สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด บทที่ 3 ตอนที่ 30-31

 บทที่ 30 เต่าทะเลดึกดำบรรพ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถ้ามีเพลงดนตรีประกอบ ภาพที่ปรากฏต่อสายตาตอนนี้น่าจะเหมาะใช้ประกอบเอ็มวีอะไรแบบนั้น


เรื่องที่เกิดในหมู่บ้านประมงกระทบจิตใจผู้คนอย่างมาก


กระทั่งตอนนี้ ความรู้สึกนั้นก็ยังยากจะอธิบาย


แต่พวกเราลืมอะไรไปแล้วหรือเปล่า?


ใช่ ก็อย่างว่าแหละ ก่อนจากไปหนึ่งวัน รองบรรณาธิการเริ่นยังใช้วิธีเดิมๆ ลากสองคนที่เธอเหมาเอาเองว่าเป็นสองสามีภรรยาอย่างเป็นทางการมาที่ชายหาด


เอ่อ…อย่างเป็นทางการในแบบเริ่นจื่อหลิง


“ทะเล!แสงแดด! ชายทะเล! นี่สิถึงเรียกว่าหน้าร้อน! แถมเป็นที่นั่งชมแบบเหมาส่วนตัวของพวกเราอีก!!” เริ่นจื่อหลิงอุทานขณะหันหน้าไปทางทะเล


“ไม่มีคนแน่อยู่แล้วค่ะ…เดิมลูกค้าที่มาบ้านพักตากอากาศในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่ได้มากมายอะไร แถมยังพากันติดเชื้ออีก ตอนนี้ยังพักรักษาตัวกันอยู่เลย” หลีจื่อพูดอย่างขบขัน


แต่ว่าบนหาดทรายที่กว้างใหญ่แบบนี้ ความรู้สึกที่มีแค่คนสี่คนแบบนี้มันสุดยอดไปเลยจริงๆ นะ!


“อย่าเอ็ดไป!” เริ่นจื่อหลิงหัวเราะฮาดังลั่น เดินย่ำไปบนน้ำทะเลริมชายหาดพลางถอดเสื้อคลุมบนตัวออก


ในความเป็นจริงหน้าอกขนาด 35D ของรองบรรณาธิการเริ่น เป็นที่ประทับใจของคนในกองบรรณาธิการนิตยสารเสมอมา ตอนนี้เธอเลือกชุดว่ายน้ำทูพีชสีชมพู…ที่จริงภาพตอนที่เริ่นจื่อหลิงวิ่งนั้นมันกระทบกระเทือนจิตใจหลีจื่ออย่างรุนแรง จนเธอไม่กล้ามองเลยจริงๆ


โดยเฉพาะรูปร่างราวกับเด็กมัธยมต้นอย่างเธอ และชุดทรงกระบอกสีเหลืองมะนาวที่เธอสวมอยู่นั้น… “ถ้าไม่เปรียบเทียบก็จะไม่รู้สึกเจ็บใจ…จะยังไงก็ช่าง ฉันเป็นปีศาจนี่!”


“พวกเธอมัวอึ้งอะไรกันอยู่ มาสิ!” เริ่นจื่อหลิงลงไปในน้ำทะเลแล้ว สีหน้ามีความสุข


หลีจื่อหันกลับไปมองทางอื่นอัตโนมัติ


ลั่วชิว…ลั่วชิวกำลังเสียบร่มกันแดดที่ยืมมาจากบริเวณใกล้ๆ และปูผ้าสำหรับนั่ง ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะลงเล่นน้ำเลย


แต่เหมือนเขาจะพูดอะไรบางอย่างกับโยวเย่ พอโยวเย่พยักหน้า ถึงได้อมยิ้มแล้วเดินมา


การออกมาข้างนอกในวันนี้ คุณสาวใช้ได้ใช้ยางหนังสติ๊กรัดผมที่ยาวปลิวสยายเป็นหางม้าอย่างง่ายๆ แล้วเธอก็ค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมกันลมบางๆ สีขาวที่สวมอยู่บนตัวออก


ด้านในยังเป็นชุดว่ายน้ำสีขาว


สำหรับหลีจื่อแล้ว ถ้าบอกว่าพี่เริ่นเป็นคนที่ทำให้เธอรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ อย่างนั้นคนที่เดินมาหาเธออย่างสงบเสงี่ยม พูดน้อยแต่ดูพูดจาดีมากคนนี้ก็คงเป็นเหมือนการบุกจู่โจมเธอเลยล่ะมั้ง?


“ไม่นึกเลย…ไม่นึกเลย…” หลีจื่อพูดพึมพำกับตนเอง


หญิงสาวที่เปี่ยมด้วยความงดงามแบบฉบับโบราณ นึกไม่ถึงว่าชุดที่เธอสวมอยู่จะเป็นชุดว่ายน้ำบิกินี่ ตรงกระดูกเชิงกรานช่วงเอวแต่ละข้างผูกเงื่อนโบว์ไว้ ซึ่งสะบัดไปมาตรงขาสองข้างระหว่างเดิน แทบจะสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ สิ่งที่ปิดบังจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงอยู่ เป็นแค่ผ้าสีขาวชิ้นเล็กๆ เท่านั้น


“คุณหลีจื่อ คุณไม่ลงเล่นน้ำเหรอคะ?”


“เรียกฉันหลีจื่อก็ได้ค่ะ…” หลีจื่อหัวเราะแห้งๆ สองครั้ง


สิ่งกระตุ้นความเจ็บจี๊ดในใจยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง เธอได้แต่ยิ้มพูดด้วยความลำบากใจ “งั้นลงเล่นน้ำกันเถอะค่ะ เล่นน้ำกัน…”


ถึงอย่างไรก็พูดไม่ได้นะ ถึงแม้เธอก็เป็นผู้หญิง แต่ก็ยังมองค้างเหมือนกันเลย?


“ถ้าอย่างนั้น ลงเล่นน้ำกันเถอะหลีจื่อ” โยวเย่ยิ้มเล็กน้อย แล้วก็ดึงมือหลีจื่อไป


ลั่วชิวมองท่าทางของทั้งสามคนที่กำลังเล่นน้ำอยู่ ก็ยิ้มเล็กน้อย หยิบน้ำโซดากระป๋องหนึ่งออกมาจากกล่องรักษาอุณหภูมิแล้วดื่มอึกหนึ่ง ก่อนใช้เสื้อผ้าคลุมสองขาและแขนไว้ แล้วถือวิสาสะใช้หมวกของโยวเย่มาคลุมใบหน้าตนเองแล้วเอนตัวลงนอน จากนั้นก็ไม่ขยับอีกเลย


หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองสามคนก็ขึ้นมาบนหาด


เริ่นจื่อหลิงตรงมาข้างๆ ลั่วชิว “เด็กนี่!! ยังไงเราก็มาถึงทะเลกันแล้ว เธอมาหลับตรงนี้ไม่เบื่อเหรอ?”


ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ


เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้ว แล้วเปิดหมวกใบนั้นออกซะเลย สิ่งที่เห็นกลับเป็นแค่…หัวที่ใช้ทรายก่อกองขึ้นมาเท่านั้น


นี่ใช่ลั่วชิวที่ไหนกัน นี่มันแค่ทรายที่ก่อขึ้นมาเป็นร่างคนเท่านั้นเอง


“พอฉันไป…เจ้าเด็กแสบนี่ก่อทรายเป็นตัวคนไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…แล้วตัวเขาล่ะ?” เริ่นจื่อหลิงมองไป ที่นั่นรอบๆ จะไปมองเห็นใครได้?


“เขาชอบไปเดินเล่นรอบๆ ค่ะ น่าจะกำลังเดินเล่นอยู่ที่อื่นล่ะมั้งคะ” ฉับพลันนั้นโยวเย่ก็พูดขึ้นมาเบาๆ


“เรื่องนี้ฉันรู้น่า!” เริ่นจื่อหลิงพูดอย่างโกรธๆ “แต่เธออยู่ที่นี่นะ! เป็นแฟนกัน เดินหายไปแบบนี้ไม่ค่อยมีความรับผิดชอบเลยนะ!”


คุณสาวใช้พูดเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไรนี่คะ พวกคุณอยู่เป็นเพื่อนฉันก็โอเคแล้วล่ะค่ะ”


ช่างเป็นเด็กแสนดีมากเสียจริง!


บนโลกใบนี้ยังมีเด็กสาวแบบนี้อยู่จริงๆ สินะ…เจ้าเด็กแสบนั่นต้องสั่งสมบุญมากี่ชาติถึงโชคดีขนาดนี้เนี่ย!


รองบรรณาธิการเริ่นก็กุมมือโยวเย่ขึ้นมา พูดอย่างสนิทสนมว่า “มา! ฉันจะสอนวิธีเอาชนะใจสามีให้เธอนะ! เธอเป็นแบบนี้จะถูกรังแกเอาได้! ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะลูกสาว ตอนที่จำเป็นก็ขี่ได้นะ!”


พรวด!


พี่เริ่น สิ่งที่พี่สอนนี่มันคือเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?!


หลีจื่ออ้าปากค้าง…นิ่งตะลึงทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว




ลั่วชิวกระโดดสบายๆ อยู่บนหินโสโครกระเกะระกะในทะเล ราวกับจอมยุทธ์ที่อยู่ในภาพยนตร์ หลังจากกระโดดไปสักพักหนึ่งก็หมดความสนใจแล้ว


ที่นี่คือด้านล่างของผาฟังเสียงคลื่น


การพังทลายของหน้าผาครั้งหนึ่งเมื่อสี่สิบห้าปีก่อน และสี่สิบห้าปีให้หลังก็ถูกหลี่ว์เฉาเซิงระเบิดอีกครั้งตามคำสั่งของหลี่ว์อีอวิ๋น


หินผาซึ่งถล่มมาจากภูเขาถึงสองครั้งมารวมกับหินโสโครกที่มีอยู่เดิมแล้วที่นี่ ทำให้สถานที่แห่งนี้รกระเกะระกะเป็นที่สุด ตอนที่คลื่นทะเลซัดยิ่งรุนแรงน่ากลัว


อย่าว่าแต่เรือประมงลำเล็กๆ เลย ขนาดคนที่ว่ายน้ำแข็งๆ ก็คงไม่กล้าพรวดพราดเข้ามายังที่แห่งนี้


ลั่วชิวถือว่ารายงานเรื่องหมู่บ้านหลี่ว์ที่เขาพบในคลินิกเล็กๆ ชุดนั้น เป็นของหวานที่ได้ลิ้มลองครั้งสุดท้ายก่อนออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ไป


เขาวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านมาสี่สัปดาห์ก็ยังไม่พบอะไร สุดท้ายเลยคิดใคร่ครวญถึงด้านล่างหน้าผาที่ยากจะเข้าไปใกล้ได้แห่งนี้


เพิ่งจะเลยช่วงเที่ยงมา ระดับน้ำทะเลยังไม่ลดลง ลั่วชิวมองใต้หน้าผาซึ่งโล้นโล่ง สุดท้ายดูเหมือนว่าจะไม่พบอะไรที่นี่เลย


เจ้าของร้านลั่วส่ายหน้า กำลังคิดจะออกไป แล้วพลันก็ขมวดคิ้ว


เขาพบว่าจุดหนึ่งบริเวณหน้าผานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ…มันมีหินส่วนที่ยื่นออกมาก้อนหนึ่ง บนนั้นมีตะไคร้น้ำเกาะเต็มมาตั้งนานแล้ว


นี่น่าจะเป็นหินแผ่นใหญ่ที่ร่วงลงมาจากภูเขาเมื่อสี่สิบห้าปีก่อน


ลั่วชิวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วยื่นมือออกไป ขยับไปมากลางอากาศ แล้วหินผาที่น้ำหนักเกินยี่สิบสามสิบตันก็ค่อยๆ ขยับไปอีกด้านหนึ่ง


น้ำทะเลเริ่มไหลทะลักเข้าไปตรงช่องนี้ทันที หลังจากนั้นก็กลับคืนสู่ระดับความสูงเท่าเดิมอย่างรวดเร็ว


ลั่วชิวเดินไปอยู่บนผิวน้ำ แล้วน้ำทะเลในระยะประมาณสิบตารางเมตรก็แยกออกอย่างเป็นธรรมชาติ ในที่สุดก็พบสาเหตุที่น้ำทะเลไหลวนเข้ามา


ใต้ผิวน้ำทะเลมีปากถ้ำกว้างประมาณสิบเมตร เหมือนว่าลั่วชิวได้เจอสิ่งที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว แววตาเขาเป็นประกาย จากนั้นเขาก็ ‘เดินเข้าไป’ ในถ้ำใต้น้ำทะเลแห่งนี้


ปากทางเข้าถ้ำแห่งนี้เหมือนทางเดินสายหนึ่ง ตรงเข้าไปส่วนลึกที่อยู่ใต้ภูเขา


ระยะทางน่าจะประมาณสามสิบกว่าเมตรได้ล่ะมั้ง เดินเข้ามาถึงสุดทางเดินของเส้นทางสายนี้แล้ว ลั่วชิวจึงเงยหน้าขึ้น…ช่องทางเดินเส้นนี้ดูเหมือนธรรมชาติได้สร้างสรรค์เป็นรูปตัวอักษร ‘U’


ส่วนใต้ฐานภูเขาที่อยู่ด้านในนี้เป็นที่ว่าง


เขาออกมาจากทางเดินรูปตัวอักษร ‘U’ นี้แล้ว น้ำทะเลพวกนั้นก็ไหลทะลักเข้ามาอีกครั้ง แล้วที่นี่ก็มืดมิดลง แต่น่าประหลาดใจที่กลับไม่รู้สึกว่าอากาศอับแต่อย่างใด…น่าจะยังมีช่องอากาศอยู่ที่ไหนสักแห่งให้อากาศได้ถ่ายเท


เขาเปิดไฟฉายในโทรศัพท์มือถือ จึงพอมองเห็นพื้นที่ตรงนี้ได้ชัดเจนมากขึ้น


ลั่วชิวมองเห็นบางสิ่งบางอย่างปรากฏอยู่ตรงหน้าตนเอง…เอ่อ เต่าตัวหนึ่ง


เต่าที่ใหญ่มหึมามากตัวหนึ่ง!


น่าจะเป็นเต่าทะเลล่ะมั้ง?


ลั่วชิวเดินวนรอบเต่าทะเลมหึมาตัวนี้ ดูเหมือนว่าทางเดินทั้งหมดเมื่อครู่เกิดขึ้นตามรูปร่างของเต่าทะเลตัวนี้ และออกจะแคบไปสักหน่อย ทำให้มันเดินต่อไปได้เลย


ในที่สุดลั่วชิวก็เดินมาตรงหน้าเต่าทะเลตัวนี้ เจ้านี่ไม่ได้มีสมองใหญ่ไปกว่ามนุษย์สักเท่าไร


หลังจากชั่วพริบตานั้นเองนัยน์ตามหึมาสีดำสนิทคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้น


วินาทีที่เต่าทะเลยักษ์ลืมตาขึ้นมา ลั่วชิวก็รู้สึกราวกับจมไปในมหาสมุทร…ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร น่าจะบอกว่าเป็นความรู้สึกเย็นเป็นระลอกๆ ทำให้เขารู้สึกสบายตัวมากกว่า


เต่าทะเลยักษ์ตัวนี้พินิจพิจารณาลั่วชิว และลั่วชิวเองก็พินิจพิจารณาดวงตาคู่นี้ของมันเช่นกัน


“เจ้าเป็นใคร?”


ลั่วชิวได้ยินเสียงแบบนี้ มันไม่ใช่ภาษาที่สื่อสารกันด้วยการเปล่งเสียง แต่เหมือนเป็นการสื่อสารทางจิตมากกว่า


ลั่วชิวพูดด้วยความอยากรู้ทันที “คุณรู้จักการสื่อสารทางจิต?”


“อะไรคือการสื่อสารทางจิต? ข้าไม่รู้จัก ข้าแค่นึกเท่านั้นเอง เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลย เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงมารบกวนเวลานอนของข้า?”


เจ้าของสมาคมเคยแต่พูดคุยกับคน แต่ตอนนี้ได้พูดคุยอย่างสนุกกับสิ่งมีชีวิตนอกเหนือมนุษย์อย่างคาดไม่ถึง “ผมน่ะเหรอ? ก็แค่เดินไปทั่วด้วยความอยากรู้ครับ แล้วก็บังเอิญมาพบสถานที่แห่งนี้ พูดตรงๆ แล้ว ผมเพิ่งจะเคยเห็นเต่าทะเลยักษ์อย่างคุณ…คุณเป็นปีศาจสินะครับ?”


เต่าทะเลยักษ์ตัวนี้กลับพูดว่า “ปีศาจคืออะไร?”


“น่าจะเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างในระยะที่สองหลังจากเริ่มมีสติปัญญา…อย่างเช่นเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างไม่แตกต่างกับผมนี่”


“ฉันไม่เป็นแบบนั้นหรอก”


ลั่วชิวนิ่งอึ้ง แต่พบเจอเต่าทะเลตัวหนึ่งที่ใช้จิตสื่อสารได้ กลับทำให้เขารู้สึกสนุกเลยถามว่า “คุณมาจากที่ไหนกันครับ? อยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว…จริงสิ คุณอายุเท่าไรแล้ว?”


“ข้าไม่รู้ว่าข้าอายุเท่าไรแล้ว” เต่าทะเลยักษ์ค่อยๆ พูดอย่างเนิบช้า…ท่วงทำนองแบบนั้นช้ามากจริงๆ “ตอนแรกเริ่ม ฉันจำได้ว่า บนโลกน่าจะมีเจ้าหัวโตเยอะแยะมากมายเลยล่ะ”


“หัวโต? หน้าตาเป็นยังไงครับ?” ลั่วชิวขมวดคิ้วถาม


“บางตัวหัวโตมาก ขาหลังแข็งแรงมาก แต่สองขาหน้ากลับเล็กนิดเดียว ใช่แล้ว ฟันของพวกมันแหลมคมมาก และชื่นชอบอยู่ลำพังตัวเดียว นอกเสียจากช่วงหน้าผสมพันธุ์ถึงจะพบเห็นเป็นคู่ ลักษณะตัวอื่นๆ ไม่แตกต่างกันนัก ขนาดก็ไม่แตกต่างกัน บางตัวคอค่อนข้างยาว มีบางตัวถึงขนาดบินบนฟ้าได้…ใช่แล้ว พวกมันมีหางที่แข็งแรงมาก”


เจ้าของร้านลั่วฟังไปฟังมา ก็ตะลึงงัน รีบเปิดโทรศัพท์…คิดไม่ถึงว่ายังพอมีสัญญานอยู่นิดหน่อย ไม่นานนัก เขาก็หาภาพในอินเตอร์เน็ตเจอภาพหนึ่ง ยื่นไปข้างหน้า “คุณลองดูหน่อย ใช่พวกนี้ไหมครับ?”


“นี่คือตัวอะไร? เอ่อ เหมือนข้าเคยเห็นเจ้านี่มาก่อน”


ลั่วชิวได้รับคำตอบที่ชัดเจนของเต่าทะเลยักษ์ตัวนี้แล้วก็ตกใจมาก สาเหตุที่ตกใจคือ ภาพที่เขาเอาภาพให้เต่าทะเลยักษ์ตัวนี้ดู เป็นภาพไดโนเสาร์น่ากลัวภาพหนึ่ง


และยังเป็นชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า ‘cerasinops’ในยุคครีเทเชียส*


งั้นก็บอกได้ว่า เต่าทะเลยักษ์ตัวนี้เป็นสิ่งมีชีวิตในยุคครีเทเชียสแล้ว?


ยุคครีเทเชียสเป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน แต่ถึงนับตั้งแต่จบยุคนี้ ก็ยังห่างจากตอนนี้เกือบเจ็ดสิบล้านปี…


ของจริงเลยเหรอเนี่ย? เต่าดึกดำบรรพ์!


ยุคครีเทเชียส* ยุคครีเทเชียสเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของไดโนเสาร์ และเป็นยุคที่ยาวนานที่สุด ประมาณ 4.0 ล้านปีก่อน เมื่อปลายยุคครีเทเชียสเมื่อ 65 ล้านปีก่อน เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ทำให้สิ่งมีชีวิตถึง 94% สูญพันธุ์ ซึ่งรวมถึงไดโนเสาร์ด้วย


บทที่ 31 อารยธรรมโบราณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ดูเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นในยุคครีเทเชียสจริงๆ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็น่าจะเป็นพวกเต่าทะเลในยุคนี้ หรือก็คือเต่าทะเลดึกดำบรรพ์


ก่อนหน้าที่เขาจะมารับหน้าที่เจ้าของสมาคม เจ้าของร้านลั่วก็เป็นนักศึกษาวิชาเอกที่ว่าด้วยสัตว์และพืชดึกดำบรรพ์คนหนึ่งเหมือนกัน ย่อมเข้าใจว่าการได้ค้นพบเต่าทะเลดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่งแบบนี้มีความหมายทางชีววิทยาอย่างไรบ้าง


บางทีสิ่งมีชีวิตเกินจินตนาการแบบนี้ก็ช่วยให้มนุษย์เข้าใจขีดกำจัดของชีวิตได้ ซึ่งทำให้มนุษย์เกิดการพัฒนาได้ ส่วนที่เหลือยังมีการวิจัยเกี่ยวกับแผนที่พันธุกรรม วิถีการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงที่สามในระบบสุริยะนี้ ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้นนะ มันยังเข้าใจการสื่อสารด้วยจิต ดังนั้น มันจึงสามารถช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์เลียนแบบสภาพความเป็นอยู่ในยุคครีเทเชียสได้


และก็ไม่ใช่ปีศาจ แต่เกรงว่าจะอยู่มายาวนานกว่าปีศาจเสียอีก ตัวเต่าทะเลดึกดำบรรพ์ตัวนี้เป็นประจักษ์พยานปาฏิหาริย์ของชีวิตอันน่าอัศจรรย์


ลั่วชิวเริ่มสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ


“คุณมีชื่อไหมครับ? คุณ…ยังมีพวกเดียวกันอยู่ไหม?”


“ข้าไม่มีชื่อ” เต่าทะเลดึกดำบรรพ์พูดเนิบนาบ “พวกเดียวกัน…ก่อนหน้านี้นานมาแล้วก็เคยมี เพียงแต่พวกมันไม่อยู่แล้ว ข้าเคยเห็นเพวกที่คล้ายข้าอยู่มาก แต่พวกมันทั้งหมดไม่ได้ถือเป็นประเภทเดียวกับข้าจริงๆ หรอก พวกมันก็แค่หน้าตาคล้ายเท่านั้นเอง”


ลั่วชิวพยักหน้า…ถ้าสิ่งมีชีวิตอย่างเต่าทะเลดึกดำบรรพ์ยังมีชีวิตอยู่อีกเยอะล่ะก็ หลายปีมานี้โลกภายนอกคงต้องมีความเคลื่อนไหวบ้างสิ หรือเป็นไปได้ว่านี่เป็นตัวสุดท้ายที่ยังมีชีวิตตั้งแต่ยุคครีเทเชียสจนถึงปัจจุบัน


“จริงสิ คุณอยู่ที่นี่ได้ยังไง…เอ่อ นอนเหรอ?”


“แปลกมากเหรอ? ข้านอนอยู่ที่นี่มาโดยตลอด” เต่าทะเลดึกดำบรรพ์บอก “ข้าเคยเปลี่ยนที่นอนมาหลายครั้งแล้ว มีครั้งหนึ่งจู่ๆ บนท้องฟ้าก็มีหินก้อนมหึมาเป็นเปลวไฟตกลงมามากมาย กระแทกหน้าดินแตกกระจายไม่เป็นชิ้นดี แม้กระทั่งในทะเลก็วุ่นวายเหมือนกัน ข้าจึงจำต้องย้ายถิ่น มีครั้งหนึ่ง ภูเขาไฟในทะเลเริ่มปะทุ ข้าไม่ไปก็ไม่ได้เช่นกัน มีอีกครั้งหนึ่งทั่วทั้งโลกเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นเกินกว่าที่ข้าจะทนได้ ข้าจึงจำต้องหาสถานที่สักแห่งหนึ่งที่อบอุ่นกว่า…”


เต่าทะเลดึกดำบรรพ์เอาแต่เล่าประวัติการย้ายถิ่นฐานในช่วงระยะเวลายาวนานนี้ของมัน อาจด้วยเวลาผ่านมานานจนตัวมันเองก็ลืมไปแล้วว่าทำไมถึงย้ายถิ่นฐานในแต่ละครั้ง คงเป็นเพราะวันเวลาผ่านไปนานมากแล้ว ทำให้ความทรงจำของมันเลือนรางไปไม่น้อยจนถึงกับลืมเลือนไปแล้ว


“อ่อ ใช่แล้ว ตอนที่ข้าย้ายมาที่นี่น่าจะเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นบนพื้นดินสั่นสะเทือนรุนแรงน่ากลัว มีสองอย่างที่ใหญ่มากๆ ตกลงมาจากฟ้า…สิ่งนั่นน่ากลัวมากเหลือเกิน สถานที่แห่งนั้นพังทลายลง แล้วก็มีควันโขมงเหมือนภูเขาไฟระเบิดลอยขึ้นไปในอากาศ หลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นในอากาศหรือในน้ำทะเลต่างมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายตัว ข้าจึงได้แต่จากไป เดิมข้ายังชื่นชอบที่ที่ข้าเคยนอนในครั้งที่แล้วอยู่มาก”


ลั่วชิวอ้าปากค้าง…จากคำบอกเล่าของเต่าทะเลดึกดำบรรพ์ ตอนที่มันย้ายถิ่นครั้งที่แล้ว คงไม่ใช่ตอนที่อเมริกันทิ้งระเบิดปรมาณูที่เขตสิบเอ็ดหรอกนะ?


ลั่วชิวไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในฉับพลันนั้นเองก็คุ้นบางอย่างมาก ถ้าไม่ใช่ว่ามันอยู่ใกล้ตัวเต่าทะเลดึกดำบรรพ์ตัวนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว บางทีเขาคงยังไม่สังเกตเห็น


จู่ๆ เขาพูดว่า “คุณขยับตัวคุณออกสักหน่อยได้ไหมครับ? ให้ผมดูของที่ตัวคุณทับไว้สักหน่อย”


“ได้สิ”


เต่าทะเลดึกดำบรรพ์มีนิสัยอ่อนโยนอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนเคลื่อนไหวกลับเนิบช้าและลำบากยิ่ง แต่ลั่วชิงเองก็มีความอดทนมาก หลังจากเขารอให้เต่าทะเลดึกดำบรรพ์ขยับตัวเสร็จแล้ว ถึงได้เดินมายังจุดที่เต่าทะเลดึกดำบรรพ์ทับไว้อยู่


มีรอยทับของกระดองเต่าขนาดมหึมารอยหนึ่ง ลั่วชิวเดินมาอยู่ตรงกลางของรอยทับนี้ เขาย่อตัวลง ยื่นมือออกมากดแตะบนดินเหนียวซึ่งถูกกดทับจนแข็งมาตั้งนานจนเหมือนกับหินผา


ดินเหนียวที่แข็งแกร่งแตกออกทีละนิดๆ หลังจากนั้นกล่องหนึ่งที่ยาวประมาณสี่สิบเซนติเมตรก็ค่อยๆ โผล่ออกมา


“ที่ที่ข้านอน ที่แท้มีของแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ?” เต่าทะเลดึกดำบรรพ์พูดอย่างตกใจ


ลั่วชิวไม่ได้ใส่ใจความตกใจของเต่าทะเลตัวนี้ เขาเปิดกล่องออก…สิ่งที่บรรจุในนี้กลับเป็นวัตถุทรงกลมขนาดมหึมาชิ้นหนึ่งซึ่งอิ่มเอิบเปล่งปลั่งสีขาวและไร้กาลเวลา


ไข่มุกเม็ดหนึ่ง…มันมีขนาดพอๆ กับลูกฟุตบอลเลย!


นี่เป็นสิ่งล้ำค่าที่หาพบได้ยากในโลกนี้…หรือน่าจะบอกว่าเป็นของล้ำค่าที่ประเมินราคาไม่ได้ ไข่มุกกลมเกลี้ยงขนาดมหึมาแบบนี้ยังใหญ่กว่าไข่มุกก้อนใหญ่ที่สุดที่ได้รับการขนานนามว่า ‘ราชาแห่งมุก’ ก้อนนั้นที่พบบนโลกนี้เมื่อหลายสิบปีก่อนเสียอีก


‘ราชาแห่งมุก’ ไม่ได้เป็นรูปร่างทรงกลมตามคำนิยาม แต่เม็ดนี้แทบจะเป็นรูปทรงกลมสมบูรณ์แบบ เป็นความแตกต่างของไข่มุกทั้งสองอย่างเห็นได้ชัด


เพียงแต่สิ่งล้ำค่าบนโลกอย่างไข่มุกเม็ดหนึ่งนี้กลับไม่อาจรักษาไว้ในมือของลั่วชิวได้นานเกินกว่าหนึ่งนาที


นิ้วมือลั่วชิวข้ามไข่มุกขนาดมหึมาเม็ดนี้ไป สมบัติล้ำค่าหายากซึ่งเพิ่งปรากฏออกมาบนโลกเมื่อครู่นี้ก็แตกเป็นผงละเอียดสีขาวปริมาณมากนับไม่ถ้วน


เจ้าของร้านลั่วคีบการ์ดของสมาคมที่เขาคุ้นเคยขึ้นมาจากกล่องท่ามกลางผงละเอียดนี้


ส่วนล่างสุดของกล่องใบนี้ที่บรรจุไข่มุกยักษ์ยังมีชั้นวางไม้ที่ใช้ยันไข่มุกไว้ พอเขาพลิกเปิดส่วนล่างสุดของชั้นวางนี้ก็เห็นข้อความบางอย่างซึ่งถูกใครบางคนแกะสลักไว้


หลังจากใช้อายุขัยจำนวนหนึ่งเป็นการแลกเปลี่ยน ลั่วชิวก็แปลความหมายของข้อความพวกนี้ได้


ระยะเวลาประมาณเจ็ดร้อยปีก่อน มนุษย์เงือกตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในทะเลลึก จ่ายด้วยราคามหาศาลเพื่อนำคนในเผ่าพันธุ์มันขึ้นมาบนผืนดิน


ชื่อของมันคือตงหยาง ต่อมาได้เพิ่มแซ่แบบคนว่าแซ่หลี่ว์


หลี่ว์ตงหยางใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไป รับรู้ถึงความอบอุ่นของแสงแดด ให้กำเนิดลูกหลาน ขยายเผ่าพันธุ์กับเผ่าพันธุ์เดียวกัน ใช้ชีวิตสุขสงบไม่วุ่นวายกับโลกภายนอกมาโดยตลอด


“หากลูกหลานของข้าทุกคน พบกับความยากลำบากที่ยากจะผ่านไปได้ ให้ทำลายไข่มุกเม็ดนี้แล้วเอาสิ่งที่อยู่ในนี้ออกมา ขอเพียงเจ้าขอพรจากใจจริงก็จะได้รับการตอบสนองอย่างแน่นอน แต่ก่อนจะขอพรจะต้องคิดทบทวนให้ถ้วนถี่ สิ่งที่ต้องการยิ่งมากราคาก็ยิ่งสูง สิ่งที่สูญเสียก็จะยิ่งเยอะยิ่งราคาสูง ไม่ล้ำเส้นความเป็นและความตาย ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจว่าจะใช้มั่วซั่วไม่ได้เด็ดขาด”



หลังจากได้อ่านคำสั่งเสียที่หลี่ว์ตงหยางแกะสลักไว้บนแผ่นไม้แล้ว เขาก็อยากรู้มากขึ้นกว่าเดิมว่ามันเคยทำข้อตกลงอะไรไว้ในตอนนั้น สงสัยต้องกลับไปสมาคมแล้วเปิดค้นดูในสมุดบัญชีสักหน่อยแล้ว


“หมู่บ้านหลี่ว์น่าจะมีสิ่งที่บ่งบอกเกี่ยวกับสถานที่นี้มาโดยตลอด แต่ว่า…” ลั่วชิวเล่นการ์ดดำใบนี้ที่อยู่ในมือ พลางส่ายหน้าบอกว่า “คงจะเป็นการแลกเปลี่ยนในสมัยที่ผ่านมานานมากเกินไป จนลูกหลานรุ่นหลังลืมกันไปหมดแล้วล่ะมั้ง”


ดังนั้นตลอดที่ผ่านมานี้กล่องที่ฝังไว้ที่นี่จึงไม่ได้ถูกค้นพบ


นอกจากนั้นไข่มุกยักษ์ล้ำค่าเม็ดนี้น่าจะมีพลังสกัดกั้นอะไรบางอย่าง จากสถานการณ์ที่ได้อยู่ใกล้ชิดแบบนี้ เขาในฐานะเจ้าของสมาคมถึงได้มีปฏิกิริยาบางอย่าง อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย


ถึงตอนนี้ ความลับของหมู่บ้านหลี่ว์ก็ไม่มีเหลืออยู่แล้ว


ลั่วชิวยิ้มอย่างพึงพอใจ


แต่ในตอนนี้เอง จู่ๆ เต่าทะเลดึกดำบรรพ์นั่นกลับพูดว่า “ของสิ่งนี้ ข้าเหมือนเคยเห็นมาก่อน”


ลั่วชิวนิ่งอึ้ง “เคยเห็น?”


“ให้ข้าคิดสักหน่อย…” เต่าทะเลดึกดำบรรพ์หลับตาลง


ลั่วชิวรอคอยอย่างอดทนอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสามสิบนาทีแล้ว ลั่วชิวถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ


เต่าเฒ่านี่…เหมือนจะหลับไปอีกครั้งแล้ว!!



“อ๊ะ ข้าหลับไปอีกแล้วเหรอ…อ๋อ ข้านึกออกแล้ว ของสิ่งนี้เมื่อก่อนข้าเคยเห็น” เต่าทะเลไม่ได้รู้สึกละอายใจเลยสักนิด ยังคงพูดจังหวะเนิบนาบแบบนั้น “อืม จะว่าไปแล้ว ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างที่คล้ายๆ กันในตัวเจ้ากับตัวเจ้านั่น มิน่าล่ะข้าถึงได้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล”


“กลิ่นอายที่คล้ายกัน?” ลั่วชิวขมวดคิ้ว “คนนั้นได้เคยบอกชื่อกับคุณหรือเปล่าครับ?”


“ลืมแล้ว” เต่าทะเลดึกดำบรรพ์บอก “เจ้านั่นเหมือนจะให้ของแบบนั้นกับข้าเหมือนกัน บอกว่าถ้าข้าต้องการอะไร สามารถใช้มันตามหาเจ้านั่นได้”


“หลังจากนั้น?”


“ข้าโยนของสิ่งนี้ทิ้งไปแล้ว” เต่าดึกดำบรรพ์พูดเนิบนาบ


ลั่วชิวอ้าปากค้าง…เอาเถอะ เวลาสองสามเดือนที่รับช่วงต่อสมาคมนี้ก็เพิ่งเคยเห็นคนที่โยนการ์ดดำทิ้งไปได้ อย่างเช่นก่อนหน้านี้ถูจยาฉิงก็เคยโยนทิ้งไปตั้งแต่ครั้งแรกเหมือนกัน


เพียงแต่ว่าการ์ดดำระบุตัวตนเอาไว้แล้ว หากเอาให้ลูกค้าแล้ว ไม่ว่าลูกค้าจะโยนทิ้งที่ไหน สุดท้ายก็จะกลับมาอยู่ในมือคนที่ต้องการเสมอ แน่นอนว่าสามารถเอาการ์ดดำให้คนอื่นใช้ได้เช่นกัน


แต่ที่นี่ลั่วชิวก็ไม่ได้รู้สึกถึงการมีอยู่ของการ์ดดำใบที่สองเลย เขามองเต่าดึกดำบรรพ์ตัวนี้อย่างตกใจพลางพูดว่า “หรือว่าตลอดเวลายาวนานขนาดนี้ คุณไม่มีสิ่งที่ต้องการเลยเหรอครับ?”


เต่าทะเลดึกดำบรรพ์พูดอย่างสมเหตุสมผลว่า “เจ้านั่นบอกว่า ช่วยให้ความปรารถนาของข้าเป็นจริงได้ แต่ว่าข้าไม่ต้องการนี่ ขอแค่ข้านอนหลับได้ก็พอแล้ว เรื่องนอนข้าจัดการเองได้ แล้วทำไมยังต้องให้ใครมาช่วยข้าด้วยเล่า?”


ลั่วชิว “…”


ยังมีสิ่งมีชีวิตอย่างนี้อยู่จริงๆ …ขอเพียงนอนได้ก็พอแล้ว


นี่แทบจะอยู่ในระดับไร้ความปรารถนาอย่างถาวรเลย มิน่าล่ะ การ์ดดำที่ถูกทิ้งนั่นถึงไม่ได้กลับมาอยู่ใกล้ๆ เต่าทะเลดึกดำบรรพ์อีกเลย


“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าจะนอน…หลับ…แล้ว…”


“เดี๋ยวก่อน คุณเจอคนที่ให้การ์ดดำนั่นกับคุณที่ไหนครับ?”


“ก้น…ทะเล…เล…มู…เลีย…”


“Lemuria? อารยธรรมโบราณที่มีชื่อเสียงที่แอตแลนติส? มีอยู่จริงๆ ?”


“ฮูว~~~~”


ลั่วชิวขยับริมฝีปาก สุดท้ายก็ไม่ได้รบกวนการนอนหลับลึกของเต่าทะเลดึกดำบรรพ์ตัวนี้ เขาพูดเสียงแผ่วเบา “ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าว่างๆ ผมคงจะมาพูดคุยกับคุณอีกนะครับ”


เขาฝังกล่องและการ์ดดำลงไปในดินเหนียวอีกครั้ง ทำให้ทุกอย่างที่นี่ให้กลับสู่สภาพเดิม แล้วเดินจากไปตามทาง สุดท้ายก็เคลื่อนย้ายหินผามหึมากลับเข้าตำแหน่งเดิม ปิดปากทางเข้านี้ไว้


พอมาครั้งหน้า เขาจะได้ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนี้แล้ว เพราะเขาจำตำแหน่งของที่นี่ได้แล้ว




เวลาต่อมา เริ่นจื่อหลิงเอาแต่ปั้นหน้าบึ้งตลอด ราวกับจำได้แล้วว่าตนเองอยู่ในฐานะหัวหน้าครอบครัว


เพียงแต่ความน่าเกรงขามของหัวหน้าครอบครัวแบบนี้นั้น ยังคงไม่อาจเอาชนะโจ๊กทะเลมื้อเดียว รวมทั้งของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากเจ้าของร้านลั่วได้


“นี่อะไร?” เริ่นจื่อหลิงมองกล่องใบใหญ่ที่ลั่วชิวเอาออกมาวาง แล้วพูดด้วยเสียงฮึดฮัดว่า “อย่านึกว่าแค่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ฉันก็จะให้อภัยที่เธอแอบวิ่งหนี…ฉันไปนะ นี่มันอะไรน่ะ?”


หลังจากเธอเปิดกล่องดู สิ่งที่เห็นคือผงสีขาวจำนวนมาก


ลั่วชิวตอบ “ผงไข่มุก”


“เยอะ…เยอะขนาดนี้เลย? ไม่เสียดายเงินเลยเหรอ? ให้ฉันใช้ทุกวันเป็นสิบปีก็ยังใช้ไม่หมดนะเนี่ย!”


“มันราคาถูกน่ะ”


“ก็จริง…นี่ดูแล้วก็เหมือนสินค้าราคาถูก” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้า บอกว่าเป็นสินค้าราคาถูก แต่ก็รับมาเรียบร้อย


จู่ๆ ลั่วชิวก็พูดว่า “จริงสิ หลังจากกลับไป ผมจะไม่อยู่สักพักนะครับ”


“จะไปไหน?”


“รัสเซีย ไปเที่ยวน่ะครับ”


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม