วาสนาบันดาลรัก 300-306

ตอนที่ 300 หลัวเทียนเฉิงมาแล้ว

 

เจินเมี่ยวเกือบจะสำลักลมหายใจตนขึ้นมาทันที นางยิ้มแห้งๆ ให้เขา “แหะๆๆ”


 


 


เวินมั่วเหยียนคิดว่าญาติผู้น้องอาจจะยังอารมณ์ไม่ดีอยู่ จึงปิดปากเสียสนิท


 


 


กระทั่งถึงจุดหมายก็เห็นแสงสีเหลืองของตะเกียงที่ส่องสว่างอยู่ภายในห้อง ด้านข้างมีต้นทับทิมที่โล่งโกร๋นอยู่ เมื่อลมพัดมากิ่งของมันก็สั่นไหว เงาต้นไม้ทอดตกลงหน้าต่างกระดาษทำให้ดูลึกลับขึ้นไปอีกหลายส่วน


 


 


เจินเมี่ยวจำได้ว่าต้นทับทิมต้นนี้ หมายถึงความทรงจำของร่างนี้นั้นแล


 


 


ตอนนั้นนางอายุแค่สิบปี นางมาเดินเล่นที่บริเวณแห่งนี้ซึ่งเป็นช่วงที่ทับทิมสุกพอดี แต่เพราะต้นทับทิมที่เกิดในร่มเช่นนี้ ผลของมันทั้งเล็กและเหลือง ปกติจึงไม่มีผู้ใดมาแตะต้องเลย


 


 


ครั้งนั้นนางเห็นสาวใช้น้อยอายุประมาณเจ็ดแปดปีกำลังปีนป่ายขึ้นเก็บผลทับทิม ประจวบเหมาะกับที่นางกำลังโกรธเคืองที่อาจารย์ที่สอนดีดพิณชมพี่รองเจินเหยียนอยู่พอดี จึงอาศัยโอกาสนี้ระบายโทสะกับสาวใช้ โดยลงโทษให้นางคุกเข่าตากแดด ตอนนั้นอากาศร้อนยิ่ง สาวใช้น้อยจึงหน้ามืดหมดสติไปทำให้ผู้ใหญ่ทราบเรื่องเข้า


 


 


ตั้งแต่นั้นมาก็คล้ายว่าเจินฮ่วนพี่ใหญ่และเจินเหยียนพี่รองของนางได้ค่อยๆ ถอยห่างจากนางไป เพราะรู้สึกว่านางทำตัวเหลวไหล เอาแต่ใจจนไร้ขอบเขต


 


 


เจินเมี่ยวเองก็มิได้ตำหนิพวกเขา แต่เมื่อเห็นท่าทีของเวินมั่วเหยียนแล้วก็อดรู้สึกทั้งชื่นชมและอิจฉาขึ้นมาหลายส่วน


 


 


เขารู้ว่าเวินยาฉีมีข้อเสียใดบ้าง แต่เพราะนางเป็นน้องสาวของเขา เขาจึงทำดีกับนางอย่างที่พี่ชายส่วนใหญ่มิอาจกระทำได้


 


 


ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าดี ข้าจึงทำดีกับเจ้า แต่เพราะสายเลือดที่เรามีร่วมกัน ข้าจึงทำดีต่อเจ้า


 


 


เจินเมี่ยวรู้ว่าคิดเช่นนี้ช่างไร้สาระนัก แต่นางในฐานะเด็กสาวผู้หนึ่ง ผู้ใดมิปรารถนาจะมีพี่ชายเช่นนี้สักคนเล่า?


 


 


เมื่อเห็นเจินเมี่ยวนิ่งไป เวินมั่วเหยียนจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าหนาวใช่หรือไม่?” พูดพลางถอดเสื้อคลุม คลุมให้นาง


 


 


เจินเมี่ยวอึ้งงันไป ความอบอุ่นนั้นทำให้วาจาที่คิดจะกล่าวปฏิเสธนั้นหยุดอยู่ที่ปลายลิ้น แต่ครั้นคิดจะเอ่ยปฏิเสธขึ้นมา เขาก็เดินเข้าไปในห้องเรียบร้อยแล้ว


 


 


“น้องรอง เจ้ารอข้าอยู่ด้านนอกนั้นแล ข้าจะทำให้จบเร็วที่สุด”


 


 


เจินเมี่ยวยืนรออยู่หน้าประตู คล้ายเวลาได้ถูกดึงลากออกไปอย่างไร้ขอบเขต


 


 


นางมองต้นทับทิมต้นนั้นเป็นการฆ่าเวลา ในใจก็คิดว่า ไม่รู้ว่าตอนนี้ผลของต้นทับทิมต้นนี้ยังจะเล็กและเหลืองเช่นเดิมอยู่หรือไม่?


 


 


ในที่สุดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ฟังดูจะหนักอึ้งอยู่เล็กน้อยดังขึ้นจากด้านหลัง


 


 


นางหันกลับไปมองก็เห็นสีหน้าซีดขาวของเวินมั่วเหยียน เขาค่อยๆ เดินออกมาทีละก้าวๆ


 


 


“พี่สี่?”


 


 


มือของเวินมั่วเหยียนกำลังสั่นเทา ทว่าเขากลับยังคงสุขุมยิ่ง แต่น้ำเสียงก็ยังสั่นเครืออยู่ “น้องรอง เราเดินไปคุยไปเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวพลันหวาดหวั่นใจขึ้นมา นางพยักหน้า แล้วเดินตามเขาอย่างไร้สุ้มเสียงอยู่พักใหญ่ เขาพลันหยุดฝีเท้าลง


 


 


เจินเมี่ยวที่กำลังสับสนวุ่นวายใจจึงเกือบจะชนเขาเข้า


 


 


เวินมั่วเหยียนยื่นมือออกมาประคองนางไว้


 


 


ทั้งที่มีอาภรณ์ขวางอยู่อีกชั้นแต่เจินเมี่ยวก็ยังรับรู้ได้ถึงสองมือที่เย็นเฉียบไปถึงกระดูกนั้นของเขา


 


 


นางจึงเอ่ยถามออกมาอย่างมิอาจอดกลั้นไว้ได้อีกต่อไป “ญาติผู้พี่ ยาฉีนาง…”


 


 


เวินมั่วเหยียนมองนาง เขาเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยที่ให้นางตามมาด้วย จะให้โกหกเขาก็ไม่อยากทำ ให้พูดความจริงก็กลัวว่านางจะตกใจ


 


 


“พี่สี่…” เจินเมี่ยวอดเอ่ยเร่งเขาขึ้นมาอีกมิได้


 


 


“ข้าเห็นรอยบนคอของยาฉีแล้ว หากสหายท่านนั้นพูดไม่ผิด ยาฉีนาง…ย่อมมิได้ฆ่าตัวตายเอง!”


 


 


แม้นจะคาดเดาล่วงหน้าไว้แล้ว แต่เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ใจของเจินเมี่ยวก็ยังคงหล่นวูบลงพื้นโดยแรงอยู่ดี ดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้จะเหน็บหนาวขึ้นมาเป็นพิเศษ


 


 


เวินยาฉีมิได้แขวนคอตาย เช่นนั้นก็คงถูกผู้อื่นรัดคอให้ตายก่อนงั้นหรือ


 


 


ร่างของนางอดสั่นเทิ้มขึ้นมามิได้ คล้ายได้ย้อนกลับไปบนรถแท็กซี่เก่าๆ คันนั้น คนขับรถใช้สองมือบีบคอนางโดยแรง แน่นขึ้นและแน่นขึ้น


 


 


นางเงยหน้าขึ้นมองไปโดยรอบ


 


 


ราตรีกลับยิ่งดูมืดมิดมากยิ่งขึ้น เมฆทะมึนเคลื่อนมาบดบังจันทราไว้ ดวงดาวริบหรี่ไร้แสงสกาวไปนานแล้ว มีเพียงแสงไฟอ่อนๆ ที่แผ่กระจายออกมาจากตะเกียงในมือของเวินมั่วเหยียนทำให้บรรยากาศโดยรอบของคนทั้งสองส่องสว่างขึ้น แต่เพราะเหตุนี้เองจึงทำให้ทางข้างหน้ายิ่งดูมืดมิด ห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลนักนั้นยิ่งมองไม่เห็นสิ่งใดเลย ไม่รู้ว่ามันสิ่งใดรอคอยพวกเขาอยู่เงียบๆ ที่ด้านหน้านั้นหรือไม่


 


 


เวลานี้เองเจินเมี่ยวกลับรู้สึกว่าแสงจากตะเกียงดวงนี้นั้นได้กลายเป็นเป้าล่อที่มีชีวิตก็มิปาน ทำให้นางยิ่งหวาดกลัวขึ้นมามากกว่าเดิม


 


 


“น้องรอง ไม่ต้องกลัว” เวินมั่วเหยียนเห็นปากนางขาวซีดไปหมด ไม่มีสีเลือดฝาดแม้เพียงสักนิด ร่างบอบบางที่คลุมเสื้อกันลมของเขาไว้นั้นกลับยิ่งดูบอบบางมากขึ้นไปอีก เขารู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาเล็กน้อยจึงยื่นมือออกไปหวังตบมือปลอบนาง แต่สุดท้ายก็มิได้ทำเช่นนั้น


 


 


หากพวกเขายังเป็นเด็กอยู่ก็คงดี


 


 


เวินมั่วเหยียนคิดเช่นนี้


 


 


หากยังอยู่ในวัยเยาว์ ผู้อื่นย่อมมิคิดเหลวไหลเลอะเทอะ เข้าสามารถกอดญาติผู้น้องไว้มิให้นางต้องกลัว


 


 


“ข้าไม่กลัว” เจินเมี่ยวพลันตื่นจากภวังค์ นางกระชับสายรัดเสื้อคลุมกันลมไว้แน่น “พี่สี่ พวกเรากลับกันก่อนเถิด ในเมื่อการตายของยาฉีมีเงื่อนงำ เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะให้หลัวเป้าไปแจ้งแก่จิ่นหมิงสักหน่อย บางทีเขาอาจมีวิธีสืบหาสาเหตุ”


 


 


“เช่นนั้นก็รบกวนญาติผู้น้องและน้องเขยแล้ว”


 


 


เวินมั่วเหยียนพาเจินเมี่ยวไปส่งที่หน้าประตูเรือน


 


 


เจินเมี่ยวเองก็มิกล้าบอกว่าชิงไต้ติดตามนางอยู่ตลอด จึงจำใจให้เขามาส่ง


 


 


เมื่อหยุดลงที่หน้าประตู นางก็ถอดเสื้อคลุมกันลมคืนให้เวินมั่วเหยียน


 


 


เวินมั่วเหยียนยื่นมือออกไปรับแต่ก็มิได้ใส่ เขาเม้มริมฝีปากแน่นแล้วเอ่ยว่า “น้องสี่ เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้ารบกวนเจ้ารีบไปแจ้งให้ซื่อจื่อทราบโดยเร็วด้วย”


 


 


แม้นเขาจะเป็นคนตรงไปตรงมาแต่ก็มิได้บ้าระห่ำถึงเพียงนั้น การตายของน้องสาวเขาแปลกประหลาดเช่นนี้ ทั้งยังตายในจวนของอาหญิง การให้หลัวเทียนเฉิงยื่นมือเข้าช่วยย่อมต้องดีกว่าเขาวิ่งสะเปะสะปะไปเรื่อยมากนัก


 


 


“ญาติผู้พี่วางใจเถิด”


 


 


เวินมั่วเหยียนพยักหน้า เขาหมุนกายเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วหยุด หันกลับมามองเจินเมี่ยวอีกครา


 


 


“น้องรอง หากเจ้ากลัวก็ให้สาวใช้มานอนเป็นเพื่อนเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวคลี่ยิ้มออกมา “พี่สี่ ข้ารู้แล้ว ท่านวางใจเถิด”


 


 


ในราตรีที่มืดมิดดุจหมึก นางยืนอยู่ที่หน้าประตูนั้น เพราะมีแสงสว่างรำไรอยู่ทำให้มองเห็นรอยยิ้มที่ผลิบานอยู่บนใบหน้าขาวผ่องของนางได้อย่างชัดเจน รอยยิ้มนั้นดั่งดอกไม้ไฟที่ถูกจุดขึ้นก็มิปาน แม้นจะแสนสั้นแต่กลับงดงามอย่างที่สุด


 


 


เวินมั่วเหยียนพลันไม่กล้ามองอีก เขาหมุนกายจากไปทันที


 


 


เจินเมี่ยวยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ชิงไต้จึงเดินออกมาจากเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่


 


 


“ต้าไหน่ไหน่”


 


 


“เข้าห้องเถิด” เจินเมี่ยวผลักประตูเดินเข้าไปก่อน


 


 


ภายในห้องมีตะเกียงน้ำมันดวงเล็กๆ ส่องสว่างอยู่เพื่อสะดวกใช้ในยามค่ำคืน แม้นจะไม่ใคร่สว่างอันใดมากนักแต่ก็สว่างกว่าตอนอยู่ข้างนอกเล็กน้อย


 


 


เจินเมี่ยวเดินเข้าไป นางถูมือไปมาแล้วเป่าให้ความอบอุ่น แล้วเดินมุ่งตรงไปที่เตียงอย่างเร็วรี่


 


 


ผ้าม่านสีขาวนวลปิดบังเงาที่อยู่ภายในไว้มิด นางเพิ่งจะแหวกม่านออกมือก็ถูกคว้าจับไว้แล้วกระชากให้นางเข้าไปในด้านใน


 


 


เสียงร้องตกใจของนางถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งปิดไว้ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบาว่า “ข้าเอง”


 


 


เจินเมี่ยวจึงหยุดดิ้นรน นางหอบหายใจพลางเบิกตาขึ้นจ้องหลัวเทียนเฉิงที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงจ้องมองเจินเมี่ยวนิ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


“ต้าไหน่ไหน่…”


 


 


ชิงไต้รีบพุ่งเข้ามาในห้องโดยมิทันได้ใส่แม้แต่รองเท้า แต่ฝีเท้าก็ยังคงแผ่วเบาไร้สุ้มเสียง


 


 


“ออกไป!” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น


 


 


ชิงไต้อึ้งงันไป เห็นชัดว่ารู้แล้วว่าเป็นเสียงของหลัวเทียนเฉิง นางจึงเดินออกไปอย่างเงียบๆ


 


 


เมื่อด้านนอกไร้การเคลื่อนไหวใดแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงหันมามองเจินเมี่ยว ใจของเขากระตุกวูบไหว รู้สึกปวดแปลบขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


เขาได้รับข่าวจากหลัวเป้าบอกว่าคนของตระกูลเวินมาถึงแล้ว เวินมั่วเหยียนเกือบจะชกต่อยกับ      เจินฮ่วน เขาเป็นห่วงว่านางจะรับมือไม่ไหวจึงรีบกลับมาทั้งที่ดึกดื่นปานนี้แล้ว แต่เขาต้องมาเห็นอันใดกันเล่า?


 


 


เขาเม้มริมฝีปากไว้มิเอ่ยสิ่งใด เพียงจ้องมองเจินเมี่ยวอยู่เช่นนั้นคล้ายต้องการจะทะลุเข้าไปในหัวใจของนาง แล้วใช้มีดเฉือนมันแรงๆ คราหนึ่งให้นางได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเช่นนี้บ้าง


 


 


“จิ่นหมิง?”


 


 


เมื่อเห็นเขาไม่มีที่ใด เจินเมี่ยวก็ยื่นมือออกไปหยิกที่แขนเขา แล้วเอ่ยตำหนิว่า “ท่านแอบปีนกำแพงเข้ามาอีกแล้ว โรคนี้เมื่อใดจะรักษาหายกัน ทำข้าตกใจแทบแย่”


 


 


หลัวเทียนเฉิงกอดนางไว้ด้วยสองมือแล้วแค่นยิ้มเย็นออกมา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “เจ้าไปไหนมา เหตุใดไม่อยู่ห้อง?”


 


 


“ข้านอนไม่หลับจึงบังเอิญเห็นพี่มั่วเหยียนออกไปข้างนอก ข้ารู้สึกสงสัยเลยตามเขาไป”


 


 


“แล้ว?”


 


 


“แล้วพวกเราก็ไปที่เก็บศพของญาติผู้น้อง” เจินเมี่ยวเอ่ยถึงตรงนี้ก็รีบดึงมือเข้ามากุมไว้ “จิ่นหมิง พี่มั่วเหยียนบอกว่าญาติผู้น้องมิได้ฆ่าตัวตาย…”


 


 


นางรอให้หลัวเทียนเฉิงเอ่ยแสดงความเห็น แต่คิดไม่ถึงว่าจะยื่นมือออกมาดึงนางเข้าไปในอก เขาใช้คางถูกไถเส้นผมนุ่มลื่นดุจแพรไหมของนาง จู่ๆ เขาก็ก้มหน้าลงแล้วกัดเข้าที่ไหล่ของนางคราหนึ่ง


 


 


แม้นจะมีอาภรณ์ขวางกั้นแต่เจินเมี่ยวก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดี นางดิ้นรนแล้วเอ่ยว่า “ท่านทำอันใดกัน?”


 


 


คำตอบของหลัวเทียนเฉิงกลับไม่ตรงคำถามเสียอย่างนั้น “เจ้ายังใส่เสื้อคลุมกันลมของเขาอีกด้วย”


 


 


“ตอนข้าออกไปลืมหยิบไปด้วย ญาติผู้พี่เห็นข้าหนาวจึงให้ข้ายืมใส่ด้วยเจตนาดี”


 


 


“เจ้าปล่อยผมออกไปด้วย!” หลัวเทียนเฉิงกางมืออกแล้วสอดแทรกเข้าไปในกลุ่มเส้นผมของนาง


 


 


เจินเมี่ยวจึงนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ นางกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ระวังทำปิ่นหยกร่วงตกไป”


 


 


เส้นโลหิตเขียวบนขมับของหลัวเทียนเฉิงเต้นตุบๆ ขึ้นมา แต่กลับยังควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติได้อย่างยากนักจะพบเห็น “เจ้ายังตามเขาออกไปอีกหรือ ดึกเพียงนี้แล้ว”


 


 


“ก็ข้าสงสัย…” เจินเมี่ยวลอบมองหลัวเทียนเฉิงอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าโรคเก่าเขาจะกำเริบขึ้นมาอีก เมื่อเห็นเขายังคงท่าทีนิ่งขรึมเอาไว้ได้ก็อดเอ่ยตำหนิมิได้ว่า “ท่านรู้อยู่แล้วยังมาถามข้าอีก”


 


 


มือที่สางผมของนางเล่นอยู่นั้นพลันชะงักไป ครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้ กับ เจ้าจะยอมพูดหรือไม่นั้นเหมือนกันหรืออย่างไร?”


 


 


เจินเมี่ยวมองสีหน้าเคร่งขมึงของเขา ดวงตามีเส้นเลือดแดงปรากฏขึ้นเห็นชัดว่ามิได้พักผ่อนอย่างเพียงพอมาหลายวัน จึงรู้สึกห่วงเขาขึ้นมา น้ำเสียงที่เอ่ยจึงอ่อนลง “ในเมื่อท่านยุ่งถึงเพียงนั้น แล้วยังมาที่นี่ทำไมในเวลาดึกดื่นเช่นนี้?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น “ไม่มา แล้วข้าจะรู้หรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวมองเขาอย่างอึ้งงันอยู่เป็นนานจึงเอ่ยถามว่า “จิ่นหมิง ท่าน ท่านเข้าใจอันใดผิดไปหรือไม่?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงส่ายหน้า “ไม่มี”


 


 


“ไม่มี ไม่มีแล้วท่านยังทำท่าทีประหลาดเช่นนี้อีกหรือ?” เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างไม่เชื่อถือ


 


 


หลัวเทียนเฉิงคลี่ยิ้มบางเบา “หากเข้าใจผิดจริงๆ เจ้าคิดว่าข้าจะยังเป็นเช่นนี้อยู่หรือ?”


 


 


อาจเพราะเขามีตำแหน่งใหญ่และภารกิจอันหนักอึ้งทำให้ท่าทีสดใสของวัยหนุ่มที่มีนั้นหดหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเขายิ้มทั้งเลิกคิ้วไปด้วยเช่นนี้กลับบังเกิดความสง่างามอันยากจะบรรยายชนิดหนึ่งขึ้น


 


 


เจินเมี่ยวใจเต้นแรงขึ้นมา นางอดคิดไม่ได้ว่าดูเหมือนนางจะชอบสามีผู้ยิ่งใหญ่ของตนมากขึ้นทุกทีแล้ว


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็เกิดเขินอายขึ้นมาอย่างน้อยนักจะได้เห็น


 


 


ครั้นเห็นนางหน้าแดงเรื่อขึ้นอย่างไร้สาเหตุ หลัวเทียนเฉิงก็พลันอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด


 


 


“เช่นนั้นท่านจะเป็นเช่นไรหรือ?” เจินเมี่ยวจึงเอ่ยถามออกไปดั่งภูตบอกเทพสั่งก็มิปาน


 


 


หลัวเทียนเฉิงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยตอบว่า “ฆ่าเจ้าแล้วค่อยปลิดชีพตนตามไป”


 


 


เขาย่อมรู้ดีว่าระหว่างนางกับเวินมั่วเหยียนนั้นไม่มีอันใด แม้นจะเป็นเช่นนี้ยังทำให้เขาแค้นเคืองจนอยากจะถลกหนังของเจ้าหนุ่มนั้นออกมาเสียให้ได้ หากมีอันใดขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่กล้ารับประกันจริงๆ ว่าจะทำเรื่องเช่นใดออกมาได้บ้าง


 


 


“ท่าน ท่านพูดอันใดกัน?” เจินเมี่ยวคิดว่าตนเองฟังผิดไป


 


 


ความเจ็บปวดปรากฏขึ้นในดวงตาหลัวเทียนเฉิง เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “ช่างเถิด เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเจ้าสมหวังไปเถิด ข้าจะไปสู่ปรโลกเพียงลำพัง แม้นไม่ยินยอมแต่ข้าจะทำอันใดได้”


 


 


เขาเอ่ยเช่นนี้เจินเมี่ยวกลับรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ นางกัดริมฝีปากตนแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดว่า เลือกข้อที่หนึ่งน่าจะสมเหตุสมผลมากกว่า ท่านยอมตายเพียงคนเดียว ท่านโง่หรือไร?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงใช้คางกดศีรษะนางไว้แล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา


 


 


หึ เขาย่อมไม่โง่แน่นอน หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นจริงๆ เขาย่อมต้องเลือกข้อหนึ่งอยู่แล้ว 

 

 


ตอนที่ 301 หักหรือไม่

 

ไม่ทราบเพราะเหตุใดเมื่อหลัวเทียนเฉิงมาอยู่ข้างกาย เจินเมี่ยวกลับเกิดง่วงงุนขึ้นมา นางนอนอิงแอบอยู่ในอกเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตานั้นลืมไม่ขึ้นเสียแล้ว นางเอ่ยถามอย่างสะลึมสะลือว่า “คืนนี้คงมิกลับแล้วกระมัง”


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มออกมา “ไม่กลับแล้ว”


 


 


เขามาที่นี่ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจตามด้วยการดื่มน้ำส้มถังใหญ่ เวลานี้นางซุกอยู่ในอกเขาอย่างว่าง่าย ทั้งยังรู้สึกง่วงอีกด้วย


 


 


เขาโอบกอดนางไว้ กลิ่นหอมที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นคอยมุดเข้าไปในโพรงจมูกเขาอยู่ไม่ขาดสาย ความหอมและหวานล้ำอันน่าอัศจรรย์นี้ทำให้คนรู้สึกสบายใจยิ่ง


 


 


เขากดท้องตนไว้คราหนึ่ง รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เขาหิวงั้นหรือ


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว กลิ่นบนตัวเจ้าคือกลิ่นใดหรือ” เวลานี้เจินเมี่ยวสวมเพียงเสื้อตัวในที่หลวมโพรก หลัวเทียนเฉิงหลับตาอยู่แต่กลับแหวกเสื้อของนางให้เผยหัวไหล่ขึ้นมาอย่างชำนาญเพื่อสูดดมกลิ่นกายนาง


 


 


เจินเมี่ยวนั้นอยู่ในห้วงครึ่งหลับครึ่งตื่น นางยกกรงเล็บขึ้นตีที่ศีรษะเขา “อยู่นิ่งๆ!”


 


 


นางมิได้มีสติตื่นรู้อันใดนัก น้ำเสียงดูเอื่อยเฉื่อยกว่ายามปกติอยู่มาก หางเสียงนั้นก็มิได้ชัดเจนสดใสเช่นยามปกติ ทั้งยังแฝงไปด้วยความไร้เดียงสา ทำให้หัวใจของหลัวเทียนเฉิงเต้นระส่ำขึ้นมา เขาจึงจุมพิตลงบนไหล่ขาวเนียนดุจหิมะของนางอย่างอดใจไม่ไหว


 


 


เจินเมี่ยวไม่รับรู้อันใดทั้งสิ้นแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเล็กน้อย นางยื่นมือออกมาผลัก เมื่อเห็นว่าผลักไม่ไปก็ล้มลงทันที แต่กลับยังเอ่ยตอบเขาอย่างกระท่อนกระแท่นว่า “ตอนกลางวัน…ข้าทำน้ำเชื่อมรสผลไม้กลิ่นส้มส่วนผสมของมันมีนมวัวกับน้ำผึ้ง…สองสามวันนี้เหนื่อยมากจึงขี้เกียจมิได้อาบน้ำ…”


 


 


นางพูดจบก็พลิกกายแล้วนิ่งไปทันที


 


 


ทว่าหลัวเทียนเฉิงที่อยู่ข้างๆ กลับนอนไม่หลับ


 


 


เขาขบกัดหัวไหล่ของนางเบาๆ แล้วยื่นมือออกไป


 


 


ครู่หนึ่งก็เห็นว่าผ้าม่านผืนบางนั้นสั่นพลิ้วไปมาเบาๆ


 


 


ชิงไต้ที่นอนอยู่ด้านนอกกลับมีหูที่ดีเหลือเกิน นางอุดหนูตนทันที รู้สึกกระอักกระอ่วนจนไม่กล้าแม้จะพลิกตัวด้วยกลัวว่าซื่อจื่อจะรู้ว่านางยังไม่หลับ


 


 


พลันเกิดเสียงเอะอะดังขึ้นที่ด้านนอก “แย่แล้ว ที่ห้องด้านหลังเรือนเกิดไฟไหม้!” ตามติดด้วยเสียงฝีเท้าอึกทึก


 


 


เจินเมี่ยวขมวดคิ้วขึ้นด้วยรู้สึกว่าความฝันของตนนั้นดูประหลาดขึ้นไปเรื่อยๆ แรกเริ่มนั้นตนก็ไปปรากฏตัวอยู่บนเรือลำเล็กลำหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ แม่น้ำนั้นกว้างใหญ่ยิ่ง คลื่นคอยซัดสาดเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า นางก็โงนเงนไปมาตามเรือลำน้อยจนรู้สึกเวียนหัว ฉับพลันก็เกิดเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นเหนือผิวน้ำแล้วค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้นาง


 


 


ครั้นหลัวเทียนเฉิงได้ยินว่าห้องหลังเรือนเกิดไฟไหม้เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจุมพิตลงตรงคิ้วที่ขมวดมุ่นของนางแผ่วเบา


 


 


เมื่อเห็นว่าเปลวไฟกำลังใกล้เข้ามา เจินเมี่ยวก็ตกใจตื่นทันใด นางผุดลุกขึ้นทันที หูก็ได้ยินเสียงกระอักเสียงหนึ่งดังขึ้น


 


 


เจินเมี่ยวยังคงง่วงงุนอยู่หลายส่วน นางกะพริบตาอยู่หลายคราจึงมีสติแจ่มชัดขึ้น เมื่อได้ยินเสียงกระอักด้วยความเจ็บปวด นางก็เอ่ยถามออกไปทันที “เป็นอันใดหรือ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงกุมบริเวณนั้นไว้ ทั้งเจ็บทั้งอาย เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าต่อให้ตายก็จะไม่พูดเด็ดขาด


 


 


ทว่าเจินเมี่ยวกลับตื่นอย่างเต็มตาแล้ว เมื่อเห็นท่าทีของเขานางก็ก้มลงมองตนเอง ไหนเลยจะไม่เข้าใจอีก นางจึงหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันใด


 


 


ระยะนี้นางกินยาอยู่จึงมิอาจกระทำเรื่องที่สามีภรรยาต้องกระทำร่วมกันได้ ทว่าเขากลับมีวิธีมากมาย ทุกคราที่มีโอกาสก็มักจะทำตัวเหลวไหลกับร่างกายภายนอกของนาง แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ตอนที่นางหลับก็…


 


 


หน้านางพลันเปลี่ยนสีไปทันใด แล้วเอ่ยถามเสียงต่ำว่า “เป็นเพราะข้าลุกขึ้นเร็วเกินไปจึงชนท่านเข้าหรือ”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้กลับซูดปากตนคราหนึ่ง “หรือตรงนั้นหกเสียแล้ว”


 


 


หลัวเทียนเฉิงหน้าดำคล้ำขึ้นมา เขาได้แต่ลอบยินดีอยู่ในใจที่ได้ยินเสียงชิงไต้ที่อยู่ด้านนอกลุกขึ้นก็เมื่อได้ยินเสียงเอะอะจากนอกเรือนดังลอยมา มิเช่นนั้น เขาคงต้องฆ่าชิงไต้ปิดปากแล้วกระมัง


 


 


“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” เขากัดฟันพลางเอ่ยย้อนถาม บริเวณนั้นของเขาเจ็บจุกจนอยากจะสบถด่าออกมา แต่คนตรงหน้านี้เขากลับตัดใจด่าว่านางมิได้ จึงได้แต่ลอบด่าตนเองว่าหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ


 


 


“ขอข้าดูหน่อย!” เจินเมี่ยวตกใจยิ่ง นางก้มหน้าแล้วยื่นไปแกะมือเขาออก


 


 


นางคงมิได้คนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำให้สามีของตนใช้การไม่ได้กระมัง


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้เจินเมี่ยวก็ตกใจจนเหงื่อซึม แรงมือจึงเพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์


 


 


หลัวเทียนเฉิงกุมบริเวณนั้นตนไว้แน่น เขากัดฟันเอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า “หยุด!”


 


 


เจินเมี่ยวอึ้งงันไป


 


 


เขาหลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าโดยแรงจึงเอ่ยว่า “ให้ข้าพักสักครู่เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”


 


 


เจินเมี่ยวไม่กล้าบังคับเขาอีก


 


 


หากมิเป็นอันใด นางจะดูหรือไม่ก็มิเป็นไร แต่หากบริเวณนั้นเสียหายขึ้นมาก็อาจจะทำลายศักดิ์ศรีของบุรุษได้ เขามิให้ตนดูก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง…


 


 


“แต่ข้าว่าให้ท่านหมอตรวจดูสักหน่อยดีหรือไม่…” เจินเมี่ยวยังคงเสี่ยงตายเอ่ยออกไปอีกคำ


 


 


“แล้วจะบอกว่าอย่างไร?”


 


 


“ห๊ะ?” เจินเมี่ยวไม่อาจทำความเข้าใจกับวาจานี้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามเน้นย้ำทีละคำว่า “จะบอกว่าข้าบาดเจ็บด้วยเหตุใดหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวอึ้งไป นางนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านก็พักสักครู่ให้อาการดีขึ้นเองแล้วกัน”


 


 


หลัวเทียนเฉิง “…”


 


 


เมื่อทั้งสองต่างเงียบ เจินเมี่ยวจึงเริ่มรับรู้ถึงความวุ่นวายด้านนอก หน้าก็เปลี่ยนสีทันที นางคว้าเสื้อขึ้นมาใส่พลางเอ่ยว่า “ไฟไหม้ที่ห้องหลังเรือน แย่แล้ว คงมิใช่ห้องที่เก็บศพของยาฉีกระมัง”


 


 


หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า “ต้องเริ่มเผาจากห้องนั้นเป็นแน่ มิเช่นนั้นจะทำลายศพได้อย่างไรเล่า”


 


 


เมื่อได้ฟังวาจานี้ เจินเมี่ยวก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น นางสวมใส่เสื้อผ้าอย่างรีบร้อน จัดการสวมมันอยู่นานก็ได้ยินหลัวเทียนเฉิงเอ่ยขึ้นอย่างเนิบนาบว่า “มิต้องใส่แล้ว นั้นเป็นเสื้อของข้า”


 


 


เสื้อตัวในของคนทั้งสองเป็นสีเรียบๆ เช่นเดียวกัน เมื่อภายในห้องนั้นมืดทั้งอยู่ในภาวะที่ร้อนรน การหยิบผิดนั้นเป็นเรื่องง่ายเหลือเกิน


 


 


เจินเมี่ยวคว้าเสื้อตัวนั้นขึ้นมาด้วยใบหน้าอยากจะร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา


 


 


หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจแล้วสวมเสื้อตัวนั้นให้นางด้วยตนเองพลางเอ่ยดุว่า “จะรีบร้อนไปไย หรือเจ้าคิดว่าจะไปช่วยดับไฟได้ทัน”


 


 


“ข้าดับไฟไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องออกไปดูสักหน่อย ตอนนี้ท่านแม่กำลังป่วยอยู่ ท่านพ่อก็มิเคยดูแลสนใจเรื่องใด ทั่วทั้งสวนเหอเฟิงไม่มีคนดูแลจัดการ” เจินเมี่ยวรีบเอ่ยอธิบาย กระทั่งนางใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็เห็นหลัวเทียนเฉิงทำท่าจะลุกขึ้นนางจึงกดบ่าเขาไว้ “ท่านมิใช่บาดเจ็บอยู่หรือ อย่าเพิ่งขยับตัวเลย อีกอย่าง หากท่านปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุเช่นนี้ก็ยากจะอธิบายอันใดให้ชัดเจนได้”


 


 


“ความจริงข้า…”


 


 


หลัวเทียนเฉิงกำลังจะเอ่ยพูด เจินเมี่ยวกลับหมุนกายเดินออกไปอย่างรวดเร็วเสียแล้ว


 


 


วาจานั้นของเขาจึงถูกกลืนลงคอไป เขาได้แต่ส่ายศีรษะพลางยิ้มออกมา


 


 


เดิมคิดจะบอกนางว่าเรื่องราวมิได้ย่ำแย่เพียงนั้น แต่ในเมื่อนางรีบร้อน เขาก็รออีกสักหน่อยแล้วกัน อย่างไรเสียคนที่ร้อนรนที่สุดก็มิใช่นาง


 


 


เมื่อคิดถึงภาพที่เจินเมี่ยวปลดเสื้อคลุมคืนให้เวินมั่วเหยียน หลัวเทียนเฉิงก็ยกมุมปากขึ้นอย่างร้ายกาจ เขายืนมือขึ้นมาหยิบเสื้อไปสวมใส่อย่างเชื่องช้า เจ็บจนต้องขมวดคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาพลันเหยเกขึ้นมา


 


 


จื่อซูที่พักอยู่ห้องด้านข้างได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอกนานแล้ว นางจึงยืนรออยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นเจินเมี่ยวเดินออกมาก็รีบย่อกายทันที


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้าแล้วเดินทะลุห้องโถงไปยังห้องพักผ่อนของนางเวินพร้อมด้วยจื่อซู ขณะนี้สาวใช้ของนางเวินก็กำลังยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องเช่นกัน


 


 


“ท่านแม่ข้าเป็นอย่างไรบ้าง” เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงแผ่ว


 


 


“วันนี้ฮูหยินดื่มน้ำแกงสงบใจไปจึงยังหลับอยู่เจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจออกมา “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”


 


 


เวลานี้เองนางจึงเริ่มรู้สึกว่าเสียงเอะอะด้านนอกเบาลงมากแล้ว


 


 


นางมิพูดอันใดมากเพียงกำชับให้จิ่นผิงดูแลนางเวินให้ดีแล้วรีบไปที่ห้องหลังเรือนทันที


 


 


ชิงไต้นั้นย้อนกลับมาพอดีเมื่อเห็นเจินเมี่ยวออกมาก็เข้าไปต้อนรับทั้งเอ่ยรายงานว่า “ต้าไหน่ไหน่ ต้นเพลิงมาจากห้องที่เก็บศพของคุณหนูเวินเจ้าค่ะ บิดาท่าน ป้าสะใภ้และคุณชายเวินต่างไปที่นั่นกันหมด”


 


 


“อืม” เจินเมี่ยวยกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งไปยังด้านอย่างรวดเร็ว แม้มองแต่ไกลก็ยังเห็นเปลวเพลิงที่พึงทะยานขึ้นฟ้านั้น บ่าวไพร่ต่างถือถังน้ำและอ่างน้ำคอยสาดดับอยู่ไม่ขาด


 


 


เมื่อเดินเข้าไปใกล้นางก็เห็นนางเจียวกำลังอิงซบร่างนางสิงอยู่ เวินมั่วเหยียนถูกคนสี่คนจับไว้แน่นแต่เขาก็ยังคงดิ้นรน


 


 


ครั้นเห็นเจินเมี่ยวมาถึง นายท่านสามสกุลเจินก็คล้ายจะรู้สึกผิดขึ้นมาจึงรีบเอ่ยอธิบายว่า “ข้านอนอยู่ห้องตำรา ได้ยินเสียงเอะอะจึงมาดู คงมิได้ทำให้มารดาเจ้าตื่นกระมัง”


 


 


“ท่านแม่ยังนอนหลับอยู่เจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกคล้ายกับว่าเขาดูเหมือนจะโล่งอกขึ้นมาเลยเชียว


 


 


เวลานี้นางยังไม่มีเวลาพอจะไปพิจารณาการเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อยนี้ของบิดา นางรีบเดินเข้าไปดูนางเจียวก่อน “ป้าสะใภ้รอง ข้ามาช้าแล้ว”


 


 


“เมี่ยวเอ๋อร์ไปห้ามพี่ชายเจ้าที อย่าให้เขาทำเรื่องโง่ๆ” นางเจียวเอ่ยวาจาที่ทำให้เจินเมี่ยวแปลกใจด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


 


 


คล้ายมิได้รับรู้ถึงความผิดปกติของเจินเมี่ยว นางเจียวยิ้มขืน “ข้าเสียบุตรสาวไปคนหนึ่งแล้ว จะไม่ยอมเสียบุตรชายไปอีกแน่ ยาฉีจากไปเร็วนัก ศพของนางถูกเผาจนเกลี้ยงสะอาดก็มิได้มีอันใดไม่ดีเสียหน่อย”


 


 


แม้นนางจะเอ่ยเช่นนี้แต่น้ำตากลับเอ่อล้นขึ้นมา นางเบี่ยงหน้าไปอีกทางเพราะไม่อยากให้เจินเมี่ยวเห็น


 


 


ความเข้มแข็งของนางเจียวทำให้เจินเมี่ยวทั้งนับถือทั้งเจ็บปวดไปพร้อมกัน นางเดินไปหาเวินมั่วเหยียน แล้วเอ่ยเตือนสติว่า “พี่สี่ ท่านเชื่อฟังคำป้าสะใภ้บ้างเถิด”


 


 


ใบหน้าเวินมั่วเหยียนเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “มันต้องไม่เป็นเช่นนี้ ทั้งที่เมื่อครู่ข้าสามารถเอาศพของยาฉีออกมาได้แท้ๆ!”


 


 


เขามองเจินเมี่ยว “ญาติผู้น้อง เจ้าก็รู้ดี”


 


 


รู้ว่าน้องสาวตายเพราะถูกฆ่า แต่เพราะไฟไหม้ครั้งเดียวกลับเผาทุกอย่างไปจนหมดสิ้น


 


 


เจินเมี่ยวเองก็รู้สึกแย่ไม่น้อย ขณะเดียวกันก็มองญาติผู้พี่ผู้นี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง


 


 


เวลานี้เขาเสียใจอย่างที่สุด แต่กลับมิได้พูดเรื่องเงื่อนงำการตายของเวินยาฉีออกมาต่อหน้าคนทั้งหลาย เห็นชัดว่ามิใช่คนมุทะลุสิ้นคิด


 


 


หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามไฟก็เริ่มมอดดับลง


 


 


เวินมั่วเหยียนบอกให้เจินเมี่ยวพานางเจียวกลับเรือน ส่วนตัวเขาจะอยู่ที่นั่น รอกระทั่งควันไฟสลายก็วิ่งเข้าไปดูเป็นคนแรก


 


 


ห้องนั้นกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว ไม่ทราบค้นอยู่นานเท่าใดจึงคนร่างดำเกรียมออกมาได้


 


 


เขามองดูนิ่งอยู่นาน ในที่สุดน้ำตาก็ไหลออกจากนัยน์ตาพยัคฆ์นั้น


 


 


เมื่อเจินเมี่ยวปลอบประโลมนางเจียวเรียบร้อยแล้วก็มองออกไปด้านนอก ขอบฟ้าเริ่มปรากฏสีขาวดั่งท้องมัจฉาขึ้นมา ราตรีนี้จึงผ่านพ้นไป


 


 


นางยกฝ่าเท้าอันหนักอึ้งของตนกลับไป หลัวเทียนเฉิงนั่งพิงอยู่กับเสาเตียงได้ยินเสียงก็ลืมตาขึ้น


 


 


เมื่อเห็นใบหน้าขาวซีดของนาง แม้แต่เดินก็ยังไม่มั่นคงจึงรู้สึกทั้งโกรธทั้งเป็นห่วง แต่ยามนี้เขายังคงเจ็บปวดที่แก่นกาย ทั้งมิสะดวกปรากฏตัวจึงได้แต่รอนางอยู่ที่นี่เท่านั้น


 


 


“ญาติผู้พี่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


“เสียใจมากอย่างยิ่ง”


 


 


หลัวเทียนเฉิงพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วจึงเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวข้าจะลอบออกไปแล้วจะเข้ามาหาเจ้าอย่างถูกต้อง เจ้าเรียกญาติผู้พี่เจ้ามาด้วยแล้วกัน” 

 

 


ตอนที่ 302 ตามคนร้าย

 

 


 


ด้วยฐานะของหลัวเทียนเฉิงในตอนนั้น เมื่อเขามาจวน เจินเจี้ยนเหวินผู้เป็นนายท่านผู้สืบทอดของจวนเจี้ยนอานปั๋วก็ต้องมาต้อนรับ เวินมั่วเหยียนนั้นมิจำเป็นต้องมารับแขกด้วย แต่เพราะเกิดเรื่องเวินยาฉีขึ้น บุรุษที่มีความรักให้ต่อภรรยาอยากจะพบญาติผู้พี่ฝั่งตระกูลมารดาของนางก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด


 


 


แต่เจินเมี่ยวกลับลังเลอยู่ครู่หนึ่งเพราะเวินมั่วเหยียนแทบไม่ได้นอนเลย ไม่รู้ว่าถึงยามกลางวันแล้วเขายังจะฝืนตนเองได้หรือไม่


 


 


หลัวเทียนเฉิงลูบผมนางอย่างอ่อนโยน “อย่าคิดมากเลย ศพของญาติผู้น้องเจ้ายังคงปลอดภัยดี”


 


 


“ห๊ะ?” เจินเมี่ยวตกใจอย่างยิ่ง


 


 


หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้น “รอข้ามาจวนนี้อีกคราค่อยพูดพร้อมกันต่อหน้าเวินมั่วเหยียน เจ้าไปนอนก่อนสักชั่วยามเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวได้ยินเช่นนี้แล้วไหนเลยจะหลับลงได้ ในใจนั้นคล้ายมีแมวข่วนอยู่ก็มิปาน เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงจัดระเบียบเสื้อผ้าตนเตรียมจากไป ก็รีบเขามาดึงแขนเสื้อเขาไว้ “จิ่นหมิง เกิดอันใดขึ้นกันแน่ ท่านก็ช่วยพูดให้มากกว่านี้อีกสักหน่อยเถิด”


 


 


หลัวเทียนเฉิงตบหลังมือนางคราหนึ่ง “เชื่อข้า พักผ่อนก่อนเถิด อีกหนึ่งชั่วยามข้าจะกลับมา หากพูดตอนนี้แล้วอีกประเดี๋ยวก็ต้องพูดซ้ำอีก”


 


 


“แต่ ข้าไหนเลยจะนอนหลับ…”


 


 


นางเห็นกับตาว่าห้องหลังเรือนนั้นถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ ศพก็ถูกเผาจนไม่ดูหน้าไม่ออกแล้ว ยามนี้เขากลับบอกว่าศพปลอดภัยดี เป็นผู้ใดก็อดใจไม่ไหวอยากฟังเรื่องราวที่แท้จริงหมดนั้นแล


 


 


หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น “สองชั่วยาม”


 


 


“ห๊า?” เจินเมี่ยวอึ้งไปเล็กน้อย รู้ตัวอีกทีเขากลับลากเวลาให้ยาวออกไปอีกเสียแล้ว นางจึงก้มหน้าคงเอ่ยอย่างเชื่อฟังว่า “หนึ่งชั่วยามก็หนึ่งชั่วยาม ข้าจะรอท่านนะ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงรั้งนางเข้ามากอดไว้ในอก แล้วลูบผมนุ่มดุจแพรไหมของนางด้วยความอ่อนโยนอย่างที่สุดพลางเอ่ยถามว่า “ไม่รู้ว่ายามปกติ เจ้าจะคิดถึงข้าเช่นนี้บ้างหรือไม่”


 


 


“คิดถึงแน่นอน”


 


 


หากเป็นไปได้ผู้ใดจะอยากกินข้าวคนเดียวทุกวัน อาหารเต็มโต๊ะใหญ่ กินไปยังมิทันเท่าใดก็เย็นเสียแล้ว


 


 


สามีผู้ยิ่งใหญ่ของนางกินอาหารได้มาก ทุกคราที่มองเขากินข้าว นางก็จะกินข้าวไปมากกว่าครึ่งถ้วยโดยไม่ทันรู้ตัวเลยเชียว


 


 


ผ้าห่มที่ใช้โถน้ำร้อนอังไว้แล้วนั้นเมื่อมุดเข้าไปก็อบอุ่นยิ่ง ทว่าเมื่อนอนนานไปกลับรู้สึกโหวงเหวงว่างเปล่ายิ่ง ไหนเลยจะดีเท่ากับการมีคนที่ทำให้นางอุ่นใจมานอนอยู่ข้างๆ ด้วย


 


 


เจินเมี่ยวยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นจริงจึงพยักหน้าอีกครั้งโดยแรง “ข้าคิดถึงท่านทุกวัน”


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็มิอาจลบความยินดีในใจออกไปได้ ครู่หนึ่งจึงก้มลงจุมพิตที่หน้าผากนางแล้วเอ่ยเสียงแผ่วต่ำว่า “รอข้า”


 


 


เขาเดินไปที่ริมหน้าต่างแล้วหันมามองคราหนึ่ง มือค้ำตรงขอบหน้าขอบหน้าต่างแล้วกระโดดออกไปอย่างคล่องแคล่ว


 


 


เจินเมี่ยวมองแล้วก็ใจสั่น ยามนี้ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว เขาไม่กลัวคนเห็นเข้าเลยหรือไร!


 


 


นางรีบเดินตามไปที่ริมหน้าต่างยื่นศีรษะออกไป เมื่อไม่พบแม้แต่เงาของเขา นางจึงผ่อนลมหายใจโล่งอก แล้วเรียกชิงไต้เข้ามาสั่งว่า “เจ้าไปหาญาติผู้พี่ข้า บอกเขาว่าอย่าได้เสียใจไปเลย ศพของญาติผู้น้องยังปลอดภัยดี”


 


 


ชิงไต้มองนางด้วยความประหลาดใจคราหนึ่งแต่ก็มิได้ถามมากอันใด


 


 


“บอกเขาด้วยว่ามิต้องร้อนรนอันใด ประเดี๋ยวซื่อจื่อมาถึงก็จะทราบทุกอย่างเอง”


 


 


ครั้นชิงไต้ออกไปแจ้งข่าวตามที่นางสั่ง นางก็กลับไปนั่งครุ่นคิดที่เตียงครู่หนึ่ง ‘ต่อให้ร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด สู้นอนสักครู่ตามเขาบอกจะดีกว่าจะได้มิง่วงงุนในยามกลางวัน’


 


 


นางนอนลงดึงผ้าห่มขึ้น ยังคงสัมผัสได้ถึงไออุ่นและลมหายใจของเขา นางหลับตาลงแล้วเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว


 


 


ไม่ทราบเมื่อใดที่ได้ยินจื่อซูร้องเรียก “ต้าไหน่ไหน่ ซื่อจื่อมาแล้ว ไท่ไท่ให้มาเรียกท่านเจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวลุกขึ้นจากเตียง จื่อซูและชิงไต้จึงเข้าไปปรนนิบัติ ไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อยจึงไปที่ห้องโถงที่ไว้รับรองแขก


 


 


นายท่านสามสกุลเจินก็อยู่ด้วย หลัวเทียนเฉิงนั่งอยู่ด้านล่างถัดมา กำลังพูดคุยกับนางเวินว่า “ข้าเห็นท่านมีสีหน้าดีขึ้นมาก หากท่านชอบดื่มน้ำแกงสงบใจผสมบัวหิมะเซิ่งซิน ประเดี๋ยวข้าจะส่งมาให้อีกขอรับ”


 


 


ดูท่าทีนางเวินดีขึ้นมาแล้วจริงๆ มุมปากยังเคลือบด้วยรอยยิ้มอีกด้วย “จะสิ้นเปลืองไปไยกัน ข้าก็ดีขึ้นมากแล้ว”


 


 


สองสามวันมานี้แม้นหลัวเทียนเฉิงมิได้มาเยี่ยมด้วยตนเองแต่ก็ส่งของบำรุงล้ำค่ามาให้อยู่ไม่ขาดสาย น้ำแกงสงบใจที่นางเวินดื่มเมื่อวานก็ผสมกับบัวหิมะเซิ่งซินที่เขาส่งมาให้


 


 


บัวหิมะเซิ่งซินนี้เกิดอยู่ในหุบเขาสูงทางเหนือซึ่งหายากนัก ในบัวหิมะร้อยดอกจึงจะมีบัวหิมะเซิ่งซินสักดอก มันจึงล้ำค่าที่สุด


 


 


“จะสิ้นเปลืองได้อย่างไร ท่านกินแล้วดีขึ้นก็เป็นเพราะผลจากบัวหิมะนั้น”


 


 


น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน แม้แต่สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมน้อยลงกว่ายามปกติอยู่หลายส่วนเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขึ้นมา แสงแดดยามเช้าลอดหน้าต่างเข้ามาสาดแสงลงบนชุดคลุมตัวยาวสีน้ำเงินเข้มของเขาแล้วเกิดเป็นลำแสงนวลตาชนิดหนึ่งขึ้น


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปบ้าง


 


 


นางชินกับเขาที่ชอบโมโหโกรธเคืองและค่อยแต่อาละวาดอยู่ร่ำไปเสียแล้ว เมื่อเห็นท่าทีอ่อนโยนมีมารยาทยามอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสก็รู้สึกว่าน่ามองอย่างประหลาด


 


 


ชั่วขณะนั้นจึงลืมก้าวเท้าไปทันที


 


 


เมื่อนางเวินหันมาพบเข้าก็เอ่ยตำหนิว่า “เหตุใดจึงเพิ่งตื่นนอนเอายามนี้ ซื่อจื่อมารอเจ้าอยู่ครู่ใหญ่แล้ว”


 


 


เจินเมี่ยวมองจิ่นผิงคราหนึ่ง


 


 


จิ่นผิงส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างแนบเนียน นางจึงทราบทันทีว่านางเวินไม่ทราบเรื่องเมื่อคืนนี้


 


 


นายท่านสามสกุลเจินยิ่งน่าสนใจกว่า เมื่อเขาเห็นเจินเมี่ยวเดินเข้ามาก็ส่งสายตาให้คล้ายกลัวว่านางจะพูดอันใดผิดไปกระนั้น


 


 


มุมปากเจินเมี่ยวยกขึ้นเล็กน้อย


 


 


ท่านพ่อผู้ยิ่งใหญ่ หากท่านขยิบตาอยู่อีก เกรงว่าคนที่ไม่รู้เรื่องอันใดก็อาจจะฉุกคิดสงสัยขึ้นมาแล้ว


 


 


นางเพิ่งจะบ่นในใจจบก็ได้ยินมารดาเอ่ยว่า “ท่านพี่ ดวงตาท่านเป็นอันใดหรือ เหมือนมันกำลังกระตุกอยู่เลย”


 


 


นายท่านสามสกุลเจินกระแอมไอด้วยความประหม่าจนเกือบจะสำลักน้ำลายตนเองแล้ว เขาโบกมือหลายคราพลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นอันใดๆ มีแมลงบินเข้าตาเท่านั้น”


 


 


นางเวินเอ่ยในใจว่า ‘เพิ่งเข้าสู่วสันต์ฤดูก็มีแมลงแล้วหรือ เหตุใดนางจึงไม่เห็นเล่า’


 


 


ครั้นคิดถึงอุปนิสัยเชื่อถืออันใดมิได้ของนายท่านสามสกุลเจินแล้วก็คร้านจะถามให้มากความ เพียงเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “วันนี้มิเห็นป้าสะใภ้รองของเจ้าเลย หรือว่าจะไม่สบาย ประเดี๋ยวข้าจะไปเยี่ยมดูสักหน่อย”


 


 


นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยามนี้อยู่ต่อหน้าหลัวเทียนเฉิงจึงละอายที่จะเอ่ยว่าคิดจะนำของบำรุงที่เขาให้ไปด้วยสักสองสามห่อ


 


 


หลัวเทียนเฉิงคารวะนางเวินคราหนึ่ง “ท่านแม่ยาย ท่านป้าสะใภ้เดินทางมาไกล ทั้งยังต้องพบความเสียใจในการสูญเสียบุตรสาว ข้าควรจะไปเยี่ยมคารวะสักหน่อย”


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้ก็มีท่าทีลำบากใจเล็กน้อย “เพียงแต่ข้าสองมือว่างเปล่า คงได้แต่ทำตัวหน้าหนาเอาของบำรุงที่ส่งมาให้ท่านเพื่อแสดงความกตัญญูไปเยี่ยมท่านป้าสะใภ้ก่อน หวังว่าท่านคงไม่ตำหนิ”


 


 


วาจานี้ตรงกับใจของนางเวินพอดี น้ำเสียงจึงอ่อนโยนยิ่ง “ซื่อจื่อมีความตั้งใจถึงเพียงนี้ ป้าสะใภ้เจ้าเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้เอง เมี่ยวเอ๋อร์ เช่นนั้นเจ้าก็พาซื่อจื่อไปพร้อมกันเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวอดพิจารณาหลัวเทียนเฉิงครู่หนึ่งมิได้


 


 


เมื่อใดกันที่เขาเปลี่ยนเป็นคนว่าง่ายเช่นนี้ ทำให้รู้สึกว่ากำลังจำผิดคนอยู่กระนั้น


 


 


ทั้งสองบอกลานางเวินแล้วมุ่งหน้าไปที่เรือนฝั่งตะวันออก หลัวเทียนเฉิงหน้ามาถามนางด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อครู่แอบดูข้าด้วยเหตุใด?”


 


 


“ผู้ใดแอบดูท่านกัน” เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปาก ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าวันนี้ท่านดูแปลกจากปกติ”


 


 


“ต่อหน้าท่านแม่ยายข้าก็ต้องนอบน้อมสักเล็กน้อย” เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเอาใจใส่ว่า “อืม ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชิน วางใจเถิด ตอนนี้ข้าก็กลับมาเป็นคนเดิมแล้วมิใช่หรือ”


 


 


เจินเมี่ยวอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา


 


 


มิต้องเปลี่ยนได้หรือไม่! นางปรับตัวให้ชินได้จริงๆ นะ!


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มชั่วร้ายชนิดหนึ่งแล้วจูงมือนางเดินต่อไป


 


 


เมื่อถึงห้องพักของนางเจียว นางเจียวนั้นมีท่ามีไม่สู้ดีนักดั่งคาด แต่เมื่อได้ยินว่าคนทั้งสองมาก็ยังคงฝืนตนลุกขึ้นแต่เจินเมี่ยวรีบห้ามไว้ก่อน


 


 


“ป้าสะใภ้ ท่านนอนลงเถิด ซื่อจื่อได้ยินว่าท่านกับญาติผู้พี่มาถึงที่นี่แล้วจึงมาเยี่ยมคารวะสักครา”


 


 


นางเจียวเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน แม้นเมื่อวานจะเสียใจจนร่างกายย่ำแย่แต่ก็ยังไม่ฟังคำเตือนของเจินเมี่ยว นางยังเปลี่ยนชุดเพื่อรับรองแขก ทั้งยังหวีผมใหม่แล้วมัดมวยขึ้นอย่างเรียบง่าย


 


 


คุณชายผู้สืบทอดจากจวนกั๋วกงทั้งยังเป็นขุนนางขั้นสามในราชสำนักอีกด้วยแต่กลับมาเยี่ยมคารวะนางซึ่งเป็นเพียงหญิงชาวบ้านแค่เพราะเห็นแก่หน้าหลานสาวตน หากนางทำตัวยิ่งใหญ่ต่างหากจึงจะทำให้ผู้คนหัวเราะขบขัน


 


 


เจินเมี่ยวจนใจจึงได้แต่ช่วยนางสิงประคองนางเจียวออกมาที่ห้องด้านนอก


 


 


เวินมั่วเหยียนทราบข่าวตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วจึงรีบไปหาหลัวเทียนเฉิงเพื่อพูดคุยก่อนผู้ใดด้วยรู้สึกวุ่นวายใจแทบทนไม่ไหว


 


 


แต่เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงไม่เอ่ยก็ได้แต่อดทนไม่ถามออกไป


 


 


เขาทำการค้ามาปีกว่าแล้วจึงทราบดีว่ามีเรื่องราวมากมายที่มิได้ง่ายดายอย่างที่ตาเห็น โดยเฉพาะเงื่อนงำการตายของน้องสาวเขา เมื่อวานห้องที่เก็บศพนางยังเกิดไฟไหม้ขั้นอีก หากเป็นเพราะกูไหน่ไหน่สามที่อยู่ในจวนเป็นคนทำหรือเป็นเพียงเหตุบังเอิญ เขากลับมิกล้าเชื่อสักเท่าใด แต่หากไม่ใช่เรื่องนี้คงซับซ้อนยิ่งแล้ว หลัวซื่อจื่อไม่เอ่ยออกมาย่อมต้องมีเหตุผลเป็นแน่


 


 


ในที่สุดหลัวเทียนเฉิงก็หันไปมองเจินเมี่ยวอย่างแนบเนียนคราหนึ่ง


 


 


เจินเมี่ยวเข้าใจทันทีจึงเอ่ยกับนางเจียว่า “ป้าสะใภ้รอง ไม่ทราบว่าท่านกับพี่สี่เคยหารือกันหรือไม่ว่าจะหาสุสานฝังศพดีๆ สักที่แถวชานเมืองหลวงหรือนำกลับไปที่ไฮ่ติ้ง”


 


 


ความเจ็บปวดอันล้ำลึกปรากฏวูบขึ้นในดวงตานางเจียวแต่สีหน้ากลับยังคงราบเรียบ


 


 


เจินเมี่ยวมองแขนเสื้อที่สั่นเทาไม่หยุดของนางแล้วปวดแปลบขึ้นมาในใจ


 


 


หัวหงอกส่งหัวดำ ความเจ็บปวดชนิดนี้ไหนเลยจะเบาบางดั่งคลื่นนิ่งลมสงบอย่างที่ตาเห็นได้


 


 


คนบางคนมิยินยอมให้ผู้อื่นเห็นความเจ็บปวดของเขา แม้นความจริงในใจนั้นจะทุกข์ทนเจียนตายแล้วก็ตาม


 


 


นางเจียวเอ่ยปากว่า “ข้ากับญาติผู้พี่เจ้าเคยหารือกันแล้วว่าจะฝังนางไว้ที่ชานเมืองหลวง อากาศหนาว หนทางแสนไกล มิอยากให้นางต้องมาลำบากอีก วันหลังจะให้ญาติผู้พี่เจ้าไปเยี่ยมก็สะดวก”


 


 


เวินยาฉีเป็นเด็กสาวที่ยังมิได้ออกเรือนแม้นจะนำกลับบ้านเกิดก็มิสามารถฝังในสุสานบรรพชนได้


 


 


เจินเมี่ยวจึงเอ่ยว่า “ในเมื่อคิดเห็นเช่นนี้ ทั้งซื่อจื่อก็มาพอดี ให้เขาช่วยญาติผู้พี่เลือกสถานที่อันดีสักแห่งเถิด ท่านดูสีหน้าไม่ค่อยดีนัก รีบกลับไปพักผ่อนเถิด ประเดี๋ยวหารือกันเสร็จแล้วจะให้ญาติผู้พี่ไปเรียนท่านอีกทีเจ้าค่ะ”


 


 


นางเจียวย่อมมิได้ขัดอันใด ฝืนทนอยู่ครู่หนึ่งกระทั่งเหงื่อเย็นซึมเปียกเต็มแผ่นหลังจึงลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “นางสิง ประคองข้ากลับห้องเถิด”


 


 


สะใภ้ผู้นี้ของนางดีไปเสียทุกสิ่ง เป็นคนที่สามารถดูแลกิจการของตระกูลได้เพียงแต่รู้จักประจบสอพลอผู้มีอำนาจมากเกินไป กระทำการใดก็มักขาดท่าทีอันสง่าผ่าเผยอยู่เล็กน้อย ยาฉีจากไปแล้ว นางเองก็มิอยากให้ตนต้องมีอันเป็นไปตามไปอีกคน


 


 


นางสิงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง


 


 


นางอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วันแต่ก็ทราบดีถึงฐานะของญาติผู้น้องผู้นี้ นางไม่เพียงแต่งให้กับตระกูลสูงส่งของเมืองหลวงแห่งนี้แต่ยังเป็นเซี่ยนจู่ที่จักรพรรดิแต่งตั้งด้วยพระองค์เองอีกด้วย นางเข้าวังหลวงนั้นง่ายประหนึ่งพวกตนเดินเข้าร้านประทินผิวเลยทีเดียว!


 


 


แต่น่าเสียดายที่สองสามวันมานี่นางเอาแต่ยุ่งกับการดูแลแม่สามี ญาติผู้น้องก็ยุ่งกับการดูแลมารดาตนจึงไม่มีโอกาสทำความสนิทสนมกัน


 


 


คิดถึงตอนที่อยู่ไฮ่ติ้ง ตระกูลเวินตกต่ำถึงเพียงนั้นแต่เป็นเพราะนางพยายามหาวิธีเข้าไปร่วมงานเลี้ยงฉลองกับบรรดาไท่ไท่ที่มีหน้ามีตาจึงทำให้ทุกอย่างค่อยๆ ดีขึ้น


 


 


แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าเหตุใดคนทั้งตระกูลจึงมิอนุญาตให้เอ่ยถึงเรื่องของท่านอาหญิง ทำให้คนที่มีหน้ามีตาทั้งหลายลืมไปเลยว่าตระกูลเวินยังมีกูไหน่ไหน่ผู้หนึ่งอยู่ที่เมืองหลวง อีกทั้งยังสูงศักดิ์ถึงเพียงนี้


 


 


นางจำได้ว่าเหล่าไท่ไท่สกุลเวินเคยเอ่ยว่า “อาหญิงของพวกเจ้าอยู่ไกลถึงเมืองหลวง การอยู่ลำพังเพียงคนเดียวนั้นไม่ง่ายเลย ตระกูลมารดามิเคยช่วยเหลืออันใดนางได้ แต่อย่างน้อยก็อย่าได้ใช้ชื่อเสียงของนางเพื่อกิจการเลย จะได้มิเกิดเรื่องยุ่งยากอันใดตามมา”


 


 


ทว่านางสิงมิคิดเช่นนั้น ในสายตานางแล้วตั้งแต่เกิดกระทั่งออกเรือนก็มีแต่ตระกูลมารดาที่อบรมเลี้ยงดู ยามนี้มีเกียรติแล้ว เหตุใดจึงจะมิช่วยลากพยุงตระกูลมารดาสักหน่อยเล่า


 


 


ในงานเลี้ยงฉลองคราหนึ่งนางทำทีเป็นเอ่ยถึงอย่างมิได้ตั้งใจก็เห็นบรรดาไท่ไท่เหล่านั้นมองนางด้วยแววตาเป็นกันเองมากยิ่งขึ้นดังคาด


 


 


นางสิงมองเจินเมี่ยวและหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่งด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์แล้วจึงประคองนางเจียวจากไป


 


 


เมื่อเจินเมี่ยวให้สาวใช้ออกไป เวินมั่วเหยียนก็อดรนทนไม่ไหวแล้ว เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ น้องสาวของข้าตายอย่างไม่ยุติธรรม ความจริงเป็นเช่นไร ขอท่านโปรดบอกกล่าวให้ทราบด้วยเถิด”


 


 


“ญาติผู้พี่ ท่านทำอันใดกัน” เจินเมี่ยวอึ้งงันไปแล้วยื่นมือออกมาหวังดึงให้เขาลุกขึ้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงกระแอมไอเสียงเบาคราหนึ่ง


 


 


เจินเมี่ยวพลันชะงักไป หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นประคองเขา “ญาติผู้พี่ทำเช่นนี้ ประเดี๋ยวกลับถึงเรือนเมี่ยวเอ๋อร์คงเอ่ยตำหนิข้าเป็นแน่”


 


 


เวินมั่วเหยียนเองก็รู้ดีว่าตนทำเช่นนี้ยิ่งสร้างความกระอักกระอ่วนเขาจึงลุกขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านบอกว่าศพของน้องสาวข้าปลอดภัยดี เรื่องราวเป็นเช่นใดหรือ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงปิดบังต่อไป เขาเอ่ยว่า “เมี่ยวเอ่ยอยู่ในจวนแห่งนี้ ข้าห่วงความปลอดภัยของนางจึงให้องครักษ์ลับคอยติดตาม ที่ท่านกับนางไปยังห้องหลังเรือนเหอเฟิง องครักษ์ลับก็เห็นทุกอย่าง และเห็นว่ามีคนลอบวางเพลิงด้วยเช่นกันจึงได้นำศพอื่นไปเปลี่ยนกับศพน้องสาวท่านออกมา”


 


 


หลัวเทียนเฉิงให้องครักษ์ลับมาคอยคุ้มกันความปลอดภัยของเจินเมี่ยวจริงแต่เรื่องการสับเปลี่ยนศพนั้นเป็นคำสั่งของเขาเอง มิเช่นนั้นหลังจากที่องครักษ์ลับพบว่าเกิดเพลิงไหม้ไหนเลยจะกล้ากระทำการโดยไร้คำสั่งนายตน


 


 


“แล้ว แล้วศพของน้องสาวข้า…”


 


 


“อยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว ทั้งยังได้รับการพิสูจน์ศพแล้วจึงยืนยันได้ว่านางมิได้แขวนคอตายเองแต่ถูกรัดคอจนตาย”


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้หลัวเทียนเฉิงก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ผู้ลงมือไม่เพียงเ**้ยมโหดแต่ยังเจ้าเล่ห์มากอีกด้วย


 


 


คนผู้นั้นเข้าใจสภาพการณ์ของตระกูลใหญ่ๆ ดี สตรีผู้หนึ่งปลิดชีพตน แม้แต่การคิดจะปิดบังยังทำไม่ทัน แล้วจะมีผู้ใดคิดเชิญคนมาชันสูตรศพเล่า หากมิใช่เพราะเวินมั่วเหยียน เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดทราบไปตลอดกาล โดยเฉพาะเขาที่คอยกำกับองครักษ์ลับของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินยิ่งไม่มีทางคิดจะไปตรวจสอบแน่ หากถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็นโรคจิตจะทำฉันใด


 


 


เขาเอ่ยต่อว่า “ผู้วางเพลิงนั้นเป็นบ่าวในจวนแห่งนี้ หากพวกท่านทราบเข้าคงเผยพิรุธแน่ ข้าจึงไม่ขอบอก แต่ได้ส่งคนไปเฝ้าสังเกตเขาอย่างใกล้ชิดแล้ว เมื่อใดที่มีคนมาฆ่าเขาปิดปากก็คงคลำหาเบาะแสได้แล้ว ดังนั้นเรื่องที่ศพของญาติผู้น้องปลอดภัยดีก็ให้รู้แต่เพียงพวกท่านก็พอ และขอให้เตือนท่านป้าสะใภ้ไว้ด้วยว่าอย่าเผยพิรุธเด็ดขาด”


 


 


“ซื่อจื่อคิดว่าคนร้ายคือใครหรือ” เวินมั่วเหยียนกำหมัดแน่นแล้วถามออกไปอย่างมิอาจอดกลั้นได้


 


 


เจินเมี่ยวมิได้ถามว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือเจินจิ้งหรือไม่


 


 


แรกเริ่มนั้นนางมิได้คิดให้ถี่ถ้วน แค่คิดว่าทุกอย่างเกิดจากการดูถูกของเจินจิ้ง ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของเวินยาฉีขาดผึงลงจนคิดสั้นในที่สุด ดังนั้นจึงไปหาเจินจิ้งเพื่อคิดบัญชี แต่หลังจากรู้ว่าเวินยาฉีมิได้ฆ่าตัวตาย นางก็มาครุ่นคิดอย่างใจเย็นอีกครากลับพบว่านี่คงมิใช่สิ่งที่เจินจิ้งจะสามารถลงมือทำได้


 


 


เพราะเหตุใดน่ะหรือ ได้ไม่คุ้มเสียอย่างไรเล่า!


 


 


หากบอกว่าแรกเริ่มนั้นเจินจิ้งคิดวางแผนให้นางแต่กับคุณชายรองร้านโลงศพเพราะต้องการทำให้นางและนางเวิน รวมไปถึงจวนเจี้ยนอานปั๋วต้องอับอาย แต่ถ้าเวินยาฉีตายแล้วนางมั่นใจว่าเจินจิ้งคือคนร้าย นางก็ต้องฉีกหน้ากากของเจินจิ้งแน่ หากองค์ชายหกปกป้องอนุก็คงผิดใจกับนางและสามี แต่หากเข้าข้างพวกนาง เจินจิ้งก็จะสูญเสียความโปรดปรานไป


 


 


อันตรายเช่นนี้ เจินจิ้งจะยอมเสี่ยงได้อย่างไร


 


 


“เกิดไฟไหม้ เป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายอย่างยิ่ง คิดว่าคนผู้นั้นคงมีความเคลื่อนไหวในเร็วๆ นี้แล”


 


 


และในคืนนั้นเองก็มีคนผู้หนึ่งแฝงกายเข้ามาในจวนเจี้ยนอานปั๋ว องครักษ์ลับที่หลัวเทียนเฉิงสั่งการไว้นั้นเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างจนคนผู้นั้นฆ่าคนปิดปากแล้วจากไป องครักษ์ลับจึงติดตามเขาไปจนถึงจวนของผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งผู้หนึ่งก็เห็นเขาลอบเข้าไปทางประตูด้านหลังของจวนแห่งนั้น 

 

 


ตอนที่ 303 สิ่งที่เรียกว่า ‘ภรรยานอกเ...

 

องครักษ์ลับรอจนดึกสงัด เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งผิดปกติอันใดจึงอ้อมมายังด้านหน้าจวน อาศัยแสงดาราริบหรี่นั้นจึงมองเห็นป้ายสลักอักษรสีทองตัวใหญ่เขียนว่า ‘จวนมู่เอินโหว’ อยู่รำไร เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหมุนกายเพียงไม่กี่คราก็หายไปในความมืดยามราตรีนี้แล้ว


 


 


เมื่อได้ฟังคำรายงาน หลัวเทียนเฉิงซึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะไม้หลีก็ครุ่นคิดอย่างละเอียดครู่หนึ่งจึงสั่งคนสนิทให้ใช้วิธีพิเศษที่เคยตกลงกันไว้นานแล้วกับองค์ชายหกติดต่อพระองค์ไปว่าคนทั้งสองจะนัดพบกันที่เรือนของชาวบ้านธรรมดาอันไม่เด่นสะดุดตาหลังหนึ่ง


 


 


เรือนหลังนั้นตั้งอยู่ในตรอกธรรมดาตรอกหนึ่ง หากนับกันจริงๆ มันก็อยู่ถัดมาจากเรือนที่นายท่านรองสกุลหลัวเคยจัดเตรียมให้ซูเหนียงพักมาอีกแค่สองซอยเท่านั้น


 


 


แม้นจะห่างกันเพียงสองซอย แต่บ้านเรือนอันธรรมดาเหล่านี้กลับน่าสนใจยิ่งเพราะส่วนมากมักเป็นเรือนของภรรยานอกเรือนของเหล่าขุนนาง คหบดีผู้มั่งคั่งทั้งสิ้น ส่วนชาวบ้านทั่วไปนั้นกลับมีน้อยยิ่งนัก ยามกลางวันเรือนทุกหลังก็ต่างปิดประตูลงกลอนกันหมด ทว่าเวลานี้กลับได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังลอยมา เมื่อบุรุษผู้หนึ่งลงจากหลังม้าก็มีคนเฝ้าประตูเดินไปต้อนรับและเชิญเข้าเรือนอย่างเงียบๆ


 


 


คนทั้งสองนั่งลง สตรีงดงามผู้หนึ่งก็ยกชาเข้ามาให้


 


 


ผมของนางดำขลับ ใบหน้าดุจดอกฝูหรง[1] มือที่ยกถาดชามานั้นขาวเนียนดุจหยก นิ้วมือเรียวยาว กระโปรงสีขาวนวลแต้มลายบุปผาแซมใบไม้ปลิดปลิวสีเขียว บริเวณเอวมิได้ห้อยหยกอย่างที่พบเห็นทั่วไปแต่เป็นกระพรวนทองสองอัน เสียงกระพรวนดังอยู่แว่วๆ คล้ายมีคล้ายไม่มียามที่นางเดินโยกย้ายไปมา แม้นางจากไปแล้วข้างหูก็เหมือนยังได้ยินเสียงนั้นอยู่


 


 


องค์ชายหกเก็บสายตาตนก้มหน้าดูอาภรณ์ที่ตนสวมใส่แล้วหันมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่งจึงยิ้มออกมา “จิ่นหมิง เจ้าช่างคิดวิธีเช่นนี้ออกมาได้จริงๆ”


 


 


ที่แท้คนทั้งสองก็แต่งกายเหมือนกันนั้นเอง


 


 


บุรุษสองคนรูปร่างใกล้เคียงกัน ทั้งยังรูปงาม อกผายไหล่ผึ่ง เอวสอบ ขายาว หากใส่หมวกแบบเดียวกันแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่ด้านหลังเลย แม้แต่ด้านหน้าคนก็มิอาจแยกแยะออกได้


 


 


องค์ชายกับขุนนางคบค้ากันนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม ในเมื่อคนทั้งสองตกลงร่วมมือกันเป็นการส่วนตัวแล้ว การติดต่อกันด้วยจดหมายนั้นมิใคร่สะดวกนักจึงต้องนัดพบพูดคุยกันมากขึ้นเป็นธรรมดา แต่พบกันที่ใดต่างหากที่เป็นปัญหา


 


 


แม้นจะเป็นโรงน้ำชา หอสุราของตนก็ตาม แต่หากนัดพบกันบ่อยเกินไปก็ยากนักที่จะมิถูกพบเห็น


 


 


ดังนั้นหลัวเทียนเฉิงจึงคิดวิธีหนึ่งขึ้นมาโดยการซื้อเรือนหลังหนึ่งในตรอกอันมีชื่อเสียง ยามทั้งสองพบหน้ากันก็ให้ใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกัน แน่นอนว่าสตรีเมื่อครู่ที่เพิ่งยกชาเข้ามาก็คือภรรยานอกเรือนที่มีไว้เพื่อตบตาผู้อื่น เช่นนี้ต่อให้ผู้ใดผู้หนึ่งถึงคนพบเห็นเข้าแล้วฐานะที่แท้จริงถูกเปิดเผยขึ้นมา การมีภรรยานอกเรือนก็เป็นเพียงแค่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เท่านั้น เป็นวิธีที่ปลอดภัยยิ่ง


 


 


“จิ่นหมิง คงมิใช่เพราะเจ้าเคยเลี้ยงภรรยานอกเรือนไว้กระมังถึงได้เชี่ยวชาญรู้ทางเพียงนี้” องค์ชายหกยกถ้วยชาขึ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี


 


 


หลัวเทียนเฉิงยกมุมปากตนขึ้นแล้วเอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า “องค์ชายหก เพราะแม้นหม่อมฉันมิเคยกินเนื้อสุกร แต่ก็ใช่ว่าจะมิเคยเห็นสุกรวิ่ง[2] อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เจ้าเคยเห็นสุกรตัวใดวิ่งหรือ?” องค์ชายหกยื่นหน้าเข้าไปทำสายตาล้อเลียน


 


 


หลัวเทียนเฉิงเผยอเปลือกตาขึ้นแล้วเอ่ยว่า “บังเอิญยิ่ง ท่านอารองของหม่อมฉันก็เคยมีเรือนอาศัยของภรรยานอกเรือนอยู่ถัดจากที่นี่ไปอีกสองซอย”


 


 


องค์ชายหกหัวเราะออกมาเสียงดัง


 


 


เดิมทีตำแหน่งของนายท่านรองสกุลหลัวนั้นมีแต่จะเลื่อนขั้นขึ้นไปเรื่อยๆ แต่เพราะพาภรรยานอกเรือนไปไหว้ขอพรจึงทำให้บังเอิญพบกับฮูหยินตน เรื่องที่ฮูหยินรองวิวาทตบตีกันกลางถนนนั้นกลายเป็นเรื่องพูดคุยขบขันของคนทั่วเมืองหลวง นายท่านรองสกุลหลัวจึงมิได้เลื่อนตำแหน่งซ้ำยังโดนลดตำแหน่งอีกด้วย ทำให้สหายร่วมงานต่างลอบยิ้มเยาะอยู่เป็นนานทีเดียว


 


 


องค์ชายหกหยุดหัวเราะ แล้วเอ่ยว่า “ว่าไปแล้วข้าก็จำได้ว่าพ่อตาเจ้าก็ถูกปลดจากตำแหน่งเพราะแอบเลี้ยงหญิงคณิกาไว้เช่นกันมิใช่หรือ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงชำเลืองมองด้วยสายตาแค้นเคือง


 


 


ช่างเหลือเกินจริงๆ เชียว!


 


 


เมื่อองค์ชายหกเห็นเช่นนั้นก็มิเอ่ยเย้าอันใดอี เขาจิบน้ำชาไปคำหนึ่งแล้วถามว่า “วันนี้เจ้านัดพบข้านั้นมีเรื่องอันใดหรือ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงกลับมามีสีหน้าจริงจังเช่นเดิม “เดิมนั้นเป็นเรื่องภายในของตระกูลพ่อตาหม่อมฉัน แต่ต่อมาสืบพบข้อมูลบางอย่างซึ่งเกี่ยวข้องกับพระองค์ หม่อมฉันจึงคิดว่าควรต้องทูลให้พระองค์ทราบไว้สักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เรื่องภายในของตระกูลพ่อตาเจ้า? หรือจะเป็นเรื่องของคุณหนูผู้เป็นญาติห่างๆ นั่น”


 


 


กล่าวไปแล้วจวนเจี้ยนอานปั๋วนั้นก็ช่างเคราะห์ร้ายนัก สองปีมานี่มีแต่เรื่องที่ทำให้ผู้คนขบขันไปทั่วอยู่ไม่ขาดสาย


 


 


ครั้งนี้เวินยาฉีลอบนัดพบบุรุษในงานเทศกาลโคมไฟ ทั้งยังให้บุรุษผู้นั้นนำของแทนใจไปหาถึงจวน แต่สุดท้ายกลับฆ่าตัวตาย เรื่องนี้ผู้คนต่างทราบกันไปทั่วแล้ว


 


 


สองสามวันมานี้มีข่าวแพร่สะพัดออกมาว่าคุณหนูที่ฆ่าตัวตายผู้นั้นเห็นว่าคุณหนูสามในจวนเจี้ยนอานปั๋วได้เป็นถึงอนุที่องค์ชายสามโปรดปรานจึงคิดเลียนตามนาง


 


 


เรื่องที่เจินจิ้งเข้าไปอยู่ในตำหนักองค์ชายสามอย่างคลุมเครือนั้นแม้นจะปิดบังเช่นไรก็มิอาจปิดบังคนที่อยู่ในแวดวงเดียวกันได้


 


 


แต่การซุบซิบเช่นนี้นั้นเกิดขึ้นแต่เพียงภายใน เพราะเกี่ยวพันไปถึงองค์ชาย ผู้ใดจะกล้าออกมาพูดจาอย่างเปิดเผยกันได้เล่า


 


 


ชื่อเสียงจวนเจี้ยนอานปั๋วได้รับความเสียหายไม่น้อย มิต้องพูดถึงเรื่องงานมงคลของเจินปิงที่เพิ่งจะอยู่ในขั้นตอนการเจรจาต้องถูกยกเลิกไปเลย เกรงว่าภายในสองปีนี้คงไม่มีตระกูลใดคิดจะแต่งกับคุณหนูจวนเจี้ยนอานปั๋วแน่แล้ว


 


 


องค์ชายหกรู้เรื่องข่าวซุบซิบเหล่านั้นดี แต่เขาก็มิได้ใส่ใจอันใด เพราะการที่เขาให้เจินจิ้งซึ่งตั้งครรภ์อยู่นั้นกลับไปพักที่จวนปั๋วก็มิใช่อยากจะสร้างมลทินให้ตนเองหรอกหรือ


 


 


ว่าที่ภรรยาของเขาเป็นหลานสาวแท้ๆ ของหวงโฮ่ว ส่วนอนุเป็นคุณหนูจวนเจี้ยนอานปั๋ว เรื่องนี้ไม่นับเป็นอันใดได้ ทว่าคุณหนูอีกผู้หนึ่งของจวนเจี้ยนอานปั๋วกลับเป็นภรรยาของคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงที่กำลังมีอำนาจมากอยู่ในยามนี้ ทั้งยังเป็นบุตรบุญธรรมของหย่งอ๋องอีก


 


 


ไม่ว่าเจินจิ้งกับเจินเมี่ยวจะมีความสัมพันธ์กันเช่นไร แต่สายตาคนนอก ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลัวเทียนเฉิงนั้นย่อมใกล้ชิดกันกว่าองค์ชายองค์อื่นๆ เป็นแน่


 


 


ในยามที่องค์รัชทายาทสูญเสียความโปรดปราน องค์ชายรองกลายเป็นคนพิการ เขาซึ่งมีความสัมพันธ์ที่พิเศษกับคนทั้งสองย่อมมิใช่องค์ชายที่ไร้ที่พึ่งพิงอีกต่อไป


 


 


เขาทราบดีว่าเจินจิ้งไม่พอใจเจินเมี่ยวและจวนปั๋ว เขาเห็นสตรีมามาก บางคราแค่สีหน้าบางอย่างก็ทำให้รู้ความคิดที่แท้จริงของพวกนางแล้ว


 


 


ที่ส่งนางกลับก็เพราะทราบอุปนิสัยของนางดีว่านางจักต้องกระทำเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อพี่น้องเป็นแน่ ถึงยามนั้นเขาก็แค่ช่วยส่งเสริมอีกเล็กน้อยให้คนทั่วหล้าได้รู้ว่าเจินจิ้งมิลงรอยกับพี่น้องตน เช่นนั้นความสัมพันธ์อันดีระหว่างเขากับคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงก็คงไม่มีอยู่จริง


 


 


แน่นอนว่าเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าฝีมือการต่อกรของเจินจิ้งดุดันจนก่อเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ได้ อืม…มันทำให้เขายิ่งรู้สึกต้องถนอมนางมากขึ้นไปอีก


 


 


หลัวเทียนเฉิงเห็นองค์ชายหกฟังด้วยใบหน้าอมยิ้มก็ถอนหายใจอยู่ในอกคราหนึ่ง


 


 


เหตุใดเขาจะไม่เข้าใจความคิดขององค์ชายหกเขา หรือจะบอกว่ามีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่เข้าใจองค์ชายหก!


 


 


ละทิ้งชื่อเสียง เกียรติยศได้ ความคิดปราดเปรื่องซับซ้อน มิน่าเล่าถึงสามารถยิ้มอยู่ได้จนวาระสุดท้าย


 


 


“มีคุณหนูผู้เป็นญาติในจวนฆ่าตัวตาย ว่าไปแล้วก็เป็นความผิดข้าเอง” องค์ชายหกถอนหายใจออกมาแผ่วเบา


 


 


แม้นเขาจะเอ่ยเช่นนี้แต่กลับมิเคยเอ่ยถึงเรื่องการลงโทษเจินจิ้งแม้แต่น้อย


 


 


หลัวเทียนเฉิงย่อมเข้าใจความคิดขององค์ชายหกดี


 


 


หากองค์ชายหกมีใจให้เจินจิ้งจริง เหตุใดจึงยอมให้นางกลับไปพักที่จวนปั๋วเล่า


 


 


สตรีที่ไม่มีตำแหน่งภรรยาเอกแต่ได้รับความรักความเอ็นดูที่เกินไป เช่นนั้นเป็นสัญญาณการเร่งความตาย องค์ชายหกเป็นบุรุษเช่นกันมีหรือจะไม่เข้าใจหลักการนี้


 


 


หากเป็นเขา…


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้หลัวเทียนเฉิงก็ยิ้มออกมา เขาไหนเลยจะยอมให้เจี๋ยวเจี่ยวเป็นอนุได้เล่า เรื่องนี้คงไม่มีคำว่า ‘หาก…’ เป็นแน่


 


 


หลัวเทียนเฉิงเม้มริมฝีปากจิบชาไปคำหนึ่ง แล้ววางถ้วยชาลง “องค์ชาย หม่อมฉันสืบทราบมาเรื่องหนึ่งว่าคุณหนูผู้เป็นญาติในจวนปั๋วนั้นมิได้ฆ่าตัวตายแต่ถูกฆ่าตายพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“หืม?” ครานี้ องค์ชายหกจึงเก็บท่าทีเกียจคร้านเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา


 


 


แม้นสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่เขายินดียิ่ง แต่คนที่เดิมคิดว่าฆ่าตัวตายเปลี่ยนเป็นถูกฆ่าตาย ความแตกต่างนั้นราวฟ้ากับเหว จะให้เขามิใส่ใจได้อย่างไร


 


 


“จิ่นหมิงสืบทราบได้อย่างไร?” องค์ชายหกเอ่ยถามโดยไม่เผยสีหน้าใด


 


 


“เรื่องนี้ ความจริงเป็นพี่ชายของคุณหนูผู้เป็นญาติเป็นผู้พบพิรุธพ่ะย่ะค่ะ” หลัวเทียนเฉิงรู้ดีว่าหากผู้มีบรรดาศักดิ์สูงกว่าทราบว่าผู้ใต้บังคับบัญชามีความสามารถอย่างที่ตนไม่อาจควบคุมได้จะต้องรู้สึกกังวลอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความเชื่อใจแต่มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับคนปกติทุกคน


 


 


เขาจึงเล่าเรื่องที่เวินมั่วเหยียนไปตรวจดูศพของน้องสาวตนในยามวิกาลและเรื่องที่เขาให้คนไปคอยเฝ้าที่จวนจนตามคนผู้หนึ่งไปถึงจวนตระกูลผู้มีบรรดาศักดิ์ตระกูลหนึ่ง


 


 


“จวนตระกูลผู้มีบรรดาศักดิ์นั้นคือ…”


 


 


“จวนมู่เอินโหว” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยออกมาสี่คำ


 


 


องค์ชายหกกำถ้วยชาในมือแน่น แล้วเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “จ้าวเฟยชุ่ย?”


 


 


เขายิ้ม “ที่แท้เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับคู่หมั้นของข้า”


 


 


สองปีก่อนบิดาของจ้าวเฟยชุ่ยสิ้นชีพในจวนแห่งหนึ่งของหย่งอ๋อง จวนมู่เอินโหวต้องไว้ทุกข์จึงมิอาจออกไปร่วมงานสังสรรค์ใดๆ ได้ทำผู้คนค่อยๆ เลิกสนใจไป แต่สำหรับองค์ชายหกย่อมมิอาจละเลยตระกูลพ่อตาตนได้


 


 


เขาได้ให้คนแทรกซึมเข้าไปอยู่ที่นั่นนานแล้ว และรู้ว่าหลังจากที่จ้าวเฟยชุ่ยรู้ว่าตนให้เจินจิ้งกลับไปพักบำรุงครรภ์ที่ตระกูลมารดา นางก็อาวาดทำลายข้าวของในห้องจนพังพินาถดุจอัสนีฟาดผ่า


 


 


สำหรับเรื่องนี้เขาเพียงยิ้มและปล่อยมันผ่านไป แต่คิดไม่ถึงว่าคนของจวนมู่เอินโหวจะอาจหาญถึงขั้นคิดใช้เรื่องนี้เพื่อทำให้เขาโกรธเคืองเจินจิ้ง


 


 


ควรต้องรู้ว่าเพราะวาจาชักจูงของเจินจิ้งที่ทำให้คุณหนูผู้เป็นญาติตกลงปลงใจกับบุรุษร้านโลงศพกับการที่นางตายนั้นเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง


 


 


ในสายตาคนทั้งหลายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือความรู้สึกเขาก็ไม่ควรที่จะรักใคร่อนุที่ก่อเรื่องจนคนต้องตาย


 


 


องค์ชายหกแค่นยิ้มเย็น คู่หมั้นผู้นี้ของเขาโง่งมกว่าที่คิดไว้เสียอีก!


 


 


การที่เขาคิดจะสร้างมลทินให้ตนเองนั้นเป็นอีกเรื่อง แต่การกดข่มอนุผู้หนึ่งโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ของเขานั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน


 


 


ไม่…บางทีจวนมู่เอินโหวอาจจะได้รับยั่วยุจากผู้ใดก็เป็นได้


 


 


คนที่มีความคิดอันลึกล้ำก็มักจะครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง องค์ชายหกก็ไม่ต่างกัน เขาไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างถี่ถ้วน


 


 


หลัวเทียนเฉิงกระแอมไอเสียงเบาคราหนึ่ง


 


 


ด้วยฐานะของพวกเขาแล้วนั้นจึงไม่ควรพบหน้าเจรจากันนานเกินไป


 


 


เขานำเรื่องที่ตนสืบทราบมาแจ้งแก่องค์ชายหกก็เพราะว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงตระกูลคู่หมั้นองค์ชายหก เขาจึงมิอาจสืบเรื่องต่อไปอีกได้


 


 


เรื่องที่เหลือก็มอบให้องค์ชายหกสานต่อย่อมเหมาะสมกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


องค์ชายหกมีสติคืนมาจึงเอ่ยว่า “ขอบใจจิ่นหมิงมาก เอาเป็นว่าข้ารับทราบเรื่องนี้แล้ว”


 


 


หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นแล้วยกมือประกบกันเป็นการคารวะ “เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลาก่อน”


 


 


องค์ชายหกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแต่ใบหน้ากลับเคลือบด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็ต้องไปเช่นกัน”


 


 


คนทั้งสองแต่งกายเหมือนกันเพราะต้องการให้คนคิดว่าเป็นคนเดียวกัน พวกเขาจึงมิอาจจากไปพร้อมกัน


 


 


“แค่กๆ ” กลัวเทียนเฉิงยกมือขึ้นรองไว้ใต้ริมฝีปาก กระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่งแล้วยิ้มแห้งพลางเอ่ยว่า “ทิวทัศน์งดงาม อากาศแจ่มใส บุปผาแย้มบาน องค์ชายทรงพักผ่อนดื่มชาอยู่ที่นี่อีกสักถ้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


องค์ชายหกเลิกคิ้วขึ้นยิ้มพลางเอ่ยว่า “จิ่นหมิงพูดถูก ทิวทัศน์งดงาม อากาศแจ่มใส บุปผาแย้มบาน เจ้าเองก็สามารถพักผ่อนดื่มชาอยู่ที่นี่อีกสักถ้วยได้เช่นกัน”


 


 


“คงไม่พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะไปเยี่ยมดูที่จวนเจี้ยนอานปั๋วสักหน่อย”


 


 


“ไปด้วยกันเถิด” องค์ชายหกเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองเขานิ่ง


 


 


องค์ชายหกจึงค่อยๆ นั่งลง


 


 


หลัวเทียนเฉิงหมุนกายเตรียมจากไป แต่พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันกลับไปเอ่ยว่า “องค์ชาย หม่อมฉันมีเรื่องอยากขอร้องพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“พูดมาเถิด” องค์ชายหกเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก


 


 


หลัวเทียนเฉิงกระแอมคอให้โล่งแล้วเอ่ยว่า “หากภายหน้ามีคนทราบเรื่อง ‘ภรรยานอกเรือน’ ที่เลี้ยงไว้ที่นี่ ขอให้องค์ชายหกเป็นผู้แบกรับเรื่องนี้ไว้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ดอกฝูหรง หรือดอกพุดตาน ดอกและใบใช้เป็นยาประคบอาการบวมช้ำได้ สำหรับประเทศจีนแล้วดอกฝูหรงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคล ร่ำรวยและมั่งคั่ง


 


 


[2] มิเคยกินเนื้อสุกร แต่ใช่ว่าจะมิเคยเห็นสุกรวิ่ง เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่าถึงแม้เรื่องนั้นๆ ตนจะไม่เคยกระทำแต่ก็เห็นผู้อื่นกระทำมาก่อน 

 

 


ตอนที่ 304 ผู้อยู่เบื้องหลัง

 

องค์ชายหกอึ้งงันไปตามด้วยอาการขบกันฟัน แล้วขว้างถ้วยชาที่ดื่มหมดแล้วออกไป เอ่ยด่าทอพลางยิ้มขำว่า “เหตุใดต้องเป็นข้า”


 


 


คนทั้งสองนัดพบพูดคุยกันเช่นนี้มานานแล้ว แม้นจะสงวนท่าทีบางอย่างไว้อยู่แต่เรื่องอุปนิสัยนั้นกลับเข้ากันได้ดียิ่ง องค์ชายหกชื่นชมความสามารถของหลัวเทียนเฉิง หลัวเทียนเฉิงเผชิญความตายมาครั้งหนึ่งแล้ว ความคิดที่มีต่อจักรพรรดิและขุนนางจึงมิได้เป็นอย่างคนทั่วไป ยามพบหน้ากันจึงทำตนตามอัธยาศัยไปโดยมิรู้ตัวแต่ท่าทีเช่นนี้กลับทำให้องค์ชายหกรู้สึกผ่อนคลาย หากมิใช่ยามพูดคุยเรื่องสำคัญ การหยอกล้อเช่นนี้ก็มินับว่ากระทำเกินไป


 


 


เขายื่นมือออกมารับถ้วยกระเบื้องเคลือบลายครามที่ลอยมาไว้แล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “หม่อมฉันมีภรรยาแล้ว ขอองค์ชายโปรดทรงเห็นใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


องค์ชายหกแค่นยิ้มคราหนึ่ง “มิใช่มีแต่เจ้าที่มีภรรยา ผู้ใดก็มีภรรยาทั้งสิ้น!”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ข้อสำคัญที่สุดคือผู้คนย่อมเชื่อถือมากกว่าหากคนผู้นั้นเป็นองค์ชาย”


 


 


องค์ชายหกอึ้งอยู่นานจึงพ่นวาจาประโยคหนึ่งออกมาได้ว่า “รีบไสหัวไปหาภรรยาเจ้าเถิด!”


 


 


ไม่นานสตรีที่ยกชาผู้นั้นก็เดินเข้ามาเก็บถ้วยชาเหล่านั้นอย่างเงียบเชียบ


 


 


องค์ชายหกเอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า “ซู่ซู่”


 


 


สตรีที่ถูกเรียกว่า ‘ซู่ซู่’ นั้นวางมือลงแนบกาย ท่าทีเคารพนบน้อมยิ่ง “องค์ชายมีสิ่งใดรับสั่งเพคะ?”


 


 


ทุกการเคลื่อนไหวล้วนไม่มีท่าทีสวยงามเย้ายวนแม้แต่น้อยแต่กลับคล้าก้อนหินอันเงียบงันก้อนหนึ่งหรือไม่ก็กระบี่ที่ยังมิทันได้ออกจากฝัก


 


 


องค์ชายหกพอใจซู่ซู่ผู้นี้ยิ่ง


 


 


คนที่สามารถให้มาอยู่ที่นี่ได้นั้นมีความสำคัญยิ่ง ซู่ซู่เป็นองครักษ์ลับที่เขาฝึกมาอย่างดี นางจึงภักดีต่อเขายิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


“ซู่ซู่ เจ้าจงจำไว้ หากมีวันนั้นอย่างที่หลัวซื่อจื่อกล่าวมา เจ้าต้องบอกว่าเจ้าเป็นคนของเขา”


 


 


“องค์ชาย?” ซู่ซู่ตกใจขึ้นมาแต่ก็กลับมามีท่าทีนิ่งขรึมเช่นเดิมอย่างรวดเร็ว แล้วรับคำด้วยความนบน้อม


 


 


องค์ชายหกจึงสะบัดมือคราหนึ่ง “เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้าก็ไปได้แล้ว”


 


 


เมื่อซู่ซู่จากไปแล้ว เขาก็ประสานมือไว้ด้วยกัน พาดไว้หลังศีรษะแล้วแหงนหน้าขึ้น ผลิยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้


 


 


เขาอยากจะเห็นท่าทีกุมขมับของหลัวซื่อจื่อจนทนไม่ไหวแล้ว ทำอย่างไรดี?


 


 


เจ้าหนุ่มนั่นช่างอาจหาญนัก ถึงขนาดกล้าขอให้เขาแบกรับทุกอย่างออกมาตรงๆ หึ เจ้าตายแน่!


 


 


วันถัดมา ข้อมูลชุดหนึ่งก็มาปรากฏอยู่บนโต๊ะขององค์ชายหก


 


 


เขาเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างไม่เร็วไม่ช้าพลางอ่านเนื้อความในจดหมายนั้น


 


 


คนที่สั่งให้สังหารคนนั้นย่อมไม่ใช่จ้าวเฟยชุ่ย นางแค่เพียงร้องไห้โวยวายสองสามครา ว่าที่แม่ยายซึ่งรักบุตรสาวเป็นที่สุดผู้นั้นอดสั่งมือไม่ได้เสียแล้ว


 


 


กล่าวไปแล้ว แผนยืมมือฆ่าคนนี้ก็ไม่เลวเลย คุณหนูน้อยที่จำต้องแต่งงานกับบุรุษขายโลงศพเพราะชื่อเสียงที่ป่นปี้จึงคิดฆ่าตัวตายนั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง หากมิใช่เพราะพี่ชายแท้ๆ ของนางไม่เชื่อ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสงสัยขึ้นมาแน่ เรื่องนี้อย่างไรก็ดีกว่าการทำร้ายเจินจิ้งโดยตรง เพราะเจินจิ้งเป็นอนุที่เขารักใคร่ทั้งยังตั้งครรภ์อยู่อีก หากเกิดเรื่องขึ้นเขาแค่ตรวจสอบก็จะพบเบาะแสอย่างแน่นอน


 


 


ทว่าการคร่าชีวิตคุณหนูน้อยผู้หนึ่งเพียงเพื่อกดข่มเจินจิ้ง แย่งชิงความรักแทนบุตรสาวโดยไม่คำนึงว่าเขาอาจผิดใจกับหลัวเทียนเฉิงผู้กำลังมีอำนาจมากอยู่ในขณะนี้เลยนั้นมันทำให้คนรู้สึกไร้วาจาจะกล่าวจริงๆ


 


 


องค์ชายหกนวดคลึงขมับตน รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาที่ตอนนั้นเลือกฝูงสุกรโง่เง่าเหล่านี้มาเป็นพวกเพียงเพราะอยากได้รับการสนับสนุนค้ำจุนจากหวงโฮ่ว


 


 


การที่ได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ของจวนมู่เอินโหวนั้นเป็นเพราะพระกรุณาของจ้าวหวงโฮ่ว เดิมตระกูลพวกเขาก็เป็นเพียงเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่ไร้ซึ่งศักดินา แรกเริ่มที่มู่เอินโหวซื่อจื่อแต่งภรรยา ต้นตระกูลยังคงดูแคลนเขาด้วยซ้ำ เมื่อผ่านการดูแลจัดการมาสิบกว่าปี ยามนี้แม้นแข็งแกร่งขึ้นมาบ้างแล้วแต่มู่เอินโหวชราแล้ว คุณชายผู้สืบทอดคนใหม่ของจวนมู่เอินโหวกลับยังคงเป็นเพียงเด็กน้อยที่กำลังจะเติบโตเท่านั้น เมื่อไม่มีบุรุษคอยนำทาง การที่ว่าที่แม่ยายของเขากระทำเรื่องสิ้นคิดขึ้นนั้นก็สามารถเข้าใจได้


 


 


สายตาองค์ชายหกมองตกไปยังอักษรอีกแถวหนึ่ง


 


 


มู่เอินโหวซื่อจื่อที่ล่วงลับไปแล้ว ผู้ซึ่งเป็นว่าที่พ่อตาของเขานั้นมีอนุอยู่ผู้หนึ่ง นางเป็นพี่น้องตระกูลเดียวกันกับพระชายาขององค์ชายสาม


 


 


แม้อนุผู้นั้นจะเป็นเพียงบุตรอนุ แต่หลังจากพระชายาขององค์ชายสามสิ้นไป นางก็ขออนุญาตฮูหยินใหญ่ไปไหว้ศพพระชายาด้วย


 


 


หากเรื่องนี้เกิดขึ้นในยามปกติย่อมไม่มีอันใด แต่ว่าที่แม่ยายของกลับมาลงมือตอนนี้ หากมิใช่เพราะเขาลอบติดต่อกับหลัวเทียนเฉิงมานาน เกรงว่าการกระทำครั้งนี้คงเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงของเขาอย่างหนึ่งแน่ ทำให้เขาสงสัยความสัมพันธ์ของพวกเขาขึ้นมา


 


 


องค์ชายหกแค่นยิ้มเย็น


 


 


พี่สามที่แสนดีของเขาเริ่มคิดแผนกลั่นแกล้งเขาตั้งแต่ยังมิทันได้ฝังศพภรรยาเลยเชียวหรือ!


 


 


เขายกพู่กันขึ้นมาเขียนอักษรตัวเล็กเท่าหัวแมลงวันสี่คำ แล้วยัดใส่ไว้ในเม็ดขี้ผึ้ง[1] เมื่อผลึกร่องรอยเรียบร้อยแล้วก็สั่งให้องครักษ์ลับไปส่ง


 


 


หลัวเทียนเฉิงได้รับจดหมายไร้นามที่เขียนอักษรเพียงสี่คำว่า ‘ใช้แผนซ้อนแผน’ เมื่อพลิกไปดูด้านหลังก็มีอักษร ‘ซาน[2]’ เขาครุ่นคิดเพียงครู่ก็เข้าใจความหมายขององค์ชายหก


 


 


เกรงว่าคุณหนูผู้เป็นญาตินั่นคงต้องจบด้วยการฆ่าตัวตายแล้ว


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงเชิญเวินมั่วเหยียนมาพบ


 


 


“ซื่อจื่อ คนร้ายที่ฆ่าน้องสาวข้าคือผู้ใดกัน?”


 


 


ภายในห้องมีเพียงพวกเขาสองคน ด้านนอกมีองครักษ์ลับคอยเฝ้าอยู่ หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยตามตรงว่า “ไม่ทราบว่าญาติผู้พี่ต้องการถามถึงผู้ลงมือหรือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้น้องสาวท่านต้องตาย”


 


 


“ผู้ลงมือคือใครเกี่ยวอันใดกับสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้น้องสาวข้าตายเล่า?” ตอนที่เวินมั่วเหยียนเอ่ยคำถามนี้ออกมาก็รู้สึกหนักอึ้งอย่างยิ่ง เขาพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีชนิดหนึ่งขึ้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจแผ่วเบา “เดิมเรื่องนี้ไม่ควรพูดกับท่าน แต่ท่านเป็นญาติผู้พี่ของเมี่ยวเอ๋อร์ ข้าจำต้องมีคำตอบสักอย่างให้ท่าน การตายของญาติผู้น้องเกี่ยวกับการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท”


 


 


เพียงได้ยินคำนั้น เวินมั่วเหยียนก็ได้แต่ตกตะลึงอึ้งงัน


 


 


มีคนมากมายเท่าใดที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคำคำนั้นแล้วต้องตายไป แต่นั้นยังนับว่าดี คนที่ทำให้ต้นตระกูลต้องดับสิ้นไปทั้งหมดต่างหากที่ผิดมหันต์จนคนต้องจดจำไปตลอดกาล


 


 


แม้เขาจะรักถนอมน้องสาวยิ่งแต่หากการสืบเสาะสาเหตุการตายของน้องสาวทำให้ตระกูลทั้งตระกูลต้องตาย คนปกติทั่วไปย่อมไม่มีทางทำแน่


 


 


เวินมั่วเหยียนนิ่งเงียบด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกยินดีไม่น้อย


 


 


รู้จักกลัวก็ดีแล้ว มิเช่นนั้นคงมีแต่ความยุ่งยากเป็นแน่


 


 


“ญาติผู้พี่อยากรู้ว่าผู้ทำลงมือเป็นใครหรือไม่?”


 


 


นิ่งเงียบอยู่นาน เวินมั่วเหยียนจึงส่ายหน้า


 


 


ครั้งนี้หลัวเทียนเฉิงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เขาคิดว่าคนผู้นี้…เวินมั่วเหยียนจะต้องอยากรู้ให้ได้แน่


 


 


เวินมั่วเหยียนมองสายตาอันประหลาดใจของหลัวเทียนเฉิงแล้วยิ้มเยาะตนออกมา เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ซื่อจื่อจะขบขันที่ข้าขี้ขลาดก็ดี อ่อนแอก็ช่าง แต่ตอนนี้ข้ามิจำเป็นต้องรู้แล้ว”


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่งแล้วค่อยเอ่ยต่อว่า “รอให้มีสักวันที่ข้ามีความสามารถพอ ขอซื่อจื่อค่อยบอกข้าเถิด”


 


 


เขาไม่เชื่อมั่นในตนเองว่าหากพบกับฆาตกรที่ทำร้ายน้องสาวเขาแล้วจะสามารถควบคุมอารมณ์มิไปทวงคืนชีวิตคนได้ เขาไม่กลัวตาย แต่เขากลัวว่าหากตนตายแล้วจะทำให้บิดามารดาและญาติพี่น้องต้องตายไปด้วย


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้ม “ได้ หากญาติผู้พี่คิดว่าเมื่อใดที่ตนควรทราบเสียทีก็มาถามข้าได้เลย”


 


 


เมื่อปลดปล่อยความสงสัยที่กัดกินหัวใจมาตลอดไปได้ เวินมั่วเหยียนจึงเพิ่งรู้สึกขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อย “ซื่อจื่อเกรงใจเกินไปแล้ว เรียกชื่อข้าก็พอแล้ว”


 


 


กล่าวไปแล้ว เขาก็อายุน้อยกว่าหลัวเทียนเฉิงถึงสองสามปี หากเอ่ยถึงฐานะนั้นก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอาแต่เรียกตนว่า ‘ญาติผู้พี่’ ก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง


 


 


“ท่านเป็นญาติผู้พี่ของเมี่ยวเอ๋อร์ ข้าก็ต้องเป็นญาติผู้พี่ของข้าเช่นกัน” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย


 


 


เวินมั่วเหยียนอึ้งงันไปเล็กน้อย แล้วผลิยิ้มจริงใจออกมาเป็นครั้งแรกหลังในช่วงหลายวันนี้ “ข้ารู้สึกดีใจแทนญาติผู้น้องจริงๆ ที่ได้พบกับซื่อจื่อ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงยังคงรักษารอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าตนไว้แต่ในใจนั้นกลับก่นด่าอย่างบ้าคลั่ง


 


 


‘ฮึ อันใดที่เรียกว่าดีใจแทนเจี๋ยวเจี่ยว เจี๋ยวเจี่ยวเป็นภรรยาเขาแท้ๆ คงมิต้องให้ผู้อื่นมาดีใจแทนกระมัง สิ่งที่เรียกว่าญาติผู้พี่นั้นน่าชังอย่างที่คิดจริงๆ!’


 


 


ในวันที่ทำพิธีฝังศพพระชายาขององค์ชายสาม ทั่วทั้งเมืองล้วนเต็มไปด้วยสีขาว ขบวนส่งพระศพของพระชายานั้นยาวเป็นทิวแถว แถวหน้าเดินทางไปถึงเนินเขาแล้ว ผู้สวมชุดขาวไว้อาลัยที่อยู่หางแถวเพิ่งจะเดินทางออกประตูเมืองเท่านั้น ราษฎรทั่วทั้งเมืองต่างพากันพูดถึงพิธีศพอันยิ่งใหญ่นี้


 


 


และในวันเดียวกันนั้นเอง โลงศพของเวินยาฉีก็ถูกย้ายออกไปนอกเมืองอย่างเงียบๆ พร้อมทั้งจัดพิธีฝังศพในสถานที่มีหุบเขาเขียวน้ำสะอาดใสอย่างเรียบง่าย


 


 


เจินเมี่ยวเห็นนางเจียวร้องไห้สะอึกสะอื้นจนแทบหายใจไม่ทันก็เดินเข้าไปปลอบแผ่วเบา


 


 


หลัวเทียนเฉิงเป็นห่วงเจินเมี่ยวจึงตามมา เขายืนอยู่ไม่ไกลนักจากบริเวณนั้น พลันกลับขมวดคิ้วขึ้นแล้วกวาดตามองไปยังบริเวณที่แห่งหนึ่ง


 


 


ที่นั่นมีหนุ่มน้อยผู้หนึ่งยืนอยู่ เขากำลังยื่นหน้าสาดส่องไปที่นั่นคล้ายลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่


 


 


เขาจำหนุ่มน้อยผู้นั้นได้จึงเดินเข้าไปพูดว่า “จื้อเฉิง เจ้ามาได้อย่างไร”


 


 


ที่แท้คนผู้นี้ก็คือหันจื้อเฉิง แรกเริ่มหันจื้อหย่วนอาศัยเส้นสายฝากหันจื้อเฉิงเข้าไปทำหน้าที่ดูแลงานทั่วไปในหน่วยทหารเขตป้องกันภัยเมืองหลวง ก่อนเวินยาหันจะจากไปก็ได้ฝากฝังให้เจินเมี่ยวช่วยดูแลน้องสามีผู้นี้ของตน


 


 


หลังเจินเมี่ยวแต่งเข้าจวนกั๋วกง เมื่อคนทั้งสองค่อยๆ คุ้นเคยกันแล้วจึงบอกเรื่องนี้แก่หลัวเทียนเฉิง


 


 


หลัวเทียนเฉิงคิดว่ายากนักกว่าที่เจินเมี่ยวจะเอ่ยกับเขาได้ทั้งยามนั้นก็ว่างอยู่จึงหาโอกาสไปพบเด็กหนุ่มผู้นั้นคราหนึ่ง เมื่อเห็นท่าทีฉลาดมีไหวพริบทั้งมีคุณธรรมจึงได้หาตำแหน่งว่างในหน่วยกองกำลังทหารม้าทั้งห้า


 


 


แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย และมิได้ยินว่าเขาใช้ชื่อเสียงตนไปกระทำเรื่องใดทั้งสิ้น


 


 


หันจื้อเฉิงรู้สึกตกใจและยินดีไม่น้อย “ใต้เท้าท่านยังจำข้าได้หรือไม่”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเม้มริมฝีปากตน


 


 


หันจื้อเฉิงทราบว่าตนออกจะเสียกริยาไปบ้าง ใบหูเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อยจึงเอ่ยอธิบายว่า “ข้าได้ยินมาว่า…น้องสาวของพี่สะใภ้เสียชีวิตแล้ว จึงอยากมาดูว่ามีอันใดให้ช่วยหรือไม่”


 


 


เวินยาฉีเป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือนทั้งยังฆ่าตัวตายอีกจึงไม่มีมีทางได้จัดพิธีทำศพและแจ้งญาติพี่น้องอย่างแน่นอน แม้นความสัมพันธ์กับหันจื้อเฉิงจะไม่นับว่าห่างนักแต่ก็มิได้แจ้งข่าวนี้กับเขา


 


 


แต่เรื่องที่คุณหนูผู้เป็นญาติก่อไว้นั้นเป็นที่ทราบกันไปทั่วเมืองหลวงแล้ว เขาย่อมต้องได้ยินข่าวเป็นธรรมดา


 


 


หากไม่ทราบไม่มาก็แล้วไป แต่เมื่อเขาทราบแล้วไม่มาเขาก็รู้สึกไม่ดี เพียงแต่เมื่อมาแล้วกลับรู้สึกว่าตนดูเป็นพวกไม่ดูตาม้าตาเรือจึงลังเลที่จะเดินเข้าไป


 


 


หลัวเทียนเฉิงนั้นมีความประทับใจที่ไม่เลวนักกับหันจื้อเฉิง จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ตามข้ามาเถิด”


 


 


เมื่อนางเจียวเห็นหันจื้อเฉิงก็รู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย ครั้นคิดถึงบุตรสาวคนโตที่เป่ยลี่ก็ไพล่คิดไปถึงบุตรสาวคนรองที่ชีวิตดับสิ้นไปแล้ว ความเสียใจกลับประเดประดังขึ้นมาจนร่ำไห้ออกมาอีก


 


 


หันจื้อเฉิงรีบเข้าไปปลอบทั้งเอ่ยเตือน นางเจียวจึงเริ่มดีขึ้นไม่น้อย ดูแล้วกลับได้ผลกว่าคำปลอบโยนของเจินเมี่ยวและเวินมั่วเหยียนเสียอีก ท่าทางคงเกี่ยวเพราะเกี่ยวพันถึงเวินยาหันเป็นแน่


 


 


การพบปะสมาคมของหันจื้อเฉิงและเวินมั่วเหยียนก็เริ่มมีมากขึ้นนับตั้งแต่นั้น ส่วนเรื่องหลังจากนี้คงมิขอกล่าวถึงแล้ว


 


 


เวินมั่วเหยียนสร้างเรือนพักหลังหนึ่งไว้ที่เมืองหลวงมานานแล้ว แม้นไม่ใหญ่แต่ก็แบ่งเป็นสัดส่วน นางเจียวไม่อยากพักอยู่ที่จวนเจี้ยนอานปั๋วเพราะเมื่อเห็นสิ่งของก็คิดถึงคน เวินมั่วเหยียนยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองต่อผู้ที่พำนักอยู่เรือนเซี่ยเยียนอยู่ในใจจึงไปรับมารดาตนออกมา


 


 


ครานี้แม้นางเวินจะเอ่ยห้ามปรามอย่างที่สุดแต่เจินเมี่ยวกลับมิเอ่ยอันใดสักคำ


 


 


ผู้ใดล้วนมิอาจมีชีวิตแทนกันได้ มิเช่นนั้นสุดท้ายแล้วย่อมมิอาจมีชีวิตต่อไปได้อย่างแน่นอน


 


 


หลายวันมานี้เรือนเซี่ยเยียนเองก็เงียบสงบลงไปไม่น้อย


 


 


หลังจากที่เวินยาฉีตาย เจินจิ้งก็เริ่มกลัวขึ้นมา


 


 


ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดวันนั้นองค์ชายหกถึงได้เย็นชากับนางนัก ต้องเป็นเพราะการตายของเวินยาฉีแน่และเมื่อมีเจินเมี่ยวนางแพศยาแทรกอยู่ก็ย่อมต้องส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายหกกับหลัวซื่อจื่อเป็นแน่


 


 


นางครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยกับแม่นมที่องค์ชายหกส่งมาดูแลตนว่า “สองสามวันนี้ข้ามักรู้สึกไม่สบายครรภ์สักเท่าใด เจ้ากลับไปทูลองค์ชายสักหน่อยเถิด”


 


 


 


 


——


 


 


[1] เม็ดขี้ผึ้ง คือการใช้ขี้ผึ้งปั้นทรงกลมเป็นเปลือกภายนอก ด้านในใส่ยาลูกกลอนไว้ ในสมัยโบราณมักเอาจดหมายลับใส่ไว้ด้านในก่อนส่งให้กัน 


 


 


[2] ซาน (三) ในภาษาจีนแปลว่าสาม

 

 

 


ตอนที่ 305 นี่! ได้ข่าวว่าเจ้าล้มคะมำ...

 

 


 


หลังจากที่แม่นมไปส่งจดหมายตามที่นางบอก เจินจิ้งก็เริ่มลังเลขึ้นมา


 


 


ครั้งนี้นางต้องการหยั่งเชิงองค์ชายหก


 


 


หากองค์ชายหกรู้สึกกับนางแตกต่างจากผู้อื่นและมีความรักให้นางอยู่หลายส่วนจริง แม้เฉยชาต่อกันมาหลายวันแล้ว แต่หากได้ยินว่านางรู้สึกไม่สบายครรภ์ อย่างไรก็ต้องแสดงออกอันใดบ้างเป็นแน่


 


 


อาจจะส่งยาและของบำรุงหรือเชิญหมอหลวงมา อย่างน้อยก็ให้บ่าวไพร่ที่คอยปรนนิบัตินางได้เห็นสักหน่อยว่านางยังคงเป็นที่โปรดปรานขององค์ชายหกอยู่


 


 


หากแม่นมที่ไปส่งจดหมายกลับมามือเปล่าเล่า…


 


 


เจินจิ้งไม่กล้าคิดถึงความเป็นไปได้นี้เลย และไม่อยากจะคิดเช่นนั้นด้วย


 


 


นางเฝ้ารออยู่ท่ามกลางกองไฟที่เผานี้โดยไม่ยอมแตะน้ำแกงพิราบซานเย่าที่ห้องครัวเล็กทำมาให้นางโดยเฉพาะ กระทั่งมันเย็นชืดจนเกิดเป็นแผ่นหนังบางๆ ชั้นหนึ่งอยู่บนผิวน้ำแกง


 


 


เจินจิ้งมองแล้วรู้สึกคลื่นไส้จึงโบกมือเอ่ยว่า “รีบยกออกไปเดี๋ยวนี้!”


 


 


แม้บ่าวไพร่ที่คอยปรนนิบัติเจินจิ้งจะเห็นท่าทีอันเหนือความคาดหมายขององค์ชายหกในวันนั้นแล้วก็ตาม แต่พวกนางถูกเลือกให้มาปรนนิบัติเจินจิ้งตั้งแต่แรกแล้ว พวกนางจึงมีความสัมพันธ์แบบ ‘มีเกียรติก็มีเกียรติด้วยกัน ตกต่ำก็ตกต่ำด้วยกัน’ นับตั้งแต่นั้นมา จึงไม่กล้ามีใจดูแคลนนางแม้แต่น้อย เมื่อหนึ่งในนั้นได้ยินนางสั่งก็รีบยกออกไปโดยไว


 


 


ไม่นาน แม่นมผู้นั้นก็กลับมาด้วยสีหน้ายินดี เมื่อเห็นนางก็ย่อกายคารวะ “บ่าวขอแสดงความยินดีกับนายหญิงด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


“มีเรื่องอันใดน่ายินดีเล่า” เจินจิ้งใจเต้นตึกตักขึ้นมา มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่นโดยไม่รู้ตัว


 


 


“ประเดี๋ยวองค์ชายจะเสด็จมาเจ้าค่ะ”


 


 


“ห๊ะ?” เจินจิ้งร้องออกมาด้วยความตกใจและไม่อยากเชื่อ


 


 


บ่าวไพร่ในห้องรวมถึงแม่นมต่างก็คุกเข่าลงเอ่ยว่า “ยินดีกับนายหญิงด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


แม่นมที่ไปส่งจดหมายให้องค์ชายก็เอ่ยอย่างโล่งอกออกมาว่า “นายหญิง ในพระทัยขององค์ชายมีท่านอยู่จริงๆ เจ้าค่ะ”


 


 


เจินจิ้งชำเลืองมองนางคราหนึ่ง “เจ้ากล้าเอ่ยถึงพระทัยขององค์ชายส่งเดชเชียวหรือ”


 


 


แม้นนางจะกล่าวเช่นนี้แต่น้ำตากลับร่วงหล่นออกมาจากขอบตาแล้ว นางไม่อยากให้ผู้อื่นเห็นจึงเบี่ยงหน้าอีกทางแล้วยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับ


 


 


บ่าวไพร่ต่างแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แล้วเอ่ยแสดงคำยินดีซ้ำอีกครั้ง


 


 


เจินจิ้งอารมณ์ดีขึ้นมากจึงตกรางวัลให้สาวใช้คนละสองตำลึง และให้กำไลทองแก่แม่นมที่ไปส่งจดหมาย


 


 


นางเปลี่ยนอาภรณ์แล้วประทินโฉมใหม่อีกครา เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งให้สาวใช้นำกล่องไม้สลักลายกิ่งดอกไฮ่ถังที่ใส่บุปผาโลหะ[1]มา นางเลือกอย่างตั้งใจอยู่นาน สุดท้ายก็หยิบบุปผาโลหะรูปดอกเหมยขึ้นมาติดตรงระหว่างคิ้วตนอย่างบรรจง


 


 


แม้นบุปผาโลหะรูปดอกเหมยนั้นจะพบเห็นได้ทั่วไป แต่กลับเป็นสีเขียว มันจึงช่วยขับให้ใบหน้านางดูงดงามเฉิดฉันราวเทพธิดาก็มิปาน


 


 


หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วยามองค์ชายหกก็มาถึงที่นี่ดั่งคาดไว้และมีนางเจี่ยงนำทางมาเช่นเดิม


 


 


นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า บุตรสาวอนุผู้ต่ำต้อยนี้จะทำให้องค์ชายผู้สง่างามมีพระทัยให้ได้จริงๆ ท่านพี่เคยบอกว่าหากเจินจิ้งคลอดบุตรผู้นี้ออกมา ตำแหน่งพระชายารองคงมิหนีไปไหนแน่ ดูท่าท่านพี่คงพูดไม่ผิดแล้ว


 


 


แม้ตำแหน่งพระชายารองจะเป็นเพียงอนุ แต่อนุของเชื้อพระวงศ์ย่อมแตกต่างจากตระกูลอื่นๆ ขอเพียงได้เป็นพระชายารองก็จะกลายเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์ขึ้นมาทันที


 


 


นางเจี่ยงรู้สึกขัดใจขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


นางมิได้รู้สึกเบิกบานใจเช่นกับท่านพี่แน่ นางไม่เคยจงใจรังแกทารุณบุตรอนุผู้นี้เลยสักครั้ง แต่ไม่ทราบเหตุใดนางถึงได้ใฝ่สูงเพียงนั้น นางไม่หวังให้เจินจิ้งช่วยผลักดันญาติพี่น้อง แค่มิเป็นตัวถ่วงก็พอแล้ว


 


 


เจินจิ้งถวายพระพรต่อองค์ชายหก ทั้งยังจงใจหันไปทักทายนางเจี่ยงโดยเฉพาะ “ท่านแม่ก็มาด้วยหรือ”


 


 


แม้นางเจี่ยงจะยิ้มแย้มแต่กลับลอบด่านางอยู่ในใจ รอให้พระชายาขององค์ชายหกเข้าตำหนักมาเสียก่อนเถิด คงถึงคราเจ้าได้พบเคราะห์ร้ายบ้าง!


 


 


กระทั่งภายในห้องเหลือเพียงองค์ชายหกกับเจินจิ้ง นางก็ซบลงในอกขององค์ชายหกอย่างคนตัวอ่อนปวกเปียก “องค์ชาย หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ทรงเคืองหม่อมฉันเสียแล้ว”


 


 


องค์ชายหกโอบไหล่นางไว้แล้วระบายยิ้มอย่างคนเกียจคร้านพลางเอ่ยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ในครรภ์ของเจ้ามีบุตรของข้าอยู่แท้ๆ”


 


 


เจินจิ้งชอบรอยยิ้มเช่นนี้ของเขาที่สุด รอยยิ้มนี้บ่งบอกว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ที่ผ่อนคลาย นางยื่นมือออกไปผลักเขาเบาๆ แล้วเอ่ยตัดพ้อว่า “ที่แท้ที่องค์ชายดีต่อหม่อมฉันมากถึงเพียงนี้เป็นบุตรในครรภ์นี่เอง”


 


 


องค์ชายหกเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม ในดวงตามีแววล้ำลึกชนิดหนึ่งอยู่ “จิ้งเหนียงพูดผิดแล้ว เพราะเป็นของบุตรของเจ้าต่างหาก ข้าถึงชอบมากเพียงนี้”


 


 


วาจาที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้เจินจิ้งไม่สงสัยในความโปรดปรานขององค์ชายหกอีก


 


 


บุปผางามเบ่งบานในใจนางขึ้นมาทันที มือนุ่มนิ่มคล้ายไร้กระดูกนั้นลูบไล้อยู่บนแผ่นหลังขององค์ชายหก ค่อยๆ เคลื่อนลงมาที่เอวสอบแล้วปลดสายรัดเอวของเขาออก


 


 


องค์ชายหกรู้สึกตกใจอยู่บ้าง


 


 


ฟ้ายังสว่างโร่อยู่แท้ๆ เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจินจิ้งที่นับว่าเป็นคุณหนูมีชาติตระกูลจะใจกล้าถึงเพียงนี้ อีกอย่างนางก็ตั้งครรภ์อยู่ด้วย


 


 


ข้ออ้างที่ว่าไม่สบายนั้นคนทั้งสองต่างรู้กันดีแก่ใจ เจินจิ้งย่อมไม่กลัวว่าองค์ชายหกจะมีโทสะเพราะเรื่องนี้แน่


 


 


มารดาเคยกล่าวไว้ว่า หากบุรุษมีเจ้าอยู่ในใจ ต่อให้เจ้าผิดก็กลับเป็นถูกได้ หากไม่มีเจ้าในใจ เจ้าถูกก็กลายเป็นผิดได้เช่นกัน


 


 


จะทำให้บุรุษผู้หนึ่งมีใจให้เจ้าได้อย่างไรนั้นหรือ


 


 


หากเจ้าทำตัวแข็งทื่อดั่งท่อนไม้ แต่เขากลับยังจดจำแต่เจ้า…นั่นคงเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดยิ่ง


 


 


มิเช่นนั้นเหตุใดบุรุษมากมายที่มีหญิงงามดุจบุปผาอยู่ในเรือนแท้ๆ กลับยังชมชอบไปสถานที่เช่นนั้นเล่า


 


 


ยามนั้นนางฟังวาจานี้แล้วรู้สึกแสลงหูยิ่ง แต่หลังจากไปอยู่ท่ามกลางสตรีมากมายในตำหนักองค์ชาย แต่มีเพียงนางผู้เดียวที่ได้รับความโปรดปราน นางจึงเริ่มเข้าใจวาจาเหล่านั้นของมารดา


 


 


เจินจิ้งถอดสายรัดนั้นออกมาอย่างชำนาญว่องไวแต่กลับถูกองค์ชายหกจับมือไว้ “จิ้งเหนียง เจ้าตั้งครรภ์อยู่นะ”


 


 


เจินจิ้งหน้าแดงขึ้นมาโดยพลัน นางก้มหน้าลงแต่กลับเห็นได้ชัดว่าสีแดงเรื่อข้างแก้มนั้นค่อยๆ ลุกลามไปถึงใบหู ลำคอขาวอมชมพู และลามเลื้อยต่ำลงมาเรื่อยๆ ซึ่งมีอาภรณ์ปิดบังไว้จึงมิอาจมองเห็นได้


 


 


ภาพอันจำเริญตานี้ งดงามยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งปวง


 


 


เสียงของนางแผ่วต่ำจนฟังมิได้ยินแต่มันกลับลอยเข้าไปในหูขององค์ชายหกอย่างชัดเจน “แม้ตั้งครรภ์ก็มีวิธีปรนนิบัติองค์ชายได้…”


 


 


องค์ชายหกมิใช่บุรุษผู้ประพฤติอยู่ในกรอบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อได้ยินวาจานี้เขาก็รู้ทันทีว่ามันคือวิธีใด จึงเกิดความรู้สึกดูแคลนขึ้นมาแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลกใจด้วยเช่นกัน


 


 


นางเป็นคุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์ เวลานี้ก็กำลังตั้งครรภ์ด้วย แต่กลับคิดเลียนอย่างวิธีที่สตรีชั้นต่ำที่สุดใช้มาปรนนิบัติเขา ทั้งยังเป็นเวลากลางวันอีก หากเอ่ยกันตามตรงแล้ว ขอเพียงเป็นบุรุษก็ย่อมต้องเกิดความรู้สึกตื่นเต้นอันยากจะบรรยายขึ้นอย่างแน่นอน


 


 


บริเวณนั้นของเขาก็มีการตอบสนองขึ้นมา


 


 


เจินจิ้งเห็นเช่นนั้นก็ดีใจยิ่ง จึงยื่นมือนุ่มเข้าไปจับไว้


 


 


องค์ชายหกถอนหายใจออกมาแล้วผลักนางออก


 


 


“องค์ชาย?”


 


 


“เชื่อข้า ประเดี๋ยวจะกระเทือนถึงบุตรได้” องค์ชายหกผลิยิ้มอย่างคนเกียจคร้านอีกครั้ง ความปรารถนานั้นกลับมลายหายไปแล้ว


 


 


เพื่อแสร้งทำเป็นเขินอายต่อไปเจินจิ้งจึงมิได้เงยหน้าขึ้น นางจึงมิเห็นประกายเย็นเยียบในนัยน์ตาดำขลับนั้นของเขา ทำให้เข้าใจไปว่าองค์ชายหกให้ความสำคัญกับบุตรในครรภ์ตนอย่างยิ่งจึงไม่อนุญาตให้นางปรนนิบัติดูแล นางจึงรับคำเสียงแผ่ว ชั่วพริบตาก็หันไปกล่าวว่า “องค์ชาย วันนี้อากาศดียิ่ง ในเมื่อพระองค์มาถึงที่นี่แล้ว หากมิรีบร้อนก็ไปเดินเล่นกับหม่อมฉันสักหน่อยเถิดเพคะ หม่อมฉันอุดอู้อยู่ในห้องนานแล้ว อยากจะออกไปรับลมบ้าง”


 


 


ระยะนี้เจินเมี่ยวมักจะพานางเวินออกมาเดินเล่นในส่วนอยู่บ่อยๆ นางก็อยากจะรู้เช่นกันว่าหากเจินเมี่ยวเห็นองค์ชายหกไปเดินเล่นกับตนจะมีสีหน้าเช่นไร!


 


 


ครั้งนี้องค์ชายหกกลับมิได้ปฏิเสธทั้งยังตอบรับอย่างร่าเริง


 


 


ยามนี้ดอกเหมยกำลังบานสวย คนทั้งสองเดินมุ่งไปทางป่าเหมยที่อยู่ภายในสวน แม่นมและนางกำนัลสองสามคนคอยเดินตามหลัง นางรู้สึกเบิกบานอย่างที่สุด


 


 


พวกเขาได้พบกับเจินเมี่ยวเข้าจริงๆ


 


 


เจินเมี่ยวกลัวว่าหากนางเวินนอนอยู่ในห้องมากเกินไปจะไม่เป็นผลดีต่อการอาการป่วย เมื่อเห็นว่าอากาศดีมากขึ้นทุกวันจึงพานางออกมาเดินเล่นอยู่บ่อยๆ


 


 


ครั้นเจินเมี่ยวเห็นดอกเหมยขาวที่กำลังบานสะพรั่งก็ตื่นเต้นขึ้นมา นางเอ่ยกับนางเวินด้วยความกระตือรือร้นว่า “ท่านแม่ ข้าจะเก็บดอกเหมยสักหน่อย วันนี้จะทำน้ำแกงขนมเปี๊ยะดอกเหมยให้ท่านกิน”


 


 


พูดถึงตรงนี้นางก็นึกถึงอาหารขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างจึงเอ่ยเสริมว่า “และก็ไก่ดอกเหมยด้วย”


 


 


เมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นของบุตรสาว นางเวินก็ยิ้มออกมา “น้ำแกงขนมเปี๊ยะดอกเหมยข้าเคยกินแล้ว แต่ไก่ดอกเหมยคืออันใดกัน เราสามารถนำดอกเหมยไปผัดกับเนื้อไก่กินได้เลยหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวส่ายหน้าแล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “มิใช่ ท่านแม่ แม้ว่ามันจะชื่อไก่ดอกเหมย แต่ความจริงกลับมิได้ใส่ดอกเหมยเลย แค่หั่นเนื้อไก่ให้บางอย่างที่สุดแล้วผัดใส่ไส้กรอกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ กับเห็ดหูหนู กินคู่กับยอดอ่อนถั่วลันเตา หน้าตามันเหมือนกลีบดอกเหมยขาวที่กองอยู่รวมกันไม่มีผิด อาหารชนิดนี้รสชาติไม่จัดจ้านเหมาะกับท่านในตอนนี้ที่สุด”


 


 


“ยุ่งยากเพียงนี้เจ้าก็ช่างคิดออกมาได้” แววตาที่นางเวินมองเจินเมี่ยวนั้นดูอ่อนโยนขึ้นทุกที แต่เมื่อคิดไปถึงหลานสาวที่จากไปก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาอีก


 


 


มาคิดดูแล้วที่พี่สะใภ้รองย้ายออกไปก็คงเพราะคิดตำหนินางอยู่ในใจเป็นแน่


 


 


เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นจึงจงใจกระโดดยื้อดอกเหมยขาวที่อยู่สูงเกินกว่าตนจะเอื้อมถึง นางกระโดดไปพลางร้องพูดไปพลางว่า “โอ้โห สูงเหลือเกิน ท่านแม่ ท่านสูงกว่าข้า มาช่วยข้าทีเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวอยากจะเบี่ยงเบนความสนใจของนางเวิน ยั่วเย้าให้นางยิ้ม และเมื่อนางเวินเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาแล้วเดินไปช่วยบุตรสาว


 


 


ไหนเลยจะคาดคิดว่าความเบิกบานอย่างที่สุดนี้จะทำให้เกิดโศกนาฏกรรม ตอนที่เท้าเจินเมี่ยวแตะถึงพื้นก็เผลอไปเหยียบชายกระโปรงตนเข้าทำให้นางล้มคะมำลงไปกับพื้น


 


 


ดอกเหมยขาวที่ถูกนางกระชากดึงเมื่อครู่ต่างร่วงลงมาใส่ศีรษะนางเต็มไปหมด


 


 


หน้าเจินเมี่ยวหมอบติดกับพื้นจนได้กลิ่นหอมของดิน นางลอบเอ่ยในใจว่าเคราะห์ดียิ่งที่ไม่มีผู้ใดเห็น เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการสร้างสีสันให้ท่านแม่ได้หัวเราะแล้วกัน และที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองที่สุดคือหน้ามิได้กระแทกพื้น ไม่มีการเสียโฉมแต่อย่างใด!


 


 


นางเวินอึ้งเป็นระกาไม้ไปทันที ครู่ใหญ่จึงมีสติคืนมา นางร้องขึ้นด้วยความตกใจ


 


 


เจินเมี่ยวรีบเงยหน้าขึ้น กลีบดอกเหมยที่ติดอยู่บนศีรษะร่วงหล่นผ่านหน้านางไปอย่างช้าๆ


 


 


นางผลิยิ้มออกมา “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร ดูสิ มิได้เสียโฉมสักนิด!”


 


 


นางเอ่ยจบก็มองตะลึงไปเบื้องหน้าด้วยอาการคล้ายคนถูกอัสนีฟาดเข้าใส่กระนั้น


 


 


ครู่หนึ่ง องค์ชายหกที่เพิ่งหาเสียงของตนเองเจอฝืนยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า “เจียหมิง เจ้าอยากจะได้ดอกเหมยกิ่งใด ให้ข้าหักให้เถิด”


 


 


เจินเมี่ยวก้มหน้าลงทันที


 


 


ยามนี้นางอยากจะแสร้งเป็นลมไปเสีย ไม่ทราบจะทันหรือไม่


 


 


เหตุใดทุกครั้งที่พบองค์ชายหกถึงต้องโชคร้ายเสมอ! นางกับเขามีดวงชะตาขัดกันหรือไร


 


 


เจินเมี่ยวสูดจมูกตนคราหนึ่ง ในกลิ่นหอมของดินนางกลับได้กลิ่นมูลนกปนอยู่ด้วย


 


 


เหลือเกินจริงๆ!


 


 


นางยกกระดกตัวขึ้นด้วยยืนแล้วยื่นมือชี้ออกไปในทันที มือนางชี้ไปที่กิ่งดอกเหมยขาวสูงที่ดีที่สุดกิ่งหนึ่งพลางเอ่ยว่า “กิ่งนั้น”


 


 


องค์ชายหกหักมันลงมา นางยื่นมือรับไว้ เอ่ยขอบคุณแล้วรีบประคองนางเวินที่มิทันได้พูดอันใดจากไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ทิ้งไว้เพียงองค์ชายหกที่กำลังจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็ชะงักไว้ สุดท้ายก็หัวเราะร่าออกมาเสียงดัง


 


 


เจินจิ้งมององค์ชายหกที่กำลังหัวเราะเสียงดังแล้วกำมือแน่นเสียจนเล็บแหลมยาวนั้นจิกลงไปบนฝ่ามือตน


 


 


นางไปได้อย่างไร มีสิทธิ์อันใด นางยังไม่ทันเห็นว่าองค์ชายหกมาเดินเล่นเป็นเพื่อนตนเลยด้วยซ้ำ!


 


 


เจินจิ้งได้แต่ลอบกลืนโลหิตลงท้องไปเงียบๆ อารมณ์เดินเล่นรอบสวนของนางพลันหมดไปด้วยเช่นกันจึงหันไปเอ่ยกับองค์ชายหกว่า “องค์ชาย หม่อมฉันรู้สึกหนาวเพคะ เรากลับกันเถิด”


 


 


องค์ชายหกเลิกคิ้วขึ้น “ไก่ดอกเหมยนั่นเป็นอาหารแปลกใหม่ ข้าต้องไปชิมให้ได้ เออ พวกเจ้าสองพี่น้องยังมิคืนดีกันใช่หรือไม่ เช่นนั้นเจ้าก็มิต้องไปจะดีกว่า อากาศเย็นแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”


 


 


เจินจิ้ง “…”


 


 


 


 


——


 


 


[1] บุปผาโลหะ หรือฮวาเตี้ยน เป็นเครื่องประดับชนิดหนึ่งของสตรีโบราณมีสามสีคือสีแดง เขียว เหลือง แต่ที่นิยมมากที่สุดคือสีแดง บุปผาโลหะทำมาจากทอง เงินและโลหะอื่นๆ โดยจะทำเป็นรูปดอกไม้เพื่อไว้ประดับบนใบหน้า นิยมมากในสมัยราชวงศ์ถัง นอกจากทำเป็นรูปดอกไม้แบบต่างๆ แล้วยังมีรูปทรงใหม่ๆ เช่นนก ปลา เป็ดเป็นต้น 

 

 


ตอนที่ 306 แบ่งอำนาจ

 

สุดท้ายองค์ชายหกก็มิได้กินไก่ดอกเหมยที่เจินเมี่ยวทำอยู่ดี


 


 


เพราะหลังจากที่เจินเมี่ยวกลับไปถึงสวนเหอเฟิง เมื่อคิดถึงท่าล้มคะมำเป็นสุนัขกินอาจมทั้งยามเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้ายียวนนั้นขององค์ชายหกที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักและเมื่อก้มหน้าลงก็ได้กลิ่นมูลนกลอยมา นางก็รู้สึกปั่นป่วนอยู่ในท้องทำให้อาเจียนลมอยู่ครึ่งค่อนวัน


 


 


นางเวินคิดว่าเจินเมี่ยวตั้งครรภ์จึงลืมกระทั่งความเสียใจ รีบสั่งให้จิ่นผิงไปเชิญหมอมาทันที เจินเมี่ยวพยายามห้ามแต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อท่านหมอตรวจชีพจรนางก็ลูบเคราตนไปมาช้าๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่เป็นอันใดมาก แค่กินอาหารมากเกินไปในตอนเช้าเท่านั้น”


 


 


นางเวินอึ้งไปครู่ใหญ่จึงมีสติกลับมา ท่านหมอบอกว่าบุตรสาวนางกินมากเกินไปจึงรู้สึกคลื่นไส้มิใช่ตั้งครรภ์!


 


 


นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยริมฝีปากที่เกือบสั่นระริกว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ แม่ดีขึ้นมากแล้ว เจ้าพักอยู่ที่นี่นานเกินไปคงไม่เหมาะนัก วันนี้ก็กลับจวนกั๋วกงไปเถิด”


 


 


หากเป็นเช่นนี้ต่อไป บุตรสาวที่งดงามดั่งหยกดุจบุปผาคงกินจนกลายเป็นถังน้ำ ทั้งยังเป็นถังน้ำไร้บุตรอีกด้วย แล้วจะทำฉันใดกัน!


 


 


เจินเมี่ยวจ้องด้านหลังของท่านหมอที่จากไปผู้นั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย นางอยากคำรามออกมาดังๆ ว่า นี่ ท่านหมอ กลับมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะตีเจ้าให้ตายไปเสีย!


 


 


นางมิได้กินมากเกินไปเสียหน่อย แต่เป็นเพราะกลิ่นมูลนกกับองค์ชายหกต่างหากที่ทำให้ข้าคลื่นไส้!


 


 


เฮ้อ นางรู้สึกคล้ายมีสิ่งแปลกปลอมปะปนเข้ามาอยู่ร่ำไป


 


 


นางเวินไล่นางกลับไปด้วยท่าทีหนักแน่นและไร้ไมตรียิ่ง อย่าว่าแต่ไก่ดอกเหมยกับน้ำแกงขนมเปี๊ยะดอกเหมยเลย แม้แต่น้ำผสมน้ำผึ้งก็ยังมิยอมให้นางดื่ม


 


 


เจินเมี่ยวไปบอกลาฮูหยินผู้เฒ่าและกลับจวนกั๋วกงไปในที่สุด


 


 


บรรดาพวกที่แผนการบางอย่างในใจทั้งหลายต่างทราบว่าองค์ชายหกไปเยี่ยมเจินจิ้งที่จวนเจี้ยนอานปั๋วเป็นครั้งที่สองแล้ว และหนึ่งในผู้ที่ให้ความสำคัญกับมันมากที่สุดก็คือจ้าวเฟยชุ่ย


 


 


วันนั้นนางถึงกับขว้างกำไลหยกที่นางชอบใส่ติดกายอยู่ทุกวันทิ้งไป ทั้งยังไม่ยอมกินอันใดอีกตลอดวันนั้น


 


 


นางเถาจึงรีบเข้ามาเอ่ยปราม “แค่สตรีชั้นต่ำผู้หนึ่ง เจ้าจะทรมานร่างกายตนไปเพื่ออันใด มิใช่จะทำให้แม่ต้องกังวลใจเปล่าๆ หรือ”


 


 


ปีนี้จ้าวเฟยชุ่ยอายุสิบห้าแล้ว รูปร่างหน้าตากำลังเปลี่ยนไป นับวันนางก็ยิ่งคล้ายจ้าวหวงโฮ่วขึ้นไปทุกทีซึ่งนับเป็นสตรีที่งดงามเฉิดฉันผู้หนึ่ง


 


 


เวลานี้นางนั่งพิงหมอนสีแดงขลิบเงิน มือของนางกำพู่ค้างคาวที่ระย้าลงมาจากผ้าม่านแน่น


 


 


“ท่านแม่ ข้าโมโหเหลือเกิน แค่อนุผู้หนึ่งเท่านั้น มูลสกปรกบดบังดวงตาของเขาหรือไร เหตุใดจึงใส่ใจนางถึงเพียงนั้น”


 


 


นางเถาตกใจยิ่ง รีบเอ่ยตำหนิว่า “เฟยชุ่ย แม้มิเอ่ยถึงบรรดาศักดิ์ขององค์ชายหก แต่พระองค์จะเป็นสามีของเจ้าในอนาคต หลังจากแต่งเข้าไปแล้วเจ้าอย่าได้ไปทำกิริยาเช่นนี้เด็ดขาดเชียว!”


 


 


จ้าวเฟยชุ่ยร้อง ‘ฮึ’ อย่างไม่ไยดีขึ้นมาเสียงหนึ่ง


 


 


นางมิเคยชอบองค์ชายหกสักนิด เป็นองค์ชายแล้วอย่างไร บุรุษเสเพลพรรค์นั้น อันใดเหม็น อันใดหอมก็ลากเข้าตำหนักหมด นางต้องบ้าๆ ถึงจะรักชอบเขา!


 


 


“เฟยชุ่ย บุรุษไหนเลยจะภักดีแค่เพียงภรรยาเอกคนเดียวได้ แม้เจ้าจะเจ็บปวดจนร้อนรนก็มิอาจแสดงให้ผู้อื่นเห็นได้”


 


 


จ้าวเฟยชุ่ยแค่นยิ้มเย็น “ท่านแม่ ข้ามิได้หึง องค์ชายหกจะมีสตรีมากมายเพียงใดข้าไม่สน แต่เขาไม่ควรตบหน้าข้าเช่นนี้ ข้ายังมิทันแต่งเข้าตำหนัก อนุก็ตั้งครรภ์เสียแล้ว ทั้งยังส่งนางไปดูแลครรภ์ที่จวนตระกูลมารดาอีก แต่นางแพศยานั้นก็ยังมิอยู่อย่างสงบยังไปก่อเรื่องจนคุณหนูผู้เป็นญาติในจวนต้องตาย องค์ชายหกไม่เพียงไม่ตำหนินางแต่ยังไปเยี่ยนนางถึงสองสามหน เกรงว่าแม้เป็นพระชายาก็คงมิได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ด้วยซ้ำ ยามนี้ข้ามิกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองหลวงแล้วหรือ!”


 


 


จวนมู่เอินโหวก็ได้ส่งคนไปเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวตั้งแต่ที่เจินจิ้งกลับไปอยู่ที่จวนเจี้ยนอานปั๋วแล้วจึงทราบดีถึงความเป็นมาทุกอย่าง ภายหลังจึงได้สังหารเวินยาฉี แต่เรื่องนี้จ้าวเฟยชุ่ยกลับไม่รู้เลย


 


 


นางคิดถึงข่าวลือแต่กลับมิได้โกรธเคืองอันใด “คุณหนูผู้เป็นญาติสนิทสนมกับเจินจิ้งจึงได้เลียนอย่างนางอันใดกัน เห็นชัดว่านางวางแผนให้ผู้อื่นมาติดกับต่างหาก!”


 


 


นางเถายิ้มออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางเอ่ยปลอบบุตรสาว “บุรุษย่อมต้องมีช่วงเวลาที่สายตาเลอะเลือนบ้าง ยามนี้ผู้คนอาจเห็นว่าองค์ชายหกโปรดนาง แต่ต่อไปใครจะทราบว่าเป็นเช่นไร อย่างไรนางก็มีส่วนเกี่ยวข้องในการตายของคุณหนูผู้นั้นเป็นแน่ แม่ไม่เชื่อว่าองค์ชายหกจะไม่รู้สึกอันใดเลยสักนิด ข้ายังได้ยินมาอีกว่า เมื่อวันก่อนองค์ชายหกได้พบหน้ากับหลัวซื่อจื่อ หลัวซื่อจื่อดูมีท่าทีมิใคร่พอใจเท่าใดนัก เพราะนางแพศยานั่นได้ล่วงเกินขุนนางคนสำคัญของราชสำนักเข้าแล้ว ตอนนี้องค์ชายหกอาจไม่ตำหนินาง แต่ต่อไปก็ไม่แน่ ”


 


 


จ้าวเฟยชุ่ยยังไม่มีท่าทีว่าจะยิ้มได้ นางเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “รอให้ข้าแต่งเข้าไปก่อนเถิด ข้าจะจัดการนางเอง!”


 


 


นางเถารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ


 


 


เพราะต้องไว้ทุกข์ พิธีปักปิ่นของบุตรสาวจึงต้องจัดอย่างเงียบเหงา ปีกว่ามานี่ที่ต้องอยู่แต่ในจวน บุตรสาวจึงมิได้ไปเล่นสนุกอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว ทั้งยังต้องมาพบเจอเรื่องที่ทำให้ว้าวุ่นใจเช่นนี้อีก


 


 


เดิมนางคิดจะเตือนจ้าวเฟยชุ่ยว่าอย่าได้แข็งเข้าสู้ แต่คิดดูแล้วก็ได้แต่ปล่อยไป ยังมีเวลาอีกปีกว่าจึงจะออกเรือน ค่อยๆ พร่ำสอนแล้วกัน ยามนี้บุตรสาวอารมณ์ไม่ดี พูดเรื่องพวกนี้ไปก็รังแต่จะทำให้นางยิ่งหงุดหงิด


 


 


เรื่องที่องค์ชายหกกับหลัวซื่อจื่อผิดใจกันนั้นเป็นที่รู้กันไปทั่วในเวลาไม่นาน


 


 


ระยะนี้องค์ชายสามจึงอารมณ์ดีไม่น้อย แม้ยามปรึกษางานกับขุนนางผู้ช่วย มุมปากก็ยังเคลือบด้วยรอยยิ้ม


 


 


“องค์ชาย องค์ชายหกไม่น่ากลัวเท่าใด ที่ท่านต้องระวังคือคนผู้นี้พ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางผู้ช่วยที่ไว้เคราแพะยื่นมือไปจุ่มน้ำชาแล้ววาดอักษร ‘อู่’[1] ลงบนโต๊ะไม้หลี


 


 


ขุนนางผู้ช่วยจึงเอ่ยสำทับว่า “ข้าน้อยได้ยินมาว่า ซูเฟยทรงคิดจะให้องค์ชายห้าอภิเษกกับฉงสี่เซี่ยนจู่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


องค์ชายสามคลึงหัวคิ้วตนคราหนึ่ง “ไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของวังจั่งกงจู่ไว้ ข้าคิดว่าท่านอาหญิงของข้าคงมิตกปากรับคำง่ายๆ แน่”


 


 


เขามีเรื่องให้กังวลหลายอย่างทั้งยังเพิ่งจัดพิธีฝังศพพระชายาไปจึงดูซูบผอมลงไปเล็กน้อย


 


 


ขุนนางผู้ช่วยทั้งสองสบตากันคล้ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่


 


 


เมื่อจักรพรรดิไม่โปรดรัชทายาท องค์ชายรองก็กลายเป็นคนพิการ องค์ชายหกจึงกลายเป็น ‘พระโอรสองค์โต’ ไปโดยปริยาย มารดาแท้ๆ ของเขามีบรรดาศักดิ์เป็นเฟย ตระกูลมารดาก็มีอำนาจมาก จึงอาจพูดได้ว่าเขามีโอกาสมากที่สุด


 


 


หากพ้นหนึ่งปีช่วงไว้ทุกข์ไป องค์ชายห้าทาบทามขอฉงสี่เซี่ยนจู่ได้ แล้วองค์ชายสามีหรือจะทำไม่ได้


 


 


“องค์ชายสี่เราก็มิอาจประมาท”


 


 


กระทั่งขุนนางผู้ช่วยทั้งสองกลับไปแล้ว องค์ชายสามก็ยังนั่งพิงเก้าอี้ไท่ซือนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงไปที่ห้องตำรา


 


 


“พระบิดา…” จิ่งเกอวิ่งเข้ามา ด้านหลังมีเหล่านางกำนัลและแม่นมตามติดอยู่ เมื่อเห็นองค์ชายหกก็ต่างก้มหน้าย่อกายถวายพระพร


 


 


องค์ชายสามขมวดคิ้ว “เหตุใดจิ่งเหอจึงมาที่นี่ได้?”


 


 


บ่าวไพร่ทั้งหลายต่างตัวสั่นงันงกไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากสักคน


 


 


จิ่งเกอจับแขนเสื้อองค์ชายสามไว้ “พระบิดา ข้าอยากพบพระมารดา”


 


 


เมื่อมองบุตรชายเพียงคนเดียวของตนแล้ว องค์ชายหกก็รู้สึกสับสนขึ้นมาอย่างยิ่ง


 


 


หวังเฟยเลี้ยงดูจิ่งเกอให้ไร้เดียงสาเกินไป ตอนที่เขาอายุเท่านี้ก็รู้เรื่องต่างๆ มากยิ่งแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จิ่งเกอคงใช้การอันใดมิได้แน่ อนาคตของจิ่งเกอนั่นมิได้จะเป็นแค่อ๋องที่ว่างเปล่าไร้ประโยชน์สักหน่อย!


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ องค์ชายสามจึงแข็งใจเอ่ยออกไปว่า “จิ่งเกอ พระมารดาของเจ้าสิ้นแล้ว”


 


 


“สิ้นแล้ว?”


 


 


“ใช่”


 


 


“พระบิดา อันใดที่เรียกว่าสิ้นแล้ว”


 


 


มุมปากขององค์ชายสามบิดเบ้ขึ้น แล้วเอ่ยอธิบายอย่างอดทน “ก็เหมือนกับปลาปลาจิ๋นหลี่ที่เจ้าเคยเลี้ยงอย่างไรเล่า เมื่อมันไม่ว่ายน้ำแล้วก็ต้องเอามันไปฝังดิน”


 


 


“พระบิดาโกหก!” จิ่งเกอโมโหอย่างยิ่ง ใบหน้าน้อยๆ แดงก่ำไปหมด “พระมารดาไม่เหมือนปลาจิ๋นหลี่เสียหน่อย ก่อนหน้านี้ไม่นานพระมารดายังทำขนมหงถังเจ่า[2] ให้จิ่งเกอกินอยู่เลย พระมารดายังเลี้ยงแมวขนสวยที่มีตาคนละสีอีกด้วย”


 


 


จิ่งเกอเอ่ยถึงตรงนี้ก็ทำปากยื่นขึ้น แล้วเอ่ยด้วยท่าทีเศร้าสร้อยว่า “แต่ไม่รู้เหตุใดพระมารดาจึงไม่กลับตำหนัก แต่กลับไปอยู่ที่อื่น ที่นั่นไม่มีพระบิดาและจิ่งเกอ”


 


 


องค์ชายหกคุกเข่าลงสองมือจับบ่าจิ่งเกอไว้ แล้วเอ่ยเน้นย้ำทีละคำว่า “จิ่งเกอ เจ้าฟังให้ดี นั่นมิใช่พระมารดาของเจ้า พระมารดาเจ้าตายไปแล้ว เจ้าลืมแล้วหรือ ตอนนั้นพระมารดาเจ้ามีโลหิตไหลเปื้อนเต็มไปหมด…”


 


 


เขาไม่ต้องการบุตรชายที่อ่อนแอขี้ขลาดกระทั่งไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง อย่างน้อยตอนนี้ บุตรชายเพียงคนเดียวของเขาก็มิอาจเป็นเช่นนั้น!


 


 


จิ่งเกอตัวแข็งอยู่ตรงนั้น ในหัวพลันปรากฏภาพโลหิตสาดกระจาดไปทั่ว สีแดงสดนั้นบดบังดวงตาเขาไปหมดทำให้มองสิ่งใดก็เป็นสีแดง ทั้งยังมีกลิ่นแปลกประหลาดและความร้อนผะผ่าว…


 


 


คล้ายมีตะไบแหลมกำลังเจาะเข้าไปในหัวของจิ่งเกอโดยแรง เขาร้องขึ้นเสียงดังแล้ววิ่งหนีไป


 


 


องค์ชายสามหยัดกายลุกขึ้นแล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “ดูแลพระราชนัดดาให้ดี หากเขาเป็นอันใดไป พวกเจ้าก็อย่าได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไปเลย”


 


 


“เพคะ” แม่นมและนางกำนัลทั้งหลายจึงรีบวิ่งตามไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน


 


 


ในที่สุดเจาเฟิงตี้ก็ขึ้นว่าราชกิจเสียที และนี่เป็นครั้งแรกที่ทรงปรากฏกายขึ้นในตำหนักจินหลวน[3]หลังผ่านเทศกาลวันตรุษมา


 


 


เขาดูผอมซูบลงอีกแล้ว แต่ท่าทียังคงดีอยู่จึงสามารถไล่ความกังวลของคนจำนวนหนึ่งออกไปได้บ้าง


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับรู้ดีว่าที่เจาเฟิงตี้ยังคงดีอยู่ได้เพราะใช้โอสถลับช่วยแต่ก็มิอาจรักษาได้ทุกส่วน จิตใจของเขาได้รับความเสียหายอย่างยิ่งมานานแล้ว


 


 


ภาพในชาติที่แล้วค่อยๆ ซ้อนทับกับภาพภพชาตินี้


 


 


ชาติก่อนนั้นเจาเฟิงตี้ถูกพยัคฆ์ร้ายกระโจนใส่จึงตกใจเสียขวัญจนร่างกายทรุดโทรมลงทุกวัน ล้มป่วยอยู่เช่นนั้นไม่กี่ปีก็สิ้นพระชนม์


 


 


ในชาตินี้นั้นแม้เขาจะขวางเอาไว้ทันแต่ก็เกิดเหตุลอบสังหารในงานเลี้ยงฉลองเทศกาลวันตรุษของราชวงศ์ เจาเฟิงตี้เห็นสะใภ้ตนตายลงไปกับตา จิตใจจึงได้รับการกระทบกระเทือนไม่น้อย สุขภาพจึงไม่ต่างอันใดกับชาติที่แล้วเลย


 


 


แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาถูกอารองและอาสะใภ้รองเลี้ยงดูอย่างตามใจทำให้มิใส่ใจเรื่องราชสำนัก แม้จะรู้จุดจบของเหตุการณ์สำคัญบางเรื่อง แต่ระหว่างนั้นเกิดเหตุอันขึ้นบ้างก่อนจะสิ้นสุดลง เขากลับมิได้ใส่ใจนัก


 


 


แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาจำได้ หลังจากที่องค์ชายหลายพระองค์เข้ามาช่วยดูแลราชกิจ องค์ชายหกได้ไปดูแลกรมโยธา


 


 


องค์ชายหกที่ถูกผู้คนทั้งหลายละเลยนั้นดูแลกรมโยธาอยู่หลายปี สุดท้ายเขาสามารถคิดค้นระเบิดที่มีอานุภาพรุนแรงชนิดหนึ่งขึ้นมาได้ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในระหว่างที่ทำการรบกับลี่อ๋องแห่งชิงเป่ย


 


 


เรื่องราวเป็นไปอย่างที่คาดไว้ หลังจากที่เจาเฟิงตี้มีรับสั่ง คนทั้งหลายก็เริ่มวางแผนการในใจตนขึ้น


 


 


องค์ชายทุกพระองค์ที่บรรลุนิติภาวะแล้วต่างได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง


 


 


องค์ชายรองถูกแต่งตั้งเป็นฉีอ๋อง องค์ชายสามเป็นเยี่ยนอ๋อง องค์ชายสี่เป็นซิ่วอ๋อง องค์ชายห้าเป็นกุ้ยอ๋อง องค์ชายหกเป็นเฉินอ๋อง


 


 


โดยองค์ชายสามดูแลกรมขุนนาง องค์ชายสี่ดูแลกรมพิธีการ องค์ชายห้าดูแลกรมพระคลัง องค์ชายหกดูแลกรมโยธา


 


 


องค์ชายรองกลายเป็นคนพิการไปแล้วจึงมิเอ่ยถึง ส่วนรัชทายาทก็ยังคงรักษาอาการประชวรอยู่ในตำหนัก


 


 


ในเวลาเพียงไม่นานก็มีคนไม่น้อยหันไปเข้าพวกกับองค์ชายสามหรือไม่ก็องค์ชายห้า


 


 


องค์ชายสี่นั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีกระตือรือร้นหรือเย็นชา ส่วนกับองค์ชายหกนั้นแทบจะไม่มีคนถามถึงเลยด้วยซ้ำ


 


 


องค์ชายสามยุ่งกับภารกิจมากขึ้นทุกวันจึงมิได้ไปหาจิ่งเกอหลายวันแล้ว วันนี้แม่นมหนิวที่คอยดูแลจิ่งเกอมาขอพบ เขาจึงทราบว่าจิ่งเกอหายไป


 


 


องค์ชายสามร้องคำรามดังลั่น “คนมากมายเพียงนี้ยังดูแลเด็กคนเดียวไม่ได้? เช่นนั้นจะเก็บพวกเจ้าไว้ทำอันใด! ทหาร…”


 


 


คนทั้งหลายตกใจจนตัวสั่นไปหมดจึงได้แต่โขกศีรษะร้องขอชีวิต


 


 


องค์ชายสามสะกดกลั้นโทสะตนไว้แล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “บอกมาว่าจิ่งเกอหายตัวไปได้อย่างไร!”


 


 


แม่นมหนิวที่ถือว่าเป็นหัวหน้าของทุกคนจึงเอ่ยเล่าทุกอย่างออกมา


 


 


 


 


——


 


 


[1] อู่ (五) ในภาษาจีนแปลว่า ห้า


 


 


[2] หงถังเจ่า เป็นขนมปังชนิดหนึ่งที่หากินได้ทั่วไป ส่วนผสมหลักคือแป้งและพุทราแดง


 


 


[3] ตำหนักจินหลวน เป็นหนึ่งในสามตำหนักใหญ่ในพระราชวังใช้สำหรับทำพิธีสำคัญต่างๆ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม