กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ ภาค 3 ตอนที่ 5.2-9.1

 ตอนที่ 5 เจ้าตายแน่! ไม่มีใครหน้าไหนจะช่วยเจ้าได้ทั้งนั้น! (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

หญิงสาวที่มีท่าทีหวาดกลัวปนประหม่าก็เดินตามพ่อบ้านเข้าไปในลานบ้าน


ในลานบ้านมีอาคารอยู่หลายหลัง พ่อบ้านให้หญิงสาวเข้าไปในเรือนหลังเดี่ยว และสั่งให้เด็กรับใช้เทน้ำชาให้พวกเขาทั้งคู่ จากนั้นก็ถามอย่างกระตือรือร้น “แม่นาง เจ้าหางานทำอยู่หรือ”


หญิงสาวกล่าวตอบทันที “ใช่ ข้าหาอยู่! ข้าทำได้ทุกอย่าง! หุงหาอาหาร ล้างถ้วยชาม ได้ทั้งนั้น! แต่ข้าจำเป็นต้องเบิกค่าจ้างล่วงหน้า แถมเงินก็เป็นจำนวนไม่น้อยเลย ดังนั้น…”


“พูดช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน” พ่อบ้านกล่าวเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “เจ้ามีเรื่องร้อนใจหรือ”


นัยน์ตาของหญิงสาวเริ่มแดงเรื่อ “ใช่เจ้าค่ะ น้องชายของข้า เขา..”


หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร พ่อบ้านก็ได้ฟังเรื่องราวความรักลึกซึ้งของพี่สาวและน้องชายจนจบ ทว่าทันใดนั้นก็มีเด็กรับใช้ท่าทางกระฉับกระเฉงปราดเข้ามาจากภายนอก และกระซิบบางอย่างที่หูของพ่อบ้าน


เมื่อได้ยินถ้อยคำดังกล่าว พ่อบ้านก็ยิ่งพออกพอใจมากขึ้น หลังจากที่ให้คนรับใช้ออกไปแล้ว เขาก็กล่าวกับหญิงสาว “ข้าเข้าใจสถานการณ์ของเจ้า บอกตามตรง เจ้าบอกว่าเจ้ากับน้องชายมาจากหมู่บ้านบนเขาที่อยู่ห่างไกล…ทว่าตอนนี้เราไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ตัวตนของเจ้ากับน้อง ตามกฎของจวนเรา เราไม่อาจให้ที่พักกับคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า”


หญิงสาวร้อนใจขึ้นมา “แต่…”


“เจ้าฟังข้าก่อน แม้มันจะขัดต่อกฎของจวน แต่ข้าก็เห็นใจชีวิตที่แสนขมขื่นของเจ้ามาก อีกทั้งข้ายังชื่นชมที่เจ้าอุทิศตัวให้น้องชาย เพราะฉะนั้นเรื่องบางเรื่องเราก็หยวนได้บ้าง เจ้าว่าไหม”


หญิงสาวปลาบปลื้มยิ่งนัก “ท่านช่างมีจิตใจดีงาม…”


“อย่าเพิ่งขอบอกขอบใจข้าเลย ข้ารู้ว่าเจ้าร้อนใจเรื่องเงิน แต่ตอนนี้ที่จวนเราไม่ได้ขาดคน อีกทั้งเงินค่าจ้างของสาวใช้ก็ไม่น่าเพียงพอกับความต้องการของเจ้า”


หญิงสาวตื่นตกใจ “งะ…งั้นท่านจะให้ข้าทำสิ่งใด”


“…ความจริงแล้ว ในจวนนี้ยังมีอีกหน้าที่หนึ่ง ซึ่งตอนนี้ก็กำลังต้องการกำลังคนอย่างหนัก แถมเงินรางวัลเองก็มากโข อีกทั้งเจ้ายังมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ต้องการด้วย”


“งานอะไร”


ผู้เป็นพ่อบ้านชายตามองหญิงสาว “บอกข้าสิ เพื่อที่จะได้เงินไปรักษาน้องชายเจ้า เจ้าจะยอมทำทุกอย่าง”


“เจ้าค่ะ ข้ามีน้องชายเพียงคนเดียว เพื่อเขาแล้ว ข้าทำได้ทุกอย่าง!”


“งั้นก็ดี งานก็เป็น…เช่นนี้”


พ่อบ้านไม่ได้คาดหวังจะเห็นสีหน้างุนงงของหญิงสาวหลังจากที่เขาอธิบายให้นางฟังอย่างนุ่มนวล ทว่ายิ่งตอบสนองช้าก็ยิ่งเป็นสัญญาณที่ดี ยิ่งนางไม่ประสีประสามากเท่าไร นางก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น… แม้ตอนนี้ทั้งตัวของนางจะเต็มไปด้วยฝุ่นซึ่งไม่น่าพิสมัย แต่คนเป็นพ่อบ้านที่มีสายตาเฉียบคม จะไม่เห็นความงามตามธรรมชาติที่ชวนสะกดสายตาของนางได้อย่างไร หลังจากขัดสีฉวีวรรณจนเรียบร้อย นางจะต้องโดดเด่นกว่าหญิงสาวทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในห้องของอาจารย์เซียนอย่างแน่นอน


ผ่านไปพักใหญ่ หญิงสาวก็ขบริมฝีปาก “ตราบใดที่ข้าได้เงิน ข้า…ข้ายอมทำทุกอย่าง!”


“ดี ได้ยินดังนี้ข้าก็วางใจ หลังจากลงชื่อในสัญญาแล้ว ข้าจะให้เงินเจ้า แต่ว่าข้าไม่อาจตัดสินใจเรื่องนี้เองได้ นายของข้าจะเป็นคนตัดสินใจขั้นสุดท้าย ตอนนี้ข้าอยากให้เจ้าตามสาวใช้ไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าดีๆ นายของข้าจะได้ประทับใจในตัวเจ้า หลังจากนั้น…หึๆ เงินที่เจ้าจะได้ย่อมไม่สิ้นสุดแน่”


จากนั้นพ่อบ้านก็ละทิ้งกิริยาสุขุม และยื่นมือออกไปหวังสัมผัสแก้มของหญิงสาว


เห็นดังนั้นหญิงสาวจึงรีบโค้งให้อย่างงดงาม เลี่ยงการสัมผัสของพ่อบ้านได้พอดิบพอดี


“ขอบคุณเจ้าค่ะ! ขอบคุณที่เมตตาข้า!”


พ่อบ้านทำเสียงไม่พอใจจากนั้นก็ส่ายศีรษะ “เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว” ——


หนึ่งชั่วโมงต่อมา ด้วยการช่วยเหลือจากสาวใช้หลายนาง หญิงสาวก็ออกจากห้องอาบน้ำพร้อมอาภรณ์ที่ประณีตงดงาม หลังจากที่ขัดสีฉวีวรรณตามที่ได้รับคำสั่ง ความงดงามของหญิงสาวก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ไม่ต่างอะไรจากดอกบัวที่บานพ้นน้ำ


หัวหน้าสาวใช้ที่มีหน้าที่ดูแลนางกล่าวด้วยน้ำเสียงอิจฉา “ท่านดูสิ นางเหมือนนางฟ้าลงมาจุติบนโลกไม่มีผิด อาจารย์เซียนจะต้องหลงใหลนางอย่างแน่นอน”


พ่อบ้านจ้องมองนางอย่างไม่คิดปิดบัง แต่ก็ยังควบคุมตัวเองได้อยู่ “ตามข้ามา อาจารย์เซียนรอเจ้าอยู่ในห้อง”


หญิงสาวมีสีหน้าเคร่งเครียด “อาจารย์เซียน… ตอนนี้เลยหรือ”


“ถ้าไม่ใช่ตอนนี้แล้วจะเมื่อไร ของดีๆ เช่นนี้นาทีเดียวก็ไม่ควรล่าช้า”


ดังนั้นหญิงสาวจึงต้องเดินเข้าไปในห้องของอาจารย์เทพเซียน ด้วยใบหน้าแดงเรื่อและลำตัวแข็งเกร็งราวกับเจ้าสาวก่อนเข้าพิธีแต่งงาน โดยมีพ่อบ้านเดินตามหลังเข้ามา


——


ขณะเดิน จิตใจของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย


จนถึงตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามที่หวังลู่วางแผนเอาไว้


แม้การแสดงของนางจะมีที่ติอยู่ไม่น้อย ทั้งเรื่องที่เล่าก็มีช่องโหว่ไม่เบา แต่… ในยามที่ต้องการคนอย่างเร่งด่วน ตำหนิต่างๆ จึงถูกมองข้ามไป


ในฐานะนักผจญภัยมืออาชีพ เจ้าหมอนั่นนับว่าเชื่อถือได้อย่างแท้จริง


คนที่เชื่อถือไม่ได้คือนางต่างหาก… ‘เวรเอ๊ย! นี่ข้าทำอะไรอยู่เนี่ย แทนที่จะดูแลกิจการที่มีรายรับวันละหมื่นๆ ตำลึง ข้ากลับเตร่มาถึงบ้านนอกนี่เพื่อมารับบทสาวน้อยที่ต้องขายตัวหาเงินไปรักษาน้องชาย แถมยังต้อง… ‘สยายผมกรุยกราย’ต่อหน้าตาแก่บ้ากามนี่อีก!’


‘นี่ข้าถูกผีเข้าหรืออย่างไรเนี่ย ยอมตกลงทำเรื่องหน้าไม่อายเช่นนี้กับเจ้าหวังลู่ได้ หรือจะเป็นช่วงนั้นของเดือน!?’


‘โอ๊ยช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้ข้าจะซัดตาแก่ลามกนี่ให้ลืมวิธีหายใจ แล้วค่อยกลับไปซัดเจ้าหวังลู่ระบายอารมณ์ต่อ’


‘อีกอย่าง… จะว่าไป ถูกคนพวกนี้ชมว่าเป็นสาวงามก็ดีไม่หยอกเหมือนกัน ตอนที่ข้าอยู่ที่เขากระบี่วิญญาณ พวกศิษย์โง่เง่าพวกนั้นไม่เคยพูดถึงรูปโฉมของข้าเลย พวกมีตาแต่ไร้แวว!’


‘หึๆ งั้นข้าจะยอมให้ผู้บำเพ็ญเซียนบ้านนอกได้ยลโฉม ‘นางฟ้าลงมาจุติ’ คนนี้ด้วยตาตัวเองสักหน่อยแล้วกัน!’


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจของการเป็นอิสตรีเดินตรงไปยังอาคารหลัก โชคดีที่ครั้งนี้ชายผู้นั้นแต่งกายเรียบร้อยดี จึงไม่มีอะไรให้อุจาดสายตา


เมื่อได้เห็นใบหน้าของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ ผู้อาวุโสหกดาวก็ตะลึงตาค้างในทันที


พอเห็นปฏิกิริยาของเขาที่มีต่อความงามของนาง เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็อดภูมิใจไม่ได้ ‘หึๆ ติดกับข้าเข้าแล้ว! ไม่มีใครต้านทานเสน่ห์ของข้าได้หรอก! เจ้า สารเลวอย่างเจ้าไปรอด้านนอก เดี๋ยวข้าค่อยออกไปจัดการกับเจ้าต่อ!”


‘ส่วนเจ้า ตาแก่ลามก ฮ่าๆ ไหนๆ เจ้าก็ตาแหลมไม่เบา ข้าจะไม่ทุบเจ้าจนอ่วมก็ได้’


เมื่อชายแก่เลิกตกตะลึงกับดวงหน้าของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ เขาก็ไล่สายตาลงมาด้านล่างที่ลำคอเพรียวระหงอย่างช้าๆ และมองต่อไปที่กระดูกไหปลาร้างดงามเย้ายวน หลังจากชื่นชมได้สักพัก เขาก็เลื่อนสายตาลงต่ำอีกครั้ง เพื่อมองดูอกอวบนุ่มขาวกระจ่าง


ผิวของนางขาวราวหยกไขมันแพะชั้นดี มันวับวาวกระจ่างใสดึงดูดสายตา ทันใดนั้น จิตของผู้บำเพ็ญเซียนเฒ่าก็ดูราวจะย้อนกลับไปหลายทศวรรษยามที่เขาออกเรียนรู้หาประสบการณ์อยู่ในแคว้นธาราคราม ในครั้งนั้นเขาได้รับอภิสิทธิ์ในการได้ยลภูมิทัศน์ที่งดงามแห่งหนึ่ง นั่นคือที่ราบโล่งซึ่งปูด้วยหยกขาวยาวเหยียดไปจนจรดขอบฟ้า ระยิบระยับนัยน์ตาของเขายิ่งนัก…


หือ? ที่ราบ…หยกขาว?


ชายแก่ยกมือขึ้นหยิกดั้งจมูกของตนจากนั้นจึงลืมตาขึ้น


อึดใจถัดมา เขาก็ระเบิดโทสะดังก้องไปทั้งห้อง


“…เจ้าโง่! นี่เจ้าไปเอาหญิงโง่เง่าหุ่นท่อนฟืนนี่มาจากไหนเนี่ย!? อกก็ไม่มีก้นก็ไม่มี แค่หน้าสวยๆ จะไปมีประโยชน์อะไร!? ข้าพร่ำบอกเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้ว ข้าอยากได้ที่หน้าอกใหญ่ๆ! เอาตัวนางผู้หญิงอกฟีบนี่ออกไปเสีย แล้วอย่าได้พาพวกแบบนี้มาอีกเด็ดขาด!”


ตู้ม!


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด ภาพเบื้องหน้ากลายเป็นสีดำไปหมด


นางจำไม่ได้แม้สักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น


………………………………………….


ตอนที่ 6 พวกวิตถารทั้งหมดสมควรตาย! (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อความทรงจำของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์กลับคืนมาอีกครั้ง นางก็พบว่าตนเองยืนอยู่นอกกำแพงจวนรับรอง อาภรณ์วิจิตรงดงามยังอยู่บนร่าง หยดน้ำจากการอาบน้ำยังไม่ทันระเหยไปหมด เพียงแต่… มีดวงอาทิตย์ยามโพล้เพล้เป็นฉากหลัง หุ่นอรชรของนางกลับดูเปลี่ยวเหงาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก


หลังเหม่อมองอย่างว่างเปล่าอยู่พักใหญ่ สมองที่มึนงงของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็ค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น รอยยิ้มประหลาดผุดขึ้นมาที่มุมปากของหญิงสาว จากนั้นนางจึงสาวเท้าไปยังทิศทางหนึ่งในอำเภอ


ขณะเดียวกัน หวังลู่และเหวินเป่าก็กำลังนั่งขัดสมาธิสวาปามหมั่นโถวและเนื้อปรุงสุกอยู่ในตรอกเปลี่ยว


“ศิษย์พี่หวังลู่ ท่านว่าพี่หญิงหลิง…จะปลอดภัยดีหรือเปล่า”


หวังลู่กลืนชิ้นเนื้อลงคอแล้วหัวเราะ “วางใจเถอะ ผู้หญิงน่ะเกิดมาเป็นนักแสดงอยู่แล้ว เห็นไหมเล่าว่าป่านนี้แล้วยังไม่มีใครมาถามถึงตัวตนของเจ้าเลยสักคน เห็นได้ชัดว่านางแทรกซึมฐานที่มั่นของศัตรูได้แล้ว อีกไม่นานเราอาจจะเห็นผลลัพธ์ก็เป็นได้”


“…ข้าก็แค่รู้สึกว่าพี่หญิงหลิงต้องสังเวยตัวเองครั้งใหญ่เพื่อการนี้”


“มีอะไรให้ต้องสังเวยกันเล่า นางย่อมไม่ยอมถูกฉวยโอกาสอยู่แล้ว กลับกันชาวบ้านแถวนี้ต่างพากันยกย่องนางว่าเป็นนางฟ้าลงมาจุติ เพราะฉะนั้นจิตใจของตาแก่นั่นย่อมต้องหวั่นไหวแน่นอน! เจ้ารู้ไหมเหตุใดเหล่าศิษย์ที่อยู่บนเขากระบี่วิญญาณจึงไม่เคยชมนางว่างามดั่งดอกไม้เลย”


เหวินเป่านิ่งคิดไปพักหนึ่ง “ท่านพูดถูก พวกเขาไม่เคย… ทำไมกัน จะว่าไปพี่หญิงหลิงถือว่าเป็นผู้หญิงที่งดงามมาก”


หวังลู่ส่งเสียงฮึ “นางงดงามแล้วอย่างไร จากนิสัยของนางแล้ว ผู้คนที่นั่นต่อให้อยากมองว่านางเป็นผู้หญิงก็มองไม่ลงหรอก เหมือนอาจารย์ของข้าอย่างไรเล่า จะว่าไปแล้ว อาจารย์ของข้าก็งดงามไม่เบา เจ้าว่าไหม มองนางเป็นผู้หญิงยังน้อยไป เจ้ามองนางเป็นมนุษย์หรือเปล่าเถอะ”


“…ก็จริง”


“ใช่ไหมล่ะ เอาเถอะ ตราบที่เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ยอมเล่นด้วย กับอีแค่ล่อลวงตาแก่ลามกนั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก ข้าห่วงแค่ว่า…” หวังลู่ขมวดคิ้ว “รูปร่างนางออกจะผอมไปหน่อย จะว่าไปทุกวันนี้พวกวิตถารที่ชอบเด็กละอ่อนแม้จะหาได้ยากแล้ว แต่ตาแก่นั่นอาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้! แต่หมอนั่นก็ต้องยอมรับข้อด้อยที่ว่านางแบนเป็นไม้กระดานให้ได้ด้วยนะ ฮ่าๆๆ”


แม้เหวินเป่าจะฟังเข้าใจเพียงไม่กี่ส่วน แต่เมื่อเห็นศิษย์พี่หวังลู่หัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี เขาก็อดหัวเราะโง่ๆ ออกมาไม่ได้ แต่แล้วเสียงหัวเราะของเขาก็สะดุดลงในทันใด


ที่ปากตรอกปรากฏร่างของหญิงสาวยืนหันหลังให้ดวงอาทิตย์ เงาบอบบางของนางบดบังการมองเห็นของเขาเสียสิ้น


ราวกับว่าค่ำคืนได้มาเยี่ยมเยือนแล้ว


หวังลู่เงยหน้าขึ้น เขามองเห็นหญิงสาวและเกือบเปล่งเสียงหัวเราะยินดีกับชัยชนะของนาง แต่อึดใจถัดมานั้น…


“หวังลู่ ข้าจะฆ่าเจ้า ย้ากกก!”


นางพุ่งมาข้างหน้าด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ รูปร่างของนางดูพร่าราวกับเป็นคลื่นไฟฟ้า จากนั้นลมแรงก็ปะทะเข้าที่หน้าของหวังลู่


ตู้ม!


เด็กหนุ่มปลิวไปราวกับเป็นลูกปืนใหญ่ จากนั้นก็ชนเข้ากับกำแพงดินที่อยู่ด้านข้างพร้อมเสียงตู้มดังกึกก้อง แล้วร่างของเขาก็ติดแหง่กอยู่ตรงนั้น


หมัดทรงพลังของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์แขวนหวังลู่ไว้บนกำแพงราวกับเป็นภาพวาดก็ไม่ปาน! ——


“…เรื่องมันเป็นเช่นนี้นี่เอง ไม่คิดเลยว่าจะเป็นอย่างที่ข้าพูดจริงด้วย”


หวังลู่ที่ดวงตาข้างหนึ่งดำเป็นวงใหญ่แสดงสีหน้าขมขื่น จากนั้นก็ถอนหายใจ


เมื่อครู่เสี่ยวหลิงเอ๋อร์เพิ่งเล่าเรื่องน่าอายที่เกิดขึ้นกับตนในจวนรับรองให้หวังลู่ฟัง แน่นอนว่าเหวินเป่าวิ่งไปตั้งหลักเสียไกลโพ้น ปล่อยให้หวังลู่พูดคุยกับนางเพียงลำพัง เรื่องน่าขายหน้าชั่วชีวิตเช่นนี้ไม่ควรมีใครอื่นได้ฟังอีก มิเช่นนั้นนางอาจลุกขึ้นมาปิดปากคนผู้นั้นก็เป็นได้


หวังลู่เองก็ตกใจไม่น้อยกับเรื่องที่ได้ฟัง เขานิ่งอึ้งไปพักใหญ่ แม้เขาจะเป็นนักผจญภัยมืออาชีพที่เชี่ยวชาญขนาดไหน แต่ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่พลิกผันได้ถึงเพียงนี้ ตาแก่ลามกนั่นนอกจากกจะชั่วช้าแล้ว ยังวิตถารและไร้รสนิยมอีกด้วย!


กล้าดีอย่างไรถึงมีอคติกับสาวไม้กระดานกัน!


หวังลู่ถอนหายใจ “พี่หญิงหลิง ท่านคงลำบากน่าดู…หึๆ!”


ตอนแรกเขาตั้งใจปลอบประโลมอัตตาที่บอบช้ำของหญิงสาว ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้


แน่นอนผลก็คือเขาถูกซัดอัดกำแพงอีกรอบ


“หากเจ้าหัวเราะอีก ข้าจะอัดเจ้าที่เป็นตัวการหลักของเรื่องนี้ให้ยืนไม่ขึ้นเลย!”


หวังลู่จับดวงตาที่ดำเป็นวงอีกข้างของตน จากนั้นก็รีบกลั้นขำที่เกือบจะหลุดออกมา “ไม่หัวเราะแล้ว ข้าไม่หัวเราะแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ…หลังจากกลับไป ข้าจะชดเชยให้ท่านแน่นอน”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์กัดฟัน “ใครต้องการให้เจ้าชดเชยกัน! เจ้าจะชดเชยอย่างไรให้สาสม!?”


หวังลู่นิ่งคิดไปพักหนึ่ง “ความจริง ข้ารู้ตัวยาพื้นบ้านที่ช่วยขยายขนาดหน้าอกท่านได้ พี่หญิงหลิง ท่านน่ะ…”


ตู้ม!


หลังจากโดนอัดไปสามรอบเขาก็ถอยออกมาให้ไกลจากกำแพง แล้วก็ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง “พี่หญิงหลิง นี่ท่านคิดจะฝึกเขียนพู่กันวิเศษของหม่าเหลียง[1]หรืออย่างไรกัน หากท่านยังเอาแต่อัดข้าแบบนี้ ข้าต้องแบนเป็นข้าวเกรียบแน่!”


“ข้า ข้า…” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์อับจนคำพูด เพราะจู่ๆ นางก็คิดขึ้นได้ว่า ตอนที่หวังลู่คิดแผนนี้ขึ้นมาเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายนางสักหน่อย ทว่าความขุ่นเคืองในใจของนางนั้นยากที่จะทำให้เบาบางลงได้ แล้วนางจะทำอย่างไรได้เล่า


ใบหน้าของหวังลู่ขรึมลงขณะที่พูดเสียงเข้ม “แน่นอนว่าต้องมีคนชดใช้ให้กับความอยุติธรรมนี้ เพราะงั้นเราต้องรีบหาคนร้ายตัวจริงแล้วแก้แค้นเขาเสีย”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์หมดความกระตือรือร้น “ยังไงเล่า แผนลอบโจมตีของเจ้าก็ล้มไม่เป็นท่าแล้ว”


หวังลู่เองก็อับอายไม่น้อย “ใช่ ไม่คิดเลยว่าหมอนั่นเป็นพวกวิตถาร รสนิยมจึงผิดธรรมดา… หากเราไม่ใช้วิธีนี้ ก็คงยากที่จะบุกเข้าไปได้ เหวินเป่ากับข้าเองก็ไม่ถนัดลอบจู่โจมกับปลอมตัวเสียด้วย”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ตะคอกเสียงเย็น “หากเข้าด้านหน้าไม่ได้ งั้นก็อ้อมไปเข้าด้านหลัง ทำเช่นนี้ข้าเองก็ลำบากใจเหมือนกัน”


หวังลู่คิดในใจ ‘ข้าว่าต้องมีเหตุผลอื่นที่ทำให้ท่านลำบากใจ… ตอนแรกที่ท่านยอมรับบทขายร่างกายแลกเงิน ท่านก็สุขกายสบายใจดีไม่ใช่หรือ’


ทว่าหากพวกเขาคิดจะเข้าทางประตูหน้าอีกรอบ… หวังลู่เองก็ลังเล จากกำลังคนที่มี การจะเอาชนะผู้อาวุโสหกดาวกับทูตสี่ดาวยังพอเป็นไปได้ แต่จะให้จับตัวไว้ก็คงยากไม่น้อย


แต่หากไม่จับตัวไว้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องทำให้สำนักเจ็ดดาราสงสัยแน่ ต่อไปเมื่อต้องหาฐานที่มั่นของพวกเขา การจะจับตัวหัวหน้าสำนักต้องยากมหันต์แน่นอน อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นอาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามคิดแก้แค้น ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยุ่งยากเข้าไปใหญ่ ท้ายที่สุด การลอบโจมตีก็ยังเป็นหนทางที่เป็นไปได้ที่สุด เพราะจนป่านนี้พวกเขาก็ยังได้เปรียบที่อยู่ในที่ลับ ส่วนศัตรูนั้นอยู่ในที่แจ้ง


ดังนั้นปัญหาก็กลับมาสู่จุดเดิม นั่นคือจะแทรกซึมเข้าในจวนและจับตัวชู้รักสองคนนั้นโดยที่พวกผู้คุ้มกันไม่ทันรู้ตัวได้อย่างไร


กับดักสาวงามยังเป็นวิธีที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด โชคร้ายที่เถ้าแก่เนี้ยนั้นหน้าตาดีก็จริงแต่เสียทีอกแบนไปหน่อย ทว่านอกจากเถ้าแก่เนี้ยแล้ว พวกเขาจะไปหาผู้บำเพ็ญเซียนหน้าตาดีที่มีพลังมากพอจะเอาชนะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานได้จากที่ไหนอีก หรือเขาต้องกลับไปที่เขากระบี่วิญญาณเพื่อรวบรวมกำลังพลอีกครั้ง ศิษย์คนอื่นๆ ก็กระจายตัวกันออกเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์อยู่ทั่วแคว้นแล้ว ดังนั้นการจะตามหาสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย


จริงสิ หากศิษย์น้องเยวี่ยซินเหยาที่อยู่ในใจของคนแถวนี้ตลอดเวลาอยู่ที่นี่ด้วยล่ะก็ เขาอาจจะคิดแผนการอื่นออกก็เป็นได้ แต่ตอนนี้คนในกลุ่มของเขามีเพียงแม่สาวอกกระดาน เจ้าอ้วน แล้วก็…


หวังลู่ถอนใจ ก้มศีรษะลง ทันใดนั้นสายตาเขาก็ไปบรรจบกับแอ่งน้ำที่อยู่บนพื้น ผิวน้ำนั้นราบเรียบราวกระจก สะท้อนใบหน้าที่ฉายแววกังวลเล็กน้อยของเขาพอดิบพอดี


เฮ้! เดี๋ยวนะ นี่แหละ!


“พี่หญิงหลิง ท่านกับเจ้าอ้วนรอข้าอยู่ที่นี่เดี๋ยวหนึ่งสิ ข้ามีบางสิ่งต้องไปทำ”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์คิดว่าเขาจะไปปลดทุกข์ จึงโบกมือไล่เบาๆ “ไปเถอะ”


ชั่วเวลาหนึ่งมื้ออาหารผ่านไป เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ยืนรออยู่หน้าปากตรอกอย่างเบื่อหน่าย นางพร้อมเดินจากไปได้ทุกเมื่อ แต่ทันใดนั้นนางก็เห็นร่างร่างหนึ่งเดินมาจากระยะไกล


คนผู้นี้เป็นสาวน้อยหน้าตาสะสวยสูงปานกลาง นางใส่ชุดกระโปรงหรูหราตัวยาว ซึ่งขับความงามและเสน่ห์ให้โดดเด่นขึ้นมาอีกหลายจุด เด็กสาวเดินยักย้ายสะโพกราวกับเป็นท่าเดินปกติ ใบหน้ายั่วยวนนั้นเกินจะบรรยายจริงๆ


เมื่อเห็นคนผู้นี้ เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ และยิ่งเห็นหน้าอกหน้าใจที่เด่นตระหง่านสองข้างนั่นแล้ว อารมณ์ของนางก็ยิ่งขุ่นมัวลง ความเป็นปรปักษ์ที่อธิบายไม่ได้ก่อตัวขึ้นในจิตใจ


นรกเถอะ! คนประเภทนี้จู่ๆ มาปรากฏตัวในอำเภอบ้านนอกเช่นนี้ได้อย่างไร คนที่อยู่ที่นี่ต้องผอมแห้งขาดสารอาหารต่างหาก! ชาวบ้านในอำเภอเล็กๆ ก็ควรมีรูปร่างหน้าตาเหมาะสมกับที่อยู่ในอำเภอเล็กๆ สิ! แล้วทำไมหน้าอกหน้าใจของนางถึงมหึมานัก หรือนางจะเป็นแม่นมมืออาชีพกันนะ!?


ภายใต้ดวงตาที่สับสนของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ หญิงแปลกหน้าผู้นั้นก็หันมายิ้มให้และเดินตรงมาที่นาง


“…เจ้าต้องการอะไร” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์กำลังหงุดหงิด โดยเฉพาะเมื่อแม่สาวคนงามมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านางราวกับตั้งใจอวดหน้าอกอวบอิ่มของตน แบบนี้มันยั่วโมโหกันชัดๆ!


“เฮ้ ข้าเอง”


“เจ้าเป็นใคร ข้ารู้จักเจ้าด้วยรึ” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ตอบสวนไปทันควัน แต่แล้วนางก็ตัวแข็งทื่อ


เพราะเสียงของคนตรงหน้าช่างคุ้นนัก! ชัดเจนว่า…


“ข้าเองไง ข้าไม่ได้ปลอมเสียงสักหน่อย ท่านจำไม่ได้หรือ”


เถ้าแก่เนี้ยอ้าปากค้าง


“หวังลู่! นี่เจ้า! @#!@#!?”


……………………………………………………..


[1] เป็นชื่อตัวละครในนิทานพื้นบ้านของจีน ผู้มีพู่กันวิเศษที่พอวาดสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะปรากฏขึ้นจริง


ตอนที่ 6 พวกวิตถารทั้งหมดสมควรตาย! (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฮ่าๆๆๆ แม่นางคนนี้ชื่อว่าหวังลู่ ทำไมพวกเจ้าสองคนไม่รีบเข้ามาคารวะล่ะ”


“…”


“พูดง่ายๆ ก็คือพวกเจ้าสองคนอ่อนแอเกิน เพราะฉะนั้นข้าจึงต้องลงมือเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะชอบใจหรอกนะ”


“…”


“ข้าได้แรงบันดาลใจนี้มาตอนที่เห็นเงาสะท้อนในน้ำ… โธ่เอ๊ย ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้หล่อเหลามากมาย แต่ก่อนที่ข้าจะโตเต็มที่ และเพศสภาพจะเห็นได้อย่างเด่นชัด ข้าก็ยังปลอมตัวเป็นผู้หญิงได้อยู่”


“…”


“อย่าเอาแต่อ้าปากค้างจ้องข้าเช่นนั้นสิ ข้าอยากถามความเห็นหน่อย ในฐานะหญิงสาวข้าถือว่าผ่านหรือยัง ข้าใช้เวลานานโขกว่าจะได้รูปร่างเช่นนี้มานะ เพราะฉะนั้นข้าคิดว่าเท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว ข้าคิดเรื่องรายละเอียดมาบ้าง แต่ไม่มีเวลามากพอจะตรวจดูทั้งหมด”


“…”


เถ้าแก่เนี้ยกับเหวินเป่ายังคงมีสีหน้าสยดสยอง ทั้งคู่ยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับเป็นรูปสลักหิน


หวังลู่ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าอกของเถ้าแก่เนี้ย…


ตู้ม! ภาพวาดแขวนฝาผนังปรากฏขึ้นอีกครั้ง


ภาพวาดสองมิติเอ่ยขึ้นอย่างอิดออด “…นี่ท่านจะจิตหลุดไปจนถึงเมื่อไหร่กัน รู้ไหมว่าท่าทางที่ไม่สำรวมอาการของท่านในตอนนี้ไม่ต่างจากกำลังล่องูลงหลุมเลยสักนิด”


แก้มของเถ้าแก่เนี้ยแดงเรื่อขึ้นขณะเอามือปิดหน้าอกตัวเอง “เจ้าโจรเหม็นเน่า เจ้าคนวิตถาร เจ้า…เจ้ามันโรคจิตชัดๆ”


หวังลู่กระโดดลงมาจากกำแพงและย้อนอย่างโกรธๆ “เป็นเพราะอกไม้กระดานของท่านนั่นแหละ! ไม่เช่นนั้นเหตุใดชายหนุ่มหน้าตาดีจากตระกูลที่น่านับถือเช่นข้าต้องทำตัวทรยศหน้าตาตัวเองเช่นนี้ด้วย ข้าถูกบีบคั้นจิตใจมหาศาลเชียวนะ ท่านรู้บ้างไหม!?”


“เจ้าคนวิตถาร! ไปไกลๆ ข้านะ! แล้วอย่าได้บังอาจหายใจเชียว ลมหายใจลามกของเจ้าจะทำให้อากาศของทั่วอำเภอนี้แปดเปื้อนไปหมด!”


“ระยำเอ๊ย! เจ้า หญิงไม้กระดาน กล้าดีอย่างไรถึงคิดว่าตัวเองดีกว่าข้า!?”


เถ้าแก่เนี้ยโกรธฟึดฟัด แต่นัยน์ตากลับมีประกายวูบหนึ่ง นางจึงอดสำบัดสำนวนกลับไม่ได้ “เจ้าว่าข้าเป็นไม้กระดาน… แต่เจ้าเป็นผู้ชาย แล้วหน้าอกใหญ่ๆ ของเจ้านี่มันอะไร ดูเหมือนว่าไม่ได้ยัดด้วยลูกแอปเปิ้ลหรือว่านุ่นนี่นา”


หวังลู่ถอนหายใจแล้วตบหน้าอกตนเองจนมีเสียงดังปึ้บปั้บออกมา


“นี่มัน…” เถ้าแก่เนี้ยตะลึง จากนั้นก็เข้าใจในทันที “นี่เจ้าจัดระเบียบซี่โครงใหม่งั้นรึ!? ให้ตายสิ นี่เจ้าแอบฝึกวิชานี้จริงๆ น่ะหรือ”


หวังลู่หลุดขำออกมา “กระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ไม่ใช่วิชาฝึกกระดูกหรอกหรือ แม้จะอึดอัดไปบ้าง แต่แค่วันสองวันข้ายังพอทนไหว อย่างไรเสียหากไม่มีใครมาจับ หรือข้าไม่ได้ขยับตัวมากเกินไป มันก็ไม่ต่างจากของจริงเท่าไหร่หรอกน่า”


“วิชากระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ที่ยอดเยี่ยมนั่นถูกเจ้าเอามาใช้แบบนี้เนี่ยนะ จริงๆ เลย…”


“หากหัวหน้าไม่เที่ยงธรรม ไหนเลยจะหวังให้ลูกน้องเที่ยงธรรมได้ วิชาที่คิดค้นขึ้นเองนี้ไม่แน่ว่าอาจารย์ของข้าอาจเอาไปใช้ในเรื่องที่ต่ำยิ่งกว่านี้ก็ได้ อย่างเช่น กระดูกขาข้างที่สามยังไงเล่า… ทักษะอ่อนด้อยอย่างข้าเทียบกับนางไม่ได้หรอก เอาล่ะ วันนี้พูดพอแล้ว ข้าไปที่นั่นเพื่อยั่วยวนคนดีกว่า”


เถ้าแก่เนี้ยผงะ “เจ้าจะไปตอนนี้เนี่ยนะ ไปแบบนี้ด้วย เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ก่อนหน้านี้ข้ากับเหวินเป่ายังต้องเล่นละครตั้งนานกว่าพวกนั้นจะสังเกตเห็น!”


“เพราะพวกท่านมันอ่อนหัดไงเล่า ข้าถึงไม่มีทางเลือกเลยต้องออกมาแสดงแทน! แล้วด้วยพละกำลังของข้า เหตุใดจึงต้องพึ่งสารหล่อลื่นด้วย” หวังลู่เหยียดยิ้ม “เดี๋ยวท่านก็จะได้เห็นเอง ข้าจะทำให้ท่านได้ประจักษ์ในความสามารถของนักผจญภัยมืออาชีพ!”


“เหมือนนักผจญภัยวิตถารเสียมากกว่า…”


——


ไม่นานนักทั้งสามก็มาปรากฏตัวที่หน้าประตูทางเข้าจวนรับรองอีกครั้งหนึ่ง เถ้าแก่เนี้ยกับเหวินเป่าซุ่มมองอยู่ในที่ซ่อนลับ ส่วนหวังลู่ในชุดของสตรีก็เดินตรงไปยังประตูด้วยรอยยิ้มมั่นใจ


ระหว่างที่ซ่อนอยู่ในเงามืดก่อนจะปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าผู้คุ้มกัน หวังลู่กระดกสุราไปขวดหนึ่ง ตอนนี้ลมหายใจจึงคลุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำเมา!


จากนั้น ก้าวย่างของหวังลู่ก็ดูโงนเงน เอียงไปซ้ายทีขวาทีราวกับสาวงามที่กำลังมึนเมา


ภายใต้สายตาตะลึงงันของเถ้าแก่เนี้ย หวังลู่ก็เปิดปากออกช้าๆ แล้วเริ่มระเบิดเสียงหวนไห้แสนเศร้าโศกออกมา


“เจ้า เจ้าคนไร้หัวใจ…พอเจ้าพบหญิงใหม่ เจ้าก็เสือกไสข้า คำสาบานว่าจะรักมั่นชั่วชีวิตเป็นเพียงลมปากเป่าเท่านั้น”


เถ้าแก่เนี้ยรู้สึกราวกับว่าจู่ๆ ก็มีสายฟ้าฟาดลงมาที่ศีรษะของนาง ภาพที่เห็นเบื้องหน้าพลันกลายเป็นสีดำแล้วนางก็หมดสติลง


นี่มันฉากโลกถล่มชัดๆ แม้การที่ผู้บำเพ็ญเซียนระดับหวังลู่จะแปลงเสียงของตนเป็นเสียงผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องง่าย ซึ่งความจริงแล้ว แม้แต่เหวินเป่าก็ทำได้ แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของหญิงสาวที่เมามายจมน้ำตาอยู่นั้นคือเจ้าหวังลู่นั่น…


“ขอโทษด้วย ข้ามองหากรามของตัวเองที่เผลอทำร่วงลงพื้นน่ะ”


ขณะกำลังฟูมฟายน้ำตา หวังลู่ก็เดินตรงไปยังประตูทางเข้าราวกับไม่ได้ตั้งใจ


ผู้คุ้มกันสองคนที่เฝ้าประตูอยู่มองเห็นหญิงสาวที่เมามายเดินเข้ามา คนทั้งคู่ขมวดคิ้ว รู้สึกว่าภาพที่เห็นมีอะไรแปลกๆ ทว่าในตอนนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถระบุได้ว่าสิ่งใดที่แปลก… ดังนั้นพวกเขาจึงทำเหมือนกำลังดูละครอยู่ แม้หญิงสาวที่เมามายผู้นี้จะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ แต่เมื่อมองดีๆ แล้ว พวกเขาก็พบว่าใบหน้าของนางไม่เลวเลย โดยเฉพาะสัดส่วนอันตรายถึงตายของหน้าอกนาง ไม่มีทางที่อำเภออู่โหวที่ห่างไกลจะมีผลิตผลเช่นนี้ได้


ผู้คุ้มกันทั้งสองดึงสีหน้าให้เคร่งขรึมเพื่อให้สมกับเป็นคนเฝ้าประตูผู้ภักดี ทว่าดวงตาของพวกเขากลับทรยศต่อสีหน้า เมื่อพวกมันเอาแต่จับจ้องไปที่หญิงสาว ทว่าอึดใจต่อมาพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องตีหน้าไม่สนใจอีกต่อไป


นั่นเพราะหญิงสาวเกิดเดินซวนเซและล้มลงสู่อกของผู้คุ้มกันคนหนึ่ง!


ชายผู้นั้นตัวแข็งทื่อไปพักใหญ่ จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาผลักนางออก แต่แขนของหญิงขี้เมาคนนี้แข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ จนเขาไม่สามารถแงะมือของนางออกจากแขนเขาได้


“ผู้ชายน่ะเลวทรามเหมือนกันหมด! ทั้งกลับกลอกทั้งไม่รู้จักพอ!”


“ปล่อย…ปล่อยข้าก่อน!” เหงื่อเย็นๆ เริ่มไหลซึมออกมาจากผู้คุ้มกันร่างกำยำผู้นั้น หากอาจารย์เซียนหรือพ่อบ้านมาเห็นเข้าล่ะก็ เขาต้องตกงานอย่างแน่นอน ทว่าแม้หญิงผู้นี้จะเมามาย แต่ความเมาก็กลบความงามของนางไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงทำใจตีนางไม่ลง


ผู้คุ้มกันร่างหนาอีกคนก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะเช่นกัน แต่เมื่อเขาได้สติและเข้าไปช่วย นางก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น ทั้งยังทิ้งตัวนั่งบนพื้นไม่ยอมขยับเขยื้อนอีกด้วย!


ขณะที่ทั้งคู่กำลังละล้าละลังอยู่นั้นเอง ประตูก็เปิดออก พ่อบ้านเดินออกมาด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว “เสียงเอะอะอะไรกัน!? หากทำให้อาจารย์เซียนรำคาญล่ะก็ เจ้ายังคิดว่าจะได้ค่าจ้างอยู่อีกหรือ”


ผู้คุ้มกันทั้งสองรีบปรี่เข้าไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อบ้านฟัง แล้วรีบเข้าไปดึงหญิงขี้เมาให้ลุกขึ้นเพื่อให้พ่อบ้านได้เห็นชัดๆ


เมื่อได้กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง พ่อบ้านก็ขมวดคิ้วทันที ทว่าเมื่อเขาเห็นใบหน้าของหญิงสาว โดยเฉพาะอกภูเขาไฟขาวกระจ่างที่ซ่อนอยู่ในเสื้อผ้ายุ่งเหยิงนั่น…


“…ดีแท้! ตรงตามที่เราต้องการพอดี” พ่อบ้านขบฟันแล้วตะโกนเรียกคนรับใช้ลึกลับที่อยู่ในลานบ้าน หลังจากซักถามคนรับใช้ผู้นั้นหลายข้อ เขาก็หันมาหาผู้คุ้มกันทั้งสองคน “พวกเจ้ารีบพานางเข้ามา”


“หา? แต่หญิงผู้นี้…”


พ่อบ้านพูดทั้งที่ยังกัดฟัน “ช่างบิดาเจ้าสิ! แม้เราจะไม่รู้พื้นเพของนาง… แต่ครั้งนี้เราจะเลือกมากไม่ได้! อาจารย์เซียนเบื่อหน่ายหญิงสาวกลุ่มเดิมมานานเต็มทีแล้ว แต่ในอำเภอเล็กๆ เช่นนี้ เราจะไปหาผู้หญิงที่ตรงตามรสนิยมของเขาได้จากไหน วันนี้เราเจอคนหนึ่งก็จริง แต่เขากลับปฏิเสธเพราะนางมีหน้าอกเล็กเกิน!”


“แต่มันจะไม่…”


“อาจารย์เซียนได้สร้างค่ายกลขึ้นในจวนรับรองด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลไป”


ผู้คุ้มกันทั้งสองทำได้เพียงพยักหน้า อย่างไรเสียนี่ก็เป็นความคิดของพ่อบ้าน พวกเขาทั้งคู่เพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงแบกร่างหญิงขี้เมาที่ตอนนี้สลบไปแล้วเข้าไปในลานบ้าน


เมื่ออยู่ภายในห้องกับหญิงสาวตามลำพัง หลังจากมองซ้ายมองขวาว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น พ่อบ้านก็ค่อยๆ ปิดประตูและพึมพำกับตัวเอง “หน้าอกของหญิงผู้นี้ใหญ่กว่าหญิงครึ่งชายครึ่งคนก่อนหน้ามากจริงๆ”


ในขณะเดียวกัน ที่มุมมืดไม่ไกลจากนั้น เถ้าแก่เนี้ยผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจากที่ซ่อนก็เดือดดาลขึ้นมา


“พวกวิตถารทั้งหมด…สมควรตาย!”


………………………………………………


ตอนที่ 7 พวกวิปริตตายไปให้หมด!

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


พ่อบ้านและผู้คุ้มกันช่วยกันแบกหญิงสาวเข้าไปข้างใน โดยตั้งใจจะพาไปชำระร่างกายในห้องอาบน้ำ แต่แล้วพวกเขาก็ได้ยินน้ำเสียงหมดความอดทนของอาจารย์เซียนระเบิดก้องหู


“พอที จะมากพิธีอะไรนักหนา พาตัวผู้หญิงคนนั้นเขามาได้แล้ว ระยำจริง! เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ทำไม่ได้ เลี้ยงเสียข้าวสุกแท้ๆ!”


ก่อนที่เสียงของเขาจะเงียบไป กลุ่มหมอกใสก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศและตกลงมาบนร่างของหญิงสาว กวาดเอากลิ่นสุราเหม็นคลุ้งออกไปและแทนที่ด้วยกลิ่นน้ำหอม


ผู้คุ้มกันทั้งสองตัวสั่นเทิ้ม นี่มันอาคมของโลกเซียนชัดๆ! พวกเขาเพิ่งได้ประจักษ์อาคมของโลกเซียนด้วยสายตาตัวเอง! แม้จะเป็นอาคมง่ายๆ ที่เพียงปัดเป่ากลิ่นสุราออกไป… แต่ในเมื่ออาจารย์เซียนเรียกกลุ่มหมอกใสมาได้ เขาย่อมเรียกสายฟ้าจากในอากาศ รวมถึงลูกไฟได้ด้วยเช่นกัน… ช่างวิเศษจริงๆ


หลังจากได้ยินเสียงเร่งเร้าของอาจารย์เซียน พ่อบ้านก็รีบตอบกลับ “ท่านอาจารย์เซียน ประสบการณ์ของแม่นางคนนี้ดูท่าว่า…”


“หืม เรื่องราวในชีวิตนางจะสลักสำคัญอะไร พานางเข้ามาเร็ว!”


คนทั้งสามรีบอุ้มหญิงสาวเข้าไปในอาคารหลัก และพบว่าผู้บำเพ็ญเซียนผู้นี้มีท่าทีไม่พอใจ เขาปลดกระดุมเสื้อพลางนั่งลงบนเตียงด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร


เบื้องหลังของผู้บำเพ็ญเซียนมีหญิงสาวสองคนนอนอยู่ ร่องรอยของเลือดยังเห็นได้ตามส่วนลับอีกทั้งน้ำตาก็ยังกลบดวงตา พวกนางทั้งคู่สิ้นสติไปแล้ว


“ระยำเอ๊ย! ทำไมนางต้องมาเดินพลังลมปราณของตัวเองตอนนี้ด้วย…แล้วใครจะช่วยเพิ่มพลังปราณให้กับข้า หญิงปุถุชนจะทนทานต่อตะบองทองคำของข้าได้อย่างไร”


ดูเหมือนว่านี่เป็นวิธีบำเพ็ญเซียนของคนทั้งคู่ หากว่าเริ่มแล้วก็จะต้องทำต่อเนื่องกันทุกวันไม่มีวันพัก และตอนนี้ตบะขั้นฝึกปราณของทูตระดับสี่ดาวก็ทะยานถึงช่วงสำคัญของการบำเพ็ญเซียน ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องรวบรวมพลังอิทธิฤทธิ์เตรียมพร้อมสู่ตบะขั้นต่อไป ทว่าผู้อาวุโสระดับหกดาวกลับต้องขัดสนเพราะไม่มีบุคคลช่วยในการบำเพ็ญเซียนคู่ แต่การบำเพ็ญเซียนคู่ของเขาก็ยังต้องดำเนินต่อไป ดังนั้นเขาจึงต้องใช้หญิงสาวปุถุชนหลายคนเพื่อชดเชยไปก่อน โชคร้ายที่หญิงสาวธรรมดามิอาจทานทนการร่วมสังวาสที่รุนแรงเป็นเวลานานได้ แก่นในกายพวกนางถูกสูบจนแห้งเหือด แต่ก็ยังมิอาจเติมเต็มช่องว่างตามร่องฟันของผู้บำเพ็ญเซียนเฒ่าด้วยซ้ำ


ผู้บำเพ็ญเซียนเฒ่ารู้สึกสิ้นหวัง เขาปรารถนาจะออกไปฉุดหญิงสาวจากครอบครัวที่น่านับถือในอำเภอนี้กลับมา ทว่าคุณภาพของหญิงสาวในอำเภอนี้ก็ต่ำเสียจนเขาอาจต้องใช้หญิงสาวเป็นร้อยๆ คนเพื่อดับไฟที่ผลาญอยู่ในวิหารหยกของเขา และอาจดับได้เพียงชั่วเวลาไม่นานเท่านั้น… ทว่าหากเขาทำเช่นนี้จริงๆ แม้ว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเขากับผู้พิพากษาอำเภอจะดีเพียงไร แต่ก็ไม่มีทางรอดตัวจากการกระทำนี้แน่ และหากเขาทำให้จังหวัดตงเต้าต้องโกรธแค้น สำนักเจ็ดดาราจะย่อมต้องเผชิญปัญหาใหญ่แน่นอน


แต่แล้วในช่วงเวลาคับขันนี้ สวรรค์ก็ลืมตาและมอบโอกาสดีงามให้กับเขา หญิงสาวผู้งดงามชวนตะลึงได้ตกจากฟ้าลงมาสู่ตักของเขาจริงๆ!


แน่ล่ะว่าหากเขาซื่อตรงกับตัวเอง หญิงสาวผู้นี้นับว่าห่างจากคำว่าชวนตะลึงอยู่โข แต่หน้าตาของนางก็ดีไม่หยอก อีกทั้งยังมีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบ ทั้งสองสิ่งนี้ยากที่จะมีพร้อมในคนคนเดียว แม้จะหาถึงร้อยคนไม่ได้ แต่เพียงเท่านี้ก็อาจช่วยปรนเปรอความต้องการในวันนี้ของเขา ซึ่งถือว่าเป็นสถานการณ์ที่เร่งด่วนได้ ผู้ฝึกเซียนเฒ่ารู้สึกได้ว่าหากเขาไม่สามารถเติมเต็มความต้องการได้ภายในหนึ่งชั่วยาม ลมปราณของเขาอาจแตกซ่านได้!


ดังนั้นในเวลานี้ ต่อให้หญิงสาวมีพื้นเพย่ำแย่แค่ไหนเขาก็ไม่สน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่พื้นเพคลุมเครือเลย เขาสนเพียงได้ร่วมสังวาสเท่านั้น! อีกทั้งเขายังวางค่ายกลที่แน่นหนาเอาไว้ในอาคารนี้แล้ว ยังจะมีอะไรต้องกลัวอีกเล่า


แต่สำหรับบางคน น่าแปลกที่ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่นเหลือเกิน กระทั่งขั้นตอนต่างๆ ก็ถูกข้ามไปตั้งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาบน้ำ แต่งตัวและอื่นๆ ซึ่งเขาอาจใช้เวลาเหล่านั้นคิดแผนต่อไปได้ ทว่าตอนนี้เขากลับถูกหามมาจากหน้าประตูจนถึงอาคารหลักโดยไม่มีอุปสรรคแม้แต่น้อย! เอาเข้าจริงเขายังไม่ทันเตรียมใจเลยด้วยซ้ำ!


ระยำเถอะ! นี่ล้อกันเล่นหรืออย่างไร ยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจหรือคิดแผนการอะไรสักอย่าง แล้วนี่เขาจะต้องไปเผชิญหน้ากับเจ้าปีศาจแล้วหรือนี่


การต้องรับมือกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานถือว่าท้าทายอย่างยิ่งยวดสำหรับหวังลู่ โดยเฉพาะเมื่อไม่มีแผนการรองรับไว้ และยิ่งเมื่อเขาอยู่ในที่ของศัตรู ซึ่งย่อมต้องมีกลไกมากมาย ก่อนหน้านี้จากคำบอกเล่าของเหวินเป่า หวังลู่แน่ใจว่าที่นี่ต้องมีการวางค่ายกลอย่างน้อยสามชั้นแน่


จากตำราที่อธิบายวิธีวางค่ายกลทั่วไป ค่ายกลสามชั้นในจวนรับรองนี้เชื่อมต่อกับจิตดั้งเดิมในวิหารหยกของผู้บำเพ็ญเซียน หมายความว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงแค่เพียงเล็กน้อย ชายแก่ผู้นี้ย่อมต้องรู้สึกได้อย่างแน่นอน อีกทั้งผู้บำเพ็ญเซียนเฒ่าอาจจะร่ายอาคมไว้ทุกมุมของจวนก็เป็นได้ ไม่มีมุมใดหลงเหลือให้แอบซ่อนได้เลย


สิ่งนี้จัดได้ว่าเป็นทักษะพื้นฐานเพื่อควบคุมอาณาเขตของตัวเอง ไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดหรือมีพลังอันใด เป็นเพียงแค่การสำแดงทักษะเบื้องต้นของผู้ฝึกเซียนเท่านั้น ก่อนหน้านี้ตอนที่เหวินเป่าเล่าประสบการณ์ของเขาให้ฟัง หวังลู่ก็รู้สึกได้ว่าชายผู้นี้รับมือไม่ง่าย ทุกวันนี้ผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักสวะมักมีพื้นฐานไม่แน่นนัก ทุกคนมุ่งเน้นไปที่ขั้นตบะ เร่งรีบก้าวไปข้างหน้าในเส้นทางบำเพ็ญเซียนโดยที่ไม่ใส่ใจสิ่งอื่น ซึ่งทำให้การบำเพ็ญเซียนของพวกเขากลวงโล่ง ดังนั้นจึงมักพ่ายแพ้ให้กับผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักชั้นนำ รวมทั้งเกรงกลัวคนพวกนั้นจนหัวหด


ก่อนหน้านี้ จากประสบการณ์การฆ่าทูตระดับสี่ดาวถึงสองคนโดยไม่ต้องลงแรงมากนัก หวังลู่จึงไม่ได้ใส่ใจผู้อาวุโสระดับหกดาวคนนี้สักเท่าไหร่ ทว่าดูท่าแล้วสุนัขตัณหากลับผู้ชื่นชอบการเสพสังวาสคนนี้มีพื้นฐานแน่นไม่เบา ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะรับมือ… ดังนั้นเขาจึงยืนกรานที่จะใช้วิธีลอบจู่โจม


ทว่าตอนนี้นั้นยากที่จะบอกได้ว่าเขาโชคดีหรือว่าโชคร้าย มองในแง่ดี ขณะนี้ในหัวของฝ่ายตรงข้ามเต็มไปด้วยตัณหาซึ่งอาจทำให้ความสามารถของเขาลดลงได้หกถึงเจ็ดส่วน แต่หากมองในแง่ร้าย… หวังลู่เองก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย


ทว่าสุดท้ายแล้ว ลูกเลี้ยงหน้าตาน่าชังก็ย่อมต้องเผชิญหน้าผู้เป็นบิดาและมารดาเลี้ยงของตนอยู่ดี “เอาเถอะ หน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้ เป็นอย่างไรก็เป็นกัน!”


——


คนสองสามคนแบกหวังลู่มาจนถึงอาคารหลัก หลังจากที่พ่อบ้านสั่งให้พวกที่เหลือวางหวังลู่ลงบนพื้น เขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม อยากจะประจบประแจงอาจารย์เทพเซียนเฒ่าด้วยการเอ่ยชมเรื่องอาคมเต็มแก่ แต่ผลที่ได้รับคือเขาถูกชายแก่ดวงตาแดงก่ำตบหน้าเข้าเต็มแรง แล้วสั่งให้ไสหัวออกจากห้องไป ผู้คุ้มกันอีกสองคนตื่นตระหนกแล้วรีบถอยฉากออกไปจากห้องจากนั้นก็ปิดประตูลงทันที


พอพ้นประตูทั้งสองก็ถอนหายใจ รู้สึกสงสารหญิงขี้เมารักคุดไม่น้อย… นางจะยังมีชีวิตอยู่ถึงพรุ่งนี้เช้าหรือไม่นะ ก่อนหน้านี้ แม้ว่าหญิงสาวหลายคนที่ถูกส่งมาให้อาจารย์เซียนจะไม่ได้ถูกฆ่าตายที่นี่ แต่หลังจากนั้นเมื่อหมอตรวจดูอาการของพวกนาง ก็กล่าวว่าพวกนางเจ็บปวดแสนสาหัสและต้องพักฟื้นนานสามถึงห้าเดือนเลยทีเดียว และนั่นเป็นกรณีที่อาจารย์เซียนยังควบคุมตัวเองได้ แต่เวลานี้ตาแก่นี่ใกล้เป็นบ้าอยู่รอมร่อ ไม่แน่ว่า…


ขณะเดียวกัน ภายในห้อง ชายแก่ก็มิอาจทนต่อ ‘ความโหยหาและหิวกระหาย’ ได้อีกต่อไป เมื่อได้เห็นหญิงขี้เมากองอยู่บนพื้น โดยเฉพาะหน้าอกอวบอิ่มที่เผยออกมาบางส่วน เขาก็ไม่สามารถควบคุมเพลิงปรารถนาที่แผดเผาอยู่ในวิหารหยกของตัวเองได้ จึงเอื้อมมือไปถอดชุดของนางออกพร้อมรอยยิ้มสัปดน


แม่สาวน้อยเอ๋ย ข้ามาแล้ว!


ทว่าหญิงสาวกลับลุกขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน เปลื้องกระโปรงหรูหราตัวยาวออกแล้วเหวี่ยงมันขึ้นไปในอากาศบดบังการมองเห็นของชายแก่เสียสิ้น


การกระทำที่หุนหันนี้ทำเอาชายชราตกใจแทบสิ้นสติ เขาไม่คาดคิดสักนิดว่าหญิงสาวลึกลับที่เขามองว่าเป็นดังหยาดน้ำฟ้าที่ประพรมลงมาบนหน้าแท้จริงแล้วก็คือนักฆ่า!


ตอนที่นางถูกพาเข้ามาในลานบ้าน เขาได้สำรวจนางแล้วในขั้นต้นและพบว่านางไม่มีตบะเซียนอยู่ในร่าง จึงยืนกรานหนักแน่นให้พานางเข้ามา ไม่น่าเชื่อเลยว่า พวกเขาจะปล่อยให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณจากสำนักใหญ่ที่มีทักษะแน่นอย่างคาดไม่ถึงเข้ามาได้! แม้ขั้นเซียนของคนผู้นี้ไม่สูงนัก แต่หากมีความสามารถในการซ่อนตบะเซียนแล้วล่ะก็ นั่นก็แปลว่าคนผู้นี้ย่อมเป็นอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย! เพราะความเลินเล่อชั่วขณะของเขา จึงถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้!


ทว่าชายแก่ผู้นี้ก็คู่ควรกับการเป็นผู้อาวุโสระดับหกดาว เพราะขณะกำลังตื่นตะลึงอยู่นั้น เขาก็สามารถโต้กลับได้


ชายแก่ดึงเอาพลังอิทธิฤทธิ์จากวิหารหยกมายังส่วนบนของร่างกาย ทั้งตัวของเขาผ่อนคลายลง จากนั้นร่างกายส่วนบนก็พองขึ้น ผิวก็ดูคล้ายจะค่อยๆ เงาขึ้น และในที่สุดร่างกายส่วนบนของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้าเสียอีก!


หนำซ้ำ…


“แข็ง! สั่น! แกร่ง!”


เขาโพล่งสามคำนี้ออกมาแทบจะในเวลาเดียวกัน และอาคมก็พุ่งเป้าไปที่นักฆ่าซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้กระโปรงยาวได้เหมาะเจาะอย่างน่าทึ่ง


เมื่อเผชิญหน้ากับนักฆ่า ปฏิกิริยาตอบสนองของคนส่วนใหญ่คือหลบหรือไม่ก็ตั้งรับ ทว่าเมื่ออิงตามสถิติของผู้เชี่ยวชาญแล้ว การตอบสนองที่ดีที่สุดคือการโต้กลับในชั่วขณะที่วิกฤตนั่นเอง ขณะที่นักฆ่าจะลอบสังหารเป้าหมาย การตั้งรับของพวกเขาจะตกลง และไม่ว่าจะพยายามกลับมาตั้งรับเพียงไรก็ไม่มีเวลาเตรียมตัวมากพอ ทว่ากลับกันหากคนผู้นั้นเสี่ยงที่จะโต้กลับ ก็อาจจะรอดออกมาแบบยังมีลมหายใจก็ได้ อาจจะฟังดูบ้าบอ แต่ก็เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ นี่คือองค์ความรู้แสนมีค่าที่ผู้บำเพ็ญเซียนเฒ่าเรียนรู้เมื่อครั้งอยู่ในสำนักระดับกลางของพันธมิตรหมื่นเซียนตอนที่ยังหนุ่มกว่านี้


ขั้นแรก เขาต้องตั้งรับและโต้กลับไปพร้อมกัน เขาต้องร่ายอาคมเพื่อขึงร่างนักฆ่าผู้นี้ และใช้ร่างกายที่น่ายำเกรงของตบะขั้นสร้างฐานปกป้องชีวิตเอาไว้ เขามั่นใจมากว่าหากคู่ต่อสู้ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าเขาหลายเท่า อย่างน้อยเขาย่อมรอดการจู่โจมครั้งแรก ยิ่งกว่านั้น หากนักฆ่าพลาดที่จะสังหารเป้าหมายภายในการจู่โจมครั้งแรก ก็เป็นการยากที่จะจะจู่โจมครั้งต่อไปสำเร็จ…


แน่นอนว่าขณะที่ผู้บำเพ็ญเซียนเฒ่ากำลังตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ตรงหน้า กระโปรงตัวยาวก็ค่อยๆ ตกลงมาจากกลางอากาศ และนักฆ่าที่ซ่อนอยู่หลังกระโปรงก็ถูกอาคมสามครั้งซ้อนของเขาตรึงเอาไว้อย่างเหมาะเหม็ง การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแข็งทื่อและเชื่องช้าลง


ทว่าเขาก็ยังมิอาจวางใจได้ เพราะแม้เขาจะสกัดการโจมตีครั้งแรกไปได้ กระบวนท่าสังหารของอีกฝ่ายก็ยังไม่ยุติ


จู่ๆ ผมที่ยาวราวกับน้ำตกของหญิงสาวก็แผ่กระจายหมายจะพุ่งมาพันตัวเขาเอาไว้!


นี่มันกลยุทธ์น่าขนลุกอะไรกัน!? ผู้บำเพ็ญเซียนเฒ่าอดประหลาดใจไม่ได้ ทว่าเขาก็รีบปลดปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์และร่ายอาคมออกมาอย่างไม่ลังเล กลุ่มผมสีดำจึงมิอาจเข้ามาใกล้เขาได้อีกแม้แต่น้อย


ทว่าจิตใจของผู้บำเพ็ญเซียนเฒ่าเริ่มหวั่นไหว มีบางอย่างผิดปกติ เขาเอื้อมมือไปจับที่ลำคอของตนในทันที แล้วก็พบว่าบนลำคอมีไหมล่องหนอยู่


ระยำแท้! กลุ่มผมนั่นเป็นแค่ตัวล่อเท่านั้น! อาวุธที่แท้จริงก็คือสิ่งนี้ต่างหาก! แม้ไหมนี้จะไม่ทำให้ถึงตาย แต่หากมันพันคอเขาก็จะทำให้เขาร่ายอาคมได้ยากขึ้น และหากเป็นเช่นนั้นเขาต้องตกที่นั่งลำบากแน่!


โชคดีที่เขาบำเพ็ญตบะมาเกือบร้อยปีแล้ว ดังนั้นแม้ขั้นตบะของเขาจะยังไม่สูงนัก แต่เขาก็มีสัญชาตญาณที่เฉียบคม ซึ่งสามารถช่วยชีวิตตนในช่วงวิกฤตเช่นนี้ได้!


ในเมื่อเขาเจอไหมล่องหนนี่แล้ว แปลว่ามันไม่อาจทำงานจนลุล่วงได้ ชายแก่ใช้นิ้วหมุนไหมดังกล่าวแล้วดึงมันทิ้ง ตอนนี้ไพ่ไม้ตายของฝ่ายตรงข้ามถูกเปิดโปงเสียแล้ว ดังนั้นสิ่งเดียวที่นักฆ่าจะทำได้ก็คือดิ้นรนเอาตัวรอดจากอาคมทั้งสามของชายชรา


เมื่อรู้ว่าส่วนที่ยากที่สุดจบลงแล้ว ชายชราก็เบาใจลง แล้วค่อยๆ สืบเท้าเข้าไปใกล้นักฆ่าสาวผู้ฮึกเหิมอย่างช้าๆ!


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ส่วนล่างของชายแก่ก็แข็งขืนขึ้นมาทันที!


ทว่าครั้งนี้กระโปรงตัวยาวลงมากองอยู่ที่พื้นแล้ว เผยให้เห็นเรือนร่างของนักฆ่าสาว ส่วนบนนั้นไม่ต้องเอ่ยถึงอีกให้มากความ แต่ภายใต้ชุดชั้นในของนักฆ่า เค้าโครงของสิ่งสิ่งหนึ่งที่อยู่ตรงหว่างขากลับปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด


มังกรที่กำลังผงาดของชายแก่คอพับคออ่อนไปในทันที “ข้าว่าแล้ว! นักฆ่าสาวสวยอะไรนั่นโกหกทั้งเพ!”


แต่จะว่าไป… จะด้นสดอีกสักหน่อยก็ไม่น่าเป็นอะไร อย่างไรเสียใบหน้านี่ก็งามดีไม่หยอก! ดังนั้นแม้ว่าส่วนล่างของเขาจะต้องรอเตรียมการอีกพักหนึ่ง แต่เพลิงปรารถนาในจิตใจกลับลุกโชนขึ้นแล้ว


ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากเบื้องหลัง ทำเอาไฟราคะร่วงลงไปที่ตาตุ่ม


“พวกวิปริตตายไปให้หมด!”


พลังหมัดรุนแรงที่สามารถเจาะทะลวงสนามพลังซึ่งปกป้องร่างกายของเขา รวมทั้งเจาะทะลุกระจกดวงจิตมณีที่เจ็ด ซึ่งเป็นอุปกรณ์วิเศษขั้นสูงที่เขาใช้ป้องกันตัวเองเป็นด่านที่สองก็ฟาดลงมาที่หลังศีรษะของเขา พลังที่รุนแรงราวกับพายุที่โหมกระหน่ำในทะเลทำเอาสติของเขากระเจิง วิหารหยกสั่นสะท้าน


ภาพที่เห็นเบื้องหน้าดำมืด แล้วเขาก็สลบไป


………………………………………..


ตอนที่ 8 หวังลู่ตัดสินใจอย่างยากลำบาก (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อ้าว พี่หญิงหลิง ท่านมาทันเวลาพอดี เรานี่สมเป็นพี่สาวน้องสาวหัวใจเดียวกันจริงๆ ฮ่าๆๆ”


“ใครอยากจะเป็นพี่สาวน้องสาวกับเจ้ากัน คนวิตถาร…”


“ฮ่าๆๆ อย่าเขินไปหน่อยเลยน่า”


ภายในอาคารหลัก หวังลู่ระเบิดหัวเราะขณะพยายามหลุดพ้นจากอาคมที่สะกดร่างเขาเอาไว้อย่างหนัก ในที่สุดความรู้สึกของเขาก็ค่อยๆ กลับมา


ทว่าอาคมสามอย่างเมื่อครู่นี้ถือว่าร้ายแรงไม่เบา เมื่อไม่มีกระบี่แห่งเขาคุนในมือ เขาจึงไม่อาจใช้วิชากระบี่สะบั้นไร้ลักษณ์เพื่อล้างอาคมได้ สามอาคมเมื่อครู่เทียบเท่ากับการถูกฝังร่างอยู่ใต้หิมะถล่มก็ไม่ปาน! แต่ต้องขอบคุณกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์และโล่ระฆังทองไร้ลักษณ์ที่แข็งแกร่งของเขา เขาจึงไม่ถูกอาคมนั่นบีบจนตาย! นี่หากทูตสี่ดาวขั้นฝึกปราณระดับสูงคนนั้นเป็นคนร่ายอาคม ไม่แน่ว่านางอาจตกใจจนตายไปแล้วก็ได้!


การจะต่อกรกับผู้ที่มีขั้นตบะสูงกว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่งอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเมื่อขั้นตบะนั้นแตกต่างกันมาก อาจกล่าวได้ว่าช่องว่างของความต่างนั้นกว้างเท่าโลกเลยก็ได้ พลังของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานปรากฏให้เห็นอย่างเต็มที่ไปแล้ว


หวังลู่ถอนหายใจ “ตบะขั้นสร้างฐาน ทำไมถึงได้ทรงพลังนัก”


“ระยำ! เจ้าน่ะสิสวะ หมอนี่น่ะแค่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานดาดๆ หากเขาเป็นศิษย์ตบะขั้นสร้างฐานจากสำนักกระบี่วิญญาณล่ะก็ อาคมสามอย่างนั่นต้องฟาดหน้าเจ้าลงไปนอนกับพื้นแล้ว” ขณะมัดผู้บำเพ็ญเซียนเฒ่าที่หมดสติอยู่ เถ้าแก่เนี้ยก็พูดจาว่าร้ายชายผู้นี้อย่างอุกอาจไปด้วย


“หึ นี่หากข้ามาไม่ทันเวลา เจ้าคงถูกตาแก่ลามกนี่ปู้ยี่ปู้ยำไปไหนต่อไหนแล้ว! ไหนเจ้าพูดนักพูดหนาว่าในฐานะศิษย์ผู้สืบทอด เจ้าสามารถเอาชนะคนที่มีขั้นตบะสูงกว่าได้ยังไงเล่า น่าขำสิ้นดี!”


อีกฟากหนึ่งของห้อง หวังลู่ใช้วิชากระดูกจักรพรรดิไร้ลักษณ์จัดระเบียบกระดูกทั้งหมดในร่างให้อยู่เป็นที่เป็นทางตามเดิม ปากก็โต้ตอบคำพูดไม่รื่นหูของเถ้าแก่เนี้ยอย่างฉุนเฉียว “ก็ข้าไม่มีอาวุธในมือเสียหน่อย ครั้งนี้ข้ากระโจนมาจนถึงขั้นนี้ก็เพื่อเปิดช่องให้ท่านโจมตี เหตุใดท่านถึงจับผิดข้ากันเล่า หากท่านเป็นข้า ถามหน่อยท่านจะจัดการกับเจ้าหมอนี่โดยลำพังได้หรือ ก่อนที่ท่านจะได้เข้าใกล้เขา คงถูกค่ายกลของเขาจัดการไปนานแล้ว! เอาเถอะ ท่านไม่ต้องกลัวว่าเขาจะแก้แค้นท่านหรอกนะ เพราะท่านน่ะอกไม้กระดาน! เขาไม่อยากจะชายตาแลด้วยซ้ำ!”


“ระยำ! หากเจ้าพูดว่าอกไม้กระดานอีกคำเดียว เจ้ากับข้าขาดกัน!”


“พอที ท่านจะมัวต่อล้อต่อเถียงข้าอยู่ทำไม ไปตามจับทูตสี่ดาวนั่นก่อนที่นางจะหนีไปเร็วเข้า”


เถ้าแก่เนี้ยกล่าวอย่างฉุนเฉียว “ข้าต้องให้เจ้ามาสั่งงั้นหรือ ตอนข้าเข้ามา ข้าก็จัดการนางไปเรียบร้อยแล้ว… โชคดีที่ข้าว่องไวพอ ไม่อย่างนั้นก็คงมาช่วยเจ้าไม่ทัน”


“เฮ้ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษคนเดียวสิ ถ้าไม่มีข้าดึงความสนใจตาแก่ลามกนี่ไว้ ท่านจะแอบเข้ามาได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ที่เป็นแบบนี้เพราะเราสองคนร่วมมือกันต่างหาก ความดีความชอบก็ต้องแบ่งกันครึ่งครึ่งระหว่างท่านกับข้า เข้าใจไหม”


เถ้าแก่เนี้ยตัดบท “ตามใจเถอะ…ใครจะอยากได้ความดีความชอบไร้ประโยชน์พรรค์นี้กัน ถามหน่อยเจ้าจะภูมิใจไปทำไม หมอนี่มันก็แค่สวะขั้นสร้างฐานเท่านั้นเอง!”


แน่นอนว่าหวังลู่ภาคภูมิใจ ไม่ใช่ภูมิใจที่เขาร่วมมือกับเถ้าแก่เนี้ยเอาชนะคนที่มีขั้นตบะสูงกว่าตัวเองได้ แต่ภูมิใจที่…


ได้ผู้อาวุโสหกดาวเป็นตัวประกันเช่นนี้ ก็ไม่ต้องหาฐานที่ตั้งของสำนักเจ็ดดาราให้เหนื่อยแรงแล้ว! ในฐานะผู้อาวุโสของสำนัก สถานะของชายแก่ผู้นี้ต้องสูงไม่น้อย หากพาตัวชายแก่นี่กลับหมู่บ้าน ภารกิจนี้ก็ถือว่าลุล่วงแล้ว


แม้หวังลู่จะไม่คิดว่าการพาตัวผู้อาวุโสกลับไปจะแก้ปัญหาที่หยั่งลึกของหมู่บ้านตระกูลหวังได้ แต่…


“เจ้า…เจ้าเป็นใครกันแน่”


ขณะที่หวังลู่กำลังจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง ตาแก่ลามกก็ได้สติ เห็นได้ชัดว่าร่างกายของผู้ฝึกเซียนขั้นสร้างฐานนั้นแข็งแกร่งกว่าร่างกายของผู้ฝึกเซียนขั้นฝึกปราณหลายเท่านัก


เป็นเพราะหมัดของเถ้าแก่เนี้ยเกือบจะทำลายวิหารหยกของเขา และจิตใจของเขายังคงบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ดังนั้นแม้สติของเขาจะฟื้นคืนมา แต่ก็ไม่สามารถเดินพลังอิทธิฤทธิ์ได้แม้แต่น้อย ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่ต่างจากถูกทำให้พิการเลย ความจริงเถ้าแก่เนี้ยเพียงมัดเขาไว้ง่ายๆ เท่านั้น หากเป็นเมื่อก่อน แค่เพียงดีดนิ้วเขาก็จะหลุดจากการถูกมัดอย่างง่ายดาย แต่ทว่าตอนนี้เขากลับไม่อาจเป็นอิสระจากมันได้


ทว่าเหตุการณ์นี้กลับแฝงเรื่องดีให้กับเขา หมัดของเถ้าแก่เนี้ยนอกจากจะทำให้ดวงจิตและพลังอิทธิฤทธิ์ในวิหารหยกของเขาแตกซ่าน มันก็ยังดับไฟราคะของเขาลงด้วย… แม้ราคาที่ต้องจ่ายคือการที่ทักษะถูกย้อนกลับไปหลายปี แต่ก็ถือว่าดีกว่ามากหากต้องมาตายเพราะลมปราณแตกซ่าน


“หะ เหตุใดพวกเจ้าจึงลอบเข้ามาโจมตีข้า ข้าไปทำอะไรให้หมางใจงั้นหรือ”


เถ้าแก่เนี้ยขมวดคิ้ว “น่ารังเกียจ ต้องมาฟังตาแก่ลามกนี่พูดข้าแขยงหูนักเชียว… ข้าจะไปรอข้างนอก พวกวิตถารสองคนก็คุยกันไปเองแล้วกัน”


“ระยำเถอะ! ข้าเป็นหนุ่มหน้ามนจากตระกูลที่น่านับถือ ไม่ใช่พวกวิตถารเสียหน่อย!”


“คนที่สวมกระโปรงเพื่อล่อลวงตาแก่ลามกอย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์พูดคำนั้นหรอกย่ะ”


“ชิ ไม้กระดานหงำเหงือกวัยสามสิบอย่างท่านก็ไม่มีสิทธิ์กล่าวหาคนอื่นเช่นกัน”


“…ช่างเถอะ ข้าขี้เกียจจะเถียงกับเจ้าแล้ว” เถ้าแก่เนี้ยทำปากยื่นแล้วเดินตรงออกจากห้องไป ทิ้งให้หวังลู่และชายชราอยู่ในห้องกันตามลำพัง


หวังลู่เอนตัวไปด้านหน้า “เจ้าจำข้าได้ไหม”


การมองเห็นของตาแก่ลามกยังคงพร่าอยู่เพราะหมัดของเถ้าแก่เนี้ย ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็อุทานออกมา “หวังลู่!?”


“โอ้ ดูท่าว่าเจ้าจะรู้จักข้า เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าคิดว่าอย่างไร”


“…ข้ายอมแพ้”


ตาแก่ลามกผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่มีประสบการณ์โชกโชน ณ ขณะนี้ เขามีความคิดมากมายอยู่ในหัว และตัดสินเลือกข้อที่ฉลาดที่สุด


ไม่ว่าเขาจะแพ้ได้อย่างไร จากการปรากฏตัวของหญิงสาวอย่างฉับพลันหรือว่าข้ออื่น แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ไปไกลเกินกว่าที่เขาจะจัดการอะไรได้แล้ว ความเข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามเองก็มากกว่าที่เขาคาดคิดไว้… พูดตามตรง เขาเองก็ออกจะเชื่อคำคาดเดาของผู้อาวุโสอีกคนในการประชุมกันที่ฐานที่ตั้งเมื่อคราวก่อนไม่น้อย


เป็นไปได้หรือไม่ที่หวังลู่จะเป็นศิษย์ของหนึ่งในห้าสำนักวิเศษ และสาเหตุที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญขั้นกำเนิดใหม่ลงจากภูเขาเพื่อแก้แค้นให้กับศิษย์ของตน อาจเป็นเพราะนี่เป็นการเรียนรู้เพิ่มพูนประสบการณ์รูปแบบหนึ่งก็ได้ ตอนที่เขายังเป็นศิษย์ของหนึ่งในสำนักพันธมิตรหมื่นเซียนนั้น เรื่องเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร


หากเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมจำนน อีกทั้งตอนนี้เขายังรู้สึกยินดีมากที่ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ ไม่เช่นนั้น… หากเขาไปรบกวนผู้เชี่ยวชาญขั้นกำเนิดใหม่เข้าล่ะก็ มีหวังเขาต้องพบจุดจบที่อนาถอย่างแน่นอน!


เมื่อเห็นว่าตาแก่ลามกยอมจำนนอย่างว่าง่าย หวังลู่ก็ผงะไป “หึ เจ้านี่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์จริงนะ! ดี งั้นสารภาพความผิดที่สำนักเจ็ดดาราทำต่อหมู่บ้านตระกูลหวังมาย่อๆ ซิ”


ตาแก่ลามกถอนใจและยอมเปิดเผยความลับทั้งหมดเท่าที่เขารู้แต่โดยดี


ตาแก่ลามกผู้นี้มีนามว่าเหออวิ๋น เมื่อครั้งยังหนุ่มเคยเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ ของพันธมิตรหมื่นเซียน แต่เพราะทำผิดกฎความรุนแรงของสำนักและความก้าวหน้าของการบำเพ็ญตบะเป็นไปอย่างเชื่องช้า ทำให้เขาถูกขับออกจากสำนัก หลังจากที่พเนจรอยู่ในอาณาจักรเก้าแคว้นหลายปี เขาก็บังเอิญได้เข้าร่วมสำนักเจ็ดดารา และเริ่มทำธุรกิจมืดที่น่าชังนี้


ทว่าการที่พวกเขาเข้าไปเกี่ยวพันในหมู่บ้านตระกูลหวังก็เป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้บ่อยครั้งในอาณาจักรเก้าแคว้น หากไปยั่วยุหวังลู่ บุคคลประเภทที่ชอบฝ่าอาณัติสวรรค์เข้า ก็ไม่ใช่เรื่องที่คุ้มค่าอะไร ส่วนที่เหลือนั้นหวังลู่ก็ได้รู้ไปหมดแล้ว


“เจ้าจะให้ข้าไปที่หมู่บ้านตระกูลหวังเพื่ออธิบายความจริงให้ชาวบ้านฟัง?”


ตาแก่ลามกเผยสีหน้าครุ่นคิดขณะนอนอยู่ที่พื้น “ข้าว่าเรื่องนี้คงไม่มีประโยชน์”


หวังลู่ซึ่งกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ก็ถามกลับทันควัน “ไม่มีประโยชน์ตรงไหนกัน”


ตาแก่ลามกละล่ำละลักอธิบาย “คือ…เท่าที่ข้ารู้ สำนักเจ็ดดาราก็หลอกลวงชาวบ้านมาตั้งหลายปี… หากเจ้าอยากให้พวกเขาคืนสติล่ะก็ นอกจากจะถูกตีจนปางตายจริงๆ ข้าว่าก็ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว หากความละโมบของคนเรานั้นทะลวงมาจนถึงด้านบนแล้ว ก็ยากที่จะกดมันลงไปดังเดิมได้ แม้ข้าจะไปอธิบายให้พวกเขาฟัง พวกเขาก็อาจคิดว่าเจ้าติดสินบนข้าให้มาพูดก็ได้”


หวังลู่พ่นลม “อืม แล้วอย่างไรต่อ”


ตาแก่ลามกอยากจะพูดใจจะขาดว่า ‘เลิกล้มความคิดเลื่อนลอยของเจ้าเสียเถอะ…อย่างไรเสีย เจ้าก็เป็นถึงศิษย์ของห้าสำนักวิเศษ เหตุใดจึงต้องใส่ใจชาวบ้านหลังเขาโง่เง่าแค่หยิบมือเดียวด้วยเล่า สำนักกระบี่วิญญาณของเจ้าสั่งสอนให้เจ้าตัดขาดจากโลกปุถุชนมิใช่หรือ อีกอย่าง หากเจ้าใส่ใจเรื่องความสัมพันธ์กับคนในโลกมนุษย์เหลือเกิน เจ้าก็แค่พาพ่อแม่กับคนสำคัญที่เจ้ารักคนอื่นๆ กลับไปที่สำนักก็พอ คิดจะแก้ปัญหาของชาวบ้านงั้นหรือ เป็นไปไม่ได้หรอก!’


แต่ตอนนั้น ตาแก่ลามกผู้นี้ทำได้เพียงนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อเท่านั้น


หวังลู่เองก็ไม่ได้คาดหวังให้ตาแก่ตอบคำถามเขา หากแม้เขาเองยังคิดหาคำตอบให้กับปัญหานี้ไม่ได้ แล้วตาแก่ลามกนี่จะหาคำตอบให้เขาได้อย่างไร ตอนนี้ ปัญหาเรื่องพวกฉ้อฉลและพวกโง่เง่านี่ไม่สลักสำคัญอีกแล้ว! แม้ว่าตอนนี้เขาสามารถทำลายสำนักเจ็ดดาราลงได้ ก็ไม่มีประโยชน์อันใด


สำนักเจ็ดดาราเปิดหนทางสู่โลกแห่งเซียนให้พวกโง่เง่าในหมู่บ้านตระกูลหวังได้รับรู้ พวกชาวบ้านไม่อาจยอมรับ…ว่าพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชน พวกเขาจึงแสวงหาหนทางแห่งเซียนอย่างสุดจิตสุดใจ ดังนั้นแม้เขาจะกำจัดสำนักเจ็ดดาราไปแล้ว แต่ตราบเท่าที่พวกชาวบ้านยังไม่ได้เป็นเซียน ต่อไปก็ย่อมต้องเกิดสำนักแปดดารา สำนักเก้าดารา… โธ่เอ๊ย พอคิดถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า เขาก็อยากจะแบกกระบี่ไปฆ่าพวกชาวบ้านเสียให้สิ้นซาก นี่แหละจึงจะถือเป็นการจบปัญหาอย่างแท้จริง!


แม้ในใจเขาจะรู้สึกเศร้า ทว่าภายนอกเขาดูผ่อนคลายไม่น้อย เขาฉุดตาแก่ลามกให้ลุกขึ้น “เจ้าบอกว่าในอดีต เจ้าเองก็เป็นคนดีและต้นกำเนิดก็ไม่ได้ย่ำแย่ แล้วเหตุใดจึงลดตัวเองลงมาเข้าร่วมกับสำนักเจ็ดดาราแล้วกลายเป็นสุนัขรับใช้ของเจ้าสำนักได้เล่า”


ตาแก่ลามกทบทวนความทรงจำและยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “เจ้าสำนักของเราก็ไม่ได้ชอบที่เป็นแบบนี้หรอก เพราะเขาเองก็มาจากพันธมิตรหมื่นเซียนเช่นกัน… ความจริงแล้วครึ่งหนึ่งของผู้อาวุโสก็รู้สึกเช่นนี้ แม้เราจะเป็นเพียงสำนักสวะในสายตาพวกเจ้า แต่ท่ามกลางสำนักสวะด้วยกัน สำนักเจ็ดดาราก็ถือว่าเป็นสำนักหนึ่งที่มีความก้าวหน้า”


“อ้าว ทั้งที่พวกเจ้าเองก็มีรากฐานไม่เลว ทำไมจึงไม่ฝึกบำเพ็ญตบะอย่างถูกต้อง ทำไมไม่ปล่อยชาวบ้านหลังเขาพวกนั้นไปเสียเล่า”


ตาแก่ลามกกล่าวว่า “ผลประโยชน์มันบดบังการตัดสินใจของเรา… การบำเพ็ญเซียนของพวกระดับสูงในสำนักเจ็ดดาราย่อมต้องพบเจอกับแรงต้าน นั่นคือยากที่พวกเขาจะฝึกให้ก้าวหน้าต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้ ความท้อแท้ใจของพวกเขาจึงนำมาสู่ความปรารถนาที่เพิ่มพูนขึ้น ดอกผลที่ได้จากการหลอกลวงชาวบ้านหลายปีมานี้มหาศาลนัก ทำให้พวกเขาไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ แถมสองสามปีมานี้ มีอุปกรณ์คุณภาพดีๆ ที่เอาไว้ใช้หลอกลวงผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งมักได้ผลดีเยี่ยม ในยุครุ่งเรืองของสำนักเจ็ดดารา เมื่อเราแผ่อิทธิพลลงไปตามเมืองหลวงต่างๆ ในจำนวนผู้คนนับหมื่นที่อาศัยอยู่ที่นั่น ย่อมมีถึงหกเจ็ดส่วนที่กลายมาเป็นผู้ติดตามของสำนักเรา! ในยุคนั้น ต่อให้ต้องสั่งสอนศิษย์ชั้นเลวก็ไม่ถือว่าแย่ เพราะพวกเขาร่ำรวยเงินทอง เมื่อเทียบกับสำนักที่ไร้ความสามารถและอับวาสนา ที่เชื่อว่าหากฝึกหนักพอก็สามารถท่องอยู่บนเส้นทางแห่งเซียนได้ สำนักเราถือว่าดีกว่าหลายขุม!”


เมื่อได้ยินดังนี้ หวังลู่ก็เกิดความสนใจขึ้น “ร่ำรวย? พวกเขาจะร่ำรวยได้อย่างไร ทรัพย์สมบัติของปุถุชนเมื่อเทียบกันแล้วก็ไม่ถือว่ามากมายมิใช่หรือ”


…………………………………………………


ตอนที่ 8 หวังลู่ตัดสินใจอย่างยากลำบาก (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตาแก่ลามกส่ายหน้า “ไม่ เจ้าไม่รู้อะไร จริงอยู่ที่สถานที่อย่างหมู่บ้านตระกูลหวังหรืออำเภออู่โหว เราอาจจะหลอกเอาเงินมาไม่ได้มากนัก แต่หากเป็นอำเภอที่ร่ำรวยและมีคนหนาแน่นหรือว่าเมืองหลวงจังหวัด จะเป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว แม้อาวุธวิเศษหรืออุปกรณ์วิเศษระดับสูงจะเป็นสิ่งหายาก แต่พวกเขาก็ร่ำรวยทรัพยากรอย่างอื่น อย่างเช่น ศิลาวิญญาณ ข้าจำได้ตอนที่เราครองเมืองหลวงของจังหวัดแห่งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ในหนึ่งปีสำนักเจ็ดดาราของเราขุดเอาศิลาวิญญาณมาได้นับแสนๆ ก้อน แม้ว่าคุณภาพของมันจะหลากหลาย แต่ก็ถือว่า…”


ก่อนที่เขาจะพูดจบ น้ำเสียงกังขาของหวังลู่ก็หยุดเขาไว้ “ศิลาวิญญาณแสนๆ ก้อน!?”


“เอ่อ ใช่แล้ว”


“นี่เจ้าโม้หรือเปล่า”


ตาแก่ลามกส่ายศีรษะ “ย่อมไม่ใช่! หากเจ้าไม่เชื่อ ก็จงไปตรวจสอบด้วยตัวเองเลย! ไม่ใช่มีเพียงสำนักเจ็ดดาราเท่านั้นที่ทำได้ หากสำนักอื่นได้ครองเมืองหลวงของจังหวัดล่ะก็ พวกเขาย่อมตกศิลาวิญญาณนับแสนก้อนได้เช่นกัน และยิ่งเป็นเมืองหลวงที่มีขนาดใหญ่กว่า ต่อให้เป็นล้านศิลาวิญญาณก็ย่อมหามาได้!”


เมื่อเห็นว่าตาแก่ลามกผู้นี้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หวังลู่ก็ขมวดคิ้ว “แปลก ปุถุชนธรรมดาแค่ไม่กี่หยิบมือจะสามารถจัดหาศิลาวิญญาณจำนวนมากมาได้อย่างไร”


ตาแก่ลามกอธิบายต่อ “แน่นอนว่าก็ต้องใช้วิธีรวบรวมมาทีละนิด ในอาณาจักรเก้าแคว้น วิธีที่จะได้ศิลาวิญญาณมามีอยู่สองทาง ทางหนึ่งคือในรูปแบบแร่ศิลาวิญญาณซึ่งมักมีอยู่ตามจุดที่พลังวิญญาณฟ้าดินปกคลุมมาเนิ่นนาน นอกจากแหล่งดังกล่าวจะมีอยู่มากมายแล้ว ตราบใดที่ขุดกันตามสมควร แหล่งดังกล่าวก็จะไม่มีวันหมดสิ้นลง อีกทางหนึ่งคือศิลาวิญญาณที่บังเอิญกำเนิดขึ้นในหลากหลายรูปแบบซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วแคว้น ปัจจุบันนี้ แหล่งแร่ศิลาวิญญาณที่อุดมสมบูรณ์มักถูกสำนักชั้นนำครอบครองไปหมดแล้ว แร่เหล่านั้นขุดง่าย ผลผลิตก็มหาศาล ทว่าหากนับจำนวนกันจริงๆ ศิลาวิญญาณที่กระจัดกระจายอยู่นั้นก็มีไม่น้อยไปกว่าแร่ศิลาวิญญาณเลย ก็แค่ไม่ง่ายที่จะได้มันมาครอง และค่าใช้จ่ายในการรวบรวมก็สูงมาก… ทว่ามีปุถุชนธรรมดานับแสนๆ คนที่มีจิตมุ่งมั่น หากพวกเขาสะสมมันทีละนิด จำนวนที่ได้มาก็ย่อมมหาศาลอย่างน่าทึ่ง…และด้วยพื้นที่ที่ใหญ่โตของอาณาจักรเก้าแคว้น สำนักต่างๆ ย่อมสามารถปกครองพื้นที่เล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญได้”


หวังลู่ผงกศีรษะเห็นด้วย “มีเหตุผล การละเลยพลังของมวลชนนั้นถือว่าผิด แต่…ข้าไม่คิดว่าจะมีศิลาวิญญาณในเมืองหลวงจังหวัดถึงแสนๆ ก้อน”


ตาแก่ลามกยิ้ม “ใช่แล้ว นั่นเพราะสำนักใหญ่อย่างเจ้าไม่เคยคิดว่าพวกเราจะร่ำรวยเกินหน้าพวกเจ้าไปได้ อีกอย่างศิลาวิญญาณไม่ใช่สิ่งสำคัญสุดสำหรับเรา เพราะการครอบครองเมืองหลวงนั้นได้ประโยชน์นับไม่ถ้วน”


“เช่นอะไร”


“ก็…” ตาแก่ลามกนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “ก็เช่น ภาษีในเมืองหลวงจังหวัดปีปีหนึ่งมากนับล้านๆ ตำลึงเงิน ทว่าในปีหนึ่งเราสามารถรวบรวมเงินได้มากกว่านั้นเป็นสิบเท่า”


“บ้าบอไปแล้ว! สิบเท่าจากภาษีงั้นหรือ นี่มันนโยบายก้าวกระโดด[1]ชัดๆ!”


ตาแก่ลามกหัวเราะ “แต่มันคือความจริง ภาษีน่ะไม่ถือว่าเป็นภาระกับผู้คนมากนัก เพราะทางการเองก็ไม่ได้อยากฆ่าห่านที่ออกไข่เป็นทองคำ หากเก็บภาษีแพงเกินไป ชาวบ้านก็จะไม่มีช่องทางทำมาหากิน ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีต่อใครเลย ทว่าสำนักเจ็ดดาราต่างออกไป เพื่อที่จะได้เป็นเซียน ชาวบ้านโง่เง่าที่เชื่อว่าพวกตนสามารถเป็นผู้บำเพ็ญเซียนได้ย่อมไม่ลังเลที่จะสังเวยทุกอย่างที่พวกเขามี จริงไหมล่ะ พวกเขายอมขายลูกขายเมียเพื่อแลกกับโอสถเพาะรากวิญญาณไม่กี่อึก! ในเมื่อมีพวกโง่เง่าเช่นนั้น เหตุใดเราจึงต้องกังวลเรื่องเงินทองด้วย”


ไม่รอให้หวังลู่ตอบกลับ น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของเถ้าแก่เนี้ยก็ดังมาจากเบื้องหลัง “ร่ำรวยจากเงินที่หลอกลวงมาแท้ๆ นี่กลางคืนเจ้ายังนอนหลับลงได้อย่างไร”


ทันทีที่ได้ยินเสียงกล่าวโทษของเถ้าแก่เนี้ย ตาแก่ลามกก็ตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว เมื่อเทียบกับหวังลู่ ศิษย์จากหนึ่งในสำนักชั้นนำ เขากลับเกรงกลัวหญิงสาวอกไม้กระดานที่แม้ไม่ใช่ผู้ฝึกเซียนแต่ก็ยังสามารถปล่อยหมัดทะลุเกราะป้องกันของเขาเข้ามาได้มากกว่า หญิงสาวคนนี้ถือว่าเป็นปีศาจอย่างแท้จริง


ดังนั้นตาแก่ลามกจึงรีบอธิบายโดยเร็ว “จะโทษเราก็ไม่ได้ พวกผู้ติดตามสติแตกนั่นต่างหากที่เอาเงินมาให้เราเอง เราก็แค่โฆษณาสรรพคุณของสินค้าเกินจริงไปนิด แต่ไม่เคยบังคับให้พวกเขาซื้อในราคาที่แพงกว่าป้ายเลย… คนในสำนักบางคนที่ซื่อตรง เมื่อเห็นชาวบ้านไร้สติพวกนั้น ก็ได้พูดชักชวนให้จ่ายตามที่พอมี ทว่าคำพูดเตือนนี้กลับไร้ประโยชน์กับพวกสติแตก ยิ่งพวกเราพูดจาชักชวนเกลี้ยกล่อม พวกเขาก็ยิ่งสงสัยว่าพวกเราลำเอียง! เพื่อที่จะได้เข้าสู่หนทางแห่งเซียน พวกเขาย่อมทำได้ทุกอย่าง ตัวอย่างเช่น ในหมู่บ้านตระกูลหวัง เมื่อสองวันก่อนข้าได้ข่าวมาว่ามีหลายครอบครัวที่กลัวจะเสียความโปรดปรานจากสำนักเจ็ดดารา พวกเขาจึงวางแผน… คิดจะเรียกความดีความชอบคืนมาด้วยการจับตัวคนในครอบครัวเจ้าเป็นตัวประกัน”


เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย เถ้าแก่เนี้ยก็ประหลาดใจเล็กน้อย นางหมุนตัวอย่างไวเพื่อมองหน้าหวังลู่ แต่กลับเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีไม่แยแส


“เฮ้อ บางทีข้าก็คิดว่านี่แหละคือธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อโอสถเพาะรากวิญญาณเพียงขวดเดียว หลายคนกลับไม่ลังเลที่จะฆ่าฟันหรือวางเพลิง!”


เถ้าแก่เนี้ยถามกลับอย่างอดไม่ได้ “แต่…สำหรับคนจำนวนไม่น้อย ต่อให้พวกเขาเสียสติไปแล้วก็เถอะ แต่โอสถเพาะรากวิญญาณไม่ส่งผลอะไรกับพวกเขา แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่คืนสติกันเล่า”


ตาแก่ลามกตอบกลับ “ไม่ ผลน่ะมีอย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อยนี่ก็คือสิ่งประดิษฐ์อันลือลั่นของปฐมาจารย์หลิวเหอของสำนักเซิ่งจิง…ดังนั้นแม้ว่าคนผู้นั้นจะมีคุณสมบัติต่ำเตี้ย ชะตาแห่งเซียนเรี่ยดิน ตราบใดที่ยังคงกินโอสถอยู่เรื่อยๆ ขั้นตบะของเขาต้องพัฒนาแน่ และพอมีการพัฒนาแม้เพียงน้อยนิด ก็ย่อมดึงดูดคนอื่นๆ เข้ามาเพิ่มอีก นี่ อย่างไรเสียข้าก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ไม่ใช่แค่เพียงชื่อ แต่ตัวตนจริงๆ ก็ใช่ด้วย แต่ข้าเองก็ไม่คาดคิดว่าการบำเพ็ญเซียนจะดึงดูดผู้คนได้มากมายขนาดนั้น!”


คราวนี้หวังลู่ช่วยเขาอธิบาย “พี่หญิงหลิง ตอนนี้ในโลกบำเพ็ญเซียน นอกจากในสำนักเก่าแก่แล้ว โอสถเพาะรากวิญญาณถือว่าพบเห็นได้ทั่วไป ตราบใดที่คนคนหนึ่งร่ำรวยพอ คนผู้นั้นก็สามารถบำเพ็ญเซียนได้ แม้ว่าเขาจะโง่เง่าพอๆ กับเหวินเป่าก็ตาม ตราบใดที่ดื่มโอสถเพาะรากวิญญาณเป็นประจำทุกวัน ไม่กี่ปีคนผู้นั้นก็จะสำเร็จถึงตบะขั้นฝึกปราณอย่างแน่นอน”


“แต่…ราคาที่ต้องจ่ายกับสิ่งที่ได้มามันไม่สมกับสักนิด แม้พวกมนุษย์ปุถุชนเหล่านี้จะลงแรงไปเพียงใด แต่พวกเขาต้องหาเงินมามากมายขนาดไหนเพื่อซื้อโอสถในการบำเพ็ญเซียนกันเล่า ต่อให้ต้องถลุงเงินของตระกูลไปเป็นสิบๆ ปี ข้าว่าพวกเขายังฝึกตบะขั้นฝึกปราณระดับเก้าให้เสถียรยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วเป้าหมายคืออะไรกันแน่”


ตาแก่ลามกนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ “ความจริงข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายคืออะไร แต่…ในเมื่อพวกเขาปรารถนาที่จะถูกโบย เราเองก็มีความสุขที่ได้โบยพวกเขา!”


หวังลู่ยักไหล่ “พี่หญิงหลิง อย่าพยายามเข้าใจความคิดของพวกงี่เง่าเหล่านี้เลย หากพวกเขาอยากใช้สมองคิดอยากใช้หูฟังเหตุผล เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องถ่อมาจัดการตาแก่ลามกถึงที่นี่หรอก”


ตาแก่ลามกยิ้มขื่นสองสามรอบ เขาเองก็ไม่รู้จะตอบโต้ประโยคดังกล่าวอย่างไร


ทว่าสุดท้ายเขาก็คิดขึ้นได้ว่าไม่จำเป็นต้องโต้ตอบอะไรเลย


เพราะหวังลู่พูดต่อ “ทว่าพอได้ฟังที่เขาพูด ข้าก็ได้ความคิดขึ้นมา”


“…ความคิด?” เถ้าแก่เนี้ยถามอย่างเบื่อหน่ายพลางพิงกรอบประตูที่นำไปสู่ห้องด้านหลัง


นางคาดว่าเขาจะพูดถึงวิธีที่จะชักจูงชาวบ้านพวกนั้น… แม้เถ้าแก่เนี้ยจะไม่ได้ติดต่อสัมพันธ์กับชาวบ้านปุถุชนเท่าไร แต่นางก็รู้ว่าหากการพูดชักจูงเป็นผล สำนักเจ็ดดาราก็คงไม่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้


ทว่าด้านนี้ของหวังลู่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นมากนัก บนเขากระบี่วิญญาณ เขาใช้ชีวิตอย่างเสรี ไม่เคยกังวลเรื่องโลกปุถุชน… แต่เมื่อสำนักกระบี่วิญญาณส่งเหล่าศิษย์ลงจากเขา แน่นอนว่าเหตุผลหลักคือเรื่องที่กังวลในโลกมนุษย์ การตัดขาดจากโลกปุถุชนถือเป็นขั้นตอนที่เจ็บปวดใจ และไม่แน่ว่าหวังลู่อาจประสบความลำบากในการทำเช่นนี้ก็เป็นได้


จากนั้นนางก็เห็นภาพของหวังลู่ได้จากดวงจิตขั้นปฐม แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นรอยยิ้มบางบนใบหน้าของเขา ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นเฉียบราดลงมาบนหัว


“ถูกต้อง เป็นแค่ความคิด” น้ำเสียงของหวังลู่นุ่มราวผ้าไหม ทว่าแต่ละถ้อยคำกระจ่างชัดผิดธรรมดา ราวกับว่าอัดแน่นด้วยพลังพิเศษ


เถ้าแก่เนี้ยหายใจเร็วขึ้นเล็กน้อย ความเงียบภายในห้องทำให้นางรู้สึกว่าเสียงหัวใจของนางรุนแรงเหลือทน นางเคยประจักษ์ฉากตรงหน้านี้มาก่อน… นั่นคือเมื่อผู้บำเพ็ญเซียนได้ดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาในชั่วอึดใจ


หรือว่าหวังลู่จะคิดบางอย่างขึ้นมาได้แล้วจริงๆ


จากนั้นเสียงนุ่มนวลของหวังลู่ก็ทำลายความเงียบลง


“ชีวิตช่างโง่เง่า”


เถ้าแก่เนี้ยตะลึง “ชีวิตทำไมนะ…”


“ในโลกนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนโง่เง่า ความโง่เง่านั้นมีต้นกำเนิดจากธรรมชาติ เหมือนที่นกเกิดมาบินได้ ปลาเกิดมาว่ายน้ำได้ ดังนั้นผู้คนบนโลกจึงเกิดมางี่เง่า… นี่คือกฎแห่งสวรรค์ ไม่อาจขัดขืนได้”


“…”


“ครั้งหนึ่งในหมู่บ้านตระกูลหวังข้าเคยฝืนชะตาแห่งสวรรค์ ข้าคิดว่าการมีวาทศิลป์จะชนะใจพวกเขาได้ แต่ผลก็คือข้ากลายเป็นแค่แมลงวันตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง… มันไม่ใช่ว่าคารมของข้านั้นถดถอย แต่เป็นเพราะในตอนนั้น ข้าฝืนชะตาสวรรค์ ดังนั้นข้าจึงพ่ายแพ้”


“…”


“กลับกัน แม้สำนักเจ็ดดาราจะเป็นสำนักชั้นต่ำน่ารังเกียจในสายตาของท่าน แต่สำหรับเรื่องนี้ พวกเขากลับสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของสวรรค์”


เถ้าแก่เนี้ยใกล้สติแตกเต็มทน “นี่หรือสิ่งที่เจ้ารู้แจ้งขึ้นมา อย่าบอกนะว่าจู่ๆ เจ้าก็ลมปราณแตกซ่าน


พวกเขาสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของสวรรค์? หวังลู่เจ้าเป็นบ้าอะไร ตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะ”


หวังลู่หัวเราะ “ท่านผิดแล้ว พี่หญิงหลิง ข้าไม่เคยรู้แจ้งขนาดนี้มาก่อน จิตใจข้าไม่เคยกระจ่างเช่นนี้มาก่อน ท่านคิดดูสิ กฎที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้คืออะไร นั่นคือผู้ชนะอยู่รอด ผู้แพ้ฉิบหาย มันคือการเอาตัวรอดของผู้ที่เหมาะสมที่สุด! มันคือกฎของป่า! ท่านก็เห็น ตอนที่สุนัขป่าจับกระต่าย กระต่ายทำอะไรผิดจึงถูกจับเช่นนั้น ตอนที่กระต่ายกินหญ้า ดอกไม้กับต้นหญ้าเหล่านั้นสมควรถูกกินหรือ คำตอบก็คือ มันเป็นกฎของสวรรค์ หากท่านเห็นอกเห็นใจดอกไม้กับต้นหญ้า ก็หมายความว่าท่านอยากให้กระต่ายอดโซจนตาย หากท่านสงสารกระต่าย สุนัขป่าก็ต้องหิวโหย…หากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ผลสุดท้ายก็คือ เพื่อหลีกเลี่ยงความระทมทุกข์ของเหล่าสิ่งมีชีวิต โลกนี้ก็อาจจะไม่ได้ถือกำเนิดขึ้น… ทว่าเห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้นั้นผิด”


“…” เหตุผลที่เป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกันเช่นนี้ทำเอาเถ้าแก่เนี้ยสับสนอย่างรุนแรง หญิงสาวโขกศีรษะเข้ากับกรอบประตูเบาๆ และแม้กรอบประตูที่ทนทานจะแตกเป็นรู แต่ทุกอย่างก็ดูยังไม่กระจ่างสำหรับนาง


แม้นางจะยังไม่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ แต่มันฟังดูน่าหวาดกลัวชะมัด


หวังลู่กล่าวต่อ “ดังนั้นเราจึงต้องกำจัดความเห็นอกเห็นใจนี้ทิ้งไป เรามักพูดว่าโลกนี้ช่างโหดร้าย มันปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตอย่างไร้ค่าราวกับเป็นสุนัขและกองฟาง หากเราไม่มีหนทางที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากโลกปุถุชน เช่นนั้นก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่ในเมื่อเราย่างเท้าเข้ามาสู่โลกแห่งเซียนแล้ว เราก็ย่อมสามารถมองสิ่งต่างๆ ในมุมมองที่สูงขึ้นได้ ผู้คนทั่วไปนั้นโง่เง่า ดังนั้นตามกฎแห่งสวรรค์ พวกเขาถูกกำหนดมาให้โดนรังแกและโดนเอาเปรียบ หากไม่มีผู้ใดกดขี่พวกเขา นั่นจะถือว่าเป็นการสูญเปล่า สำนักเจ็ดดาราทำสิ่งที่ดีแล้ว พวกเขาประสบความสำเร็จในการเป็นส่วนสำคัญใน ‘ห่วงโซ่อาหาร’ นี้ ในความคิดข้า สำนักเจ็ดดาราและสำนักอื่นๆ ที่ทำเช่นนี้ เป็นดั่งผู้เก็บเกี่ยวที่ทำงานหนักอยู่ในนาข้าว”


“นรกอะไรเนี่ย! ผู้เก็บเกี่ยวที่ทำงานหนัก!? นี่เจ้า…” หลังจากได้ฟังถ้อยคำที่สับสนยุ่งเหยิงของหวังลู่แล้ว เถ้าแก่เนี้ยก็อยากจะเอาหัวตัวเองฟาดให้ทั่วกำแพงให้รู้แล้วรู้รอดไป!


“มันคือความจริง…” หวังลู่กล่าวพลางถอนใจ “ปัญหาเดียวก็คือ ในฐานะผู้เก็บเกี่ยว สำนักเจ็ดดาราห่วยแตกเกินไป”


แม้เถ้าแก่เนี้ยจะยังรู้สึกว่าในสมองของนางมีแต่แป้งเปียก แต่นางก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างรันทดท้อใจ “ในเมื่อเจ้ายังวิจารณ์สำนักเจ็ดดาราอยู่ อย่างน้อยเราก็ยังมีอะไรบางอย่างที่ตรงกันบ้าง”


แต่อึดใจถัดมา เจ้าอะไรบางอย่างที่ตรงกันบ้างก็หายวับไปในทันใด


เพราะประโยคถัดมาของหวังลู่ก็คือ “ในเมื่อสำนักเจ็ดดาราเชื่อถือไม่ได้ งั้นเราควรส่งต่อเรื่องนี้ให้กับมืออาชีพ”


“มืออาชีพ…?”


หวังลู่ชี้ตัวเอง “นักเดินทางมืออาชีพคนนี้ไง”


“บิดาเจ้าสิ! …นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือไง!?”


……………………………………………


[1] นโยบายก้าวกระโดด คือ นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของเหมาเจ๋อตง ประธานาธิบดีของจีน จุดประสงค์เพื่อเร่งรัดการพัฒนาให้จีนเป็นประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัย


ตอนที่ 9 นี่คือช่วงเวลาที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์! (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“พูดสั้นๆ ในความคิดข้า โลกนี้เต็มไปด้วยการแสวงหาผลประโยชน์ สุนัขป่าหาผลประโยชน์กับกระต่าย กระต่ายหาผลประโยชน์กับพืช พืชหาผลประโยชน์กับดิน… หากเราไม่ยืนอยู่บนจุดเหนือสุด เราย่อมต้องเสียบางสิ่งไปเช่นกัน เช่นเดียวกับการเก็บภาษี แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงพวกโง่เง่าในโลกนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องจ่ายอาจเรียกว่าภาษีสติปัญญาก็ย่อมได้ แทนที่จะเสียภาษีที่ว่านี่ให้สำนักเจ็ดดารา ซึ่งเป็นพวกลวงโลกน่ารังเกียจ สู้เสียให้ข้าเสียยังดีกว่า”


ในโถงหลัก หวังลู่ซึ่งนั่งตัวตรงอยู่ที่ม้านั่งยาว กล่าวคำเหล่านี้ออกมาด้วยท่าทางเยือกเย็น


เบื้องหน้าเขามีคนสี่คนนั่งอยู่


หนึ่งในนั้นคือเถ้าแก่เนี้ย หญิงสาวเอามือกอดอก นางมีสีหน้าไม่เห็นด้วยแต่บางครั้งก็ปนสีหน้าเป็นกังวล


ที่นั่งข้างๆ นางคือตาแก่ลามกเหออวิ๋น ผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดาราในตอนนี้เป็นอิสระจากการถูกมัดแล้วทั้งยังถูกเชิญให้นั่งเก้าอี้อีกด้วย เขาเพลิดเพลินกับการปฏิบัติที่พิเศษนี้ไม่น้อย แต่เพราะคนข้างๆ คือเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ ตาแก่ลามกจึงรู้สึกไม่สบายตัวราวกับเป็นโรคริดสีดวงทวารอย่างไรอย่างนั้น


คนถัดไปคือผู้บำเพ็ญเซียนหญิงทรงเสน่ห์รูปร่างกลมกลึงประหนึ่งนาฬิกาทราย คู่บำเพ็ญเซียนของตาแก่ลามกนั่นเอง นางชื่ออู้เฟยฮวา เป็นผู้ติดต่อที่ประจำอยู่ในอำเภออู่โหว หญิงสาวคนนี้มีเสน่ห์ยั่วยวนตามธรรมชาติ ทั้งยังฝึกวิชาร่วมประเวณีของโลกเซียนด้วย ทุกการเคลื่อนไหวของนางช่างยั่วยวนใจยิ่งนัก โชคร้ายที่ตอนนี้ ใบหน้าของนางบวมเป่ง ทั้งยังบาดเจ็บภายในอีกหลายจุด ความจริง นางเกือบจะบรรลุตบะขั้นฝึกปราณระดับหนึ่งได้แล้ว แต่กลับถูกขัดขวางจากหมัดของบางคนเสียก่อน ดังนั้นความทุกข์ใจของนางจึงยากที่จะกล่าวออกมา สีหน้าดูมีความอ่อนข้อให้อย่างจำนน เช่นเดียวกับเหออวิ๋น การต้องนั่งร่วมห้องกับเสี่ยวหลิงเอ๋อร์และหวังลู่ ทำให้นางกระสับกระส่าย เหงื่อเย็นๆ ไหลพรั่งพรูออกมาไม่หยุด


ข้างๆ อู้เฟยฮวาคือเหวินเป่าที่งุนงงสุดขีด ก่อนหน้านั้นเขายืนคุมเชิงอยู่ที่ด้านนอกของลานบ้าน แล้วจากนั้นไม่นานผู้คุ้มกันก็นำจดหมายเรียกตัวเขาไปข้างในจากหวังลู่มาให้ ภาพที่เขาเห็นเบื้องหน้าช่างเข้าใจได้ยากยิ่ง ทั้งเขายังต้องมาฟังทฤษฎีที่ลึกลับซับซ้อนอีกด้วย


“ศิษย์พี่หวังลู่ มะ…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”


หวังลู่ยิ้ม “ก็ที่ข้าพูดไปก่อนหน้า กฎแห่งสวรรค์กำหนดเอาไว้ว่าพวกมนุษย์ผู้โง่เง่าในโลกนี้จำต้องจ่ายภาษีสติปัญญา และในการดำเนินการตามกฎแห่งสวรรค์อย่างมีประสิทธิภาพ ข้าจึงตัดสินใจที่จะตั้งสำนักขึ้นมา”


“หา?” คางอวบอ้วนของเหวินเป่าแทบจะร่วงลงสู่พื้น


หวังลู่พูดต่อ “จุดประสงค์ของสำนักก็คือจัดเก็บ จัดการ และใช้ภาษีสติปัญญาของเหล่าผู้โง่เขลาบนโลกนี้อย่างดี รวมทั้งดูแลจัดการความสนใจของพวกโง่เขลาอย่างจริงจัง”


เถ้าแก่เนี้ยยกมือขึ้น “ดูแลจัดการความสนใจของพวกเขาเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”


“แน่นอนว่าเกี่ยว” หวังลู่ตอบเสียงนุ่ม “โดนข้าเอาเปรียบยังดีกว่าโดนสำนักเจ็ดดาราเอาเปรียบ”


“หึ! ต่างที่ตรงไหนกัน”


“หากท่านจะถูกข่มขืน เจ้าจะเลือกถูกเจ้าชายรูปงามข่มขืนหรือสัตว์ประหลาดจากบนภูเขาข่มขืนกันเล่า”


“เปรียบเทียบระยำอะไรของเจ้า!? ข้าไม่เลือกทั้งนั้น!”


หวังลู่หัวเราะ “ความคิดของสาวโสดไม่ถือว่าเป็นความเห็นพ้องของทุกคน พูดสั้นๆ ก็คือเรื่องนั้นเป็นความจริง ตราบเท่าที่สำนักของข้าจัดการสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าสำนักเจ็ดดารา ในสายตาของเหล่าคนโง่งม ข้าก็ถือว่าได้ภาษีสติปัญญาจากพวกเขาแล้ว ทว่าไม่ว่าสำนักเจ็ดดาราจะน่ารังเกียจขนาดไหน แต่ก็ยังมีประวัติยาวนานหลายร้อยปี ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่เราจะจัดการอะไรๆ ได้ดีกว่า แต่โชคดีที่ข้ามีข้อได้เปรียบอยู่สองสามข้อ


ข้อแรกเป็นข้อได้เปรียบทางทฤษฏี แม้ว่าสำนักเจ็ดดาราจะรู้อาคมมากมายเพื่อเอาไว้ใช้ล่อลวงผู้คน แต่กลับขาดแก่นทฤษฎีที่คงเส้นคงวา พวกเขาตอบไม่ได้ว่าเหตุใดเราจึงต้องฝึกวิถีแห่งเซียน เราฝึกวิถีแห่งเซียนไปทำไม จะทำอย่างไรเมื่อเผชิญกับความล้มเหลว แต่เราตอบคำถามเหล่านี้ได้เพราะมีระบบความคิดตามหลักทฤษฎีที่สมบูรณ์แบบ”


เถ้าแก่เนี้ยยกมือขึ้นอีกรอบ “เจ้ามีระบบความคิดตามหลักทฤษฎีอะไรนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”


หวังลู่ตอบหน้าตาย “ข้าเพิ่งคิดได้เมื่อครึ่งชั่วยามที่ผ่านมานี่เอง”


“…”


“ข้อที่สองคือมีการจัดการที่เหนือกว่า เพราะเป็นสำนักระดับสวะ การจัดการของสำนักเจ็ดดาราจึงหละหลวม ระบบก็ยุ่งเหยิง ประสิทธิภาพในการจัดการสิ่งต่างๆ ก็ต่ำเตี้ย ทว่าพวกเรานั้นแตกต่าง เรามาจากห้าสำนักวิเศษที่มีระบบการจัดการที่ก้าวหน้ากว่า ซึ่งช่วยพัฒนาการดำเนินการของสำนักได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงต่างๆ ลงได้”


“ฮ่าๆ…” เถ้าแก่เนี้ยหัวเราะอย่างอ่อนแรง


“ข้อสามคือการปกครองบุคลากร คนในสำนักเจ็ดดาราส่วนใหญ่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขี้แพ้ที่ไม่มีใครเอาและเหล่าศิษย์โง่เง่าฉ้อฉล ซึ่งต่างขาดศรัทธาและความปรารถนาที่จะก้าวไปข้างหน้า บุคลากรของพวกเขาช่างมีคุณสมบัติต่ำเตี้ย แต่พวกเรานั้นแตกต่างออกไป ดูข้าเป็นตัวอย่าง ข้าไม่เพียงครอบครองรากวิญญาณที่ประเสริฐที่สุดในโลกบำเพ็ญเซียน ซึ่งก็คือรากวิญญาณนภา ข้ายังได้เรียนรู้วิชาบำเพ็ญเซียนอย่างสมบูรณ์แล้ว ถึงแม้ขั้นตบะของข้าในตอนนี้จะยังไม่สูงนัก แต่ก็ก้าวหน้าอย่างยอดเยี่ยมและมีรากฐานที่แข็งแกร่ง…ซึ่งแปลว่าเรามีข้อได้เปรียบด้านคุณภาพของบุคลากรอย่างเหลือล้น”


“ฮ่าๆๆ”


“ข้อที่สี่คือ…”


เถ้าแก่เนี้ยยกมือห้ามเขา “พอได้แล้ว เลิกพ่นเรื่องเหลวไหลไร้ประโยชน์นี่สักที บอกพวกเรามาว่าเจ้าต้องการอะไร”


“พูดง่ายๆ คือ ข้าอยากให้พวกเรารวมตัวกันก่อตั้งสำนัก ข้าเลยเรียกรวมตัวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นอย่างไรเล่า”


เถ้าแก่เนี้ยพูดเยาะ “เจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามใจแต่อย่าลากข้าเข้าไปเอี่ยวกับเรื่องไร้เหตุผลนี่เลย ข้าไม่สนใจเป็นสมาชิกลัทธินอกรีตหรอกนะ”


พูดจบนางก็ลุกขึ้นและกำลังจะเดินออกไป


หวังลู่ทำเป็นถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แต่ตามแผนการของข้า สำนักนี้ต้องมีทูต ซึ่งทูตที่ว่านี่นอกจากจะต้องสวยล้างโลกแล้ว ยังต้องบริสุทธิ์ผุดผ่องและศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งบุคลิกยังต้องโดดเด่น จากทุกคนที่ข้ารู้จัก ก็ไม่มีใครมีคุณสมบัติเช่นนี้แล้วนอกจากท่าน”


เถ้าแก่เนี้ยเปล่งเสีย “โอ้” ออกมาด้วยท่าทีไม่แยแส จากนั้นก็นั่งลงแต่โดยดี


จากนั้นเจ้าอ้วนก็กระมิดกระเมี้ยนยกมือขึ้น “ศิษย์พี่หวังลู่ ข้ายังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น…”


หวังลู่ตอบเสียงเรียบ “เจ้าไม่ต้องรู้ให้มากความนักหรอก!”


“อ้าว…” เจ้าอ้วนก้มหัวลงด้วยความอับอาย


“เอาเป็นว่าในเมื่อไม่มีใครมีความเห็นเป็นอย่างอื่น งั้นสำนักของเราก็ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการแล้ว” เถ้าแก่เนี้ยยกมือ “เราคุยเรื่องนี้มาก็พักใหญ่แล้ว แต่เจ้ามีชื่อสำนึกหรือยังเถอะ”


“แน่นอนว่าต้องมี ตามเป้าประสงค์ของสำนักที่มีขึ้นเพื่อจัดการและใช้สอยภาษีสติปัญญาของพวกที่โง่เขลา…


ก็ชื่อว่าศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นแล้วกัน”


“ระยำเอ๊ย! ชื่อบ้าชื่อบออะไรของเจ้า!?”


“เรียกสั้นๆ ว่าศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา ให้แรงบันดาลใจดีไม่น้อยเลย ว่าไหมล่ะ”


“แรงบันดาลใจบิดาเจ้าสิ! น่าขายหน้าล่ะไม่ว่า!”


“แน่ละว่าชื่อศูนย์อากรเชาวน์ปัญญานั้นออกจะดูล้ำสมัยไปหน่อย เพราะฉะนั้นเราจึงจะจำกัดการใช้ให้เป็นการภายในในระดับสูงเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราจะใช้ชื่อว่า สำนักภูมิปัญญา”


“ก็ยังฟังดูแปลกอยู่ดี”


“ชิ ท่านน่ะแหละที่มันสมองขุ่นมัวที่สุดแล้ว ก่อนอื่นพวกเจ้าทุกคนต้องปรบมือก่อนสิ”


แปะๆๆ เสียงปรบมืออย่างขอไปทีดังไปทั่วห้อง


ผ่านไปอึดใจใหญ่ เถ้าแก่เนี้ยก็ถอนหายใจออกมา “ยินดีกับเจ้าด้วยที่กล้าเสี่ยงที่จะโดนผู้อาวุโสฝ่ายวินัยฆ่าตายข้อหาจัดตั้งลัทธินอกรีตทันทีที่ลงจากภูเขามา แล้วอย่างไร บอกทีว่าเจ้าจะจัดการกับสองคนนี้อย่างไร”


พูดจบ หญิงสาวก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่สองนักโทษสงครามจากสำนักเจ็ดดารา ทั้งสองตัวสั่นเทิ้มในทันที เหงื่อเย็นๆ เริ่มหลั่งไหลลงมาราวกับน้ำตก พวกเขาหวาดกลัวว่าจะถูกฆ่าเพื่อไม่ให้ความลับรั่วไหล


โชคดีที่หวังลู่ไม่มีความตั้งใจจะฆ่าพวกเขา ทั้งยังหัวเราะด้วยซ้ำ “ขั้นต่อไปก็คือพัฒนาคณะทำงานที่ทรงพรสวรรค์ของเราให้มากขึ้น”


ขณะพูดเขาก็มองไปที่ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวา


เถ้าแก่เนี้ยจ้องมองด้วยความสงสัยและโพล่งออกมา “หวังลู่ ความหมายของเจ้าคงไม่ใช่ต้องการให้สองคนนี้…?”


…………………………………………

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม