กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ ภาค 3 ตอนที่ 9.2-12.1

 ตอนที่ 9 นี่คือช่วงเวลาที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์! (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาต่างตกตะลึง ดวงตาของทั้งคู่เบิกโพลงขณะจ้องไปที่หวังลู่ แม้พวกเขารู้ว่าหวังลู่ไม่คิดจะฆ่าแกงกัน แต่ก็รู้ตัวว่าคงไม่แคล้วถูกจองจำอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่า… เด็กหนุ่มคนนี้ต้องการร่วมงานกับพวกเขา?


“อ้อ แม้ว่าคนจากสำนักเจ็ดดาราทั้งคู่นี้จะไม่ได้มีรากฐานการบำเพ็ญเซียนที่มั่นคง แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียน เพราะฉะนั้นเราก็ใช้พวกเขาต่างแรงงานได้”


“เหอะ ตามใจเจ้าเถอะ” เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่เนี้ยไม่ใส่ใจเรื่องการบริหารจัดการของหวังลู่สักนิด


หลังจากที่ได้ฟังบทสนทนาเหล่านี้ ความคิดมากมายก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของทั้งตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวา ทว่าพวกเขากลับไม่กล้าเปิดปากพูด เพราะเกรงว่าจะไปกระตุ้นโทสะของฝ่ายตรงข้ามแล้วจะถูกกุดหัวเสีย


หวังลู่หัวเราะ “ฮ่าๆ พวกเจ้าสองคนไม่ต้องกลัวไป แม้ว่าข้าจะเป็นศัตรูกับสำนักเจ็ดดารา แต่หากพวกเจ้ากลับตัวกลับใจ ละทิ้งความมืดเข้าสู่แสงสว่าง ข้าก็จะปล่อยให้อดีตเป็นเพียงอดีต ในอนาคตเจ้าจะเป็นกระดูกสันหลังให้สำนักของข้า หากเจ้าทำงานได้ดี ผลประโยชน์ทุกรูปแบบที่เจ้าจะได้รับย่อมต้องดีกว่าสำนักเจ็ดดาราหลายเท่านัก”


คนทั้งคู่จึงผงกศีรษะอย่างเกร็งๆ พร้อมหัวเราะอย่างฝืนๆ รีบคำนวณข้อดีข้อเสียของเรื่องในครั้งนี้อย่างรวดเร็ว แม้ว่า ณ ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่กระจ่างชัด… ทว่าอย่างไรเสียตอนนี้พวกเขาก็ยังเป็นนักโทษอยู่ หากหวังลู่เอ่ยออกมาว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก พวกเขาก็ทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วยเท่านั้น


เมื่อเห็นท่าทีของคนทั้งคู่ หวังลู่ก็ยิ้มบาง พลางคิดในใจว่าสมาชิกที่เพิ่งบรรจุเข้ามาใหม่นี้ดูไม่จงรักภักดีเท่าไร… ทว่ามันก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร


การเป็นหัวหน้า โดยเฉพาะหัวหน้าคณะทำงาน สิ่งสำคัญที่สุดคือสร้างคณะทำงานที่ดี และวิธีที่จะสร้างคณะทำงานที่ดีนั้น…


เย็นวันนั้นเอง เมื่อพวกเขาเตรียมตัวออกจากจวนรับรองของผู้พิพากษาอำเภอ หวังลู่ก็เรียกตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวามาพบตามลำพัง และได้พูดจากับพวกเขาทีละคนเพื่อเสริมสร้างขวัญและกำลังใจ


เขาเอ่ยถึงผลประโยชน์สามข้อกับตาแก่ลามก ซึ่งส่งอิทธิพลต่อจิตใจของชายแก่ในทันทีและเปลี่ยนเขาให้เป็นสุนัขรับใช้ที่ภักดี


“ข้อแรก แม้ขั้นตบะของข้าจะยังไม่สูงนัก แต่เจ้าจะเทียบปูมหลังของข้ากับเจ้าไม่ได้ แม้ข้าเพิ่งจะเริ่มบำเพ็ญเซียนได้แค่สองปี แต่ความรู้ที่ข้าได้จากหนึ่งในห้าสำนักวิเศษย่อมต้องเหนือกว่าความพยายามนับร้อยปีของเจ้าอยู่แล้ว”


ตาแก่ลามกเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเศร้า “แน่นอนอยู่แล้ว… ข้าบำเพ็ญเซียนมานับร้อยปีก็จริง แต่วิธีสร้างแกนแห่งการบำเพ็ญเซียนของข้าเป็นเพียงการปะติดปะต่อวิชาต่างๆ จากสำนักเจ็ดดาราเท่านั้น ข้าไม่ค่อยได้เห็นวิชาระดับกลางสักเท่าไหร่ด้วยซ้ำ ทว่าสำหรับศิษย์จากสำนักชั้นนำแล้วนั้น การได้เรียนรู้ผ่านวิชาระดับสูงย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดา ดังนั้น…”


“อย่าได้อิจฉาวิชาบำเพ็ญเซียนของสำนักระดับสูงเลย เพราะต่อให้เจ้าได้เรียนมัน ดูตามสติปัญญาและรากวิญญาณพันธุ์ทางของเจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่มีทางฝึกสำเร็จหรอก… ต่อให้เป็นวิชาระดับต่ำก็เถอะ บางวิชาก็อาจจะเหมาะกับเจ้า แต่บางวิชาก็ไม่ ความจริงแล้วเจ้าเคยเป็นศิษย์ในสำนักของพันธมิตรหมื่นเซียน ดังนั้นรากวิญญาณและวิชาบำเพ็ญเซียนของเจ้าก็คงจะเข้ากันได้ดี ซึ่งก็ไม่ถือว่าแย่ ทว่าหลังจากที่เจ้าถูกขับออกจากสำนัก เจ้ากลับไม่เจอวิชาบำเพ็ญเซียนที่เหมาะสมที่จะทำให้ตบะขั้นสร้างฐานของเจ้าพัฒนาต่อ ดังนั้นเจ้าจึงด้นสดเองด้วยการใช้วิชาของสำนักเจ็ดดารา ความสอดประสานกันจึงดิ่งลงเหว เส้นทางเบื้องหน้าของเจ้าจึงเต็มไปด้วยขวากหนาม จนเจ้าถึงกับต้องละทิ้งรากฐานที่มีมาแต่ดั้งเดิม ข้าพูดถูกไหม”


ตาแก่ลามกถึงกับนิ่งเงียบ


“ทว่าข้าพอจะรู้วิชาบำเพ็ญเซียนสำหรับรากวิญญาณพันธุ์ทางอยู่บ้าง ข้าไม่อาจรับปากได้ว่าหากเจ้าฝึกวิชานี้แล้วขั้นเซียนของเจ้าจะเพิ่มขึ้นมากน้อยสักเท่าไหร่ แต่ที่สุดแล้ว มันก็ดีกว่าค้างเติ่งแบบลูกผีลูกคนอย่างเจ้าในตอนนี้ ตราบที่เจ้าทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ข้าจะสอนวิชาที่ว่าให้เจ้าแน่นอน”


ตาแก่ลามกตื่นเต้นขึ้นในทันใด


“ประการที่สอง ในสำนักเจ็ดดารา เจ้าเป็นเพียงผู้อาวุโสหกดาวที่ไร้ตัวตน อำนาจในมือก็มีจำกัด ทว่าในตอนนี้ข้าต้องการคนที่จะมาบริหารจัดการสำนัก ดังนั้นข้าจะให้เจ้าเป็นรองผู้จัดการศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา หรือก็คือรองเจ้าสำนักภูมิปัญญานั่นเอง”


“โอ้ ตำแหน่งนี้สูงส่งเกินไป ข้ารับไม่ได้หรอก”


“ไม่มีอะไรที่ไม่สมควรเลยสักนิด สำหรับสำนักที่ตั้งใหม่นั้นย่อมต้องมีสิ่งต่างๆ ที่ต้องจัดการมากมาย เจ้าและฮูหยินของเจ้ามีประสบการณ์ที่จำเป็นในการจัดการสิ่งเหล่านี้ หากข้าต้องพึ่งพาเถ้าแก่เนี้ยไม่ได้ความนั่น ที่แม้แต่โรงเตี๊ยมของตัวเองยังดูแลไม่เป็น รวมถึงเจ้าหมูตอนตุ๊ต๊ะนั่นด้วย สำนักนี้คงไม่ต้องผุดต้องเกิดกันแล้ว”


เมื่อได้ยินคำพูดของหวังลู่ที่กล่าวถึงเถ้าแก่เนี้ย ตาแก่ลามกก็ตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว เขาไม่กล้าตอบสนองใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ


“อีกอย่างพวกเราจะไม่อยู่ที่นี่ไปตลอดกาล เรามาที่นี่เพราะภารกิจเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ ดังนั้นสำนักนี้ ถ้าจะพูดให้ชัดเจน… ฮ่า ก็ไม่แปลกอะไรที่จะแต่งตั้งเจ้าให้เป็นรองเจ้าสำนัก”


แม้เขาจะยังรู้สึกแปลกๆ กับแนวความคิดของสิ่งที่เรียกว่ารองผู้จัดการหรือรองเจ้าสำนัก แต่เขารับรู้ได้ถึงความหมายของสิ่งนี้ได้รางๆ และนั่นทำให้จิตใจของเขาหวั่นไหว


“ข้อที่สาม สำนักเจ็ดดาราของเจ้า สำนักเล็กๆ ชั้นต่ำพรรค์นั้น อย่างมากที่สุดก็ก่อเรื่องได้ตามที่ที่ไกลปืนเที่ยงเท่านั้น หากเป็นที่ที่มีฮวงจุ้ยดี อย่างเมืองที่มั่งคั่งหลายเมืองในประเทศต้าหมิง หรือแม้แต่ในเมืองหลวง สำนักของพวกเจ้ากล้าแทรกซึมเข้าไปหรือเปล่า และหากสำนักของพวกเจ้ากล้าที่จะแทรกซึมเข้าไป หากเจ้าโผล่หน้าเข้าไป แน่นอนว่าย่อมมีสำนักจากพันธมิตรหมื่นเซียนโผล่มาจัดการเจ้าแน่! ทว่าสำนักต้นกำเนิดของข้าคือสำนักกระบี่วิญญาณ จะมีสำนักดาดๆ หน้าไหนกล้าต่อกรกับข้าไหม อย่างน้อยในแคว้นธาราคราม สำนักกระบี่วิญญาณก็แข็งแกร่งอย่างแท้จริง!”


“เดี๋ยวก่อน ท่านผู้จัดการ แล้วสำนักกระบี่วิญญาณ…ยอมให้ท่านใช้ชื่อของพวกเขาหรือ”


“เหลวไหล แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ยอม หากผู้อาวุโสฝ่ายวินัยรู้เข้าล่ะก็ ทัณฑ์สวรรค์จะต้องฟาดลงมากลางกบาลแน่ ข้าน่ะไม่เป็นอะไรหรอก แต่เจ้าต้องสลายกลายเป็นควันแน่นอน!”


“หา!? ไม่นะ!”


“ดังนั้นเราจึงใช้ไพ่ไม้ตายนี้อย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ เราต้องทำตัวเงียบๆ เข้าไว้ สำนักกระบี่วิญญาณเป็นเพียงไพ่ที่อยู่ในมือเราเท่านั้น แต่มีไพ่หรือไม่มีไพ่ ความมั่นใจในการปฏิบัติภารกิจของเจ้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จริงไหม หมู่บ้านตระกูลหวังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น อำเภออู่โหวเป็นเพียงจุดกระโดดที่ไม่สลักสำคัญอะไร และแม้แต่เมืองหลวงของจังหวัดก็ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของเรา เจ้าต้องเปิดมุมมองของตัวเองให้กว้าง ในแคว้นธาราครามนั้น ประเทศที่แข็งแกร่งกว่าและร่ำรวยกว่าประเทศต้าหมิงยังมีอยู่อีกมากมาย!”


หลังจากได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้ ตาแก่ลามกไม่เพียงตื่นเต้น แต่เลือดในกายเขายังเดือดพล่านอีกด้วย


เขาไม่ได้รู้สึกฮึกเหิมที่จะก้าวตามความฝันเช่นนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ที่เขาถูกขับออกจากสำนักเดิม ต้องเร่ร่อนอย่างอนาถาอยู่ในอาณาจักรเก้าแคว้น ตาแก่ลามกก็ทำเพียงเอาตัวรอดไปวันๆ โดยไร้ซึ่งความทะเยอทะยานใดๆ ทว่าวันนี้ หลังจากได้ฟังคำพูดปลุกใจของหวังลู่ เขาก็รู้สึกว่าจู่ๆ ก็ค้นพบความหมายใหม่ของชีวิต


ไม่ใช่แค่แค่คู่บำเพ็ญเซียนของเขา ผู้มีหน้าอกหน้าใจมโหฬารรวมทั้งใบหน้าทรงเสน่ห์ ทั้งยังเต็มไปด้วยท่วงท่าที่เย้ายวน… ยังมีหญิงชั้นสูงอีกมากมายที่คู่ควรจะมาเป็นคู่บำเพ็ญเซียนของเขา! ก่อนหน้านี้เขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนระดับต่ำไร้ตัวตนในโลกบำเพ็ญเซียน หากใช้ศัพท์ของท่านผู้จัดการ เขาก็คือสวะดีๆ นี่เอง ทว่าจากนี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป! หากในอนาคตเขาประสบความสำเร็จ ฮ่า ไม่แน่ว่าผู้บำเพ็ญเซียนสาวสวยทรงเสน่ห์มากมายอาจเรียงแถวกันมารอให้เขาร่วมประเวณีด้วยก็เป็นได้!


หวังลู่ใช้ข้อได้เปรียบสามประการนี้ทำให้ตาแก่ลามกเหออวิ๋นประทับใจ จากนั้นเขาก็ใช้ทฤษฎีเดียวกันเพื่อปลุกเร้าอู้เฟยฮวา คู่บำเพ็ญเซียนของตาแก่ลามกด้วยเช่นกัน ในที่สุดอู้เฟยฮวาก็คิดได้ว่าหากนางเดินตามแนวทางของท่านผู้จัดการและทำงานได้ดี เมื่อเขาประสบความสำเร็จ ฮ่าๆ เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มที่หล่อเหลาย่อมเป็นของนางแน่นอน! ฮ่าๆๆ!


จะว่าไปสำหรับนาง ท่านผู้จัดการก็ไม่ได้แย่อะไร เขายังหนุ่มแน่น อยู่ในช่วงวัยรุ่นเปลี่ยนผ่านไปสู่วัยผู้ใหญ่ หน้าตาก็หล่อเหลา นิสัยใจคอก็ดูเข้าที ตอนที่ไม่เปิดปากพูดอะไรน่ะนะ สิ่งสำคัญที่สุดคือเขามีอนาคตที่สดใส ยิ่งกว่านั้นคือในกายเขามีแก่น ‘หยาง’ อยู่!


โชคร้ายที่มียายผู้หญิงไม้กระดานดุร้ายขวางทางอยู่ อาจจะยังไม่ถึงเวลาของนางที่จะได้ลิ้มลองเนื้อชิ้นนี้ก็เป็นได้


ช่างประไรเล่า ตอนนี้อู้เฟยฮวาพึงพอใจอย่างยิ่งยวดกับอนาคตที่รอนางอยู่แล้ว!


แล้วสำนักศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นก็ตั้งขึ้นมาง่ายๆ เช่นนี้เอง


………………………………………


ตอนที่ 10 การแสดงปลอบขวัญของเหล่าคณะศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากที่ศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นก่อตั้งขึ้นได้ไม่เท่าไร คณะทำงานหลักที่ประกอบด้วยคนห้าคนก็ออกจากอำเภออู่โหวไปในเย็นวันเดียวกันนั่นเอง


เหตุผลก็แสนจะง่ายดาย ในฐานะสำนักหนึ่งที่ต้องการจัดตั้งฐานที่มั่นแรกของตนเอง อำเภออู่โหวถือว่ามีจุดด่างพร้อยมากเกินไป


หนึ่งคือ ท่าทีของผู้คนในอำเภออู่โหวที่มีต่อสำนักบำเพ็ญเซียนนั้นค่อนข้างจะเมินเฉย ตัวอย่างเช่น สำนักเจ็ดดาราแม้จะถือได้ว่ามีอิทธิพลที่นี่ แต่พวกเขาไม่อาจดึงดูดผู้ติดตาม ทั้งยังได้พักอยู่ในจวนรับรองของผู้พิพากษาเท่านั้น เหออวิ๋น ตาแก่ลามก ผู้อาวุโสระดับหกดาวต้องเป็นคนจ่ายค่าตัวของหญิงสาวที่เขาร่วมเสพสังวาสด้วยโดยไม่อาจบิดพลิ้ว ผู้บำเพ็ญเซียนที่นี่ไม่อาจอวดเบ่ง ทั้งยังไม่ได้มีสิทธิพิเศษมากมายอะไร ในฐานะที่เป็นพื้นที่สงครามที่เคยห้ำหั่นกับสัตว์ประหลาดมาก่อนตั้งแต่สมัยโบราณกาล ปูมหลังของอำเภออู่โหวถือว่าชัดเจนมั่นคงมาก


สองคือ หากพวกเขาคิดจะตั้งฐานที่มั่นแรกที่อำเภออู่โหว มันจะดูโจ่งแจ้งจนเกินไป หากพวกเขาต้องการเรียกเก็บภาษีสติปัญญาที่นี่ นอกจากอาจจะเจอแรงกดดันจากประเทศต้าหมิงแล้ว ก็ยังอาจเจอกับแรงต้านจากสำนักเจ็ดดาราได้


สามคือ ที่นี่ขาดแคลนเครือข่ายผู้คนที่จำเป็น ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาเป็นเพียงคนผ่านทางที่มาประจำการชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาไม่มีอิทธิพลในอำเภอนี้ ยิ่งหวังลู่กับคนอื่นๆ ยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่


ด้วยปัจจัยที่เหลื่อมซ้อนกันหลายประการเช่นนี้ การไปจากที่นี่จึงเป็นตัวเลือกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นนั้นแล้วฐานที่ตั้งของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นควรจะเป็นที่ใดกันเล่า


คำตอบนั้นแจ่มแจ้ง


“ฮ่า! หุบเขาหูสุนัข ข้ากลับมาแล้ว!”


หวังลู่ ผู้จัดการของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้น หรืออีกชื่อคือเจ้าสำนักภูมิปัญญา หันหน้าสู้แสงอาทิตย์ยามเช้า ยิ้มอย่างสบายอกสบายใจ แล้วเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นเมื่อมาถึงหุบเขาหูสุนัข


“…เจ้าแน่ใจหรือว่าจะตั้งกองกำลังที่สันเขาชายขอบเช่นนี้จริงๆ” ธิดาเทพเฟิงหลิงแห่งสำนักภูมิปัญญาถามพร้อมใบหน้าฉงน “ที่นี่ไม่สอดคล้องกับความทะเยอทะยานสูงปรี๊ดที่จะเป็นผู้มีอำนาจในอาณาจักรเก้าแคว้นของเจ้าเลยสักนิด”


เจ้าอ้วนก็เริ่มเปิดปากบ่นด้วย “ศิษย์พี่ เหตุใดถึงได้มายังบ้านนอกคอกนาเช่นนี้ สภาพความเป็นอยู่ของที่นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว”


เจ้าสำนักหวังลู่พ่นลมออกทางจมูก “ถ้าไม่มาที่สันเขาทุรกันดารเช่นนี้ แต่กลับตรงดิ่งไปที่เมืองหลวงของจังหวัด หากไม่เละเป็นขี้ก่อนพระอาทิตย์ตกดินก็คงน่าประหลาดใจไม่น้อย! แม้ฉากหลังของเราจะเป็นสำนักกระบี่วิญญาณ แต่เราก็ไม่มีทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียง ไม่มีทั้งเงินทอง เราเป็นเพียงสำนักที่ร่อแร่! ข้าว่าพวกเจ้าคงเคยได้ยินเรื่องเล่าที่ว่าประกายไฟเพียงนิดเดียวก็ทำให้เกิดไฟไหม้ลามไปทั่วทั้งป่าได้มาบ้าง ดังนั้นพวกเราจะใช้วิธีปกครองชายขอบตีโอบล้อมเมือง นี่คือข้อสำคัญที่สุดในการพัฒนาสำนักที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ หากวันหนึ่งเราขยายอิทธิพลออกไปได้ อนาคตของเราย่อมไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน อีกทั้งหมู่บ้านตระกูลหวังมีข้อได้เปรียบตรงที่สวรรค์เมตตาทำให้มีพลังปราณวิญญาณฟ้าดินอุดมสมบูรณ์ ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดปาฏิหาริย์ได้อย่างง่ายดาย สิ่งนี้จะช่วยเราอย่างมหาศาลในการพัฒนาสำนัก ในอนาคต หากเราขยับขยายอิทธิพลได้แล้ว เราก็ย่อมเป็นตัวตั้งตัวตีในการปฏิวัติได้… โอ้ ไม่สิ ที่นี่จะกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของโลกบำเพ็ญเซียน ความจริงแล้วที่นี่น่ะเหนือกว่าเมืองใหญ่ที่มั่งคั่งเมืองไหนๆ เสียอีก”


ตาแก่ลามกหกดาวที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจ “ท่านผู้จัดการช่างมีสายตายาวไกล มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล อีกทั้งคำพูดของท่านก็ตรงประเด็น ในอดีต หัวหน้าสำนักเจ็ดดาราได้เรียกรวมผู้อาวุโสหกดาวอย่างเราที่ฐานที่มั่นหลักเพื่อพูดคุยกันเรื่องการจัดการในหมู่บ้านตระกูลหวัง หลังจากระดมสมองกันแทบรากเลือด เราก็ได้แผนการหนึ่งออกมาซึ่งเหมือนกับแผนการของท่านผู้จัดการเปี๊ยบ แถมหลายส่วนยังไม่สมบูรณ์เท่าแผนของท่านผู้จัดการด้วยซ้ำ”


หวังลู่ยิ้มพร้อมพยักหน้าเห็นชอบ “เจ้าเข้าใจความจริงนี้ได้กระจ่างแจ้ง การเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าถือว่าไม่เสียเปล่าแล้ว หากเจ้าทำงานได้ดี รับรองผลประโยชน์ต่างๆ ต้องหลั่งไหลไปหาเจ้าแน่”


ตาแก่ลามกปลื้มปีติยิ่งนัก “น้ำใจอันยิ่งใหญ่ของท่านผู้จัดการนั้นข้าจะไม่ลืมไปจนชั่วชีวิต ต่อให้ต้องสังเวยชีวิตตัวเองก็คงไม่อาจจะทดแทนได้หมด…”


สีหน้าของเขาไม่ต่างจากข้าเก่าที่แสนภักดีแม้แต่น้อย! ใครจะไปคาดคิดว่าก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียวสองคนนี้ยังเป็นศัตรูกันอยู่เลย แล้วยิ่งผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานกลับยอมศิโรราบแต่โดยดีให้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณเช่นนี้ยิ่งนึกภาพไม่ออกกันไปใหญ่


นี่ล่ะคือความสามารถของคนเป็นผู้นำ ในฐานะผู้นำแล้วนั้น เขาไม่จำเป็นต้องวิเศษไปกว่าผู้อื่น สิ่งสำคัญก็คือการสร้างคณะทำงานที่ดี แล้วให้พวกเขาได้แสดงความสามารถของตนอย่างเต็มที่ แล้วนำพาคณะไปสู่ชัยชนะ


“ระหว่างทางที่มาที่นี่ ข้าได้เน้นย้ำถึงสิ่งที่ต้องกระทำไปหมดแล้ว เจ้าก็เพียงทำไปตามนั้น สำนักเจ็ดดาราหยั่งรากลึกลงในหมู่บ้านตระกูลหวังแล้ว การจะกำจัดพวกเขาออกไปคงจะทำไม่ได้ง่ายๆ”


ตาแก่ลามกพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “วางใจได้ ท่านผู้จัดการ หลังจากที่ข้ากับเฟยฮวาละทิ้งความมืดและเสาะหาแสงสว่างแล้ว ข้ากับนางจะไม่แพ้ศึกแรกอย่างแน่นอน”


“อืม ขอให้เจ้าประสบความสำเร็จ”


พูดจบหวังลู่ก็ตบบ่าของตาแก่ลามก หันหลังและเดินลงภูเขาไป


ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวามองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา จากนั้นก็ร่ายอาคม แล้วค่อยๆ ลอยเอื่อยไปยังหมู่บ้านตระกูลหวัง ——


หมู่บ้านตระกูลหวังแห่งหุบเขาหูสุนัขเป็นหมู่บ้านที่สงบสุขและมีอันจะกินในอำเภออู่โหว ผลิตผลของที่นี่อุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านก็เรียบง่ายและซื่อสัตย์ ที่นี่จึงประหนึ่งสรวงสวรรค์ก็มิปาน


แต่เพราะไม่กี่ปีมานี้ หมู่บ้านเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ผู้คนค่อยๆ ดุร้ายขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าของชาวบ้านที่มีให้เห็นเป็นปกติในอดีตกลับพบเห็นได้ยากมากขึ้น… และถูกแทนที่ด้วยใบหน้าที่ ‘หิวกระหาย’ ไม่รู้จักพอ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่มีต่อทั้งสวรรค์และผู้คน ทั้งหมู่บ้านจึงท่วมท้นไปด้วยความเป็นปรปักษ์


เช้าวันนี้ ชาวบ้านหลายคนรวมตัวกันอยู่ที่หน้าบ้านไม้ทรุดโทรมหลังหนึ่ง ในนั้นมีทั้งพรานหนุ่ม ช่างตีเหล็กรูปร่างแข็งแรง… ทั้งยังมีหญิงชาวนาที่มีสีหน้าไม่พอใจรวมอยู่ด้วยหลายคน


คนเหล่านี้เข้าไปในห้องและกล่าวคำทักทายกัน แต่น้ำเสียงของพวกเขานั้นฟังดูทั้งอิดโรยและเหนื่อยล้า


“พี่รองจาง สภาพท่านดูไม่จืดเลย”


“โธ่ จู้จื่อ เจ้าเองก็ไม่ต่างกัน…”


“ป้าหวัง ล่าสุดที่ท่านนอนหลับสนิทน่ะมันเมื่อไหร่กัน”


“ข้าหลับไม่สนิทมานานแล้ว ทุกคืนพอข้าจะปิดตานอน ข้าก็ฝันร้ายไปเสียทุกครั้ง แถมยังฝันถึงสัตว์ประหลาดพิลึกเหมือนเดิมทุกทีอีกด้วย จากนั้นข้าก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเหงื่อท่วมตัวไปหมด แล้วก็นอนไม่หลับเลยทั้งคืน”


“โธ่เอ๊ย ดูเหมือนทุกคนจะเป็นแบบเดียวกัน”


“ใช่สิ ในหมู่บ้านเรา หลายวันมานี้มีใครได้นอนดีๆ บ้างเล่า ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าปีศาจน้อยนั่นแท้ๆ เชียว”


ไม่นานมานี้ หวังลู่ได้สังหารผู้บำเพ็ญเซียนสองดาวกับทูตคนหนึ่งไป หลังจากนั้นชาวบ้านหลายคนก็เกิดอาการเสียขวัญ พวกเขากลัวว่าเจ้าปีศาจหวังลู่จะกลับมากวาดล้างคนทั้งหมู่บ้าน อีกทั้งพวกเขายังกังวลว่าสำนักเจ็ดดาราจะกล่าวโทษพวกเขาด้วย


“เจ้าปีศาจน้อยนั่นช่างน่ารังเกียจนัก นอกจากเขาจะตัดเส้นทางสู่เซียนของเราแล้ว ยังจะนำพาหายนะมาสู่หมู่บ้านอีกด้วย… โธ่เอ๊ย ทั้งหมู่บ้านต้องมาติดร่างแหไปด้วยเพราะเขาแท้ๆ!”


“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาจากชาวบ้านในอำเภอว่า มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่สนนรกสนสวรรค์ไปดูหมิ่นเทพเซียนเข้า ผลก็คือคนในหมู่บ้านทั้งหมดจู่ๆ ก็ป่วยตาย ไม่มีใครรอดเลยสักคน!”


“นี่เจ้าล้อข้าเล่นใช่ไหม สองสามวันนี้ข้ารู้สึกปวดหัวไม่หายเลยเนี่ย…”


ทันทีที่คนผู้นั้นพูดจบ คนอื่นๆ ก็พากันหวั่นวิตก


“ข้าทนดูไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!” หญิงมีหน้ามีตาคนหนึ่งในหมู่บ้านเปิดปากพูด “เจ้าเด็กดาวมฤตยูนั่นกล้าหมิ่นเกียรติเทพเซียนของสำนักเจ็ดดารา เขาต้องตายเยี่ยงสุนัขอย่างแน่นอน แต่พวกเรากลับต้องมาติดร่างแหไปด้วยทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ”


“เจ้าคิดว่าอย่างไร”


“ข้าจะคิดว่าอย่างไรได้อีก ไม่ใช่ว่าเราตกลงเรื่องนี้กันไปเมื่อหลายวันก่อนแล้วหรือ หนึ่งคือจับครอบครัวของเด็กปีศาจนั่นเป็นตัวประกัน จากนั้นก็ไปขอขมาต่อเทพเซียนของสำนักเจ็ดดาราเสีย”


“หวังฟู่กุ้ย? เขา…เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย เราจะทำเช่นนั้นกับเขาไม่ได้”


“แค่เขาเลี้ยงดูเจ้าเด็กที่ต่ำช้ายิ่งกว่าหมูกว่าหมานั่นมายังผิดไม่พออีกหรือ!?” หญิงสาวคนเดิมตะคอกเสียงแหลม “อย่าบอกนะว่าเจ้าจะรอจนกว่าทุกคนในหมู่บ้านตายเจ้าถึงจะเห็นด้วย”


“พี่สะใภ้รองหลิว ท่านพูดอะไรออกมา!? ข้าเองก็พลอยซวยเพราะเด็กนั่นแหมือนกัน ข้าก็แค่คิดว่าการจะจับครอบครัวเจ้าเด็กปีศาจนั่นเป็นตัวประกันไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งก่อนหน้านี้ เสี่ยวหูเองก็คัดค้านเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ”


ทันใดนั้น หญิงชาวบ้านท่วงท่าคงแก่เรียนก็หัวเราะเสียงเย็น “เสี่ยวหู? เจ้าคิดว่าเขายังเป็นเสี่ยวหูผู้ซื่อสัตย์และจิตใจดีคนเดิมอยู่อีกหรือ น่าหัวร่อนัก เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจิตใจของเสี่ยวหูจะไม่ถูกเจ้าปีศาจนั่นบิดเบือนไปแล้ว!?เจ้าเด็กปีศาจนั่นลงมือฆ่าเทพเซียนกับทูตของสำนักเจ็ดดารา แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้เสี่ยวหูมีชีวิตอยู่!? สองสามวันมานี่ เจ้าเด็กปีศาจนั่นไม่อยู่ที่นี่ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสดี แล้วเหตุใดเสี่ยวหูถึงได้คัดค้านเรา เหตุใดเสี่ยวหูถึงได้ปกป้องครอบครัวหวังฟู่กุ้ยด้วย!?”


ทันทีที่สิ้นประโยค ทั้งห้องก็เงียบสนิท อารมณ์เดือดดาลก่อกำเนิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก


“เทพเซียน! เทพเซียนมาที่นี่!”


ทุกคนที่อยู่ภายในตัวบ้านต่างตะลึงงัน “เทพเซียนมาที่นี่!?”


พวกเขาผลักประตูและออกมาในทันใด แล้วก็ได้เห็นผู้บำเพ็ญเซียนสองคนคลุมหน้าด้วยผ้าโปร่งสีชมพู ลอยลงมาจากบนฟ้าอย่างช้าๆ ราวกับเป็นก้อนเมฆวิเศษ ต่อหน้าต่อตาเหล่าชาวบ้าน


แน่นอนว่าคนทั้งสองคือตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวา


ทันทีที่พวกเขาลงมายืนอยู่ตรงลานโล่งใจกลางหมู่บ้าน ก็ถูกห้อมล้อมด้วยชาวบ้านนับสิบที่จ้องมองด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป


“พวกเขา…คือเทพเซียนจากสำนักเจ็ดดาราหรือ”


“ข้าไม่คิดอย่างนั้น ได้ยินมาว่าเทพเซียนของสำนักเจ็ดดาราต้องสวมชุดที่มีรูปดวงดาวปักอยู่”


“เช่นนั้นพวกเขาเป็นใคร”


“…”


ตามที่หวังลู่กำชับไว้ ตาแก่ลามกทำทีว่าเมินเฉยต่อสิ่งรอบตัว แล้วจากนั้นก็ขมวดคิ้ว มองไปทุกทิศทางราวกับกำลังหาอะไรสักอย่าง


ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายชราผมสีดอกเลาก็เดินงกๆ เงิ่นๆ เข้ามา เขาคือหวังฉี่เหนียนผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านตระกูลหวังนั่นเอง


หลายวันก่อน ภายหลังจากที่หวังลู่สร้างความโกลาหลเอาไว้ ก็ไม่มีคืนใดที่หัวหน้าหมู่บ้านจะข่มตาหลับได้เลย เพียงไม่กี่วันเท่านั้นแต่เขากลับดูแก่ลงไปถึงยี่สิบปี ไม่เหลือภาพชายวัยกลางคนผมสีดอกเลาที่แข็งแรงอีกแล้ว เป็นเพียงชายชราเดินยักแย่ยักยันเท่านั้น


“เทพเซียนสองท่านนี้อุตส่าห์มาถึงที่หมู่บ้านของเรา แต่เรากลับไม่ได้เตรียมการต้อนรับขับสู้ท่านทั้งสองอย่างเหมาะสมเลย…”


หวังฉี่เหนียนเอ่ยปากได้เพียงครึ่งจากสิ่งที่ต้องการจะพูดแต่กลับถูกอู้เฟยฮวาแทรกเสียก่อน


“ไอปีศาจแรงชะมัด!”


หวังฉี่เหนียนผงะถอยหลัง เทพเซียนก็คือเทพเซียนวันยังค่ำ เพียงแค่ปรายตามอง พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเคยมีปีศาจมาที่นี่!


หลังจากคิดอย่างรวดเร็ว ชายชราก็คุกเข่าลง “ท่านเทพเซียน โปรดช่วยพวกเราด้วย! เมื่อไม่กี่วันก่อน มีปีศาจมาเข่นฆ่าผู้คนถึงที่นี่ ตอนนี้ทั้งหมู่บ้านจวนเจียนจะเกิดหายนะแล้ว!”


……………………………………………..


ตอนที่ 10 การแสดงปลอบขวัญของเหล่าคณะศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทว่าเข่าของชายชรากลับไม่ถึงพื้น เพราะมีพลังที่มองไม่เห็นมาประคองเขาเสียก่อน


ตาแก่ลามกเหออวิ๋นทำมือให้ลุกขึ้น “ท่านลุกขึ้นเถิด เรามาที่นี่ก็เพื่อปราบปีศาจอยู่แล้ว”


หวังฉี่เหนียนปลื้มปีติเป็นล้นพ้น “ขอบคุณในความเมตตาของท่าน ท่านเทพเซียน! แต่ปีศาจตนนี้นั้นมากฤทธิ์นัก ท่านจะต้องระมัดระวังตัวให้ดี คราวก่อน เทพเซียนจากสำนักเจ็ดดาราก็ถูกเจ้าปีศาจนั่นฆ่าตาย…”


“สำนักเจ็ดดารา? สำนักมารนั่นน่ะหรือ”


หวังฉี่เหนียนตื่นตระหนก “สำนักมาร?”


ตาแก่ลามกเหออวิ๋นกล่าวต่อ “ถูกต้องแล้ว ไอปีศาจที่ปกคลุมหมู่บ้านนี้เป็นของสำนักเจ็ดดาราอย่างแน่แท้ หึ แน่นอนล่ะ ก็พวกนั้นมันเป็นปีศาจที่ไม่อาจหักห้ามตัวเองไม่ให้ทำสิ่งชั่วร้ายได้นี่นา!”


ทันทีที่พูดจบ ตาแก่ลามกก็เอื้อมมือออกไป ปากก็ตะโกนว่า “ชำระล้าง!” ทันใดนั้น กลุ่มควันสีน้ำเงินก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ จับตัวกันกลายเป็นเมฆ แล้วก็ตกลงมาจากฟากฟ้า ห่อหุ้มชาวบ้านนับร้อยที่อยู่ ณ ตรงนั้นไว้ ทันทีที่ถูกหุ้มด้วยมวลอากาศสีน้ำเงิน ทุกคนต่างรู้สึกโล่งใจ ร่างกายสะอาด เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน!


“วิชาแห่งเซียน! นี่มันวิชาแห่งเซียนนี่!?”


ชาวบ้านหลายคนร้องตะโกนออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนหน้านี้เทพเซียนจากสำนักเจ็ดดาราก็ใช้วิชาแห่งเซียนเช่นกัน แต่วิชาแห่งเซียนของเทพเซียนพวกนั้นไม่มหัศจรรย์พันลึกเช่นนี้!


เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนของผู้คนที่อยู่รอบตัว ตาแก่ลามกก็ยิ้มเยาะอยู่ในใจ ‘โง่เง่า แค่คาถาชำระล้างก็พากันตะโกนเอะอะแล้วหรือ!’


อู้เฟยฮวาเองก็คิดว่าช่างสนุกเสียจริง ทว่าสีหน้าของนางยังคงนิ่งเฉยราวกับผิวน้ำที่ไร้ลมต้อง “ศิษย์พี่ อาคมไล่ผีของท่านนี่ได้ผลไม่เลว… อากาศที่โอบล้อมที่นี่ไว้ปนเปื้อนไอปีศาจของสำนักเจ็ดดาราจริงๆ ด้วย”


“อืม อาคมไล่ผีนี่มีไว้เพื่อไล่ไอปีศาจของสำนักมารเจ็ดดาราจริงๆ แต่ในเมื่อผลที่ได้นั้นชัดแจ้ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี”


ทั้งคู่พูดคุยราวกับเป็นมืออาชีพที่จัดการสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ทว่าพวกชาวบ้านที่ได้ยินต่างก็พากันขวัญหนีดีฝ่อ


หวังฉี่เหนียนรวบรวมความกล้าแล้วพูดแทรกออกมา “ประทานโทษเถิดท่านเทพเซียน เมื่อครู่ท่านพูดถึงสำนักเจ็ดดารา… มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”


ตาแก่ลามกอธิบายอย่างตรงไปตรงมา “สำนักเจ็ดดาราเป็นสำนักมารเลวทรามที่อยู่ในอาณาจักรเก้าแคว้น พวกเขามีชื่อเสียงเรื่องใช้เล่ห์กลน่ารังเกียจหลอกลวงชาวบ้านทั่วไป ถือเป็นศัตรูกับสำนักที่เที่ยงธรรมเช่นเรา!”


ตู้ม!


หวังฉี่เหนียนรู้สึกราวกับว่าถูกสายฟ้าฟาด ดวงดาวพราวพร่างปรากฏขึ้นเบื้องหน้า อีกทั้งยังรู้สึกเจ็บหน้าอกราวกับว่าหัวใจกระโดดออกมานอกร่างอย่างไรอย่างนั้น


สำนักมาร! เล่ห์กลน่ารังเกียจ! หลอกลวง! เป็นศัตรูกับเส้นทางที่เที่ยงธรรม!


ทุกถ้อยคำที่ได้ยินนั้นไม่ต่างจากค้อนที่ฟาดลงมาจนทำให้เขาหายใจได้ยากขึ้น ทว่าอึดใจถัดมา เขาก็รู้สึกถึงลมเย็นๆ พรั่งพรูมาที่ใบหน้า เมื่อเขามองขึ้นไป เขาก็ได้เห็นเทพเซียนผู้ทรงเสน่ห์กำลังเหยียดนิ้วขาวผ่องแล้วปล่อยกลุ่มหมอกสีชมพูออกมาเพื่อบรรเทาอาการหัวใจวายให้แก่เขา


“ท่านผู้เฒ่า อย่าได้ตื่นตระหนกจนเกินไป ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้เสมอ”


หวังฉี่เหนียนไอออกมาสองสามครั้ง ทว่าในจิตใจของเขาก็ยังคงยุ่งเหยิงอยู่


แต่ชาวบ้านที่อยู่โดยรอบต่างได้ยินกันหมดสิ้น หลังจากนิ่งอึ้งกันไปพักใหญ่ พวกเขาก็ค่อยๆ กลับมามีความคิดที่กระจ่างชัดอีกครั้ง ชาวบ้านบางคนอดรนทนไม่ได้รวบรวมความกล้าแล้วถามออกมา


“ท่านเทพเซียน ทั้งหมดที่ท่านพูดเมื่อครู่…เป็นความจริงหรือ”


อู้เฟยฮวาหงุดหงิด “แล้วเราจะหลอกพวกเจ้าทำไม”


จากนั้นตาแก่ลามกก็เล่นบทผู้อาวุโสจิตใจดี “จริงแท้แน่นอน… สำนักเจ็ดดาราก่อเรื่องในอาณาจักรเก้าแคว้นนี่หลายต่อหลายครั้ง มีเหยื่อนับไม่ถ้วน เราซึ่งมาจากสำนักที่เที่ยงธรรมต้องการปราบคนพวกนั้นมานานแล้ว แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไวเหมือนปรอท มักจะหนีไปได้ทันก่อนที่เราจะไปถึง ครั้งนี้ศิษย์น้องหญิงกับข้าซึ่งกำลังเดินทางอยู่เห็นว่าที่แห่งนี้มีไอปีศาจปกคลุมหนาแน่น เราจึงเร่งรีบแวะมา… น่าเสียดายที่แม้แต่หางของคนพวกนั้นเราก็จับไม่ได้”


เมื่อได้ยินดังนี้ พวกชาวบ้านก็นิ่งงันไป พวกเขารู้สึกราวกับว่าจู่ๆ โลกทั้งใบก็ถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา


สำนักเจ็ดดาราเป็นพวกหลอกลวง? เป็นสำนักมาร? เป็นศัตรูกับเส้นทางที่เที่ยงธรรม!?


มันจะเป็นไปได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นสำนักเซียนที่สามารถพาผู้คนเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียนได้จริงๆ แล้วพวกเขาจะกลายเป็นพวกหลอกลวงได้อย่างไร!?


หนึ่งในชาวบ้านที่ยังรับความจริงไม่ได้ถามออกมา “ประทานโทษเถิดท่านเทพเซียน ข้าขอถามหน่อยว่าสิ่งที่สำนักเจ็ดดาราบอกไว้ว่าทุกคนสามารถเป็นเซียนได้ นี่ก็หลอกลวงด้วยหรือ”


ทันใดนั้น ทั้งลานก็เงียบกริบยิ่งกว่าที่เคย ทุกคนต่างกลั้นหายใจรอคอยคำตอบจากเทพเซียน แน่นอนว่าในใจพวกเขายังคลุมเครือ หากเทพเซียนตอบว่าเป็นคำลวง พวกเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป ทว่าอย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องถามคำถามนี้!


“อืม ถูกแล้ว ทุกคนสามารถเป็นเซียนได้” ตาแก่ลามกตอบอย่างไม่ลังเล “สำนักเจ็ดดาราไม่ได้โกหกเรื่องนี้”


เฮ้อ!


ทันใดนั้นทุกคนก็ถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก


“ทว่าสำหรับสำนักมาร นอกจากพวกเขาไม่ช่วยให้ผู้คนกลายเป็นเซียนแล้ว หึ พวกเขายังทำร้ายผู้คนจนเกินจะเยียวยาอีกด้วย เหยื่อของพวกเขามีมากมายนับไม่ถ้วนทีเดียว!”


พวกชาวบ้านที่เพิ่งกลับมามีความหวัง รู้สึกว่าจิตใจหนักอึ้งอีกครั้ง “เกินจะเยียวยา?”


“อืม โอสถเพาะรากวิญญาณและโอสถอื่นๆ ที่พวกเขาใช้ล้วนเป็นของเลียนแบบราคาถูก ไม่เท่านั้น พวกเขายังไม่รู้วิธีใช้โอสถที่ถูกต้อง พวกเขาให้ชาวบ้านกินโอสถที่ขายในราคาสูงลิ่วเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น การกินยาเช่นนั้นน่ะ หึ ต่อให้เป็นคนที่มีชะตาแห่งเซียนก็อาจถูกพิษของยาทำลายเอาได้!”


อู้เฟยฮวาเสริมขึ้นเงียบๆ “ความจริงแล้วมันก็ไม่แย่นักหรอก แม้พวกเจ้าจะกินโอสถเลียนแบบพวกนี้ อย่างแย่สุดมันก็แค่ไปทำลายรากวิญญาณของพวกเจ้า… ทว่าบางครั้งในการบำเพ็ญเซียนสายมาร สำนักเจ็ดดาราก็จะเอาชีวิตของพวกชาวบ้านไปเป็นเครื่องสังเวยเพื่อหลอมอาวุธมาร นั่นล่ะหายนะที่แท้จริง”


ตาแก่ลามกพยักหน้า “ถูกต้อง เดือนก่อน ในจังหวัดตงเต้า พวกเขาทำพิธีสังเวยเลือดดวงวิญญาณหนึ่งหมื่นดวง หึ ภายในรัศมีห้าสิบลี้ คนนับหมื่นต้องถูกเอามาทำพิธีสังเวยเลือด เป็นภาพที่น่าสยดสยองเกินกว่าจะมองดูได้จริงๆ”


“ใช่แล้ว แต่กลายเป็นว่าพิธีสังเวยเลือดดวงวิญญาณหนึ่งหมื่นดวงกลับไม่สมบูรณ์ หลังจากจบพิธี ชาวบ้านบางคนแทบไม่มีชีวิตรอด ร่างกายของพวกเขาเป็นแผลเน่าเปื่อยรุนแรง แต่ก็ยังไม่ตาย ต้องอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน แต่สำนักสายมารนั่นกลับยินดีกับความเศร้าโศกของชาวบ้านเหล่านั้น”


บทสนทนาโต้ตอบของคนคู่นี้ทำเอาชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นกลัวจนหัวหด


หวังฉี่เหนียนหัวหน้าหมู่บ้านละล่ำละลักถาม “ท่านเทพเซียน…สำนักเจ็ดดาราเคยมาที่นี่เมื่อสองปีก่อน พวกเขาจะสังเวยเลือดของเราไหม…”


สีหน้าของตาแก่ลามกขรึมลง “สองปี!? พวกเขามาที่นี่นานขนาดนั้นเชียว!?”


“ใช่ ใช่!” ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านร้องออกมาในทันใด “ท่านเทพเซียน ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย!”


อึดใจถัดมา ชาวบ้านนับร้อยต่างก็คุกเข่าลงทีละคน “ท่านเทพเซียน โปรดช่วยพวกเราด้วย!”


ตาแก่ลามกยื่นมือออกไปช่วยพยุงพวกเขาให้ลุกขึ้น “วางใจเถอะ ในเมื่อเรามาถึงที่นี่แล้ว เราจะไม่นิ่งดูดายแน่นอน… ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน เหตุใดไม่พาเราเดินดูหมู่บ้านเล่า เราต้องสำรวจที่นี่ทุกซอกทุกมุม!”


“โอ้ ได้แน่นอน ตาแก่อย่างข้าจะเป็นผู้นำทางท่านทั้งสองเอง!”


——


เทพเซียนทั้งสอง ตามหลังด้วยเหล่าชาวบ้านนับร้อย ค่อยๆ เดินสำรวจไปทั่วหมู่บ้าน… ไม่นานนัก พวกเขาก็เดินไปถึงป่าช้าด้านนอกหมู่บ้าน คนทั้งคู่ชำเลืองมองกัน จากนั้นอู้เฟยฮวาก็ร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว


“ไอมรณะหนาแน่นมาก! เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่!?”


ตาแก่ลามกแสดงสีหน้าหวาดหวั่น “ทะ ที่นี่เป็นสนามรบเก่าแก่หรือเปล่าเนี่ย ไอมรณะหนาแน่นเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องมีคนตายนับล้านๆ คนแน่!”


ตู้ม!


เหล่าชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังต่างพากันกลัวจนตัวสั่น!


ตาแก่ลามกพูดให้ขวัญกระเจิงต่อ “ผิดแล้ว! นี่ไม่ใช่การรวมตัวกันของไอมรณะแบบปกติ แต่เป็นค่ายกลพิเศษที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น… โอ้สวรรค์! พวกเขาใช้ค่ายกลหยินหยางเปลี่ยนการเรียงตัวของพลังปราณฟ้าดินที่อยู่รอบๆ ให้กลายเป็นไอมรณะ! ปกติแล้วไอมรณะที่มีคนทำขึ้นนี้จะอยู่กับที่นิ่งๆ แต่ค่ายกลของสำนักเจ็ดดารากลับใช้พลังหยางของคนในหมู่บ้านตระกูลหวังปลุกไอมรณะให้ตื่นขึ้นมา เมื่อไอมรณะถูกปลดปล่อยออกมา ในระยะห้าร้อยลี้จากที่นี่ ฮ่า แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่อาจเติบโตได้ ทว่าตอนนี้วิญญาณทหารที่ถูกฝังเอาไว้ยังไม่ตื่นขึ้นมาหรอกนะ!”


“เมื่อไอมรณะพวยพุ่งขึ้นมา วิญญาณทหารที่ถูกฝังเอาไว้เหล่านี้… พลังของพวกเขาจะมหาศาลขนาดไหนกันนะ!?” อู้เฟยฮวายกมือปิดปากเล็กๆ ของนาง ทำหน้าตื่นตระหนกสุดชีวิต “พวกเขาฝังสิ่งนี้ไว้เมื่อไหร่กัน!?”


“คงจะเมื่อนานมาแล้ว ตั้งแต่ตอนที่สำนักเที่ยงธรรมตีโอบพวกเขาไว้ พวกเขาจะได้หมดทางเลือก… ทว่าหากวิญญาณทหารเหล่านี้ตื่นขึ้นมาจริงๆ ในอนาคตพวกมันต้องสร้างปัญหาและทำให้สำนักเที่ยงธรรมอย่างเราต้องปวดหัวหนักแน่”


อู้เฟยฮวาขบฟัน “ศิษย์พี่ ท่านว่าหากเรารวมพลังกันจะสามารถทำลายค่ายกลหยินหยางนี่ได้หรือไม่”


“มากที่สุดข้ามั่นใจแค่สี่ส่วนเท่านั้น ทว่าหากเรายังล่าช้าอยู่ ก็มีความเป็นไปได้ที่ไอมรณะจะระเบิดออกมา โชคดีที่วันนี้ คำพยากรณ์บอกให้เราเดินทางมาตรวจสอบที่นี่ เราจึงพบสิ่งนี้ได้ทันเวลา เอาล่ะ ศิษย์น้องหญิง เรามาเริ่มกันดีกว่า!”


พูดจบ ดวงตาของตาแก่ลามกก็ดุร้ายขึ้น เขาตะโกนออกมาในทันที “ปรากฏตัว!”


วูบ!


ผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่ก็ปรากฏต่อสายตาของทุกคน ราวกับเมฆสีดำที่บดบังแสงของดวงอาทิตย์! ภายใต้ผ้าคลุมสีดำนั้นมีเงาของภูตผีซ้อนกันอยู่นับไม่ถ้วน ภูตผีที่มุ่งร้ายซึ่งถูกอาคมของเทพเซียนบังคับให้ปรากฏร่างจริง ลอยหวือไปทั่วทุกทิศทุกทาง!


มีชาวบ้านหน้าไหนเคยเห็นฉากเช่นนี้บ้าง ทันใดนั้นพวกเขาต่างก็คิดว่าวันโลกาวินาศได้มาถึงแล้วและร้องหาบิดามารดาตนกันจ้าละหวั่น


ตาแก่ลามกยิ้มเจ้าเล่ห์ ค่ายกลเป็นตายหยินหยางและผ้าคลุมดำถือเป็นผลงานชิ้นเอกของเขา เป็นเรื่องยากที่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานหรือตบะขั้นฝึกปราณระดับต่ำจะทำให้เกิดภาพลวงตาเช่นนี้ได้ ทว่าหากมีศิลาวิญญาณระดับสูงที่หวังลู่จัดหามาให้ร่วมด้วย มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจแสดงภาพลวงตานี้ได้นานนัก ดังนั้นถ้าว่ากันตามบทที่วางไว้ เขาต้องทำขั้นตอนต่อไปได้แล้ว


“ศิษย์พี่ ค่ายกลเป็นตายนี่ร้ายกาจมาก! เราเอาชนะมันไม่ได้แน่ๆ!”


“อย่างไรเสียเราก็ต้องลอง! ตอนนี้ภูตผีนับร้อยตัวปรากฏร่างเดิมแล้ว หากเราเอาชนะมันไม่ได้ ไอมรณะต้องระเบิดออกมาแน่ เจ้ากับข้าคงต้องตายโดยไม่ได้ฝัง!”


“แต่ แต่…ข้าต้านไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!”


“เจ้าต้องทำได้ อย่าเพิ่งยอมแพ้!”


“กะ ก็ได้!”


“…ศิษย์น้องหญิง อีกสักพักหากไอมรณะยังไม่จางลง เจ้าต้องรีบหนีไปนะ!”


“ข้าจะปล่อยท่านไว้คนเดียวได้อย่างไร! หากต้องตาย เราก็ต้องตายด้วยกัน!”


คนทั้งสองตะโกนใส่กันเสียงดัง หมกมุ่นอยู่กับบทบาทอย่างเต็มที่


ทว่าชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังพวกเขากลับรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นกว่าเดิม


ต่อหน้าดวงตาที่ตื่นตะลึงของพวกชาวบ้าน สาวงามนางหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาจากผ้าคลุมสีดำนั่น คิ้วโก่งงดงามขมวดมุ่นเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงสีหน้าไม่พอใจ


“พวกเจ้าสองคนทำอะไรกัน!?”


ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาหลุดออกมาจากฉากหายนะตรงหน้า เหงื่อเย็นท่วมใบหน้า นิ่งอึ้งไปอึดใจใหญ่ วินาทีถัดมา พวกเขาก็รีบคุกเข่าลงด้วยความตกใจ


“คารวะธิดาเทพเร็วเข้า!”


…………………………………………………….


ตอนที่ 11 กลับขึ้นสวรรค์อีกแล้ว!!! (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“คารวะธิดาเทพ!”


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น พอสงบจิตสงบใจได้แล้ว ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาก็คุกเข่าลงอย่างไม่ลังเลในทันใด


“หึ ข้ายอมรับพวกเจ้าทั้งสองจริงๆ ที่อาจหาญจะทำลายค่ายกลเป็นตายของสำนักเจ็ดดาราซึ่งเป็นค่ายกลระดับเจ้าสำนัก หากเจ้าสามารถทำลายมันได้ ทำไมไม่ขึ้นเป็นเจ้าสำนักเองเลยเสียล่ะ”


ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวารีบยอมรับความผิดพลาดทันที “พวกเราไม่ทันคิดให้รอบคอบ บังอาจกัดเนื้อชิ้นใหญ่เกินกว่าที่จะเคี้ยว เกือบนำหายนะมาสู่ตัวแท้ๆ ธิดาเทพ โปรดลงโทษพวกเราด้วยเถอะ!”


“ฮึ ช่างมันเถอะ อย่างไรเสียหายนะก็ยังไม่บังเกิด ทว่าพวกเจ้าทั้งสองต้องจดจำบทเรียนนี้ไว้ให้ขึ้นใจ ทำความดีนั้นเป็นเรื่องดี แต่หากทำเกินกำลังของตนก็ไม่ถือว่าดี”


คนทั้งคู่ผงกหัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นตาแก่ลามกก็ถามขึ้น “ธิดาเทพ เหตุใดท่านจึงมาที่นี่ได้”


ธิดาเทพกล่าวตอบ “แน่นอนว่ามาตามคำสั่ง… เบื้องบนพยากรณ์ว่าจะเกิดหายนะขึ้นที่นี่ ดังนั้นจึงส่งข้ามาดูสถานการณ์ ข้าเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้มาเจอพวกโง่เง่าอย่างพวกเจ้าหรอกนะ!”


อู้เฟยฮวารีบอธิบาย “ศิษย์พี่กับข้าก็มาที่นี่เพราะการพยากรณ์ เราจึงค้นพบเหตุการณ์น่าพิศวงนี่ ดังนั้นก็เลย…”


“หึ เหตุใดเจ้าถึงไม่พยากรณ์ตัวเองด้วยเล่า พวกเจ้าทั้งคู่ไม่เคยหยุดคิดสักนิดเลยหรือว่าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จริงๆ พวกเจ้าสองคนรับมือไหวหรือไม่!? ช่างเถอะ ข้าไม่มีเวลาต่อความกับพวกเจ้าหรอก ข้าต้องทำลายค่ายกลนี่เสียก่อน”


พูดจบ หญิงสาวที่มีสีหน้าวิตกกังวลก็สาวเท้าเข้าไปก้าวหนึ่ง ทว่าร่างของนางกลับเลื่อนไปอยู่เบื้องหลังกลุ่มชาวบ้านหลายวา เมื่อนางสาวเท้าเข้าไปอีกก้าว ชั่วพริบตาเดียว นางก็หายไปจากการมองเห็นของพวกชาวบ้านอย่างสิ้นเชิง


ผ่านไปพักใหญ่ เหล่าภูตผีและดวงวิญญาณที่แผดเสียงโหยหวนก็ออกมาจากมุมหนึ่งของหมู่บ้าน ทั้งยังมาพร้อมผ้าคลุมสีดำที่อยู่ในสภาพฉีกขาดยับเยิน ทำให้เหล่าชาวบ้านขนหัวลุกไปตามกัน


ตอนนี้เอง เหล่าชาวบ้านที่เพิ่งทุเลาจากการอกสั่นขวัญแขวนก็รวบรวมความกล้าเอ่ยถามขึ้นมา “ท่านเทพเซียน แม่นางคนนั้น…”


ตาแก่ลามกตอบพร้อมรอยยิ้มบิดเบี้ยว “ใช่แล้ว นางคือธิดาเทพของสำนักเรา นางเป็นที่เคารพบูชาอย่างยิ่ง ทั้งวิชาเซียนของนางก็ยังสูงส่งมากอีกด้วย… วันนี้หากธิดาเทพไม่ได้มาที่นี่ล่ะก็ พวกเราทั้งหมดคงต้องตายโดยที่ไม่มีดินกลบหน้าเสียแล้ว”


เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เหล่าชาวบ้านก็เพ่งสายตาไปที่จุดหนึ่งซึ่งอยู่ไกลโพ้นด้วยความเกรงขามเป็นที่สุด


“ธิดาเทพอุตส่าห์มาที่นี่แท้ๆ พวกเรา… พวกเรา” หัวหน้าหมู่บ้านหวังฉี่เหนียนพูดไม่ออก ใจของเขาเต้นแรงมาก


ตาแก่ลามกกล่าวตอบ “ท่านผู้เฒ่า ท่านไม่ต้องหวาดกลัวไป ธิดาเทพไม่สนใจเรื่องจุกจิกหยุมหยิมหรอก แม้บางครั้งนางจะอารมณ์ร้อนไปบ้าง แต่ปกติแล้วนางเป็นมิตรและจิตใจดี ท่านไม่ต้องรับรองนางให้เอิกเกริกไป ธิดาเทพมีงานยุ่งมาก เมื่อนางจัดการกับค่ายกลเป็นตายหยินหยางนี่แล้ว อีกแค่ครึ่งวันนางก็อาจจะจากไป”


“อ้า เร็วเกินไป!” หวังฉี่เหนียนและพวกชาวบ้านผงะ “แบบนี้มันไม่ถูกต้อง!”


พวกชาวบ้านต่างคิดว่า ในทางหนึ่ง พวกเขาไม่อยากลาจากผู้ที่มีพระคุณอย่างมหาศาลเช่นนี้ ส่วนอีกทางหนึ่งคือ โอกาสที่เทพเซียนตัวจริงจะมาเยี่ยมเยือนนั้นหาได้ยากยิ่ง หากพวกเขาปล่อยให้คนเหล่านี้กลับไปง่ายๆ มันก็ออกจะ…


ตาแก่ลามกถอนใจ “ธิดาเทพมีสถานะสูงส่งก็จริง แต่นางก็มีงานล้นมือ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร นางก็อยู่ในที่ที่หนึ่งได้ไม่นานนัก”


“เช่นนั้นอย่างน้อยก็ขอให้เราได้แสดงความขอบคุณกับธิดาเทพที่ช่วยเราไว้ด้วยเถอะ”


ตาแก่ลามกกำลังจะเอ่ยปากปราบพวกชาวบ้าน อู้เฟยฮวาก็ชิงเล่นบทตำรวจกังฉินทันที “ในเมื่อหมู่บ้านตระกูลหวังของพวกเจ้าเกือบถูกสำนักเจ็ดดาราเล่นงาน ก็มีโอกาสสูงไม่น้อยที่หมู่บ้านอื่นๆ อาจตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกัน แต่หากเรามัวแต่รั้งอยู่ที่นี่เพื่อกินของดีที่พวกเจ้านำมาให้ แล้วใครจะไปช่วยคนในหมู่บ้านอื่นๆ เล่า ถามหน่อยเถอะเจ้ารับผิดชอบไหวหรือหากต้องมีคนตายนับร้อยชีวิต”


เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักหน่วงเช่นนี้ ก็ไม่มีใครกล้าโต้แย้งอะไรอีก ทว่าทันใดนั้นเองเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก็ก็ดังขึ้นมา


“ฮ่าๆๆ เหตุใดพวกเจ้าจึงคิดจากไปไวนัก ที่อื่นๆ ก็ให้คนอื่นๆ รับผิดชอบไปสิ ธิดาเทพของเราไม่ใช่หน่วยดับเพลิงเสียหน่อย ข้าส่งนางมาที่นี่ก็ตั้งใจจะให้ทำงานระยะยาวนั่นล่ะ”


ระหว่างที่พูด ตัวเอกของละครเรื่องนี้ก็ปรากฏกายออกมา


เขาเป็นหนุ่มน้อยรูปร่างสันทัด ส่วนสูงปานกลาง ไม่มีจุดใดโดดเด่นเป็นพิเศษ ดูราวอายุสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี ทว่าประสบการณ์ชีวิตที่สะท้อนในดวงตาคล้ายไปทางชายแก่ ซึ่งแตกต่างอย่างใหญ่หลวงกับใบหน้าผ่อนคลายยิ้มแย้ม ทำให้เดาได้ยากว่าเขาอายุเท่าไรกันแน่


ชายผู้นี้เป็นใคร พวกชาวบ้านพากันสงสัยอยู่เป็นพักใหญ่


ความจริงชายหนุ่มผู้นี้คือหวังลู่ปลอมตัวมา หนำซ้ำยังเป็นการปลอมตัวอย่างลวกๆ ด้วย


เขาใช้วิธีเปลี่ยนรูปกระดูกเล็กน้อย และแต่งหน้าเพิ่มอีกนิดหน่อย มันคือภาพลักษณ์ของหวังลู่ในรูปแบบที่เรียบง่ายกว่า ในเมื่อร่างปลอมตัวนี้ไม่จำเป็นต้องออกมาบ่อย จึงไม่ต้องตกแต่งอย่างประณีตบรรจงนัก


การปรากฏกายของเขาถือเป็นจุดสำคัญที่สุดของละครเรื่องนี้ พวกเขาต้องใช้การเข้าหาชาวบ้านที่หลากหลายขั้นตอน เพื่อให้จิตใจของชาวบ้านเต็มเปี่ยมไปด้วยความยำเกรง จนกระทั่งกำแพงในใจของเหล่าคนโง่เง่าพวกนี้พังทลายลงมาอย่างสมบูรณ์


ซึ่งส่งผลดีต่อการล้างสมองในขั้นต่อไป


การปรากฏตัวของหวังลู่ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย คำพูดเพียงไม่กี่คำและใบหน้าเปื้อนยิ้มดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี พวกเขาต่างมองมาที่ชายหนุ่มด้วยสีหน้าเหม่อลอย


ทว่าท่ามกลางหมู่ชาวบ้านนับร้อยๆ คน บางคนก็มีสมองฉลาดหลักแหลมและจับส่วนสำคัญในประโยคได้!


ข้าส่งนางมาที่นี่…


เมื่อตระหนักได้ถึงความหมายของประโยคดังกล่าว พวกที่ฉลาดก็รู้สึกราวกับว่าวิสัยทัศน์เบื้องหน้าดำมืดไป โลกทัศน์ที่ถูกตีให้สั่นคลอนซ้ำๆ เริ่มสั่นไหวอีกครั้ง


แน่นอนว่าหลายคนก็รีบปฏิเสธหัวชนฝา


“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงกล้าพูดจาเช่นนั้นกับท่านเทพเซียน!?”


ชาวบ้านกักขฬะสมองทึบใจร้อนคนหนึ่งคำรามออกมา ทว่าทันใดนั้นเขาก็เห็นสายตาเย็นชาของตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาจ้องมองมาที่เขา เมื่อเทพเซียนทั้งสองจ้องเขม็งมา เขาก็ล้มทั้งยืนในทันที ของเหลวอุ่นๆ ไหลออกมาจากหว่างขา


แน่นอนว่าปุถุชนธรรมดาย่อมฉี่ราดตัวเองแน่หากพวกเขากล้าพูดจายั่วยุผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับสูงหรือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานระดับต่ำ


หลังจากอวดทักษะเซียนแล้ว คนทั้งคู่ก็คุกเข่าลงอย่างนอบน้อมต่อหน้าเด็กหนุ่มที่ลอยมาจากกลางอากาศ ซึ่งเป็นไปตามที่เตี๊ยมกันไว้เป๊ะ


“คารวะท่านเจ้าสำนัก!”


ตู้ม!


เมื่อได้เห็นตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาคุกเข่าลงเบื้องหน้าเด็กหนุ่ม ชาวบ้านทั้งหลายก็ขวัญหนีในทันที คารวะท่านเจ้าสำนัก! เป็นเจ้าสำนักจริงๆ สินะ!


แม้ว่าชาวบ้านเหล่านี้จะโง่เขลาเพียงไร แต่พวกเขาย่อมรู้ความหมายของคำว่าเจ้าสำนักดี… สำหรับชาวบ้านเหล่านี้ การได้พบเจ้าสำนักก็อาจทำให้รู้สึกพรั่นพรึงได้พอๆ กับการได้พบจักรพรรดิ ซึ่งสุดที่จะจินตนาการได้สำหรับพวกเขา


ในเมื่อยากที่จะจินตนาการได้ พวกเขาจึงได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่กับที่ หวังลู่ยิ้มหยันอยู่ในใจ พลางคิดว่ากลุ่มชาวบ้านผู้โง่เขลาเหล่านี้สมควรที่จะถูกเก็บภาษีสติปัญญาแล้ว ในอดีต แม้แต่สำนักเจ็ดดาราชั้นต่ำนั่นยังสามารถล่อลวงคนพวกนี้ได้ง่ายๆ ตอนนี้ในเมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับมืออาชีพ ดังนั้นแล้วจึงไม่มีทางที่จะต้านทานได้แน่นอน


แม้ในใจจะดูหมิ่นคนพวกนี้เพียงไร แต่หวังลู่ก็ยังเล่นบทบาทของเขาได้อย่างแนบเนียน


“คารวะอะไรกัน ไม่ต้องมากพิธีไปหรอก!” หวังลู่ยิ้มพลางโบกไม้โบกมือ อีกสองคนก็แสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติราวกับมีมือที่มองไม่เห็นประคองพวกเขาขึ้นมา จากนั้นก็มายืนอยู่ข้างๆ ด้วยความอ่อนน้อม


การแสดงที่สมจริงของตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาทำให้เหล่าชาวบ้านตกตะลึงอีกครั้งหนึ่ง และยิ่งตอกย้ำความกลัวและหวั่นเกรงที่มีต่อหวังลู่ผู้เป็นเจ้าสำนักให้หยั่งรากลึกเข้าไปใหญ่


……………………………………………….


ตอนที่ 11 กลับขึ้นสวรรค์อีกแล้ว!!! (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทว่าละครฉากนี้ยังไม่จบ ก่อนหน้านี้ตอนที่ธิดาเทพปรากฏตัวขึ้น สถานะของตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาในสายตาของชาวบ้านก็ต่ำลงเล็กน้อย และหลังจากนั้นไม่นาน ธิดาเทพผู้จัดการค่ายกลเป็นตายหยินหยางได้สำเร็จก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างถูกเวลา


“หือ เจ้าสำนัก ท่านอยู่ที่นี่เอง ไหนบอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการมิใช่หรือ”


“เพราะข้ายังไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเจ้า อย่างไรเสียนี่ก็เป็นค่ายกลในระดับเจ้าสำนัก หากเจ้าถูกฆ่าตาย อย่างน้อยข้าก็จะได้เผาธูปไปให้ได้”


“ระยำ! ความคิดอะไรของท่านน่ะ!?”


“มันคือความดูแลเอาใจใส่ที่ผู้เป็นนายมีต่อผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไรเล่า… ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เจอกัน เจ้าไม่เคยคุกเข่าหรือกล่าวทักทายข้าเลย ทำเอาข้ารู้สึกกังวลมาก ขอถามตามตรง หรือเจ้าคิดจะแย่งตำแหน่งข้า”


“แย่งตำแหน่งน้องสาวเจ้าสิ!” หญิงสาวพูดย้อน แต่ก็ยังทำความเคารพหวังลู่อย่างไม่เต็มใจ สักพักนางก็เบ้ปาก


การพูดจาโต้ตอบอย่างมีชีวิตชีวานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการแสดงเช่นกัน แม้ในทางทฤษฎีเจ้าสำนักที่เคร่งขรึมและสูงส่งจะดูเหมาะควรที่จะควบคุมกลุ่มคนที่โง่เขลามากกว่า ทว่าประการแรก หากเขายังคิดพึ่งพานักแสดงมือสมัครเล่นพวกนี้ต่อไป ก็มีความเป็นไปได้ที่คนพวกนี้จะแสดงกันเลยเถิด อย่างน้อยหากเขาคาดหวังว่าเถ้าแก่เนี้ยจะคุกเข่าทำความเคารพเขา บอกเลยว่าโอกาสที่จะกลายเป็นภาพแขวนผนังยังมีมากกว่าเสียอีก ประการที่สอง หวังลู่ไม่ต้องการเอาอย่างสำนักตามแบบแผนทั่วไป หากเขาคิดจะใช้สถานะของตาแก่ลามกในสำนักเจ็ดดาราเพื่อบรรลุเป้าหมายที่นี่ก็ย่อมได้ ทว่าเขาชังสำนักเจ็ดดารายิ่งนัก และในเมื่อเขาตัดสินใจเปิดสำนักเอง หากเขาไม่ใช้วิธีใหม่ๆ ในการจัดการสิ่งต่างๆ เขาก็ไม่คู่ควรกับตำแหน่งนักผจญภัยมืออาชีพแล้ว ดังนั้น เขาจึงอยากให้ละครเรื่องนี้ทำลายชื่อเสียงและเกียรติยศของสำนักเจ็ดดาราที่มีในหมู่บ้านนี้ให้สิ้นซาก


จากนั้นค่อยให้พวกชาวบ้านที่โง่เขลาและไร้สติได้ลิ้มรสความน่าเกรงขามของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาดู


แน่นอนเมื่อได้เห็นว่าเจ้าสำนักผู้นี้มิใช่บุคคลที่สูงส่งจนเข้าไม่ถึง จิตใจของชาวบ้านหลายคนก็เริ่มหวั่นไหว


“ประทานโทษเถิดท่านเทพเซียน…” หวังฉี่เหนียนทำตัวเป็นโฆษกประจำหมู่บ้านอีกครั้ง ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ เขาได้รวบรวมความกล้าเพื่อคนทั้งหมู่บ้าน


ทว่าก่อนที่เขาจะได้พูดต่อ หวังลู่ก็ขัดเขาเสียก่อน “หมู่บ้านตระกูลหวังเป็นพื้นที่ที่ล้ำค่า ทั้งยังมีฮวงจุ้ยที่ดี จากทั่วทุกที่ในโลกมนุษย์ ที่นี่เหมาะสมที่สุดที่จะตั้งแท่นบูชา โชคร้ายที่เวลาในโลกมนุษย์ของข้ากำลังจะหมดลง และข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินทางกลับโลกแห่งเซียน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาตั้งแท่นบูชา ข้าจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง”


พูดจบ ร่างของเขาก็อันตรธานหายไป ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทำให้ถ้อยคำนับพันคำที่ผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านต้องการพูดออกมาค้างเติ่งอยู่ในลำคอ


จากนั้นเขาก็ได้ยินอู้เฟยฮวาถอนหายใจ “ท่านเจ้าสำนักกลับไปยังโลกแห่งเซียนอีกครั้งแล้ว”


ตาแก่ลามกผงกหัวเบาๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส “เขาเป็นคนของโลกแห่งเซียนโดยแท้ เขามาไม่เห็นเงาไปไม่ทิ้งรอยเท้า เหมือนเวลาที่ได้เห็นมังกร ก่อนที่เราจะได้เห็นหัวของมัน หางของมันก็หายไปเสียแล้ว!”


เมื่อได้ยินบทสนทนาจากบุคคลข้างๆ ธิดาเทพก็ถึงกับอับจนคำพูด พลางคิดว่าสองคนนี้ชักจะเข้าถึงบทบาทเกิดไปหน่อย แล้วเรื่องก่อนเห็นหัวมังกร หางมังกรก็หายไปเสียแล้วนี่มันอะไรกัน ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งร่ายอาคมพรางตาให้กับหวังลู่หรอกหรือ ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นก็ยืนเงียบๆ อยู่ข้างๆ นางอยู่นี่!


ทว่ามีเพียงการเล่นละครอย่างสมบทบาทเท่านั้นจึงจะเอาชนะใจพวกชาวบ้านได้


แน่นอนว่า เมื่อหวังฉี่เหนียนที่ได้ยินคำว่าโลกแห่งเซียนเขาก็นิ่งอึ้งไป “ท่านเจ้าสำนักเป็นเซียนจริงๆ หรือ!?”


แม้คนจากหมู่บ้านตระกูลหวังจะเรียกพวกเขาว่าเทพเซียนมาตั้งแต่สมัยสำนักเจ็ดดารา แต่พวกเขาก็รู้ว่าคนพวกนี้เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียน ไม่ใช่เซียนจริงๆ แต่แม้ ‘เทพเซียน’ เหล่านี้จะเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียน พวกเขาก็สูงส่งกว่าปุถุชนธรรมดาหลายเท่านัก ดังนั้นพวกชาวบ้านจึงพากันประจบสอพลอคนเหล่านี้อย่างตั้งอกตั้งใจ


แต่เมื่อได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้… เด็กหนุ่มนั่นเป็นเซียนจริงๆ หรือ!? ทว่าเมื่อพวกเขาใคร่ครวญดูให้ดีแล้ว มันก็ดูไม่แปลกแต่อย่างใด


ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวา ความสามารถของเทพเซียนสองคนนี้น่าอัศจรรย์โดยแท้ ต่อมาธิดาเทพกลับแสดงให้เห็นว่านางมีพลังแก่กล้ายิ่งกว่าสองคนนั้นเสียอีก สุดท้ายเมื่อเจ้าสำนักมาถึง แม้แต่ธิดาเทพยังต้องรายงานต่อเขา เมื่อคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่สืบเนื่องกันเป็นชั้นๆ เช่นนี้ ก็ทำให้หวังฉี่เหนียนได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว


หากเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ใช่เซียนที่แท้จริง แล้วเขาจะมีอำนาจเหนือบุคคลที่ทรงอำนาจเบื้องหน้าเขาได้อย่างไร


ตาแก่ลามกเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “แน่นอนว่าท่านเจ้าสำนักเป็นเซียนที่แท้จริง! โชคร้ายที่เจ้าสำนักถูกกฎของโลกแห่งเซียนผูกมัดเอาไว้ เขาต้องเว้นช่วงสักหน่อยก่อนที่จะลงมายังโลกอีกครั้งได้ ทุกครั้งที่เขาลงมายังโลกเบื้องล่างนี้ เขาต้องรวบรวมกายเนื้อขึ้นมาก่อน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในเมื่อพวกเจ้ามีโอกาสได้เห็นเขา นั่นถือเป็นพรอันใหญ่หลวงไปชั่วชีวิตของพวกเจ้าแล้ว”


พวกชาวบ้านคำนับเลียนแบบตาแก่ลามกอย่างรวดเร็ว


คราวนี้ ผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านก็แสดงภูมิปัญญาที่โดดเด่นออกมา “เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านเจ้าสำนักพูดว่าหมู่บ้านตระกูลหวังของเราเป็นพื้นที่ที่ล้ำค่า ทั้งยังมีฮวงจุ้ยที่ดี ไม่ทราบว่า…”


ตาแก่ลามกตอบ “ที่นี่อุดมไปด้วยพลังปราณฟ้าดิน เป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมในการบำเพ็ญเซียน สำนักเจ็ดดาราเมื่อตรวจพบพลังปราณฟ้าดินจำนวนมากนี้ ก็ได้ตั้งค่ายกลเป็นตายหยินหยางขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนพลังปราณฟ้าดินให้กลายเป็นไอมรณะ… สถานที่เช่นนี้พบเห็นได้ยากในอาณาจักรเก้าแคว้น โชคร้ายที่แม้สำนักเจ็ดดาราจะเป็นเจ้าแรกที่ค้นพบขุมทรัพย์นี้ แต่พวกเขากลับต้องการทำลายมันเพื่อสังเวยให้กับการหลอมอาวุธมาร วิสัยทัศน์ของพวกเขานับว่าตื้นเขินยิ่งนัก!”


เป็นธรรมดาที่หวังฉี่เหนียนย่อมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพลังปราณฟ้าดินและอาวุธมารมากนัก เขารู้เพียงแต่ว่าต้องฉวยโอกาสนี้ไว้!


หัวหน้าหมู่บ้านใคร่ครวญคำพูดที่เจ้าสำนักกล่าวออกมา เพื่อตั้งแท่นบูชา เพื่อฝึกฝน… หัวใจของชายชราไม่อาจหยุดเต้นกระหน่ำได้


จากนั้นเขาก็นึกถึงช่วงเวลาที่คนของสำนักเจ็ดดารายังอยู่ในหมู่บ้าน แม้หลังจากที่ชาวบ้านประจบสอพลอทูตของสำนักและผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ จนกระทั่งยอมสร้างอาคารให้พวกเขาได้พำนัก แต่ก็ทำให้พวกเขาอยู่ที่นี่ได้เพียงชั่วคราวเพื่อสั่งสอนชาวบ้านเรื่องโลกแห่งเซียนเท่านั้น แน่นอนว่าตอนนี้ทุกอย่างดูเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น นั่นเพราะอีกฝ่ายตั้งใจจะทำลายหมู่บ้านแห่งนี้แต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน ทว่าดูเหมือนสำนักภูมิปัญญาแห่งนี้ต้องการตั้งแท่นบูชาขึ้นที่นี่ ดังนั้น…


“ท่านเทพเซียน ข้าขอถามหน่อยว่า ตอนที่ท่านเจ้าสำนักบอกว่าจะตั้งแท่นบูชาขึ้นที่นี่ เขาหมายความว่าอย่างไร…”


“สิ่งที่เรียกว่าการตั้งแท่นบูชานั้นก็คือการก่อสร้างเครื่องมือที่สามารถควบรวมพลังปราณฟ้าดินและเปลี่ยนมันให้เป็นของจำพวกลูกกลอนวิญญาณหรือศิลาวิญญาณ ซึ่งจะช่วยผู้บำเพ็ญเซียนในการบำเพ็ญเซียน แต่ข้าว่าท่านเจ้าสำนักก็ไม่ได้จริงจังมากมายหรอก เป็นการพูดไปเรื่อยมากกว่า การตั้งแท่นบูชาอาจเปลี่ยนทิศทางสนามพลังวิญญาณฟ้าดินและมีผลต่อฮวงจุ้ยได้ และอย่างน้อยก็ต้องได้รับการเห็นชอบจากคนในหมู่บ้านก่อน”


แน่นอนว่าหวังฉี่เหนียนเห็นด้วย เขาผงกหัวหลายต่อหลายครั้ง “ท่านเทพเซียนคือผู้กอบกู้หมู่บ้านเรา ดังนั้นสร้างได้เลยอย่าได้เกรงใจ!”


“หากเป็นเช่นนั้น… ธิดาเทพ ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”


ธิดาเทพจะคิดเห็นเช่นไรได้ นางเบื่อหน่ายกับการดูละครนี่เต็มทนแล้ว “หากเจ้าอยากสร้าง ก็สร้างเลยสิ”


ตาแก่ลามกผงะ เหตุใดธิดาเทพจึงไม่เล่นตามบทเล่า!? ตามบทที่กำหนดไว้ นางต้องทำท่ากระตือรือร้นเล็กน้อย ทำท่าตื่นเต้นอีกนิดหน่อยมิใช่หรือ!?


ทว่าตาแก่ลามกนั่นคู่ควรแล้วกับการเป็นอดีตนักต้มตุ๋นมืออาชีพ การตอบสนองของเขารวดเร็วมาก “ในเมื่อธิดาเทพเห็นดีเห็นงามด้วย งั้นข้าว่าเราควรจะลงแรงกึ่งหนึ่งให้ได้ผลถึงสองเท่า… เฟยฮวากับข้าจะไปตระเตรียมวัตถุดิบต่างๆ เสียก่อน อีกสองวันจากนี้เราจะกลับมาเพื่อตั้งแท่นบูชา!”


…………………………………………………..


ตอนที่ 12 เจ้าย่อมไม่เข้าใจโลกของศิษย์แถวหน้า (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาเองก็สงสัยเช่นกัน คำกล่าวของหวังลู่เรื่องแท่นบูชานั้นเป็นความจริง ทุกสำนักในพันธมิตรหมื่นเซียนไม่ว่าใหญ่หรือเล็กต่างก็มีแท่นบูชาของตัวเองทั้งนั้น แท่นบูชานั้นสามารถควบรวมพลังปราณวิญญาณฟ้าดินและเปลี่ยนให้เป็นสิ่งวิเศษต่างๆ มากมาย ทว่าสิ่งง่ายๆ เช่นแท่นบูชานี้ สำนักสวะอย่างสำนักเจ็ดดารากลับไม่เคยมีไว้ในครอบครอง นั่นเพราะพวกเขาสร้างไม่เป็นนั่นเอง


แม้แท่นบูชาจะดูเป็นสิ่งที่เรียบง่าย แต่ทักษะและเคล็ดลับที่จะใช้ในการสร้างนั้นกลับสูงลิบอย่างไม่น่าเชื่อ! เจ้าสำนักเจ็ดดารามีตบะเซียนอยู่ในขั้นพิสุทธิ์ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังไม่อาจสร้างแท่นบูชาจริงๆ ได้! ณ ตอนนี้ หลังจากที่ออมเงินมาหลายปี สำนักเจ็ดดาราก็ทำได้เพียงซื้อภาชนะหักๆ มาจากหอนภาเร้นลับเท่านั้น พวกเขาจึงจำต้องตั้งค่ายกลห้าธาตุเหนือภาชนะที่ว่าเพื่อเป็น ‘ตั้งบูชา’ ขึ้นมา ดังนั้นอัตราการควบรวมพลังปราณฟ้าดินจึงไม่สูงนัก และของวิเศษที่เปลี่ยนสภาพมานั้นก็มีจำกัด… แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้หลายสำนักอิจฉาแล้ว หากเป็นแท่นบูชาของจริง สำนักอื่นๆ จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกันนะ ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาไม่กล้าคิดเลยจริงๆ!


สำหรับหวังลู่ แม้เขาจะมีปูมหลังที่โดดเด่น แต่ทว่าเพิ่งบำเพ็ญเซียนมาเพียงสองปีเท่านั้น ตบะเซียนของเขาอยู่เพียงขั้นฝึกปราณระดับต่ำ แล้วจะรู้วิธีสร้างแท่นบูชาได้อย่างไร


ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงฮึมาจากหวังลู่ “พวกเจ้าประเมินศิษย์แถวหน้าของสำนักกระบี่วิญญาณต่ำไปแล้ว”


พูดจบหวังลู่ก็หยิบหนังสือชื่อ ‘ความรู้พื้นฐานเรื่องแท่นบูชา โดย ลู่หลี’ ออกมา จากนั้นก็ไล่อ่านไปทีละหน้า


เลือดในกายของธิดาเทพเกือบจะปะทุออกมา “เจ้า…เจ้าเพิ่งจะมาอ่านงั้นรึ!?”


หวังลู่เหยียดยิ้ม “เพิ่งจะอ่าน? คำพูดนี้ถือเป็นการดูหมิ่นศิษย์แถวหน้าชัดๆ ข้าจะบอกให้นะ ศิษย์แถวหน้าที่แท้จริงน่ะไม่ใช่ว่าเพิ่งอ่านตอนที่จะใช้หรอก! ข้าน่ะอ่านมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ข้าก็แค่ทบทวนนิดหน่อย!”


“นี่เจ้า… แต่หนังสือเรื่องความรู้พื้นฐานเรื่องแท่นบูชานี่อย่างน้อยไม่ใช่สำหรับพวกตบะขั้นสร้างฐานหรอกหรือ เจ้ายังไม่สำเร็จขั้นหลอมร่างเลย แล้วจะอ่านไปเพื่ออะไรกัน”


“ศิษย์แถวหน้าไม่เคยตั้งคำถามว่าวิชานี้มีประโยชน์หรือไม่ เขาจะถามเพียงว่าวิชานี้ได้คะแนนเท่าไหร่!”


“บ้าเถอะ! นี่มันปกติมนุษย์ที่ไหน! แต่หากเจ้ารู้เพียงทฤษฎีแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร แถมเจ้ายังศึกษาเรื่องนี้เมื่อนมนานมาแล้ว หากเจ้าคิดจะทบทวนตอนนี้ ข้าก็เกรงว่ามันจะสายเกินไป”


หวังลู่ยิ้มหยัน “ด้วยสติปัญญาอย่างท่าน ไม่แปลกที่จะไม่เข้าใจประสิทธิภาพของการทบทวนวิชาของศิษย์แถวหน้า”


“เอาเถอะพ่อศิษย์แถวหน้า แล้วเจ้าคิดจะทบทวนวิชานี้เสร็จเมื่อไหร่เล่า”


หวังลู่ส่งเสียงฮึ “ขอข้าสองนาที”


พูดจบเขาก็เริ่มพลิกหน้าหนังสือแบบสุ่มๆ จากนั้นก็ปิดมัน “เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว”


“…นี่เจ้าแกล้งทำใช่ไหมเนี่ย”


“การตั้งแท่นบูชานั้นไม่ใช่เรื่องยากหากคำนวณสถานที่ตั้งมาเป็นอย่างดี เลือกประเภทของแท่นบูชาที่เหมาะสมตามหลักเกณฑ์ และตระเตรียมวัตถุดิบพื้นฐานให้เรียบร้อย ปัญหาที่เหลือก็คือ จะสร้างกระแสพลังปราณเพื่อก่อกำเนิดวงโคจรของพลังปราณฟ้าดินได้อย่างไร เก้าในสิบส่วนของหนังสือความรู้พื้นฐานเรื่องแท่นบูชาเล่มนี้อธิบายถึงกระแสพลังปราณ และในส่วนนี้ข้าก็จำได้จนขึ้นใจแล้ว”


ธิดาเทพขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่านางไม่เข้าใจสิ่งที่หวังลู่กล่าวแม้แต่น้อย


นั่นเพราะนางบำเพ็ญเซียนไม่ได้ เฟิงหลิงจึงไม่ได้สนใจศึกษาทฤษฎีของการบำเพ็ญเซียน ความรู้เกี่ยวกับโลกบำเพ็ญเซียนของนางก็มาจากการได้ยินผู้คนบนภูเขาพูดคุยกัน ดังนั้นพอเป็นเรื่องทฤษฎีที่จริงจัง นางก็ถึงกับมึนงงไม่น้อย


แต่สำหรับตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวานั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะกับตาแก่ลามก ซึ่งเกี่ยวพันกับความพยายามหลายต่อหลายครั้งในการตั้งแท่นบูชาของสำนักเก่า หลังจากที่ล้มเหลวต่อเนื่องกัน เขาก็มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี


การสร้างกระแสพลังปราณนั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวด อาจพูดได้ว่าการตระเตรียมสิ่งอื่นๆ เช่น การเลือกวัตถุดิบ การตั้งค่ายกลที่เข้ากัน รวมถึงการเลือกวันที่เป็นมงคลนั้นก็เพื่อจุดประสงค์นี้ทั้งนั้น


ทว่าการสร้างกระแสพลังปราณนั้นนับเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ ซึ่งถือว่ายากพอๆ กับขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว สำหรับสำนักที่อยู่ในพันธมิตรหมื่นเซียน ขอเพียงพวกเขามีผู้เชี่ยวชาญตบะขั้นสร้างแกน และหากผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวใช้วิธีนั่งกรรมฐานระดับลึก ก็สามารถควบคุมพลังปราณวิญญาณฟ้าดินเพื่อสร้างวงโคจรของกระแสพลังปราณได้ ทว่า…ผู้เชี่ยวชาญตบะขั้นสร้างแกนผู้สูงศักดิ์จะยอมลดตัวสุงสิงกับสำนักเจ็ดดาราได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า เป็นการยากที่ผู้เชี่ยวชาญตบะขั้นสร้างแกนจะนั่งกรรมฐานระดับลึกได้โดยไม่มีแหล่งพลังงานจากสำนักที่อยู่ในพันธมิตรหมื่นเซียน


เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณระดับต่ำอย่างหวังลู่จะเทียบผู้เชี่ยวชาญตบะขั้นสร้างแกนได้อย่างไร


“อืม เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องจุกจิกเช่นนี้หรอก ขอแค่ไปรวบรวมวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องมาก็พอ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”


ตาแก่ลามกพยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้ การตั้งแท่นบูชา สร้างประแสพลังปราณ เรื่องพวกนี้ถือเป็นแก่นความรู้ของสำนัก ไม่แปลกอะไรที่หวังลู่จะไม่แพร่งพรายให้รู้ ทว่า…แล้วพวกเขาจะไปรวบรวมวัตถุดิบมาจากที่ใดเล่า


“แน่นอนว่าเจ้าต้องไปซื้อมา อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นผู้มีอิทธิพลในอาณาจักรเก้าแคว้นนี่ เพราะงั้นเจ้าต้องรู้จักคนที่ขายของพวกนี้สิ จริงไหม”


ขณะพูดหวังลู่ก็หยิบย่ามสีเหลืองหม่นมาจากข้างลำตัว หยิบปากกาและกระดาษออกมา แล้วเริ่มเขียนรายการสิ่งของที่ต้องการลงไป จากนั้นก็โยนมาให้ตาแก่ลามก “ซื้อของที่อยู่ในรายการนี่มา อย่าให้ขาดให้เกินแม้แต่อย่างเดียว”


ตาแก่ลามกมองไปยังรายการแล้วก็รู้สึกอยากกระอักเลือดในทันที “ทองคำระดับเจ็ด ดินดำระดับสี่ เปลวไฟระดับหก ท่านผู้จัดการ ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ!”


อู้เฟยฮวาซึ่งได้ยินสิ่งที่ตาแก่ลามกพูดก็อดเบิกตาโพลงไม่ได้ “ของแต่ละอย่างนี่อย่างน้อยก็ราคาหลายร้อยศิลาวิญญาณ เราจะมีปัญญาจ่ายได้อย่างไร!?”


ครั้งนี้ถึงคราวหวังลู่ประหลาดใจบ้าง “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้ยึดครองเมืองหลวงของจังหวัดอยู่หรอกหรือ เงินไม่กี่แสนศิลาวิญญาณถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก แล้วกับอีแค่ไม่กี่ร้อยศิลาวิญญาณทำไมเจ้าถึงไม่มีปัญญาจ่าย”


ตาแก่ลามกร้องโอดโอยออกมาทันใด “เงินเป็นแสนศิลาวิญญาณนั่นถือเป็นรายได้ของสำนัก ไม่ใช่รายได้ส่วนตัวของข้าเสียหน่อย! ค่าดูแลจัดการของสำนักก็สูงไม่น้อย หากว่ากันตามตำแหน่งแล้ว เจ้าสำนักย่อมต้องหาประโยชน์จากเงินจำนวนนั้นก่อนผู้อาวุโสทั้งหลาย ดังนั้นกว่าเงินจะมาถึงมือข้าก็เหลือไม่มากแล้ว! หนำซ้ำข้ายังต้องใช้มันไปกับการบำเพ็ญเซียน! เงินที่ต้องใช้จ่ายไปกับโอสถต่างๆ ถือว่าไม่น้อย สุดท้ายข้าก็มีเงินเก็บเพียงไม่กี่ศิลาวิญญาณเท่านั้น!”


หวังลู่ถอนหายใจ “พูดสั้นๆ ก็คือเจ้าไม่มีเงิน ก็ได้ ข้าจะออกให้ก่อน”


จากนั้นเขาก็เปิดย่ามสีเหลืองหม่นแล้วหยิบหยกโปร่งแสงซึ่งมีประกายแวววาวจนคนอื่นๆ ตาพร่าออกมา


“นี่ นี่มันศิลาวิญญาณระดับสูงสุดนี่นา!” แม้จะใช้ชื่อของสำนักเจ็ดดารากวาดเงินมาหลายต่อหลายปี แต่ตาแก่ลามกกลับยังไม่เคยเห็นศิลาวิญญาณชั้นสูงเช่นนี้มาก่อน ศิลาวิญญาณประเภทนี้บริสุทธิ์มากเพราะเปี่ยมไปด้วยพลังปราณจำนวนมาก ศิลาวิญญาณชิ้นนี้มีค่ามากกว่าศิลาวิญญาณชั้นสูงทั่วไปถึงสิบเท่า แต่กระนั้นหวังลู่กลับดึงมันขึ้นมาจากย่ามอย่างไม่ใส่ใจ! หนำซ้ำศิลาวิญญาณนี่ยังมีค่ามากกว่าศิลาวิญญาณที่เขาสะสมมาหลายปีด้วยซ้ำ!


แม้แต่ธิดาเทพเองก็ประหลาดใจเช่นกัน ยอดเขาไร้ลักษณ์โด่งดังเรื่องความอัตคัดมาตลอด แล้วหวังลู่ไปเอาศิลาวิญญาณมีค่าเช่นนี้มาจากไหนกัน


แน่นอนว่าต้องใช้แต้มการเรียนแลกมาแน่ ในฐานะศิษย์แถวหน้าของสำนักกระบี่วิญญาณแล้ว แม้หวังลู่จะยากจน แต่ก็ไม่ได้ข้นแค้นขนาดนั้น


“เอาห้าร้อยศิลาวิญญาณนี่ไปแล้วไปซื้อวัตถุดิบมาให้ได้ภายในสองวัน จากนั้นเราจะตั้งแท่นบูชากันที่หมู่บ้านตระกูลหวัง เฮ้ อย่างไรเสียมันก็จะเป็นฐานที่ตั้งหลักของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาของเราแล้ว ดังนั้นก็ควรจะทำให้สวยๆ หน่อย”


……………………………………………….


ตอนที่ 12 เจ้าย่อมไม่เข้าใจโลกของศิษย์แถวหน้า (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากที่คนของสำนักภูมิปัญญาออกจากหมู่บ้านตระกูลหวังไปแล้ว พวกชาวบ้านก็เกิดอาการสับสนในทันที


ผู้คนเกือบทั้งหมู่บ้านจำนวนหลายร้อยคนกำลังส่งเสียงดังเอ็ดตะโรอยู่หน้าบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน


แค่เพียงครึ่งวันก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายที่หมู่บ้านตระกูลหวัง จนเหล่าชาวบ้านที่ไม่ได้เห็นโลกมามากมายนักเกิดความโกลาหลขึ้น และท่ามกลางความโกลาหลนี้ พวกเขาต้องการใครสักคนที่จะนำทางออกจากเขาวงกตนี้ และบุคคลที่คู่ควรอย่างที่สุดจะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจากหวังฉี่เหนียน?


“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน เหตุใดท่านจึงด่วนตกลงใจให้พวกเขาสร้างแท่นบูชาเล่า พวกเขาเองก็บอกว่ามันจะส่งผลกระทบต่อพลังปราณฟ้าดินมิใช่หรือ อย่างไรเสียพลังปราณอะไรนั่นก็เป็นของหมู่บ้านเรา เหตุใดจึงยกให้พวกเขาง่ายๆ หนำซ้ำหากพลังปราณฟ้าดินมีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ จะไม่ใช่ว่า…”


เด็กหนุ่มเฉลียวฉลาดคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย


หวังฉี่เหนียนเงยหน้าขึ้นพลางดุเขา “โง่เง่า! เจ้ารู้หรือว่าพลังปราณฟ้าดินคืออะไร รู้หรือว่าใช้อย่างไร สองปีหลังมานี่ข้าไม่รู้เลยว่ามีพลังปราณฟ้าดินมากเท่าไหร่ที่โดนผลกระทบจากสำนักมารเจ็ดดารานั่น แล้วเจ้าล่ะรู้สึกหรือเปล่า ชีวิตของเจ้าสั้นลงหรือเปล่า นี่เป็นเรื่องของเหล่าเทพเซียนพวกนั้น เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลแทนหรอก!? คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน!”


หลังจากถูกตำหนิชุดใหญ่ เด็กหนุ่มผู้นั้นก็ถอยหลังกลับไปในทันใด แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อแม้แต่น้อย


หวังฉี่เหนียนถอนใจแล้วกล่าวต่อ “ยังไม่รวมที่พวกเขาเป็นผู้มีพระคุณของเรา หากไม่ได้สำนักภูมิปัญญา คนในหมู่บ้านตระกูลหวังก็คงต้องตายศพไม่ได้ถูกฝังเสียแล้ว พวกเจ้าไม่เห็นภูตผีและวิญญาณที่ลอยอยู่เต็มฟ้าในตอนนั้นหรอกหรือ น่ากลัวจะตายไป! ข้ารับความกรุณาจากพวกเขา แต่พวกเจ้ากลับอยากจะตั้งเงื่อนไขอะไรกันอีก!?”


หลังจากได้ฟังคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้าน ชาวบ้านหลายคนก็หน้าแดงด้วยความอับอาย ทว่ายังมีบางคนที่ฝึกฝนวิชาหน้าหนามาตลอดสองปีหลังและคิดตรงข้าม


อย่างไรเสีย สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงเรื่องโอ้อวดของเทพเซียนพวกนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เห็นจะมีความกรุณาอะไรเลยสักนิด


แม้หวังฉี่เหนียนจะแก่แล้ว แต่สติปัญญายังเฉียบแหลม ในสายตาของเขา เขารู้ว่าชาวบ้านบางคนยังข้องใจอยู่ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มหยัน “หากพวกเจ้าไม่อยากจดจำบุญคุณของผู้อื่น อย่างน้อยก็ช่วยจดจำสิ่งที่เขาทำบ้าง! เทพเซียนเหล่านั้นพูดกับเราอย่างดี ทั้งยังหารือในเรื่องนี้กับเราก่อนด้วย หากพวกเขาไม่อยากทำเช่นนั้น… หึ เห็นทีข้าคงไม่ต้องพูดต่อกระมัง”


ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านยิ้มเยาะออกมาอีกรอบ ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นการข่มขวัญ ทำให้เหล่าชาวบ้านรู้สึกกระวนกระวายใจ


เมื่อพวกชาวบ้านทำตัวสงบกันแล้ว หวังฉี่เหนียนก็อธิบายต่อ “เมื่อสองปีก่อน เราถูกสำนักมารเจ็ดดาราหลอกลวง ทว่าต้องขอบคุณสำนักภูมิปัญญา เราจึงรอดพ้นจากหายนะที่ใกล้เข้ามาได้ อย่างไรก็ดี ปรมาจารย์เทพเซียนของสำนักภูมิปัญญาดูจะชื่นชอบพลังปราณฟ้าดินในหมู่บ้านของเราและต้องการตั้งแท่นบูชาขึ้นที่นี่ ตามความเห็นของข้า ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องดี เหตุผลแรกคือเราสามารถทดแทนบุญคุณที่พวกเขามีต่อเราได้ เหตุผลที่สอง หากตั้งแท่นบูชาได้สำเร็จจริงๆ มันก็จะเป็นโอกาสอันดีกับเรา”


ชาวบ้านบางคนงงงวย “โอกาสอะไร”


หวังฉี่เหนียนหัวเราะ “แน่นอนว่าย่อมเป็นโอกาสสู่โลกแห่งเซียน!”


ชาวบ้านบางคนยังสงสัยต่อ “ที่สำนักมารนั่นบอกกับเรามันไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกหรือ พวกเขาเอาแต่พูดว่าทุกคนต่างก็เป็นเซียนได้ แต่สองปีมานี้ในหมู่บ้านของเรา นอกจากพวกเขาจะสร้างค่ายกลเป็นตายหยินหยางนั่นแล้ว ข้าก็ไม่เห็นพวกเขาทำให้ใครเป็นเซียนเลยสักคน… ถึงแม้เสี่ยวหูจะเคยเข้าสำนักและเรียนรู้จากพวกเขา ข้าก็ไม่เห็นเจ้าหนุ่มนั่นมันจะวิเศษวิโสขึ้นที่ตรงไหน”


คำพูดนี้กระทบจิตใจของเหล่าชาวบ้านอย่างจัง เรื่องฉ้อฉลของสำนักเจ็ดดาราถูกเปิดโปง และทฤษฎีของพวกเขาที่ว่าทุกคนสามารถเป็นเซียนได้ก็พังทลาย ทำให้ความกระหายในการเป็นเซียนของพวกชาวบ้านถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง


แม้แต่หวังฉี่เหนียนก็ยังอึ้งไป ตั้งแต่แรกเขาคิดว่าวิชาเซียนจะช่วยยืดอายุขัยให้เขา ทว่าหลังจากพยายามอย่างหนักมาสองปีและเสียเงินเสียทองไปมากมาย คำพูดของทูตสำนักเจ็ดดาราที่ว่า ‘ข้าจะไปพูดให้’ ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย และตอนนี้สำนักเจ็ดดารานั่นก็ถูกเปิดโปงก่อนที่คำพูดนั้นจะกลายเป็นจริงเสียอีก ทว่าหลังจากที่นิ่งไปพักหนึ่ง ชายชราก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้


“แน่ละว่าสำนักเจ็ดดาราเป็นสำนักมารที่ชั่วร้าย แต่สิ่งที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับการเป็นเซียน ข้าว่าเป็นสิ่งที่ดี… มิเช่นนั้น จากเรื่องต่างๆ มากมายที่พวกเขาสามารถหยิบยกมาหลอกพวกเราได้ เหตุใดเขาจึงเลือกเรื่องนี้เล่า”


ประโยคนี้แท้จริงแล้วเท่ากับหลอกตัวเอง แต่มันก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ทันทีที่เขาพูดจบ คนอื่นๆ ก็เริ่มพูดแทรก


“ถูกต้องแล้ว แม้ว่าสำนักมารนั่นจะทำเรื่องชั่วร้ายมานับไม่ถ้วน แต่ข้าไม่คิดว่าประโยคที่ว่า ‘ทุกคนสามารถเป็นเซียนได้’…จะเป็นเรื่องหลอกลวง! พวกมารนั้นชั่วร้าย แต่พวกมันก็มีวิธีสายมารในการฝึกบำเพ็ญเซียนมิใช่หรือ แล้วเหตุใดเราจะเป็นด้วยไม่ได้เล่า”


เมื่อได้ยินดังนี้ ชาวบ้านหลายคนก็เริ่มคล้อยตามเรื่องการเป็นเซียนมากขึ้น


หวังฉี่เหนียนกล่าวพร้อมรอมยิ้ม “แต่ทุกคนย่อมต้องแพ้วถางทางเพื่อไปสู่ความเป็นเซียน เห็นได้ชัดว่าพวกคนจากสำนักมารไม่ได้ยื่นมือมาช่วยเหลืออะไรเราเลย พวกสำนักบำเพ็ญเซียนอื่นๆ ก็คงมองว่าเราเป็นเพียงชาวภูเขา ทว่าข้าคิดว่าสำนักภูมิปัญญานั้นต่างออกไป…”


ใครบางคนถามขึ้น “งั้นเราไปขอร้องให้พวกเขาสอนวิธีบำเพ็ญเซียนกันเถอะ” หวังฉี่เหนียนส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา “พวกเขาไม่ใช่วงศาคณาญาติของเจ้า เหตุใดจึงต้องสอนเจ้าด้วย”


“เอ่อ…”


“ดังนั้นการตั้งแท่นบูชาจึงถือเป็นโอกาสใหญ่ของเรา เมื่อตั้งแท่นบูชาเสร็จแล้ว ก็ย่อมต้องมีคนดูแลถูกไหม การจะดูแลแท่นบูชา สำนักภูมิปัญญาย่อมต้องการกำลังคน อีกทั้งพวกเขาย่อมต้องอยู่ที่นี่ ก็ย่อมต้องการคนที่จะจัดหาสิ่งต่างๆ ให้ทุกๆ วัน หนำซ้ำข้ายังได้ยินมาว่า หลังจากที่ตั้งแท่นบูชาเสร็จ ก็จะสามารถผลิตศิลาวิญญาณและยาลูกกลอนได้อย่างไม่สิ้นสุด เมื่อเวลานั้นมาถึง เทพเซียนย่อมเผยรอยแยกให้ได้เห็น ส่วนพวกเราก็จะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์! ดังนั้น…”


ใบหน้าของหวังฉี่เหนียนเคร่งขรึมขึ้น “การตั้งแท่นบูชาถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับหมู่บ้านตระกูลหวังของเรา! ใครที่คิดคว่ำเรือหรือต่อต้านเรื่องนี้ถือเป็นศัตรูของหมู่บ้าน ไม่มีข้อยกเว้นทั้งนั้น!”


“ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ใครจะกล้าคว่ำเรือกัน”


“ถูกต้อง ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านเชื่อเราได้เลย!”


“เมื่อเวลานั้นมาถึง เราจะไม่กระด้างกระเดื่อง แม้ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็ตาม!”


ท่ามกลางเสียงสนับสนุนของเหล่าชาวบ้าน เสียงถอนหายใจก็ดังมาจากฝูงชน


“แล้วจะทำอย่างไรกับ…เจ้าเด็กหวังลู่นั่น”


บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที


หวังฉี่เหนียนถอนใจ “เด็กหวังลู่นั่น…เรากล่าวหาเขาอย่างผิดๆ ข้าได้ยินจากหวังฟู่กุ้ยว่าหวังลู่กลับขึ้นเขาไปแล้ว และอาจจะไม่กลับมาที่นี่อีกนานเลย”


จากนั้นเขาก็เงียบไป และไม่มีใครอื่นส่งเสียงขึ้นแม้แต่น้อย เมื่อไม่กี่วันก่อน หวังลู่ถูกพวกเขาตราหน้าว่าเป็นมารร้าย พวกชาวบ้านเกลียดหวังลู่เข้าไส้ขนาดที่หากได้ยินชื่อนี้พวกเขาก็จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างชิงชัง ในฐานะหัวหน้าหมู่บ้าน หวังฉี่เหนียนเคยไปตำหนิหวังฟู่กุ้ยถึงที่บ้านด้วยซ้ำ ตอนนี้ในเมื่อเรื่องชั่วช้าของสำนักเจ็ดดาราถูกเปิดโปง จากที่เกลียด จู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกละอายใจ แต่ทว่าในเวลาเช่นนี้ พวกเขาจะพูดอย่างไรได้เล่า


ผ่านไปพักใหญ่หวังฉี่เหนียนจึงเอ่ยปากออกมา “หลังจากนี้ พวกเราควรไปที่บ้านของหวังฟู่กุ้ยเพื่อขอโทษเขา ทำแบบนี้หวังลู่จะได้ไม่สร้างปัญหาอะไรอีกหากเขากลับมา”


“โธ่เอ๊ย สำนักกระบี่วิญญาณเป็นสำนักประเภทไหนกันแน่นะ…”


เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หน้าบ้านของหวังฟู่กุ้ยเมื่อหลายวันก่อน หวังฉี่เหนียนก็รู้สึกไม่สบายอกสบายใจเป็นที่สุด!


——


ขณะเดียวกัน บนหุบเขาหูสุนัขนอกหมู่บ้านตระกูลหวัง คณะทำงานของสำนักภูมิปัญญาก็รวมตัวกันครบองก์เพื่อประชุม


ตามแผนการของหวังลู่ ศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นของพวกเขานั้น คนนอกจะเรียกว่าสำนักภูมิปัญญา ส่วนในการประชุมระดับสูงมันจะถูกเรียกว่า ศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา


“หวังลู่ เจ้าพูดจริงหรือที่จะตั้งแท่นบูชาขึ้นที่นี่”


ในจำนวนพวกเขา คนเดียวที่กล้าเรียกชื่อเขาตรงๆ ก็มิใช่ใคร นั่นคือธิดาเทพนั่นเอง


หวังลู่เองก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ เขาพยักหน้าและกล่าวตอบ “แน่นอนว่าข้าพูดจริง อย่างไรเสีย สำนักเราเป็นสำนักอย่างเป็นทางการ จะไม่มีแท่นบูชาได้อย่างไร”


ธิดาเทพสงสัย “แล้วเจ้าสร้างแท่นบูชาเป็นหรือ”


………………………………………….

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม