กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ ภาค 3 ตอนที่ 38-41

 ตอนที่ 38 กระบี่แห่งสัจจะ (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“จะให้ข้าประทานกระบี่เล่มไหนให้” ใบหน้าของหลิวเสี่ยนเคร่งขรึม เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำ


หวังลู่ตอบ “กระบี่แห่งสัจจะ”


หลิวเสี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย เพ่งมองหวังลู่ด้วยสายตาเคร่งเครียดเป็นเวลานาน จากนั้นจึงพยักหน้าช้าๆ “เจ้าต้องการใช้สิ่งนี้พิสูจน์ความบริสุทธิ์งั้นหรือ เช่นนั้นก็ได้ ข้าตกลงตามนั้น”


ทันทีที่หลิวเสี่ยนพยักหน้า ฟางเฮ่อก็กล่าวขึ้นอย่างลังเล “ศิษย์พี่ แต่แบบนี้มันไม่เป็นไปตามกฎ”


หลิวเสี่ยนฮึดฮัด “ข้ารู้ ศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณขอให้ผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่ประทานกระบี่แห่งสัจจะให้เป็นเรื่องที่ชวนตะลึงอย่างมาก ทว่าในเมื่อเขาออกปากเอง กฎของสำนักก็กำหนดไว้เช่นกันว่าข้าเองก็ห้ามปฏิเสธ”


“แต่กระบี่แห่งสัจจะใช้จิตเซียนเร้นลับ แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ไม่มีศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณคนไหนจะทนได้แน่”


ในหลายๆ สำนัก หากบุคคลหนึ่งไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนได้ คนผู้นั้นอาจร้องขอให้ผู้อาวุโสประทานกระบี่แห่งสัจจะกับตน จากนั้นผู้อาวุโสจะใช้จิตเซียนของกระบี่ตรวจสอบจิตใจของคนผู้นั้น หากคนผู้นั้นสามารถทนต่อการตรวจสอบของกระบี่ได้ ก็จะพิสูจน์ได้ว่าคนผู้นั้นบริสุทธิ์


แน่นอนว่ากระบี่นี้ทรงอานุภาพเสียจนยากที่จะต้านทาน อานุภาพของกระบี่แห่งสัจจะไม่ได้อยู่ที่ความทรงพลังหรือความคมของมัน แต่อยู่ที่พลังของจิตเซียนที่สั่งสมอยู่ในกระบี่ ที่จะไต่ถามพลังวิญญาณขั้นปฐมโดยตรง


คำถามที่ถามนั้นสามัญมากๆ เช่น จิตใจของเจ้ารู้สึกผิดหรือไม่


หากใช่ กระบี่นี้จะพุงเข้าแทงทะลุหัวใจและกรีดพลังวิญญาณขั้นปฐมจนคนผู้นั้นตายชนิดที่ไร้บาดแผล หากจิตของคนผู้นั้นผ่องใส ไม่ว่ากระบี่จะไต่ถามสักเท่าไหร่ สวรรค์จะถล่ม โลกจะพลิกคว่ำ หรือภูเขาทั้งหมดจะพังทลายเขาจะรู้สึกเพียงมีสายลมพัดผ่านเท่านั้น ทว่าการทำจิตให้ผ่องใสนั้นพูดง่ายกว่าทำ แม้คนผู้นั้นจะบริสุทธิ์ ในชีวิตก็ย่อมต้องมีความรู้สึกผิดแม้เพียงเล็กน้อยอยู่บ้าง อย่างเช่น ขี้เกียจบำเพ็ญเซียนหรือพูดนินทาลับหลังผู้อื่น แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่หากจิตใจของคนผู้นั้นรู้สึกผิดแม้เพียงน้อยนิด คนผู้นั้นก็มิอาจซ่อนสิ่งนี้จากกระบี่แห่งสัจจะและจะกลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ได้


แน่นอนว่ากระบี่แห่งสัจจะยังเปิดช่องว่างให้อยู่ ทำให้เหล่าศิษย์สามารถหักล้างพลังของกระบี่ได้หลายส่วน ต่อให้คนผู้นั้นมีความรู้สึกผิดแม้เพียงน้อยนิดอยู่ในใจ ก็ยังจะสามารถรอดชีวิตมาได้ ดังนั้นแม้กระบี่แห่งสัจจะจะไม่แม่นยำทั้งร้อยส่วน แต่วิธีนี้ก็ช่วยหลีกเลี่ยงการกล่าวหาอย่างผิดๆ ดังนั้นหลายสำนักจึงยังคงใช้กระบี่แห่งสัจจะอยู่ เพียงแค่ทั้งพันธมิตรหมื่นเซียน มีศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณเพียงน้อยนิดที่จะกล้าร้องขอกระบี่แห่งสัจจะ


นั่นเพราะสำหรับศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณแล้ว พวกเขายังไม่อาจหักล้างพลังของวิธีนี้ได้! ในการบำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ เหล่าศิษย์จะเน้นฝึกพลังปราณฟ้าดินและพลังอิทธิฤทธิ์ของตน ส่วนการฝึกพลังวิญญาณขั้นปฐมจะเน้นฝึกในขั้นตบะถัดไปซึ่งคือขั้นสร้างฐาน แน่ละว่าไม่ได้แปลว่าศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณไม่อาจฝึกพลังวิญญาณขั้นปฐมได้ ทว่าแม้แต่ผู้ที่พัฒนาพลังวิญญาณขั้นปฐมได้อย่างรวดเร็วเช่นเยวี่ยซินเหยา ก็ไม่ได้เรียกใช้งานมันมากนักนอกจากต้องต่อสู้จริงๆ ซึ่งต้องใช้ร่วมกับค่ายกลอีกด้วย แน่ละว่าเยวี่ยซินเหยาไม่ได้คิดจะไปต่อสู้กับใคร แบบแผนการบำเพ็ญเซียนของนางมีขึ้นเพราะจุดประสงค์บางอย่างโดยเฉพาะ


ในความคิดของฟางเฮ่อ การที่ศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณอย่างหวังลู่ร้องขอกระบี่แห่งสัจจะ ก็เหมือนการร้องขอปัญหาชัดๆ


ฟางเฮ่อถาม “เจ้าคิดว่าวิชาไร้ลักษณ์ของเจ้าโด่งดังเรื่องการตั้งรับ ดังนั้นเจ้าจะสามารถต้านทานกระบี่แห่งสัจจะได้เช่นนั้นหรือ”


หวังลู่ตอบกลับ “ศิษย์ไม่อาจโอหัง ดังนั้นขอให้ท่านลุงประทานกระบี่อีกสามวันนับจากนี้”


“สามวันนับจากนี้?”


“ถูกต้อง ศิษย์ขอเวลาเตรียมตัวสามวันเพื่อรับมือกับกระบี่”


หลิวเสี่ยนเหยียดยิ้ม “เจ้าคิดใช้เล่ห์เหลี่ยมประวิงเวลาล่ะสิ”


หวังลู่กล่าว “ศิษย์มิกล้า ศิษย์จะไปเตรียมการสิ่งต่างๆ ที่ฐานที่มั่นหลักของสำนักภูมิปัญญา ท่านลุงจะไปดูด้วยตาตัวเองก็ย่อมได้”


“ฐานที่มั่นหลักของสำนักภูมิปัญญา? หมู่บ้านตระกูลหวังน่ะหรือ ตกลง เราจะไป”


หลิวเสี่ยนกึ่งร้อนใจกึ่งสงสัย


ท่าทางที่หวังลู่แสดงออกมาในตอนนี้ไม่ใช่แสร้งทำ หลิวเสี่ยนมีประสบการณ์การอ่านผู้คนมาทั้งชีวิต เหตุใดเขาจะดูไม่ออกว่าหวังลู่มั่นใจในตนเองจริงหรือเพียงคุยโว เขาเป็นเพียงศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณ แต่กล้าร้องขอการตรวจสอบจากกระบี่แห่งสัจจะ สำนักตั้งใหม่อย่างสำนักภูมิปัญญาที่มีผู้ติดตามเป็นมนุษย์ปุถุชนหนำซ้ำผู้บำเพ็ญเซียนยังต้องอาศัยรากวิญญาณหกประสานจะจัดเตรียมอะไรได้ในเวลาเพียงสามวัน ไม่เพียงแค่สามวัน ต่อให้เขาให้เวลาถึงสามปี นอกจากว่าหวังลู่จะฝึกวิหารหยกของตนและพัฒนาจากตบะขั้นฝึกปราณเป็นตบะขั้นสร้างฐานได้ เช่นนั้นแล้วต่อให้อีกฝ่ายตระเตรียมการมากมายอย่างไร กระบี่แห่งสัจจะก็ยังเหนือชั้นกว่าอยู่ดี!


ความจริงแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ในโลกแห่งเซียน แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ยังยากที่จะรับมือกับกระบี่แห่งสัจจะ ต่อให้คนผู้นั้นบริสุทธิ์จริงๆ ด้วยซ้ำ ทว่าหวังลู่ที่มีตบะเพียงขั้นฝึกปราณกลับพยายามเอาชนะสิ่งที่แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ยังยากจะเอาชนะได้… ฮ่า! นี่เจ้านั่นคิดว่าตัวเองฝึกกระบี่กระจ่างใจมาหรืออย่างไร


หลังจากเหยียดยิ้ม หลิวเสี่ยนก็สะบัดมืออุ้มหวังลู่ขึ้นมา จากนั้นก็กลายร่างเป็นแสงกระบี่สีทองและเหาะตรงไปยังหมู่บ้านตระกูลหวัง


ฟางเฮ่อส่ายศีรษะจากนั้นก็กลายร่างเป็นแสงกระบี่เหมือนผู้เป็นศิษย์พี่ และเหาะตามไป


เหวินเป่าและเยวี่ยซินเหยาที่ถูกทิ้งไว้ในห้องมองหน้ากันอย่างหวาดกลัว ต่างฝ่ายต่างรู้สึกอับจนหนทาง เจ้าอ้วนไม่อาจซ่อนความวิตกต่อหน้าศิษย์น้องหญิงได้ เขาจึงถามออกไป “ศิษย์น้องหญิง สองสามวันมานี้ศิษย์พี่ทำอะไรบ้าง”


เยวี่ยซินเหยายิ้ม “ท่านถามผิดคนแล้ว สองวันก่อนข้าไม่ได้ติดตามศิษย์พี่ไปไหน ตอนที่เราออกนอกเมือง เขาส่งตัวข้าให้คนของเขาเพื่อจัดการโน่นนี่มากมาย ข้าทั้งต้องลงนามเอกสาร ต้องพบเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตา ขอบอกตามตรง ตอนนั้นข้าเองก็สับสนไม่น้อยว่ากำลังทำอะไรอยู่ ส่วนเรื่องของศิษย์พี่นั้นก็อย่างที่รู้ๆ อยู่”


“มันลึกลับเพียงนั้นเชียวหรือ” เหวินเป่าผงะ “ดูท่าว่าศิษย์พี่คงเตรียมการหลายอย่างเอาไว้แล้ว ทว่าเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสาม ต่อให้เขาเตรียมตัวมากกว่านี้ มันจะช่วยชีวิตเขาได้จริงๆ หรือ


“แทนที่จะถามข้า ข้าว่าท่านไปถามผู้อาวุโสห้าจะดีกว่า นางน่าจะเข้าใจศิษย์พี่หวังลู่มากกว่าใครๆ”


เมื่อเหวินเป่าเดินลงมายังชั้นล่างของโรงเตี๊ยมและเห็นผู้อาวุโสห้ากำลังนั่งดื่มและกินอยู่ หญิงสาวผู้นั้นก็ยิ้มให้ “วางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”


เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นจากผู้อาวุโสห้า เหวินเป่าก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ทว่าจากนั้นเขากลับได้ยิน…


“ต่อให้ตาเฒ่าฟางจับตัวหวังลู่ไปแล้วเปลี่ยนเจ้านั่นให้เป็นวัวไม่ก็ม้า หรือเอาไปขังลืมสักพันปี ตราบใดที่ข้ายืนยันได้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ข้าไม่ถูกลากเข้าไปเอี่ยวแน่นอน”


เหวินเป่าตื่นตระหนก “ท่านอาห้า ที่ท่านบอกว่าไม่เป็นไร หมายถึง…”


“แน่นอน หมายถึงข้านี่แหละที่ไม่เป็นไร! เจ้าหวังลู่จะอยู่หรือตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า! เจ้านั่นมีธุรกิจที่ทำกำไรมหาศาลอยู่ในประเทศต้าหมิง แต่กลับไม่ส่งมาให้อาจารย์ของตัวเองสักศิลาวิญญาณเดียว!”




เมื่อใช้วิชากระบี่บิน ปรมาจารย์เทพเซียนขั้นกำเนิดใหม่จะใช้เวลาเพียงสิบถึงสิบห้านาทีจากเมืองหลวงของประเทศต้าหมิงมายังหมู่บ้านตระกูลหวังที่อยู่ห่างไกลในหุบเขาหูสุนัข


ทว่าเมื่อพวกเขาเหาะมายังหมู่บ้านตระกูลหวัง หลิวเสี่ยนก็อดตกตะลึงไม่ได้


สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาไม่ใช่หมู่บ้านบนภูเขาที่แห้งแล้ง หรือตำหนักโอ่อ่าที่เป็นสัญลักษณ์ของลัทธิเน่าหนอนอย่างที่คาดเอาไว้ พื้นที่โดยรอบใจกลางหมู่บ้านตระกูลหวังในรัศมีหลายร้อยลี้เต็มเป็นทุ่งวิญญาณขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยหญ้าวิญญาณและหญ้าอายุวัฒนะหลายหลากชนิด แม้ระดับจะไม่สูงนัก แต่เห็นได้ชัดว่าได้รับการดูแลอย่างดี และเติบโตได้อย่างน่าพึงพอใจ


ที่วิเศษไปกว่านั้นก็คือ แม้พลังวิญญาณฟ้าดินของที่นี่จะไม่เข้มข้นมากนัก แต่ก็ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ แทบจะไม่มีตรงไหนที่สูญเปล่า มันถูกแจกจ่ายไปยังสถานที่ต่างๆ บนภูเขาอย่างมีระบบและทั่วถึง หนำซ้ำที่ใจกลางหมู่บ้านตระกูลหวัง ยังมีแท่นบูชาทรงกลมหน้าตาประหลาดที่สร้างกระแสพลังปราณฟ้าดินขึ้นมา ทำให้มีแหล่งพลังงานฟ้าดินส่งไปยังทุ่งวิญญาณอย่างไม่ขาดตอน


“ไม่เลว”


หลังจากเฝ้าสังเกตการณ์อยู่บนฟ้าพักใหญ่ แม้หลิวเสี่ยนจะไม่เห็นด้วยที่หวังลู่ผลาญพลังงานของตนเองไปกับลัทธิเช่นนี้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าการจัดการในฐานที่มั่นหลักของลัทธิแห่งนี้ทำได้ดีมาก แม้ไม่อาจเทียบกับสำนักใหญ่ๆ ได้ แต่ก็แทบไม่แตกต่างจากสำนักระดับเก้าสักเท่าไร


หวังลู่ยิ้มพลางอธิบาย “แม้สำนักภูมิปัญญาจะเริ่มตั้งขึ้นที่หมู่บ้านตระกูลหวัง แต่สภาพของที่นี่ก็ไม่นับว่าดีเลิศ ดังนั้นระดับการพัฒนาจึงเป็นไปอย่างจำกัด… ทว่าหลังจากที่ข้าเข้ามาแก้ไข รูปแบบฮวงจุ้ยของที่นี่ก็เปลี่ยนไป ในอีกไม่เกินห้าสิบปี พลังปราณฟ้าดินตามแนวฮวงจุ้ยของที่นี่ย่อมต้องเข้มข้นมากขึ้น และที่นี่จะกลายเป็นสวรรค์ของเหล่าเซียนอย่างแท้จริง”


หลิวเสี่ยนเฝ้าดูอีกพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของหวังลู่


……………………………………….


ตอนที่ 38 กระบี่แห่งสัจจะ (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

พลังปราณฟ้าดินในอาณาจักรเก้าแคว้นไม่ได้คงที่ในทุกๆ จุด แต่จำนวนโดยรวมนั้นคงที่ พลังปราณฟ้าดินตามแนวเส้นฮวงจุ้ยก็เช่นเดียวกัน แต่มันก็ไม่ได้เรียบง่ายอย่าง ‘เจ้ามีเยอะข้าจึงมีน้อย หรือเจ้ามีน้อยส่วนข้ามีเยอะ’ ตราบใดที่มีการจัดการที่ดี พลังปราณฟ้าดินในสถานที่หนึ่งสามารถเพิ่มมากขึ้นได้ ทำให้จากสถานที่ธรรมดากลายเป็นสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์ เมื่อหนึ่งพันปีก่อน พื้นที่เซิ่งจิงในภาคกลางที่สำนักเซิ่งจิงตั้งอยู่ก็เป็นเพียงที่ราบธรรมดาที่พบได้ทั่วไปในอาณาจักรเก้าแคว้นเท่านั้น


แน่นอนว่าในโลกนี้ทุกสิ่งไม่อาจสมบูรณ์แบบได้เช่นนั้น ส่วนใหญ่แล้ว แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนที่ควรปลีกตัวสันโดษก็ยังเคยชินกับการแสวงหาประโยชน์ใส่ตัวมากกว่าการบำรุงรักษา อย่างไรเสียด้วยความกว้างใหญ่ของอาณาจักรเก้าแคว้น สิ่งมีชีวิตย่อมไม่อาจถูกใช้ประโยชน์ไปจนหมดสิ้นแน่นอน


ดังนั้นในมุมมองของหลิวเสี่ยนแล้ว สำนักภูมิปัญญาจึงไม่ต่างอะไรจากลัทธิ ทั้งที่มีเวลาในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์เพียงหนึ่งปี แต่หวังลู่กลับต้องการทำในสิ่งที่ต้องใช้เวลานานเช่นนี้… จึงยากที่จะเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำเพื่ออำนาจและเงินทอง


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลิวเสี่ยนจึงถามออกไป “เจ้าให้ข้ามาที่นี่เพื่อดูความสำเร็จของเจ้างั้นหรือ” ขณะพูด สายตาก็ยังหยุดอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหวัง เห็นได้ชัดว่าเขาประทับใจกับภาพที่เห็นไม่น้อย


หวังลู่กล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “นอกจากแท่นบูชากลางหมู่บ้านที่ข้าได้มาเพราะโชคช่วย ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดในหมู่บ้านตระกูลหวังให้โอ้อวดได้ สำนักภูมิปัญญายังมีหมู่บ้านเช่นนี้อีกอย่างน้อยสิบแห่ง ที่สภาพตามธรรมชาติย่ำแย่ ผังของหมู่บ้านก็จำกัด”


หลิวเสี่ยนคำราม เขาไม่เปิดโอกาสให้หวังลู่ได้โอ้อวดอีก “ข้าให้เวลาเจ้าสามวันจัดแจงในสิ่งที่เจ้าต้องการ ศิษย์น้องสามกับข้าจะเฝ้ามองอยู่ที่นี่ เจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามที่เจ้าปรารถนา ตราบใดที่ยังอยู่ในระยะหนึ่งร้อยลี้จากตรงนี้”


หวังลู่ไม่ได้กล่าวตอบ หวังลู่เรียกประชุมพวกระดับสูงของสำนักภูมิปัญญาในหมู่บ้านตระกูลหวังและรีบตระเตรียมการอย่างรวดเร็ว


——


ตามที่หลิวเสี่ยนคิด ในทางทฤษฎี การที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณจะร้องขอให้ใช้กระบี่แห่งสัจจะนั้นเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน ต่อให้คนผู้นั้นจะมีวิชาไร้ลักษณ์และรากวิญญาณนภาก็ตามที


ดังนั้นกุญแจสำคัญในการเอาชนะความเป็นไปไม่ได้จึงอยู่ที่การเตรียมการในสามวันนี้ การเตรียมการของหวังลู่นั้นเกินธรรมดา มันเป็นการดำเนินการที่มีขนาดใหญ่โตมาก


หากหวังลู่ไม่ได้บอกกล่าวพวกระดับสูงของสำนักภูมิปัญญาและตระเตรียมกำลังพลไว้แล้วเมื่อหลายวันก่อน มันคงจะสายเกินไปหากเขาคิดจะทำแผนนี้ให้สำเร็จ


แม้กระนั้นก็ตาม หากดูจากกำลังคนของสำนักภูมิปัญญาที่มีอยู่ในปัจจุบัน การจะได้ในสิ่งที่หวังลู่ต้องการเป็นไปได้ยาก เหล่าพวกระดับสูงของสำนักภูมิปัญญามารวมตัวกันที่หมู่บ้านก่อนหน้านี้หนึ่งวันเพื่อเตรียมตัวขั้นต้นอย่างเร่งรีบ พอหวังลู่มาถึง เขาจึงเปิดเผยแผนการทั้งหมด เมื่อได้ยินแผนที่ว่า เหล่าพวกที่คุ้นเคยกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสำนักภูมิปัญญาอย่างรองเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสต่างก็เบิ่งตากว้าง


เย่ชูเฉิน ผู้ที่กล่าวได้ว่าเป็นผู้ช่วยที่เก่งกาจที่สุดของหวังลู่พึมพำเบาๆ “เจ้าสำนัก… โครงการที่ท่านว่ามันจะไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ นอกจากความยากด้านกลยุทธ์แล้ว จำนวนทรัพยากรที่ต้องการนั้นก็…”


“ฮ่าๆๆ พี่เย่ ท่านจะบอกว่าท่านไร้ความสามารถ ไม่อาจทำงานที่เจ้าสำนักมอบหมายได้เช่นนั้นหรือ”


ผู้ที่กล่าวประโยคนี้ออกมาคือปรมาจารย์หมิงหยุนซึ่งเป็นรองเจ้าสำนักอีกคน ปรมาจารย์ผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอาณาจักรเก้าแคว้น ขั้นตบะของเขาคือขั้นพิสุทธิ์ระดับต่ำ บุคลิกไม่อยู่กับร่องกับรอย ความประพฤติบางครั้งก็ดีบางครั้งก็แย่ สร้างความปวดหัวให้กับคนจำนวนไม่น้อย เมื่อห้าเดือนก่อนปรมาจารย์หมิงหยุนมาที่หมู่บ้านตระกูลหวังโดยไม่ได้รับเชิญ ในตอนนั้นเหย่ชูเฉินคิดว่าคนผู้นี้จะมาสร้างความปั่นป่วน แต่เขากลับต้องประหลาดใจที่พบว่าคนผู้นี้นิยมชมชอบใครบางคนจึงต้องการเข้าร่วมสำนักด้วย! ส่วนบุคคลที่คนผู้นี้ชื่นชอบแน่นอนว่าก็คือเจ้าสำนักหวังลู่! ไม่มีใครรู้ว่าปรมาจารย์หมิงหยุดผู้นี้ร่ำเรียนวิชามารสายใดมาจึงทำให้พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาบิดเบี้ยวเช่นนี้ เขาเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขั้นพิสุทธิ์ แต่กลับชื่นชอบในตัวหวังลู่ซึ่งเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ ไม่ช้าเขาก็กลายมาเป็นผู้ติดตามที่ภักดีของหวังลู่ หวังลู่เองนั้นก็ไร้มารยาท แต่งตั้งปรมาจารย์หมิงหยุนเป็นรองเจ้าสำนักดูแลด้านการต่อสู้และอื่นๆ โดยไม่ปรึกษาใคร แม้ตบะขั้นของปรมาจารย์หมิงหยุนต่ำกว่าเย่ชุนเฉินเล็กน้อย แต่ความสามารถในการต่อสู้กลับสูงกว่าหลายเท่า นับได้ว่าเป็นอันธพาลอันดับหนึ่งของสำนักโดยแท้!


ดังนั้นเมื่อได้ยินวาจาของปรมาจารย์หมิงหยุน เย่ชุนเฉินก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันใด ชายผู้นี้เหมือนสุนัขบ้า ไม่ฟังใครหน้าไหนทั้งนั้นนอกจากหวังลู่ เป็นคนที่ไร้เหตุผลโดยแท้ แถมชอบพ่นคำพูดหยาบช้า ภายในสำนักภูมิปัญญา ตำแหน่งจอมเฮงซวยอันดับหนึ่งย่อมไม่พ้นคนผู้นี้


ดังนั้นเย่ชูเฉินก็ไม่คิดสุภาพด้วย “เจ้ามันคนหยาบช้าที่รู้จักแต่ฆ่าฟัน พูดส่งๆ น่ะมันง่าย แต่การจะทำให้สำเร็จมันคนละเรื่องกัน แถมนี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะอวดรู้”


หวังลู่ยิ้ม “รองเจ้าสำนัก ท่านกล่าวผิดแล้ว หมิงหยุนเพียงแค่ต้องการแสดงความคิดเห็น ตราบใดที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียน ทุกคนที่อยู่ที่นี่ย่อมออกความเห็นได้ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่หน่วยใดก็ตาม”


เย่ชุนเฉินแปลกใจไม่น้อย “หมิงหยุนรังแต่จะสร้างเรื่องสิไม่ว่า!”


หมิงหยุนถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ เมื่อถูกสุนัขบ้าผู้นี้จ้องมอง เย่ชุนเฉินก็อดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้


หวังลู่หัวเราะ “ฮ่าๆๆ แน่นอนว่างานนี้เหมาะกับหมิงหยุนมาก” พูดจบ หวังลู่ก็โยนกระดาษไปยังหมิงหยุน พออีกฝ่ายปรายตามองก็สะดุดตากระดาษใบนี้ในทันที ขณะพินิจมองกระดาษหมิงหยุนก็หัวเราะออกมาเป็นครั้งคราว


เมื่อส่งหมิงหยุนไปทำภารกิจเรียบร้อยแล้ว หวังลู่ก็กล่าวกับคนที่เหลือ “โครงการในครั้งนี้ใหญ่โตผิดธรรมดา จำนวนทรัพยากรที่ต้องใช้ก็เกือบทำให้สำนักล้มละลาย ทว่าโครงการนี้เป็นสิ่งจำเป็น ต่อให้เราต้องหมดกำลังไปกับมัน แต่ก็ต้องทำให้สำเร็จเข้าใจไหม”


พอได้เห็นว่าเจ้าสำนักลงมาจัดเตรียมโครงการอย่างเอาจริงเอาจังซึ่งเป็นเรื่องหายาก ทุกคนที่อยู่ในที่นั่นก็ตระหนักได้ว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องจริงจัง แม้พวกเขาจะไม่เห็นผู้อาวุโสสองคนลอยอยู่กลางอากาศเหนือหัวพวกเขา แต่ทุกคนก็รู้สึกได้รางๆ ว่าสำนักภูมิปัญญากำลังเผชิญกับบททดสอบครั้งสำคัญ


หากพวกเขายังเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระอยู่ คงแตกกระจายราวนกหรือสัตวป่ายามต้องเผชิญกับวิกฤตไปแล้ว ทว่า ณ ตอนนี้ ในฐานะผู้บังคับบัญชาของสำนักภูมิปัญญา วิญญาณนักสู้ที่มุ่งมั่นก็เอ่อท้นจิตใจของพวกเขา


——


สามวันผ่านไปราวกับกะพริบตา


สามวันนี้อาจเป็นสามวันที่ยุ่งที่สุดของสำนักภูมิปัญญา โดยเฉพาะขุมกำลังหลักอย่างเย่ชูเฉินและหน่วยเจ็ดดาราที่อยู่ใต้อาณัติของเขา คนพวกนี้ยุ่งมากจนแทบจะขาดใจตาย ในหมู่พวกเขา ตาแก่ลามกเหอหยุนน่าเวทนาที่สุด เป็นเพราะต้องทำงานดึกดื่นติดต่อกัน เมื่อต้องการฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ด้วยการบำเพ็ญตบะคู่ เขากลับพบว่าตนเองเหน็ดเหนื่อยเกินไปจนนกเขาไม่ยอมขัน! ตาแก่ลามกถึงกับสะอึกสะอื้นจนเป็นลมไป ณ ตรงนั้นนั่นเอง


ในสามวันนี้ เย่ชูเฉินต้องควบถึงสองตำแหน่ง นั่นคือหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐานและหัวหน้าหน่วยของตนเอง เขานำคนจากหน่วยเจ็ดดาราออกจัดการงานขนาดมหึมา นั่นคือการติดตั้งค่ายกลบนภูเขาโดยรอบหมู่บ้านตระกูลหวังเพื่อเตรียมรับมือกับกระบี่แห่งสัจจะ หวังลู่เป็นคนวาดแบบร่างค่ายกลให้ แบบร่างนี้เต็มไปด้วยความคิดหลุดโลกชวนตะลึงที่เค้นมาจากมันสมองของศิษย์แถวหน้าแห่งสำนักกระบี่วิญญาณ ครั้งแรกที่เย่ชูเฉินได้รับแบบร่างนี้มา คางของเขาก็แทบจะลงไปแตะเท้า! ในแบบร่างมีค่ายกลรวมวิญญาณระดับเก้าที่ซ้อนกันกว่าสามร้อยค่ายกลเป็นโครงภายนอก ตรงกลางเชื่อมต่อด้วยค่ายกลแปรรูประดับแปดทั้งหมดหกสิบค่ายกล จนกลายเป็นค่ายกลขนาดมหึมา


นอกจากนั้นยังมีประทีปไร้ล้ม เจดีย์ชำระล้าง ตำหนักรู้ตื่น… และสิ่งก่อสร้างนับร้อยๆ แห่งซึ่งตั้งอยู่ภายใต้ค่ายกล แต่ละแห่งเชื่อมต่อกันอย่างยอดเยี่ยม แม้ระดับของสิ่งก่อสร้างจะไม่ได้สูงส่ง แต่ก็ถูกออกแบบมาอย่างชาญฉลาดและน่าจะสำแดงผลที่มหัศจรรย์ไม่น้อย


ในขณะเดียวกัน สามวันมานี้หลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อต่างซ่อนตัวอยู่บนฟ้า เฝ้ามองการเตรียมการของหวังลู่อยู่เงียบๆ พวกเขาได้ประจักษ์ว่าคนของสำนักภูมิปัญญาสร้างสิ่งก่อสร้างมากมายราวเมืองหนึ่งเมืองภายในเวลาเพียงสามวัน!


แน่นอนว่ามันไม่ใช่เมืองใหญ่ พื้นที่ว่างระหว่างภูเขาไม่ได้กว้างขวางนัก ทว่าปริมาณงานในการสร้างอาคารนับร้อยๆ แห่ง รวมถึงการวางค่ายกลที่หนาแน่นนั้นมีมากกว่าปริมาณงานในเมืองใหญ่ๆ เสียด้วยซ้ำ!


เพื่อที่จะทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จในสามวัน สำนักภูมิปัญญาต้องใช้แรงงานมากถึงสามหมื่นคน นี่คือจำนวนคนงานทั้งหมดที่สำนักกะเกณฑ์มาได้จากพื้นที่ใกล้ๆ ท่ามกลางคนพวกนี้ มีผู้ฝึกเซียนตบะขั้นฝึกปราณมากกว่าหนึ่งพันคน! ขณะเดียวกันสำนักภูมิปัญญายังจ้างคนงานฝีมือเยี่ยมตบะขั้นสร้างฐานจากหอนภาเร้นลับอีกมากกว่าหนึ่งร้อยคน ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งได้อีกมากโข แน่นอนว่าหน่วยที่สำคัญที่สุดคือเย่ชูเฉินกับคณะ ที่ต้องลงแรงให้กับงานที่ยากที่สุด หนักที่สุดและเหนื่อยที่สุด พวกเขาสร้างขวัญและกำลังใจและกระตุ้นประสิทธิภาพของเหล่าแรงงานที่เหลือได้อย่างเยี่ยมยอด


ปรมาจารย์หมิงหยุนรองเจ้าสำนักอีกคนก็ไม่ได้รับงานที่เบาไปกว่ากัน ตลอดสามวันเขานำเหล่าอันธพาลตัดภูเขาขุดแม่น้ำ ปลดปล่อยความต้องการในการทำลายล้าง! หวังลู่ตามติดคนเหล่านี้ไปอย่างใกล้ชิด ทิ้งรอยเท้าเอาไว้ในทุกร่องรอยของการทำลายล้างนี้


สามวันให้หลัง หวังลู่ให้ผู้ติดตามทั้งหมดถอยออกไป ทิ้งเขาไว้ลำพังใน ‘เมืองใหม่’ บนภูเขา เขายืนอยู่บนแท่นบูชาสูงที่สร้างมาเพื่อเขาเองโดยเฉพาะ หลิวเสี่ยนที่ลอยอยู่เหนือหัวของหวังลู่ มองทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเมินเฉย


“เจ้าพร้อมหรือยัง” หลิวเสี่ยนถาม


หวังลู่นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ลืมตาขึ้นจากนั้นก็เปิดปากออกช้าๆ


ทว่าก่อนที่เสียงของเขาจะหลุดออกมา เสียงฟ้าร้องก็คำรามลั่นไปทั่วภูเขา สภาพอากาศพลันแปรเปลี่ยน ภายในเสี้ยววินาที ท้องฟ้าสนสดในระยะหลายพันลี้ก็กลับกลายเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก! กลางวันแปรเปลี่ยนเป็นกลางคืน! สายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงฟาดลงมาจากท้องฟ้าราวสวรรค์ลงทัน!


หวังลู่ชิงลงมือโจมตีก่อน!


………………………………………….


ตอนที่ 39 ศิษย์มีสติรู้แจ้งกระจ่างชัด (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“มีกึ๋นนี่!”


เมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพโดยรอบ หลิวเสี่ยนเองก็ไม่ได้ใจแคบและเมินเฉยเสียจนไม่เอ่ยปากชม ทว่าเขาก็ยังรู้สึกเกียจคร้านเกินจะเปิดเปลือกตา


อึดใจถัดมา สายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงรูปร่างคล้ายงูก็คำรามลั่น ทว่าก่อนที่มันจะเข้าถึงตัวหลิวเสี่ยนในระยะห้าวา มันก็มลายหายไปไม่ได้ยินแม้เสียงคำรามอีก


ในตอนนั้นเอง รองเจ้าสำนักภูมิปัญญาเย่ชูเฉินที่ดูศึกครั้งนี้อยู่ไกลๆ ก็อ้าปากค้างอย่างไม่รู้ตัว


แม้สายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงที่หวังลู่ควบคุมนั้นจะไม่ใช่สายฟ้าจากด่านเคราะห์สวรรค์ แต่พลังของมันก็มิอาจประมาทได้! หวังลู่เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณ ดังนั้นสายฟ้านี้จึงไม่ได้มาจากพลังอิทธิฤทธิ์ของเด็กหนุ่มโดยตรง แต่มาจากการรวบรวมพลังปราณฟ้าดินที่อยู่ตามแนวเส้นฮวงจุ้ยในพื้นที่หลายสิบลี้รอบๆ ‘เมืองใหม่’ ที่เชื่อมต่อกับแท่นบูชาเบื้องล่างเขาที่จู่ๆ ก็พลุ่งขึ้น


พลังของสายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงนั้นแข็งแกร่งพอจะผลาญเย่ชูเฉินให้เป็นเถ้าได้ถึงสิบครั้ง เมื่อต้องเผชิญกับสายฟ้าเช่นนั้น ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ก็บอบบางไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ปุถุชน ตามการคาดเดาของเย่ชูเฉิน จากความแรงของสายฟ้าและจากการที่หวังลู่ปล่อยสายฟ้านี้ใส่ฝ่ายตรงข้ามแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ก็น่าจะสร้างความงงงวยให้ไม่น้อย


ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ หลิวเสี่ยนไม่ได้ยกนิ้วขึ้นมาเพื่อปัดสิ่งนี้ออกไปด้วยซ้ำ เขาเพียงหายใจเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าออกตามปกติ สายฟ้าดังกล่าวก็มลายหายไปแล้ว


กระบวนการหายใจเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าและออกของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่นั้นเกินกว่าที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์จะจินตนาการได้ ยามที่ผู้บำเพ็ญเซียนบรรลุถึงขั้นกำเนิดใหม่ ผู้บำเพ็ญเซียนไม่จำเป็นต้องหายใจเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าร่างมากนัก เพราะวิหารหยกของพวกเขาสามารถผลิตพลังอิทธิฤทธิ์ได้เองอย่างไม่รู้จบ สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ใส่ใจยิ่งกว่าก็คือคุณภาพของพลังปราณฟ้าดิน ที่เน้นไปที่พลังที่เหมาะสมเพื่อควบคุมพลังปราณฟ้าดินได้อย่างดีเยี่ยม สำหรับหลิวเสี่ยน พื้นที่ในระยะยี่สิบลี้รอบตัวคือสนามพลังที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา แม้ว่าสายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงจะทรงพลัง แต่มันก็เป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมราคาถูกที่ไม่มีแม้พลังวิญญาณขั้นปฐมของหวังลู่อยู่ ซึ่งสำหรับหลิวเสี่ยนแล้วสิ่งนี้ก็ไม่ต่างจากพลังปราณฟ้าดินไร้เจ้าของที่สลายลงได้ง่ายๆ ด้วยการหายใจเพียงครั้งเดียวของเขา


ทว่าหลิวเสี่ยนก็รู้สึกชื่นชมหวังลู่อยู่ในใจที่กล้าชิงความได้เปรียบด้วยการสำแดงความแข็งแกร่งออกมา ความต้องการที่จะสวนกลับฝ่ายตรงข้ามทั้งที่ตัวเองเสียเปรียบหรือในตอนที่เข้าตาจนไม่เพียงสะท้อนให้เห็นความกล้าหาญของคนผู้นั้น แต่บ่อยครั้งมันคือกุญแจสำคัญในการเอาชนะศัตรูที่เหนือกว่าได้


เจ้าเด็กคนนี้โหดเหี้ยมโดยเนื้อแท้ หนำซ้ำแม้สายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงจะไม่เป็นอันตรายต่อหลิวเสี่ยน แต่ก็พูดได้ว่ามันคือปาฏิหาริย์ที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณสามารถเรียกและควบคุมสายฟ้าที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ ต่อให้เจ้าสิ่งนี้เกิดจากพลังของ ‘เมืองใหม่’ ก็ตาม!


หลังจากที่สายฟ้ามลายไป หลิวเสี่ยนยังไม่เคลื่อนไหวในทันที แต่กลับมองหวังลู่ด้วยสายตาชื่นชม


ทว่าครั้งนี้เป็นหวังลู่เองที่เมินเฉยกับสายตาที่ได้รับ เมื่อกระบวนท่าแรกไม่เป็นผล เขาก็เตรียมพร้อมกระบวนท่าถัดไปในทันที ครั้งนี้มันใหญ่กว่าครั้งก่อนหน้าเสียอีก นิ้วทั้งสิบนิ้วของหวังลู่ชี้ตรงไปยังแท่นบูชาที่ตั้งอยู่บนเสาสิบต้น และเริ่มเคลื่อนไหวไปมา เสาทั้งสิบต้นนี้คือกระดูกสันหลังของ ‘เมืองใหม่’ ทั้งเมือง ด้วยการควบคุมของหวังลู่ เสาทั้งสิบบังคับให้สิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่อยู่ด้านบนเปลี่ยนตำแหน่งพร้อมเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว ค่ายกลรวมวิญญาณและค่ายกลแปรรูปถูกจัดเรียงใหม่ในตำแหน่งที่เหมาะสมจนกลายเป็นภาพวาดที่สวยงาม


ในขณะนั้นเอง ท้องฟ้าดำทะมึนที่ทำให้เกิดสายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงก็พลันสว่างขึ้น ไม่ใช่ว่าความมืดดำนั้นสลายไป แต่มันกลับสว่างไสวเพราะดวงดาวนับไม่ถ้วน จนราวกับเป็นทางช้างเผือกเลยทีเดียว!


เย่ชูเฉินที่สังเกตการณ์อยู่ไกลๆ ถึงกับตกตะลึงเพราะที่เห็นนั่นคือวิชารวบรวมดาราของเขาเอง … ด้วยการควบคุมของหวังลู่และพลังจากเมืองใหม่รวมทั้งพลังปราณฟ้าดินตามแนวเส้นฮวงจุ้ย มันจึงรวมตัวกันกลายเป็นดาราจักรอย่างไม่นึกฝัน!


อึดใจถัดมา ดาราจักรดังกล่าวก็ร่วงลงมา ดวงดาวนับร้อยนับพันตกลงมาราวฝนดาวตกพราวพร่างตามจังหวะการเคลื่อนมือของหวังลู่ ทั้งหมดพุ่งตรงมายังหลิวเสี่ยน


หลิวเสี่ยนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย


อานุภาพของฝนดาวตกที่เกิดจากวิชารวบรวมดาราจักรนี้อาจไม่ทรงพลังเท่าสายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงก่อนหน้า แต่แน่นอนว่าย่อมต้องใช้ทักษะมากกว่า แม้จะได้รับพลังจากค่ายกล แต่ย่อมเป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อยที่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณธรรมดาๆ จะสามารถควบคุมฉากที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้


แน่ละว่าไม่ควรจะเทียบศิษย์จากสำนักกระบี่วิญญาณกับผู้ฝึกเซียนทั่วไป ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสักนิดสำหรับหวังลู่ที่ฝึกวิชาไร้ลักษณ์ ซึ่งรู้กันว่ามีพลังโจมตีที่อ่อนด้อย ที่จะสร้างฉากตรงหน้าขึ้นมาได้…แต่ดูเหมือนว่างานชิ้นนี้จะเป็นสิ่งที่เขาตั้งอกตั้งใจทำขึ้นมาเป็นอย่างดี


โชคร้ายที่ถึงแม้ฉากตรงหน้าซึ่งหวังลู่ลงทุนลงแรงอย่างหนักจะเลิศเลอเพียงใดก็ตาม แต่มันก็ไม่ส่งผลอะไรเลยสักนิด หลิวเสี่ยนยังคงไม่ต้องขยับนิ้ว เขาเพียงแค่ใช้การหายใจของตบะขั้นกำเนิดใหม่ละลายดาราจักรที่อยู่บนท้องฟ้ามืดทึมนั่นก็เท่านั้น


หลังจากนั้น หลิวเสี่ยนก็ขยับตัว


“เอาล่ะ ข้าดูมามากพอแล้ว รับกระบี่นี่ไปได้แล้ว”


อึดใจถัดมา กระบี่ที่มองไม่เห็นก็เจาะทะลุเกราะป้องกันนับสิบชั้นที่หวังลู่เตรียมพร้อมมาอย่างดี และพุ่งตรงไปยังหน้าผากของหวังลู่


มันคือกระบี่แห่งสัจจะของหลิวเสี่ยน


แก่นของกระบี่แห่งสัจจะคือพลังวิญญาณขั้นปฐม มันต้องใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมของหลิวเสี่ยนในการทำงาน และไม่ต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์แม้แต่น้อย ทำให้เคลื่อนที่ได้อย่าง ‘เงียบเชียบ’ เมื่อเทียบกับสายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงของหวังลู่แล้ว กระบี่แห่งสัจจะนั้นไม่อาจตั้งรับได้ แม้หวังลู่และผู้อาวุโสของสำนักภูมิปัญญาจะเค้นสมองกันแทบตาย แต่ก็มิอาจหยั่งรู้กลยุทธ์ของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ได้ ดังนั้นการตั้งรับที่พวกเขาตระเตรียมกันมาจึงล้มเหลวตั้งแต่กระบวนท่าแรกของหลิวเสี่ยน


กระบี่แห่งสัจจะบรรจุจิตเซียนเร้นลับของหลิวเสี่ยนไว้ด้วย แม้จะเพียงนิดเดียว แต่สำหรับหวังลู่แล้ว สิ่งนี้ไม่ต่างจากแม่น้ำแยงซี การเคลื่อนไหวของมันรุนแรงเกินจะทัดทาน หวังลู่รู้สึกเพียงว่าพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาสั่นสะท้านและจากนั้นก็ถูกกระบี่แห่งสัจจะดูดกลืนเข้าไป การรับรู้ของพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาถูกตัดขาด ทำให้ประสาทสัมผัสไม่ทำงานได้และทุกอย่างก็พลันมืดสนิทไป


ตู้ม!


ในตอนนั้นเอง หวังลู่ก็ได้ยินเสียงโครมดังลั่นปลุกให้ตื่นจากความมืดมิด เขาลืมตาขึ้นมาและพบว่าเสาหนึ่งในสิบต้นแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ ทำให้มุมหนึ่งของ ‘เมืองใหม่’ พังลงไป ผลก็คือ ค่ายกลระดับเก้ามากกว่าสามสิบค่ายกลหายวับไปจากพื้น สิ่งนี้กระตุ้นให้เสียงเตือนมายาที่ใต้ฐานของเขาทำงาน ทำให้เกิดเสียงดังลั่นจนพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขารับรู้ได้


แม้จะเป็นการสูญเสียที่เจ็บปวด แต่มันก็ช่วยปลุกพลังวิญญาณขั้นปฐมของหวังลู่ขึ้นมาได้ครู่หนึ่ง ทว่าเวลาเพียงชั่วครู่นี้ก็เพียงพอให้หวังลู่ได้ตอบโต้ นิ้วโป้งและนิ้วกลางของมือขวาสัมผัสกันเบาๆ ทันใดนั้นจิตเซียนไร้ลักษณ์ในตัวก็ตอบสนองขึ้นทันทีราวกับเป็นเครื่องจักร เสาทั้งเก้าส่งเสียงดังและเริ่มขยับ สิ่งก่อสร้างทั้งหมดในเมืองใหม่ดูราวกับถูกหุ้มไว้ด้วยแสงสีเขียวมรกต


“ดี!”


สูงขึ้นไปบนฟ้า หลิวเสี่ยนอดที่จะเอ่ยปากชมไม่ได้ แม้ค่ายกลที่หวังลู่ตระเตรียมไว้ไม่ใช้ของระดับสูง แต่ค่ายกลนับร้อยก็สอดประสานเชื่อมต่อกันอย่างดี สะท้อนให้เห็นถึงทักษะพื้นฐานที่เยี่ยมยอดของอีกฝ่าย แค่จุดนี้จุดเดียว ก็มีศิษย์ที่ออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้เพียงไม่กี่คนที่จะเทียบเขาได้ แถมศิษย์เหล่านั้นยังร่ำเรียนด้านการตั้งค่ายกลมาโดยเฉพาะ หนำซ้ำยังไม่มีใครร่างแบบและใช้เวลาได้แม่นยำเท่าหวังลู่เลย


เสียงเตือนมายาถูกตระเตรียมมาอย่างดีล่วงหน้า ตราบใดที่หวังลู่ไม่เต็มใจจะเข้าสู่สภาวะจิตว่างด้วยตัวเอง มันก็จะยังทำงานต่อไป เห็นได้ชัดว่าเขารู้ตัวดีว่าไม่อาจหยุดยั้งกระบี่แห่งสัจจะที่แหลมคมได้… เจ้าเด็กนี่รู้ข้อจำกัดของตัวเองดีจริงๆ!


ชั้นแสงที่โอบล้อมผิวหน้าของเมืองใหม่อยู่นั้นคือแสงแห่งความตื่นรู้ซึ่งช่วยกระตุ้นสติให้ตื่น หวังลู่อาบแสงนี้เพื่อไม่ให้สูญเสียจิตสำนักจนกระบี่แห่งสัจจะเข้ามาตรวจสอบได้ การตั้งรับในครั้งนี้เป็นเรื่องสมควรแล้ว และที่วิเศษไปกว่าคือเขากระตุ้นการใช้งานมันด้วยสัญญาณเพียงครั้งเดียว สำหรับศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณระดับหก นี่ถือว่ายอดเยี่ยมมากจริงๆ


ถึงจุดนี้ หลิวเสี่ยนจะมองทะลุแผนการณ์ของหวังลู่ไม่ออกได้อย่างไร


การเตรียมการในสามวันนี้คือการแสดงให้หลิวเสี่ยนเห็นว่าสำนักภูมิปัญญามีการจัดการการระดมพลที่น่าทึ่ง แล้วสำนักภูมิปัญญาที่มีการจัดการอย่างเป็นระบบระเบียบจะเป็นลัทธิได้อย่างไร แม้จะมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาในการก่อสร้างเมืองใหม่ ซึ่งทำให้ทั้งหุบเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด แต่จิตวิญญาณที่มุ่งมั่นของพวกเขาก็แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างสำนักภูมิปัญญากับลัทธิอื่นๆ ได้อย่างแจ่มแจ้ง


และเมื่อหวังลู่เผยตัวออกมาเบื้องหน้า ทั้งยังเรียกสายฟ้าและห่าดาวตกออกมา ทั้งหมดนั้นไม่ได้มุ่งหวังจะเขย่าขวัญผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่ แต่เพื่ออวดอ้างความสามารถในการควบคุมเวลาและการจัดแจงสิ่งต่างๆ ที่ดีเลิศของเขาต่างหาก นี่เป็นทักษะที่มิอาจปรากฏให้เห็นได้จากการบำเพ็ญเซียน ทว่าจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการต่อสู้


ความตั้งใจของหวังลู่ในการโอ้อวดทักษะเหล่านี้ก็เพื่อให้หลิวเสี่ยนได้เห็นผลของการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ตลอดแปดเดือนของเขา หลิวเสี่ยนยังยอมรับอีกว่า หากมองในมุมนี้เพียงอย่างเดียว หวังลู่คือหนึ่งในศิษย์แถวหน้า อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ถูกทรัพย์สินเงินทองล่อลวงจนหลงมัวเมาไปกับสิ่งเสื่อมโทรม


นี่คือข้อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของหวังลู่!


“ไม่เลวเลยจริงๆ” หลิวเสี่ยนถอนหายใจเบาๆ จากนั้นเขาก็จำได้ว่าเมื่อสามวันก่อนในห้องรับรองของโรงเตี๊ยม หวังลู่ตั้งใจยั่วยุให้เขาโกรธ ทว่าในตอนนี้ความโกรธทั้งหลายได้มลายไปเกือบสิ้นแล้ว ผู้อาวุโสฝ่ายสินรางวัลอย่างเขามักให้ความเป็นธรรมกับศิษย์ที่โดดเด่นเสมอ แม้เด็กคนนี้จะโอหังแต่ก็มีความสามารถมาช่วยเสริม ทว่า…เหนือฟ้ายังมีฟ้า แน่นอนว่าย่อมมีคนที่ดียิ่งกว่า ดังนั้นในฐานะศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่วิญญาณ การก้าวมาถึงจุดนี้ได้ยังถือว่าดีไม่พอ หนำซ้ำเมื่อเทียบกับศิษย์ผู้สืบทอดอีกสองคนแล้ว ยิ่งถือว่าไม่เอาไหน


นี่ยังไม่รวมว่าการทดสอบของกระบี่แห่งสัจจะเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เมื่อครู่สิ่งที่ทำให้หวังลู่หมดสติไป เป็นเพียงปลอกของกระบี่แห่งสัจจะ แก่นที่แท้จริงซึ่งก็คือพลังของจิตเซียนเร้นลับยังคงถูกซ่อนไว้ภายใน!


ภายใต้แสงแห่งการตื่นรู้นี้ หวังลู่กำลังเผชิญหน้ากับพลังของกระบี่แห่งสัจจะอยู่!


ตอนนี้หวังลู่กำลังตกสู่ภวังค์อีกครั้ง เมืองใหม่และหุบเขาเบื้องหน้าค่อยๆ สลายไปราวกับหมอกควัน มีสนามรบที่เต็มไปด้วยภูเขาซากศพและทะเลเลือดเข้ามาแทนที่ หวังลู่ยืนอยู่บนกองกระดูกของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน สายลมเย็นเยียบรอบตัวพัดพาเอาเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเหล่าภูตผีวิญญาณเข้ามาในโสตประสาท


ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดหวังลู่ก็รู้ในทันทีว่านี่คือภาพลวงตาที่กระบี่แห่งสัจจะสร้างขึ้น การทดสอบที่แท้จริงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ทว่าภายใต้การไต่ถามของกระบี่แห่งสัจจะ ความเป็นไปได้ที่เขาจะผ่านการทดสอบมีไม่มากนัก


พูดตามตรง การแสดงก่อนหน้านี้พิสูจน์ให้เห็นความแข็งแกร่งของเขาไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้ต่อให้เขายอมแพ้ ขอร้องให้กระบี่แห่งความจริงถอนคมของมันออก ก็ไม่ส่งผลอะไรต่อเขาอยู่ดี การทดสอบครั้งนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะชนะ ดังนั้นจึงไม่ผิดบาปอะไรที่เขาจะไม่อาจเอาชนะมันได้ แถมท่านลุงหลิวเสี่ยนยังชมชอบศิษย์ที่มีพรสวรรค์ ดังนั้นมากสุดท่านลุงก็คงแค่ดุด่าเขาก็เท่านั้น… ทว่าแผนการของหวังลู่จะเรียบง่ายเช่นนั้นได้อย่างไร


เข้ามาเลย กระบี่แห่งสัจจะ!


ภายใต้เสียงกรีดร้องของสายลมเย็นเยียบ ภูเขาซากศพที่อยู่ด้านล่างเขาก็เริ่มสั่นไหว เหล่าซากศพเริ่มเคลื่อนไหวเจาะทะลวงผ่านกองเลือดและกระดูกเหล่านั้นขึ้นมา พวกมันโผล่ออกมาจากกองภูเขากระดูกที่มีอยู่มากมาย และค่อยๆ เข้าใกล้หวังลู่ที่ยืนอยู่บนหนึ่งในภูเขาซากศพขึ้นเรื่อยๆ


ฉากที่น่าสยดสยองที่ฉายเข้ามาในพลังวิญญาณขั้นปฐมของคนคนหนึ่งโดยตรงก็เพียงพอที่จะทำให้วิญญาณของผู้บำเพ็ญเซียนที่อ่อนแอผู้นั้นหลุดออกจากร่างได้ ทว่าหวังลู่กลับไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้เพียงน้อยนิด มุมปากของเขาเหยียดขึ้น ยกแขนสองข้างขึ้นมากอดอก รอคอยให้เหล่าซากศพพวกนั้นเคลื่อนตัวมาหาอย่างช้าๆ


ผ่านไปอึดใจใหญ่ ซากศพหลายซากที่อยู่ใกล้สุดก็เข้ามาถึงตัวหวังลู่ ขณะที่เนื้อหนังเน่าเฟะและกระดูกของพวกมันสั่นระริก ซากศพเหล่านี้ก็เอ่ยคำพูดอู้อี้ออกมาจากปาก


“เจ้า…สำนัก…”


“หวัง…ลู่…”


หวังลู่ฮึดฮัด จากนั้นก็กล่าวคำพูดออกมาพร้อมเหยียดยิ้ม “อย่ามัวทำตัวมีเงื่อนงำหน่อยเลย ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยากพูดอะไร พวกเจ้าตายเพราะสำนักภูมิปัญญา เลยอยากให้ข้าชดใช้ด้วยชีวิตใช่ไหมเล่า”


ทันทีที่พูดจบ รอยยิ้มของเขาก็จางไป ใบหน้ากลับเคร่งเครียดขึ้น “ชดใช้มารดาเจ้าน่ะสิ! ไสหัวไป!”


……………………………………………


ตอนที่ 39 ศิษย์มีสติรู้แจ้งกระจ่างชัด (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

พูดจบเขาก็ยื่นมือไปคว้ากะโหลกที่ใกล้ที่สุดแล้วโยนลงไป ซากศพดังกล่าวบ่นงึมงำพร้อมทิ้งตัวกลิ้งลงไปและจนกลายเป็นเพียงเนื้อและกระดูกระหว่างทางนั่นเอง


ความโหดเหี้ยมของหวังลู่ปลุกเร้าความโกรธแค้นให้ซากศพที่เหลือในทันที พวกมันส่งเสียงโห่ร้องอื้ออึง ทำให้บรรยากาศยิ่งน่าขนลุกเข้าไปใหญ่ ภาพลวงตาของกระบี่แห่งสัจจะไม่ได้เกรงกลัวว่าผู้ใดจะทะลวงผ่านมันไปโดยใช้ความรุนแรง เพราะคนผู้นั้นใช้ความรุนแรงขณะที่ถูกตรวจสอบ ส่วนใหญ่แปลว่าจิตของคนผู้นั้นว่างเปล่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว! และความแข็งแกร่งของภาพลวงตาที่กระบี่แห่งสัจจะสร้างขึ้นมาก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของจิตใจฝ่ายตรงข้าม หากอีกฝ่ายไม่มั่นใจ พวกเขาก็จะไม่อาจสำแดงความแข็งแกร่งออกมาได้แม้ว่าจะทรงพลังเท่าใดก็ตาม ต่อให้อีกฝ่ายเป็นปรมาจารย์ขั้นมหายาน กระบี่แห่งสัจจะก็สามารถฉายภาพเซียนสิบเจ็ดสิบแปดคนออกมาเฉือนเนื้อของอีกฝ่ายเป็นล้านๆ ชิ้นได้


ทว่าเบื้องหลังความโหดเหี้ยมของหวังลู่ ยังมีความมั่นใจแน่วแน่ซ่อนอยู่ “พวกสวะ พวกเจ้ามีคุณสมบัติคู่ควรมายืนแหกปากต่อหน้าข้าด้วยหรือ”


ท่ามกลางเสียงคร่ำครวญของเหล่าซากศพ คำพูดของหวังลู่เป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงมาทำให้พวกมันเงียบปากลง


ก่อนที่พวกมันจะขยับตัวอีกครั้ง หวังลู่ก็เลิกคิ้วและชี้นิ้วใส่ “พวกเจ้ามันฝ่ายตรงข้ามที่พ่ายแพ้และตายในสงครามการขยายอำนาจของสำนักภูมิปัญญา พวกเจ้าคับแค้นใจ เลยกล่าวหาว่าข้าเป็นต้นเหตุให้พวกเจ้าตาย หนำซ้ำยังอยากทึ้งข้าให้เป็นชิ้นๆ!? แต่ข้าคนนี้ไม่คิดเลี่ยงหรือหลบหนี ข้ายินดีจะรับบาปแห่งการตายของพวกเจ้ารวมทั้งความขุ่นเคืองทั้งหลาย! เพราะความเจ็บปวดของศัตรูคือความยินดีของข้า เสียงก่นด่าของศัตรูคือเสียงเพลงแห่งสวรรค์!


ในเมื่อพวกเจ้าเลือกที่จะยืนอยู่คนละฝั่งกับข้า ข้าก็มีมโนธรรมที่แจ่มชัดในการสังหารพวกเจ้า!”


พูดจบ เขาก็ชี้นิ้วไปอีกทางหนึ่ง “และพวกเจ้า พวกเจ้าคือนักรบของสำนักภูมิปัญญาที่ตายในสงครามขยายอำนาจของสำนัก ตอนนี้พวกเจ้ารู้สึกเสียใจ เจ้าคิดภาพว่าหากเจ้าไม่ได้เข้าร่วมสำนักภูมิปัญญา หากเจ้าไม่มายืนอยู่แถวหน้า เจ้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นตอนเจ้าตาย เจ้าก็โทษว่าเป็นเพราะข้า! บอกตามตรงในใจข้า ข้าชิงชังพวกเจ้าที่สุด! เพราะยังมีนักรบของสำนักมากกว่าพวกเจ้าเป็นสิบเท่าที่ไม่เสียใจต่ออุดมการณ์ของตนและยอมอุทิศชีวิตให้ เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว พวกเจ้าก็เป็นเพียงเศษธุลี! นักรบที่แท้จริงย่อมเก็บความเคืองแค้นไว้ให้ศัตรู และเพ่งสายตาไปเบื้องหน้าตลอดกาล! พอตายไป เจ้าควรจะรวบรวมผู้ใต้บังคับบัญชาและกลับไปต่อสู้กับศัตรูในโลกมนุษย์! หากเจ้าเปลี่ยนความขุ่นเคืองในตัวศัตรูให้กลายเป็นความเศร้าโศกเสียใจ เจ้าก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นนักรบ และไม่ควรคู่กับความเกรียงไกรของสำนักภูมิปัญญา! นักรบเช่นพวกเจ้านั้นข้าชิงชังยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น!”


“ส่วนพวกเจ้า พวกเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ตายเพราะวิชาโลหิตเพลิงโหมนภา พวกเจ้าคิดว่าตัวเองถูกหลอก รู้สึกคับข้องราวพายุหิมะที่ตกในฤดูร้อน ความชอบธรรมในตัวของเจ้าเชื่อว่าข้าทำลายอนาคตหนึ่งร้อยปีของเจ้า! สำหรับพวกเจ้าข้ารู้สึกชังอย่างยิ่ง นั่นเพราะข้าเป็นผู้ให้โอกาสพวกเจ้าได้เดินบนเส้นทางแห่งเซียน เป็นเพราะข้าที่ให้โอกาสปถุชนเช่นพวกเจ้าได้สืบเท้าไปข้างหน้า เป็นเพราะข้าที่เปลี่ยนพวกเจ้าที่ต้องตายเงียบๆ อย่างมดปลวกให้กลายเป็นผู้บุกเบิกในอาณาเขตเก้าแคว้นที่จะมีส่วนในการเคลื่อนขึ้นสู่สวรรค์ของโลก! นอกจากข้าจะไม่เคยบังคับให้พวกเจ้าใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาแล้ว การตัดสินใจของคนธรรมดาสามัญที่ต้องการเป็นวีรบุรุษที่เปล่งประกายนั้น แม้จะเพียงชั่วขณะเดียว แต่การตัดสินใจนั้นก็อยู่ตัวมือของพวกเจ้าเอง! ในเมื่อเจ้าต้องการเปล่งประกาย เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์เสียใจกับราคาที่ต้องจ่าย เสียงคร่ำครวญของเจ้าในวันนี้รังแต่จะทำให้เจ้าดูเนรคุณ เจ้าไม่คู่ควรให้เวทนาสักนิด!”


คำพูดยาวเหยียดนี้ทำให้ซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนตกตะลึงจนเงียบเสียงลง ในตอนนี้นั้น แรงตอบโต้ของหวังลู่ได้ทะลุถึงจุดสูงสุดแล้ว แม้แต่ในนรกที่เต็มไปด้วยภูเขาซากศพและทะเลเลือดนี้ พวกเขาก็ไม่อาจต้านทานต่อคำพูดน่าเกรงขามของหวังลู่ได้! ซากศพนับหมื่นหยุดนิ่ง สายลมแห่งนรกเย็นยะเยือกค่อยๆ อ่อนกำลังลง ท้องฟ้าเบื้องหลังเมฆดำทมิฬค่อยๆ ปรากฏแสงสีทอง ราวกับว่ามวลเมฆถูกชำระล้างและมีแสงอาทิตย์เข้ามาแทนที่


“หึ น่าสนใจ”


ขณะเดียวกัน หลิวเสี่ยนผู้ที่เฝ้าดูมาตั้งแต่ต้นก็ยิ้มออกมาและพยักหน้า


“น่าสนใจ? ข้าว่าเขาก็แค่พูดจาเล่นลิ้นเท่านั้นละ” ฟางเฮ่อคิดอีกอย่าง


หลิวเสี่ยนกล่าว “ต่อให้เป็นคำพูดล่อลวง แต่ก็ไม่ได้เปนการโอ้อวดฝีปากเพียงอย่างเดียว การที่สามารถโต้เถียงภายใต้การไถ่ถามของกระบี่แห่งสัจจะก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ที่ก้นบึ้งจิตใจของเขา เขาเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมาจริงๆ แม้ต่อหน้าภูเขาซากศพและทะเลเลือด เขายังมีสติรู้แจ้งที่กระจ่างชัด”


ฟางเฮ่อส่ายศีรษะ “สติรู้แจ้งที่กระจ่างชัดยิ่งสะท้อนจิตใจที่บิดเบี้ยวของเขา”


หลิวเสี่ยนกล่าวต่อ “ศิษย์น้องใช้มาตรฐานคนทั่วไปตัดสินเขา แต่อย่าลืมว่าเด็กคนนี้เป็นถึงเจ้าสำนักด้วย ตามคำกล่าวที่ว่า คนจิตใจเมตตาควบคุมกองทัพไม่ได้ หากเขาไม่มีกรอบความคิดที่บิดเบี้ยวละก็ เขาจะควบคุมสำนักได้อย่างไร หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างว่า ผู้นำที่ประสบความสำเร็จคนใดในอาณาจักรเก้าแคว้นที่ไม่มีจิตที่หวาดระแวงและบิดเบี้ยวบ้าง”


ฟางเฮ่อทำเพียงส่ายศีรษะแต่ไม่คิดจะหักล้างคำพูดของหลิวเสี่ยน


หลิวเสี่ยนกล่าวต่อ “วางใจเถอะ ทำราวกับเจ้าไม่รู้ว่าพลังของกระบี่แห่งสัจจะนั้นแข็งแกร่งกว่านี้มากนัก เจ้าเด็กหวังลู่นี่ทดได้แค่การทดสอบบทแรกเท่านั้นละ แต่ข้าแน่ใจว่าเขาไม่อาจผ่านบททดสอบบทต่อไปได้แน่”


คำพูดนี้สำคัญยิ่งยวด เพราะหากมีใครผ่านกระบี่แห่งสัจจะไปเพราะคุณธรรมในใจแล้วละก็ ก็จะไม่มีหลักฐานค้านความบริสุทธิ์นี้ นั่นเพราะหากมีใครสักคนฆ่าผู้บริสุทธิ์ ตราบที่คนๆ นั้นเชื่อว่าการฆ่านั้นถูกต้องเที่ยงธรรม คนๆ นั้นก็สามารถผ่านการทดสอบได้ ต่อให้คนผู้นั้นไม่อาจหาญขนาดหวังลู่ที่กล้าร้องตะโกนอยู่กลางภูเขาซากศพและทะเลเลือดก็ตาม


การมีสติรู้แจ้งที่กระจ่างชัดไม่ได้แปลว่าไร้ยางอาย นั่นเพราะกระบี่แห่งสัจจะไม่ได้ตรวจสอบจิตใจของคนผู้นั้น แต่เป็นจิตแห่งเต๋าต่างหาก


สิ่งที่เรียกว่าจิตแห่งเต๋าคือการตระหนักรู้และความเข้าใจที่ผู้บำเพ็ญเซียนจะได้รับระหว่างเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเซียน แม้ความจริงเส้นทางแห่งเซียนจะแบ่งได้มากมายนับไม่ถ้วน ทว่าแต่ละเส้นทางล้วนมีเป้าหมายและรากฐานของตัวเอง หากต้องการเดินไปบนเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง คนผู้นั้นย่อมต้องยอมรับกฎเกณฑ์ของเส้นทางนั้นๆ ให้ได้ ห้ามเอาความคิดของตนเป็นใหญ่เหนือกฎ ห้ามใช้มุมมองที่บิดเบี้ยวเพื่อเข้าถึงเส้นทางหลัก และห้ามทำตัวหน้าละอาย ยกเว้นพวกที่ฝึกวิชามาร หรือพวกที่พลังวิญญาณขั้นปฐมบรรลุไปถึงจุดที่บริสุทธิ์โดยไร้มลทินแม้สักนิด แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่างสิ้นเชิง


หวังลู่ไม่ได้ศึกษาวิชามาร หนำซ้ำพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาก็ห่างไกลจากขั้นบริสุทธิ์ไร้มลทินอยู่มากโข ดังนั้นหากกระบี่แห่งสัจจะสำแดงความสามารถที่แท้จริงของมัน หวังลู่ก็มิอาจต้านทานแรงกดดันที่ทรงพลังนั้นได้


ภายในโลกแห่งภาพลวงตาตรงหน้า ภูเขาซากศพและทะเลเลือดนั้นปลาสนาไปหมดแล้ว เหลือเพียงความดำมืดไม่สิ้นสุด


ผ่านไปพักใหญ่ ขณะที่หวังลู่ซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความดำมืดไม่สิ้นสุดกำลังจะสูญเสียการรับรู้เรื่องเวลา น้ำเสียงเกรี้ยวกราดก็ดังสนั่นขึ้น “เจ้ามีความผิด!”


ตู้ม!


หวังลู่ตกใจจนเจียนเป็นบ้า! เมื่อคำพูดเหล่านั้นกระทบโสตประสาท บรรดาภาพนับไม่ถ้วนก็ถาโถมเข้ามาในจิตใจ เขาเห็นภาพผู้บำเพ็ญเซียนผู้ทุกข์ทรมานที่กำลังถูกเข่นฆ่าในสงครามขยายอำนาจของสำนักภูมิปัญญา ชาวบ้านธรรมดาที่ตายเพราะพยายามฝึกวิชาโลหิตเพลิงโหมนภา รวมถึงผู้ติดตามที่ทำงานหนักเพื่อสำนักภูมิปัญญาทั้งวันทั้งคืนและต้องมาตายทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาอันควร รวมถึงภาพเหล่าญาติที่ยืนร่ำไห้อยู่ข้างๆ โลงศพ


นี่คือเหตุและผลของมัน ไม่ว่าเขาจะอยากยอมรับหรือไม่ เลือดที่เปื้อนบนมือเขาก็ไม่อาจล้างให้สะอาดขึ้นได้ หวังลู่รู้ได้ทันทีว่าอุปสรรคครั้งนี้ฝ่าไปได้ยากเพียงใด เขาพลันปกป้องจิตใจให้แน่นหนาขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมรับแรงกดดันที่กำลังเข้ามา!


เขายังฝึกพลังวิญญาณขั้นปฐมมาไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงไม่อาจเผชิญหน้ากับกระบี่แห่งสัจจะโดยตรงได้ ตอนนี้เสาในเมืองใหม่ที่เหลืออยู่เก้าต้นก็ลอยคว้างไปในอากาศ ไม่เฉพาะเมืองใหม่เท่านั้น ภูเขาในรัศมีโดยรอบเองก็เช่นกัน! ภูเขาเขียวขจีสั่นไหวอยู่ตรงหน้าเสาที่เปล่งประกายเหล่านั้น จากนั้นพลังปราณฟ้าดินที่แล่นไปตามเส้นฮวงจุ้ยก็ถูกบีบอัดหนักขึ้น ภายใต้การทำงานของค่ายกลรวมวิญญาณในเมืองใหม่ พลังปราณฟ้าดินก็พุ่งเข้าสู่หวังลู่ราวกับน้ำในแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำเหลืองที่มุ่งตรงสู่ทะเล!


คลื่นพลังปราณในครั้งนี้รุนแรงกว่าคลื่นพลังปราณในคราวที่เขาตั้งแท่นบูชาปฐมกลียุคหลายเท่านัก! หากเขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดา ร่างของเขาคงระเบิดไปนานแล้ว ทว่าหวังลู่ผู้ที่ยังสามารถยืนอยู่บนใจกลางแท่นบูชาได้นั้นมั่นคงราวหินผา เมื่อพลังปราณฟ้าดินทั้งหมดพุ่งเข้าสู่ร่างเขา เพียงชั่วพริบตา ที่ใต้ฐานวิหารของเขาก็ท่วมท้นไปด้วยสายฝนเชี่ยวกรากสีทองคำขาว! มันคือพลังปราณฟ้าดินที่ถูกคุณสมบัติแสนประหลาดของรากวิญญาณนภาเปลี่ยนรูปให้กลายเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ ซึ่งไม่มีเวลาให้ระเหยออกไปด้วยซ้ำ!


แน่นอนว่าตัวเอกของเรื่องก็คือของเหลวสีทองที่กระดูกกระบี่มากกว่าสองร้อยชิ้นกลั่นออกมา ในตอนแรกนั้น การหายใจเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าไปในร่างของหวังลู่นั้นให้ผลเพียงของเหลวสีทองไม่กี่หยด ทว่าตอนนี้ราวกับว่าประตูระบายน้ำกว่าสองร้อยแห่งเปิดออก ทำให้ของเหลวสีทองที่ใต้ฐานกลายเป็นทะเลสีทองไป


ในขณะเดียวกัน พลังวิญญาณขั้นปฐมที่อยู่ใต้ฐานซึ่งถูกความมืดมิดห่อหุ้มอยู่ก็ค่อยๆ หมุนวนรุนแรงขึ้นราวกับกระแสน้ำวนในมหาสมุทร อึดใจถัดมา พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาก็เรืองแสงขึ้น แล้วความมืดมิดค่อยๆ สลายไป!


“ดี!”


ครั้งนี้หลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อต่างเอ่ยปากชมพร้อมกัน!


หากไม่ใช่เพราะหวังลู่ดูดซับเอาพลังปราณฟ้าดินจำนวนมหาศาลจากค่ายกล ทั้งยังกินยาอายุวัฒนะเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กระดูกกระบี่ และสุดท้ายก็ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ทำให้พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาย่อมไม่มีทางสำแดงฝีมือได้ถึงขนาดนี้แน่นอน!


สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว พลังอิทธิฤทธิ์และพลังวิญญาณขั้นปฐมเป็นเอกเทศต่อกัน พลังวิญญาณขั้นปฐมผลักดันพลังอิทธิฤทธิ์ ส่วนพลังอิทธิฤทธิ์หล่อเลี้ยงพลังวิญญาณขั้นปฐม ทว่าทั้งสองสิ่งไม่อาจถูกปรับเปลี่ยนอย่างเสรี นอกจากว่า…


นอกจากว่าหวังลู่จะใช้จิตเซียนขั้นสูง จิตเซียนขั้นสูงคือการเปลี่ยนรูปของจิต! ปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่เช่นหลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อย่อมใช้วิชานี้ได้ แต่หวังลู่เพิ่มฝึกบำเพ็ญเซียนมาเพียงสามปี ตบะของเขายังอยู่ในขั้นฝึกปราณระดับหก ทว่าเขากลับสามารถใช้วิชาจิตเซียนเปลี่ยนรูปได้… นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ!


“วิชาจิตไร้ลักษณ์ฉบับปรับปรุงล่าสุดของศิษย์น้องห้านี่ก้าวหน้าถึงเพียงนี้เลยหรือนี่” อึดใจถัดไป หลิวเสี่ยนก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ทว่าจุดใหญ่ก็ยังเป็นความสามารถของเด็กหวังลู่นี่ ในเมื่อเขาสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ เช่นนั้นกระบี่แห่งสัจจะ…”


ฟางเฮ่อพ่นลมออกจมูก “ก็ยังไม่ถูกสกัด ขั้นตบะของเด็กนี่ยังตื้นเขินนัก”


หลิวเสี่ยนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่มีโอกาสเลย… อย่างน้อย ยังมีความเป็นไปได้หนึ่งในหมื่นส่วน”


“นอกจากว่าเขาจะยอมทุ่มหมดตัว ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้หนึ่งในหมื่นส่วนก็เป็นไปไม่ได้ ทว่าหากเขาไม่ใช่คนโง่เง่า เขาย่อมรู้ว่าไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อกระบี่แห่งสัจจะขนาดนั้น ในเมื่อเขาผ่านขั้นแรกมาได้ ใครกันจะกล้าใจร้ายกับเขา เขาย่อมรู้แก่ใจว่าเราไม่ตะแบงให้เขาทดสอบจนจบหรอก”


หลิวเสี่ยนยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ศิษย์น้อง เจ้าเห็นความสามารถเขาเลยใจอ่อนงั้นหรือ”


ฟางเฮ่อผินหน้ากลับมา “ความสามารถที่บิดเบี้ยวเช่นนั้นน่ะหรือ ลืมมันไปเถอะ เว้นแต่เขาจะเป็นได้อย่างหลิวหลีน้อย แบบนั้นข้าถึงจะพอใจ”


รอยยิ้มของหลิวเสี่ยนพลันขมขื่นลง “หากหลิวหลีน้อยได้ความหลักแหลมของหวังลู่ไปเพียงนิด ข้าจึงจะพอใจ”


สองผู้อาวุโสเอาแต่พูดจาโต้ตอบกัน คนทั้งคู่จึงไม่คาดหวังผลของการทดสอบอีก ทว่าในขณะเดียวกัน เมื่อเผชิญกับการตรวจสอบอย่างดุเดือดของกระบี่แห่งสัจจะ พลังวิญญาณขั้นปฐมของหวังลู่ยังคงดิ้นรนอยู่ในความมืดมนอนธการ โดยไม่ถอยหลังกลับแม้เพียงครึ่งก้าว!


หลิวเสี่ยนประหลาดใจยิ่ง “ไม่กลัวตายเลยหรือนี่!”


ฟางเฮ่อขมวดคิ้ว “เจ้านี่คิดอะไรอยู่!?”


ทว่าไม่ว่าเด็กหนุ่มจะคิดอะไรอยู่ ในยามนี้แน่นอนว่าหวังลู่ย่อมเลือกดับเครื่องชน!


กระบี่แห่งสัจจะไม่ได้มีขึ้นเพื่อสร้างความบาดเจ็บ ต่อให้มันแทงทะลุหัวใจของอีกฝ่าย ผลก็คือความพ่ายแพ้และไม่ได้ทิ้งบาดแผลใดๆ ไว้ กระบี่นี้ไม่มีอันตราย ทว่าหวังลู่ใช้จิตเซียนไร้ลักษณ์หนักเกินไป ซึ่งอาจทำให้ร่างกาย ฐานวิหารและพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาเป็นอันตรายถึงตาย!


ต่อให้ทุ่มเทถึงเพียงนี้ แต่โอกาสที่เขาจะต้านทานกระบี่แห่งสัจจะได้มากสุดก็เพียงหนึ่งในหมื่นส่วนเท่านั้น!


ไม่ว่าจะหลิวเสี่ยนหรือฟางเฮ่อ ทั้งคู่ต่างไม่ได้คาดคิดว่าหวังลู่จะเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอถึงเพียงนี้ เพียงเพื่อจะพิสูจน์ว่าตนเองบริสุทธิ์ เขาถึงกับละเลยชีวิตตัวเองเชียวหรือ!?


ในตอนนั้นเอง หลิวเสี่ยนไม่ได้นึกถึงสิ่งอื่นใด เขาเพียงสูดลมหายใจเข้าเพื่อเรียกพลังวิญญาณขั้นปฐมคืนมา ฉับพลันความมืดที่ห่อหุ้มพลังวิญญาณขั้นปฐมของหวังลู่ไว้ก็สลายไป การตรวจสอบครึ่งท้ายของกระบี่แห่งสัจจะถูกหลิวเสี่ยนเรียกกลับคืน!


เมื่อรู้สึกว่าแรงกดดันรอบตัวหายไป หวังลู่ก็อดประหลาดใจไม่ได้ เขารีบแผ่พลังอิทธิฤทธิ์และพลังปราณฟ้าดิน และหยุดวิชาจิตเซียนไร้ลักษณ์ ทว่าร่างกายและจิตใจของเด็กหนุ่มบาดเจ็บหนัก เขาเหน็ดเหนื่อยจนแทบขาดใจ


หวังลู่แทบจะประคองตัวให้ยืนตรงๆ อยู่บนแท่นบูชาไม่ได้ด้วยซ้ำ เขากำลังจะทรุดตัวลง ทว่าใบหน้ายังอาบด้วยรอยยิ้มสุขุมมั่นใจ


“ท่านลุง ศิษย์…มีสติรู้แจ้งกระจ่างชัด!”


……………………………………………….


ตอนที่ 40 เที่ยงตรงและเปิดเผย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสหลิวเสี่ยนและผู้อาวุโสฟางเฮ่อใช้เวลาพูดจากันโต้ตอบกันอยู่ครึ่งวัน


แม้หลิวเสี่ยนจะถอนกระบี่แห่งสัจจะออกเพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมา ทว่าหวังลู่ก็ใช้วิชาจิตเซียนไร้ลักษณ์และพลังวิญญาณขั้นปฐมมากเกินไปจนทำให้บาดเจ็บไม่เบา


แน่นอนว่าผู้อาวุโสทั้งสองไม่นิ่งดูดาย ทั้งคู่จัดการรักษาอาการบาดเจ็บของหวังลู่อย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณขั้นปฐมที่ทำงานหนักเกินไปของเขาต้องใช้เวลาพักฟื้นสักพัก ครึ่งวันผ่านไป แม้ร่างกายของหวังลู่จะยังอ่อนแออยู่ แต่เขาก็ฟื้นคืนสติขึ้นมา เมื่อเห็นหลิวเสี่ยนกับฟางเฮ่อตรงหน้า หวังลู่ก็ยิ้มนิดๆ


“ท่านลุง ศิษย์มีสติรู้แจ้งกระจ่างชัดจริงๆ”


หลิวเสี่ยนเหน็บ “ข้ารู้แล้วว่าสติรู้แจ้งของเจ้ากระจ่างชัด ดูจากการที่เจ้าผ่านการทดสอบก็ได้”


ความจริง ถ้าพูดอย่างเคร่งครัดแล้ว หวังลู่ไม่ถือว่าผ่านการไต่ถามของกระบี่แห่งสัจจะเพราะเขาไม่ผ่านการทดสอบสุดท้าย แต่เป็นหลิวเสี่ยนเองที่ตัดสินใจถอนกระบี่สุดท้ายที่รุนแรงที่สุดออก ไม่เปิดโอกาสให้หวังลู่พ่ายแพ้… ทว่าอีกด้านหนึ่ง ในเมื่อหลิวเสี่ยนเป็นคนยกเลิกการทดสอบเอง ดังนั้นจะพูดว่าหวังลู่ไม่ผ่านการทดสอบก็ไม่ได้ เช่นนั้นแล้วผู้อาวุโสทั้งสองจึงถือว่าเด็กหนุ่มผ่านการทดสอบ


“ขอบคุณท่านลุง” หวังลู่ก้มศีรษะเพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นก็เอ่ยปากถาม “ศิษย์ขอถามว่าการฝึกบำเพ็ญเซียนของศิษย์นั้นคุ้มค่ากับที่ท่านลุงลำบากลำบนจัดแผนการเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ขึ้นมาหรือไม่”


เมื่อได้ยินคำถามที่แสดงความมั่นอกมั่นใจเช่นนั้น หลิวเสี่ยนกลับไม่รู้สึกรำคาญทั้งยังตอบอย่างเป็นกลาง “เทียบกับศิษย์ที่เข้าสำนักมาพร้อมๆ กับเจ้า ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้ารวมถึงความแข็งแกร่ง เจ้านำหน้าไปหลายขุมนัก”


เมื่อได้ยินดังนั้น หวังลู่ก็จับใจความสำคัญของประโยคได้ทันที ศิษย์ที่เข้าสำนักมาพร้อมกับเขาเช่นนั้นหรือ


ในฐานะศิษย์ผู้สืบทอดที่มีเพียงน้อยนิดของสำนักกระบี่วิญญาณ เป้าหมายของหวังลู่ย่อมไม่ใช่การเอาชนะจูฉิน เหวินเป่า หรือศิษย์สำนักในคนอื่นๆ แม้เขาจะถูกรากวิญญาณนภาเฮงซวยรั้งไว้จนทำให้การบำเพ็ญเซียนของเขาล่าช้าไปถึงสองปีก็ตาม


คู่แข่งจริงๆ ของเขาคือศิษย์ผู้สืบทอดคนอื่นๆ ต่างหาก ในการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ครั้งนี้ มีศิษย์ผู้สืบทอดเข้าร่วมสามคน ดังนั้นคู่ต่อสู้ตัวจริงของหวังลู่ก็คือศิษย์ผู้สืบทอดสองคนที่เหลือ ทว่าทั้งสองคนเข้าสำนักมาก่อนเขา จึงไม่ถือว่าอยู่ในกลุ่มเดียวกัน


ดังนั้นความหมายโดยนัยของหลิวเสี่ยนจึงชัดเจน เมื่อเทียบกับศิษย์ผู้สืบทอดอีกสองคน เขานั้นไม่ก้าวหน้าแม้แต่น้อย


หวังลู่ประหลาดใจไม่น้อย ที่จริงในแปดเดือนนี้ เขามัวแต่บริหารสำนัก จึงไม่อาจทุ่มเทเวลาและพลังงานให้กับการบำเพ็ญเซียนมากนัก ทว่าประสบการณ์ในฐานะเจ้าสำนักก็ช่วยให้เขาได้เรียนรู้กรอบความคิดล้ำค่าซึ่งศิษย์คนอื่นๆ ไม่มีโอกาสได้รับ และมันก็เป็นประโยชน์ต่อพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขามหาศาล ตลอดแปดเดือนมานี้ การบำเพ็ญเซียนของเขาก้าวหน้าไปเพียงหนึ่งระดับ ซึ่งไม่ถือว่าโดดเด่น ทว่าประโยชน์สูงสุดที่เขาได้รับคือพลังวิญญาณขั้นปฐมที่หนาแน่นขึ้น! นอกจากนี้ในการขยายอำนาจของสำนัก สำนักภูมิปัญญาต้องสู้รบหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของหวังลู่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แม้วิชาไร้ลักษณ์ของเขาจะไม่โดดเด่นด้านการจู่โจม แต่เขาก็สามารถดึงพลังจากค่ายกลเพื่อเสริมความแข็งแกร่งได้ เมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งลงเขามา หวังลู่แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่านัก!


ทว่าก้าวหน้าถึงขนาดนี้ก็ยังไม่อาจเอาชนะศิษย์ผู้สืบทอดอีกสองคนได้หรือ


การต่อสู้ในเรื่องนี้ดุเดือดกว่าที่คิด… โชคดีที่สำนักของเขามีผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งล้านคน เมื่อบวกสิ่งนี้เข้าไปแล้ว เขาก็ประเมินเอาเองว่าไม่น่าจะมีศิษย์คนใดจะโดดเด่นไปกว่าเขาแน่ๆ


“หวังลู่ เจ้าอย่าเพิ่งกระหยิ่มใจไปหน่อยเลย” หลิวเสี่ยนถอนหายใจ “แม้เจ้าจะผ่านการทดสอบของข้าได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดสำคัญ”


แน่นอนหวังลู่รู้ดี ว่าสุดท้ายแล้วอาวุโสฟางเฮ่อต่างหากที่เป็นคนตัดสินชะตาชีวิตเขา


ดังนั้นหวังลู่จึงมองฟางเฮ่ออย่างกระตือรือร้น รอคอยให้อีกฝ่ายเปิดปากพูด


ผู้อาวุโสผู้เที่ยงตรงและเปิดเผยมองหวังลู่ที่ยังมีสีหน้าซีดเผือดแล้วก็อดส่ายศีรษะพลางถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร เรื่องสำนักภูมิปัญญาของเจ้านั้น จูฉินเองก็เขียนเอาไว้ในรายงาน เหวินเป่าก็เปิดปากสารภาพ หนำซ้ำศิษย์พี่หลิวเสี่ยนกับข้าก็ประจักษ์แก่สายตาตัวเอง! สำนักของเจ้ามีคุณธรรม จะเรียกว่าเป็นลัทธิก็ดูจะอคติไปหน่อย”


หวังลู่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย


“ทว่าก็พูดไม่ได้ว่าซื่อตรง หากพูดกันอย่างเคร่งครัดแล้ว สำนักภูมิปัญญาของเจ้ายังจัดอยู่ในหมวดลัทธิอยู่ดี”


หวังลู่เถียงกลับทันที “แต่เราได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากประเทศต้าหมิงแล้ว”


ฟางเฮ่อถลึงตาใส่หวังลู่ “ก่อนหน้านี้ สำนักพันวิญญาณก็ได้รับการรับรองจากประเทศจันทราขาว แล้วมันไม่ใช่ลัทธิหรอกหรือ การรับรองจากมนุษย์โลกเช่นนั้น… เจ้ากล้าถือเป็นจริงเป็นจังได้อย่างไร!”


“สำนักภูมิปัญญาของข้าสร้างจากสามัญชนทำงานเพื่อสามัญชน ดังนั้นเสียงจากสามัญชนจึงสำคัญที่สุดสำหรับเรา ดั่งคำกล่าวที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นถ้วยเงินหรือถ้วยทอง ก็ไม่อาจเทียบเท่าชื่อเสียงในสังคมได้”


“เจ้านี่ช่างมั่วซั่วนัก! ยิ่งเจ้าขยับขยายสำนักในโลกมนุษย์ได้รวดเร็วเท่าไร เจ้าก็ยิ่งถอนตัวเองจากมันได้ยากเท่านั้น! เพราะเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่ผู้บำเพ็ญเซียนมี มันยิ่งง่ายต่อการที่พวกเขาจะเล่นสนุกกับมนุษย์โลก ไม่ต้องพูดถึงเจ้าที่มีผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งล้านคน ในอดีตตอนที่มีสำนักมารออกอาละวาด คำสั่งเดียวจากเจ้าสำนักมารก็สามารถควบคุมให้คนธรรมดานับร้อยล้านคนยอมเสี่ยงชีวิตของตนแล้ว! อย่าบอกข้าเชียวว่านั่นไม่ใช่สำนักมารแต่เป็นสำนักที่เที่ยงธรรม!? ขนาดของสำนักเจ้าน่ะไม่มีค่าควรเอ่ยถึงแม้แต่น้อยหากเทียบกับสำนักมารที่ว่านั่น! คำกล่าวที่ว่าเส้นทางแห่งเซียนแตกต่างจากเส้นทางของมนุษย์โลกมันก็หมายถึงว่าผู้บำเพ็ญเซียนควรขีดเส้นแบ่งตนและมนุษย์โลกออกจากกัน! สำนักเซียนไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับโลกมนุษย์ให้มากจนเกินไป และยิ่งไม่ควรชักจูงปุถุชนธรรมดาให้มาเป็นผู้ติดตาม ผู้ติดตามนับล้านของเจ้าถือเป็นจุดอ่อนของเจ้าโดยแท้!”


ฟางเฮ่อเปลี่ยนท่าทีกลับมาเป็นผู้อาวุโสที่เที่ยงตรงและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอีกครั้ง จากนั้นก็แนะนำอย่างจริงจัง “ข้ารู้ว่าเจ้ามีเหตุผลและข้อแก้ตัวมากมายที่จะยกขึ้นมาพูด ทว่าไม่ว่าจะเป็นวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาหรือผู้ติดตามนับล้าน เจ้าก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงประเด็นพวกนี้ไปได้ มันกลายเป็นจุดด่างพร้อยที่ไม่อาจลบล้างได้ไปแล้ว! ความจริงแล้วสำนักกระบี่วิญญาณไม่ได้ห้ามศิษย์ก่อตั้งสำนัก ทว่าเมื่อดูจากคุณสมบัติของเจ้าและการตีความในประเด็นนี้ มีข้อแคลงใจที่ว่าเจ้าได้ละเมิดกฎในการตั้งสำนัก และทั้งนี้ทั้งนั้นสำนักที่ตั้งขึ้นโดยไม่สอดคล้องกับกฎจะถูกมองว่าเป็นลัทธิและถูกสั่งห้าม”


หวังลู่ยิ้มแล้วถามขึ้น “ไม่สอดคล้องกับกฎข้อใด”


“กฎของสำนักกระบี่วิญญาณ รวมถึงกฎของพันธมิตรหมื่นเซียน”


หวังลู่นิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น “หากท่านลุงต้องการปกปิดเรื่องนี้ให้ข้า เช่นนั้นพันธมิตรหมื่นเซียนก็ไม่สมควรรู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่ หนำซ้ำแคว้นธาราครามยังเป็นอาณาเขตของสำนักกระบี่วิญญาณของเรา แม้จะมีการละเมิดกฎขึ้นที่นี่ ก็น่าจะปล่อยผ่านได้สบาย ถ้าให้พูดอย่างเข้มงวดที่สุด ในอาณาเขตของสำนักเซิ่งจิงมีการฝ่าฝืนกฎตั้งมากมาย แต่ก็ไม่เห็นมีใครคิดเอาผิดเลย”


ฟางเฮ่อเลิกคิ้ว “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร! ข้าเพิ่งบอกเหตุผลเจ้าไป นี่เจ้าเข้าใจบ้างไหมเนี่ย!?”


หวังลู่เอ่ยปากถามอีกครั้ง “ไม่มีทางเลี่ยงจริงๆ หรือ ท่านลุง ท่านเองก็ได้เห็นแล้ว ไม่ว่าจะมองในมุมไหน การพัฒนาของสำนักภูมิปัญญานั้นชักนำสิ่งดีเข้ามามากกว่าสิ่งเลว เหตุใดจึงต้องยกกฎที่ไม่ยืดหยุ่นเหล่านั้นมาห้ามปราบกันเล่า”


ฟางเฮ่อส่ายศีรษะ “กฎก็คือกฎ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากข้าไม่รู้เรื่องนี้ เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด แต่ในเมื่อตอนนี้ข้ารู้เรื่องแล้ว ข้าก็ไม่อาจละเลยได้ ข้าเป็นผู้อาวุโสฝ่ายวินัยของสำนัก หากแม้ตัวข้าเองไม่ทำตามกฎ เช่นนั้นคำว่ากฎคงเหลือเพียงชื่อ และสำนักจะต้องหย่อนยานเป็นแน่”


เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวังลู่ก็นิ่งไปพักหนึ่ง “เช่นนั้น ท่านลุงหมายถึง…”


“ยุบสำนัก และกลับขึ้นเขาไปกับข้าเพื่อรับโทษ เมื่อพิจารณาจากที่เจ้าไม่ได้มีจุดประสงค์ชั่วร้าย ไม่ได้คิดหาผลประโยชน์ใส่ตัว หนำซ้ำการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ของเจ้าก็ถือว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี เช่นนั้นแล้วตามกฎ เจ้าเพียงต้องเก็บตัวบำเพ็ญเซียนในภูเขาสามปี”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิวเสี่ยนก็ถอนหายใจ ยุบสำนักและเก็บตัวบำเพ็ญเซียนสามปี การลงโทษนี้ไม่ถือว่าหนักไม่ถือว่าเบา และพูดได้ว่าไม่มีอคติ… แน่ละว่าหวังลู่เองคงรู้สึกยากที่จะยอมรับได้ โดยเฉพาะเรื่องการยุบสำนัก… ความจริงความรักที่ศิษย์น้องของเขามีให้หวังลู่ถือว่าแจ่มชัดเพราะฟางเฮ่อไม่ได้ไม่ยอมรับสำนักภูมิปัญญา ทว่าเมื่อมันเกี่ยวข้องกับกฎของสำนัก เขาจึงไม่อาจทำตัวคลุมเครือได้แม้แต่น้อย ที่ผ่านมานอกจากเจ้าสำนักจะบอกให้เขาตัดสินใจใหม่ การตัดสินของฟางเฮ่อนั้นถือว่าเลือดเย็นเป็นที่สุด


น่าเสียดายเป็นที่สุดที่ต้องยุบความพยายามตลอดแปดเดือนของหวังลู่ทิ้ง ทว่าเคราะห์ร้ายที่บนเส้นทางของการบำเพ็ญเซียนนั้นมีเรื่องให้น่าเสียดายมากมายนัก ดังนั้นสิ่งนี้จึงอาจถือว่าเป็นประสบกาณ์ที่หาได้ยากของหวังลู่ก็ย่อมได้


ทว่าทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากหวังลู่ “ก็ดี ในเมื่อท่านลุงไม่ได้มีอคติต่อสำนักของข้า แต่จัดการทุกสิ่งตามกฎ เช่นนั้นก็ถือว่าดี”


ฟางเฮ่อตื่นตระหนก “ดีอย่างไร”


หวังลู่ถามกลับ “ข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่ ท่านลุง แม้กฎของสำนักจะห้ามตั้งลัทธิ… ทว่านิยามของคำว่าลัทธิของสำนักช่างคลุมเครือนัก ทั้งยังไม่มีกฎอื่นที่สอดคล้องกันอีกด้วย ข้าพูดถูกไหม”


เรื่องความรอบรู้ในกฎของสำนัก แม้หวังลู่จะเป็นนักเรียนแถวหน้า แต่ย่อมไม่อาจแม่นยำกฎไปกว่าผู้อาวุโสฝ่ายวินัยได้ ฟางเฮ่อกล่าวเสียงต่ำ “มันก็จริง แต่ไม่ถือว่าเป็นช่องโหว่นิยามของคำว่าลัทธิที่สำนักยึดถือก็เหมือนนิยามของพันธมิตรหมื่นเซียน และนิยามคำว่าลัทธิของพันธมิตรหมื่นเซียนนั้นก็ระบุไว้ละเอียดลออ หากอิงตามนิยามที่ว่านั่น สำนักภูมิปัญญาของเจ้าเข้าข่ายต้องห้ามอยู่หลายข้อ!”


“พูดอีกอย่างก็คือ เพราะพันธมิตรหมื่นเซียนตัดสินว่าสำนักภูมิปัญญาคือลัทธิ เช่นนั้นสำนักกระบี่วิญญาณจึงระบุให้สำนักภูมิปัญญาเป็นลัทธิหรือ”


ฟางเฮ่อขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าหวังลู่จะยกตรรกะนี้ขึ้นมาทำไม ทว่าก็ผงกศีรษะ “เป็นเช่นนั้น”


ทันทีที่เขากล่าวคำนั้นออกมา ใบหน้าของหวังลู่ก็ปรากฏรอยยิ้มร่าเริงจริงใจ “เช่นนั้นข้าก็เบาใจ ข้ารอให้ท่านยืนยันเช่นนี้ออกมา”


พูดจบรอยยิ้มของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมั่นอกมั่นใจ เด็กหนุ่มยกนิ้วชี้ขึ้นแตะหน้าผาก จากนั้นก็กล่าวอย่างนุ่มนวล “อู้เฟยฮวา นี่ข้าเอง”


ขณะเดียวกัน น้ำเสียงเย้ายวนของหญิงสาวก็ดังก้องขึ้นในพลังวิญญาณขั้นปฐมของหวังลู่ “เจ้าสำนัก ไม่สิ ท่านผู้จัดการ”


ฟางเฮ่อตกใจ “ญาณทิพย์หยก?”


การสนทนากันด้วยพลังวิญญาณขั้นปฐมของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นตบะต่ำไม่อาจรอดพ้นการรับรู้ของผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่ไปได้ ดังนั้นฟางเฮ่อและหลิวเสี่ยนจึงได้ยินการพูดคุยของหวังลู่และอู้เฟยฮวาทั้งหมด ทั้งยังได้เห็นใบหน้าทรงเสน่ห์ของอู้เฟยฮวาที่อยู่ไกลลิบด้วยซ้ำ


หวังลู่ถาม “เรียบร้อยหรือยัง”


อู้เฟยฮวากล่าวตอบ “ท่านผู้จัดการตั้งใจมอบหมายงานนี้ให้ข้า บอกให้ทำสำเร็จในสามวัน ดังนั้นข้าจึงทำอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้งานล้มเหลว”


“ให้ข้าดูที”


“ย่อมได้ แต่ท่านผู้จัดการจะตบรางวัลอะไรให้ข้าน้า”


“ข้าจะให้เจ้าเป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ ให้เลขาส่วนตัวอีกสองคน แต่ละคนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานหน้าตาหล่อเหลา เหมาะควรกับการบำเพ็ญเซียนเตาหลอมสามประสานเป็นที่สุด พวกเขาจะชื่นชมเจ้าทั้งยามกลางวันยามกลางคืน เจ้าว่าเป็นไง”


“โอ้ววว ขอบคุณในความกรุณาของท่านมากท่านผู้จัดการ หากท่านผู้จัดการอยากชื่นชมข้าเป็นการส่วนตัว ก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ บอกได้เลยว่าข้าจะดูแลท่านอย่างถึงใจจนท่านรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยทีเดียว”


“ฮ่ะๆ หากเจ้ายังมัวพูดจาไร้สาระอยู่ ข้าจะยกเลิกเรื่องที่เพิ่งพูดไปทั้งหมด”


อู้เฟยฮวาหุบยิ้มและรีบจัดแจงสิ่งที่หวังลู่ต้องการในทันที ภาพของสิ่งๆ นั้นถูกส่งผ่านมาทางญาณทิพย์หยก


เมื่อเห็นสิ่งนั้น หวังลู่เพียงแค่ยกยิ้มเล็กน้อย ทว่าหางเฮ่อและหลิวเสี่ยนกลับเบิกตากว้างตะโกนออกมาพร้อมกัน “เป็นไปไม่ได้!”


สิ่งที่สามารถทำให้ผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่ที่มากทั้งความรู้และประสบการณ์ควบคุมตัวเองไม่อยู่ไปครู่หนึ่งนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่ธรรมดา


ภาพที่ปรากฏผ่านญาณทิพย์หยกคือตราประทับทองคำซึ่งนอนนิ่งอยู่บนฝ่ามือ ความมันวาวราวกับสายน้ำเคลือบอาบอยู่บนผิวหน้าของตราประทับนั่น… แม้ภาพเพียงอย่างเดียวไม่อาจแสดงให้เห็นรอยคลื่นซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของตราประทับได้ ทว่าตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนนั้นแจ่มชัดนัก!


สำนักภูมิปัญญา


สมาชิกแห่งพันธมิตรหมื่นเซียน!


………………………………………………


ตอนที่ 41 วิธีเป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียน (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตราประทับทองคำนี้ทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองตกตะลึงอย่างหนัก


“ปะ เป็นไปได้อย่างไร” ดวงตาของฟางเฮ่อเบิกกว้าง ตรวจสอบภาพตราประทับที่เห็นตรงหน้านับครั้งไม่ถ้วน แต่ผลสรุปก็มีเพียงประการเดียว ตัวอักษรบนตราดังกล่าวไม่ใช่ของปลอม และความหมายของสิ่งนี้ก็เรียบง่ายและชัดเจน


สำนักภูมิปัญญาของหวังลู่ผ่านการรับรองคุณสมบัติและได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียนอย่างเป็นทางการ!


เป็นไปได้อย่างไร ไม่สิ ประโยชน์ดังกล่าวไม่อาจถ่ายทอดความตกตะลึงในจิตใจของหลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อได้อย่างสมบูรณ์ ประโยคที่แท้จริงควรจะเป็น…


ระยำเอ๊ย แม่งเป็นไปได้ยังไงวะเนี่ย!?


แม้แต่ตอนที่พวกเขาตกตะลึงที่ได้ยินว่าปรมาจารย์เจ้าสำนักเฟิงอิ๋นมีบุตรสาวอายุสิบหกปี ผู้อาวุโสทั้งสองยังไม่มึนงงถึงเพียงนี้ ฟางเฮ่อมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าใบหน้าของหวังลู่ฉายแววน่าสงสัยตอนที่อีกฝ่ายเผยตราประทับให้เห็น เขารู้สึกเพียงว่าความสับสนในหัวใจของตนเป็นเหมือนรอยแยกบนพื้นดินที่จะนำไปสู่หุบเหวลึก รอยแยกนั้นรังแต่จะถ่างออกจากกัน ไม่มีวันกลับมาประสานกันได้อีก


เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร!!??


ในหัวของฟางเฮ่อมีถ้อยคำอยู่นับไม่ถ้วน แต่ถ้อยคำเหล่านั้นกลับติดขัดอยู่ในลำคอ! คนสติดีไม่ว่าหน้าไหนย่อมมองว่าสำนักภูมิปัญญาคือลัทธิชั่วร้ายแน่แท้อย่างไม่ต้องสงสัย มีเพียงเจ้าเด็กหวังลู่ ศิษย์หน้าไม่อายจากยอดเขาไร้ลักษณ์เท่านั้นที่ปฏิเสธเสียงแข็ง ตลอดสามวันที่ผ่านมา ฟางเฮ่อและหลิวเสี่ยนต่างประจักษ์กับตาว่ามีการใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา ทั้งยังยืนยันได้อีกว่าสำนักนี้มีผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งล้านคน ซึ่งเข้าค่ายลักษณะของลัทธิทั้งสิ้น


เหตุใดผู้อาวุโสทั้งสองจึงโมโหโกรธาอย่างหนักในตอนแรกน่ะหรือ นั่นเพราะการก่อตั้งลัทธิย่อมส่งผลลบใหญ่หลวงไม่ว่าจะต่อสำนักกระบี่วิญญาณหรือตัวหวังลู่เองก็ตาม โดยเฉพาะกับหวังลู่ หากข่าวที่ว่าเด็กคนนี้เป็นเจ้าลัทธิแพร่กระจายออกไป หวังลู่ย่อมถูกทุกคนประณาม และไม่อาจจะใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรเก้าแคว้นได้แน่! ปัญหาก็คือนิยามของคำว่าลัทธิ ตามข้อกำหนดภายในของพันธมิตรหมื่นเซียน ลัทธินั้นเป็นรองเพียงลัทธิมารเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้! แล้วนี่เจ้าบอกว่าได้รับการรับรองจากประเทศต้าหมิง ปัญหาจะยิ่งใหญ่โตเข้าไปใหญ่ ทั้งประเทศต้าหมิงอาจล่มสลายได้ภายในไม่ถึงข้ามคืน! การใช้การรับรองจากประเทศต้าหมิงมาปกปิดความจริงที่ว่าที่นี่เป็นลัทธิก็เหมือนเอาใบไม้แห้งมารองรับระดูของหญิงสาว การประเมินความสามารถของอีกฝ่ายสูงเกินไปอย่างน้อยก็ควรมีขีดจำกัดบ้าง! ส่วนเรื่องโลกเคลื่อนคล้อยสู่สวรรค์หรือเสรีภาพในกำลังการผลิตนั้น… เชิญไปอธิบายต่อหน้ากระดูกของตัวเองตอนที่เกิดใหม่เถอะ!


ดังนั้น แม้หวังลู่จะฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็วจากการตรวจสอบของกระบี่แห่งสัจจะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่งในฐานะศิษย์ผู้สืบทอด ฟางเฮ่อก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อต่อเขาอยู่ดี ครั้งนี้หากเขายอมผ่อนผันก็อาจทำลายอนาคตของเด็กคนนี้ก็ได้!


ทว่าตอนนี้ ตราประทับวับวาวกลายเป็นเรื่องตลกขนาดใหญ่ที่ทำลายความโกรธและข้อสงสัยของผู้อาวุโสทั้งสองลง


สำนักภูมิปัญญาเป็นลัทธิ? น่าขำอะไรเช่นนั้น! ตรารับรองของพันธมิตรหมื่นเซียนก็อยู่ตรงนี้แล้วอย่างไรเล่า ใครหน้าไหนกล้าพูดว่ามันเป็นลัทธิอีก!? หากการรับรองอย่างเป็นทางการของประเทศต้าหมิงยังไม่พอ เช่นนั้นการรับรองของพันธมิตรหมื่นเซียนนั้นก็ยิ่งกว่าพอเสียอีก! มีองค์กรใดที่มีอำนาจยิ่งกว่าพันธมิตรหมื่นเซียนอีกหรือ แน่ละว่าไม่!


ทว่ากลับกัน ฟางเฮ่อและหลิวเสี่ยนก็ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นตลอดสามวันเป็นภาพลวงตา คุณลักษณะของลัทธิที่เด่นชัดในสำนักภูมิปัญญานั้นไม่ใช่ของปลอมแน่!


แล้ว… แม่งเป็นไปได้ยังไงกัน!?


ผ่านไปพักใหญ่ ผู้อาวุโสทั้งสองก็ยังขบคิดความจริงไม่ออก หวังลู่เองก็ไม่ได้เอ่ยปากอธิบาย เขาเพียงยิ้มอย่างมีเลศนัยปล่อยให้สองผู้อาวุโสพากันงงงวยหนักขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วหลิวเสี่ยนก็ถอนหายใจและเอ่ยปากออกมาก่อน “เจ้าทำได้อย่างไร”


หวังลู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ความจริงแล้วเรื่องนี้ง่ายมาก ข้าก็แค่ติดสินบนผู้อาวุโสที่มีหน้าที่ลงทะเบียนสำนักในพันธมิตรหมื่นเซียนไปก้อนเบ้อเริ่มก็เท่านั้น”


แค่ก!


ผู้อาวุโสทั้งสองตัวแข็งทื่อ พวกเขายืนนิ่งไม่ไหวติงแม้กล้ามเนื้อสักมัด ทว่าเสียงของพลังวิญญาณขั้นปฐมที่กระอักเลือดออกมากลับได้ยินชัดเจน!


หวังลู่อ้าแขนทั้งสองออกพลางหัวเราะ “ข้าถึงได้บอกว่าคนมากมายไม่เข้าใจแก่นแท้ของพันธมิตรหมื่นเซียน พวกเขาไม่เชิงเป็นองค์กรแห่งเซียนที่ดูแลความเรียบร้อยในอาณาจักรเก้าแคว้น… แต่ถ้าจะกล่าวให้ถูกพวกเขาเป็นองค์กรราชการหัวกะทิระดับสูง ในเมื่อเป็นองค์กรราชการ ก็ย่อมมีข้อบกพร่องที่องค์กรราชการใดๆ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือการทุจริต แน่ล่ะว่าในฐานะผู้ได้รับผลประโยชน์ ข้าย่อมต้องชมเชยว่า การทุจริตนี่มันเยี่ยมจริงๆ!”


“…” ผู้อาวุโสพยายามอย่างหนักที่จะไม่อ้าปากค้าง


“ส่วนขั้นตอนลงลึกนั้นเป็นอย่างไร ก็ง่ายมาก สองล้านศิลาวิญญาณต่อหนึ่งตราประทับสำหรับสมาชิกพื้นฐาน ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสำนัก นี่เป็นการเจรจาทางธุรกิจครั้งใหญ่ที่สุดที่สำนักภูมิปัญญาเคยมีมา และข้าว่าเราได้กำไรจากเรื่องนี้”


สองล้านศิลาวิญญาณ!


หลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร


สำหรับสำนักใหญ่ๆ แล้ว เงินสองล้านศิลาวิญญาณเป็นเหมือนหยดน้ำในถัง ทว่าสำหรับผู้บำเพ็ญเซียนแต่ละคน เงินจำนี้นี้นับว่ามากมายมหาศาล! อาวุโสห้าแห่งสำนักกระบี่วิญญาณได้เบี้ยเลี้ยงแค่เดือนละไม่กี่ร้อยศิลาวิญญาณ ดังนั้นรายได้ต่อปีของนางจึงไม่ถึงหมื่นศิลาวิญญาณ แน่ละว่าเป็นเพราะนางไม่ค่อยได้ทำประโยชน์ให้สำนัก ส่วนใหญ่จะหนักไปทางสร้างปัญหามากกว่า ดังนั้นเงินเบี้ยเลี้ยงของนางจึงน้อยกว่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ อยู่โข ตัวอย่างเช่น หลิวเสี่ยนผู้ที่ลงแรงให้สำนักไม่น้อย เขาได้เงินรายปีอยู่ที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ ส่วนคนที่มีรายได้มากที่สุดก็คืออาวุโสหกลู่หลี ที่รู้กันว่าได้เงินต่อปีมากถึงสิบล้านศิลาวิญญาณ…


ทว่านั่นคือค่าตัวผู้อาวุโสของหนึ่งในห้าวิเศษแห่งพันธมิตรหมื่นเซียน สำหรับผู้อาวุโสที่มีหน้าที่ลงทะเบียนสำนักในองค์กร สองล้านศิลาวิญญาณนั้นคุ้มค่าที่จะเสี่ยงชีวิต ต่อให้ผู้อาวุโสคนนั้นแบ่งเงินกับลูกน้องในหน่วยด้วยแล้ว ส่วนที่เหลือก็ยังถือว่ามากยิ่งกว่ามาก ดังนั้นเงินสินบนจำนวนมหาศาลเพื่อแลกกับตรารับรองสำนักก็ไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง โดยเฉพาะเมื่อสาขาของพันธมิตรหมื่นเซียนในแคว้นธาราครามเลื่องลือเรื่องทุจริตอยู่แล้ว ปกติแล้วสำนักกระบี่วิญญาณอยู่อย่างเงียบๆ และสันโดษไม่ได้มีกิจธุระกับองค์กรนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองที่ความประทับใจในพันธมิตรหมื่นเซียนหยุดอยู่เพียงที่สำนักงานใหญ่ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าไม่อาจโต้ตอบอะไรได้ ตอนนี้พวกเขาเข้าใจทุกอย่างกระจ่างแล้ว ตราประทับวาววับนี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้


ปัญหาเพียงข้อเดียวก็คือ…


แม้จะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว แต่สำนักเล็กๆ อย่างสำนักภูมิปัญญาจะสามารถรวบรวมเงินถึงสองล้านศิลาวิญญาณภายในเวลาแปดเดือนได้อย่างไร ทั้งที่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ก่อสร้างอาคารต่างๆ อย่างไม่หยุดไม่หย่อน เงินสองล้านศิลาวิญญาณนี้มาจากที่ใดกันแน่


หวังลู่มองเห็นคำถามในแววตาของผู้อาวุโสทั้งสอง เขาจึงอธิบายอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนว่ามาจากการขอเงินลงทุน”


“…เงินลงทุน?”


“ใช่ เป็นผลมาจากความสัมพันธ์อันแนบแน่นของสำนักและหอนภาเร้นลับ หากจะพูดเรื่องเงินทุนแล้ว ในอาณาจักรเก้าแคว้นนี้ องค์กรใดจะเหมาะสมไปกว่าหอนภาเร้นลับกันเล่า”


หลิวเสี่ยนฉงน “เหตุใดหอนภาเร้นลับจึงยอมให้เจ้าหยิบยืมเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้”


“เพราะความสามารถในการหาเงินของสำนักข้านั้นมากมายอย่างน่าทึ่ง แม้ช่วงแรกเราต้องลงทุนมหาศาล แถมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของสำนักก็แพงหูฉี่ ทำให้ผลกำไรที่ได้ไม่มากมายนัก แต่ดูจากรายได้ที่เข้ามา รายได้ต่อปีของสำนักภูมิปัญญานั้นสูงเกือบหนึ่งล้านศิลาวิญญาณ ซึ่งมากกว่าสำนักระดับล่างจำนวนไม่น้อยที่เป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียน หนำซ้ำ การพัฒนาของสำนักในอนาคตยังประเมินค่าไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้สำนักภูมิปัญญาครอบครองพื้นที่เพียงประเทศเดียว นั่นคือประเทศต้าหมิง”


หลิวเสี่ยนอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว แม้รายได้ประจำปีที่ไม่ถึงหนึ่งล้านศิลาวิญญาณอาจจะดูไม่มาก แต่สำหรับสำนักเซียน ยี่สิบปีเร็วเหมือนกะพริบตา นั่นหมายความว่าผลกำไรที่ได้รับจะสูงถึงสิบล้านศิลาวิญญาณเลยทีเดียว!


“เจ้าให้หอนภาเร้นลับเข้ามาร่วมบริหารด้วยหรือ”


…………………………………………..


ตอนที่ 41 วิธีเป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียน (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” หวังลู่เหยียดยิ้ม “พวกเขาได้รับแค่ส่วนแบ่ง ถ้าจะให้พวกกังฉินที่ยึดถือแค่เรื่องเงินมาบริหารสำนักภูมิปัญญา เช่นนั้นสำนักก็ได้ล่มจมกันพอดี”


“หากเจ้าไม่ยอมให้หอนภาเร้นลับเข้ามาบริหารสำนัก แล้วพวกเขายินดีมอบเงินให้เจ้ามาลงทุนได้อย่างไร”


หวังลู่กล่าวตอบ “ข้าถึงได้ลงนามในสัญญาว่าจะมอบส่วนแบ่งสูงๆ ให้พวกเขาเป็นเวลาสิบปี หากส่วนแบ่งของหอนภาเร้นลับได้ตามเป้าที่กำหนดไว้ภายในสิบปีนี้ พวกเขาจะเข้ามาจุ้นจ้านในสำนักไม่ได้ แต่หากไม่ถึง ข้าต้องยอมให้พวกเขาเข้ามาจัดแจงสำนักได้ตามใจชอบ พวกเขาอยากจะฆ่าห่านที่ออกไข่เป็นทองคำ หรือยอมให้ห่านออกไข่ต่อไป ทั้งหมดทั้งมวลก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเลย”


หลิวเสี่ยนยังไม่ค่อยเชื่อ “ถึงอย่างนั้น แต่ด้วยขนาดของสำนักภูมิปัญญาแล้ว การเกลี้ยกล่อมให้พวกเขายอมให้เงินลงทุนถึงสองล้านมันก็ช่าง…”


หวังลู่หัวเราะ “เพราะหัวหน้าหน่วยประชาสัมพันธ์ของเราทำงานได้อย่างดีเยี่ยมยังไงเล่า”


เมื่อนึกถึงใบหน้าทรงเสน่ห์ของหญิงสาวที่อยู่อีกด้านของญาณทิพย์หยก หลิวเสี่ยนก็ย่นคิ้ว ในใจก็เข้าใจได้ว่าการทำธุรกิจของหอนภาเร้นลับนั้นช่างโสมมไม่เบา


ถึงตอนนี้ พวกเขาก็เข้าใจแผนการของหวังลู่อย่างชัดแจ้งอีกฝ่ายทำข้อตกลงกับหอนภาเร้นลับเพื่อเอาเงินมาลงทนุในสำนัก จากนั้นก็เอาเงินลงทุนก้อนนั้นมาติดสินบนเจ้าหน้าที่ของพันธมิตรหมื่นเซียนเพื่อลงทะเบียนสำนักและได้ตรารับรอง เป็นการเปลี่ยนดำเป็นขาว พลิกฟ้าคว่ำดิน เปลี่ยนลัทธิให้เป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียนจนได้!


ขั้นตอนเหล่านี้นั้นแสนง่ายดาย ทว่าในแต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดมากมายจนกล่าวไม่หมด แม้ผู้อาวุโสทั้งสองจะนิ่งเงียบไปพักใหญ่ๆ แต่ก็ยังไม่อาจไล่ความตื่นตระหนกที่บังเกิดขึ้นในใจออกไปได้


หากการที่หวังลู่ซึ่งตอนนี้เป็นเพียงศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณระดับหกสามารถใช้ค่ายกลและเส้นฮวงจุ้ยในการต้านการตรวจสอบของกระบี่แห่งสัจจะจะเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ เช่นนั้นการที่เขาเปลี่ยนลัทธิให้กลายเป็นสำนักที่ถูกต้องได้ก็เกินคำว่าปาฏิหาริย์ไปไกลโข!


หากหวังลู่ไม่ใช่หนึ่งในศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่วิญญาณ ด้วยสถานะของเขาที่เป็นเจ้าสำนักของสมาชิกแห่งพันธมิตรหมื่นเซียน ในทางทฤษฎีแล้ว เขาอยู่ในตำแหน่งเดียวกับหลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อ! แม้ตบะขั้นจะเพียงขั้นฝึกปราณก็ตาม!


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลิวเสี่ยนก็อดถอนใจไม่ได้ ก่อนหน้านี้หวังลู่ถามว่าสิ่งที่เขาได้รับเมื่อเทียบกับศิษย์ผู้สืบทอดอีกสองคนเป็นอย่างไร หลิวเสี่ยนต้องยอมรับว่าแม้หวังลู่จะด้อยกว่าอีกสองคนเล็กน้อยในเรื่องการบำเพ็ญเซียน แต่หากใส่สำนักภูมิปัญญาไปด้วย ต่อให้สองคนนั้นรวมกันดูท่าว่าจะไม่อาจเทียบหวังลู่ได้!


ในใจของฟางเฮ่อกลับสับสนยิ่งกว่า แม้จะมีถ้อยคำมากมายซุกซ่อนอยู่ภายใน แต่เขากลับไม่อาจพูดออกมาได้แม้เพียงคำเดียว จนกระทั่งหวังลู่ยิ้มและเอ่ยปากถาม “ท่านลุง ท่านมีอะไรจะพูดกับข้าหรือเปล่า”


ฟางเฮ่อเงียบไปพักใหญ่ “ข้าไม่มีอะไรจะพูด”


ว่ากันตามเหตุผลแล้ว แม้วิธีในการจัดการสิ่งเหล่านี้ของหวังลู่จะยอดเยี่ยม แต่ก็ยังถือว่ามีปัญหา โดยเฉพาะเมื่อเขาได้การรับรองการเป็นสมาชิกพันธมิตรหมื่นเซียนด้วยการติดสินบนเงินก้อนใหญ่ ผู้บำเพ็ญเซียนที่มีจิตยุติธรรมหน้าไหนก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้


ทว่าฟางเฮ่อไม่เพียงเป็นทูตแห่งความยุติธรรม ในฐานะผู้อาวุโสฝ่ายวินัยของสำนักกระบี่วิญญาณ ต่อให้สามารถเพิกเฉยต่อกฎของพันธมิตรหมื่นเซียนได้ เขาก็ยังอยากปกป้องความศักดิ์สิทธิ์ของกฎสำนักอยู่ดี ทว่ากฎของสำนักกระบี่วิญญาณไม่ได้ห้ามสมาชิกติดสินบนคนภายนอก…


นอกจากกฎข้อห้ามเรื่องสังหารไม่เลือกหน้า ข่มขืน ลักขโมย และกฎภายนอกด้านศีลธรรมต่างๆ สำนักกระบี่วิญญาณไม่มีข้อห้ามเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับคนภายนอกมากมายนัก สิ่งนี้เรียกว่าเข้มงวดภายในปล่อยปละภายนอก หากดูจากวิธีการเพียงอย่างเดียว แม้การกระทำของหวังลู่จะถือว่าเกินขอบเขต แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ละเมิดกฎของสำนัก! แม้จะวัดด้วยมาตรฐานที่เข้มงวด อย่างมากสุดหวังลู่ก็เพียงต้องเขียนประเมินตัวเองและถูกหักคะแนนของสำนัก ซึ่งถือเป็นการลงโทษพื้นฐานที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร


เมื่อคิดเรื่องนี้ หลิวเสี่ยนก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “ในเมื่อเจ้าเตรียมการมาถึงขนาดนี้ เหตุใดจึงร้องขอกระบี่แห่งสัจจะเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยเล่า”


หวังลู่กล่าวอย่างลังเล “เพราะตามแผนแรก แผนในการลงทะเบียนสำนักเพิ่งเริ่มต้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน โชคร้ายที่ท่านลุงทั้งสองมาเร็วเกินไป ทำให้ข้าต้องใช้แผนสำรอง ในเมื่อเราเริ่มต้นทำตามแผนไปบ้างแล้ว อีกทั้งหัวหน้าหน่วยประชาสัมพันธ์ก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ บวกกับการที่สำนักภูมิปัญญายอมจ่ายไม่อั้น เราย่อมจัดการเรื่องนี้ได้แน่ ทว่าพันธมิตรหมื่นเซียนต้องการเวลาสามถึงห้าวันในการออกตราประทับทองคำ ดังนั้นเพื่อให้ได้เวลาสามถึงห้าวันเพิ่ม ข้าจึงต้องออกแรงด้วยตนเอง”


หลิวเสี่ยนยิ้มเหน็บ “เช่นนั้นเจ้าจึงร้องขอกระบี่แห่งสัจจะและขอเวลาเตรียมการสามวันสินะ”


หวังลู่กล่าวอย่างจริงใจ “นอกจากนี้หากจำเป็นข้าอาจยอมให้ตัวเองบาดเจ็บสาหัสเพื่อที่จะได้พักรักษาตัวสักสามถึงห้าวัน เพื่อประวิงเวลาไว้ก่อน”


“…เช่นนั้นเจ้าจึงทุ่มสุดตัวโดยไม่จำเป็น!?”


“อย่างไรเสียข้าก็แน่ใจว่าท่านลุงจะไม่ยืนเฉยดูข้าเผชิญวิกฤตเป็นแน่”


หลิวเสี่ยนกัดฟันแน่น พลางคิดในใจว่าเขาน่าจะปล่อยให้เจ้าเด็กระยำนี่ตายๆ ไปเสีย!


คราวนี้ฟางเฮ่อพูดบ้าง “เมื่อกี้ที่เจ้าตื๊อให้ข้าพูดออกมาว่ากฎนั้นยืดหยุ่นได้หรือไม่ และความหมายของลัทธิคืออะไร…เจ้าตั้งใจจะใช้คำพูดข้ามาย้อนตัวข้าเองใช่ไหม”


หวังลู่พยักหน้ายอมรับอย่างง่ายดาย “แม้ตราประทับรับรองการเป็นสมาชิกจากพันธมิตรหมื่นเซียนจะเป็นไพ่ที่ดี แต่ก็ยังรับประกันอะไรไม่ได้ หากไม่มีคำพูดจากปากของท่าน ท่านลุง ข้าก็ไม่อาจรีบหงายไพ่ใบนี้ได้”


ฟางเฮ่อเหยียดยิ้มสองสามรอบ แต่เป็นการยิ้มเย้ยตัวเองเสียมากกว่า “คนอะไรเช่นนี้ วิธีอะไรเช่นนี้!” เขาเงียบไปพักหนึ่งเพื่อใคร่ครวญอะไรบางอย่าง “มิน่าศิษย์น้องห้าถึงดูไม่กังวลเรื่องเจ้าแม้แต่น้อย ทั้งยังเมินเฉยไม่แยแส หนำซ้ำยังยืนกรานอีกว่านี่เป็นเรื่องธุรกิจส่วนตัว ดูท่านางคงคิดไว้แล้วว่าเรื่องมันจะเป็นเช่นนี้”


หวังลู่ไม่ปฏิเสธ ตอนที่เขาพบอาจารย์ของตนในโรงเตี๊ยมเมื่อสามวันก่อน เขาก็ดูออกว่านางเดาแผนการของเขาออกทั้งหมด นั่นเพราะพวกเขาทั้งคู่มีอะไรเหมือนกันเกินไป หากนางเป็นเขา ก็ย่อมใช้วิธีเดียวกัน เช่นนั้นแล้ว การอ่านความคิดตัวเองเพื่อให้รู้ความคิดของอีกคนทำให้หวังอู่คาดเดาวิธีการของหวังลู่ได้อย่างง่ายดาย


หวังลู่ถามกลับ “เช่นนั้นข้าว่าท่านลุงทั้งสองคงไม่มีปัญหาในเรื่องนี้แล้ว”


ฟางเฮ่อนิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะส่ายศีรษะเป็นเชิงว่าเขาไม่มีปัญหา


จากนั้นหลิวเสี่ยนก็พูดเสียงต่ำ “ข้ามีอีกคำถามหนึ่ง เจ้าจะปกครองสำนักไปอีกนานเท่าไร”


ระหว่างที่พูด สายตาของเขาก็ดูเคร่งขรึมขึ้นอีกครั้ง


ในทางทฤษฎี แม้ตอนนี้หวังลู่จะเป็นเจ้าสำนัก ในแต่ฐานะศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณ เขายังต้องอยู่ภายใต้กฎของสำนักกระบี่วิญญาณอยู่ และตามกฎของสำนักกระบี่วิญญาณ หลังเสร็จสิ้นการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ เขาต้องกลับขึ้นเขาเพื่อฝึกบำเพ็ญเซียนต่อ จนกว่าขั้นตบะจะถึงขั้นพิสุทธิ์จึงจะสามารถลงจากภูเขาและท่องเที่ยวไปในอาณาจักรเก้าแคว้นได้อย่างอิสระ


ทว่ากลับกัน หากตอนนี้อีกฝ่ายประกาศออกมาว่าตนไม่ได้เป็นศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณแล้ว เช่นนั้นอาจมีเพียงท้องฟ้าเท่านั้นที่ขวางกั้นเขาได้! ในเมื่อมีผู้ติดตามถึงหนึ่งล้านคน อำนาจและอิทธิพลในภายภาคหน้าของเด็กคนนี้ย่อมไร้ขีดจำกัดแน่! แม้จะได้ชื่อว่าเป็นคนไร้เกียรติที่ทรยศสำนัก แต่เขาจะไม่ถูกตามล่าสังหารแน่นอน ด้วยอุดมการณ์อันแน่วแน่ของสำนักกระบี่วิญญาณ ย่อมไม่ทำร้ายอีกฝ่ายยามล้มอย่างแน่นอน ดังนั้นราคาที่หวังลู่ต้องจ่ายเพื่อไปจากสำนักกระบี่วิญญาณนั้น เด็กคนนี้สามารถจ่ายได้อย่างแน่นอน


นี่คือสิ่งที่หลิวเสี่ยนจำเป็นต้องถามต่อหวังลู่ เจ้าต้องการอะไรกันแน่


เมื่อได้ยินคำถามนี้ รอยยิ้มของหวังลู่ก็พลันแจ่มใสขึ้น


“ท่านลุง ข้าเป็นนักผจญภัยมืออาชีพ หนึ่งในคุณสมบัติพื้นฐานก็คือความมุ่งมั่น ข้าไม่เคยลืมจุดประสงค์หลักในการก่อตั้งสำนักภูมิปัญญา เช่นนั้นแล้วท่านไม่จำเป็นต้องถามคำถามนี้กับข้า”


สี่เดือนต่อมา หวังลู่ก็กลับไปยังเขากระบี่วิญญาณ


…………………………………………….

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม