บุปผาเคียงบัลลังก์ 302-309
ตอนที่ 302 พิณโบราณปี้หวง
เซียงฉือพูดจบ หรงจิงยิ่งหัวเราะหนักขึ้น เขาเคาะหน้าผากนาง พูดเคล้าเสียงหัวเราะเบาๆ
“สตรีกับคนชั่วนี่คบค้าด้วยยากจริงๆ นับว่าข้าได้ประสบพบเจอแล้ว”
เซียงฉือเลิกคิ้ว ดวงตาฉลาดเฉลียวกลอกกลิ้งไปมาไม่หยุด เป็นการยืนยันคำพูดของฮ่องเต้ ทั้งคู่สบตากันแล้วยิ้ม
หรงจิงเห็นนางตื่นขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่า เขาจึงจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ในวันนั้นว่าจะสอนนางดีดพิณโบราณปี้หวง
ท่าทางตาลุกวาวของเซียงฉือยามที่เห็นพิณโบราณในวันนั้นทำให้หรงจิงต้องกังวลใจอยู่นาน เกรงว่านางจะอุ้มพิณโบราณหนีไป
แต่วันนั้นเขาดื่มจนเมามายอยู่บ้าง กระทั่งจำไม่ค่อยได้ว่าตนเองได้พูดอะไรออกไป
แต่วันนี้เซียงฉือได้ทำการกราบไหว้เขาเป็นอาจารย์อย่างนอบน้อม ซึ่งเขาเองก็ไม่มีความรังเกียจลูกศิษย์คนนี้จึงเต็มใจที่จะสอนให้อย่างหมดเปลือก
หรงจิงไม่ได้เป็นนักบรรเลงพิณเจ็ดสาย เพียงแต่เขานิยมชมชอบปี้หวงและอยู่กับมันมานาน พิณโบราณพวกนี้จะมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับเจ้าของ เขากับปี้หวงเข้ากันได้อย่างรู้ใจ เข้าใจซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงบรรเลงออกมาได้อย่างคล่องมืออย่างยิ่ง
หรงจิงโอบเซียงฉือไว้ในอ้อมอก นิ้วมือประคองนิ้วมือนาง ร่างแนบอยู่ข้างหูนางเอ่ยคำเสียงแผ่วเบา
“พิณเจ็ดสายกับพิณห้าสายแตกต่างกันไม่ใช่เพียงแค่มีสายเพิ่มขึ้นสองสาย แต่เป็นการแบ่งเสียงทั้งห้าให้ละเอียดยิ่งขึ้น เสียงของปี้หวงจะกังวานใส มักใช้เป็นเสียงของนกร้องน้ำไหล แตกต่างจากเครื่องดนตรีทั่วไป”
“หากเจ้าจะเรียนจำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนถึงลักษณะเสียงและความพิเศษของมันจึงจะสามารถใช้ได้อย่างคล่องมือ”
เซียงฉือยกแขนดีดลงบนสายพิณเบาๆ เสียงกังวานใสก้องไกลยิ่ง นี่เป็นจุดพิเศษของพิณโบราณนี้ ปี้หวงเป็นเลิศตลอดมา ถูกจัดเป็นราชินีของพิณในบรรดาพิณโบราณมากมาย
และตอนนี้เซียงฉือกำลังกอดนางอยู่ ฟังเสียงนาง ราวกับสามารถรับรู้ได้ถึงความงดงามเด่นสง่าในใจนางเช่นนั้น
หรงจิงก็ยื่นนิ้วมือลงข้างนิ้วเซียงฉือ ดีดลงเบาๆ ครั้งหนึ่ง ทั้งสองตั้งใจฟังและแยกแยะความแตกต่างของเสียง
หรงจิงเป็นสุภาพบุรุษมีวาจาหนักแน่น ในเมื่อรับปากจะสอนเซียงฉือแล้วจึงได้ตั้งใจอย่างยิ่ง พาเซียงฉือเรียนรู้ถึงความงดงามของปี้หวงทีละก้าวๆ
เขาสอนอย่างตั้งใจ เซียงฉือเรียนอย่างอดทน จึงมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นาน
ทั้งคู่สามารถร่วมกันบรรเลงหลวนเฟิ่งถูได้อย่างรวดเร็ว อันเป็นเพลงที่ทั้งคู่ใช้บรรเลงร่วมกัน หรงจิงสอนนางเพียงครั้งเดียว เซียงฉือก็เข้าใจหลักได้หมดแล้ว แม้หากไม่มีเขา นางคงใช้เวลาไม่กี่วันก็สามารถเรียนพิณเจ็ดสายสำเร็จได้อย่างไม่มีปัญหา
ทั้งสองสบตากัน เกิดความรู้ใจกันมากขึ้นอีกหลายส่วน
ขณะที่หรงจิงกับเซียงฉือกำลังบรรเลงพิณกันอย่างเพลิดเพลิน ซูกงกงก็ได้ส่งเสียงเรียกอย่างเร่งรีบอยู่ด้านนอกหอทิงเฟิง
หรงจิงขมวดคิ้วก่อนจะหยุดมือลง เขาตบบ่าเซียงฉือก่อนที่จะลุกออกไป
เซียงฉือถึงจะไม่ได้ลุ่มหลงพิณนัก แต่เป็นคนที่มีนิสัยทำอะไรอย่างตั้งใจจริงมาตั้งแต่เด็ก ถึงหรงจิงจะออกไปแล้ว นางยังคงไม่เปลี่ยนท่าทีและดีดพิณต่อไป
เสียงพิณในห้องยังคงดังเอื่อยๆ แต่นอกห้องซูกงกงวิ่งหน้าตื่นไปถึงข้างกายหรงจิงแล้วกระซิบความข้างหู สีหน้าหรงจิงเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง
หากเป็นยามปกติเขาจะต้องบันดาลโทสะอย่างแรง แต่เสียงพิณแผ่วเบาของเซียงฉือแว่วมา ทำให้หรงจิงหันกลับไปมองยังทิศทางที่เซียงฉืออยู่แล้วสั่งออกไปว่า
“เจ้าไปเรียกสาวใช้ให้มาคอยรับใช้ที่นี่คนหนึ่ง แล้วบอกนางไม่ต้องเร่งรีบ ให้เพลิดเพลินไปอย่างเต็มที่”
ซูกงกงฟังคำหรงจิงแล้วก็ผงกศีรษะตอบรับ
ตอนที่ 303 ยามว่าง
เซียงฉือฝึกพิณไปเรื่อยๆ อยู่ในห้องโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว แต่พอเงยหน้าขึ้นจึงรู้สึกว่าฝ่าบาทออกไปนานแล้วยังไม่กลับมา และฟ้าด้านนอกก็ค่อยๆ มืดลง
นางนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วดึงปิ่นบนศีรษะออก ทำให้ดอกท้อที่ข้างหูร่วงลงมาพร้อมเส้นผม เมื่อเซียงฉือเห็นดอกท้อก็นึกขึ้นได้ว่าหรงจิงเป็นคนทัดมันไว้ ใบหน้าจึงแดงเรื่อขึ้น
นางนิ่งเงียบไปนานแล้วลงมือหวีผมอีกครั้ง นางไม่ได้สวมชุดข้าราชสำนักสตรีเพราะวันนี้ฝ่าบาทอนุญาตให้นางแต่งชุดแบบหญิงสาวทั่วไปซึ่งนางก็สนองรับอย่างรวดเร็ว นางหวีผมทรงเฟยเซียนจี้ ดึงผมม้วนตั้งเป็นทรงเฟยเซียนจี้
นางไม่เคยหวีผมทรงนี้มาก่อนเพราะเคยชินกับการปล่อยตามสบายในแต่ละวัน ในเมื่อตอนนี้มีเวลาจึงขอสวยสง่าดูสักครั้งอย่างยากจะมีโอกาส
ชีวิตในวังมีการแบ่งระดับชั้นอย่างเข้มงวด หญิงสาวในวังส่วนมากจะหวีผมเกล้าเป็นวงสองข้าง ด้านหน้าติดดอกไม้เงิน ถึงจะแตกต่างกันไปในแต่ละตำหนัก แต่ก็จะคล้ายคลึงกันโดยส่วนใหญ่
ก่อนเซียงฉือเข้าตำหนักอวี้หยวน นางสวมเสื้อสาบสั้นสีม่วง กระโปรงยาวจากอกสีดำ หวีผมเกล้าสองห่วง หลังจากเข้าตำหนักอวี้หยวนแล้ว สวมเป็นเสื้อสั้นสีชมพูท่อนล่างเป็นกระโปรงสีเดียวกัน หวีผมเกล้าสามห่วง แต่ส่วนใหญ่จะทำตามความชอบของกุ้ยเฟยเสียมากกว่า
ตั้งแต่วันที่ได้ชื่อว่าเป็นข้าราชสำนักสตรี นางจะมุ่นผมไว้บนศีรษะโดยปล่อยผมข้างหลังสยายลงประบ่า
นางไม่ชอบการแต่งกายแบบขุนนางบุ๋นนักแต่ก็ไม่ถึงกับรังเกียจ แต่ว่านางเป็นหญิงสาวจึงย่อมมีใจรักความสวยงามอยู่
วันนี้ได้แช่น้ำแร่แล้วรู้สึกสบายไปทั้งตัวจึงเกิดอารมณ์จะหวีผมทรงเฟยเซียนจี้ แล้วสวมชุดแบบสตรีทั่วไปที่หรงจิงเตรียมไว้ให้
นางเดินออกจากประตูหน้าหอทิงเฟิงก็เห็นเสี่ยวลี่จื่อนั่งสัปหงกอยู่ที่ใต้ระเบียง
เซียงฉือหมุนตัวกลับเข้าห้อง หยิบผลไม้สดแล้วกอบไว้ในอกเดินเข้าไปข้างกายเสี่ยวลี่จื่อ ใช้ลิ้นจี่เคาะหน้าผากเขาเบาๆ
เสี่ยวลี่จื่อเบิ่งตาโตในทันที พลิกกายลงคุกเข่า รีบโขกศีรษะ
“กระหม่อมสมควรตาย กระหม่อมสมควรตาย!”
เขาคงจะหลับจนเบลอ คิดว่าถูกฝ่าบาทพบว่ากำลังแอบขี้เกียจอยู่จึงได้โขกศีรษะขออภัยอย่างไม่คิดชีวิต เซียงฉือรับไม่ได้จึงหัวเราะเบาๆ พูดขึ้น
“ฝ่าบาทไม่อยู่ เสี่ยวลี่จื่อไม่ต้องแสดงแล้ว”
พอเซียงฉือพูดออกไป เสี่ยวลี่จื่อได้ยินเสียงที่ไม่ใช่จึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ เขาเห็นหน้าที่จะว่ายิ้มก็ไม่เชิงหากพยายามฝืนไว้อยู่ของเซียงฉือแล้วแต่ยังไม่ไว้ใจ เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะกระแทกนั่งลงที่เดิมพูดขึ้น
“โถๆ แม่เจ้าประคุณของข้าเอ๊ย ท่านผู้เฒ่าแทบจะทำให้เสี่ยวลี่จื่อตกใจหัวใจกระเด็นออกมาแล้ว”
“ต่อไปท่านก็เดินดีๆ อย่าทำให้คนตกใจโดยไม่ส่งเสียงอีก พวกเราต่างรับใช้อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ วันวันต้องระวังตัวเป็นหมื่นครั้งก็ยังไม่พอเลย”
เซียงฉือฟังคำโอดครวญของเขาแล้วก็ไม่โกรธ เพียงโอบผลไม้นั่งลงข้างตัวเขาแล้วส่งจานลิ้นจี่องุ่นต่างๆ ให้เขาทั้งหมดแล้วหัวเราะเบาๆ พูดต่อ
“ถ้าของกินเยอะขนาดนี้ยังปิดปากเจ้าไม่ลงละก็ เห็นทีจะต้องเรียกอาจารย์เจ้ามาสั่งสอนเจ้าให้ดีเสียแล้ว”
เซียงฉือเข้าตำหนักเจิ้งหยางมากว่าครึ่งเดือนแล้ว ที่ผ่านมาจะคุ้นเคยกับเสี่ยวลี่จื่อคนนี้ที่สุด เพราะในวันปกติเขาจะรับใช้อยู่ด้านหน้าตำหนัก เซียงฉือหากเห็นแก่นอนอาจมีบ้างที่ตื่นสาย เกรงว่าจะพลาดการรับเสด็จฝ่าบาทจึงต้องนัดแนะกับเขา
ทุกวันพอฝ่าบาทเลิกประชุมราชสำนักเช้า ในตำหนักเจิ้งหยางจะได้รับแจ้งก่อนเพื่อให้พวกคนที่ทำความสะอาดอยู่ออกไป ส่วนกงกงเสี่ยวลี่เมื่อได้รับแจ้งก็จะรีบไปแจ้งต่อเซียงฉือที่เกียจคร้านด้านใน
เพราะเป็นเช่นนี้ทั้งคู่จึงกลายมาเป็นเพื่อนกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง
ตอนที่ 304 พิโรธ
เซียงฉือกินอาหารค่ำก่อนแล้วจึงกลับเข้าตำหนักเจิ้งหยาง นางได้รับข่าวมาจากเสี่ยวลี่จื่อว่าเหลียนชินอ๋องเข้าวังมาแล้ว
เมื่อนางรู้ข่าวจึงรีบเดินไปยังห้องโถงหน้า
ในโถงหน้าของตำหนักเจิ้งหยางเวลานี้มีชายสองคนหนึ่งนั่งหนึ่งยืนอยู่ เซียงฉือได้ยินเสียงทั้งสองคนคุยกันจึงไม่สะดวกจะเข้าไปรบกวนในตอนนั้น ก็เลยไปยืนอยู่ภายในห้องเล็กด้านข้าง
นางมองดูรายงานที่หรงจิงวางไว้บนโต๊ะ เป็นรายงานที่หรงเฉิงเยี่ยนำไปช่วยฝ่าบาทตรวจทาน เอกสารที่พวกขุนนางใหญ่พวกนี้เขียนส่วนมากจะทั้งเหม็นและยาว ทั้งหน้ากระดาษเต็มไปด้วยคำยกยอปอปั้น สำหรับหรงจิงแล้ว แคว้นเซียวจิ่งมีงานล้มหลามมากมาย หากช่วงที่ยุ่งมาก วันหนึ่งๆ เขาจะต้องตรวจแทงรายงานกว่าพันฉบับ
แต่เมื่อรายงานส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้ ทำให้เขารังเกียจแค้นเคืองยิ่งจึงต้องมีข้าราชสำนักสตรีขึ้นมาเพื่อช่วยจัดการสรุปให้ฝ่าบาท แล้วคัดแยกตามความสำคัญเร่งด่วน
ถึงแม้รายงานส่วนมากจะต้องผ่านการตรวจพิจารณาจากขุนนางใหญ่ในราชสำนักมาเป็นลำดับก่อนจะถึงมือหรงจิง แต่ก็ยังมีรายงานอีกมากที่ส่งขึ้นมาโดยตรง
รายงานด่วนจากที่ต่างๆ ก็เป็นเช่นนี้ ถึงจะเป็นการเข้าถึงพระเนตรพระกรรณโดยตรง แต่ว่าเรื่องราวสับสนวุ่นวาย มากมายก่ายกอง ถึงหรงจิงจะมีสามเศียรหกกรก็ไม่อาจจัดการได้ครบถ้วนทุกเรื่อง
เซียงฉืออ่านรายงานในมือแล้วอดไม่ได้คิดอยากด่าพวกบัณฑิตคร่ำครึขนานใหญ่ ดีแต่ใช้วาทะศิลป์เล่นสำนวนจึงลอบด่าขึ้นในใจ
‘มีเรื่องอะไรพูดออกมาก็ได้แล้ว เอาแต่หลับหูหลับตาเสียเวลาเปลืองแรงไปวันๆ’
เซียงฉือลอบด่า แต่ยังคงบรรจงเขียนคำว่า ‘อ่านแล้ว’ ลงบนรายงานที่มีความจงรักภักดีต่อชาติและกษัตริย์ เห็นอกเห็นใจประชาชนเต็มหน้ากระดาษนั้น
นางกลับเข้ามาได้นานพอควรแล้ว เมื่อก้มหน้าอ่านรายงานนานก็รู้สึกปวดศีรษะ จึงเงยหน้าขึ้นทุบหลังทุบไหล่ ขยับที่ขยับทางให้สบายขึ้น
เพล้ง!
เสียงปัดถ้วยดังก้องออกมาจากโถงหน้าของหรงจิง เซียงฉือหูตั้ง ร่างแข็งทื่อขึ้นทันที
เสียงโครมครามนั้นเซียงฉือฟังคล้ายจอกถ้วยถูกคนปัดตก จานร่วงหล่นลงพื้น ตามด้วยขันทีนางกำนัลทั้งห้องคุกเข่าขออภัย
“ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงซูกงกงเจือแววขอร้อง เซียงฉือตกตะลึง เกิดเรื่องอะไรขึ้น
“สารเลว!”
เซียงฉือรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปทางตำหนักหน้า เสียงด่าของหรงจิงดังออกมา เซียงฉือเดินไปถึงส่วนหน้าโถงแล้วยืนอยู่ในฉากบังลม นางเห็นหรงจิงยืนอยู่ในตำหนัก หรงเฉิงเยี่ยกลับไปแล้ว เห็นใบหน้าเขาราวถูกเคลือบด้วยน้ำแข็ง ความโกรธถึงขีดสุดเห็นได้ชัด ยืนกำกำปั้นแน่นอยู่กลางห้อง ไม่ปริปาก
คนรับใช้เบื้องล่างตัวสั่นงันงกช่วยกันเก็บข้าวของที่ตกกระจัดกระจาย มีเพียงเขาคนเดียวที่มองพระจันทร์เบื้องนอกด้วยท่าทางอ้างว้าง
เซียงฉือยืนอยู่ด้านข้างเขา ไม่รู้ว่าเวลานี้สมควรจะเข้าไปหรือไม่ หรงจิงกำลังโกรธขึ้งอยู่ เขาเป็นฮ่องเต้ซึ่งทรงอำนาจอย่างยิ่งอยู่แล้ว ยามกำลังโกรธเช่นนี้ยิ่งไม่กล้าที่จะเข้าใกล้
แววตาเซียงฉือหดลง ในใจตระหนกเล็กน้อย นิ้วมือของหรงจิงมีเลือดซึมออกมา ถึงเขาจะกำไว้แน่น แต่เลือดก็ยังซึมผ่านฝ่ามือออกมา หยดติ๋งลงบนพื้นหยกมรกต
เซียงฉือคิดแล้วจึงหมุนกายไปหยิบผ้าพันแผล ยืนกัดฟันพึมพำอยู่หลังฉากบังลม
“เป็นคนต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณคน ฝ่าบาทดีกับข้าแล้วข้าจะไม่ใส่ใจพระองค์ได้อย่างไร การดูแลพระองค์เป็นหน้าที่ของข้า”
เซียงฉือปลอบตนเองเช่นนั้นแล้วเดินออกจากฉากบังลมไปที่ข้างกายหรงจิง ขณะนั้นแม้แต่ซูกงกงยังค่อยๆ โบกมือไปทางนาง
แต่ว่าเซียงฉือมองไม่เห็น
ตอนที่ 305 โทสะสงบ
เซียงฉือขบริมฝีปากล่างแล้วเดินไปข้างกายหรงจิง ทำความเคารพแล้วพูดขึ้น
“พระหัตถ์ฝ่าบาทมีพระโลหิตหลั่งออกมาแล้วเพคะ หม่อมฉันจะพันแผลถวายนะเพคะ”
เซียงฉือพูดเบาๆ ขึ้นที่ข้างกายหรงจิง แล้วคุกเข่าลงโดยไม่รอคำตอบ นางจับหลังมือเขาไว้ ความอุ่นจากฝ่ามือนางส่งผ่านไปถึงมือหรงจิง
เขาโกรธถึงขีดสุด นิ้วมือเย็นเฉียบ เมื่อถูกเซียงฉือกุมไว้ก็สะท้านขึ้นน้อยๆ
แต่แล้วสายตาเย็นเยียบก็มองลงไปยังเซียงฉือในทันใด
ยามเขาโกรธจัดเช่นนี้ไม่ต้องการให้คนไม่รู้กาลเทศะแบบนี้มาอาจหาญเข้าใกล้
เซียงฉือไม่ได้เงยหน้าจึงไม่เห็นสายตาเย็นเยียบนั้น นางก้มหน้าก้มตาแกะมือที่กำไว้แน่นของเขาออก เมื่อเห็นเศษกระเบื้องที่ฝังอยู่ในฝ่ามือจึงดึงออกทันใด ทำให้เลือดสดๆ พุ่งออกมาทันที
นางรีบกดไว้ทันใดจนเลือดเปื้อนเต็มมือ กลิ่นคาวเลือดรุนแรงโชยเข้าจมูก
เซียงฉือใช้ผ้าพันแผลพันบาดแผลแน่นเพื่อห้ามเลือดอย่างระมัดระวัง
หรงจิงที่ยังโมโหโทโสอย่างที่สุด เมื่อเห็นท่าทางใส่ใจของนางในการพันแผลให้เขาเช่นนั้น ถึงมือจะสั่นเพราะใส่ยาแต่ทว่าในใจไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเลย
มองดูนางนิ่งไฟโทสะลดหายไปครึ่งหนึ่ง เขาคิดเสมอมาว่าเซียงฉือเป็นหญิงสาวประเภทไหน เหตุใดถึงได้ประทับลึกอยู่ในความทรงจำของเขา ทำให้เขารู้สึกว่ายามได้อยู่กับนางนั้นสุขสบายใจอย่างที่สุด
แล้วเขาก็ได้คำตอบในขณะนี้ แววตานางถึงจะนุ่มนวลขลาดกลัวแต่แฝงความเข้มแข็ง ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ดุจราวเทพธิดาที่ไม่ข้องแวะกับธุลีบนโลก แต่ว่าพอได้รู้จักนางแล้ว ก็จะเห็นนิสัยซุกซนของนาง
หรงจิงไม่รู้ว่าคนไหนกันแน่ที่เป็นตัวตนนาง แต่ความรู้สึกยามมองดูนางในขณะนี้ ความสงบเยือกเย็นและหน้าตาหมดจดเช่นนี้ที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจที่สุด
ซูกงกงเห็นมือซ้ายของหรงจิงถูกเซียงฉือพันไว้จนกลายเป็นขนมจ้าง อีกทั้งหรงจิงที่เมื่อครู่คิดจะระเบิดโทสะ ได้เปลี่ยนจากราชสีห์มาเป็นแมวตัวใหญ่ ยื่นมือขวาออกไปแตะอยู่บนศีรษะเซียงฉือ
ความรู้สึกนั้นดูประหลาด แต่ใจที่หวาดหวั่นเมื่อครู่ก็ได้ผ่อนคลายลงแล้ว
ในที่สุดก็มีคนที่สามารถสยบฝ่าบาทได้เสียที น้ำตาเขาไหลพราก
วันนี้หรงจิงผิดไปจากปกติ ขณะที่บันดาลโทสะยังทำให้ร่างกายล้ำค่าดุจทองคำนั้นต้องบาดเจ็บไปด้วย แต่เซียงฉือเป็นสิ่งน่าประหลาดใจที่สุดสำหรับเขา ผู้หญิงที่สงบเงียบคนนั้น
หากจะพูดถึงความงาม ในวังที่เปี่ยมไปด้วยหญิงงามจนยากแยกแยะว่าใครงามที่สุดนี้ ความงามของนางเพียงจัดอยู่ในระดับเหนือปานกลางเท่านั้น
ในวันธรรมดาทั่วไปฝ่าบาทจะเรียกนางว่าเด็กต๊อง ทำอะไรไม่ค่อยเข้าท่า แต่ในเวลาเช่นนี้กลับไม่มีความสะทกสะท้าน ยังคงสงบเยือกเย็น
ส่วนฝ่าบาทเมื่อเห็นนางเข้าเช่นนี้ ก็เรียกสติกลับคืนมาจากโทสะพลุ่งพล่านได้
อนาคตภายหน้าของเด็กคนนี้สุดจะประมาณ
ซูกงกงสะบัดศีรษะ สั่งการให้เหล่าขันทีน้อยเก็บกวาดจัดการสภาพเละเทะในตำหนักเจิ้งหยางให้เรียบร้อย แล้วเรียกคนเหล่านั้นออกไปข้างนอกสั่งว่า
“คืนนี้พวกเจ้าไม่ได้ยินไม่ได้เห็นอะไรทั้งสิ้น หากพูดมากอะไรออกไป ระวังหัวของพวกเจ้าไว้ให้ดี!”
ขันทีน้อยทั้งหลายรู้น้ำมือของซูกงกงดี ทั้งยังรู้จักแยกแยะความสำคัญของเรื่องราวจึงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องราวในวันนี้ออกไปแม้เพียงคำเดียว
แต่จากวันนี้เป็นต้นไป พวกคนในวังที่เคลื่อนไปตามทิศทางลมได้รู้แล้วว่าเซียงฉือมีความพิเศษต่อฝ่าบาทต่างแอบสาบานในใจว่าจากนี้ไปจะรับใช้เซียงฉือให้เหมือนดั่งนายหญิงน้อยคนหนึ่ง
ตอนที่ 306 คัดลายมือ
ทางด้านเซียงฉือกับหรงจิงนั้น ฝ่ามือใหญ่ของหรงจิงทาบอยู่บนศีรษะของเซียงฉือ เขาไม่ได้ออกแรงมาก เพียงสัมผัสเรือนผมของนางเบาๆ
เซียงฉือพันมือให้หรงจิงแล้วก็คุกเข่าอยู่กับที่ นางรู้ว่ามือของหรงจิงวางอยู่บนศีรษะตน ตอนนี้นางจะขยับก็ขยับไม่ได้
หรงจิงลูบอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงดึงปิ่นที่เซียงฉือใช้มุ่นผมไว้ออก ทำให้เส้นผมยาวของนางสยายลงมาราวน้ำตก
นางตกตะลึงลนลานหันกายสำรวจเส้นผมของตน เมื่อมือแตะถูกก็อึ้งไป
ท่าทางของหรงจิงไม่พอใจเท่าไร แววตาไม่สดใส แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าหวีผมเช่นนี้ น่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง”
พลันสะบัดแขนเสื้อหมุนกายเดินจากไป
เซียงฉือยังคงอยู่ที่เดิม ลูบคลำเส้นผมอย่างไม่เข้าใจอีกทั้งรู้สึกอึดอัด ถึงจะยังไม่เข้าใจสภาพจิตใจตัวเองในตอนนี้นัก แต่ก็ลุกขึ้นเก็บกล่องยานำเข้าไปห้องด้านใน
เมื่อเก็บเสร็จแล้วจึงไปที่ข้างกายหรงจิง เห็นเขายืนคัดลายมืออยู่ริมหน้าต่าง
เซียงฉือยื่นหน้าแอบมอง หรงจินกำลังเขียนอักษรอยู่ตัวหนึ่งว่า ‘สงบ’
ตอนนางมาถึง หรงจิงได้เขียนอักษรตัวใหญ่ไปแล้วสิบกว่าตัวและไม่พูดอะไร เซียงฉือรู้สถานะตนเองดี เมื่อหรงจิงไม่ต้องการพูดนางไม่มีสิทธิ์สอบถามและนางก็คร้านที่จะก่อกวนความสงบ
ในเวลาเช่นนี้เซียงฉือไม่ได้อยู่ห่างจากหรงจิง เพราะนางสัมผัสได้ว่าบนกายหรงจิงนั้นได้แผ่ซ่านความรู้สึกอย่างหนึ่งออกมา เป็นความรู้สึกที่โดดเดี่ยวอ้างว้าง
แต่โบราณมาที่สูงย่อมเหน็บหนาว เขาอยู่ในฐานะฮ่องเต้ คงต้องมีความอ้างว้างมากมายที่ไม่มีทางระบายออกมาได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเห็นใจหรืออื่นใดทำให้นางยังคงยืนอยู่ข้างกายเขาอย่างสงบนิ่ง ไม่พูดจาอีกทั้งคอยระวังการหายใจของตน
เซียงฉือคิดจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่หรงจิงมองเห็น ยืนอยู่เงียบๆ พยายามลดการมีตัวตนให้น้อยลง แล้วหรงจิงก็พูดขึ้นว่า
“มัวยืนทึ่มอยู่ทำไม ฝนหมึกสิ”
เซียงฉือคุ้นเคยกับวิธีการพูดของเขาที่จะถากถางก่อนเรียกใช้งานแล้วจึงมองข้ามคำพูดประโยคแรกแล้วปฏิบัติตามคำสั่งในส่วนหลังนั้น
พอได้ยินคำสั่งหรงจิง นางจึงม้วนแขนเสื้อข้างขวาขึ้นช่วงหนึ่ง ใช้มือซ้ายจับแขนเสื้อไว้ แล้วลงมือฝนหมึกอย่างตั้งใจ
เซียงฉือสัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่าหมึกที่หรงจิงใช้นั้นนางไม่เคยเห็นมาก่อน บนแท่งหมึกมีลายเส้นทองรูปมังกร น้ำหมึกเข้มข้น ส่วนกลิ่นนั้นอ่อนจาง คุณภาพเช่นนี้ย่อมต้องเป็นหมึกชั้นดี เซียงฉือที่ฝึกหัดคัดเขียนอยู่เสมอจึงรู้จักความเป็นมาของแท่งหมึกที่มีชื่อเสียงมากมาย
การมีแท่งหมึกล้ำค่ามาอยู่ในมือเช่นนี้ช่างเป็นเรื่องน่าสนใจ
แต่วันนี้หรงจิงอารมณ์ไม่ดี มิเช่นนั้นนางคงทูลขอสักแท่ง
ตั้งแต่นางเข้าตำหนักเจิ้งหยาง ทุกวันจะมีเพียงพู่กันที่เป็นเพื่อน บ่อยครั้งที่ต้องเขียนอักษรตัวใหญ่ๆ สีแดงว่า ‘อ่านแล้ว’ ลงบนรายงาน
และทุกครั้งที่เขียนคำนี้ก็จะต้องลอบด่าในใจทุกครั้งไปว่าเขียนรายงานมาราวกับผ้ารัดเท้าของยายเฒ่าที่ทั้งยาวทั้งเหม็น[1]
เซียงฉือได้กลิ่นหอมของหมึกจึงสูดจมูกเบาๆ นางคิดว่าตนเองมีความรู้กว้างขวางพอประมาณ แต่กลับยังไม่เคยพบเห็นหมึกเช่นนี้
มือซ้ายของหรงจิงบาดเจ็บจึงยังเคลื่อนไหวไม่ได้ต้องห้อยอยู่ข้างกาย และถูกเซียงฉือมัดไว้อย่างแน่นหนาจึงบวมขึ้นมา ถึงจะมัดไว้แล้วก็ยังรู้สึกปวดตุบๆ
[1] ผ้ารัดเท้าของยายเฒ่าที่ทั้งยาวทั้งเหม็น (老太婆的裹脚布,又臭又长) เป็นสำนวนเปรียบเทียบว่าบทความหรือเรื่องราวที่เขียนอย่างยืดยาวเยิ่นเย้อ จนทำให้อ่านแล้วน่าเบื่อหน่าย โดยไปเปรียบกับผ้าที่ใช้รัดเท้าของสตรีจีนในสมัยโบราณ
ตอนที่ 307 แมวลาย
หรงจิงหยุดพู่กันแล้วนิ่งมองมือข้างซ้ายของตนแล้วถอนใจขึ้น การได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ควรเรียกข้าราชสำนักสตรีที่คล่องแคล่วจากกองโอสถ ที่เจ้าเด็กนี่พันแผลให้กลับยิ่งทำให้แย่ลง
ทั้งฝ่ามือยังถูกนางมัดไว้อย่างแน่นหนาจนมองไม่เห็นนิ้วมือ หรงจิงหน้าเหยเกขมวดคิ้ว
เขากวาดตามองเซียงฉือหมายจะต่อว่าสักหน่อย แต่กลับพบสายตานางจดจ่ออยู่กับแท่งหมึกล้ำค่าแท่งนั้น
หรงจิงรู้สึกเหมือนถูกละเลย แต่เพียงครู่เดียวก็กลับเป็นปกติ
“นั่นเป็นหมึกขุยหลง”
หรงจิงเห็นเซียงฉือยกแท่งหมึกขึ้นจ่อที่ปลายจมูกแล้วสูดดมเบาๆ จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา
เซียงฉือตกใจพอประมาณ นิ้วมือจึงกระตุก ทำให้หมึกหยดหนึ่งกระเด็นไปบนใบหน้าน้อยๆ ขาวผ่อง นางรู้สึกถึงความเย็นวูบหนึ่งจึงยื่นมือออกไปลูบแก้ม
จากเดิมที่เป็นเพียงน้ำหมึกหยดหนึ่ง เมื่อถูกนางสัมผัสจึงกลายเป็นเส้นสีดำเส้นหนึ่ง ยาวไปจนถึงใบหู
หรงจิงก้มหน้าเขียนหนังสืออยู่จึงพูดต่อไปว่า
“หมึกขุยหลงผลิตที่เมืองชีเสีย สามปีจึงจะปล่อยออกมารุ่นหนึ่ง มีความพิถีพิถันในการเลือกใช้วัตถุดิบมาก ทั้งยังมีการผสมดอกเหมยซึ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง สีของมันสดใส น้ำหมึกเข้มข้น เก็บไว้ได้นาน ทั้งกลิ่นก็เย็นใส ผลิตให้กับราชสำนักเท่านั้น คนธรรมดาสามัญแม้ชื่อก็คงจะไม่เคยได้ยิน”
เซียงฉือฟังไปแต่รู้สึกผิดปกติบนใบหน้าจึงแตะไปอีกสองครั้งทำให้ไม่ได้พูดคุยกับหรงจิง หรงจิงแปลกใจจึงเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเซียงฉือที่ตอนนี้มีเส้นรอยหมึกสีดำสามเส้นบนใบหน้าลากยาวจากมุมปากไปทางข้างแก้ม ดูคล้ายกับแมวขาวตัวน้อย กำลังงอนิ้วถูแก้มเบาๆ
หรงจิงกลั้นหัวเราะทำพูดขึงขัง
“ทำอะไรอยู่ ยังไม่ตั้งใจทำงานอีก”
เซียงฉือพอได้ยินคำพูดหรงจิงจึงไม่กล้ายื่นมือไปเช็ดอีกแล้วก้มหน้าฝนหมึกต่อไป หรงจิงเขียนหนังสือไปกลั้นหัวเราะไปโดยไม่บอกนาง บางครั้งเงยหน้าขึ้น ก็เห็นดวงตาสุกใสแวววาวของนาง และคิ้วที่ขมวดมุ่น ราวกับรู้สึกถึงความผิดปกติบนใบหน้า
หรงจิงเห็นแต่ไม่บอก เดี๋ยวๆ ก็แอบใช้มือซ้ายที่ถูกห่อไว้ราวขนมจ้างปิดปากหัวเราะเบาๆ
ในตอนแรกเซียงฉือไม่ทันสังเกต แต่ไม่นานนักก็รู้สึกตัวจึงมองหรงจิงด้วยสายตางุนงง ส่วนหรงจิงที่หายโมโหแล้วก็เก็บยิ้มพูดขึงขังว่า
“เจ้าเด็กต๊องมานี่”
เมื่อหรงจิงบัญชา เซียงฉือจึงเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย หมุนกายข้ามโต๊ะไปอยู่ข้างกายหรงจิง เขาใช้นิ้วแตะหมึกหยดหนึ่ง แล้วฝ่ามือใหญ่ก็ทาบลงบนใบหน้าเล็กๆ ของเซียงฉือ ขยับอย่างตั้งใจอยู่บนใบหน้านาง
เซียงฉือไม่เข้าใจการกระทำของเขา แต่นิ้วมือที่สัมผัสมีความเย็นน้อยๆ ซึ่งนางไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
ใบหน้าน้อยๆ ถูกหรงจิงปาดอยู่ครู่หนึ่ง เซียงฉือได้แต่หลับตาแล้วยิ้ม
หรงจิงเอามือออก เห็นเซียงฉือค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจึงจิ้มเบาๆ ที่ปลายจมูกนาง
“ซนนัก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
สีหน้าจริงจังของหรงจิงคงอยู่ได้ไม่นานก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังขึ้นมา ทำให้เซียงฉือนิ่งงันไป
เมื่อรู้สึกตัวจึงหมุนกายไปทางกระจกทองแดงข้างหลัง แล้วส่องผ่านกระจกทองแดงที่ฉายภาพชัดเจน
บนใบหน้าทั้งซ้ายขวามีเส้นข้างละสามเส้นพอดี ตรงปลายจมูกมีจุดอยู่จุดหนึ่ง
นี่ไม่ใช่แมวหรอกหรือ
เซียงฉือเห็นตนเองในกระจกแล้วก็หัวเราะพรืดออกมา
ตอนที่ 308 เหมียว
เซียงฉือหันกายกลับมา แววตาแสร้งผุดความโกรธพูดว่า “ฝ่าบาททรงล้อหม่อมฉันเช่นนี้อยู่เรื่อยเลยเพคะ ดังคำที่ว่า นักรบยอมตายเพื่อเพื่อนที่รู้ใจ สตรีตั้งใจแต่งหน้าเพื่อคนที่ตนรัก ส่วนหม่อมฉันทำลายพักตร์เพื่อให้ฝ่าบาทได้สรวล”
หรงจิงเห็นท่าโกรธอายๆ กับใบหน้าที่เหมือนแมวเหมียวของนางแล้วรู้สึกขำจึงหัวเราะเสียงดัง ราวกับระบายโทสะเมื่อครู่ออกมามากมาย
เซียงฉือถูกหรงจิงมองจนอับอายจึงหันกายจะไปล้างหน้า แต่ถูกหรงจิงรั้งไว้
“ใต้เท้างานอักษรจะไปไหน ข้ายังเขียนหนังสือไม่เสร็จ เจ้าที่ทำหน้าที่นี้จะผละไปเสียแล้วเช่นนี้หรือ”
ร่างเซียงฉือชะงักลงแล้วหันกลับมา มือน้อยนุ่มๆ ทาบอยู่บนแก้ม
“เหมียว…”
นางเลียนเสียงแมวร้องได้เหมือนและน่ารักยิ่ง ตอนนี้นางสวมชุดธรรมดาสีชมพู แลดูงดงามน่ามอง หรงจิงตกตะลึงอย่างไม่รู้ตัว เป็นนานเซียงฉือจึงได้พูดว่า
“หม่อมฉันเกรงว่าหน้าตาแบบนี้หากถูกใต้เท้าฝ่ายระเบียบวินัยเห็นเข้าจะถูกลงโทษ การถวายรับใช้ฝ่าบาทในสภาพนี้ดูไร้ความเคร่งครัด ขอฝ่าบาทโปรดให้หม่อมฉันได้ไปล้างหน้าด้วยเถิดเพคะ”
หรงจิงฟังแล้วนิ่งอึ้งไป จากนั้นพูดอย่างเข้มงวดขึ้น
“เมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ข้าจะถามเจ้า หลังพักดื่มชาตอนบ่ายและก่อนอาหารค่ำ เจ้าไม่มาอยู่รับใช้ในตำหนัก ได้ขอลากับข้าหรือไม่ ทำงานไร้วินัย ไม่รักษากฎระเบียบ สงสัยว่าข้าจะปล่อยปละเจ้าเกินไปกระมัง”
หรงจิงพูดอย่างจริงจัง เพียงแต่ไม่ได้พูดตรงๆ ว่าไม่อนุญาตให้เจ้าไปล้างออก จะต้องปล่อยไว้เช่นนี้เพื่อให้ข้าดู ไม่อนุญาตให้ทำอะไรทั้งสิ้น
เซียงฉือนิ่งอยู่กับที่ เอี้ยวกลับมามองหรงจิง แล้วจึงหมุนกายเดินไปที่ข้างกายหรงจิงอย่างน้อยใจ
หรงจิงเบือนหน้าไปแอบยิ้ม
ถึงเซียงฉือจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดหรงจิงต้องกลั่นแกล้งนาง แต่ก็รู้ว่าเขาไม่ได้คิดจะลงโทษนางจริง
จึงเดินกลับไปในที่เดิมแล้วฝนหมึกต่อ ก็ข้าราชสำนักสตรีงานอักษรนี่นะ
เซียงฉือรู้สึกคุ้นเคยกับคำคำนี้ แต่ก็รู้สึกไม่คุ้นชินเช่นกัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิใช่ถูกพระองค์ปลดออกจากตำแหน่งงานอักษรหรอกหรือเพคะ ตอนนี้หม่อมฉันทำหน้าที่ยกน้ำชาอยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง ฝ่าบาททรงลืมแล้วหรือเพคะ”
จู่ๆ เซียงฉือก็นึกขึ้นได้ว่านางถูกลดขั้นลงครึ่งขั้นไม่ได้ทำหน้าที่งานอักษรอีกแล้ว จะให้มาฝนหมึกอะไรในตอนนี้เล่า
เมื่อเซียงฉือพูดเช่นนี้หรงจิงก็นิ่งงันไป เขาลืมเรื่องนี้ไปหมดสิ้นไม่เหลือ ตอนนี้มาถูกเซียงฉือพูดขึ้นเช่นนี้จึงคิดขึ้นได้ทันที อดไม่ได้ต้องลอบโอดครวญ
แต่เซียงฉือกลับยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาแวววาว
“เหมียว เหมียว”
เซียงฉือร้องเหมียวๆ ใส่หรงจิงอีกครั้งอย่างซุกซน แล้วหมุนกายเดินไป
“ฝ่าบาททรงรอสักครู่ หม่อมฉันจะไปยกพระสุธารสชามาถวายเพคะ”
เซียงฉือหมุนกายเดินออกไปอย่างไม่ลังเล เหลือเพียงหรงจิงมองดูคิ้วตาที่ยิ้มจนโค้งงอของเซียงฉือเมื่อครู่ แต่ภาพปรากฏเพียงแวบเดียวก็มลายไป หญิงงามหายวับไปแล้ว
หรงจิงฉีกยิ้มให้กับอากาศเบื้องหน้า แล้วก้มหน้าหมุนกายเดินเข้าด้านใน
หรงจิงที่นั่งอยู่บนพระที่นั่งรออยู่ไม่นานก็เห็นเซียงฉือที่ล้างหน้าล้างตาแล้วกลับเข้ามา เมื่อเดินเข้ามาใกล้หรงจิงก็ยังมีกลิ่นหอมจางๆ เหลืออยู่
หรงจิงยิ้มจางๆ รับน้ำชาที่นางยกมาให้ บรรจงจิบลิ้มรสชาติ เขาเลิกคิ้วมองดูเซียงฉือที่ยิ้มระรื่น จากนั้นถามคำถามที่เขาคิดไว้นานแล้ว
“เจ้าเด็กคนนี้กล้าดีอย่างไร ถึงกับกล้าเข้าใกล้ตอนที่ข้ากำลังบันดาลโทสะแบบนั้น”
ตอนที่ 309 คดีเก่า
เซียงฉือได้ฟังคำถามแล้วไม่ได้กลั่นกรองความคิดมากนัก เงยหน้าขึ้นแล้วตอบอย่างจริงจัง
“อ้าว ฝ่าบาทมิได้ทรงเชื่อมั่นในองค์เองหรอกหรือเพคะ แต่หม่อมฉันคิดว่าแม้ฝ่าบาทจะทรงกริ้วอยู่ ทว่ายังทรงสติสัมปชัญญะไว้ ฝ่าบาทพิโรธอยู่จริงแต่ไม่ได้ทรงขาดสติ เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ปราดเปรื่องปรีชา มีหรือที่จะทรงขาดสติสัมปชัญญะเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นได้”
“หม่อมฉันไม่เชื่อเช่นนั้น และการที่ทรงพลั้งจนพระวรกายได้รับบาดเจ็บก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยเพคะ หม่อมฉันเป็นข้าราชสำนักสตรีคนสนิท ไม่สามารถดูแลรับใช้ให้ดีนับเป็นความผิด และหากยังไม่แก้ไขทำให้ดีขึ้นอีก ยังจะทรงชุบเลี้ยงไว้อีกทำไมเพคะ”
เสียงของเซียงฉือไม่ดังทว่าเข้าถึงใจทุกคำ หรงจิงฟังแล้วอบอุ่นในใจและตัวลอย
คำพูดของเซียงฉือเรียบง่ายจริงใจ เทียบกับบรรดาเหล่าขุนนางใหญ่ที่ยกเขาราวกับสี่จอมราชันย์ จักรพรรดิเพียงหนึ่งเดียวในโลกแล้ว พวกนั้นไม่อาจทำให้เขาประทับใจ แต่คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเซียงฉือกลับทำให้เขาซาบซึ้งใจ
หรงจิงฟังคำเซียงฉือแล้วพยักหน้า ถามต่อว่า
“เซียงฉือ ปู่ของเจ้าเคยเป็นเจ้าเมืองหลานโจว เพราะใช้เงินหลวงจึงกลายเป็นคดีที่ถูกเพื่อนร่วมราชสำนักฟ้องร้อง ทำให้ทั้งครอบครัวต้องถูกจองจำ เจ้าไม่เกลียดข้าหรอกหรือ”
หรงจิงถามออกมาเช่นนี้เซียงฉือไม่ได้ตอบกลับในทันที นางก้มศีรษะลงซุกซ่อนลึกล้ำ ไม่ปรารถนาหลั่งน้ำตาออกมาให้หรงจิงเห็น ไม่ใช่เพราะมีเรื่องอำพรางปิดบัง
ส่วนหรงจิงคิดว่าเจ้าเด็กเถรตรงคนนี้ไม่สามารถเก็บอะไรไว้ในใจได้ นางน่าจะคิดเช่นนั้นอยู่ แต่หากพูดออกมาตรงๆ ก็เกรงจะทำให้เขาระแวงสงสัยหรือบาดหมางใจ จึงนิ่งเสีย
ถึงเขาจะเข้าใจแต่ก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก
ขณะที่เขากำลังจะเปลี่ยนเรื่องพูด เซียงฉือก็พูดออกมา
“เคยเกลียด”
เซียงฉือค่อยๆ แย้มปาก ริมฝีปากแดงสดเปล่งคำสองคำออกมาแผ่วเบา
ถึงกับทำให้หรงจิงอึ้งงันไป เคยเกลียดหรือ หมายความว่าอย่างไร
หรงจิงคิดทันควันแล้วถามออกไป
“หมายความว่าอย่างไร”
เซียงฉือก้มหน้า บีบนิ้วมือเข้าหากันพูดขึ้นเบาๆ
“ถึงหม่อมฉันจะยังยาว์ แต่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านปู่ ศึกษาอยู่ต่อหน้าท่านมา รู้ว่าท่านปู่เป็นคนนอบน้อมถ่อมตนและยุติธรรม เรื่องใหญ่น้อยในบ้านท่านจะจัดการอย่างเป็นธรรม ในใจของหม่อมฉัน ท่านปู่เป็นผู้ที่ยุติธรรมสุจริตที่สุดเพคะ”
“ตอนนั้นท่านปู่ถูกคนฟ้องร้องว่าทุจริตเงินหลวง หม่อมฉันรู้สึกราวฟ้าถล่มดินทลาย ไม่เชื่อว่าท่านปู่จะเป็นคนเช่นนั้น และขณะถูกจองจำ คนมากมายที่ท่านปู่เคยช่วยเหลือ เพื่อนฝูงที่เคยสงเคราะห์ ต่างพากันปลีกตัวจากไป ในใจจึงยิ่งหม่นหมอง”
“เคยคิดว่าคงต้องตายแน่แล้ว แต่เพราะฝ่าบาททรงนิรโทษกรรมทั่วหล้าจึงได้มีชีวิตรอดมาได้ แต่เพราะตอนนั้นหม่อมฉันไม่คิดว่าฝ่าบาทจะเป็นฮ่องเต้ที่ทรงปรีชาจึงได้เกลียดชังฝ่าบาทมาก่อน
แต่พอหม่อมฉันรู้จักพระองค์นานวันเข้าจึงค่อยๆ กระจ่าง ถึงฝ่าบาทจะทรงเป็นถึงเจ้าเหนือหัว แต่ก็ทรงหมั่นเพียรในราชกิจทุกวี่วันโดยไม่ย่อท้อแม้แต่น้อย ส่วนสิ่งที่พระองค์ทรงทราบและสดับฟังล้วนมาจากคำกราบทูลของขุนนางใหญ่ในราชสำนักทั้งสิ้น ดังนั้น…”
เซียงฉือยังพูดไม่จบ หรงจิงก็วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะโดยแรง
นางตกใจไม่กล้าพูดต่อ หรงจิงขมวดคิ้วแล้วต่อคำพูดของเซียงฉือ
“ดังนั้น เจ้าจึงคิดว่าคดีเก่าของเจ้าเมืองหลานโจวอวิ๋นเทียนเป็นคดีเท็จ ต้องการให้ข้าล้างมลทินให้กับพวกเจ้าทั้งตระกูลหรือ”
“อวิ๋นเซียงฉือ นี่เจ้าคิดว่าตัวเองเฉลียวฉลาด สามารถพูดเพราะประทับใจล่อลวงข้าสินะ”
หรงจิงเริ่มโกรธขึ้นมา
เซียงฉือเข้าใจ นางเก็บปากเก็บคำ สำรวมยิ่งขึ้น
และรู้ว่าตัวเองใจร้อนบุ่มบ่ามเกินไปเสียแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น