กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ ภาค 3 ตอนที่ 31-37

 ตอนที่ 31 ว่าแล้วว่าพวกรู้ตื่นมักมีอายุไม่ยืน…

โดย

Ink Stone_Fantasy

การเผชิญหน้ากันระหว่างเหวินเป่ากับจูฉินกินเวลาไม่นาน จูฉินนั้นพลุ่งพล่านด้วยความโกรธ ทว่าก่อนที่เขาจะทันเปิดปากพูดวาจาสุมไฟ ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยก็ขัดขึ้นมา “ข้าว่าไปคุยกันต่อข้างในเถอะ พวกท่านเห็นว่าอย่างไร”


จูฉินนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้ม “ก็ดี ที่นี่ไม่เหมาะจะพูดคุยเท่าไหร่ เข้าไปข้างในกันดีกว่า”


พูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไป โดยไม่ได้ถามไถ่ความเห็นของเหวินเป่าสักนิด


เหวินเป่าเหม่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เข้าไปข้างใน? ย่อมได้ ในเมื่อเจ้าอนุญาตแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็นำไปเถอะศิษย์น้องจูฉิน”


ฝีเท้าของจูฉินหยุดลงในทันใด


“ข้าไม่ได้พบเจ้าแค่ไม่กี่เดือน แต่เจ้ากลับเปลี่ยนไปมาก ศิษย์น้องเหวิน แต่ใช่ทุกการเปลี่ยนแปลงจะเป็นเรื่องดี ในฐานะศิษย์พี่ของเจ้า ข้าขอแนะนำอะไรเจ้าหน่อย สำนักกระบี่วิญญาณของเราเป็นหนึ่งในห้าสำนักวิเศษของพันธมิตรหมื่นเซียน เมื่อเทียบกับสำนักชั้นต่ำสำนักอื่นๆ เจ้าถือว่าเหนือกว่าพวกเขามาก ดังนั้นพอเจ้าลงเขามา เจ้าอาจจะเข้าใจผิดว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าตอนที่เจ้าอยู่บนเขามากนัก แต่ความแข็งแกร่งนี้ใช้ได้กับพวกผู้ฝึกเซียนอิสระเท่านั้น เจ้าน่ะ…”


น่าเศร้าที่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เหวินเป่าก็ขัดขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ได้ “เมื่อครู่ข้าบอกให้เจ้านำไปก่อนไง ไม่ได้ยินหรือ หากเจ้าอยากพูดต่องั้นก็หลบไป อย่ามัวขวางทางเดินเช่นนี้”


จากนั้นเขาก็สืบเท้าไปข้างหน้าพยายามจะเข้าไปในห้อง จูฉินมองเหวินเป่าอย่างแปลกใจกึ่งๆ ไม่เชื่อสายตา เขาหยุดยืนนิ่ง อยากรู้ว่าเหวินเป่าจะเดินผ่านเขาไปอย่างไร


หลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือน จูฉินเองก็รู้ได้เช่นกันว่าการบำเพ็ญเซียนของเหวินเป่าก้าวหน้าไปอย่างมาก ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักกระบี่วิญญาณแต่ละคนรู้ดีว่าขั้นตบะและระดับของการบำเพ็ญเซียนนั้นไม่ได้เทียบเท่ากับพละกำลังที่แท้จริง เมื่อหลายเดือนก่อน ฉากที่อาวุโสห้าของสำนักกระบี่วิญญาณที่มีตบะขั้นสร้างแกน สามารถเอาชนะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่จากสำนักเซิ่งจิงได้อย่างง่ายดายยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำของลูกศิษย์หลายคน


ขั้นตบะของเหวินเป่าในตอนนี้อยู่ในขั้นฝึกปราณช่วงปลาย ซึ่งเป็นระดับเดียวกับจูฉิน! แปดเดือนมานี้ ประสบการณ์ที่เขาได้รับแปลกประหลาดมหัศจรรย์กว่าเยวี่ยซินเหยามากนัก การฝึกฝนที่สั่งสมมาตลอดสองปีในสำนักพัฒนาขึ้นมาก นอกจากระดับเซียนของเขาจะพุ่งทะยานขึ้นแล้ว วิชากระบี่ การร่ายอาคม รวมถึงการฝึกพลังวิญญาณขั้นปฐมยังก้าวหน้าขึ้นอย่างมหาศาลอีกด้วย พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีเมื่อเทียบกับแปดเดือนก่อน! เขาเชื่อไม่ลงจริงๆ ว่าเจ้าหมูตอนไร้ประโยชน์คนเดิมคนนี้จะล้ำหน้ากว่าเขาได้ในเวลาเพียงแปดเดือน ต่อให้รากวิญญาณของเหวินเป่าจะดีกว่าเขาก็ตาม


ดังนั้นเขาจึงหยุดยืนนิ่ง ขณะเดียวกันนิ้วก้อยและนิ้วโป้งที่มือขวาก็สัมผัสกัน คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กระจ่ายไปทั่วร่าง ผิวของเขากระด้างขึ้นจนกลายเป็นเหล็ก พร้อมกันนั้นเท้าทั้งสองข้างก็เชื่อมต่อกับพื้นที่ยืนจนมั่นคงราวก้อนหิน


ณ จุดนี้ ต่อให้มีใครเอาค้อนที่ต้องอาศัยกำลังของชายฉกรรจ์เป็นสิบคนในการหลอมมาตีเขา เขาก็มั่นใจว่าเขาจะไม่ผงะถอยหลังแม้เพียงครึ่งก้าว ทุกวันนี้ความประทับใจของผู้คนที่มีต่อผู้บำเพ็ญเซียนอยู่ตรงที่พวกเขาสามารถเหาะเหินไปบนกระบี่บิน กระโดดขึ้นกำแพงและหลังคาได้ แต่ความจริงแล้ว หากจำเป็นพวกเขาก็สามารถยืนได้อย่างมั่นคงกว่าผู้ใด


“ศิษย์พี่จูฉิน ศิษย์พี่เหวินเป่า พวกท่าน…” เยวี่ยซินเหยาคิดจะขัดขวางการปะทะไร้สาระลงเสีย โชคร้ายที่ก่อนนางจะได้ทำอะไร เหวินเป่าก็สาวเท้าเข้ามาก้าวหนึ่งและชนจูฉินเข้าที่ด้านหน้า!


ตู้ม!


หลังเสียงชนดังสนั่นเงียบลง จูฉินที่มีสีหน้ายากจะเชื่อก็เซถอยหลังไป ขาข้างหนึ่งก้าวลงบนธรณีประตู ส่งเสียงดังเปรี๊ยะ จากนั้นธรณีประตูก็พังลงมา


“เจ้า…แค่ก!”


จูฉินกำลังจะพูดบางอย่าง แต่ใครจะคาดคิดว่าจู่ๆ เขาจะเจ็บที่หน้าอกขึ้นมา ทำให้ไอออกมาอย่างต่อเนื่องจนพูดไม่ได้ การชนที่รุนแรงเมื่อครู่นี้นอกจากจะทำให้พลังอิทธิฤทธิ์ของเขากระเจิงแล้ว ยังทำให้หายใจติดขัดและเจ็บที่ปอดอีกด้วย


แม้การบาดเจ็บจะไม่รุนแรง และพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาสามารถกลับมาเป็นปกติได้ภายในการโคจรเพียงรอบเดียว ทว่าเขาพ่ายแพ้ไปหนึ่งกระบวนท่า และไม่ใช่พ่ายแพ้แก่ใครที่ไหน แต่ระยำเถอะ เขาพ่ายแพ้ให้เหวินเป่า! สีหน้าของจูฉินเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายครั้ง เขารู้สึกอับอายจนแทบแทรกแผ่นดิน


ฝ่ายเหวินเป่านั้น เขากำลังจะใช้โอกาสนี้ก้าวข้ามประตูไป แต่แล้วญาณมองเห็นของเขาก็จับภาพของศิษย์น้องเยวี่ยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจได้ ความปีติก็ทะลักล้นขึ้นมาในใจในทันใด


เขาคิดในใจ ‘ฮ่าๆๆ! จูฉินจอมสารเลว! เจ้าไม่เพียงชนกับข้าเฉยๆ แต่ชนอย่างแรงเสียด้วย บิดาของเจ้าคนนี้เป็นหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐานมาแปดเดือน หน้าที่นี้ต้องใช้ความแข็งแกร่งมหาศาล! หากเราแข่งร่ายอาคมหรือประมือกันตัวต่อตัวในสนามประลอง ไม่แน่ว่าโอกาสที่ข้าชนะอาจจะไม่สูงมาก แต่เจ้าคิดจะเอาชนะข้าเรื่องความแข็งแกร่งงั้นหรือ แม้แต่หัวหน้าหน่วยอื่นที่อยู่ในขั้นสร้างฐานยังไม่อาจเอาชนะข้าได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับต่ำอย่างเจ้า เจ้าหาเรื่องเจ็บตัวแท้ๆ เชียว ฮ่าๆๆ ข้าขอโทษด้วย แม้ศิษย์พี่หวังลู่จะพูดอยู่เสมอว่า การทำตัวเป็นจอมวายร้ายอวดเก่งเพื่อกดคนอื่นให้จมดินจะเป็นหนึ่งในสิ่งหยาบช้าที่สุดสามสิ่งในโลกนี้ แต่บิดาเจ้าคนนี้รักมันยิ่งนัก!”


——


การปะทะกันที่หน้าประตูทำให้ท่าทีของจูฉินอ่อนลงกะทันหัน ดังนั้นตอนที่ทั้งสามเข้ามาในห้องและหาที่นั่งที่เหมาะควรให้ตนเอง อำนาจจึงตกอยู่ในมือของเหวินเป่าอย่างสมบูรณ์


แม้จูฉินจะส่งสายตาปรามไปให้เหวินเป่า แต่อีกฝ่ายก็ยังพุ่งไปที่เก้าอี้ประธานและจากนั้นก็เป็นคนเปิดบทสนทนา “ฮ่าๆๆ ข้าไม่คิดเลยว่าพวกเราพี่น้องจะได้มาเจอกันในครั้งนี้ นึกว่าจะเจอกันอีกทีก็ตอนกลับไปบนเขาอีกหลายเดือนข้างหน้า แคว้นธาราครามช่างกว้างใหญ่ แต่เราก็มาเจอกันที่ประเทศต้าหมิง ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ!”


จูฉินทำเสียงฮึดฮัด หันไปมองด้านหลังของห้องโดยไม่ได้พูดอะไร เยวี่ยซินเหยายิ้มบาง “นับเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ”


เหวินเป่าพูดต่อ “หาได้ยากที่พวกเราสามคนได้มารวมตัวกัน ทำไมไม่แลกเปลี่ยนกันสักหน่อยเล่าว่าแปดเดือนที่ผ่านมาพวกเราพบเจออะไรกันมาบ้าง ศิษย์น้องเยวี่ย ข้ารู้มาว่าเจ้าไปสำรวจสุสานโบราณ ได้รับอันตรายบ้างหรือไม่”


เยวี่ยซินเหยาประหลาดใจ นางยังไม่ชินกับท่าทีมั่นอกมั่นใจและร่าเริงของเหวินเป่าเช่นนี้ ทว่าในเมื่อเขาถามนาง เยวี่ยซินเหยาจึงตอบอย่างกระตือรือร้น “ไม่มีสิ่งใดอันตรายเลย… ข้าว่าที่นั่นน่ากลัวกว่าอันตรายมากนัก”


“ศิษย์น้องหญิงถ่อมตัวไปแล้ว หากที่นั่นน่ากลัวกว่าอันตรายจริงๆ เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่พลังวิญญาณขั้นปฐมของเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมามากขนาดนี้ แม้ขั้นตบะของเจ้ายังอยู่ที่ขั้นฝึกปราณระดับเจ็ดช่วงกลาง แต่พลังวิญญาณขั้นปฐมของเจ้ากลับเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับหกแล้ว”


ศิษย์น้องหญิงส่ายศีรษะ “ศิษย์พี่คาดคะเนพลังและขีดจำกัดของพลังวิญญาณขั้นปฐมของข้าได้แม่นยำนัก ข้าเองยังต้องใช้เวลาใคร่ครวญก่อนเลย”


เหวินเป่ากล่าว “การฝึกพลังวิญญาณขั้นปฐมและการฝึกปราณสมควรสอดประสานกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมที่สุด ดังนั้นศิษย์น้องหญิงไม่จำเป็นต้องทุ่มเทให้กับการฝึกพลังวิญญาณขั้นปฐมอย่างเดียวก็ได้”


“อืม ขอบคุณที่เตือนสติข้า ศิษย์พี่ ข้าจะระวังให้มากกว่านี้”


ระหว่างการสนทนา สีหน้าของเหวินเป่าสงบผ่อนคลาย ทว่าในใจนั้นมีความสุขเสียจนแทบจะเป็นลม สองปีที่ผ่านมานี้ที่เขากระบี่วิญญาณ เขาแทบไม่เคยสนทนาพาทีเช่นนี้กับเยวี่ยซินเหยา แต่ตอนนี้ศิษย์พี่ผู้ดีเลิศคนนี้ไม่ต้องการพลาดโอกาสนี้ไป มันช่างอิ่มเอมและชุ่มชื่นหัวใจยิ่งนัก!


เหวินเป่าผู้รู้ตื่นนี่ช่างดีจริงๆ!


ขณะเดียวกัน จูฉินที่คลายความจองหองลงก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอันมาก ในใจได้แต่สงสัยว่าการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์นอกสำนักนั้นวิเศษถึงขั้นที่ทำให้สวะกลายเป็นคนใหม่ได้เลยหรือ นี่มันช่าง…ผิดปกติยิ่งนัก!


ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ในโถงหลักของวิหารประทีปยังคงสนทนากันต่อไป เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างนี้มีเพียงเยวี่ยซินเหยาคนเดียวที่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักที่ต้องสนทนาเรื่องส่วนตัวในสถานที่ของทางการ ทว่าเหวินเป่ากลับพูดอย่างใจเย็นว่าวิหารประทีปเป็นสถานที่ที่คอยดูแลจัดการเรื่องผู้บำเพ็ญเซียน และพวกเขาทั้งสามก็สนทนากันเกี่ยวกับเรื่องผู้บำเพ็ญเซียน เช่นนั้นแล้วสถานที่นี้จึงเหมาะสมที่สุด!


ขณะที่พูดคุยกัน เหวินเป่าซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความฮึกเฮิมที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณเช่นเขาไม่คุ้นชินนักก็รู้สึกสุขใจมากขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่เขายังคงเป็นผู้คุมการสนทนา เขาย่อมดึงความสนใจของอีกสองคนไปยังเรื่องอื่นได้ และเมื่อคู่สนทนาอีกสองคนลืมเรื่องเกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญาไป นั่นย่อมแสดงว่าเขาได้รับชัยชนะ!


ผ่านไปพักใหญ่ เมื่อรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก เหวินเป่าจึงหยิบถ้วยชาที่อยู่ข้างกายขึ้นมาจิบ “แม้จะเย็นชืดแล้ว แต่รสชาติก็ยังดีเยี่ยม!”


จูฉินหันไปเห็นสีหน้าเขินอายของเยวี่ยซินเหยาจึงพูดเย้าว่า “แน่ล่ะว่านี่คือชาชั้นเลิศ ดื่มชาค้างถ้วยของคนอื่นเช่นนี้ ศิษย์…พี่เหวินเป่า นอกจากขั้นตบะเจ้าจะพัฒนาขึ้นแล้ว ยางอายของเจ้าก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย”


เหวินเป่าตกตะลึง ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงเย็นๆ ของหญิงสาวก็ดังมาจากด้านใน “องค์ชาย ชาค้างถ้วยของข้าสกปรกถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”


ขณะพูด หญิงสาวในชุดงดงามก็เดินตรงมายังพวกเขา หญิงสาวร่างสูงโปร่งหน้าตาหมดจดนางนี้น่าจะมีอายุอานามประมาณยี่สิบสี่ถึงยี่สิบห้าปี ทว่าใบหน้ากลับเคลือบไว้ด้วยความเย็นชา ให้ความรู้สึกน่าหวั่นเกรงไม่น้อย


เมื่อเดินมาใกล้ นางก็เริ่มมองสำรวจเหวินเป่า เหวินเป่าผู้รู้ตื่นซึ่งก่อนหน้านี้รับมือจูฉินได้อย่างง่ายดาย ทว่าเมื่อถูกหญิงสาวผู้นี้จ้องมอง จู่ๆ ใจเขาก็เริ่มเต้นโครมครามอย่างไร้เหตุผล บุคลิกของผู้รู้ตื่นหดหายไปหลายส่วน


จากนั้นนางก็เลื่อนสายตามายังถ้วยชาที่อยู่ข้างๆ เหวินเป่า คิ้วงดงามทั้งสองข้างขมวดเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา สุดท้ายนางก็ยื่นจดหมายปึกใหญ่ให้จูฉิน


“องค์ชาย นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการ จดหมายทุกฉบับที่วิหารประทีปได้รับเมื่อเร็วๆ นี้…”


ก่อนนางจะทันพูดจบประโยค รัชทายาทจูฉินก็ขมวดคิ้ว “ทำไมจึงมากมายนัก พวกเจ้าไม่ทำงานทำการกันหรือไร หากศิษย์น้องหญิงเยวี่ยต้องมาไล่อ่านทีละฉบับ คงใช้เวลามากกว่าสิบวันกว่าจะเสร็จเป็นแน่!?”


หญิงสาวผู้นั้นเหยียดยิ้ม “รัชทายาท โปรดฟังผู้อื่นพูดให้จบก่อน ทางเราได้ทำรายการของจดหมายเอาไว้แล้ว จดหมายที่เหลืออยู่ในห้องพัสดุ ซึ่งมีมากกว่าสองพันฉบับ องค์ชายต้องการไปดูหรือไม่”


จูฉินผงะ “ทำไมถึงได้มากมายนัก!?”


“ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับประเทศต้าหมิงและผู้บำเพ็ญเซียนต้องผ่านที่นี่ทั้งนั้น มันจะไม่มากได้อย่างไร วังหลวงเกรงกลัวอำนาจของสำนักประทีป จึงไม่ยอมให้ตั้งสาขาในสถานที่อื่นๆ สำนักต่างๆ ตั้งแต่สำนักชั้นนำของพันธมิตรหมื่นเซียนไล่ไปจนถึงสำนักเล็กๆ ไร้ชื่อเสียงต้องมาลงทะเบียนสำนักและติดต่อเรื่องจิปาถะอื่นๆ ที่นี่ทีละสำนัก ดังนั้นจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความล่าช้าได้”


จูฉินขมวดคิ้ว “ท่านเชียนฮู่ ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร…”


“โอ้ องค์ชายไม่เข้าใจหรือ งั้นก็ดี ข้าจะอธิบายให้ฟังเอง ตอนนี้วิหารประทีปทำงานไม่ไม่ได้ตามความเป้าประสงค์ของฝ่าบาทหลายเรื่อง และหากวังหลวงยังปล่อยให้สถานการณ์เลวร้ายอยู่เช่นนี้ ประสิทธิภาพในการบริหารของวิหารประทีปก็คงย่อยยับ แล้วก็คงไม่แปลกอะไรหากที่นี่จะถูกแทนที่ด้วยหอสัจจะบุรุษของพันธมิตรหมื่นเซียน”


จูฉินรู้สึกละอายเล็กน้อย “ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้ที่นี่กระมัง”


ท่านเชียนฮู่ถามกลับทันใด “เมื่อครู่พวกท่านทั้งสามยังพูดคุยสัพเพเหระได้เลย แล้วเหตุใดข้าจึงไม่อาจพูดถึงสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับวิหารประทีปได้เล่า”


“เอ่อ…”


เมื่อเห็นใบหน้าของจูฉินแดงขึ้นเพราะความอับอาย หญิงสาวก็ถอนหายใจ “องค์ชาย ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านอับอาย ข้าเพียงคิดว่าคำถามเหล่านี้จะช่วยให้ท่านเข้าใจสถานการณ์ได้ดีขึ้น ว่าตอนนี้วิหารประทีปไม่มีความสามารถที่จะจัดการเรื่องราวต่างๆ ของผู้บำเพ็ญเซียนในประเทศต้าหมิงได้ เช่นนั้นแล้วการมีอยู่ของวิหารประทีปก็คงไร้ประโยชน์ หากท่านยังไม่เชื่อ ข้ายกตัวอย่างง่ายๆ ให้ก็ได้ นี่ถ้าการเก็บตัวฝึกวิชาของข้าไม่ได้เสร็จสิ้นเร็วกว่าที่คิด คงไม่ได้เจอเรื่องที่น่าสนใจเช่นนี้”


“เรื่องที่น่าสนใจ?”


จูฉินโพล่งออกไปอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับรู้สึกว่าน้ำเสียงประหม่าของตนฟังดูพิกลนัก


ท่านเชียนฮู่ผู้นี้มีไอพลังที่แข็งแกร่งมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในโถงหลัก นางอำพรางไอพลังของตนไว้ แต่ตอนนี้นางปลดปล่อยไอพลังออกมาอย่างเต็มที่ จนทำให้คนอื่นนิ่งเงียบโดยปริยาย


เชียนฮู่ยิ้ม เหยียดแขนขวาออกไป จู่ๆ จดหมายสองฉบับก็ปรากฏขึ้นในมือนาง


“นี่คือจดหมายที่เยวี่ยซินเหยาสหายของท่านส่งมาเมื่อสิบสามวันก่อน ในนี้กล่าวถึงขั้นตบะของนาง สำนักที่สังกัด รวมถึงเหตุผลที่นางมายังประเทศต้าหมิง… นั่นก็คือด้วยเรื่องของสำนักภูมิปัญญาถูกไหม”


เยวี่ยซินเหยาพยักหน้า


เชียนฮู่ยิ้ม “ขอบใจที่เจ้าให้ความร่วมมือ เท่าที่ข้ารู้ศิษย์จากสำนักชั้นนำมักไม่ชอบทำตามกฎที่ยุ่งยากเช่นนี้… ทว่าอีกด้านหนึ่ง สามวันที่ผ่านมา ข้าได้รับจดหมายที่น่าสนใจฉบับหนึ่ง”


เชียนฮู่พูดพลางดีดนิ้ว ทันใดนั้นจดหมายฉบับหนึ่งก็ดีดตัวขึ้น “มันคือจดหมายแนะนำตัวจากสำนักภูมิปัญญา ในจดหมายกล่าวไว้ว่าได้ส่งทูตเจรจามาสามคน คนที่เป็นหัวหน้านั้น…”


พูดถึงตรงนี้ นางก็กลอกสายตาขึ้นมองไปยังใบหน้าของเหวินเป่าซึ่งตอนนี้ซีดเผือดไร้สีเลือด


“เจ้าชื่อเหวินเป่าใช่หรือไม่”


เจ้าอ้วนใช้พลังกายทั้งหมดรีดรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้า ในใจก็ตะโกนกรีดร้อง


ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย!


……………………………………………..


ตอนที่ 32 เจ้าถอนตัวได้ ที่เหลือปล่อยให้มืออาชีพอย่างข้าจัดการเอง!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ไง เจ้าเข้าตาจนอีกแล้วหรือ”


ขณะที่เหวินเป่ากรีดร้องขอความช่วยเหลืออย่างบ้าคลั่ง เสียงของหวังลู่ก็ดังเข้ามาในห้วงความคิดของเขา


“ศิษย์พี่!?”


“ไม่ต้องกลัว ข้าเอง… เจ้าโง่เอ๊ย เจ้าลืมเรื่องญาณทิพย์หยกแล้วหรือ”


“เอ่อ สิ่งนั้น…”


“ก็ของที่ข้าซื้อมาจากหอนภาเร้นลับตั้งหลายศิลาวิญญาณอย่างไรเล่า มันสามารถใช้สื่อสารกันอย่างเร่งด่วนในยามฉุกเฉิน ตอนนั้นข้าฝังให้เจ้ากับมือ นี่เจ้าลืมจริงๆ หรือ”


“สิ่งนี้จะว่าข้าลืมก็ไม่เชิง แต่ศิษย์พี่ ท่านบอกว่าญาณทิพย์หยกเป็นของมีราคา ต่อให้ท่านขายต่อให้ข้าแล้วก็เถอะ… ข้าก็ไม่กล้าใช้มันอยู่ดี”


“ระยำ! เจ้านี่โง่เง่าที่แท้!? ช่างเถอะ เรามีเวลาไม่มากนัก ข้าได้รับข่าวเร่งด่วนจากกั๋วฮงและหยางเซียว ตอนแรกข้านึกว่าเจ้าในร่างผู้รู้ตื่นจะสามารถรับมือได้ แต่ดูเหมือนตอนนี้สถานการณ์จะเปลี่ยนไปแล้ว บอกรายละเอียดของสถานการณ์ตรงหน้าเร็วๆ เข้า ข้าจะได้หาทางรับมือเรื่องนี้”


น้ำเสียงเร็วรัวของหวังลู่ทำให้เหวินเป่าซึ่งตื่นกลัวอยู่ รู้สึกสงบลงอย่างบอกไม่ถูก


ตราบใดที่ศิษย์พี่จัดการได้ ทุกอย่างต้องราบรื่นแน่!


การสนทนาในห้วงความคิดนี้กินเวลาเพียงชั่วแวบเดียว หลังจากที่เหวินเป่าอธิบายเรื่องราวต่างๆ อย่างละเอียดลออ หวังลู่ที่อยู่อีกฝั่งก็นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวขึ้น “ตอนนี้สถานการณ์เข้าตาจนจริงๆ คนที่ชื่อเชียนฮู่จากวิหารประทีปนั้นฉลาดไม่เบา หากข้าเพียงบอกวิธีรับมือผ่านญาณทิพย์หยกย่อมไม่เป็นผลแน่ เช่นนั้นแล้วข้าจะไปที่นั่นเอง”


เหวินเป่าผงะ “ศิษย์พี่ ท่านจะมาที่นี่หรือ!? ตอนนี้ท่านอยู่ไหนน่ะ”


“ย่อมเป็นหมู่บ้านตระกูลหวัง ข้าจะไปอยู่ที่ไหนได้เล่า”


“ชะ เช่นนั้นข้าเกรงว่าจะสายเกินไป…”


“เหลวไหล แน่ละว่าย่อมสายเกินไปหากข้าไปที่นั่นจริงๆ แต่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ตอนนี้เจ้าเพียงแค่ใส่พลังวิญญาณขั้นปฐมของเจ้าลงในญาณทิพย์หยก แล้วข้าจะพูดคุยผ่านสิ่งนี้เอง”


เหวินเป่านิ่งไปพักหนึ่งขณะที่ในหัวกำลังทบทวนถึงรายละเอียดของญาณทิพย์หยก สิ่งนี้เป็นวัตถุวิเศษระดับกลางที่มีมูลค่าหลายพันศิลาวิญญาณ นอกจากกรณีฉุกเฉินที่สามารถส่งกระแสจิตถึงกันผ่านทางพลังวิญญาณขั้นปฐมแล้ว ประโยชน์สูงสุดของมันคือเข้าควบคุมร่างนั้นๆ ผ่านทางพลังวิญญาณขั้นปฐม! ในเมื่อร่างของเหวินเป่าฝังญาณทิพย์หยกเอาไว้ หวังลู่จึงสามารถควบคุมเสียงและท่วงท่าของเหวินเป่าได้โดยตรงราวกับควบคุมหุ่นกระบอก ทว่ามันก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณขั้นปฐมของคนผู้นั้นด้วย หวังลู่ไม่อาจแสดงท่วงท่าที่ซับซ้อน อย่างมากเขาก็ทำได้เพียงพูดและโบกไม้โบกมือเท่านั้น


“ศิษย์พี่…ท่านแน่ใจหรือ”


หวังลู่เหยียดยิ้ม “การจะรับมือสวะพวกนี้ ข้าจำต้องพูดกับพวกเขาเท่านั้น เอาล่ะ เจ้าถอนตัวได้ ที่เหลือปล่อยให้มืออาชีพอย่างข้าจัดการต่อเอง”


สิ้นประโยค เหวินเป่าก็รู้สึกว่าพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาสั่นสะท้านและถูกดูดเข้าไปในญาณทิพย์หยก แม้เขายังหลงเหลือการเชื่อมต่อกับร่างกายอยู่ แต่ก็ทำได้แค่เพียงฟังและดูเท่านั้น ไม่อาจพูดหรือขยับได้ หวังลู่เข้าควบคุมร่างกายทั้งหมดของเขาแล้ว


“ศิษย์พี่ แล้วอย่างไรต่อ” น้ำเสียงของเหวินเป่าตึงเครียด ก่อนหน้านี้เหวินเป่าผู้รู้ตื่นสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด แต่ดูเถิด การปรากฏตัวของเชียนฮู่แห่งวิหารประทีปนั้นกลับต้อนเขาให้จนมุม… แน่ล่ะว่ามันเป็นไปตามที่ศิษย์พี่กล่าวไว้ ผู้รู้ตื่นทุกคนย่อมต้องเผชิญกับมารที่คิดทำลายล้างคนผู้นั้น แม้เขาจะไม่เข้าใจความหมายของคำกล่าวนี้นัก แต่มันอาจหมายความว่าโชคลาภหรือหายนะขึ้นอยู่กับดวงของคนผู้นั้นกระมัง


ทว่าระหว่างที่ล่าช้ากันอยู่นี้ สถานการณ์ในโถงหลักของวิหารประทีปก็เปลี่ยนไป เมื่อเชียนฮู่เปิดโปงตัวตนของหวังลู่ ทั้งเยวี่ยซินเหยาและจูฉินต่างตกตะลึง ขณะที่จูฉินยังนิ่งเงียบไม่ปริปาก เยวี่ยซินเหยากลับอดรนทนไม่ได้ “ศิษย์พี่เหวินเป่า ทำไม…ทำไมท่านถึงไปซ่องสุมอยู่กับคนของสำนักภูมิปัญญาได้”


ทางด้านเชียนฮู่แห่งวิหารประทีป เมื่อกระตุกม่านการแสดงเรียบร้อยแล้ว นางก็ยิ้มน้อยๆ ถอยฉากออกมาเงียบๆ แล้วเข้าไปอยู่ในโหมดผู้ชมการแสดง


“ศิษย์พี่เหวินเป่า แม้ข้าจะไม่ค่อยรู้เรื่องสำนักภูมิปัญญามากนัก แต่เห็นได้ชัดว่าสำนักนั้นไม่ใช่สำนักที่ดีงาม ท่านอาจ…ถูกคนพวกนั้นหลอกก็เป็นได้”


ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยเป็นคนจิตใจดี นางมิชอบคิดในแง่ร้ายต่อผู้อื่น หนำซ้ำยังไม่ชอบตะโกนหรือตะคอกใส่ผู้ใด ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าในใจของนางเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่าสำนักภูมิปัญญา ‘ไม่ใช่สำนักดีงาม’ มิเช่นนั้นนางคงไม่เสียสละเวลาอันมีค่าในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์เร่งรุดมายังประเทศต้าหมิงเป็นแน่


ทันใดนั้นเหวินเป่าก็รู้สึกว่าสมองของตนนั้นแจ่มใสอย่างที่สุด ทำให้เขาคิดเรื่องต่างๆ ได้มากมาย…อาจเป็นเพราะหวังลู่กำลังใช้ญาณทิพย์หยกควบคุมเขาอยู่ก็เป็นได้ หวังลู่จึงสามารถใช้สมรรถนะด้านความคิดของนักผจญภัยมืออาชีพของหวังลู่ได้ แต่ยิ่งคิดเรื่องนี้เท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันช่างยากเย็นแสนเข็ญขึ้นเท่านั้น ในฐานะหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน เหวินเป่าย่อมรู้ถึงอคติที่โลกมีต่อสำนักภูมิปัญญา! แม้พวกเขาจะค่อยๆ ลดการใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา และมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ลงแล้ว แต่ในสายตาของผู้คน สำนักภูมิปัญญาก็ไม่ต่างอะไรกับลัทธิมาร! หนำซ้ำยังเป็นสำนักมารที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือสำนักมารที่เป็นภัยร้ายกาจนั่นเอง!


เช่นนั้น…เขาจะสามารถอธิบายจุดประสงค์และอุดมการณ์ของสำนักให้ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยรับรู้ได้หรือไม่ เขาจะพูดออกมาได้อย่างไรว่าตนเป็นถึงผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนัก อีกทั้งสถานะของศิษย์พี่และพี่หญิงหลิงในสำนักจะถูกเปิดโปงหรือไม่


ขณะที่เหวินเป่ากำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่นั้น หวังลู่หรือจริงๆ แล้วก็คือเหวินเป่าที่ถูกหวังลู่ควบคุมก็พูดออกมา


“ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย ที่ข้าเข้าสำนักนี้ก็เพราะเจ้า”


ฟุ่บ!


เหวินเป่าเกือบจะเป็นลมไปในทันที! และพอได้ฟังคำกล่าวนั้น เยวี่ยซินเหยาเองก็ได้แต่งงงวย “หือ!?”


จากนั้นเหวินเป่าที่ถูกหวังลู่ควบคุมอยู่ก็ค่อยๆ คลี่ยิ้ม “ไหนๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าเองคงทำได้เพียงสารภาพ ถูกแล้ว ข้าเข้าร่วมกับสำนักภูมิปัญญาจริงๆ หนำซ้ำสถานะของข้าในสำนักนั้นก็ไม่ใช่ต่ำต้อย ข้าเป็นถึงหนึ่งในผู้อาวุโสของที่นั่น”


เยวี่ยซินเหยาตั้งศีรษะขึ้น พยายามอย่างหนักที่จะทำความเข้าใจ “…ทำไม”


หวังลู่ตอบน้ำเสียงหนักแน่น “เป็นเพราะเจ้า”


“ข้า?” ความรู้สึกสับสนและประหลาดใจฉายวาบในดวงตาของนาง “แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับข้าได้อย่างไร”


“เพราะว่าข้าชอบเจ้า”


ฟุ่บ!


เหวินเป่าก็ไม่อาจทนต่ออารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ นี้ได้จึงเป็นลมไปในที่สุด


หวังลู่กล่าวต่อพร้อมรอยยิ้ม “เพราะข้าชอบเจ้า ข้าจึงพยายามทำตัวให้คู่ควรกับเจ้า แม้บิดาข้าจะเป็นถึงราชครูในวังหลวง แต่อำนาจและอิทธิพลของเขานั้นไร้ค่าในสายตาของผู้บำเพ็ญเซียน ส่วนเจ้า ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย เจ้ามาจากตระกูลผู้ดีมีสกุลในโลกเซียน เทียบกับเจ้าแล้ว ข้าก็แค่ยาจกไร้ค่า หากข้าไม่ขยันทำงาน แล้วจะคู่ควรกับเจ้าได้อย่างไร”


เมื่อถูกอีกฝ่ายจ้องมองมาด้วยสายตาจริงใจ ใบหน้าของเยวี่ยซินเหยาก็ขึ้นสี การจู่โจมครั้งนี้มากเกินกว่านางจะรับมือไหวจึงได้แต่นิ่งเงียบ


ในตอนนั้นเอง จูฉินที่นิ่งเงียบมาตลอดก็พูดออกมาอย่างช้าๆ “ศิษย์น้องเหวินเป่า คำอธิบายของเจ้านั้นยากจะเชื่อ หากเจ้าคิดจะทำงานหนัก ไฉนจึงไม่ทำงานหนักในสำนักของตนเอง เหตุใดจึงต้องไปรวมหัวกับสำนักมารเช่นนั้นด้วย”


หวังลู่หัวเราะเบาๆ “หากการฝึกหนักบนเขาเพียงอย่างเดียวตอบโจทย์ทุกอย่าง เหตุใดผู้อาวุโสจึงจัดให้มีการท่องเที่ยวสั่งสมประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปีด้วยเล่า ในเมื่อนี่คือการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ หากทุกคนเป็นเหมือนเจ้ารัชทายาทจู ที่มีข้าราชบริพารล้อมหน้าล้อมหลังตลอดทั้งปี เช่นนั้นบำเพ็ญเซียนอยู่บนเขาก็คงจะไม่ต่างกัน คงเหมือนทำตัวเป็นคนผ่านทาง นั่งมองผู้คนและสิ่งต่างๆ เท่านั้น ข้ายังจำตอนที่ผู้อาวุโสห้าพูดจาเย้ยปรมาจารย์จื้อเฟิงได้ พวกเราต่างก็นั่งฟังกันอยู่ข้างๆ หรือเจ้าลืมสิ่งที่ผู้อาวุโสห้าสอนไปหมดสิ้นแล้ว”


เมื่อต้องประคารมกับหวังลู่ จูฉินก็ได้แต่นิ่งเงียบไปพักใหญ่ แต่จากนั้นเขาก็เหยียดยิ้ม “แม้เจ้าต้องการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในอาณาเขตเก้าแคว้นจริง ก็ไม่ควรเอาตัวเองลงไปอยู่ในบ่อโคลน!”


หวังลู่หัวเราะเบาๆ “สงสัยศิษย์น้องจูฉินจะไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘เติบโตจากโคลนตมอย่างไม่เปรอะเปื้อน’ ดูท่าสติปัญญาเจ้าคงจะไม่สูงพอ”


“เจ้าสารเล…” จูฉินเกือบควบคุมตัวเองไม่ได้! บังอาจพูดกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!?


หลังจากที่เยวี่ยซินเหยาและจูฉินค่อยๆ นิ่งเงียบไปทีละคน จึงไม่แปลกอะไรที่เสียงเย็นๆ ของหญิงสาวจะดังเข้ามาในหูเขา “โอ้? ตามที่เจ้าพูด หมายความว่าเจ้าเข้าสำนักภูมิปัญญาเพื่อบำเพ็ญเซียนงั้นหรือ”


หวังลู่ยิ้มย่องในใจพลางคิดว่า ‘ข้ารอให้เจ้าพูดคำนี้อยู่เชียว! ฮ่า! แม้เจ้าจะไล่ต้อนเหวินเป่าผู้รู้ตื่นจนเข้ามุมได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าน่ะชาญฉลาดไม่น้อย แต่น่าเสียดาย…


น่าเสียดายที่เจ้าต้องมาเจอกับมืออาชีพอย่างข้า!’


“ไม่ใช่เพราะเพื่อบำเพ็ญเซียน เพราะความชอบที่ข้ามีให้คนอื่น” หวังลู่กล่าวปฏิเสธข้อสันนิษฐานของเชียนฮู่


เชียนฮู่ยิ้มเยาะ “เพราะเรื่องรักใคร่ของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึง…”


ทว่าก่อนที่นางจะทันได้พูดจนจบประโยค หวังลู่ก็พูดขัดขึ้นมาในทันที “ไม่ใช่เพราะศิษย์น้องหญิงเยวี่ยเท่านั้นแต่เพราะเจ้าด้วย”


คำพูดของเชียนฮู่ติดขัดอยู่ในลำคอทันที “…ข้า?”


หวังลู่กล่าวด้วยท่วงท่าสบายอกสบายใจ “ใช่ เพราะข้าชอบเจ้า”


ฟุ่บ!


เหวินเป่าที่เพิ่งฟื้นจากการเป็นลมเป็นเรื่องที่โชคร้ายโดยแท้


ขณะเดียวกัน ห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบในทันที


“เจ้า เจ้า…” น้ำเสียงของเชียนฮู่ฟังดูกระด้าง แผนการของนางถูกคำพูดของหวังลู่สกัด ทำให้นางเสียหลักโดยสิ้นเชิง


หากอีกฝ่ายเป็นคนธรรมดา นางคงยิ้มหยันและกล่าวว่า ‘เหลวไหลไร้สาระ!’ จากนั้นก็สังหารคนผู้นั้นเสีย ทว่าเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นศิษย์ร่วมสำนักของรัชทายาท ทั้งยังไม่ใช่ปุถุชนธรรมดา ทำให้นางเองรู้สึกกริ่งเกรงไม่น้อย


หวังลู่ลงดาบซ้ำตอนที่ยังได้เปรียบ เขาหัวเราะ “ข้าชอบเจ้า ข้าจึงเข้าสำนักภูมิปัญญา ขณะที่พยายามอย่างขันแข็งเพื่อจะเป็นชายที่คู่ควรกับศิษย์น้องหญิงเยวี่ย ข้าก็อยากทำทุกสิ่งอย่างเต็มความสามารถเพื่อเจ้าเช่นกัน”


“จะ เจ้าเข้าสำนักภูมิปัญญาเพราะข้าด้วยเนี่ยนะ!?”


“ถูกต้อง” หวังลู่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวต่อ “หลี่น่าน่า บ้านเดิมอยู่ที่ประเทศเยวี่ยจิน แคว้นทักษิณสวรรค์ บิดามารดาเจ้าอพยพมาที่นี่ อีกทั้งบิดาเจ้าก็ได้รับความไว้วางใจจากราชสำนักต้าหมิงให้เป็นหัวหน้าวิหารประทีป พอบิดาเจ้าสิ้นอายุขัย เจ้าก็สืบทอดตำแหน่งของบิดา ทว่าด้วยอายุที่ยังน้อย ทั้งยังขาดแคลนช่องทางในการจัดการสิ่งต่างๆ เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในวิหารประทีปจึงไม่พอใจ และการสนับสนุนของราชสำนักก็ไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนก่อน ดังนั้นอำนาจและอิทธิพลของวิหารประทีปจึงร่วงโรยลง ไม่อาจรุ่งโรจน์เท่าแต่ก่อน…ข้าพูดถูกไหม”


หลี่น่าน่าประหลาดใจไม่น้อย แต่นางก็ตระหนักได้ว่าข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่ความลับอะไร จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อีกฝ่ายจะสืบหาได้


ความจริงในเวลาเดียวกันนี้ ห่างออกไปหลายพันลี้ที่หมู่บ้านตระกูลหวัง หวังลู่เองก็เพิ่งได้ข้อมูลนี้มาจากเย่ชูเฉิน เขาอ่านออกเสียงออกมาดังๆ!


“คุณสมบัติของเจ้าถือว่ายอดเยี่ยม อีกทั้งบิดามารดาเจ้าก็สั่งสอนเจ้ามาอย่างดี เจ้าอายุเพียงเท่านี้ แต่ขั้นตบะของเจ้าก็สูงถึงขั้นสร้างฐานแล้ว เร็วกว่าศิษย์หลายคนในพันธมิตรหมื่นเซียนด้วยซ้ำ หนำซ้ำเจ้ายังได้เรียนรู้วิถีของโลกปุถุชนตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งเจ้ายังฉลาดกว่าผู้บำเพ็ญเซียนทั่วไป แต่ถึงอย่างนั้นมือและเท้าของเจ้ากลับถูกผูกติดอยู่กับวิหารประทีป จนแม้สำนักภูมิปัญญาของข้าพัฒนาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ แต่เจ้าก็แทบไม่มีอำนาจที่จะยับยั้ง หนำซ้ำยังเกือบไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ แน่ล่ะว่าไม่ใช่ว่าเจ้าไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะสำนักแห่งนี้เสื่อมโทรมเกินเยียวยา… ดังนั้นข้าจึงอยากจะช่วยเจ้า”


“เจ้า…?”


“สิ่งที่วิหารประทีปขาดแคลนที่สุดในตอนนี้ก็คือกำลังคน หากเจ้ามีกำลังคน เจ้าย่อมสามารถก่อตั้งสาขาได้ทั่วประเทศ เจ้ายังต้องการแรงงานระดับรากหญ้าจำนวนไม่น้อย ก็เหมือนระบบข้าราชการนั่นล่ะ ทว่าด้วยหลายเหตุผล หลายปีมานี้วิหารประทีปเป็นเพียงแค่หุ่นเชิด เหมือนพลับพลากลางอากาศที่ขาดเสาเชื่อมลงมายังพื้น ทว่าเป็นเพราะสำนักภูมิปัญญาของเราสร้างอยู่บนพื้นดิน มีแรงงานคนสนับสนุนและทรงอิทธิพลไปทั่วประเทศ ข้อมูลเกี่ยวกับเราที่เจ้าพบก็เป็นเพียงเม็ดทรายที่ไหลรอดออกมาตามนิ้วมือ…แน่ล่ะว่าหากเราต้องการพลิกฟ้า เราคงไม่มีความสามารถและความต้องการถึงเพียงนั้น ทว่าความจริงแล้วข้าคิดว่าสำนักภูมิปัญญาและวิหารประทีปควรเชื่อมความสัมพันธ์กันเอาไว้ ต่างฝ่ายต่างได้สิ่งที่ต้องการโดยใช้จุดแข็งของอีกฝ่ายกลบจุดอ่อนของตัวเอง เจ้าต้องการกำลังคนจากสำนักภูมิปัญญาเพื่อสืบต่ออำนาจ ส่วนเราก็ต้องการอำนาจระดับสูงของวิหารประทีป อย่างน้อยเราก็ต้องการสถานะ หากเพราะผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว การร่วมมือของสองสำนักคงไม่มั่นคงพอ แต่หากเราใส่ปัจจัยด้านความรู้สึกเข้าไปด้วย มันจะไม่ยิ่งดีเข้าไปใหญ่หรอกหรือ”


“เอ่อ…” คิ้วได้รูปของหลี่น่าน่าขมวดมุ่น นางเอามือไขว้อกจมอยู่ในความคิด เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้ทำให้นางหวั่นไหวไม่น้อย


“เหลวไหล!”


จูฉินพูดค้านขึ้นมาทันที “นี่เจ้าล้อกันเล่นหรืออย่างไร คิดว่าวิหารประทีปแห่งประเทศต้าหมิงจะร่วมมือกับสำนักมารของเจ้าจริงๆ หรือ!?”


“สำนักมาร?” หวังลู่เหยียดยิ้มอีกรอบ “นอกจากข้า เจ้าเคยเห็นสมาชิกคนอื่นๆ ของสำนักภูมิปัญญาหรือไม่ ข้อมูลของสำนักแห่งนี้ที่เจ้ารู้ถูกกลั่นกรองและบิดเบือนจากความคิดเห็นของผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง แต่เจ้ากลับกล้ายืนกรานว่าไม่คุ้มที่จะร่วมมือกับสำนักของเรา ทั้งๆ ที่เราเองก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันเนี่ยนะ!? ศิษย์น้องจูฉิน นี่หรือคือสิ่งที่เจ้าเรียนรู้จากการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์มาตลอดแปดเดือน น่าขำ ช่างน่าขำยิ่งนัก!”


“เจ้า…”


“เมื่อหนึ่งพันปีก่อน ท่านบรรพบุรุษเต๋อเซิ่งกล่าวเอาไว้ว่า หากยังไม่ได้ตรวจสอบ ก็ไม่ควรบุ่มบ่ามตัดสิน ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าจนถึงตอนนี้ เจ้าก็ยังไม่เรียนรู้อะไรเลยสักนิด… หากเจ้าอยากรู้ว่าสำนักภูมิปัญญาเป็นสำนักมารจริงหรือไม่ เรื่องนั้นง่ายมาก แค่มาใช้ชีวิตอยู่ในสำนักภูมิปัญญากับข้า ตรวจสอบลงลึก คิดทบทวนจากนั้นค่อยหาข้อสรุป”


“…”


“เจ้าคิดว่าอย่างไร ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย คำเชิญนี้สำหรับเจ้าเช่นกัน คิดเสียว่ามันเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่งเถอะ”


จูฉินนิ่งเงียบไปพักใหญ่จากนั้นก็คำรามลั่น “ไร้สาระ! นี่มันไร้สาระยิ่งนัก! เจ้า…”


ก่อนที่จะได้พูดจบประโยค เขาก็ได้ยินเสียงเย็นๆ จากหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ “ตกลง ข้าเองก็สนใจสิ่งที่เจ้าเรียกว่าการร่วมมือกันนี่เช่นกัน”


จูฉินรู้สึกราวกับว่าลูกตาจะหลุดออกมาจากเบ้า!


“ท่านเชียนฮู่ ทะ ท่านควรคิดให้ดีก่อน!”


ทว่าหลี่น่าน่ากลับไม่ใส่ใจเขาแม้แต่น้อย


จูฉินจึงหันศีรษะไปขอความช่วยเหลือจากอีกบุคคลหนึ่ง “ศิษย์น้องหญิง เจ้า…”


แต่ดูเถิด เยวี่ยซินเหยากลับยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนพูดว่า “ข้าว่าศิษย์พี่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว หากไม่ตรวจสอบให้ดี ก็ไม่ควรบุ่มบ่ามตัดสิน”


“อะไรเนี่ย! นี่เจ้าพูดเล่นใช่ไหม!? เขาต้องฆ่าเจ้าแน่!”


เยวี่ยซินเหยาส่ายศีรษะอย่างจริงจัง ดวงตาที่อ่อนโยนกระจ่างใสมองผ่านจูฉินไป “ไม่ ข้าไม่คิดเช่นนั้น เขาบอกว่าเขาชอบข้านี่นา”


………………………………………………


ตอนที่ 33 จะทำอย่างไรหากมีคนล่วงรู้อุบายนี้

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเหวินเป่าฟื้นคืนสติ เขาก็ตระหนักได้ว่ากลียุคได้มาเยือนแล้ว


สารภาพรักกับเยวี่ยซินเหยาและหลี่น่าน่าพร้อมๆ กัน… ศิษย์พี่ ท่านคงไม่คิดหยุดจนกว่าข้าจะตายใช่ไหม! ตอนแรกพอได้พูดคุยฉุกเฉินแล้ว เขาก็คิดว่าได้จะหลุดพ้นสบายๆ อยู่บนสวรรค์ ที่ไหนได้ศิษย์พี่กลับถีบเขาลงนรกต่างหาก!


โธ่เอ๊ย นี่เขาจะถูกศิษย์น้องหญิงเยวี่ยต้มหรือหลี่น่าน่าย่างกันแน่นะ ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยเป็นคนอ่อนโยนจิตใจดี อย่างมากนางก็ตัดความสัมพันธ์กับเขา ทว่าแม่นางเชียนฮู่แห่งวิหารประทีปดูเป็นหญิงสาวโหดเหี้ยมกินคน หนำซ้ำขั้นตบะของนางก็ไม่ถือว่าต่ำ จึงเป็นไปได้สูงว่านางต้องลงโทษเขาอย่างรุนแรง จะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ได้เป็นแน่…


“เจ้างั่ง ตื่นเร็วเข้า!”


เสียงของหวังลู่ปลุกเหวินเป่าให้ฟื้นขึ้นมา “ข้าควบคุมวิกฤติครั้งนี้ได้ชั่วคราวแล้ว แต่ยังห่างไกลจากคำว่าจบสิ้นมากนัก ตอนนี้เวลาในการใช้งานญาณทิพย์หยกใกล้หมดลงแล้ว เจ้าต้องควบคุมสถานการณ์เอาไว้ให้ดีส่วนข้าจะรีบรุดไปที่นั่น คาดว่าคงจะถึงในวันรุ่งขึ้น!”


“วันรุ่งขึ้น ศิษย์พี่แบบนั้นมันนานเกินไป! ข้าตั้งสติยืนอยู่ต่อหน้าแม่นางเชียนฮู่ได้เต็มที่เพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้นล่ะ!”


“งั้นหรือ งั้นข้าจะไปให้ช้ากว่านั้นหน่อยแล้วกัน ไม่แน่ว่าอาจจะเอาพวงหรีดติดมือไปด้วย”


เหวินเป่าพูดไม่ออก “…แต่ศิษย์พี่ ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ ท่านจำเป็นต้องปรากฏตัวจริงหรือ”


“อย่าพูดจางี่เง่าหน่อยเลย หากตัวตนของข้าถูกเปิดโปง เช่นนั้นความพยายามทั้งหมดของเราก็เท่ากับสูญเปล่าแล้ว… ดังนั้นจงจำไว้ แม้คนอื่นๆ จะเริ่มสงสัย แต่เจ้าห้ามปริปากเรื่องความสัมพันธ์ของเราเด็ดขาด บอกพวกเขาว่าข้าไม่ได้มาที่ประเทศต้าหมิง แต่ไปพักผ่อนที่ประเทศชางหลาน เข้าใจหรือไม่!?”


“หา? ประเทศชางหลาน!?”


“ถูกต้อง เจ้า บุตรชายของราชครูได้จัดหาสาวบริสุทธิ์เจ็ดสิบสองคนให้ข้าได้หย่อนใจอย่างลับๆ… ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักภูมิปัญญา! ต่อให้มีคนชักกระบี่บินออกมาชี้ที่ช้างน้อยของเจ้า เจ้าก็ห้ามปริปาก!”


“หา?”


ก่อนที่เหวินเป่าจะได้ไถ่ถามรายละเอียดเพิ่มเติม เสียงของหวังลู่ก็เงียบไป ญาณทิพย์หยกเปลี่ยนสภาพและไม่อาจใช้ประโยชน์ได้อีก


เมื่อเขาฟื้นคืนสติโดยสมบูรณ์ เหวินเป่าก็พบว่าตัวเองยังคงนั่งอยู่ในโถงหลักของวิหารประทีป หลี่น่าน่า เยวี่ยซินเหยา รวมถึงจูฉินต่างอยู่ในภวังค์ของตนเอง


ผ่านไปพักใหญ่ หลี่น่าน่าก็ทำลายความเงียบขึ้น “วันพรุ่งนี้ เวลานี้ ที่นี่ ข้าว่าเรามาลงลึกเรื่องความร่วมมือกันอีกสักหน่อยเถอะ ช่วยเตรียมตัวมาให้พร้อม นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ”


พูดจบ ท่านเชียนฮู่ก็หมุนตัวเดินกลับไปยังด้านหลังห้องโถง เหวินเป่าโล่งใจเป็นที่สุดที่นางไม่ได้เอ่ยถึงการสารภาพรักของเขา


ดังนั้นสามคนที่เหลืออยู่ในห้องโถงแห่งนี้จึงล้วนเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณ หลังจากเงียบกันไปอีกพักใหญ่ จูฉินก็ถอนหายใจและทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเยวี่ยซินเหยากลับเร็วกว่าก้าวหนึ่ง “ศิษย์พี่จูฉิน… ข้าขอพูดกับศิษย์พี่เหวินเป่าตามลำพังได้หรือไม่”


จูฉินรู้สึกราวกับถูกหินหนักๆ ทุบเข้าที่หน้าอก ทำให้หายใจแทบไม่ออก


พูดถึงเยวี่ยซินเหยา ศิษย์น้องหญิงที่อ่อนหวานจิตใจดีเช่นนาง หากจะพูดว่าเขาไม่หวั่นไหวเพราะนางก็คงจะถือว่าโกหก… บนเขากระบี่วิญญาณนั้น มีศิษย์ที่เป็นผู้หญิงมากมาย หนำซ้ำคุณสมบัติของพวกนางก็ยังสูงล้ำ ทว่ามีเพียงไม่กี่คนที่ดึงดูดสายตาเขา แน่ล่ะหากจะพูดว่าความรู้สึกที่เขามีต่อนางนั้นมากล้นก็คงจะเกินเหตุไปหน่อย มันก็แค่ว่า ยากที่จะยอมรับว่าความสัมพันธ์อันดีที่พวกเขามีต่อกันถูกเจ้าอ้วนนี่เขามาขัดขวางอย่างปุบปับ ราวกับว่าเขากลืนจานที่เต็มไปด้วยแมลงวันลงท้องไป


ขณะกำลังลังเล เยวี่ยซินเหยาก็เร่งอีกครั้ง “ศิษย์พี่จูฉิน ข้าขออภัยจริงๆ…”


จูฉินฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะไปนั่งที่ด้านหลัง เจ้าสองคนก็คุยกันตรงนี้แหละ”


หลังจากออกจากห้องโถงไป ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับเจ็ดผู้มีหน้าตาหมดจด อีกทั้งร่างกายยังแข็งแกร่งผิดธรรมดา ก็ตกบันไดลงไปหลายขั้นจนหน้าเกือบคะมำ!


——


“เอ่อ ตอนนี้ก็เหลือเพียงเราสองคนแล้วล่ะศิษย์พี่”


เมื่อถูกเยวี่ยซินเหยาจ้องมองมาพร้อมรอยยิ้มละไม เหวินเป่าก็รู้สึกราวกับว่าพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขากำลังกระเจิดกระเจิงไปเสียอย่างนั้น แม้ก่อนหน้านี้ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยจะดีกับเขา แต่นางก็ไม่เคยแสดงความอ่อนโยนกับเขาขนาดนี้มาก่อน


เขาคิดในใจ ‘ศิษย์พี่ ท่านเป็นหัวหน้าที่ดีจริงๆ ศิษย์พี่ผู้แสนประเสริฐของข้า! ดูดวงตาที่อ่อนโยนราวน้ำบริสุทธิ์นี่สิ ต่อให้ข้าต้องตายไปเสียเดี๋ยวนี้ ข้าก็เต็มใจแล้ว!”


ทว่าอึดใจถัดมา คำพูดของเยวี่ยซินเหยาก็ดึงเหวินเป่าลงมาจากสวรรค์ “เป็นศิษย์พี่หวังลู่ใช่หรือไม่”


“หือ?”


“คนที่พูดกับพวกเราก่อนหน้านี้เป็นศิษย์พี่หวังลู่ใช่หรือไม่”


“ฮ่าๆๆ ศิษย์น้องหญิง เจ้านี่ช่าง…” ปฏิกริยาแรกของเหวินเป่าคือตอบปฏิเสธ อย่างไรเสียคำเตือนของหวังลู่ก็ยังก้องอยู่ในหูของเขา จำเอาไว้ หากมีใครคิดสงสัย อย่าได้ยอมรับเชียวว่าเจ้ากับข้ามีความสัมพันธ์กันในเรื่องนี้!


แต่เหวินเป่าต้องยอมรับว่า ภายใต้สายตาของศิษย์น้องเยวี่ยที่มองมา มันยากเหลือเกินที่จะโกหก! สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือนิ่งเงียบ


เมื่อเห็นว่าเหวินเป่าเอาแต่นิ่งเงียบ เยวี่ยซินเหยาก็รู้ได้ทันทีว่านางเดาได้ถูกต้องแล้วจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ศิษย์พี่เหวิน ก่อนหน้านี้คำพูดคำจาของท่านไม่เหมือนท่านแม้แต่น้อย”


เหวินเป่ารู้สึกหมดกำลังใจ เขาได้แต่คิดว่า ‘ใช่ซี่ ข้าเป็นเพียงแค่เหวินเป่า ต่อให้เป็นเหวินเป่าผู้รู้ตื่นก็เถอะ จะไปเทียบกับนิ้วเพียงนิ้วเดียวของศิษย์พี่หวังลู่ได้อย่างไร เขาแค่ควบคุมร่างข้า พูดผ่านปากข้าเพื่อให้ข้ารอดพ้นสถานการณ์อันตรายต่างหาก!’


เมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเหวินเป่า เยวี่ยซินเหยาก็รีบอธิบาย “ศิษย์พี่เหวินเป่า ข้าแค่อยากบอกว่าท่านไม่ใช่คนประเภทที่พูดจาดุดันเช่นนั้น เมื่อเทียบกับศิษย์พี่หวังลู่แล้ว ท่านสุภาพและไม่ซับซ้อนเท่า… นี่ไม่ใช่ข้อบกพร่อง แต่เป็นนิสัยของแต่ละคน ก็เหมือนกับที่คนในอาณาจักรเก้าแคว้นมีผมและตาสีดำ ส่วนในโลกตะวันตกกลับมีคนผมทองมากมาย ไม่ใช่ว่าใครจะเหนือกว่าใคร…”


เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหวินเป่าก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยช่วยปลอบประโลมให้จิตใจเขาสงบลงได้จริงๆ!


“ในเมื่อคำพูดเหล่านั้นเป็นของศิษย์พี่หวังลู่… เช่นนั้นสำนักภูมิปัญญาย่อมเป็นความคิดของเขาแน่ หากเป็นเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ศิษย์พี่หวังลู่ชำนาญในการทำเรื่องประเภทนี้อยู่แล้ว ตอนงานชุมนุมคัดเลือกเซียน แม้ข้าจะเป็นเพียงศิษย์สำนักนอก แต่ต่อมาท่านอาจารย์ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านดอกท้อและจุดตรวจต่างๆ ให้พวกเราฟัง ว่ากันว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่พิชิตภารกิจที่ซ่อนอยู่ของหมู่บ้านดอกท้อได้สำเร็จ ช่างเป็นคนที่น่าอัศจรรย์เสียจริง”


เหวินเป่าหุบยิ้มพลางพยักหน้า


“แน่นอนว่าท่านเองก็น่าอัศจรรย์เช่นกันศิษย์พี่เหวินเป่า ท่านสามารถติดตามศิษย์พี่หวังลู่ไปตลอดการเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้… หากเป็นข้า ข้าคงถอนตัวออกจากกลุ่มนานแล้ว” เยวี่ยซินเหยาส่ายศีรษะอย่างหวาดกลัว “อย่างไรเสียในเมื่อสำนักภูมิปัญญาเป็นความคิดของศิษย์พี่หวังลู่ ข้าเองก็วางใจได้ ข่าวลือพวกนั้น…น่าจะผิดพลาด โปรดช่วยส่งต่อคำพูดของข้า บอกเขาทีว่าข้าเชื่อเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรอีก มันรังแต่จะสร้างปัญหาให้พวกท่านก็เท่านั้น อย่างไรเสีย อีกไม่นานก็จะเข้าเดือนที่เก้าของการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์แล้ว ดังนั้นข้าว่าไม่กี่วันนี้ข้าก็จะกลับขึ้นเขาแล้ว แย่สุดก็ไปอยู่ที่หมู่บ้านธาราวิญญาณ ฝึกบำเพ็ญเซียนและรวบรวมสิ่งที่ข้าได้รับจากการสำรวจสุสานโบราณที่นั่น”


“…หา?” เหวินไปนิ่งไปอึดใจหนึ่งจากนั้นก็รีบตอบกลับทันใด “ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้!”


ดวงตาของเยวี่ยซินเหยาเบิ่งกว้างขึ้นเล็กน้อย “ข้าทำไม่ได้?”


เหวินเป่าตื่นตระหนกอยู่ในใจ เขารู้ตัวว่าใช้คำพูดผิดไปเสียแล้ว ทว่าหากเขาปล่อยให้ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยกลับขึ้นเขาไป และหากสถานการณ์เกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญาไปเข้าหูผู้อาวุโส โดยเฉพาะผู้อาวุโสฝ่ายวินัยเข้า ผู้อาวุโสฟางเฮ่อย่อมไม่พูดจาดีเช่นศิษย์น้องหญิงเยวี่ยเป็นแน่! สิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าก็คือ ไม่ว่าหวังลู่จะรับมือกับความโกรธเกรี้ยวของผู้อาวุโสฝ่ายวินัยอย่างไร เขา เหวินเป่าในฐานะผู้ร้ายปล่อยข่าว ย่อมถูกฆ่าอย่างแน่นอน


แล้วนี่เขาจะทำอย่างไรดี เขาจะทำอย่างไรดี… !?


อย่าสติแตก…ใช่แล้วอย่าสติแตก ข้าคือเหวินเป่าผู้รู้ตื่น ข้านี่แหละคือเหวินเป่าผู้รู้ตื่น!


“ศิษย์น้องหญิง ข้าว่า… แทนที่จะรีบกลับสำนัก เจ้าไปเยี่ยมชมสำนักภูมิปัญญาก็ไม่เลวนะ สำนักนี้น่าสนใจอย่างมาก แถมหลายเดือนมานี้ข้ายังได้ประโยชน์จากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์จากที่นี่ไม่น้อยทีเดียว”


เยวี่ยซินเหยามีท่าทีลังเล “แต่…ศิษย์พี่หวังลู่จะไม่ชอบใจที่ข้าไปเกะกะขวางทางที่นั่นหรือเปล่า”


เหวินเป่ารีบตอบ “เจ้าดูสิ แม้แต่คนเงอะงะซุ่มซ่ามอย่างข้า…”


ก่อนที่จะพูดต่อจนจบ เขาก็รีบเอามือปิดปากอย่างร้อนรน ภายในใจก็ก่นด่าตัวเอง อยากเอาปากออกไปไกลๆ เสียเหลือเกิน เขาคิดในใจ ‘เจ้าโง่! เจ้าหลุดปากออกไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร! นี่มิใช่เป็นการยอมรับว่าศิษย์พี่หวังลู่อยู่ที่นั่นจริงๆ หรอกหรือ!


ศิษย์พี่หวังลู่กำชับเป็นพิเศษว่าต่อให้ใครเริ่มที่จะสงสัย ข้าก็ห้ามยอมรับเด็ดขาด!’


แน่ล่ะว่า ดวงตาของศิษย์น้องเยวี่ยฉายแววพึงพอใจ “หากศิษย์พี่หวังลู่ไม่มองข้ามข้าเช่นนั้นก็ดี จากนี้ไปข้าขอฝากตัวด้วยนะศิษย์พี่เหวินเป่า!”


เหวินเป่าอยากร่ำไห้แต่กลับไม่มีน้ำตา เขาได้แต่คิดว่า ‘ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย ทำไมเจ้าต้องอ่อนโยนและใจดีขนาดนี้ด้วยเล่า เจ้าจะใจร้ายสักนิดไม่ได้เชียวหรือ คนโง่เช่นข้าไม่รู้จะรับมือกับเจ้าอย่างไรแล้ว!’


——


“แล้วเราจะทำอย่างไรกับศิษย์พี่จูฉินดี”


ขณะที่เหวินเป่าและเยวี่ยซินเหยากำลังจะออกจากวิหารประทีป นางก็ถามขึ้นอย่างกังวล


“ศิษย์พี่จูฉิน?”


เยวี่ยซินเหยาพยักหน้าพลางพูดว่า “ข้าว่าศิษย์พี่หวังลู่ย่อมไม่ต้องการให้เรื่องของสำนักภูมิปัญญารู้ถึงหูคนในสำนักเราเป็นแน่”


“เอ่อ…”


“อืม ศิษย์พี่หวังลู่กับอาจารย์ของเขานั้นเหมือนกันมาก มักพูดและทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดเสมอ แต่ก็ใช่ว่าผู้อาวุโสทุกคนจะเคยชินกับสิ่งนี้ ดังนั้น…ข้าจึงคิดว่าเขาคงไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของสำนักภูมิปัญญา ทว่าศิษย์พี่จูฉินอาจจะเดาได้อย่างรวดเร็วว่าศิษย์พี่หวังลู่เกี่ยวข้องกับสำนักภูมิปัญญาด้วย และศิษย์พี่จูฉินนั้น…เป็นพวกที่เคร่งครัดกฎมากกว่า ดังนั้นเขาอาจส่งจดหมายไปรายงานเรื่องนี้ให้สำนักได้รู้ เช่นนี้ข้าจึงอยากรู้ว่าเราจะทำอย่างไรกันดี”


เหวินเป่านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกเหมือนหัวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ พลางคิดในใจ ‘ข้าเป็นเพียงหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน ที่เชี่ยวชาญแค่การขนอิฐ ขนอิฐและขนอิฐ แต่ตอนนี้ข้าต้องทำตัวเป็นหลานปู่ชั่วคราว สถานการณ์ที่ต้องใช้สมองเช่นนี้ไม่เหมาะกับข้าเลยแม้แต่น้อย!’


เยวี่ยซินเหยากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เช่นนั้นเราติดต่อศิษย์พี่หวังลู่ดีไหม”


เหวินเป่ายกมือขึ้นปิดใบหน้าอย่างสิ้นหวัง “ข้า ข้าทำพลาดไปแล้ว…”


——


วันถัดมา หวังลู่ก็ปรากฏตัวตรงตามเวลา


ในโรงเตี๊ยมที่เหวินเป่าอาศัยอยู่ หวังลู่ต้อนรับศิษย์น้องหญิงเยวี่ยซินเหยาอย่างเป็นกันเอง


“ศิษย์น้องหญิง ขอต้อนรับสู่สำนักภูมิปัญญา”


ความตรงไปตรงมาของหวังลู่ทำให้เยวี่ยซินเหยาประหลาดใจและสับสนไม่น้อย นางไม่คาดคิดว่าหวังลู่จะทำตัวเปิดเผยเช่นนี้ ตัวตนของเขาควรเก็บเป็นความลับระดับสูงมิใช่หรือ


“ศิษย์พี่ ข้า…”


“เจ้าเชื่อข้าเถอะ ไม่ว่าเจ้าเคยได้ยินได้ฟังสิ่งใดมา ทันทีที่เจ้าได้ไปเยี่ยมชมสำนักของข้า เจ้าย่อมต้องไม่ผิดหวังแม้แต่น้อยแน่”


พูดจบ หวังลู่ก็เปลี่ยนหัวข้อในทันที “เหวินเป่า?”


ในใจของเหวินเป่ารู้สึกหวาดหวั่นไม่น้อย “ศิษย์พี่?”


“ข้าจำได้ว่าอีกไม่นานก็จะถึงเวลานัดหมายของเจ้ากับแม่นางเชียนฮู่แล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงหัวหน้าวิหารประทีป นางจำต้องมารอคนที่เป็นเพียงหัวหน้าหน่วยเช่นเจ้าหรือ”


“แต่…”


“วางใจเถอะ การเจรจาระดับนี้ย่อมไม่จบง่ายๆ ภายในวันสองวันแน่ วันนี้อย่างมากพวกเจ้าก็แค่แลกเปลี่ยนปูมหลังของสำนักภูมิปัญญาและวิหารประทีป เจ้าก็แค่บอกสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญาเท่าที่รู้ให้นางฟังก็พอ อย่าลืมว่าให้พูดในด้านดีเข้าไว้ หากเจ้าอยากจะพูดโอ้อวดสักนิดข้าก็ไม่เห็นว่าเป็นปัญหา ส่วนเรื่องแผนการและความเป็นไปได้ต่างๆ เราค่อยมาเจรจากันทีหลัง”


เหวินเป่าถามกลับ “หากนางถามคำถามที่ข้าไม่เข้าใจ หรือถามถึงความลับของสำนักอย่างอ้อมๆ เล่า”


“ข้าต้องสอนด้วยหรือว่าเจ้าควรตอบสนองอย่างไร แค่ยิ้มเป็นนัยๆ โดยไม่ต้องปริปากอะไรก็พอแล้ว!”


“ว่าไงนะ…”


“เอาล่ะ หมดเวลาเรียนของคนหัวทึ่มแล้ว ตอนนี้จงไปดูแลแม่นางเชียนฮู่ให้ดีๆ ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยกับข้าจะจัดการเรื่องจูฉินเอง เสียเวลามาพอแล้ว ไปได้!”


……………………………………………


ตอนที่ 34 ได้ยินว่าเจ้าจะฟ้องงั้นหรือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เหวินเป่าเดินทำหน้าเศร้าไปพบแม่นางเชียนฮู่พร้อมผู้ช่วยของเขาทั้งสองคน ขณะเดียวกัน หวังลู่และเยวี่ยซินเหยาก็ออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อไปสร้างปัญหาให้จูฉิน


“ศิษย์พี่หวังลู่ ข้า…”


ระหว่างทางเยวี่ยซินเหยาต้องการอธิบายบางอย่าง แต่หวังลู่ยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน “ไม่ต้องขอโทษข้าหรอก ข้าดีใจที่ได้ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยมาช่วยทันเวลา”


เยวี่ยซินเหยาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว


ศิษย์พี่หวังลู่ก็คือศิษย์พี่หวังลู่วันยังค่ำ นางยังไม่ทันเอ่ยปาก เขาก็รู้ทันทีว่านางต้องการจะพูดอะไร หนำซ้ำยังชิงพูดจาปลอบประโลมนางอีกต่างหาก


เมื่อเทียบกับตอนที่พวกเขายังอยู่บนเขา หวังลู่ในตอนนี้ดูผอมลงแต่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น หากเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อน นางคงนึกไม่ออกว่าเขาจะกล่าวอะไรเช่นนี้ออกมาได้ด้วย เพราะหวังลู่ในตอนนั้นช่าง…


“ศิษย์พี่ แล้วนี่เราจะบอกศิษย์พี่จูฉินว่าอย่างไร ข้าเกรงว่า… ผลที่ได้จะไม่ดีเท่าไรนัก”


หวังลู่กล่าวตอบ “ข้ารู้ เช่นนั้นแล้วข้าถึงต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ไม่อย่างนั้นข้าก็แค่ส่งเหวินเป่ามาก็ได้ เจ้าอ้วนเดนตายนั่นทนอยู่ต่อหน้าหญิงสาวไม่ได้นาน เพราะเขาจะใจอ่อน แต่หากอยู่ต่อหน้าชายหนุ่ม เขานับว่ายังมีประโยชน์อยู่บ้าง”


นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่วิหารประทีป ตอนที่เหวินเป่าผู้รู้ตื่นสามารถกำราบความโอหังของรัชทายาทจูฉินลงได้ เยวี่ยซินเหยาก็อดปิดปากหัวเราะไม่ได้ “แปดเดือนให้หลังมานี้ ความก้าวหน้าของศิษย์พี่เหวินเป่าถือว่ารวดเร็วนัก ท่านชี้แนะเขาได้ดีมากศิษย์พี่”


หวังลู่ตบอกตัวเองอย่างภูมิใจ “กองกำลังปฏิวัติย่อมปลุกปั่นผู้คนให้ฮึกเหิมขึ้นได้”


“กองกำลังอะไรนะ”


“เปล่าหรอก… อ้า เรามาถึงกันแล้ว”


ขณะพูดคุยกัน คนทั้งคู่ก็มาถึงจวนของจูฉิน ซึ่งความจริงแล้วก็คือวังหลวงของประเทศต้าหมิงนั่นเอง


ในเมื่อที่นี่คือวังหลวงของประเทศต้าหมิง การรักษาความปลอดภัยย่อมหนาแน่นกว่าที่วิหารประทีปมาก ที่สองฝั่งของประตูทางเข้ามียามยืนเรียงสองแถวแถวละสิบกว่าคน หนำซ้ำพวกนั้นยังไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่ละคนมีตบะขั้นสร้างฐาน บนตัวสวมเกราะและถือหอกตามเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งล้วนเป็นอาวุธวิเศษระดับกลางที่มีมูลค่าไม่น้อย


เยวี่ยซินเหยาอดถอนหายใจไม่ได้ “ในแคว้นธาราคราม ประเทศต้าหมิงเป็นเพียงประเทศระดับกลางๆ แต่วังหลวงก็ยังโอ่อ่าถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่แปลกใจเลยหากจะมีปรมาจารย์เทพเซียนตบะขั้นสร้างแกนคอยกำกับสิ่งต่างๆ อยู่ในวังหลวง”


ทว่าหวังลู่กลับไม่ได้มีท่าทีประทับใจ “พวกเขาอาจจะเป็นแค่ยามที่จ้างมาจากหอนภาเร้นลับก็ได้ ไม่แน่ว่าข้างในอาจจะมีผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนอยู่จริงๆ แต่ความสามารถของเขาอาจจะเทียบได้แค่ตบะขั้นพิสุทธิ์”


เยวี่ยซินเหยาฉงน “จะเป็นไปได้อย่างไร”


“พูดง่ายๆ ก็คือ วังหลวงของประเทศต้าหมิงนั้นไม่ได้มีคนแห่งโลกเซียนเป็นของตนเอง ดูจากสถานการณ์ของวิหารประทีปเอาก็ได้ ดังนั้นเมื่อใดที่วังหลวงของประเทศต้าหมิงต้องการกำลังจากผู้บำเพ็ญเซียน พวกเขาจึงทำได้เพียงจ้างเอา และในเมื่อตอนนี้ธุรกิจของหอนภาเร้นลับพัฒนาขึ้นไม่น้อย ตราบใดที่พวกเขามีเงินจ่าย พวกเขาจะจ้างผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนก็ย่อมได้”


เยวี่ยซินเหยาเอียงคอนิ่งคิด “เช่นนั้นก็นับว่าเป็นข้อตกลงที่ไม่เลวสำหรับประเทศต้าหมิง หากฝึกกองกำลังของตัวเองเป็นเรื่องยาก จ้างเอาจากคนอื่นก็ไม่นับว่าแย่อะไร”


หวังลู่โบกไม้โบกมือไม่เห็นด้วย “หากเป็นประเทศเล็กๆ อย่างประเทศชางหลาน การจ้างกองกำลังย่อมดีกว่าสร้างขึ้นเอง แต่อย่างไรเสียประเทศต้าหมิงก็เป็นประเทศระดับกลาง พวกเขาจะไม่ทะเยอทะยานก็ไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นการจ้างผู้บำเพ็ญเซียนตบะสร้างแกนไว้ในวังหลวง แล้วหากวันหนึ่งมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนจากลัทธิมารมาก่อความวุ่นวายในเมืองนี้ เจ้าว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนที่จ้างมาจะอุทิศตนต่อสู้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนจอมชั่วร้ายนั่นหรือ อย่างมากเขาก็แค่ประมือสองสามกระบวนท่าแล้วก็หนีไป กลายเป็นว่าก็ไม่ต่างจากจ้างผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นพิสุทธิ์ ประเทศใหญ่ๆ ที่มีประชากรมากถึงสิบล้านคน แต่มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนดูแลเพียงแค่คนเดียว เจ้าว่ามันจะพอหรือ”


เยวี่ยซินเหยาพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วศิษย์พี่ ขอบคุณท่านมากที่ชี้ข้อเท็จจริงให้ข้าเห็น”


พวกเขาพูดคุยกันขณะเดินตรงไปยังประตูวัง แน่นอนว่าเหล่ายามต้องสังเกตเห็นการปรากฏกายของคนทั้งสองและเริ่มตื่นตัว ทว่าเห็นได้ชัดว่าคนทั้งคู่มีพื้นเพไม่ธรรมดา อีกทั้งยังไม่ได้ก้าวล้ำไปยังพื้นที่ต้องห้าม จึงไม่มีเหตุผลที่จะไล่ตะเพิดไป


ทว่าอึดใจถัดมา หวังลู่ก็ใช้มือข้างหนึ่งร่ายเปลวไฟขึ้นมาและส่งมันขึ้นฟ้าก่อนที่ไฟจะมอดไหม้ลง การกระทำนี้ทำให้พวกยามลำบากใจ เพราะตามกฎแล้ว การร่ายอาคมบริเวณวังหลวงถือเป็นเรื่องต้องห้าม และผู้ที่ฝ่าฝืน…


เคราะห์ดีที่ก่อนที่พวกยามจะจัดการกับผู้ที่ฝ่าฝืน บุคคลหนึ่งก็ออกมาจากในวังอย่างรวดเร็วเพื่อต้อนรับแขกไม่ได้รับเชิญทั้งคู่


ใบหน้าของจูฉินอาบด้วยรอยยิ้มแฝงชัยชนะอย่างที่คาดเอาไว้ ฝีเท้าของเขารวดเร็วอย่างยิ่งราวกับว่าอดรนทนไม่ได้


เมื่อวาน หลังจากได้เห็นการแสดงที่น่าสะพรึงและน่าหวาดหวั่นของเหวินเป่าผู้รู้ตื่น เมื่อกลับมายังวังหลวง จูฉินก็ถึงกับนอนไม่หลับ ระหว่างที่กำลังตาแข็งอยู่นั้น เบาะแสหนึ่งก็แวบเข้ามาในห้วงความคิด เขาไม่ได้มีสัญชาตญาณที่เฉียบแหลมอย่างเยวี่ยซินเหยา ทั้งยังไม่รู้ว่ามีสิ่งที่เรียกว่าญาณทิพย์หยกอยู่ เขารู้เพียงว่าโดยเนื้อแท้แล้วเหวินเป่าเป็นเพียงแค่เศษสวะ แม้เจ้านั่นจะมีความสามารถที่ซ่อนเร้นอยู่ แต่จะมีสักกี่เรื่องที่เหวินเป่าค้นเจอได้ด้วยตนเอง ตอนที่พวกเขาอยู่บนเขา เหวินเป่าไม่เอาไหนสุดๆ ต้องยกความดีความชอบให้หวังลู่ที่ช่วยให้การบำเพ็ญเซียนของเหวินเป่าพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และตอนนี้ หลังจากที่ลงเขามาแปดเดือน บุคลิกของเหวินเป่ากลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง… เห็นได้ชัดว่าหวังลู่ต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างแน่นอน


หนำซ้ำสำนักภูมิปัญญาอะไรนั่นย่อมเป็นสิ่งที่หวังลู่คิดขึ้นแน่ เมื่อคืนเขาได้รับรายงานจากสายลับของวังหลวง ว่าหากดูตามจำนวนผู้ติดตามซึ่งมีเกินหนึ่งล้านคน สำนักภูมิปัญญาถือว่าน่ากลัวยิ่ง! ท่ามกลางบุคคลที่มีปัญญาเฉียบแหลมในประเทศต้าหมิง เขาก็นึกถึงใครไม่ออกแล้วที่จะสามารถพัฒนากองกำลังให้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ในเวลาเพียงครึ่งปีกว่า ทว่าหากเขาใส่หวังลู่ลงในสมการนี้ ทุกอย่างก็จะลงตัวพอดี ความจริงเรื่องนี้ แม้ว่าจูฉินจะไม่อยากยอมรับมากเท่าไรก็ตาม แต่เขาก็รู้ดีว่าเมื่อเทียบกันตามความสามารถ หวังลู่ที่เป็นศิษย์ผู้สืบทอดนั้นดีกว่าเขาหลายเท่านัก


เวลานี้ หากเขาต้องเผชิญหน้ากับเหวินเป่า เขายังรู้สึกว่าตนเองเหนือชั้นกว่าเล็กน้อย ทว่าหากเป็นหวังลู่แล้ว นับว่าเป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว เขากับหวังลู่ไม่ได้มีความเกลียดชังต่อกัน ทว่าหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาเอาแต่โต้เถียงและถากถางกันไปมา จนความสัมพันธ์ก็ไม่ถือว่ากลมเกลียวเช่นเดียวกัน ในสองปีแรกของการบำเพ็ญเซียน หวังลู่มีดีแค่เพียงการเป็นนักเรียนแถวหน้า จูฉินจึงยังไม่รู้สึกรู้สาอะไรมากนัก ทว่าหลังจากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ที่เขาเมฆาครามเล็ก จูฉินกลับรู้สึกสั่นกลัวทุกครั้งที่ทั้งคู่พบกัน


ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป เมื่อจูฉินแน่ใจว่าหวังลู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักภูมิปัญญา จูฉินก็รู้ได้ในทันทีว่าเขาจับหวังลู่ได้คาหนังคาเขา แม้สำนักกระบี่วิญญาณจะไม่เคร่งกฎกับศิษย์ผู้สืบทอดนัก แต่ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยย่อมไม่ยอมให้ลูกศิษย์ตั้งสำนักนอกรีตที่มีผู้ติดตามเกินหนึ่งล้านคนแน่! ความคิดนี้ย่อมออกมาจากหวังลู่ไม่ผิดแน่ เขาเองก็ไม่ต่างจากผู้อาวุโสห้าแห่งยอดเขาไร้ลักษณ์ที่มักภาคภูมิใจกับความไม่มีขื่อมีแปของตน ทว่าจูฉินไม่ใช่ผู้อาวุโสห้า หนำซ้ำแม้แต่ผู้อาวุโสห้าเองก็มักเข้าตาจนอยู่บ่อยๆ ทุกคราที่แหกกฎของสำนัก แล้วหวังลู่เป็นใครกันถึงจะรอดพ้นจากการถูกลงโทษไปได้


แน่นอนว่าจูฉินไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรมที่จะใช้พิสูจน์ว่าหวังลู่เป็นแกนนำของสำนักภูมิปัญญา ความจริงแล้ว แม้สายลับวังหลวงของประเทศต้าหมิงจะลงทุนลงแรงไปขนาดไหน พวกเขาก็แทรกซึมเรื่องการจัดการของสำนักภูมิปัญญาไปได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ต้นกำเนิดที่ลึกลับของเจ้าสำนักภูมิปัญญายังคงเป็นความลับอยู่ ทว่าจูฉินไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เรื่องนี้ให้กระจ่าง แค่เพียงเขาส่งรายงานกลับไปที่สำนัก เหล่าผู้อาวุโสย่อมต้องถูกส่งลงเขามาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างแน่นอน


ดังนั้นทันทีที่ก้าวออกมาจากวังหลวงและได้เห็นหน้าหวังลู่ หัวใจของจูฉินก็ท่วมท้นด้วยความปรีดา พลางคิดว่าวันที่เขาถือแต้มต่อได้มาถึงแล้ว ‘ฮ่า! เขาอาจขอให้ข้าเก็บเรื่องนี้เป็นความลับและไม่รายงานผู้อาวุโส พูดก็พูดไปในฐานะศิษย์ผู้น้องข้าไม่ควรตีคนตอนล้ม แต่ใครใช้ให้ข้าเป็นศิษย์ตัวอย่างที่ยึดมั่นในกฎระเบียบกันเล่า ฮ่าๆๆ!’


“ฮ่ะๆๆ ศิษย์พี่หวังลู่ ข้าคิดแล้วเชียวว่าต้องเป็นท่าน ข้ากำลังอยากพบท่านอยู่พอดี”


หวังลู่หยุดเดินพลางยิ้ม “ย่อมได้ศิษย์น้อง”


จูฉินกระแอมและแสร้งพูด “เรื่องมันอย่างนี้ ข้าได้ยินมาว่าไม่กี่เดือนมานี่ มีสำนักหนึ่งก่อตั้งขึ้นในประเทศต้าหมิง ทั้งยังพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ครึ่งปีกว่ามานี้ พวกเขามีผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งล้านคน…”


หวังลู่ขัดขึ้น “สำนักภูมิปัญญาสินะ ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นกัน”


“ใช่แล้ว สำนักภูมิปัญญา” จูฉินกัดฟัน มองไปยังใบหน้าสงบสุขุมของหวังลู่ พลางร้องอุทานในใจ ‘เจ้านี่ตีหน้าซื่อเก่งนักนะ!’


“แล้วสำนักภูมิปัญญามันทำไมหรือ เจ้ามีอะไรอยากจะพูดกับข้ากันเล่า” หวังลู่มองหน้าจูฉินอย่างใคร่รู้ราวกับว่าสำนักภูมิปัญญากับเขาไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน


จูฉินเหยียดยิ้ม “เป็นเช่นนี้ ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ศิษย์น้องเหวินเป่าเข้าไปอยู่ในสำนักนอกรีตนั่นแล้วได้เป็นถึงผู้อาวุโสของสำนัก… ข้าเลยนึกได้ว่าแต่ไหนแต่ไรท่านก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา ไม่แน่ว่าท่านอาจจะรู้อะไรบ้าง”


หวังลู่เลิกคิ้วพลางหุบยิ้ม “เจ้าอ้วนเดนตายนั่นไม่ใช่ลูกนอกสมรสของข้าเสียหน่อย เขาจะไปเป็นอาวุโสที่ไหน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า ไม่แน่ว่าตอนอยู่บนเขาเขาอาจเบื่อการเป็นลูกไล่ ดังนั้นพอลงเขามา เขาอาจอยากเรียนรู้ประสบการณ์น่าตื่นเต้นของการได้เป็นหัวหน้าก็ได้”


จูฉินเพ่งมองหวังลู่ “หรือก็คือ ศิษย์พี่หวังลู่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?”


หวังลู่ผายมือออกแต่กลับไม่พูดอะไร


ท่าทีไม่แยแสนี้ทำให้จูฉินรู้สึกรำคาญไม่น้อย ก่อนหน้านี้เขาวางแผนจะพูดจายั่วยุหวังลู่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะถูกยั่วกลับเสียเอง! จูฉินคิดในใจ ‘ดี ข้าเองก็เบื่อจะเล่นแล้ว มาพูดเข้าประเด็นกันเลยดีกว่า!’


“ข้าว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ แต่ก็ชี้ชัดไม่ได้ว่าแปลกตรงไหน เพื่อความปลอดภัยของเหวินเป่าและเพื่อชื่อเสียงของสำนักกระบี่วิญญาณ ข้าคิดว่าจะเขียนรายงานไปยังผู้อาวุโส ขอให้พวกเขาลงมาตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถึงแก่น”


คำพูดนี้เหมือนเป็นไม้ตายของจูฉิน เขาหงายไพ่มาแล้ว ตอนนี้เขาก็แค่รอดูว่าหวังลู่จะตอบสนองอย่างไร


ทว่าหวังลู่ทำเพียงหัวเราะขำ “ศิษย์น้อง เจ้าคิดจะเขียนรายงานถึงผู้อาวุโสหรือ”


“ใช่ ข้าต้องการให้ผู้อาวุโสตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพื่อที่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจะได้ไม่อาจเอาชื่อของสำนักกระบี่วิญญาณไปทำเรื่องเลวทรามได้”


จูฉินกล่าวอย่างมีชัย ทันใดนั้นสายตาของเขากลับเห็นเยวี่ยซินเหยาซึ่งยืนอยู่ข้างๆ หวังลู่ขมวดคิ้ว


เขาคิดในใจ ‘…เดี๋ยวก่อนนะ หรือข้าพูดอะไรผิดไป’


โชคร้ายที่ก่อนที่จูฉินจะมีเวลาคิดเรื่องนี้ให้กระจ่าง หวังลู่ก็หัวเราะขำออกมาอีกรอบ จากนั้นก็พูดพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์น้องจูฉิน เจ้าอยากเป็นพวกขี้ฟ้องงั้นหรือ”


จูฉินคำรามลั่นในใจ ‘เดี๋ยวก่อนนะ หมายความว่าอย่างไรที่ว่าข้าเป็นคนขี้ฟ้อง ข้าห่างไกลจากคำคำนั้นตั้งหลายพันลี้!’


ทว่าก่อนที่จูฉินจะมีโอกาสได้พูด หวังลู่ก็หันศีรษะพลางทำหน้า ‘คร่ำครวญต่อฟ้าดิน’ แล้วเอ่ยปาก “ศิษย์น้องเยวี่ย ศิษย์น้องจูฉินบอกว่าเขาอยากเป็นพวกขี้ฟ้อง”


คิ้วของศิษย์น้องเยวี่ยขมวดมุ่นเข้าไปอีก


จูฉินโกรธมากเสียจนแทบกระอักเลือดออกมา เขาคิดในใจ ‘เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการเป็นพวกขี้ฟ้องเนี่ย!?’


“ศิษย์พี่หวังลู่ ข้าว่าท่านเข้าใจผิด ข้าไม่ได้จะ…”


หวังลู่เมินจูฉินและเอาแต่มองศิษย์น้องเยวี่ย จากนั้นเขาก็ถอนหายใจราวกับว่ากำลังเวทนาคนที่ไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ “ศิษย์น้องเยวี่ย ศิษย์น้องจูฉินคิดจะแฉคนอื่นต่อหน้าหญิงสาว!”


จูฉินรู้สึกสับสนในทันใด “อะไรเนี่ย…”


หวังลู่กล่าวต่อ “ทำเรื่องต่ำช้าต่อหน้าหญิงสาวเช่นนี้! เฮ้อ… น่าละอายจริงๆ!”


จูฉินคำรามในใจ ‘เจ้าต่างหากสมควรละอาย ตระกูลเจ้าต่างหากที่สมควรละอาย!’


“ศิษย์น้องเยวี่ย ข้าจำไม่ได้ว่ามีผู้อาวุโสของเราคนใดเคยสอนให้เหล่าศิษย์เป็นคนขี้ฟ้อง แล้วเจ้าล่ะ” หวังลู่ถามศิษย์น้องเยวี่ยซ้ำ


เยวี่ยเสี่ยวเหยาส่ายศีรษะเบาๆ


“ศิษย์น้องเยวี่ย เจ้าว่านิสัยขี้ฟ้องนี้เป็นสิ่งที่คนเราสมควรภูมิใจหรือ”


ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยนิ่งคิดพักใหญ่ “ข้าว่านั่นไม่ใช่เรื่องดี”


“ใช่แล้ว คนขี้ฟ้องสมควรถูกรังเกียจ จริงไหม”


“นี่…เป็นสิ่งที่เหล่าศิษย์ต้องวิพากษ์วิจารณ์แน่”


“เช่นนั้นหากบรรดาศิษย์พี่หญิงศิษย์น้องหญิงของเจ้ารู้ว่ามีใครบางคนเป็นพวกขี้ฟ้อง พวกนางจะดูถูกเขาไหม”


“อืม ก็ไม่แน่”


“ไม่ใช่แค่บรรดาศิษย์พี่หญิงศิษย์น้องหญิงของเจ้าเท่านั้น แม้แต้ผู้อาวุโสฮว๋าอี้ที่เปิดเผยจริงใจเองก็ย่อมไม่ชอบคนขี้ฟ้องเช่นกัน เจ้าว่าไหม”


“ใช่ ผู้อาวุโสฮว๋าอี้เป็นคนเช่นนั้น”


“ถูกผู้อาวุโสฮว๋าอี้รังเกียจ คนผู้นั้นคงจะอยู่ในสำนักกระบี่วิญญาณอย่างไม่เป็นสุขเสียกระมัง”


“ฮ่าๆ แน่นอนว่าไม่”


“หากคนผู้นั้นไม่อาจอยู่ในสำนักกระบี่วิญญาณอย่างเป็นสุข ข้าก็เกรงว่าเขาจะไม่มีที่ยืนในองค์กรใหญ่อย่างพันธมิตรหมื่นเซียน… ช่างน่าสมเพชจริงๆ ทั้งชีวิตของข้า ข้านึกไม่ออกเลยว่าคนเราอยากจะเป็นคนขี้ฟ้องไปทำไม”


ขณะที่หวังลู่และเยวี่ยซินเหยาต่อถ้อยคำกันอย่างสนุกสนาน จูฉินที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็แทบจะหลั่งน้ำตา เขาคิดในใจ ‘ระยำ! เจ้านี่มันชั่วร้ายชัดๆ ใช้วิธีบิดคำพูดงอตรรกะชัดๆ!’ ทว่าต่อหน้าสายตาอ่อนโยนของศิษย์น้องหญิงเยวี่ย เขาไม่อาจผรุสวาทถ้อยคำระคายหูอย่าง ‘แล้วไง ข้าก็จะเขียนรายงานอยู่ดี!’ ออกไปได้


เขาได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจ ‘หวังลู่ เจ้ามันไร้ยางอายเกินไปแล้ว! เจ้ากล้าใช้ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยเป็นอาวุธ เมื่อเทียบกับการเป็นคนขี้ฟ้องแล้ว เจ้ามันหน้าไม่อายกว่าเป็นร้อยๆ เท่า!’


ทว่าภาษิตว่าไว้ คนที่ไร้ยางอายก็คือผู้ไร้เทียมทาน เมื่อรู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่น จูฉินจึง


จำต้องก้มหัวให้


“ศิษย์พี่ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไม่รายงานเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น เพราะงั้นท่านอย่าได้พูดเรื่องนี้อีกเลย…”


หวังลู่ยิ้มกว้าง “เป็นอันตกลง!”


จากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้วพูดกับเยวี่ยซินเหยา “เช่นนั้นวันนี้พอเท่านี้ก่อน!”


จูฉินยืนอยู่ตรงหน้าประตูวังหลวง มองเหม่อไปยังแผ่นหลังของหวังลู่และเยวี่ยซินเหยาที่ไกลออกไปเรื่อยๆ เขารู้สึกราวกับว่ากำลังถูกสายลมแห่งความสิ้นหวังพัดกระหน่ำ


…………………………………….


ตอนที่ 35 เจ้ายังจะพูดคำเดิมอยู่หรือไม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“คิกๆ”


หลังจากที่พวกเขาเดินมาได้ไกลพอควรแล้ว เยวี่ยซินเหยาก็ไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป


“ศิษย์พี่ ท่านนี่ร้ายจัง เหตุใดจึงกล้าใช้เล่ห์กลเช่นนั้นจัดการกับศิษย์พี่จูฉินได้”


เมื่อครู่ตอนที่ได้ชมการแสดงแสนขบขันของหวังลู่ เยวี่ยซินเหยาก็รู้สึกชื่นชมจากก้นบึ้งของหัวใจ นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดศิษย์พี่หวังลู่จึงอยากให้นางมาพบจูฉินด้วยกัน


ศิษย์พี่หวังลู่เพียงต้องการใช้นางปิดปากจูฉิน เห็นได้ชัดว่ามันเป็นตรรกะที่บิดเบี้ยว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านาง ก็ทำให้จูฉินอับจนคำพูดได้ ทักษะพลิกขาวเป็นดำเช่นนี้บีบให้ผู้คนไม่อาจทำสิ่งที่ใจต้องการได้


“ฮ่าๆ ข้าเองก็ต้องขอบใจการแสดงของศิษย์น้องหญิงเยวี่ยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องยากไม่น้อยที่ข้าต้องแสดงท่าทีกระดากอายต่อหน้าจูฉินจอมโง่เง่านั่น”


เยวี่ยซินเหยามิอาจกลั้นหัวเราะได้อีกครั้ง จากนั้นนางก็ถามขึ้น “มันจะได้ผลจริงหรือ แล้วที่ท่านปรากฏตัวให้เห็นแบบนี้จะไม่ถือว่าเสี่ยงไปหรือศิษย์พี่”


หวังลู่ถอนหายใจ “เช่นนั้นจะให้ข้าทำอย่างไร นอกจากตัวข้าเองแล้วข้าจะหวังพึ่งใครให้กำราบจูฉินได้ เหวินเป่าผู้รู้ตื่นน่ะหรือ เจ้าอ้วนนั่นอาจทำให้จูฉินรู้สึกหงอได้ก็จริง แต่มีเพียงข้าเท่านั้นที่จะทำให้เจ้านั่นเงียบปากได้”


“อืม” เยวี่ยซินเหยาพยักหน้าเข้าใจ “แต่ศิษย์พี่จูฉินไม่ปิดปากเงียบไปตลอดกาลแน่ เขาย่อมไม่ยอมรับว่าถูกท่านปั่นหัวเข้าให้แล้ว”


หวังลู่ยิ้ม “ใช่ อย่างน้อยสองสามวันหลังจากนี้ตอนที่เขาสงบลง เขาย่อมหาเหตุผลมาสนับสนุนให้ตัวเองส่งจดหมายไปหาผู้อาวุโสเพื่อเปิดโปงข้าแน่ ทว่าข้าเองก็ต้องการเวลาเพียงสองสามวันนี้แหละ”


ศิษย์น้องเยวี่ยกะพริบดวงตางดงามของนางขณะมองมายังหวังลู่อย่างงงงวย


ในความคิดของเยวี่ยซินเหยา ปัญหาของหวังลู่ไม่อาจแก้ได้ในเวลาสองสามวัน ด้วยผู้ติดตามเกินล้านคน ทันทีที่ผู้อาวุโสได้รับรายงานและลงจากเขามาเพื่อสืบสวนเรื่องนี้ หวังลู่ในฐานะจำเลยหลักที่อยู่เบื้องหลังย่อมต้องถูกเปิดโปงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้น สำนักคงต้องลงโทษอย่างเข้มงวดจนแม้กระทั่งอาวุโสห้าก็ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้


มาถึงตอนนี้ เยวี่ยซินเหยายังไม่ตระหนักถึงบทบาทที่นางเพิ่งแสดงไป นางเพียงเป็นกังวลเรื่องหวังลู่เท่านั้น


ทว่าหวังลู่ยังคงมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม “วางใจเถอะ ศิษย์น้องหญิง ในเมื่อนักผจญภัยมืออาชีพเช่นข้าออกหน้ารับผิดชอบเอง เจ้าก็แค่ยืนเฉยๆ ดูเรื่องนี้คลี่คลายเถอะ”


“จริงหรือ เช่นนั้นก็ดี งั้นข้าจะรอชมการแสดงของท่านก็แล้วกัน…”


“ฮ่าๆๆ อย่ารอชมการแสดงของข้าเลย เจ้ารอชมเหวินเป่าศิษย์ร่วมสำนักของเราดีกว่า บทบาทของเขาในการแสดงครั้งนี้สำคัญไม่น้อย” ————


ขณะที่หวังลู่และเยวี่ยซินเหยากำลังรับมือกับจูฉิน เหวินเป่าและผู้ช่วยทั้งสองก็อยู่ในวิหารประทีปเป็นที่เรียบร้อย


“เช่นนั้น นอกจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้แล้ว อาวุโสเหวินอยากจะเพิ่มเติมสิ่งใดอีกหรือไม่”


ในห้องโถงหลัก หลี่น่าน่านั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน ในมือถือถ้วยชาส่งกลิ่นหอม นางยกถ้วยขึ้นมาจิบด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยงดงาม ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจปกปิดท่าทีอดกลั้นของนางไม่ได้


ที่นั่งข้างๆ หลี่น่าน่าคือเหวินเป่าที่เหงื่อเย็นๆ พรั่งพรูทั่วทั้งร่างราวฝนตก เขาค่อยๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากย่ามสีเหลืองหม่นด้วยมืออันสั่นเทา จากนั้นก็ซับเหงื่อของตบเบาๆ แล้วค่อยๆ เค้นรอยยิ้มแฝงความนัยออกมาโดยที่ไม่ได้กล่าวอะไร


แม้แต่ผู้ช่วยทั้งสองคนซึ่งนั่งอยู่ทางขวาของหวังลู่ ซึ่งก่อนหน้านี้กระตือรือร้นไม่เบา พอมาตอนนี้พวกเขากลับนั่งตัวลีบอยู่บนเก้าอี้อย่างไม่ไหวติง ทำให้บรรยากาศยิ่งเย็นยะเยือกเข้าไปใหญ่


คนทั้งสามต่างวิตกกังวล นั่นเพราะรัศมีของเชียนฮู่แห่งวิหารประทีปนั้นรุนแรงเกินไป แม้ตบะของนางจะอยู่เพียงขั้นสร้างฐาน และแม้นางจะเป็นเพียงหญิงสาวบอบบางร่างสูง ทว่าคำพูดและกิริยาแผ่ความอาจหาญหนักแน่นซึ่งไม่น้อยหน้าชายฉกรรจ์แม้แต่น้อย ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามรู้สึกละอายในความบกพร่องของตน


หลังจากเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากทิ้ง รอยยิ้มของเหวินเป่าก็ค่อยๆ แข็งทื่อขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเชียนฮู่ที่ดูจะหมดความอดทนเข้าไปทุกที


เมื่อวาน ศิษย์พี่ของเขาได้กล่าววาจาหวานหูเอาไว้ บอกว่าการเจรจาเช่นนี้มักไม่จบลงในวันสองวัน เขาเพียงต้องเล่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของสำนักภูมิปัญญาให้อีกฝ่ายหนึ่งฟังก็พอ… แต่มันจะง่ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร! เขาพูดเรื่องโน้นเรื่องนี้มาหลายนาทีแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับดูอดรนทนไม่ได้ อยากจะข้ามประเด็นไร้แก่นสารนี่เพื่อเข้าสู่ประเด็นหลักเสียที


“เจ้าสำนักของเจ้าคือใคร แม้เจ้าจะอวดอ้างต่อเหล่าผู้ติดตามว่าเจ้าสำนักของเจ้าเป็นเซียนจริงๆ แต่มากสุดเขาคงแค่ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นพิสุทธิ์กระมัง”


แค่คำถามแรก เหวินเป่าก็ต้องสังเวยอาวุธวิเศษที่เขามี นั่นคือ รอยยิ้มแฝงความนัยเสียแล้ว ทว่าปฏิกิริยาต่อรอยยิ้มนั้นก็คือ เชียนฮู่วางถ้วยชาลงและถามเสียงเย็น “หา? นี่เจ้าบอกไม่ได้หรือ น่าสนใจดีนี่ หรือตัวตนของเขาจะเปิดเผยไม่ได้กันแน่”


เหวินเป่ายังคงยิ้มเป็นนัยต่อไป


“เป็นเจ้าเองที่เสนอการร่วมมือกันระหว่างเจ้ากับวิหารประทีป แต่นี่แค่จะเปิดเผยตัวตนของเจ้าสำนักยังทำไม่ได้ แล้วจะสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้อื่นได้อย่างไร!?”


เมื่อได้เห็นสีหน้าที่ดุดันและได้ฟังคำพูดที่เกี้ยวกราด ใจของเหวินเป่าก็เต้นระรัว เขาจึงรีบหันศีรษะมองหาความช่วยเหลือจากผู้ช่วย แต่ใครจะรู้ว่าผู้ช่วยทั้งสองนั้นกลับหวาดผวายิ่งกว่าจนเอาแต่ก้มหน้าลง!


เคราะห์ดีที่เชียนฮู่ทำเพียงส่ายศีรษะและเปลี่ยนเรื่อง “ช่างเรื่องตัวตนของเจ้าสำนักเจ้าไปก่อนมาพูดเรื่องเจ้ากันดีกว่า แรกเริ่มเดิมทีเจ้ามาจากสำนักกระบี่วิญญาณสินะ ที่เจ้ามาร่วมกับสำนักภูมิปัญญาเช่นนี้สำนักของเจ้ามีท่าทีเช่นไร พวกเขายินยอมหรือ”


เหวินเป่าเหมือนได้ยินเสียงหนักๆ ฟาดเข้าที่หน้าอก เขาจะกล้าพูดความจริงได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากฉีกยิ้มต่อ


เชียนฮู่ขมวดคิ้วแน่น “เรื่องนี้ก็พูดไม่ได้หรือ ดี งั้นข้าถามเรื่องอื่น…”


ทว่าหลังจากไถ่ถามไปอีกหลายข้อ นางก็ยังคงได้รับคำตอบเดิม นั่นคือรอยยิ้มแฝงความนัย ปัญหาก็คือศิษย์พี่เชียนฮู่ผู้นี้ฉลาดเฉลียวเกินไป คำถามแต่ละข้อของนางล้วนแล้วแต่เป็นความลับของสำนัก อีกทั้งนางยังเป็นคนตรงไปตรงมา จนทำให้อีกฝ่ายไม่อาจทำเพียงตอบส่งๆ ได้ สำหรับเหวินเป่า เมื่อได้ยินคำถามของนางก็เหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็น ทั้งสองสิ่งนี้ล้วนทำให้ตะคริวขึ้นหน้าทั้งสิ้น


ในตอนนั้นเอง ความอดทนของเชียนฮู่ก็ใกล้จะหมดลง นางวางถ้วยชาลง เคาะนิ้วกับพนักเก้าอี้ หลังจากนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง นางจึงถามขึ้น “ลือกันว่าสำนักภูมิปัญญาของเจ้าสอนวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาให้เหล่าผู้ติดตาม เป็นความจริงหรือไม่”


เหวินเป่าเกือบจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ ทว่าเขายังต้องรักษารอยยิ้มเอาไว้ เขาต้องอดทนให้ได้ไม่ว่าจะรู้สึกอัดอั้นตันใจเพียงไรก็ตาม


สายตาของเชียนฮู่เป็นประกายขึ้น ไอรังสีของนางวูบไหวขณะที่นางโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “ไม่อยากตอบหรือ ในเมื่อเจ้าไม่ปฏิเสธ เช่นนั้นคงเป็นเรื่องจริงสินะ”


เหวินเป่ารู้สึกเหมือนปวดปัสสาวะจนแทบกลั้นไม่ได้ เขาสบถคำด่าใส่หวังลู่อยู่ในใจ แม้หวังลู่จะหลอกเขาอยู่บ่อยครั้ง ทว่าครั้งนี้ความอับอายที่เขาได้รับต่อหน้าหญิงสาวแสนเย็นชาผู้นี้ทำให้เกิดคลื่นแห่งความอัปยศไหลท่วมจิตใจของเขา


เหวินเป่าคิดในใจ ‘ระยำเถอะ! เหตุใดข้าจึงต้องแบกหน้ารับผิดชอบอะไรเช่นนี้ด้วย!? ข้าเป็นเพียงแค่หัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐานเล็กๆ ที่เก่งกาจเพียงเรื่องขนอิฐขนปูน ข้าไม่ได้รับผิดชอบหน้าที่นี้ แล้วทำไมต้องมาทนทุกข์เพราะมันด้วยเล่า!? หนำซ้ำต้องมาเกิดต่อหน้านางด้วย’


จิตใจของเด็กหนุ่มร่างอ้วนเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก เขาจึงไม่ทันสังเกตว่าท่าทีของหญิงสาวตรงหน้าแปลกไป


อึดใจถัดมา เหวินเป่าก็ได้เห็นความผิดหวังปรากฏขึ้นวูบหนึ่งในสายตาของเชียนฮู่ มันไม่ใช่ความผิดหวังที่มีต่อความเชื่อใจของสำนักภูมิปัญญา แต่…เป็นความผิดหวังในตัวเหวินเป่า


เหวินเป่าครุ่นคิดอย่างสงสัย ‘ทำไมกัน นางย่อมต้องคาดหวังก่อนจึงจะผิดหวังได้ มีสิ่งใดในตัวข้าที่คู่ควรให้คาดหวังกัน ข้าก็แค่…’


ทันใดนั้น แรงกระตุ้นระลอกใหญ่ก็ไหลบ่าไปทั่วร่างของเหวินเป่า ทำให้จิตใจของเขาฮึกเหิมขึ้นมา


ครู่ถัดมา หลี่น่าน่าก็มีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเหวินเป่าค่อยๆ ยืดตัวตรงแล้วเปิดปากพูด “ข่าวลือเรื่องวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระโดยแท้”


หลี่น่าน่านิ่งอึ้งไปพักใหญ่เมื่อเห็นว่าท่าทางงอตัวด้วยความกลัวของเหวินเป่ามลายหายไปราวกับหิมะในทะเลทรายและแทนที่ด้วยท่าทางสุขุม นิ่งเฉยและมั่นใจ


หญิงสาวยิ้ม “เหลวไหลไร้สาระ?”


“ถูกต้อง สำนักภูมิปัญญาของเราได้รับแนวทางจากสวรรค์ที่สามารถช่วยเร่งความเร็วในการบำเพ็ญเซียน แน่นอนว่าเป็นวิธีที่เที่ยงธรรม ไม่ใช่วิธีที่ชั่วช้า ข้าเกรงว่าข่าวลือดังกล่าวน่าจะมาจากบุคคลที่คิดมุ่งร้ายซึ่งมีใจริษยาความก้าวหน้าของสำนักเรา ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจทำลายชื่อเสียงที่ดีงามของสำนักภูมิปัญญา”


รอยยิ้มของหลี่น่าน่ากว้างขึ้น “หากเป็นเช่นนั้นก็ดี มิเช่นนั้นแม้เจ้าจะเสนอเงื่อนไขที่เลิศเลอเพียงใด วิหารประทีปของเราก็ไม่อาจปลงใจกับสำนักมารได้”


เหวินเป่าตระหนก เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของศิษย์พี่เชียนฮู่ เขาก็รู้ทันทีว่าปัญหายุ่งยากได้ตกมาสู่ตัวของเขาแล้ว


หลี่น่าน่าไม่ได้ต้องการความจริงเพียงแต่ต้องการคำอธิบายที่พอฟังขึ้น ก่อนหน้านี้เขายังไม่กระจ่างในเรื่องนี้ทำให้เอาแต่อึกอักล่าช้า ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะแสดงท่าทีผิดหวัง


ในเมื่อคำถามนี้ตอบไปแล้ว เขาย่อมต้องตอบคำถามถัดไปได้อย่างราบรื่นแน่


“เจ้ามาจากสำนักกระบี่วิญญาณ สำนักเจ้ามีทีท่าเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”


เหวินเป่าหัวเราะ “สำนักทั้งไม่ได้สนับสนุนและไม่ได้ทัดทาน นโยบายเรื่องการเรียนรู้ของสำนักส่งเสริมให้ลูกศิษย์มีอิสระอย่างแท้จริง ตราบใดที่เหล่าศิษย์ไม่ละเมิดกฎ พวกเราย่อมใช้ทุกอย่างบนเส้นทางบำเพ็ญเซียนเพื่อช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ได้”


“แม้แต่การร่วมมือกับสำนักของโลกมนุษย์น่ะหรือ”


“เส้นแบ่งระหว่างโลกเซียนกับโลกมนุษย์นั้นไร้ขอบเขต อย่างน้อยนี่ก็เป็นทัศนคติของสำนักกระบี่วิญญาณ ยกตัวอย่างเช่น บุตรสาวของเจ้าสำนักกระบี่วิญญาณยังสามารถเปิดโรงเตี๊ยมอยู่ในโลกมนุษย์ได้เลย”


เมื่อได้ฟังข้อมูลล่าสุดหลี่น่าน่าก็ถึงกับผงะไป “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ… แล้วตัวเจ้าสำนักภูมิปัญญาเล่า”


เหวินเป่าตอบ “ไม่ใช่เซียนจริงๆ แต่ดียิ่งกว่าเซียน ท่านก็เห็นความสามารถของเขาได้จากการพัฒนาของสำนักภูมิปัญญานี่ จริงไหม”


“เจ้าบอกว่าอยากร่วมมือกับเรา เจ้ามีข้อเสนออะไร”


“กำลังคนมหาศาลที่เชื่อใจได้ ทรัพยากรของโลกเซียนที่มีมหาศาล รวมถึงพันธมิตรคุณภาพสูงที่มีโอกาสไม่จำกัด”


“แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด”


เหวินเป่าอึ้งไปอึดใจหนึ่ง เขากัดฟัน จากนั้นก็เดาอย่างหนักแน่น “การยอมรับอย่างเป็นทางการจากประเทศต้าหมิง” …


การเจรจาถามตอบยังคงดำเนินไป เวลาก็เคลื่อนคล้อยไปอย่างรวดเร็ว ดวงอาทิตย์ภายนอกหน้าต่างลาลับไปโดยไม่รู้ตัว


หลังจากที่วางถ้วยชา ซึ่งถูกเติมด้วยน้ำเปล่าหลายต่อหลายครั้งลง หลี่น่าน่าก็พยักหน้าอย่างพออกพอใจ “การเจรจาวันนี้ช่างน่ายินดีนัก”


เหวินเป่าถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นจึงกล่าวว่า “เช่นกัน”


“เช่นนั้นขอข้าถามคำถามสุดท้าย”


เหวินเป่ากล่าวอย่างฮึกเหิม “เชิญท่านถามมาได้เลย”


“เมื่อวานเจ้าบอกว่าเจ้าชอบข้า เป็นความจริงไหม”


“แค่ก!” เหวินเป่าพ่นของเหลวที่อยู่ในปากออกมาใส่ถ้วยชา


เมื่อเห็นสีหน้ายุ่งยากของเหวินเป่า หลี่น่าน่าก็คลี่ยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ข้าพูดเล่น อย่าถือเป็นจริงเป็นจังไป… พรุ่งนี้เวลาเดิม โปรดเตรียมรายละเอียดการร่วมมือกันมาด้วย ข้าย่อมยินดีที่จะได้เห็นมัน”


จากนั้นหญิงสาวก็ลุกขึ้นยืน “ส่งแขก”


หลังจากนั้น บ่าวหลายคนก็เข้ามายังโถงหลักและนำทางเหวินเป่าและผู้ช่วยทั้งสองออกไป ก่อนที่จะเดินพ้นประตูทางเข้า เหวินเป่าก็หันกลับไปมองรูปร่างอรชรของหญิงสาว ทันใดนั้นในใจของเขากลับรู้สึกถึงความสูญเสียใหญ่หลวง


……………………………………


ตอนที่ 36 ความสำราญขั้นสุดของเจ้าอ้วนเดนตายกลับกลายมาเป็นความระทม

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอก้าวเท้าออกนอกวิหารประทีป ความตั้งใจแรกของเหวินเป่าคือตรงกลับไปที่โรงเตี๊ยม แต่เขากลับสังเกตเห็นร่างของหวังลู่และเยวี่ยซินเหยาเดินเคียงข้างกันมาที่มุมหนึ่งของถนน


เหวินเป่ารีบไล่ให้ผู้ช่วยทั้งสองกลับไปก่อน จากนั้นก็สาวเท้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


เมื่อได้เห็นเศษเสี้ยว ‘ความสูญเสีย’ บนใบหน้าของเหวินเป่า หวังลู่ก็ส่งยิ้มเย้าแหย่มาให้พลางพูดว่า “เจ้าอ้วน แม้ตอนนี้จะเป็นฤดูหนาว แต่ฤดูใบไม้ผลิก็รออีกไม่นานหรอกน่า!”


“หึ” เยวี่ยซินเหยาปิดปากหัวเราะขำ


เหวินเป่ายืนคอตกอย่างเศร้าหมอง เขาเหลือบมองใบหน้าอาบรอยยิ้มของเยวี่ยซินเหยา แล้วความรู้สึกขมขื่นที่เหลือจะพรรณนาก็เอ่อท้นจิตใจขึ้นมาอีกครั้ง


“การเจรจาเป็นอย่างไรบ้าง”


เมื่อถูกถามถึงเรื่องสำคัญ เหวินเป่าก็ข่มอารมณ์ของตัวเองและตอบกลับอย่างกระตือรือร้น


หวังลู่ตบบ่าของเจ้าอ้วน “ไม่เลว เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”


ทว่าเหวินเป่ากลับส่ายศีรษะอย่างเศร้าสร้อย “ทั้งหมดนี่เป็นเพราะรากฐานที่มั่นคงซึ่งศิษย์พี่ปูทางไว้… ความจริง อีกฝ่ายดูจะสนใจการร่วมมือกันครั้งนี้อยู่แล้ว วันนี้ข้าก็แค่ผลักเรือไปตามน้ำ ไม่มีสิ่งใดคู่ควรให้เอ่ยถึงหรอก”


“การผลักเรือให้ไปตามน้ำย่อมต้องมีทักษะ อย่างน้อยคนอื่นๆ ก็ต้องยอมให้เจ้าลงมือผลักเสียก่อน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเจ้าก็รู้”


เพราะอยู่กับหวังลู่มานมนาน เหวินเป่าจึงรู้ดีว่าหวังลู่ตั้งใจพูดแหย่เขา จึงอดรู้สึกขัดเขินไม่ได้ “ศิษย์พี่แหย่ข้าอีกแล้ว… ข้าไม่ได้ทำอะไรสักนิด”


“ไม่เป็นไร ไม่ช้าก็เร็วเจ้าย่อมต้องทำแน่ ในเมื่อนางนัดหมายให้ไปเจรจาต่อพรุ่งนี้ คืนนี้เจ้าก็จงเตรียมตัวให้ดี พรุ่งนี้เจ้าก็ต้องพยายามให้เต็มที่ เพื่อที่ว่าความนิยมชมชอบที่นางมีต่อเราจะได้เพิ่มมากขึ้นเหมือนชั้นของเจดีย์อย่างไรเล่า”


เหวินเป่าแปลกใจ “ศิษย์พี่ ท่านจะยืนดูเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเช่นนั้นหรือ”


“ไม่เช่นนั้น เจ้าอยากให้ข้าออกจากกรอบแห่งเซียนงั้นหรือ” หวังลู่อ้าแขนออก “ในเมื่อวันนี้เจ้าเจรจากับอีกฝ่ายได้ดี เจ้าก็สมควรต้องพยายามต่อไป ตามขั้นตอนการเจรจานั้น การเปลี่ยนตัวผู้เจรจาก็เหมือนเปลี่ยนตัวคนเขียนหนังสือ เป็นการสุ่มเสี่ยงใหญ่หลวงนัก”


“นี่ นี่ต่างจากการเจรจาขั้นแรก”


หวังลู่ตบบ่าเหวินเป่า “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องเดินหน้าต่อไป”


“นี่มัน!?”


เมื่อเห็นเหวินเป่ามีมีท่าเป็นกังวลอย่างแท้จริง หวังลู่จึงอธิบายอย่างจริงจัง “จนถึงตอนนี้ เจ้าเป็นบุคคลที่ดีที่สุดที่จะเจรจากับเชียนฮู่ เพราะเมื่อดูจากผลการเจรจากับนาง มันยังมีช่องทางให้วางแผนได้ เบื้องหลังเจ้ายังมีข้า เบื้องหลังหลี่น่าน่ายังมีขุนนางประเทศต้าหมิง หนำซ้ำทั้งหลี่น่าน่าและข้าต่างก็เป็นพวกอารมณ์ร้อน หากเจอกันย่อมต้องอยากเอาชนะคะคานกันแน่ ดังนั้นหากให้ข้าเป็นคนเจรจา เรื่องคงจบลงด้วยการวิวาทหรือไม่ก็ลงไม้ลงมือ ดังนั้นในเวลานี้ ข้าจึงอยากให้เจ้าออกหน้าทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย ตามที่ข้าเห็น ผลงานของเจ้าวันนี้ถือว่ายอดเยี่ยม”


เหวินเป่าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ขายขี้หน้าขนาดนั้น เกียรติของข้าแทบจะไม่มีเหลือแล้ว”


“ครั้งแรกนั้น เจ้าจะสั่นกลัวก็ไม่แปลกอะไร แต่หลังจากนี้ เมื่อเจ้าได้ปลุกเหวินเป่าผู้ตื่นรู้บ่อยครั้ง ทุกอย่างมันก็จะราบรื่นขึ้น ต่อให้เจ้าต้องขายขี้หน้าแทบตาย เจ้ายังมีข้าเป็นเจ้าสำนัก ท้ายสุดและยังสำคัญที่สุด แม่นางเชียนฮู่นั่นชอบเจ้ามาก เจ้าต้องใช้ความชอบนี้ให้เป็นประโยชน์”


เหวินเป่ารู้สึกอับจนหนทาง “ศิษย์พี่ ท่านรู้ได้อย่างไรว่านางชอบข้า!?”


“เจ้าลองคิดให้ดีๆ ไม่ใช่นั้นหากดูตามความสามารถของเจ้า ขายขี้หน้าขนาดนั้น เหตุใดเกียรติของเจ้าถึงยังมีอยู่เล่า”


เหวินเป่านิ่งอึ้งไปในทันใด


——


ไม่ว่าจะโต้แย้งเท่าไร เหวินเป่าก็ไม่อาจหลีกหนีงานชิ้นนี้ได้ หวังลู่ได้วางความรับผิดชอบหนักอึ้งในฐานะผู้เจรจาให้กับเหวินเป่าอย่างเลือดเย็น จากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แน่นอนว่าเยวี่ยซินเหยาก็ย่อมตามหวังลู่ไป ดังนั้นเหวินเป่าจึงต้องรับบทนักสู้เดียวดายผู้เศร้าซึมอย่างไม่มีทางเลือก


ทว่าในช่วงสองวันถัดมา การเจรจากับหลีนานกลับไม่ยากอย่างที่เขาจินตนาการไว้


หลี่น่าน่าเป็นคนไม่ยอมคน ระหว่างการเจรจา นางขัดเขานับครั้งไม่ถ้วนเพื่อถามคำถาม ทำให้เหงื่อเย็นๆ พรั่งพรูออกมาอาบร่างเหวินเป่าไม่หยุดหย่อน เขากลัวที่จะถูกฉีกหน้า แต่ทุกครั้งที่เขาเกือบจะเสียหน้า หลี่น่าน่ากลับตั้งใจเปิดช่องให้เขาได้พูดเลี่ยง เพื่อไม่ให้ได้อับอายจนเกินไป


อาจเพราะความตั้งใจที่จะร่วมมือกันของนางมีสูงมาก หรืออาจเพราะนางมีรสนิยมผิดธรรมดา จึงชื่นชอบเด็กหนุ่มพุงพลุ้ยอย่างเหวินเป่า… ทว่าเหวินเป่าไม่มีเวลามาคิดเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ เขาต้องรีดพลังทั้งหมดที่มีในการเจรจากับวิหารประทีปในฐานะตัวแทนของสำนักภูมิปัญญา ปัญหาที่ต้องแก้มีมากมาย ผลประโยชน์ที่จะต้องถกเถียงกันก็ไม่รู้จักจบจักสิ้น มันมากเสียจนในสองวันนี้ เหวินเป่าและหลี่น่าน่าต้องใช้เวลาเจรจาทั้งวันทั้งคืนจนปากของคนทั้งคู่แห้งผาก


สองวันผ่านไป ผลสรุปของการเจรจานั้นน่าพึงพอใจยิ่งนัก วิหารประทีปได้รับการสนับสนุนจากระดับรากหญ้า ผู้ติดตามจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคนพร้อมที่จะทำตามคำสั่ง หลี่น่าน่าในฐานะหัวหน้าวิหารประทีปมีอำนาจเทียบเท่ากับรองเจ้าสำนักภูมิปัญญา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือนางสามารถเข้าถึงข้อมูลของสำนักได้อย่างอิสระ เว้นแต่ข้อมูลบางเรื่องที่เป็นความลับระดับสูง เช่น ตัวตนของหวังลู่ ที่เหลือนอกจากนั้นนางสามารถรับรู้ได้ มูลค่าแค่จุดนี้จุดเดียวก็ประเมินค่าไม่ได้แล้วสำหรับหลี่น่าน่า ยังไม่รวมเรื่องที่ว่าอำนาจของรองเจ้าสำนักนั้นมีมากกว่านั้นมาก ตราบที่นางต้องการ นางสามารถสั่งการให้ผู้ติดตามก่อสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ หรือรวมรวบทรัพยากรมาให้ได้


แน่นอนว่าผลประโยชน์ของสำนักภูมิปัญญาย่อมต้องไม่น้อย จุดสำคัญที่สุดก็คือวิหารประทีปต้องทำให้สำนักภูมิปัญญาได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากประเทศต้าหมิง!


จากสายตาคนนอก การแลกเปลี่ยนระหว่างอำนาจของรองเจ้าสำนักกับการรับรองอย่างเป็นทางการของประเทศดูเหมือนจะเป็นการต่อรองที่ล้มเหลว ทว่าสำหรับสำนักภูมิปัญญาแล้ว การรับรองอย่างเป็นทางการเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดสำหรับพวกเขา เมื่อได้รับการรับรอง สำนักภูมิปัญญาย่อมสามารถขยับขยายจากระดับหมู่บ้านเป็นระดับอำเภอ จากระดับอำเภอเป็นระดับจังหวัด โดยไม่มีสิ่งให้ต้องกังวล


ความจริงแล้ว ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะตกลงกันได้ สำนักภูมิปัญญาเป็นเพียงสำนักเถื่อนเท่านั้น แม้จะพัฒนาใหญ่โตอยู่ในประเทศต้าหมิง แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับจากประเทศต้าหมิงอีกทั้งยังไม่ได้ลงทะเบียนกับพันธมิตรหมื่นเซียน หากไม่ใช่สำนักเถื่อนแล้วจะเรียกกว่าอะไร จะว่าไปก็ไม่แตกต่างอะไรกับสำนักเจ็ดดาราแม้แต่น้อย


ทว่าตอนนี้เมื่อได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากวิหารประทีป สำนักภูมิปัญญาก็กลายมาเป็นสำนักที่ถูกต้องตามกฎหมาย สะอาดเอี่ยมอย่างน่าประทับใจ แม้พวกเขาจะเข้าไปหาผู้ติดตามเพิ่มในเมื่อหลวงจังหวัดหรือเมืองหลวงประเทศ ก็ถือว่าถูกกฎหมาย จากสถานะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันของสำนักภูมิปัญญา สิ่งนี้ถือว่าสำคัญยิ่งยวด


แม้จำนวนผู้ติดตามจะมากเกินหนึ่งล้านคน และความเร็วในการพัฒนายังถือว่ารวดเร็วมาก แต่สภาวะคอขวดของสำนักภูมิปัญญานั้นเห็นอยู่ไม่ไกล หมู่บ้านห่างไกลเกือบทั้งหมดนั้นล้วนได้รับอิทธิพลจากสำนักภูมิปัญญา แต่อำเภอเล็กๆ บางอำเภอยังถูกครอบงำจากสำนักอื่น ซึ่งมักเป็นสถานที่ที่สำนักเหล่านั้นพยายามหาผลประโยชน์แต่มักไม่ได้อะไรกลับมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งถือว่าไม่มีค่าคู่ควรให้ใส่ใจ ส่วนอำเภอที่ร่ำรวยหรือแม้แต่เมืองหลวงจังหวัด สำนักภูมิปัญญาไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเจาะเข้าไป และจะต้องเผชิญกับปัญญาหากคิดพยายาม และการที่จะขยับขยายไปยังประเทศอื่นๆ นั้นยิ่งเป็นตัวเลือกที่ไม่สมเหตุสมผลเข้าไปใหญ่ ไม่ใช่ทุกประเทศที่จะทำเป็นปิดหูปิดตาใส่สำนักเซียนที่กำลังพัฒนาพรวดๆ อย่างประเทศต้าหมิงราชสำนักของประเทศต้าหมิงในปัจจุบันมความสองจิตสองใจกับผู้บำเพ็ญเซียน และนี่เป็นเหตุผลหลักที่สำนักภูมิปัญญาสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในตอนแรก


ตอนนี้ในเมื่อได้รับอนุญาตจากวิหารประทีป สภาวะคอขวดของสำนักภูมิปัญญาก็ไม่มีอีกต่อไป และในอนาคต การขยับขยายของสำนักย่อมไม่จำกัดแน่ ดังนั้นเมื่อตกลงร่วมมือกันได้แล้ว เหวินเป่าก็ตื่นเต้นอย่างมาก ในเย็นวันเดียวกันนั้นเอง เขาและผู้ช่วยทั้งสองต่างดื่มกันอย่างเต็มที่ ระดับขั้นของพวกเขานั้น สุราของโลกมนุษย์แทบไม่สะเทือนกระเพาะ ดังนั้นเจ้าอ้วนเดนตายจึงดื่มสุราไปเป็นเงินเทียบเท่าแล้วหลายร้อยศิลาวิญญาณ ซึ่งนับว่าสุรุ่ยสุร่ายอย่างแท้จริง


เช้าตรู่วันถัดมา เหวินเป่ารู้สึกหัวจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ในสุรานั้นบรรจุพลังปราณไว้ด้วย หากดื่มเพียงเล็กน้อย นอกจากจะช่วยให้ผู้ดื่มรู้สึกโล่งสบายและหย่อนใจแล้ว อาจช่วยเพิ่มพูนการบำเพ็ญเซียนด้วย ทว่าหากดื่มมากเกินไปก็อาจกระทบต่อพลังวิญญาณขั้นปฐมได้ ตอนนี้เหวินเป่ารู้สึกได้ถึงสัญญาณของการกระจายตัวของพลังวิญญาณขั้นปฐม ซึ่งต่อให้บำเพ็ญเซียนสามถึงห้าวันก็ไม่อาจเรียกคืนได้…ทว่าตลอดเวลาสองวันหนึ่งคืนของการเจรจาอย่างต่อเนื่องนั้นสั่นประสาทโดยแท้ จนแม้แต่เชียนฮู่ที่มีตบะขั้นสร้างฐานยังหมดทั้งเรี่ยวแรงและกำลังใจจนพอจบวันที่สาม นางจึงตัดสินใจที่จะเจรจารายละเอียดปลีกย่อยต่อในภายหลังหลังจากที่พวกเขาพักผ่อนเต็มที่แล้ว


พอก้าวออกมาจากเรือนรับรองแขก เหวินเป่าก็หาวยาวและพร้อมที่จะเข้าเมือง ข้อแรกเป็นเพราะเขาไม่มีอะไรจะทำ ข้อสองเขาคิดว่ามันคือการสำรวจพื้นที่ เพราะในอนาคตสำนักภูมิปัญญาย่อมต้องมาตั้งสาขาย่อยในเมืองหลวงแห่งนี้ ในฐานะหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน ความรับผิดชอบในการก่อสร้างต้องตกอยู่กับเขา ดังนั้นหากจะเตรียมตัวไว้ก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร


ทว่ายังไม่ทันที่จะก้าวพ้นประตูโรงเตี๊ยม ใจของเหวินเป่ากลับกระตุกขึ้นมา พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาสั่นสะท้านราวกลับว่าเรื่องเลวร้ายครั้งยิ่งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นกับตน


อึดใจถัดมา เสียงทรงอำนาจก็ผ่านเข้ามาให้พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขา “เหวินเป่า”


เสียงนี้ช่างคุ้นนัก เป็นเพราะมันปรากฏในฝันร้ายของเขาอยู่บ่อยครั้ง เหวินเป่าตัวแข็งทื่อในทันใด “ท่านอาสาม…”


…………………………….


ตอนที่ 37 หากศิษย์อวดดีนัก เช่นนั้นท่านลุงโปรดประทานกระบี่แก่ศิษย์เถอะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในสำนักกระบี่วิญญาณ เหวินเป่าเป็นศิษย์สำนักในซึ่งผู้อาวุโสรองหลิวเสี่ยนแห่งยอดเขาเร้นลับเป็นผู้ดูแล ดังนั้นแน่นอนว่าท่านอาสามของเขาก็ต้องเป็นผู้อาวุโสสามฟางเฮ่อ ผู้อาวุโสฝ่ายวินัย หรือที่หวังลู่ชอบเรียกว่าท่านเลขาธิการแห่งคณะกรรมาธิการสอดส่องวินัย


หลิวเสี่ยนเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดอย่างยิ่งยวด สองปีที่ฝึกบำเพ็ญเซียนในสำนัก เหวินเป่าถูกอาจารย์ท่านนี้ก่นด่านับครั้งไม่ถ้วน ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยนั้นน่ากลัวกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ครั้งนี้เมื่อได้ยินเสียงของฟางเฮ่อ เหวินเป่าจึงตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว


“กลับมาที่ห้องของเจ้า อาจารย์ของเจ้ากับข้าอยู่ที่นี่แล้ว”


เหวินเป่าอยากจะหนีใจแทบขาด แต่สุดท้ายเขาก็ได้แต่เดินตัวสั่นกลับห้องไป ทันทีที่เปิดประตู เขาก็แทบจะเป็นลมไป ณ ตรงนั้น


ไม่เพียงอาจารย์ของเขาและผู้อาวุโสสามเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ แม้แต่ท่านอาหญิงห้าเองก็มาด้วยเช่นกัน เพียงแต่เมื่อเทียบกับหลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อที่ต่างก็นั่งหน้านิ่ว ท่าทางของหวังอู่ดูผ่อนคลายกว่า เมื่อเห็นเหวินเป่าเดินเข้ามา นางก็ฉีกยิ้ม “ดูท่าว่าฤดูใบไม้ร่วงนี้เจ้าเด็กอ้วนนี่จะสะสมน้ำหนักไว้เรียบร้อยแล้ว”


ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว ดังนั้นจึงผ่านช่วงเวลาที่ผู้คนต่างกินเพื่อเพิ่มน้ำหนักมาหลายเดือนแล้ว ไม่นับรวมสองสามเดือนนี้ ในฐานะหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน เขาเกือบจะผอมลงเพราะกรำงานหนักด้วยซ้ำ เมื่อได้ฟังถ้อยคำเย้าแหย่ของท่านอาหญิงห้า เหวินเป่าจึงแค่นยิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจ


“ศิษย์น้องห้า อย่ามัวพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย” ฟางเฮ่อขัดขึ้น จากนั้นก็มองเหวินเป่า


อย่างเคร่งเครียด “รู้ไหมทำไมอาจารย์ของเจ้ากับข้าจึงมาที่นี่”


เหวินเป่าอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างลังเล ผู้อาวุโสมาด้วยตนเองเช่นนี้ เขายังจะกล้าเล่นลิ้นได้อย่างไร คนเหล่านี้น่าจะปรานีเขามากขึ้นหากว่ายอมสารภาพเสีย…


ดังนั้นเขาจึงเล่าแทบทุกเรื่องเกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญา ตั้งแต่ตอนที่จับตัวตาแก่ลามกมาจากอำเภออู่โหวจนถึงการสนทนาอันยาวนานสองวันกับเฉียนหู ยกเว้นบางเรื่องที่อ่อนไหวเกินไปเช่นเรื่องวิชาโลหิตเพลิงโหมนภา นอกนั้นเขาก็เปิดเผยทุกอย่าง


นี่เป็นความหลักแหลมอย่างหนึ่งที่เหวินเป่าได้เรียนรู้มา หากเป็นศิษย์คนอื่น พวกเขาอาจโบ้ยความผิดให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นไปแล้ว ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสที่ตรงไปตรงมา ยุติธรรมและเข้มงวด เล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ อาจพาเขาไปสู่จุดจบ หนำซ้ำในเมื่อเหล่าผู้อาวุโสต้องการฟังคำอธิบาย มันก็แปลได้ว่าเรื่องราวได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว


แน่นอนว่าหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบาย หลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อกลับไม่ได้เดือดดาลขึ้นมาในทันทีทันใด พวกเขาเพียงพยักหน้าเงียบๆ ทว่าสีหน้ากลับเคร่งขรึมมากขึ้น


มีเพียงผู้อาวุโสห้าที่ยังคงไร้กังวล “เจ้าอ้วน เจ้านี่ถือว่าไม่เลว ตอนนี้ได้ดีเป็นถึงหัวหน้าหน่วย แหงสิ การเลื่อนขั้นขององค์กรที่ปกครองแบบกระจ่ายอำนาจก็น่าจะรวดเร็วอยู่แล้ว”


ทันทีที่เสียงของนางเงียบลง หลิวเสี่ยนก็ไม่อาจระงับความโกรธไว้ได้ “ศิษย์น้องห้า เจ้ายังพล่ามเรื่องไร้สาระไม่หยุดหย่อน! เมื่อครู่เจ้าก็เพิ่งได้ยินคำของเหวินเป่านี่ เห็นได้ชัดว่ารายงานของจูฉินนั้นถูกต้อง ศิษย์รักของเจ้ากำลังสร้างหายนะใหญ่หลวงเข้าให้แล้ว!”


ผู้อาวุโสห้ากะพริบตา “งั้นหรือ”


“อย่าทำไขสือหน่อยเลย! ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญาเวรตะไลนี่กันล่ะ”


ผู้อาวุโสห้ายังคงกะพริบตาต่อ “ข้าว่านี่ก็เป็นพฤติกรรมของผู้ประกอบการรายย่อยทั่วไป ที่เชื่อมั่นในเงินทุน แหล่งทรัพยากร ข้อมูล วิทยาการ ประสบการณ์ และปัจจัยอื่นๆ จึงตัดสินใจสร้างอุตสาหกรรมของตนเองขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการจ้างงาน หวังลู่ได้สร้างแรงจูงใจของโลกบำเพ็ญเซียนขึ้นในประเทศต้าหมิงด้วยการตั้งสำนักภูมิปัญญาขึ้น ทั้งยังแก้ปัญหาแรงงานให้คนนับล้านคน ข้าว่าสำนักเราควรยกย่องและสนับสนุนความอุตสาหะในครั้งนี้ ในขณะเดียวกันก็ควรขึ้นเงินเบี้ยเลี้ยงให้อาจารย์ของเขา…”


ก่อนที่นางจะพูดจบ หลิวเสี่ยนก็โกรธมากเสียจนตบโต๊ะอย่างแรง “ลมตดเอ๊ย!”


ผู้อาวุโสห้าทำหน้าแตกตื่น “หา? ที่นี่หรือ ไม่ดีมั้ง”


ซู่ม! กระบี่พลังปราณของหลิวเสี่ยนปรากฏขึ้น พร้อมที่จะซัดเข้าใส่อีกฝ่าย


ฟางเฮ่อถอนหายใจจากนั้นก็เอื้อมมือไปดึงหลิวเสี่ยนไว้ “ท่านใจเย็นก่อนเถอะศิษย์พี่ เรามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อก่นด่าศิษย์น้องห้า แต่หาคนที่เป็นตัวการในเรื่องนี้ต่างหาก”


จากนั้นเขาก็หันไปถามเหวินเป่า “เจ้ามีวิธีติดต่อศิษย์พี่หวังลู่ของเจ้าไหม”


เหวินเป่ากล่าวตอบ “ก่อนหน้านี้น่ะมี แต่ข้าเพิ่งใช้ญาณทิพย์หยกไปเมื่อสามวันก่อน ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีหนทางติดต่อเขาแล้ว”


หลิวเสี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วรู้ไหมเขาไปไหน”


เหวินเป่านิ่งคิดจากนั้นก็ส่ายศีรษะ “ข้าไม่แน่ใจ”


“แล้วมีใครอยู่กับเขาบ้าง”


“มีศิษย์น้องหญิงเยวี่ยอยู่ด้วย”


“เยวี่ยซินเหยา?” ฟางเฮ่อขมวดคิ้วแน่น “เด็กคนนี้อยู่ในร่องในรอยมาตลอด เหตุใดจึงไปอยู่กับหวังลู่ได้”


หลิวเสี่ยนหัวเราะเสียงเย็น “ก็โดนล่อลวงไปไง จะอะไรเสียอีก หนำซ้ำเด็กคนนี้ยังไร้ประสบการณ์ แค่หวังลู่เอ่ยปากนิดนึงก็ได้แล้ว ว่าไปเมื่อเทียบกันแล้ว ฝีปากของหวังลู่เหนือชั้นกว่าอาจารย์ของเขามาก”


ผู้อาวุโสห้าส่งเสียงฮึ “เหนือชั้นกว่าอาจารย์ของเขา ศิษย์พี่รอง ท่านดูแคลนข้าเกินไปแล้ว”


หลิวเสี่ยนพูดต่อโดยไม่ใส่ใจหวังอู่ “ในเมื่อตอนนี้เรารู้แล้วว่าเขาอยู่กับเยวี่ยซินเหยา เช่นนั้นควรให้ศิษย์น้องหญิงฮว๋าอี้ตามหานางดีกว่า” จากนั้นเขาจึงชี้นิ้วไปข้างหน้าเล็กน้อยและวาดวงกลมขึ้นกลางอากาศ ช่องว่างภายในวงกลมไหวเป็นระลอก ท่ามกลางระลอกคบื่นนั้นเอง ใบหน้าของฮว๋าอี้ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น


“หือ ศิษย์พี่ ท่านเรียกหาข้าหรือ”


ใบหน้าของฮว๋าอี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจ


“ช่วยข้าหาตัวเยวี่ยซินเหยาหน่อย” หลิวเสี่ยนรวบรัดตัดความ อีกทั้งฮว๋าอี้เองก็ไม่ได้ไถ่ถามถึงเหตุผล นางหลับตาลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลืมตาขึ้นพลางตอบ “ไม่ไกลจากที่นั่นนัก หากท่านใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมกวาดดูให้ทั่วพื้นที่ ท่านจะพบนางในทันที” ใบหน้าเล็กๆ ของนางมีร่องรอยความสงสัย “นี่ท่านเล่นซ่อนแอบกันอยู่หรือ”


แน่ละว่าหลิวเสี่ยนไม่คิดจะเสียเวลาเล่นใดๆ ทันทีที่ได้ยินคำตอบจากฮว๋าอี้ เขาก็ใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมกวาดดูรอบๆ พื้นที่ และพบความผันผวนของพลังอิทธิฤทธิ์เฉพาะตัวที่เป็นของเยวี่ยซินเหยา แน่นอนว่าหวังลู่ที่อยู่ข้างๆ เยวี่ยซินเหยาก็สัมผัสได้ถึงพลังอิทธิฤทธิ์รุนแรงที่ผันผวนอยู่รอบกายพวกเขาได้จางๆ


พลังวิญญาณขั้นปฐมของหลิวเสี่ยนนั้นแข็งแกร่งมาก หากเขาเปิดใช้งานเต็มรูปแบบ ทั้งประเทศต้าหมิงย่อมไม่อาจหลบเลี่ยงพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาไปได้ มันก็แค่หากเขาเปิดใช้งานเต็มรูปแบบในประเทศอื่นเพื่อสำแดงพลังอันยิ่งใหญ่ของเขา ก็เท่ากับไม่เคารพผู้บำเพ็ญเซียนที่อยู่ประเทศนั้นๆ และอาจส่งผลต่อการฝึกของผู้อื่นด้วย ดังนั้นหากไม่ใช่เหตุเร่งด่วน หลิวเสี่ยนจะไม่ใช้พลังไปกับพลังวิญญาณขั้นปฐมมากนัก เมื่อเขาต้องการหาตัวลูกศิษย์ เขาจะไต่ถามเอาจากผู้อาวุโสที่มีความสัมพันธ์กับลูกศิษย์คนดังกล่าว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผู้อาวุโสห้ามากับพวกเขาด้วย โชคร้ายที่นางไม่ต้องการให้ความร่วมมือสักนิด แต่เคราะห์ดีที่สุดท้ายพวกเขาเจอตัวหวังลู่ หนำซ้ำเด็กคนนี้ยังมุ่งหน้ามาหาพวกเขาเองด้วย


ไม่นานนักหวังลู่ก็ก้าวเข้ามาในห้อง เยวี่ยซินเหยาที่มาด้วยกันยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ไม่ว่าต่อจากนี้เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร นางขอเป็นเพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น


เมื่อได้เห็นหวังลู่ ฟางเฮ่อที่ไม่อาจข่มอารมณ์ตัวเองได้ก็ลุกขึ้นยืนในทันที “หวังลู่ เจ้ายอมรับความผิดหรือไม่!?”


หวังลู่นิ่งอึ้งไปพักใหญ่ สีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จากนั้นเขาจึงโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “ความผิดของศิษย์ผู้นี้โดดเด่นเสียจนบดบังศิษย์พี่และศิษย์น้องคนอื่นๆ ทำให้พวกเขาหมดแรงผลักดันตนในการฝึกบพำเพ็ญเซียน”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟางเฮ่อก็แทบจะผ่าร่างศิษย์จอมกบฏผู้นี้ออกเป็นสองส่วน


“ศิษย์น้องห้า เจ้าเห็นหรือยัง นี่ละผลจากการที่เจ้าสั่งสอนลูกศิษย์ของเจ้า!”


ผู้อาวุโสห้าพยักหน้าอย่างยินดี “ไม่เลว ไม่ก้าวร้าวหรือประจบประแจงเกินไป เป็นแบบที่ข้าชอบพอดี”


ไม่ก้าวร้าวหรือประจบประแจงมารดาเจ้าสิ! ความโกรธของฟางเฮ่อพุ่งทะลุหลังคา พลังวิญญาณขั้นปฐมไหลพล่าน ลมปราณเกือบแตกซ่านเพราะความโกรธเกินขีดจำกัดที่มีขึ้นเพราะ ‘สิ่ง’ นี้!


ทว่าเมื่อได้เห็นว่าผู้อาวุโสห้าตัดสินใจออกปากปกป้องหวังลู่ เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก “ศิษย์น้องห้า เจ้ากลับไปได้แล้ว”


“หือ ไวขนาดนั้นเชียว ข้ายังไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วยซ้ำ”


“กลับไป!”


ศิษย์น้องห้าจึงต้องออกไปอย่างขุ่นเคืองใจ ปล่อยให้ผู้อาวุโสสองคนอยู่ในห้องกับศิษย์อีกสามคน ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยฟางเฮ่อมองหวังลู่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้งจากนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ “เจ้าเป็นเด็กฉลาด เหตุใดจึงทำเรื่องเช่นนี้”


หวังลู่ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าขอถามท่านลุง ข้าทำอะไรผิดหรือ”


ฟางเฮ่อนิ่งอึ้งไปอึดใจหนึ่ง หลังจากพิจารณาแล้วว่าหวังลู่ไม่ได้พูดให้ขำแต่ต้องการคำตอบจริงๆ เขาก็อดรำคาญนิดๆ ไม่ได้ “เจ้าก่อตั้งลัทธิในโลกมนุษย์ แล้วยังกล้าถามว่าทำอะไรผิดอีกหรือ”


ฟางเฮ่อไม่คาดคิดว่าหวังลู่จะปฏิเสธเสียงแข็ง “สำนักภูมิปัญญาไม่ใช่ลัทธิ ท่านลุงโปรดตรวจสอบอีกครั้ง!”


ฟางเฮ่อตบโต๊ะ “เหลวไหล! ทุกอย่างที่เจ้าทำในประเทศต้าหมิง จูฉินรายงานพวกเราหมดแล้ว เดี๋ยวข้าจะเอาให้เจ้าดู ช่วยดูซิว่าในรายงานของเขามีข้อผิดพลาดตรงไหนบ้าง!”


จู่ๆ จดหมายฉบับหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของหวังลู่ หวังลู่กำมันไว้จากนั้นก็โบกใส่เยวี่ยซินเหยา หญิงสาวก้มศีรษะให้พร้อมรอยยิ้มพลางคิด ‘เป็นไปตามที่ศิษย์พี่พูดไว้ไม่มีผิด’


ข้อความในจดหมายของจูฉินจอมขี้ฟ้องกล่าวถึงการขยับขยายของสำนักภูมิปัญญาตลอดเวลาแปดเดือนที่ผ่านมา มันไม่ได้มีถ้อยคำที่ยั่วยุหรือคำกล่าวหาเลื่อยลอย เล่ห์กลง่ายๆ นี้ยิ่งทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองดูหมิ่นหวังลู่เข้าไปใหญ่ หนำซ้ำจากการกระทำของหวังลู่เอง อีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำยั่วยุด้วยซ้ำ


พออ่านจบ หวังลู่ก็ย้อนขึ้น “สำนักเรามีข้อห้ามในการตั้งสำนักระหว่างการออกเดินทางเรียนรู้ประสบการณ์ด้วยหรือ แม้ขั้นตบะของข้าจะตื้นเขิน แต่ตามกฎไม่ได้มีการห้ามตั้งสำนักนี่”


ฟางเฮ่อขมวดคิ้ว แต่ก่อนที่จะเปิดปากพูด หลิวเสี่ยนผู้ที่เป็นคนวางแผนการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้ด้วยตัวเองก็โกรธขึงขึ้นมา “จุดประสงค์ในการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้ก็เพื่อให้เหล่าศิษย์ได้รับประสบการณ์และพัฒนาการบำเพ็ญเซียนของตน ไม่ใช่แพร่กระจายข่าวลือและชักนำผู้คนให้เสียภาษีอย่างไร้ความปรานี! ตบะของเจ้าอยู่เพียงขั้นฝึกปราณ จะสะสมทรัพย์สมบัติไปเพื่ออะไร!? ข้าไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ปกติแล้วเจ้าก็ดูเป็นคนหัวดื้อมั่นใจในตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกโลกมนุษย์ทำให้หลงผิดได้ ยอดเขาไร้ลักษณ์ยากจนถึงเพียงนั้นเชียวหรือ!?”


หวังลู่ไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป “วางใจเถอะท่านลุง แม้ยอดเขาไร้ลักษณ์จะยากจน ศิษย์ก็ไม่เคยยากไร้ ศิษย์ไม่เคยลืมจุดประสงค์ของการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้ แม้กำไรจากสำนักภูมิปัญญาจะไม่เลว แต่ศิษย์ไม่เคยชักออกมาใช้เองสักตำลึงเดียว ศิษย์ไม่ได้ตั้งสำนักขึ้นเพื่อกอบโกยเงินทอง ขอท่านลุงโปรดตรวจสอบดูอีกที”


เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากหวังลู่ หลิวเสี่ยนก็ส่งเสียงฮึพลางกล่าวว่า “หากไม่ใช่เพื่อเงินทอง เช่นนั้นก็เพื่ออำนาจ มันก็ไม่ต่างกันหรอก!”


ครั้งนี้หวังลู่ไม่ได้ปฏิเสธ แม้เขาจะเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่วิญญาณ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงส่ง แต่เมื่อเทียบกับตำแหน่งหัวหน้าสำนักภูมิปัญญา ที่คำพูดของเขาเพียงไม่กี่คำก็สามารถขับเคลื่อนคนนับล้านคนได้ สองสิ่งนี้ไม่อาจเอามาเทียบกันได้สักนิด


“ความยากลำบากในโลกมนุษย์สามารถบรรเทากิเลสของผู้คนได้ ข้าส่งเจ้าลงเขามา เพื่อให้เจ้าเติบโตจากโคลนตมอย่างไม่ด่างพร้อย มิใช่ให้เจ้ากลิ้งเกลือกอยู่ในโคลนตมนั้นเสียเอง!”


เพื่อจะโต้ตอบคำพูดนี้ ก่อนที่ผู้อาวุโสรองจะเทศนาจบ หวังลู่ก็พูดขัดขึ้น “ศิษย์ไม่เคยปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอำนาจหรือเงินทอง ในแปดเดือนนี้ศิษย์ไม่เคยหยุดบำเพ็ญเซียน และการบำเพ็ญเซียนของศิษย์ก็ก้าวหน้าขึ้นมากด้วย!”


ทันทีที่พูดจบ เขาก็ปล่อยคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ขั้นฝึกปราณระดับหกออกมา แม้สิ่งนี้จะเป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทร แต่เมื่อเทียบกับศิษย์ในห้องนี้อีกสองคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ทั้งสอง ความเร็วในการบำเพ็ญเซียนของหวังลู่ถือว่ารวดเร็วเป็นอันมาก ทว่าหลิวเสี่ยนทำเพียงเหยียดยิ้ม


“หวังลู่ เจ้าอย่าลืมสถานะของตัวเอง เจ้าไม่ใช่แค่ศิษย์ชั้นในธรรมดา แต่เป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอด! เจ้าพอใจเพียงแค่ตบะขั้นฝึกปราณระดับหกเท่านั้นหรือ!? เจ้ารู้ไหม เทียบกับศิษย์ผู้สืบทอดคนอื่นๆ ต่อให้นับเฉพาะช่วงสองสามปีแรกที่เพิ่งเข้าสำนักมาพอๆ กับเจ้า การบำเพ็ญเซียนของเจ้าก็ไม่นับว่าดีที่สุด”


หวังลู่ผู้ไม่ก้าวร้าวหรือประจบประแจงเกินไปกล่าวตอบ “หากข้าจำไม่ผิด เป็นท่านลุงเองที่สอนเราว่าอย่าหลับหูหลับตายึดติดกับขั้นตบะมิใช่หรือ แม้ขั้นตบะของศิษย์จะไม่สูงส่ง แต่ความแข็งแกร่งของศิษย์นั้นทรงพลังไม่น้อย ศิษย์ย่อมไม่ใช่เหล่าศิษย์น้องหญิงหรือศิษย์น้องชายพวกนั้นที่หวังพึ่งกับเหตุการณ์ที่บังเอิญเจอเพื่อเพิ่มขั้นตบะให้ตัวเอง ท่านลุงโปรดตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย!”


ถ้อยคำไร้ยางอายนี้ทำให้หลิวเสี่ยนอับจนคำพูดอยู่นานเกือบหนึ่งเค่อ


แม้เขาจะรู้ว่าเจ้าเด็กหวังลู่คนนี้ถูกอาจารย์ของตนทรมานทรกรรมอย่างหนักหน่วงก่อนที่จะลงเขามา ทว่าเมื่อได้มาเจอหน้ากันในครั้งนี้ หลิวเสี่ยนกลับพบว่าเขาประเมินความหัวรั้นของอีกฝ่ายต่ำไป! ฟังจากสิ่งที่เด็กคนนี้พูดออกมา แค่ทัศนคติเพียงอย่างเดียวก็น่าขุ่นเคืองแล้ว แถมตอนนี้ฟางเฮ่อผู้อาวุโสฝ่ายวินัยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กำลังมองหวังลู่อย่างโกรธเกรี้ยว คิดคำนวณในใจอย่างรวดเร็วว่าหวังลู่ทำผิดกฎสำนักไปกี่ข้อแล้ว


“…เป็นเจ้าสำนักในโลกมนุษย์มานาน อัตตาในตัวเจ้าคงพุ่งสูงจนเกือบจะเสียสติไปแล้วกระมัง”


หวังลู่ยิ้ม “ข้าไม่ได้เสียสติ ท่านลุงจะทดสอบข้าก็ได้… หากศิษย์อวดดีนัก เช่นนั้นท่านลุงโปรดประทานกระบี่แก่ศิษย์เถอะ!”


ทันทีที่เขาพูดจบ ทุกคนในห้องต่างก็ตกตะลึงกันถ้วนหน้า!


………………………………….

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม