เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 300-307

 ตอนที่ 300 เปิดอกคุย


 


 


           “อย่าเพิ่งรับปากเร็วเกินไป” เวินเยวี่ยฉิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ฟังให้จบก่อนดีกว่า”


 


 


           “ค่ะ หนูรอฟังอยู่ค่ะ” เฉียวซือมู่ไม่ใส่ใจ ลากเก้าอี้ไปวางข้างเตียงคนไข้ ทำท่าตั้งหน้าตั้งตาฟัง


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงถอนหายใจ “พ่อของลูกกลับมาแล้ว”


 


 


           “อะไรนะคะ!” เฉียวซือมู่ตกใจจนกระโดดโหยง น้ำเสียงเปลี่ยนทันที “คุณแม่พูดว่าอะไรนะคะ? คุณพ่อกลับมาแล้ว? ก็คุณพ่อเขา… เขา…”


 


 


           คุณพ่อที่ตายไปจากใจเธอนานแล้วกลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ? เรื่องนี้ทำให้เธอตกตะลึงจนลืมรักษากิริยา มองหน้าคุณแม่อย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงพยักหน้าหนักแน่น “ใช่ ครั้งที่แล้วที่ซูเปอร์มาร์เก็ต แม่เห็นหลังพ่อไวๆ เราเป็นผัวเมียกันเป็นสิบๆ ปี อย่าว่าแต่แผ่นหลังเลย ต่อให้เหลือแต่กระดูกแม่ก็จำได้ แม่ก็เลยวิ่งตามไป”


 


 


           เธอเอ่ยพลางมองเฉียวซือมู่ “แม่รู้ว่าลูกคิดยังไงกับพ่อ แต่แม่อยากให้ลูกจำเอาไว้ พ่อก็คือพ่อ ตอนเด็กๆ พ่อเขารักลูกมากจริงๆ นะ”


 


 


           เฉียวซือมู่ตะลึงนิ่งอึ้ง คุณแม่ดูออกว่าเธอคิดและอยากจะพูดอะไร จึงได้แต่พยักหน้า “หนูรู้ค่ะ”


 


 


           นี่สินะเหตุผลที่คุณแม่ไม่อยากจะบอกเธอ แต่เพื่ออะไรล่ะ?


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงเอ่ยต่อ “ครั้งนั้นแม่วิ่งตามเขาไป แม่เห็นเขาใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ไม่พอดีตัว เหมือนเสื้อผ้าที่ไปเก็บคนอื่นมา ยิ่งดูก็ยิ่งแปลก แม่ก็เลยไม่ได้เรียกเขา แต่แอบตามเขาไปเงียบๆ เพื่อไม่ทำให้เขารู้ตัว แม่ก็เลยต้องปิดมือถือ”


 


 


           เฉียวซือมู่ฟังจบแล้วถึงได้รู้ว่าทำไมตอนนั้นคุณแม่ถึงปิดโทรศัพท์มือถือ แต่เธอยังคงรู้สึกแปลกใจอยู่ดี แม้เมื่อก่อนครอบครัวเธอจะไม่ได้ร่ำรวยเท่าตระกูลจิ้น แต่ก็ถือว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ในเมืองนี้ ตระกูลเฉียวเป็นคนชนชั้นไฮโซ ตอนที่คุณพ่อหนีไปพร้อมกับผู้หญิงคนนั้น ท่านหอบเงินทั้งหมดไปด้วย เหลือทิ้งไว้แต่หนี้มากมายมหาศาลเอาไว้ให้พวกเธอ ถ้าท่านไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ท่านสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ ไปตลอดชีวิตเลย


 


 


           แต่ทำไมฟังจากที่คุณแม่เล่าแล้วเหมือนคุณพ่อจะยากจนข้นแค้นมากเลยล่ะ มันจะเป็นไปได้อย่างไร? เธอคิดมาตลอดว่าคุณพ่อคงกำลังใช้ชีวิตสำเริงสำราญอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะกลายเป็นแบบนั้นไปได้


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงทอดถอนใจ “ตอนนั้นแม่รู้สึกว่ามันแปลกมาก เงินที่เขาหอบหนีไปมากพอให้เขาใช้ชีวิตสุขสบายไปทั้งชาติ แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้? เสี้ยววินาทีหนึ่งแม่ยังคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไป แต่พอเห็นใบหน้าด้านข้างของเขาถึงได้แน่ใจว่าเป็นเขาจริงๆ”


 


 


           “แล้วหลังจากนั้นล่ะคะ?” เฉียวซือมู่อดรนทนไม่ไหวอยากจะฟังต่อ


 


 


           “หลังจากนั้น…” เวินเยวี่ยฉิงยิ้มขมขื่น “หลังจากนั้นแม่ก็แอบตามเขาไปจนถึงบ้านเก่าซอมซ่อแถวชานเมือง ในบ้านไม่มีอะไรเลย เห็นปุ๊บก็รู้แล้วว่าเป็นบ้านร้างที่ถูกเจ้าของทิ้งไปแล้ว เขานอนอยู่ในนั้น จากนั้นล้วงของกินออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วกินมัน แม่ถึงได้รู้ว่าที่เขาไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตก็เพื่อขโมยของกิน และนั่นหมายความว่าตอนนี้เขาไม่มีเงินเหลือติดตัวแม้แต่สตางค์แดงเดียวแล้ว”


 


 


           “มันจะเป็นไปได้ยังไงกันคะ?” เฉียวซือมู่ร้องเสียงหลง “เงินที่คุณพ่อหอบหนีไป ต่อให้ไม่ทำงานก็มีเงินใช้ไปตลอดชีวิต แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?”


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงถอนหายใจ “แม่เองก็คิดเหมือนลูก แต่แม่ไม่ทันระวังทำเสียงดังจนทำให้เขารู้ตัว”


 


 


           “คุณพ่อเห็นคุณแม่เหรอคะ? แล้วจากนั้นล่ะคะ?” เฉียวซือมู่เบิกตาโต ถ้าเป็นแบบนั้นจริง หลังจากกลับบ้านแล้วคุณแม่ต้องบอกเธอสิ แต่ทำไมเป็นตายร้ายดีอย่างไรท่านก็ไม่ยอมบอกเธอล่ะ?


 


 


 


 


ตอนที่ 301 ไม่อยากจะเชื่อ


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงรู้ว่าปกปิดต่อไปไม่ได้แล้ว จึงยอมเล่าทุกอย่างจนหมดเปลือก


 


 


           ที่แท้ เฉียวจื่อจี้ พ่อของเฉียวซือมู่ได้รู้จักกับหญิงสาวคนหนึ่ง ตอนแรกเธอเป็นพนักงานของเขา แต่สุดท้ายเขาก็หลงเสน่ห์เธอเข้าอย่างจัง จนทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน


 


 


           ตอนแรกเฉียวจื่อจี้แค่รู้สึกสดชื่นกับความแปลกใหม่โดยไม่คิดที่จะอยู่กับเธอตลอดไป แต่ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไปหาลู่ทางมาจากไหน ถึงได้ล่อหลอกให้เขาติดการพนันจนได้


 


 


           สามสิ่งที่ไม่ควรแตะต้องมากที่สุดก็คือประเวณี การพนันและยาเสพติด แต่เฉียวจื่อจี้กลับหลวมตัวเข้าไปพัวพันทีเดียวถึงสองอย่าง ทำให้เขาหลงมัวเมาจนถอนตัวไม่ขึ้น ตอนแรกเขาแค่อยากจะเอาเงินที่เสียไปคืนแล้วเขาจะวางมือทันที แต่สุดท้ายเขากลับติดการพนันงอมแงม กว่าจะได้สติก็ตอนที่เขาใช้เงินสดในบริษัทจนเกือบหมดเกลี้ยง ทำให้รายได้ไม่พอกับรายจ่าย


 


 


           เขาตื่นตระหนกมากและคิดจะวางมือ แต่กลับพบว่าตัวเองก่อหนี้สินไว้มากมายมหาศาล ถ้าเกิดเรื่องนี้เปิดเผยออกไป ไม่เพียงลูกเมียจะไม่ให้อภัยเขา ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือครอบครัวอาจจะล้มละลาย ขณะที่เขากำลังตื่นตระหนกและทำอะไรไม่ถูกนั้น ชู้รักของเขาก็ออกอุบายให้เขา บอกให้เขาหอบทรัพย์สมบัติที่ยังเหลืออยู่หนีไปซะ แบบนี้เจ้าหนี้ก็จะหาตัวเขาไม่เจอ แถมยังเหลือเงินทองอีกตั้งเยอะ วางพนันอีกสักตั้ง จะได้เอาเงินที่เสียไปทั้งหมดคืนมาด้วย


 


 


           เขากำลังหวาดกลัว พอได้ยินคำแนะนำของเธอจึงรีบทำตามทันที เขาขายทรัพย์สินที่เหลืออยู่จนหมด จากนั้นหนีไปพร้อมชู้รัก


 


 


           “แต่ว่า… ต่อให้คุณพ่อแพ้พนัน แต่ก็คงไม่ถึงขั้นตกอยู่ในสภาพน่าอเนจอนาถขนาดนั้นหรอกมั้งคะ อีกอย่าง ผู้หญิงคนนั้นล่ะคะ?” เฉียวซือมู่ฟังเรื่องราวยืดยาวของคุณพ่อจนจบแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงส่ายศีรษะอย่างปลงอนิจจัง “พ่อลูกน่ะมีตาหามีแววไม่ ดูคนผิดมาทั้งชีวิตแล้วยังไม่รู้จักจำ ผู้หญิงคนนั้นเลวมาก หลังจากหนีไปด้วยกันแล้วก็คอยยุยงให้เขาไปเล่นการพนันอีก คิดแต่จะเอาเงินคืน แต่มันง่ายอย่างที่คิดเสียที่ไหนกันล่ะ เล่นไปก็มีแต่เสียกับเสีย แถมยังเสียจนหมดตัวอีกต่างหาก ผู้หญิงคนนั้นเห็นท่าไม่ดีก็เลยแอบหนีไป พ่อของลูกถึงได้ตกอยู่ในสภาพนั้นไงล่ะ” เธอเอ่ยอย่างปลงๆ


 


 


           เธอกับเฉียวจื่อจี้มีช่วงเวลาสวยงามด้วยกันมากมาย เธอคิดไม่ถึงเลยว่าความรู้สึกที่แปรเปลี่ยนจะกลายเป็นเรื่องน่ากลัวมากขนาดนี้ ยามเธอเห็นชายที่ตัวเองเคยรักหมดใจและเป็นที่พึ่งมาตลอดชีวิตกลายเป็นคนที่น่าสมเพชแบบนั้นแล้ว ในใจเธอเต็มไปด้วยความสับสนปนเปที่ยากจะอธิบาย


 


 


           เฉียวซือมู่กลับไม่รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด เธอทำงานข่าวมานานหลายปี เคยเห็นผีพนันมาไม่น้อย ผีพนันที่จมปลักอยู่กับการพนันจนถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนดีเลิศประเสริฐศรีมาจากไหนก็ตาม สุดท้ายก็ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด และพบกับจุดจบที่น่าสมเพช ดังนั้น เธอจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดที่ได้ยินคุณแม่เล่าว่าคุณพ่อเล่นพนันจนไม่เหลือเงินสักบาท แต่กลับเอ่ยอย่างไม่เห็นใจเลยสักนิด “มันก็สมควรแล้วนี่คะ”            


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงส่ายศีรษะ สีหน้าสับสน


 


 


           เฉียวซือมู่เห็นท่าทางของคุณแม่แล้วหวนนึกถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เคยดีมาก เธอเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “แล้วตอนนี้คุณแม่คิดยังไงกับคุณพ่อคะ? แล้วตอนนี้คุณพ่ออยู่ที่ไหนคะ?”


 


 


           ความรู้สึกที่เธอมีต่อคุณพ่อนั้นสับสนไม่ต่างกัน ตอนที่รู้ว่าคุณพ่อพาชู้รักหนีไปพร้อมเงินทั้งหมดนั้น เธอโกรธเกลียดคุณพ่ออยู่ตั้งนาน อยากให้คุณพ่อตายๆ ไปซะให้รู้แล้วรู้รอด


ตอนที่ 302 เห็นแก่ที่เขาเป็นพ่อ


 


 


           มาวันนี้เธอกลับได้ข่าวว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ ส่วนลึกสุดในใจเธอไม่รู้ว่าดีใจมากกว่าหรือว่าผิดหวังมากกว่ากันแน่


 


 


           แต่ดูจากท่าทางของคุณแม่แล้ว คุณแม่น่าจะดีใจมากกว่า


 


 


           แล้วตอนนี้คุณพ่ออยู่ที่ไหน?


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงลังเลชั่วครู่ “ตอนนั้นแม่โกรธมาก แม่ถามคำถามเขามากมาย ตอนแรกเขาก็ยอมตอบโดยดี แต่ตอนหลังเราก็ทะเลาะกันจนได้ แม่โมโหที่เขาทำผิดแล้วยังไม่สำนึกผิดอีก คิดแต่จะให้แม่เอาเงินให้เขาไปใช้หนี้ แม่โกรธมากก็เลยกลับ”


 


 


           ที่แท้สิ่งที่เวินเยวี่ยฉิงพูดตอนนั้นถือว่าเป็นความจริง หลังจากเธอจากเฉียวจื่อจี้ไปแล้ว เธอรู้สึกกลุ้มใจมากจึงไปเที่ยวบ้านเพื่อนสองวันแล้วค่อยกลับบ้าน


 


 


           เฉียวซือมู่เพิ่งรู้ว่าสองวันนั้นคุณแม่หายไปไหนมา แต่เธอยังคงคลางแคลงใจอยู่ดี “แล้วทำไมคุณแม่ถึงไม่พูดความจริงกับหนูล่ะคะ กลัวหนูโกรธอย่างนั้นเหรอ?”


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงถอนหายใจ “ถึงแม่จะโกรธพ่อของลูก แต่ก็อย่างที่เขาบอก ถ้าไม่ใช้หนี้เขาก็คงไม่รอด แม่ก็เลยคิดจะใช้หนี้ให้เขา ถือเสียว่าเห็นแก่ที่เขาเป็นพ่อของลูก แต่เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องน่าอับอาย ลูกกำลังจะแต่งงาน แถมยังแต่งเข้าตระกูลใหญ่ขนาดนั้นอีกต่างหาก ถ้าเกิดคนอื่นรู้ว่าลูกมีพ่อแบบนี้ ครอบครัวเขาคงดูถูกลูกมากกว่าเดิมอีก”


 


 


           เฉียวซือมู่ฟังแล้วมองเธอด้วยความประหลาดใจมาก และรู้สึกซาบซึ้งใจในขณะเดียวกัน “คุณแม่รู้ได้ยังไงคะว่าครอบครัวเขา…”


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงส่ายศีรษะ “แม่เป็นคนคลอดลูกออกมานะ คิดว่าแม่ไม่รู้จักลูกของแม่หรือไง? ทุกครั้งที่แม่ถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับแม่ของเขา ถ้าลูกไม่โกหกก็มักจะตอบเลี่ยงๆ สุดท้ายก็ใช้วิธีเปลี่ยนเรื่องคุยเสียดื้อๆ ลูกอาจจะคิดว่าตัวเองไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย แต่ในสายตาแม่ ลูกบอกแม่มากพอแล้ว”


 


 


           เฉียวซือมู่เหงื่อตก ที่แท้คนที่เข้าใจเธอมากที่สุดในโลกก็คือคุณแม่นั่นเอง เธออ้าปากอยากจะอธิบาย แต่กลับถูกเวินเยวี่ยฉิงขัดขึ้นเสียก่อน “แม่รู้ดีว่าผู้หญิงทุกคนแต่งงานไปก็ต้องเจอด่านนี้ด้วยกันทั้งนั้น ตอนนี้แม่ยังไม่มีวิธี แต่ก็ไม่อยากทำให้ลูกต้องลำบาก ก็เลยคิดจะจัดการเรื่องนี้เองลับหลังลูก จากนั้นแม่จะได้แยกทางกับพ่อเขาให้เด็ดขาด แต่นึกไม่ถึงเลยว่า…”


 


 


           เฉียวซือมู่หัวใจกระตุกวูบ “นึกไม่ถึงอะไรคะ?” เธอนึกถึงบาดแผลตามร่างกายของคุณแม่ แล้วหวนนึกถึงเรื่องที่คุณแม่ไม่ยอมให้เธอแจ้งความ พอปะติดปะต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทำให้เธอเข้าใจทันที “คุณพ่อเป็นคนทำร้ายคุณแม่ใช่ไหมคะ?”


 


 


           ถ้าคุณพ่อเป็นคนทำร้ายคุณแม่ ถ้าเช่นนั้นทุกอย่างก็จะลงล็อกพอดี คุณแม่เป็นคนรักหน้าตามาก ท่านไม่มีวันยอมขึ้นโรงพักเพราะเรื่องแบบนี้แน่ และท่านไม่อยากทำให้เธอต้องเสียชื่อเสียงด้วย จึงไม่ยอมให้เธอแจ้งความ


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงยิ้มขมขื่น “ใช่ เขาเอง” น้ำเสียงเธอแฝงรอยเกลียดชัง


 


 


           “ทำไมคะ? ทำไมคุณพ่อต้องทำร้ายคุณแม่ด้วย?” เฉียวซือมู่ไม่เข้าใจ


 


 


           ตามหลักแล้วคุณแม่ยินดีช่วยใช้หนี้ให้คุณพ่อ คุณพ่อต้องดีใจสิถึงจะถูก แล้วทำไมกลับมาทำร้ายคุณแม่แบบนี้ล่ะ? คุณพ่อเป็นบ้าไปแล้วหรือ?


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงเอ่ยตอบ “ตอนที่แม่บอกว่าจะช่วยใช้หนี้ให้ถึงได้รู้ว่า ช่วงที่ผ่านมาเขาไม่เพียงใช้เงินที่หอบหนีไปจนหมด แต่ยังไปกู้หนี้นอกระบบมาอีกเป็นล้าน ตอนนี้อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่แม่เองก็ไม่มีปัญญาใช้หนี้ให้หรอก”


 


 


           “ตอนนั้นแม่ตกใจมากเกินไป ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายหนักแน่นอย่างเขาจะกลายเป็นผีพนันไปได้ แม่ก็เลยพูดจาไม่ดี และบอกว่าจะไม่ช่วยเขาใช้หนี้ เขาฟังแล้วหน้าเปลี่ยนสีทันที แล้วยังลงไม้ลงมือกับแม่อีก” เธอเอ่ยอย่างทอดถอนใจ


 


 


 


 


ตอนที่ 303 อย่างนี้นี่เอง


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าสามีตัวเองจะกลายเป็นคนครึ่งผีครึ่งคนแบบนั้น ที่สำคัญ เธอไม่มีเงินเยอะมากขนาดนั้น เงินที่มีอยู่ก็เป็นเงินที่ลูกสาวให้เธอ แล้วเธอจะเอาเงินนี้ไปใช้หนี้ให้เขาจนหมดได้อย่างไร?


 


 


           ส่วนเฉียวจื่อจี้อาจเป็นเพราะชีวิตมีความหวังขึ้นมา แล้วจู่ๆ ก็ต้องผิดหวัง เขาคงทนรับความผิดหวังไม่ได้ถึงได้ลงมือทำร้ายเธอ


 


 


           เธอหวนนึกถึงท่าทางน่ากลัวของสามีตัวเองแล้วกลัวจนตัวสั่น ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอจะไม่มีวันยอมให้ลูกสาวเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเด็ดขาด เพราะเฉียวจื่อจี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ใช่เฉียวจื่อจี้คนเดิมอีกต่อไปแล้ว


 


 


           “คุณพ่อทำเกินไปแล้ว!” เฉียวซือมู่ฟังถึงตรงนี้แล้วผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ เอ่ยด้วยความกรุ่นโกรธ “ตอนนั้นยังทำเราเจ็บแสบไม่พออีกเหรอคะ? ตอนนี้ยังคิดจะกลับมาทำร้ายเราอีก นี่มัน… หนูล่ะอยากจะคิดจริงๆ ว่าไม่เคยมีเขาเป็นพ่อมาก่อน!”


 


 


           เฉียวซือมู่รักและสนิทกับคุณแม่มากที่สุด คุณพ่อเคยทำร้ายจิตใจเธอไปแล้วครั้งหนึ่ง ทำให้ความรู้สึกที่เธอมีต่อคุณพ่อเบาบางลงไม่น้อย ตอนนี้มาเห็นคุณแม่ถูกคุณพ่อทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บ จึงทำให้เธอรู้สึกโกรธเกลียดคุณพ่อมาก


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงส่ายศีรษะ “ลูกอย่าโกรธเลยนะ แม่บาดเจ็บแบบนี้ เขาเองก็ตกใจมากเหมือนกัน ต่อไปเขาคงไม่มายุ่งกับแม่อีกแล้ว ลูกสบายใจเถอะ”


 


 


           เฉียวซือมู่กลับไม่เห็นด้วย “คุณแม่คิดในแง่ดีเกินไปแล้ว คุณพ่อติดหนี้ตั้งหลายล้านนะคะ ตอนนี้คุณพ่อไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว ถ้าไม่มาหาฟางเส้นสุดท้ายอย่างคุณแม่แล้วจะไปหาใคร? หนูว่านะ เดี๋ยวคุณพ่อก็ต้องมาหาคุณแม่อีก”


 


 


           “แล้วตอนนี้เราควรจะทำยังไงดี?” เวินเยวี่ยฉิงชักหัวคิ้วชนกันแน่น “ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อบังเกิดเกล้าของลูก แม่คงไล่เขาไปไม่ได้หรอก”


 


 


           คุณแม่ก็เป็นคนใจอ่อนแบบนี้ ไล่ออกไปแล้วอย่างไรต่อ? เฉียวซือมู่แอบแขวะในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป


 


 


           คุณแม่เข้าใจเธอดีที่สุด เธอเองก็เข้าใจคุณแม่ดีที่สุดเหมือนกัน เธอรู้ว่าลึกๆ แล้วในใจคุณแม่ยังมีเยื่อใยต่อคุณพ่อ มิเช่นนั้นท่านคงไม่รับปากใช้หนี้ให้คุณพ่อหรอก เพียงแต่ท่านไม่มีเงินมากพอจึงทำตามที่พูดไม่ได้ก็เท่านั้นเอง ดังนั้น เธอจึงไม่พูดอะไรต่อหน้าท่านอีก แต่แอบคิดในใจเงียบๆ ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี


 


 


           ตอนแรกเธอยังเหลือเยื่อใยให้คุณพ่ออยู่บ้าง แต่พอเห็นคุณแม่ถูกคุณพ่อทำร้ายจนบาดเจ็บแบบนี้ เยื่อใยเส้นบางๆ ที่ยังเหลืออยู่ก็หายวับไปกับตาทันที เพราะสำหรับเธอแล้ว คุณพ่อทำผิดมหันต์ขนาดนั้น บีบให้เธอกับคุณแม่เกือบตาย ทำให้คุณแม่ต้องเจ็บหนักจนต้องนอนโรงพยาบาลตั้งนาน คุณพ่อกลับมาอย่างสำนึกผิดเธอยังต้องขอคิดดูก่อนเลย แล้วตอนนี้กลับเลวร้ายกว่าเดิมอีกอย่างนั้นเหรอ?


 


 


           ตอนนี้เธอไม่คาดหวังอะไรกับคุณพ่ออีกแล้ว เพราะฉะนั้น เธอต้องรีบหาวิธีจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ทำให้คุณพ่อมาหาเรื่องคุณแม่ไม่ได้อีก


 


 


           เธอปลอบใจเวินเยวี่ยฉิงอีกสักพัก เวินเยวี่ยฉิงทั้งเจ็บตัว ทั้งมีอาการสมองได้รับการกระทบกระเทือน การพูดคุยเป็นเวลานานทำให้เธอเหนื่อยมาก เพียงไม่นานเธอก็ผลอยหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า


 


 


           เฉียวซือมู่ดึงผ้าห่มคลุมกายเวินเยวี่ยฉิง มองดูเธอค่อยๆ ผลอยหลับไป รอยฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้าทำให้เธอเจ็บปวดใจมาก เธอกำมือแน่นแล้วเดินออกจากห้อง


 


 


           เธอเปิดประตูออกแล้วต้องตกใจสะดุ้งโหยง “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”


 


 


           พูดจบแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ว่าคุณแม่เพิ่งหลับไป จึงเอ่ยเสียงเบา “คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”


 


 


           จิ้นหยวนยืนอยู่หน้าประตู “สักพักแล้วล่ะ”


 


 


           เธอหันมองเข้าไปในห้อง “คุณได้ยินที่เราคุยกันหมดแล้วใช่ไหมคะ?”


ตอนที่ 304 ปรึกษาหารือ


 


 


“ใช่” จิ้นหยวนยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน


 


 


เธอถลึงตาแล้วดึงแขนเสื้อเขา “ไปค่ะ เราไปคุยกันที่อื่นดีกว่า”


 


 


ทั้งสองเข้าไปในห้องคนไข้ที่ยังว่างอยู่ เธอหมุนตัวปิดประตูลงแล้วถอนหายใจ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? คุณพ่อฉันเขา… เขา…”


 


 


ต่อให้เธอโกรธคุณพ่อมาก แต่ในสายตาคนอื่นท่านก็ยังเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเธออยู่ดี ถ้าเขาแย่ ลูกสาวอย่างเธอก็คงไม่ได้ดูดีเหมือนกัน


 


 


           จิ้นหยวนตบหลังมือเธอเบาๆ อย่างปลอบโยนและให้เธอตั้งสติ “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เขากับคุณเป็นคนละคนกัน คุณเป็นคนดีก็พอแล้ว”


 


 


           “คุณก็พูดได้สิคะ เขาเป็นคุณพ่อของฉัน ท่านทำร้ายคุณแม่จนเจ็บหนักขนาดนั้น อย่างมากก็เป็นการใช้กำลังรุนแรงในครอบครัว ไม่ถือเป็นการทำร้ายร่างกายโดยเจตนา แจ้งความไปก็คงไม่มีใครสนใจ คุณบอกฉันหน่อยสิคะว่านี่มันอะไรกัน? ทำไมฉันถึงมีพ่อแบบนี้? ท่านยังทำร้ายพวกเราไม่พออีกเหรอ? ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?”


 


 


           ต่อหน้าผู้ชายของตัวเอง เธอพูดพรั่งพรูความในใจทุกอย่างออกมาจนหมดเปลือก พูดจนน้ำตาไหล


 


 


           จิ้นหยวนรั้งเธอเข้าไปกอดด้วยความสงสารจับใจ เช็ดน้ำตาให้เธอเบาๆ เอ่ยปลอบโยนเธอ “ไม่ต้องร้องนะ เราก็ไม่ต้องไปสนใจท่านสิ”


 


 


           “ไม่ได้หรอกค่ะ” เธอสูดน้ำมูก “คุณแม่เป็นคนดื้อ ฉันรู้ค่ะว่าคุณแม่ยังมีเยื่อใยให้คุณพ่อ ถ้าฉันไม่ดำดูดีคุณพ่อ คุณแม่ต้องไม่สบายใจแน่”


 


 


           “แล้วคุณอยากช่วยท่านใช้หนี้หรือเปล่า?” เงินหลักล้านถือว่าเล็กน้อยมากสำหรับจิ้นหยวน ขอแค่เธอเอ่ยปาก เขาก็จะจัดการให้เธอทันที


 


 


           ใครจะไปรู้ว่าเฉียวซือมู่จะส่ายศีรษะปฏิเสธ “ไม่ค่ะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ ช่วยใช้หนี้ให้ก็เสียเปรียบสิคะ ถือสิทธิ์อะไรไม่ทราบ? ถ้าเกิดเราใช้หนี้ให้แล้วเกิดท่านทำผิดซ้ำซากอีกล่ะคะ?”


 


 


           “แล้วคุณอยากจะทำยังไง?” จิ้นหยวนกอดเธอเอาไว้


 


 


           “ปล่อยเอาไว้อย่างนี้ก่อนค่ะ คุณพ่อเพิ่งจะทำร้ายคุณแม่ ช่วงนี้คงไม่กล้ามาอีกแน่ รอให้ท่านมาหาก่อน ถึงตอนนั้นล่ะจะได้เห็นดีกัน!” เฉียวซือมู่เอ่ยพลางเหวี่ยงกำปั้นเล็กๆ ไปมา


 


 


           จิ้นหยวนมองดูท่าทางกรุ่นโกรธของเธอแล้วจับกำปั้นเล็กๆ ของเธอไปจุมพิตเบาๆ “ครับ คุณอยากจะทำอะไรผมก็สนับสนุนทั้งนั้น แต่คุณต้องระวังอย่าปล่อยให้ตัวเองโกรธจนเป็นผลเสียต่อร่างกายล่ะ”


 


 


           “อื้ม ไม่แน่นอนอยู่แล้ว” เธอลังเลชั่วครู่แล้วมองหน้าเขา “ช่วงนี้ฉันคงต้องอยู่เฝ้าคุณแม่ที่นี่ คุณ…”


 


 


           จิ้นหยวนหน้าเข้มขึ้น “แล้วผมล่ะ?”


 


 


           เธอชะงักชั่วครู่ “คุณไม่ได้บาดเจ็บนี่ ต้องให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนด้วยเหรอคะ?”


 


 


           พอคิดว่าเธอจะไม่อยู่ข้างกายเขา จิ้นหยวนก็รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวขึ้นมาทันที เขารบเร้าจนเธอต้องยอมแพ้ และรับปากว่าเธอจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ในเวลากลางวัน และจ้างพยาบาลพิเศษดูแลคุณแม่ในเวลากลางคืน


 


 


           จิ้นหยวนหอมแก้มเธออย่างพึงพอใจ เขาเสนอตัวช่วยเธอจัดการเรื่องนี้ อย่างน้อยก็หาตัวคุณพ่อเธอให้เจอก่อน


 


 


           เธอฟังแล้วคัดค้านทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “ตอนนี้ยังก่อนดีกว่าค่ะ รอให้คิดวิธีที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่ดีกว่า”


 


 


           วิธีที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายของเธอก็คือ ทำให้คุณแม่พอใจ ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้คุณพ่อได้รับบทเรียนด้วย


 


 


           ถ้าทำได้แบบนั้นน่าจะดีที่สุด เธอแอบคิดในใจ


 


 


           แต่ยังไม่ทันที่เธอจะคิดวิธีออก เรื่องราวก็เกิดจุดเปลี่ยนขึ้นอีกครั้ง


 


 


           หลายวันผ่านไป อาการบาดเจ็บของเวินเยวี่ยฉิงค่อยๆ ดีขึ้น แต่สภาพจิตใจเธอกลับหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เฉียวซือมู่เผลอ เธอมักจะเผยสีหน้ากังวลใจออกมาเสมอ


 


 


           เฉียวซือมู่รู้ดีแก่ใจว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ได้แต่แอบโกรธในใจที่คุณแม่เป็นคนใจอ่อนเกินไป


 


 


 


 


ตอนที่ 305 ขอร้อง


 


 


           เฉียวซือมู่ไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนคนนั้นอีก จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางของเวินเยวี่ยฉิงเสีย เธอไปเฝ้าไข้เวินเยวี่ยฉิงในตอนกลางวัน และให้นางพยาบาลดูแลในตอนกลางคืน เวินเยวี่ยฉิงดูออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่จึงไม่ได้พูดอะไร


 


 


           วันเวลาค่อยๆ ผ่านไป อาการบาดเจ็บของเวินเยวี่ยฉิงดีวันดีคืน ในที่สุดคุณหมอก็แจ้งว่าเธอสามารถกลับบ้านได้แล้ว จิ้นหยวนจึงไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลและรับเธอกลับบ้านโดยเฉพาะ


 


 


           เฉียวซือมู่นั่งเงียบไปตลอดทาง แสร้งทำเป็นไม่เห็นสีหน้าของเวินเยวี่ยฉิง เธอช่วยเก็บกวาดห้องนอนที่ไร้คนอยู่นานหลายวัน เก็บกวาดเสร็จแล้วลงมือเข้าครัวทำอาหารแสนอร่อยให้เธอ จนแล้วจนรอดเวินเยวี่ยฉิงก็ยังไม่มีโอกาสคุยกับเฉียวซือมู่เสียที


 


 


           หลังรับประทานอาหาร เฉียวซือมู่เก็บจานชามคนเดียวเงียบๆ พอเดินออกจากห้องครัวเวินเยวี่ยฉิงจึงเรียกเธอเอาไว้ “มู่มู่ ลูกกำลังโกรธแม่ใช่ไหม?”


 


 


           เฉียวซือมู่มองเวินเยวี่ยฉิงแวบหนึ่ง เห็นสีหน้าร้อนรนของเธอแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นนั่งลงข้างเธอ “คุณแม่อยากพูดอะไรกับหนูคะ พูดมาเถอะค่ะ”


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยถาม “ลูกเกลียดพ่อมากเลยใช่ไหม?”


 


 


           “เปล่าค่ะ หนูแค่ไม่อยากเห็นหน้าคุณพ่ออีก” เธอรู้อยู่แล้วว่าสักวันคุณแม่จะต้องถามคำถามนี้กับเธอ เธอจึงตอบอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


 


 


           “อย่างนั้นเหรอ?” เวินเยวี่ยฉิงยิ้มเหม่อๆ “แม่รู้ว่าลูกกำลังโกรธที่แม่ใจอ่อน ถึงยังไงเขาก็เป็นสามีที่ใช้ชีวิตร่วมกับแม่เป็นสิบๆ ปี เมื่อก่อนเขาไม่ใช่คนแบบนี้ ลูกเข้าใจความรู้สึกของแม่หรือเปล่า? ถึงตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่แม่ก็ทนเห็นเขาต้องตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้หรอก”


 


 


           เธอมองหน้าเฉียวซือมู่ด้วยสายตาแรงกล้า “ลูกเข้าใจความรู้สึกของแม่หรือเปล่า? แม่ไม่ให้อภัยเขา และไม่คิดจะใช้ชีวิตร่วมกับเขาอีก แม่แค่ไม่อยากเห็นเขาตายไปทั้งๆ อย่างนี้ก็เท่านั้นเอง”


 


 


           เฉียวซือมู่มองเวินเยวี่ยฉิงด้วยสายตาเย็นชา “แล้วคุณแม่อยากจะพูดอะไรกับหนูกันแน่คะ?”


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงชะงักไปชั่วครู่ ทันใดนั้น เธอคว้าจับมือเฉียวซือมู่หมับ “มู่มู่ ลูกช่วยพ่อด้วยนะ ได้ไหม? ไม่ต้องช่วยใช้หนี้ก็ได้ อย่างน้อยก็ช่วยชีวิตเขาเอาไว้”


 


 


           “คุณแม่แน่ใจได้ยังไงคะว่าหนูทำได้?”


 


 


           “แม่รู้ ลูกเป็นคนฉลาด แล้วจิ้นหยวนยังดีกับลูกมากขนาดนั้น ถ้าลูกคิดจะช่วยจริง พ่อของลูกต้องมีทางรอดแน่นอน มู่มู่ เขาเป็นพ่อของลูกนะ ลูกจะไม่ยอมรับเขาก็ได้ จะเกลียดเขาก็ได้ แต่ลูกจะปล่อยให้พ่อเขาตายไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ไม่ได้ ลูกเข้าใจไหม?”


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงจับมือเธอแน่น สีหน้าเว้าวอน


 


 


           เฉียวซือมู่จ้องหน้าเวินเยวี่ยฉิงนิ่ง “คุณแม่ลืมไปแล้วเหรอคะว่าคุณพ่อทิ้งเราไปยังไง? คุณแม่ไม่เกลียดคุณพ่อเลยเหรอคะ?”


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงยิ้มขมขื่น “ใครบอกว่าแม่ไม่เกลียดเขา? ที่ผ่านมาแม่เกลียดเขามาก มากจนนอนไม่นอน ถ้าตอนนั้นเขากลับมาปรากฎตัวตรงหน้าแม่ แม่คงฉีกอกเขาไปแล้ว แต่ทำอย่างนั้นแล้วมันจะได้อะไร? เขาเป็นพ่อของลูก เป็นสามีของแม่ คนที่เคยมีช่วงเวลาแสนโรแมนติกด้วยกัน คนที่เฝ้ารอการเกิดของลูก คนที่พาลูกออกไปนั่งม้าหมุน พาลูกไปขับรถเล่น ลูกลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้วเหรอ?”


 


 


           “แต่ว่า…” เฉียวซือมู่ยังคงไม่เห็นด้วย


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงเอ่ยแทรกขึ้น “แม่บอกแล้วว่าลูกจะไม่ยอมรับเขาก็ได้ ไม่สนใจเขาก็ได้ แต่แม่ขอแค่ลูกช่วยชีวิตเขา อย่าปล่อยให้เขาถูกทำร้ายจนตายก็พอแล้ว” เธอมองลูกสาวด้วยสายตาแรงกล้า “นี่เป็นคำขอเดียวของแม่ ลูกรับปากแม่ได้หรือเปล่า?”


ตอนที่ 306 รับปาก


 


 


           เฉียวซือมู่เม้มริมฝีปากแน่น พิจารณาคำขอร้องนั้นไปมาหลายตลบ ในที่สุดเธอก็พยักหน้าช้าๆ “ค่ะ หนูรับปาก”


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก เผยรอยยิ้มโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก


 


 


           เฉียวซือมู่มองหน้าเวินเยวี่ยฉิงด้วยความรู้สึกสับสนปนเปยากจะอธิบาย


 


 


           ตั้งแต่คุณแม่ฟื้นเธอก็อยู่กับคุณแม่ตลอด เธอไม่เคยเห็นคุณแม่เอ่ยถึงคุณพ่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว เธอคิดว่าคุณแม่สิ้นเยื่อขาดใยกับคุณพ่อเช่นเดียวกันกับเธอ แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะเข้าใจผิดทั้งหมด คุณแม่ไม่เพียงไม่คิดแบบเดียวกับเธอ แต่ยังมีตัดใจจากคุณพ่อไม่ได้อีกต่างหาก


 


 


           นั่นทำให้เธอประหลาดใจมาก และยังรู้สึกไม่ได้ดั่งใจอีกด้วย บางทีอาจเป็นเพราะอายุที่แตกต่างกันก็ได้ เธอจึงไม่เข้าใจความรักไร้เงื่อนไขที่คุณแม่มีต่อคุณพ่อ และเธอก็ไม่อยากจะเข้าใจด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้ก็คือ ในฐานะลูกสาว เธอจะต้องเรียนรู้ที่จะปกป้องคุณแม่ให้ได้


 


 


           ดังนั้น หลังจากรับปากคุณแม่แล้วจึงเอ่ยขึ้นทันที “หนูรับปากคุณแม่ แต่คุณแม่ก็ต้องรับปากหนูเรื่องหนึ่งด้วย”


 


 


           “เรื่องอะไร? พูดมาเถอะ” เวินเยวี่ยฉิงสีหน้าผ่อนคลายมาก


 


 


           “คุณแม่ต้องรับปากหนูว่าต่อไปจะไม่พบหน้าคุณพ่ออีก ได้ไหมคะ?” เฉียวซือมู่จ้องเธอนิ่ง


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงชะงักนิ่งอึ้ง หน้าเกร็งขึ้นมาทันที “ลูกคนนี้นี่ พูดอะไรเหลวไหล แม่จะไปพบเขาอีกได้ยังไง?”


 


 


           “งั้นก็ดีค่ะ คุณแม่รับปากหนูแล้วนะคะว่าจะไม่พบคุณพ่ออีก นะคะ”


 


 


           “ลูกคนนี้นี่… ก็ได้ แม่รับปาก ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม่ก็จะไม่พบเขาอีก พอใจหรือยัง?” เวินเยวี่ยฉิงถูกบีบจนต้องยอมรับปาก


 


 


           เฉียวซือมู่พอใจกับคำตอบของเธอ


 


 


           แม้เวินเยวี่ยฉิงจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่เธอก็รู้ว่าเป็นเพราะลูกสาวหวังดีกับตัวเอง จึงไม่ได้ยึกยักนานนัก ไม่นานเธอก็บอกที่อยู่ของเฉียวจื่อจี้ให้เธอรู้


 


 


           เฉียวซือมู่ตัดสินใจไปพบเฉียวจื่อจี้พรุ่งนี้ จะได้จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด


 


 


           หลังกลับออกจากบ้านของเวินเยวี่ยฉิงแล้ว เฉียวซือมู่ดูเวลาเห็นว่าเพิ่งจะบ่ายสองโมงกว่าๆ จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมอง เธอคบกับจิ้นหยวนตั้งนาน แต่ไม่ค่อยได้ไปที่บริษัทของเขาเลย ตอนนี้เธอว่างพอดี ไปหาเขาที่บริษัทดีกว่า


 


 


           คิดปุ๊บทำปั๊บ เธอโบกมือเรียกรถแท็กซี่ จากนั้นตรงไปยังบริษัทจิ้นซื่อ กรุ๊ป ทันที


 


 


           เธออยากจะคุยความในใจกับจิ้นหยวนด้วย ความคิดของคุณแม่ทำให้เธอไม่สบายใจมาก จึงอยากหาใครสักคนระบายความอัดอั้นตันใจของตัวเอง


 


 


           เธอนั่งรถแท็กซี่ไปถึงหน้าบริษัท จากนั้นเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แจ้งจุดประสงค์กับประชาสัมพันธ์สาวหน้าตายิ้มแย้มว่าเธอต้องการพบจิ้นหยวน แต่กลับเห็นประชาสัมพันธ์สาวคนนั้นมองเธอด้วยสายตาแปลกประหลาด


 


 


           เธอชะงักเล็กน้อย “มีอะไรหรือเปล่าคะ?” หรือว่าเธอแต่งตัวดูดีไม่พอ? ไม่สิ วันนี้เธอก็สวมชุดกระโปรงยาวตัวสวย ไม่เห็นจะเสียมารยาทตรงไหนนี่นา


 


 


           ประชาสัมพันธ์สาวกวาดสายตามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แม้ใบหน้าเธอจะยิ้มแย้ม แต่สายตากลับฉายแววดูถูกดูแคลน “ขอโทษด้วยนะคะ คุณผู้หญิงท่านนี้มาขอพบท่านประธาน ไม่ทราบว่านัดล่วงหน้าไว้หรือเปล่าคะ?” ดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้นัดเอาไว้แน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่มาถามตรงนี้หรอก


 


 


           เธอถามแบบนั้นเพราะตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายอับอายขายหน้า และเป็นไปตามคาด ทันทีที่เธอถามออกไป อีกฝ่ายก็หน้าแดงทันที


 


 


           เฉียวซือมู่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตำแหน่งอย่างจิ้นหยวนใน จิ้นซื่อ กรุ๊ป นั้นใช่ว่าใครๆ ก็สามารถพบเขาได้ง่ายๆ


 


 


           เธอต้องล้มเลิกความคิดที่จะมาเซอร์ไพรส์เขาทันที เธอหมุนตัวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า ไหนๆ ก็พบหน้ายากขนาดนี้แล้ว ถ้าเช่นนั้นก็โทรศัพท์หาเขาโดยตรงเลยดีกว่า


 


 


           ประชาสัมพันธ์สาวเห็นท่าทางเหมือนเธอจะยอมแพ้แล้วจึงเบ้ปากน้อยๆ คิดว่าหน้าตาสวยแล้วจะพบท่านประธานจิ้นได้ง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ? ฝันหวานเกินไปแล้วมั้ง


 


 


 


 


   ตอนที่ 307 เห็นเข้าโดยบังเอิญ


 


 


           ในเวลาเดียวกัน ประตูลิฟท์ที่อยู่ส่วนด้านในสุดเปิดออก ชายหนุ่มหญิงสาวในชุดสูทเดินออกมาจากลิฟท์ และคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าสุดก็คือจิ้นหยวน


 


 


           เฉียวซือมู่เห็นเขาเดินออกมาพอดี เธอดีใจมาก กำลังจะอ้าปากเรียกเขา ทันใดนั้น เธอเหลือบไปเห็นหญิงสาวคุ้นหน้าคนหนึ่งกำลังเดินคุยอย่างสนิทสนมอยู่ข้างเขา จิ้นหยวนตอบเธอด้วยรอยยิ้ม ภาพหนุ่มหล่อสาวสวยดูเหมาะสมกันมาก และดูจากท่าทางและสายตาของคนที่เดินตามหลังออกมาแล้ว ดูเหมือนว่าภาพแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น


 


 


           ไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรไป พอเห็นภาพนั้นแล้วเธอก็ตะลึงนิ่งอึ้ง ชื่อของจิ้นหยวนติดอยู่ที่ปาก นานสองนานเธอก็เปล่งมันออกมาไม่ได้เสียที


 


 


แม้เธอจะเห็นใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่เธอจำได้ทันทีว่านั่นคือเจียงจื่อเสียนที่ฉินเพ่ยหรงพยายามจับคู่ให้จิ้นหยวน          


 


 


ตอนแรกเธอคิดว่าหลังจากคืนนั้นพวกเขาก็ไม่ได้พบหน้ากันอีก เพราะจิ้นหยวนไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย แต่ดูจากท่าทางของพวกเขาตอนนี้แล้ว ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเสียแล้ว


 


 


เจียงจื่อเสียนอยู่ใกล้เขาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาสองคนทำงานด้วยกันนานหรือยัง? ทำไมท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมกันขนาดนั้น แต่กลับไม่มีใครเห็นว่าผิดปกติสักคน หรือว่าพวกเขา…


 


 


ยิ่งคิดยิ่งเจ็บช้ำ ขณะเดียวกัน สองสาวประชาสัมพันธ์หน้ายิ้มแต่อวดดีกระซิบกระซาบกัน “เธอดูสิ นั่นว่าที่ภรรยาของท่านประธานที่เขาลือกันน่ะ”


 


 


“จริงเหรอ? ไหนดูซิ สวยมากเลยเนอะ…”


 


 


“ใช่ ฉันว่าแล้วเชียว ท่านประธานจิ้นรูปหล่อมากขนาดนั้น ก็คงมีแต่คุณเจียงล่ะมั้งที่คู่ควรกับท่านประธาน เธอดูเขาสองคนยืนคู่กันสิ โห ใครๆ ก็คงคิดเหมือนกันว่าเขาสองคนเป็นคู่สร้างคู่สมกัน…”


 


 


“ใช่ ใช่… เหมือนดาราหนังเลยเนอะ…”


 


 


“ดูดีมากเลยเนอะ…”


 


 


เสียงซุบซิบแต่ละประโยคดังลอยเข้าหูเฉียวซือมู่โดยไม่คิดจะปิดบัง ทำให้หัวใจเธอหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ จนรอยยิ้มอันตรธานหายไปจากใบหน้าจนสิ้น


 


 


ดูเหมือนจิ้นหยวนจะรีบมาก เขาเดินไปจนถึงหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ถึงสังเกตเห็นว่ามีคนยืนอยู่เบื้องหน้าตนเอง เขาชายตาขึ้นมองเห็นเฉียวซือมู่ยืนอยู่ตรงหน้าจึงเรียกเธอด้วยความประหลาดใจ “มู่มู่ คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”


 


 


           เฉียวซือมู่ฝืนยิ้ม “ฉันว่างพอดีก็เลยแวะมาหาคุณน่ะค่ะ”


 


 


           แม้เธอจะพยายามสะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้แล้ว แต่ก็อดแขวะไม่ได้ “ดูคุณมีความสุขดีนะคะ” มีสาวสวยอยู่ข้างกายคงมีความสุขมากเลยสินะ


 


 


           ดูเหมือนจิ้นหยวนจะฟังไม่ออกว่าเธอกำลังหึง เขายื่นมือออกไปจับมือเธอเอาไว้ ทำให้สองสาวประชาสัมพันธ์ที่มองทั้งคู่อยู่ทางด้านหลังถึงกับตาแทบถลนจนเกือบจะหลุดออกจากเบ้า


 


 


           “คุณกินข้าวหรือยัง? ทำไมดูคุณอารมณ์ไม่ดีเลยล่ะ หรือว่าโกรธที่ผมไม่เห็นคุณ? ขอโทษนะ เมื่อกี้ผมกำลังเพลินน่ะ” เขาคุยจ้อพลางเดินจูงมือเธอไปขึ้นลิฟท์พลาง ทิ้งกลุ่มคนที่ตามมาด้วยให้ยืนอึ้งอยู่ข้างหลัง


 


 


           “ท่านประธานจิ้น…” ลูกน้องที่เห็นพวกเขากำลังจะเดินเข้าลิฟท์รีบเรียกเขาเอาไว้ด้วยสีหน้าอยากร้องไห้ “เราต้องไปประชุมนะครับ…”


 


 


           จิ้นหยวนมุ่นหัวคิ้วชนกัน หมุนตัวกลับไปเอ่ยกับลูกน้องคนนั้น “นายประชุมแทนฉันก็แล้วกัน”


 


 


           ลูกน้องของเขาต่างพากันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ในที่สุด ชายคนหนึ่งที่ใจกล้าที่สุดก็เอ่ย่ขึ้น “แต่ว่านี่เป็นการประชุมระหว่างประเทศนะครับ ที่สำคัญ ท่านประธานลอเรนซ์เป็นประธานการประชุมครั้งนี้ด้วย ถ้าเขาไม่เห็นท่านประธานล่ะก็…”


 


 


           จิ้นหยวนหยุดฝีเท้า เขาสูดหายใจลึกแล้วหันไปเอ่ยกับเฉียวซือมู่ “ที่รัก คุณไปรอผมที่ห้องทำงานก่อนนะ ผมขอไปประชุมแป๊บเดียวแล้วจะรีบกลับมาหาคุณทันที นะครับ?”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม