งยิ้มอ่อนหวานไปยังเขา เว่ยหยวนยิ้มตอบอย่างอ่อนโยนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นรอยแผลบนหน้าผากนางก็กลับมามีใบหน้าเย็นชา


 


 


หนิงอวี้รู้ว่าเขากำลังโกรธ นางวางช้อนลงแล้วดึงแขนเสื้อเขาอย่างระวัง


 


 


“หม่อมฉันผิดไปแล้ว เว่ยหยวน”


 


 


เว่ยหยวนวางตะเกียบลง ทำท่าตั้งใจฟัง วันนี้เขาสวมชุดเช่นปกติ ชุดขาวอันสง่างามหรู แม้ว่าใบหน้าแฝงด้วยความเยือกเย็น แต่กลับดูดั่งคุณชายตระกูลสูงนิสัยขี้เล่น หน้าตาคมขำ คิ้วเข้มดั่งแกะสลัก ริมฝีปากบางเม้มแน่น


 


 


หนิงอวี้มองเหม่อไปชั่วขณะ เมื่อได้สติกลับมาก็หน้าแดงไปถึงใบหู เว่ยหยวนนั่งอยู่นานครั้นไม่ได้ยินคำพูดใด ก็กระแอมเบาๆ หนึ่งที หนิงอวี้ถูกเสียงกระแอมไอนั้นรบกวนความคิด ก็รีบปล่อยมือลงแล้วนั่งกลับที่อย่างรีบร้อน ท่าทางดูราวกับนักเรียนประจำสำนักความรู้อย่างไรอย่างนั้น


 


 


“หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันควรปรึกษาพระองค์ก่อนที่จะออกไปกลางสนามรบโดยลำพัง”


 


 


“อืม แล้วอะไรอีก”


 


 


“หม่อมฉันไม่ควรผิดสัญญาจนกลับมาช้า ต้นความหวังคงเ**่ยวไปนานแล้วสินะเพคะ”


 


 


“อืม ว่าต่อ”


 


 


“หม่อมฉัน…หม่อมฉันไม่ควร…” หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้วครุ่นคิดชั่วครู่ “ทำการบุ่มบ่าม ควรจัดการอย่างระวังรอบคอบเพคะ”


 


 


“อืม” เว่ยหยวนพยักหน้าเลิกคิ้วสูงมองนาง หนิงอวี้คิดว่าตนไม่ได้มีความผิดใหญ่โต เห็นเขาเลิกคิ้วก็ได้แต่ขยิบตาให้ เว่ยหยวนไม่แสดงท่าทีต่อการแสดงความออดอ้อนเอาใจอย่างว่าง่ายของนาง เขาพูดขึ้นเสียงเบา “ว่าต่อ”


 


 


“หม่อม…หม่อมฉันไม่รู้แล้วเพคะ”


 


 


หนิงอวี้ก้มหน้าลง ไม่กล้าสู้หน้าเขา บนศีรษะรู้สึกอุ่นผ่าว น่าจะเป็นความอุ่นจากฝ่ามือของเว่ยหยวน


 


 


“เจ้าไม่ควรกลับมาพร้อมบาดแผลทั่วกายเช่นนี้”


 


 


หนิงอวี้เงยหน้าขึ้น แล้วพูดขึ้นเสียงเบา “หากมิใช่เช่นนี้ เมืองทั้งหกแห่งจะไม่เป็นการยกให้ผู้อื่นโดยเปล่าหรอกหรือเพคะ”


 


 


เว่ยหยวนเหยียดปากยิ้มบางหนึ่งทีราวกับกำลังฟังเรื่องตลกแล้วตอบน้ำเสียงเรียบว่า “เจ้าคิดว่า ในสายตาข้าเจ้ามีค่าน้อยกว่าแผ่นดินนี้หรือ”


 


 


หนิงอวี้อึ้งงัน หัวใจเต็มล้นด้วยความอบอุ่นอย่างไร้ที่สิ้นสุด จนทำให้นางรู้สึกว่ามือที่ขยี้เรือนผมนางอยู่นั้นออกจะร้อนผ่าวเล็กน้อย


 


 


“เจ้าไม่ควรเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ เจ้าควรรอข้า”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดให้สัตย์ยืนยัน “เพคะ หม่อมฉันรับรอง จากนี้ไปจะไม่เสี่ยงอันตราย จะรอพระองค์มาหาหม่อมฉันเพคะ”


 


 


เว่ยหยวนพยักหน้าแต่ยังคงความสุขุมภูมิฐานราวกับยังสอบสวนไม่เสร็จ หนิงอวี้รู้สึกประหลาดใจขึ้นเล็กน้อย แต่เขากลับพูดขึ้นน้ำเสียงเรียบ “พูดต่อ ความผิดของเจ้า ไม่ได้มีเพียงแค่นี้”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 310 เว่ยหยวนยังโกรธต่อไป


 


 


หนิงอวี้เห็นเขาสีหน้าเคร่งขรึม ก็ได้แต่ครุ่นคิดกลับไปกลับมาอีกครั้ง แต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีความผิดใด จึงได้กระซิบขึ้นเบาๆ “หม่อมฉัน… หม่อมฉันไม่รู้เพคะ…”


 


 


เว่ยหยวนล้วงผ้าเช็ดหน้าแพรผืนหนึ่งออกมา ในผ้าเช็ดหน้าคือจดหมายฉบับหนึ่ง ลายมือเขียนหวัดราวกับตัวบุ้งเลื้อยไปมา


 


 


นั่นคือจดหมายสั่งเสียของนาง นี่คือปัญหาใหญ่ทีเดียว หนิงอวี้สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยอมรับความผิดอย่างกล้าหาญ “หม่อมฉันไม่ควรเขียนลายมือขี้เหร่เช่นนี้…ไม่สิ….”


 


 


เว่ยหยวนโน้มตัวลง ใช้ริมฝีปากตนหยุดคำพูดนางเอาไว้ หนิงอวี้หลับตาทั้งคู่ลง ยกมือขึ้นโอบเอวเขาเอาไว้ เว่ยหยวนสัมผัสได้ถึงกอดของนาง ก็ยื่นมือไปโอบนางเอาไว้ในอก จดหมายสั่งเสียร่วงสู่พื้น เลอะไปด้วยเศษฝุ่น


 


 


ครู่หนึ่ง เว่ยหยวนก็ปล่อยหนิงอวี้ หนิงอวี้หายใจหอบริมฝีปากแดงบวมเป่ง ใบหน้าเองก็แดงปลั่ง


 


 


“ไม่ใช่ข้อนี้ พูดต่อ! เมื่อครู่บังอาจยั่วยวนข้า เพิ่มโทษอีกสถาน”


 


 


เว่ยหยวนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกนอกกระโจมไปโดยพลัน


 


 


หนิงอวี้อวี้ยืนอึ้งพร้อมริมผีปากแดงก่ำ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อเจ้าดุจัง แม่คงเยียวยาเขาไม่หายแล้ว”


 


 


นางก้มหน้าลงก็พบจดหมายสั่งเสียฉบับนั้นร่วงหล่นอยู่กลางพื้นอย่างเดียวดาย แม้จะถูกพันห่อด้วยผ้าไหมต่วนอันอ่อนนุ่มงามหรู แต่กระดาษกลับยังดูเหมือนเก่าลงไปบ้าง บนกระดาษเกิดขุยสีขาวขึ้นเล็กน้อย คงจะถูกเสียดสีกับอะไรบางอย่างอยู่เป็นประจำ


 


 


ลายมืออันคุ้นตา หนิงอวี้ยกมุมปากขึ้นยิ้มออกมาหนึ่งทีอย่างเศร้าๆ ตนในตอนแรกนั้น สิ้นหวังมากถึงเพียงใด เสียงฝีเท้าดังขึ้น หนิงอวี้เงยหน้าขึ้นก็เห็นเว่ยหยวนเดินกลับมาอีกครั้ง


 


 


หนิงอวี้อ้าปากหมายจะเอ่ยคำ ก็เห็นเว่ยหยวนโน้มตัวลง เขายื่นมือไปดึงจดหมายในมือนางมาแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “คิดต่อไป ห้ามหยุด” ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็ถือจดหมายเดินออกกระโจมไป


 


 


หนิงอวี้นิ้งอึ้งกับที่อยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ใบหูของเว่ยหยวนดูเหมือนจะแดงขึ้นเล็กน้อย ที่แท้ คนที่ขวยอายไม่ใช่แค่นาง หนิงอวี้ลูบติ่งหูที่ร้อนผ่าวเบาๆ พลางยิ้มขึ้นออกมาอย่างอ่อนหวาน


 


 


——


 


 


ดึกดื่นค่ำคืน หนิงอวี้เขย่งปลายเท้า เดินไปยังด้านนอกกระโจมของเว่ยหยวน มั่วหลีเฝ้าอยู่ปากกระโจม เห็นนางเดินมาก็โค้งกายคำนับเบาๆ


 


 


“ท่าน…”


 


 


“ชู่ว์!”


 


 


หนิงอวี้ทำสัญญาณมือ มั่วหลีเอามืออุดปากแล้วพยักหน้ารับ


 


 


เดิมทีหนิงอวี้ตั้งใจจะเดินเข้าไป เมื่อเห็นมั่วหลีก็ยั้งฝีเท้าลง


 


 


“หงหลิงอยู่ดีหรือไม่”


 


 


“หง…” มั่วหลีเห็นหนิงอวี้หน้าตาตื่น ก็รีบกดเสียงต่ำตอบกลับอย่างรีบร้อน “ยังอยู่ดี เพียงแค่เอาแต่ร้องไห้”


 


 


“พอได้ยินข่าวว่าท่านขุนพลหนิงสิ้นชีวิตกลางสนามรบ และท่านหายสาบสูญก็เอาแต่ร้องไห้ ร้องจนสลบไป จนต้องเชิญท่านหมอมารักษา ร้องไห้ราวสามวัน ถึงหยุด แล้วเอาแต่เหม่อมองนอกหน้าต่าง บอกว่าท่านจะกลับมา”


 


 


หนิงอวี้สองตาแดงก่ำ นางยกมือขึ้นเช็ดหางตา กดเสียงต่ำพูดขึ้นว่า “เจ้าต้องดีกับนางนะ หากนางถูกรังแกแม้แต่น้อย ข้าจะเดินทางทั้งวันทั้งคืนไปเล่นงานเจ้าให้ปล่อยเบาราดเลยคอยดู”


 


 


มั่วหลีผู้อาจต้อง ‘ปล่อยเบาราด’ พยักหน้าไม่ขาด เขาและหงหลิงอยู่ร่วมกันไม่ลำบากก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อีกทั้ง หากเขารังแกนาง ตัวเขาคงต้องเป็นผู้รู้สึกผิดเองก่อนอยู่แล้ว ไหนเลยจะต้องรอให้ฮองเฮาลงมือ


 


 


หนิงอวี้ได้รับการยืนยันแล้ว จึงแหวกม่านขึ้นเดินเข้าไปในกระโจม ที่นี่ดูเรียบง่ายกว่ากระโจมของนางนัก มีเพียงโต๊ะว่าราชการและกองม้วนตำราพิชัยยุทธ์


 


 


กระโจมข้างและกระโจมหลักช้าผ้าแพรขาวกั้น หนิงอวี้มองทะลุผ้าแพรขาวก็เห็นว่า มีโต๊ะเก้าอี้ และเตียงไม้อีกหนึ่งหลัง ฉากบังตาชุดหนึ่งปิดบังช่องว่าง เค้าโครงถังไม้สะท้อนอยู่บนนั้น


 


 


ความปวดร้าวปะทุขึ้นกลางใจ นางรู้สึกปวดใจ หนิงอวี้นิ่งอึ้งอยู่นาน เว่ยหยวนที่กำลังหันหลังให้นางกลับไม่สังเกตแม้แต่น้อย


 


 


ดูอะไรกันถึงกับต้องหมกมุ่นเช่นนี้ หนิงอวี้เลิกคิ้ว นางแหวกม่านแล้วเดินเข้าไป ย่องเข้าไปแล้วชะโงกหน้ามองก็เห็นลายมืออันบิดเบี้ยวของตน


 


 


เว่ยหยวนม้วนเก็บผืนผ้าในมือ แล้วถามขึ้นเสียงเบา “ไยจึงไม่นอน”


 


 


หนิอวี้เห็นเขายังคงมีสีหน้าไม่ยินดี ในใจกำลังทอดถอนใจกับตัวเองว่า แย่แล้ว


 


 


“กลับไปนอนเสีย ประเดี๋ยวข้าจะกลับ…คนดี”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม