สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด บทที่ 3 ตอนที่ 26-29

 บทที่ 26 ความจริงที่ซ่อนอยู่ในอดีต

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


“ผมทำทั้งหมดนี้เอง”


ฉับพลันหลี่ว์ไห่ก็ดูไม่เหมือนเถ้าแก่ของบ้านพักตากอากาศแห่งนี้ เขาพูดอยู่รับโทษที่นี่ มองดูผู้คน เหมือนกลัวว่าทุกคนจะได้ยินไม่ชัดเจน และราวกับเขายังหวังอีกว่าจะทำให้ได้ยินชัดเจนและประทับอยู่ในความทรงจำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


ลั่วชิวคิดว่าตนคงไม่มีทางลืมท่าทางของหลี่ว์ไห่เมื่อครู่นี้เลย


ทั้งความสุขุม ความสงบเยือกเย็น และความเด็ดเดี่ยวแบบนั้น


สีหน้าของเลขาอู๋ชิวสุ่ยฉายแววตื่นตะลึง แล้วเขาก็นึก ถึงตำนานในหมู่บ้านได้อย่างรวดเร็ว เขาเชื่อมโยงสองเรื่องเข้าด้วยกัน


เขาเป็นคนที่มีปฏิกิริยาไวสุดในสถานการณ์ “ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ หลี่ว์ไห่?”


เป็นเพราะอะไรถึงต้องทำแบบนี้


นี่น่าจะเป็นท่าทีที่ยอมรับโดยดุษณี


เซอร์หม่าขมวดคิ้ว ซึ่งคุ้นชินกับการคิดตามหลักเหตุผลย่อมไม่เชื่อง่ายๆ แต่ถ้าหลักฐานเพียงพอนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


ตั้งแต่ตอนแรกที่หลี่ว์ไห่เข้ามา ชาวบ้านก็มองหลี่ว์ไห่ไม่เหมือนเดิมอยู่บ้าง คนที่นี่รู้ว่าในหมู่บ้านมีคนชื่อหลี่ว์ไห่ แต่กลับไม่มีใครสนิทสนมกับเขาเลย


เขาพาครอบครัวมาอาศัยอยู่ที่บ้านเก่าๆ บนไหล่เขา เดินลงเขาเข้าหมู่บ้านน้อยครั้งมาก เขาคนเดียวเลี้ยงดูครอบครัวด้วยการแล่นเรือประมงออกหาปลา และปลูกผักกินเองในพื้นที่ว่างแปลงหนึ่งหลังบ้านพักตากอากาศ มีเพียงตอนซื้อของจำเป็นบางอย่างถึงจะเข้าหมู่บ้าน


หลังจากนั้นพอหลัวอ้ายอวี้มาแล้ว งานพวกนี้ก็เปลี่ยนเป็นหน้าที่ของหลัวอ้ายอวี้


คนที่บังเอิญเห็นหลี่ว์ไห่ ภาพความทรงจำเดียวที่มีก็คือ หนวดเครารุงรังยุ่งเหยิงอยู่ตลอด และกลิ่นเหล้าบนตัวเขา ก็กส่งลิ่นแรงยิ่งกว่ากลิ่นของมหาสมุทรอยู่บ้าง


เขาเป็นคนขี้เมา


พอวันนี้เขาเป็นผู้กระทำความผิดที่มีสายตาน่ากลัว ก็เหมือนอีกคนไปเลย


เขาเปิดปากพูดแล้ว


เขาหัวเราะเยาะอยู่ครู่หนึ่ง ในสายตามีแววเหยียดหยาม เขามองไปรอบๆ ชาวบ้านพวกนั้นที่ถูกสายตาเขามองก็รู้สึกขลาดกลัว สะดุ้ง พากันก้มหน้าก้มตาลง


“เพราะอะไรน่ะเหรอ? ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก” หลี่ว์ไห่ไม่ได้ใส่ใจจนเห็นความเย็นชาได้ชัดเจน “ก็แค่คนในหมู่บ้านนี้เหมือนจะลืมไปแล้วว่าพวกเขาเคยทำเรื่องเลวร้ายอะไรเอาไว้บ้าง และลืมไปว่าพวกเขาเคยละทิ้งจิตใจอันดีงามไปเมื่อครั้งนั้น ผมก็เลยเตือนสักหน่อยเท่านั้นเอง”


“ตอน…ตอนนั้นพวกเราหลงผิดไป แต่ก็ถูกคนยุยงมาเหมือนกัน แต่แก…แต่แก…” คนชราอายุมากแล้วคนหนึ่งพูดอย่างมีน้ำโห “มีเรื่องอะไร แกมาลงที่พวกเรา! อยากตีอยากฆ่า! แต่คาดไม่ถึงว่าแกทำให้คนทั้งหมู่บ้านเป็นแบบนี้โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น!! เด็กพวกนั้นทำผิดอะไรด้วย?!”


หลี่ว์ไห่หัวเราะเยาะอีกครั้ง “สี่สิบห้าปีก่อน ฉันทำอะไรผิดอีกล่ะ ครอบครัวฉันสงบสุขดี หลังจากนั้นล่ะ? ถูกคนบงการงั้นเหรอ? แค่นั้นพวกแกก็ถือว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วเหรอ ใช้ชีวิตสงบสุขมั่นคงที่นี่ ลูกหลานเต็มบ้าน ครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวกันใช่ไหม?”


“ฉัน…หลายปีมานี้ พวกเรา ในใจพวกเราไม่เคยสงบสุขเลย แกคิดจริงๆ เหรอว่าพวกเราไม่รู้สึกผิดน่ะ?”


“งั้นเพราะอะไร พวกแกถึงจะเซ่นคนทั้งเป็นอีกครั้ง?” หลี่ว์ไห่พูดเหยียดหยาม “ฟังให้ชัดๆ นะ ‘อีกครั้ง’ หลายปีมานี้ ที่พวกแกบอกว่ารู้สึกผิด แต่ก็ยังทำผิดซ้ำเดิม วันนี้ เมื่อเช้า ที่นี่”


“ฉัน…ฉันจะฆ่าแก!” คนชรานั่นพุ่งเข้ามาทันที


หลี่ว์ไห่กลับตะคอกเสียงดังลั่น “ไสหัวไป!”


คนชรานั่นตกใจจนหน้าซีดเผือดทันที ถอยหลังไปสองก้าวติด พอโซเซก็ล้มนิ่งอยู่บนพื้น


หลี่ว์ไห่ด่าเสียงดังด้วยโทสะ “ดูนะ! ทุกคนดูไว้! นี่ก็คือความไม่สงบสุขที่พวกแกพูดถึง นี่ก็คือชีวิตที่ไม่สงบสุขที่พวกแกพูดถึง! ถ้าพวกแกเอาชนะด้วยเหตุผลไม่ได้ แล้วพวกแกจะทำยังไงต่อ? ใช้กำลัง! ตัวเอง!”


ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งถูกประณามจนเงียบกริบ ก้มหน้าก้มตา บอกว่าใช้ชีวิตไม่สงบสุข ตอนนี้ชีวิตไม่สงบสุขจริงๆ แล้ว พูดอะไรก็ไม่ได้ สาบานก็ไม่ได้


“ไม่ใช่นะ…หลี่ว์ไห่ คุณบอกว่าไวรัสของโรค คุณเป็นคนแพร่เชื้อนี่?” อู๋ชิวสุ่ยเป็นคนที่รู้ประวัติหมู่บ้านแห่งนี้ดี ไม่ทันไรเขาก็นึกถึงจุดที่น่าสงสัยได้อย่างรวดเร็ว “สี่สิบห้าปีก่อน คุณเพิ่งอายุเท่าไรเอง? หรือจะบอกว่า ตอนนั้นคุณก็แพร่เชื้อโรคนี้เหมือนกัน?”


หลี่ว์ไห่พูดเสียงเฉยเมย “เรื่องนี้ก็ลองถามหลี่ว์เฉาเซิงดูสิ ผมพาเขามาแล้ว”


หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว หันไปทางนายตำรวจหนุ่มที่ด้านหน้าประตูนั่น ส่งสายตาบอกใบ้ ไม่นาน


หลี่ว์เฉาเซิงก็ถูกนำตัวเข้ามา


สองมือของเขาเปลี่ยนเป็นสีเทาดำขยับไม่ได้แล้ว ถูกคนใช้สองมือดึงลากเข้ามา


ผมของหลี่ว์เฉาเซิงเต็มไปด้วยเหงื่อเกือบหมดแล้ว หนังตาหย่อนปิดลงมาครึ่งตา ทั้งเนื้อทั้งตัวดูแล้วไร้เรี่ยวแรงมาก


“คุณหมอหลี่ว์ คุณ…คุณก็ติดเชื้อเหรอครับ?” อู๋ชิวสุ่ยพูดอย่างตกใจ เขาคิดจะเข้าไปใกล้ๆ แต่ก็รู้สึกกลัว ถึงได้เดินไปสองก้าวก็หยุด พูดด้วยความตกใจว่า “หลี่ว์ไห่บอกว่า คุณรู้ดีทุกอย่าง…คุณรู้อะไรเหรอครับ?”


หลี่ว์เฉาเซิงขยับริมฝีปาก พูดพึมๆ พำๆ


หลี่ว์ไห่กลับหัวเราะเยาะครู่หนึ่ง “พูดสิ คุณหมอหลี่ว์ เรื่องที่คุณเคยทำ ยังคิดจะปิดบังต่อไปเหรอ? งั้นผมพูดแทนคุณแล้วกัน”


หลี่ว์เฉาเซิงมองหลี่ว์ไห่อย่างตื่นกลัวแวบหนึ่ง เขาก้มหน้า พูดเสียงสั่น “ไวรัส ไวรัสพวกนั้น…ตอนแรก ตอนแรกผมเป็นคนค้นพบเอง…”


“อะไรนะ?”


“เป็นไปไม่ได้!”


ชาวบ้านตกใจทันที พากันมองมาทางหลี่ว์เฉาเซิงอย่างไม่อยากเชื่อ ในหมู่บ้านตระกูลหลี่ว์นี่ ไม่มีสักคนที่ไม่รู้จักหมอคนนี้


เขาอายุยังน้อยก็ออกไปเรียนแพทย์ หลังจากเรียนจบก็กลับมาหมู่บ้าน คลินิกเล็กๆ แห่งนั้นไม่รู้ว่าช่วยชีวิตคนไปมากมายเท่าไร ผู้คนจะไปเชื่อได้อย่างไรว่าคนที่ช่วยชีวิตผู้คนแบบนี้จะเกี่ยวข้องกับโรคอย่างกับปีศาจนั่น…แถมเขายังเป็นคนค้นพบเชื้ออีก?


“คุณเป็นคนค้นพบ?” หม่าโฮ่วเต๋อตะลึงงัน ขมวดคิ้วถาม “คุณอายุเท่าไร? เมื่อสี่สิบห้าปีก่อน คุณเพิ่งอายุเท่าไรเอง?”


“คือ…คือว่าผมเพิ่งค้นพบหลังจากที่เรียนแพทย์จบกลับมา” หลี่ว์เฉาเซิงไม่กล้ามองเซอร์หม่าซึ่งมีท่าทางเคร่งขรึมจริงจังคนนี้


“คุณพบได้ยังไง? ทำไมคุณถึงพบได้?”


สิ่งที่หม่าโฮ่วเต๋อให้ความสนใจย่อมไม่เหมือนกัน ถ้าไวรัสโรคนี้มีมาตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนในที่ห่างไกลแบบนี้ เบื้องหลังก็มีเรื่องราวพัวพันไปถึงคนอื่นมากมาย ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้


“ผม ผม…ผมคือ…ผม…” หลี่ว์เฉาเซิงมองหลี่ว์ไห่ กำลังจะพูดแล้วก็หยุดลงอีก


หลี่ว์ไห่ทำเสียงหัวเราะเยาะในลำคอแล้วพูดว่า “ไม่กล้าพูดใช่ไหม? ผมพูดแทนคุณเอง! คุณก็คือลูกลับของร่างทรงชราในตอนนั้น!”


หลี่ว์เฉาเซิงคือลูกลับของหวงเหล่าเซียนกู?


ข่าวราวกับระเบิดนี้ทำให้พวกชาวบ้านอ้าปากค้างทันที พากันไม่อยากเชื่อ “เป็นไปไม่ได้! เห็นชัดๆ ว่าเฉาเซิงเป็นลูกชายของครอบครัวคุณอาฉัน! ตอนเขาอายุหนึ่งเดือนเต็มฉันยังไปดื่มเหล้ามงคลอยู่เลย! หลี่ว์ไห่ แกอย่ามาพูดเหลวไหลที่นี่!”


หลี่ว์ไห่ทำเสียงหัวเราะเยาะในลำคอพร้อมบอกว่า “พูดเหลวไหลหรือเปล่า แกให้เขามาพูดเองสิ!”


หลี่ว์เฉาเซิง ถ้าไม่อยากตายล่ะก็ แกอย่ามาถ่วงเวลาที่นี่!”


หลี่ว์เฉาเซิงตื่นกลัวจนตัวสั่นทันที พร้อมกับก้มหน้าก้มตาพูด “ผม…ผมเป็นลูกของผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ตอนนั้น ตอนนั้นเธอแอบคลอดผมเงียบๆ ในบ้านบนเขา ในเวลานั้นหลานชายของครอบครัวของชีอากงเกิดออกมาก็ไม่ร้องไห้ เลยพามาให้เธอเรียกขวัญ และในตอนนั้นเอง เธอก็สลับตัวพวกเราสองคน เพราะเธอรู้ว่า ด้วยสถานะแบบนั้นของเธอ ทั้งยังไม่ได้แต่งงานอีก ก็จะไม่เหลืออะไรเลย ดังนั้น…ถึงได้…”


หลี่ว์เฉาเซิงรีบมองคนชราที่ช่วยตนเองพูด แล้วพูดอย่างเจ็บปวดว่า “ผมก็ไม่อาจเลือกชีวิตของตัวเองได้…ผมก็เพิ่งมารู้เรื่องนี้ทีหลังเหมือนกัน”


คนชราคนนั้นโมโหจนตัวสั่นระริก แต่ก็ยังไม่ค่อยอยากเชื่อ “บอกมา! ไอ้สารเลวนั่นที่มาลักลอบได้เสียกันเป็นใคร!?”


หลี่ว์เฉาเซิงก้มหน้า ไม่ได้พูดอะไร


ตอนที่สายตาทั้งหมดของทุกคนจับจ้องไปที่ตัวหลี่ว์เฉาเซิงนั้น กลับมีเสียงโมโหดังขึ้นมาในทันใด “อาเป่ากง แกคิดจะไปไหน?”


หลี่ว์ไห่ใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้ออาเป่ากงไว้แล้วเหวี่ยงล้มลงไปบนพื้น หัวเราะเยาะบอกว่า “ลูกชายแกเป็นแบบนี้แล้ว แกจะไม่ดูดำดูดีสักหน่อยเหรอ?”


อาเป่ากงที่ถูกผลักล้มลงไปบนพื้นลุกขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลน สบสายตาผู้คนทั้งหมดที่มองมา รู้สึกแค่เหมือนโดนรุมและโดดเดี่ยว


เขาพูดเสียงสูง “หลี่ว์ไห่!! แกทำร้ายหมู่บ้านพวกเราไม่พอ แกคิดจะใส่ร้ายคนอื่นที่นี่ด้วยเหรอ?!!”


“แกยังคิดจะปฏิเสธอีกเหรอ?” หลี่ว์ไห่หัวเราะเยาะครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็กระโดดพุ่งกระโจนเข้ามากดอาเป่ากงลงไปบนพื้น ยื่นมือออกไปฉีกเสื้อผ้าของเขา


“แกไอ้เดรัจฉานไร้ยางอาย!”


เสื้อผ้าของอาเป่ากงถูกฉีกขาดออกมาทันที บนหลังของเขา ปรากฏรอยสักสีดำอันหนึ่งให้เห็น! แต่ด้วยความชราของเขา รอยสักนี้จึงเป็นรอยย่นมาตั้งนานแล้ว แต่ยังพอเห็นลักษณะรอยสักได้อย่างชัดเจนอยู่ เป็นลักษณะปีศาจหน้าตาดุร้าย



หลีจื่อเห็นรอยสักนั่นก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “นี่เป็น…รอยสักปีศาจแห่งความริษยานี่!”


“เธอรู้จักเหรอ?” “เริ่นจื่อหลิงตะลึงมองมาที่หลีจื่อแล้วถาม


หลีจื่อพยักหน้า พูดด้วยความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “อื้ม…นี่เป็นรอยสักชนิดหนึ่งซึ่งกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นค่อนข้างชอบกัน โดยเฉพาะพวกทหารที่ทำสงครามในตอนนั้น”


“นี่…”


ทันใดนั้นเอง ผู้คนทั้งหมดต่างมองไปที่อาเป่ากง หลี่ว์ไห่กลับหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “อาเป่ากง…ไม่สิ! ซะไก ทัตสึโอะ แกยังมีอะไรจะพูดอีก?!”


เห็นแต่สีหน้าซะไก ทัตสึโอะยอมจำนนสิ้นหวัง หลับตาสองข้างลงแล้วไม่ต่อสู้ขัดขืนอีก นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นนิ่งราวกับยอมจำนน


“ฝูงปีศาจ*!?”


“ฝูงปีศาจ?”


ชาวบ้านรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออีกครั้ง “อาเป่ากงจะเป็นฝูงปีศาจไปได้อย่างไร?”


หลี่ว์ไห่ตอบ “ก่อนสงคราม ฝูงปีศาจที่อยู่ในละแวกหมู่บ้านพวกเราแอบส่งหน่วยหนึ่งออกไป ทำการทดลองอย่างลับๆ สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านพวกนั้นเป็นโรคแท้จริงแล้วไม่ใช่คำสาปอะไร แต่เป็นสิ่งที่ฝูงปีศาจสร้างจากห้องทดลอง! ผมคิดว่าคนที่อายุมากส่วนใหญ่ย่อมรู้ดี ตอนนั้นหมู่บ้านมักจะมีคนหายตัวไปบ่อยๆ ต่อมาต่างรู้ว่าถูกฝูงปีศาจจับตัวไป ตอนนั้นอาเป่ากงตัวจริงก็เป็นคนที่ถูกจับตัวไปเช่นกัน และถูกจับทรมานจนตายไปตั้งนานแล้ว เพียงแต่ผ่านมาหลายปีนี้ ไม่สามารถรักษาฐานลับของฝูงปีศาจเอาไว้ได้ เจ้าหมอนี่ก็เอาไวรัสของโรคหนีออกมาด้วย ตอนนั้นเขาบาดเจ็บหนัก หนีมาถึงที่นี่ ถูกร่างทรงชรานั่นพบเข้า ร่างทรงชรานั่นเดิมก็ไม่ใช่คนดีอะไร เจ้าหมอนี่รับปากจะให้แก้วแหวนเงินทองเธอ เธอก็เลยซ่อนตัวเขาไว้ ให้เขารักษาตัวเป็นเวลานานมาก ต่อมาหลังจากสงครามจบแล้ว สองคนนี้ก็ปรึกษากัน สุดท้ายซะไก ทัตสึโอะก็มีชีวิตอยู่ต่อด้วยการสวมรอยอาเป่ากง…จนกระทั่งตอนนี้!”


*ฝูงปีศาจ เป็นคำที่ชาวจีนใช้เรียกชาวต่างด้าวที่บุกรุกประเทศจีน (ด้วยความเกลียดชัง)


บทที่ 27-1 ช่องว่างระหว่างอดีตและปัจจุบัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


สี่สิบห้าปีก่อน ซะไก ทัตสึโอะหลบซ่อนอยู่ในหมู่บ้านหลี่ว์ แต่ทุกวินาทีกลับวางแผนให้กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นฟื้นคืนอำนาจมาอีกครั้ง ดังนั้นก็เลยเก็บรักษาเชื้อไวรัสที่เอาออกมาจากห้องทดลองไว้ รอคอยวันที่จะเอาคืน


แต่ว่าเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ซะไก ทัตสึโอะรู้ดีว่าวันที่ใฝ่ฝันถึงคงไม่มีวันเกิดขึ้น เขาเคยคิดจะคว้านท้อง แต่ในที่สุดเขาก็ไม่กล้าใช้ดาบแทงไปที่ท้องตนเอง เอาแต่พูดปลอบตนเอง ‘วันนั้นจะต้องมาถึงแน่นอน’


เขาดูความโลภของหวงเหล่าเซียนกูคนนี้ออก ใช้ความรู้ที่เมื่อก่อนเคยเรียนในโรงเรียนการทหาร ช่วยให้ผู้หญิงคนนี้สร้างภาพว่าเป็นร่างทรงในหมู่บ้านหลี่ว์ ตอนแรกก็แค่ปั่นหัวคนในหมู่บ้านชาวประมงหลี่ว์ ต่อมาก็ค่อยๆ ล้างสมองคนพวกนี้ช้าๆ


“เหอะ! เพื่อให้ยายแก่นั่นกลายเป็นร่างทรง แกก็เลยแอบวางแผนแพร่เชื้อไวรัสของโรคที่ตนเอาออกมาด้วยอย่างลับๆ สร้างตำนานเทพเจ้าทะเลลวงโลกขึ้นมา และเซ่นบูชาด้วยคนทั้งเป็น! หลังจากเซ่นด้วยคนทั้งเป็น แน่นอนว่าเป็นแค่ปัจจัยส่งเสริม เพราะของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่แกควบคุมไว้! ถ้าแกวางมือก็ไม่มีใครได้รับเชื้อแล้ว!”


อาเป่ากง…ซะไก ทัตสึโอะเผชิญหน้ากับการประณามของหลี่ว์ไห่ก็ได้แต่นิ่งเงียบ ผู้คนมองรอยสักของเขา ไม่อยากจะเชื่อ…และไม่เชื่อไม่ได้แล้ว


“คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นแบบนี้…ตอนนั้น ตอนนั้นพวกเราทำอะไรลงไปกันแน่! เวรกรรม! เวรกรรม! เวรกรรม…เวรกรรมจริงๆ!”


คนชราหลายคนเริ่มปิดหน้าร้องห่มร้องไห้


พวกเขาไม่กล้ามองหลี่ว์ไห่ ไม่กล้ามองหลี่ว์อีอวิ๋น ไม่กล้าเผชิญหน้าคนที่นี่ สิ่งเดียวที่พวกเขาคิดก็แค่คุกเข่าบนพื้นแล้วหันโขกหัวไปทางหลี่ว์ไห่ เสียใจร้องห่มร้องไห้


“หลี่ว์ไห่เอ๊ย! พวกเราทำผิดต่อครอบครัวพวกแก พวกเราสมควรตาย! แกจะฆ่าก็ฆ่าคนแก่อย่างพวกเราเถอะ! ขอร้องแกล่ะ ปล่อยลูกหลานพวกนั้นไปเถอะนะ! บาปกรรมพวกนี้ไม่ได้ติดตัวพวกเขาเลย! พวกเขายังเด็ก ยังมีอนาคตนะ!”


“ขอโทษนะ!”


“พวกเราสมควรตาย!”


“หลี่ว์ไห่…แกปล่อยพวกเขาเถอะ! ขอร้องแกล่ะ!”


หลี่ว์ไห่มองคนพวกนี้ ยิ้มอย่างเศร้าสร้อยพลางพูดว่า “พวกเขายังเด็ก พวกเขายังมีอนาคต? ตอนนั้น ตอนนั้นฉันก็เคยร้องไห้ ฉันก็เคยคุกเข่า ฉันคุกเข่ากราบตลอดทางขึ้นไปตั้งแต่ตีนเขาผาฟังเสียงคลื่น ฉันร้องไห้จนคอแหบคอแห้ง ฉันก็คุกเข่าแบบนั้นต่อหน้าพวกแก โขกหัวคำนับให้ทุกคน พวกแก…เคยปล่อยฉันไปไหม เคยปล่อยแม่ฉันไหม?”


พวกคนชราไม่ได้พูดอะไร เอาแต่โขกหัวคำนับไม่หยุด เด็กหนุ่ม ชายหนุ่มวัยกลางคนพวกนั้นที่อยู่ข้างหลังพวกเขา ก็พากันก้มหัวเหมือนกัน


ในหมู่บ้านหลี่ว์นี้ มีบ้านไหนกล้าบอกว่าไม่เคยวิจารณ์ครอบครัวของหลี่ว์ไห่ลับหลังบ้าง? คนทั่วทั้งหมู่บ้านต่างไม่ชื่นชอบครอบครัวนี้จนชินหูชินตาไปแล้ว หลายปีมานี้หวนนึกขึ้นมา…พวกเขาเคยเรียกชายร่วมหมู่บ้านเดียวกันแซ่เดียวกันว่าพี่น้องสักคำ หรือเรียกอาสักคำไหม?


ไม่มี…ไม่มีเลย


หลี่ว์ไห่พลันโมโหเดือดดาลชี้ไปที่ซะไก ทัตสึโอะ “ทั้งหมดเป็นเพราะแกก่อเรื่องขึ้นมา! ไอ้แก่เดรัจฉาน แกยังกล้าอยู่อย่างมีความสุขได้ยังไงกัน!”


เวลานี้ซะไก ทัตสึโอะกลับสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด หลังจากชายชราคนนี้ถอดเสื้อคลุมของอาเป่ากงออกไปแล้ว เหมือนว่าจะกลับไปเป็นตัวตนในตอนนั้นบ้างแล้ว “หลี่ว์ไห่ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ใช่แล้ว ฉันเองที่ปั่นหัวคนในหมู่บ้านนี้ แล้วมันยังไงล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะพวกแกนี่โง่เง่าไม่รู้เรื่องเอง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกแกเห็นแก่ตัวเห็นแก่ผลประโยชน์ตัวเอง ฉันจะทำได้มากมายขนาดนี้เหรอ? ในใจพวกแกไม่มีปีศาจ แล้วความระแวงและความไม่ไว้วางใจมาจากไหน ความป่าเถื่อนมาจากไหนกัน? ฮาๆ! แต่ว่า หลี่ว์ไห่ แกอย่าคิดว่าแกแสดงตัวแล้ว…”


ฉับพลันนั้นเอง หลี่ว์ไห่ก็ซัดหมัดไปที่หน้าซะไก ทัตสึโอะอีกครั้ง


ตำแหน่งที่เล็งไปก็คือปากของซะไก ทัตสึโอะ นี่เป็นหมัดที่เหวี่ยงเต็มแรง และด้วยสุขภาพร่างกายที่ชราภาพแล้ว พอเจอหมัดนี้ซัดไป ซะไก ทัตสึโอะก็เหมือนฟันจะร่วงเกลี้ยงปาก


แต่หลี่ว์ไห่ก็ยังไม่หายแค้น กดตัวซะไก ทัตสึโอะไว้ แล้วก็ซัดไปที่หน้าอีกฝ่ายทีละหมัดทีละหมัด


หนึ่งหมัด สองหมัด สามหมัด…จนกระทั่งหม่าโฮ่วเต๋อให้คนมาหยุดหลี่ว์ไห่!


“เซอร์หม่า ผู้เฒ่าคนนี้สลบไปแล้วครับ”


หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า เขาคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ได้ว่ามันผิดปกติตรงไหน…แต่ไม่ว่าจะเป็นหลี่ว์เฉาเซิงหรือซะไก ทัตสึโอะต่างก็ยอมรับเรื่องในตอนนั้นแล้ว นั่นเหมือนว่าไม่มีอะไรน่าพูดถึงแล้ว หลี่ว์ไห่ซึ่งยังแค้นใจเรื่องในตอนนั้นอยู่ เขาล่วงรู้ความลับระหว่างหลี่ว์เฉาเซิงกับซะไก ทัตสึโอะ เลยใช้สิ่งนี้มาบังคับขู่ให้ทำตามความต้องการของตน หลังจากนั้นจะได้แก้แค้นคนทั้งหมู่บ้าน…เหตุผลแบบนี้ก็ฟังขึ้นมากพอ


“หลี่ว์ไห่ คนสมควรตายอย่างคุณ!” ไม่นึกว่าเวลานี้หลัวอ้ายอวี้กลับพูดด้วยความเกลียดชัง “คุณจะแก้แค้นเจ้าพวกงี่เง่านี้ก็เอาเลยสิ! แต่ฉันกลับเกือบถูกโยนลงหน้าผาไปด้วย! อยู่กินกันมาหลายปี ฉันทำผิดอะไรกับคุณ! นึกไม่ถึงว่าคุณจะทำกับฉันแบบนี้! คุณนี่มันเศษสวะ!!”


“ฉันมันเป็นเศษสวะและก็ไม่ใช่คนดีอะไร! นับตั้งแต่เธอแต่งงานเข้ามา มีวันไหนที่เธอทำตัวให้เป็นเมียฉันบ้าง? ฉันทนกับนิสัยแย่ๆ น่ารังเกียจแบบนั้นของเธอมานานมากพอแล้ว ไหนจะทั้งตีทั้งด่าคนในบ้านฉันอีก ฉันทนเธอมามากพอแล้ว! ไม่นึกเลยว่าคนพวกนี้จะไม่ได้โยนเธอลงไป ความโชคดีที่สะสมมาสิบชาติเธอคงได้ใช้มันจริงๆ แล้ววันนี้!!”


“คุณ คุณ…คุณ!!” หลัวอ้ายอวี้โมโหจนหายใจหอบ พูดอย่างเดือดดาลว่า “คุณตำรวจคะ คุณก็เห็นแล้วว่าเจ้าหมอนี่วางแผนฆ่าใช่ไหมคะ? จับเขาเลยค่ะ!! จับไปยิงประหารได้ยิ่งดี!!”


“ผมจะจัดการยังไง ไม่ต้องให้คุณมาสอนหรอก!” หม่าโฮ่วเต๋อหัวเราะเยาะในลำคอและบอกว่า “คุณหรือผม ใครเป็นตำรวจกันแน่?”


แทบจะในเวลาเดียวกัน หลี่ว์เฉาเซิงกลับมองหลี่ว์ไห่ พูดอย่างวิงวอน “พี่ใหญ่หลี่ว์ ผมรับปากคุณแล้ว พูดเรื่องทั้งหมดออกมาแล้ว…คุณ คุณรีบเอายาต้านไวรัสออกมาสิ”


มียาต้านไวรัส!


มียาต้านไวรัส!


ทุกคนต่างมองมาที่หลี่ว์ไห่


เวลานี้หลี่ว์เฉาเซิงก็คำนับ เอาหัวแตะพื้นบอกว่า “พี่หลี่ว์ ผมรู้ว่าผมสมควรตาย ผมมันโลภมาก ผมมันไม่ดี…หลังจากผมกลับมา ซะไก ทัตสึโอะก็เล่าเรื่องตอนนั้นให้ผมฟัง ผมไม่ได้รีบเปิดโปงความผิด แต่กลับแสวงหาความร่ำรวย ช่วยเขาวิจัยเชื้อไวรัสของโรคชนิดนี้ต่อไป…แต่ แต่ว่ายาต้านไวรัสเป็นสิ่งที่ผมบังเอิญวิจัยได้ ผลิตใหม่ไม่ได้อีกแล้ว คุณ คุณคืนให้ผมได้ไหม!”


หม่าโฮ่วเต๋อมองดูการอ้อนวอนของหลี่ว์เฉาเซิง ก่อนพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “หลี่ว์ไห่ ในเมื่อคุณยอมมอบตัว ในเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ก็เอายาต้านไวรัสออกมา! ผมรู้ว่าคุณโกรธแค้น แต่วัยรุ่นพวกนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์! ถึงแม้จะเป็นผู้สูงอายุพวกนี้ก็ควรใช้กฎหมายมาลงโทษพวกเขา! คุณอย่าทำผิดถลำลึกไปกว่านี้เลย…อีกอย่างคุณลองนึกถึงลูกสาวของคุณ หรือคุณอยากเธอใช้ชีวิตต่อไปด้วยการแบกรับชื่อว่าพ่อของตัวเองเป็นปีศาจคลั่งฆ่าคนไปตลอดชีวิตงั้นเหรอ?”


หลี่ว์ไห่ขยับริมฝีปาก ราวกับว่ากำลังต่อสู้กับตนเอง


เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าขึ้นมา นานทีเดียว เขาก็ค่อยๆ หันกลับมามองหลี่ว์อีอวิ๋น


สาวน้อยไม่รู้ว่าน้ำตาบนใบหน้าไหลออกมาเป็นสายตั้งแต่เมื่อไหร่


หลี่ว์ไห่ยิ้มเล็กน้อยบอกว่า “อีอวิ๋น พ่อซ่อนของไว้ในที่ซ่อนเหล้าประจำ ลูกไปเอาออกมาสิ…คุณตำรวจคนนี้พูดถูก ที่ผิดคือพ่อเอง ไม่น่าให้ลูกมาเจอกับชื่อเสียงฉาวโฉ่เหมือนกัน อีกอย่าง ดูแลคุณปู่ให้ดีๆ ล่ะ”


“พ่อคะ…อย่าพูดแบบนี้สิ” หลี่ว์อีอวิ๋นส่ายหน้าไม่หยุด ร้องไห้เสียงดังออกมา


“ลูกจะไปไม่ไป!” หลี่ว์ไห่ถลึงตาจ้อง “พ่อจะเอาหัวโขกให้ตายตรงนี้แหละ!!”


ถลึงตากว้างราวกับจะกลืนลูกสาวตรงหน้าเขาอยู่แล้ว


หลี่ว์ไห่ตะเบ็งเสียงดังใส่อีก “ไป!!”


สาวน้อยก้มหน้า เอามือปิดปาก แล้วรีบก้าวเท้าวิ่งออกไปจากห้องอย่างว่องไว



ตอนที่หลี่ว์อีอวิ๋นกลับมาอีกครั้ง ในมือของสาวน้อยก็ถือหลอดทดลองยาวประมาณสิบห้าเซนติเมตรมาด้วย ในหลอดทดลองบรรจุของเหลวใสจำนวนหนึ่ง


สองมือหลี่ว์อีอวิ๋นถือเอาไว้ ก้มหน้า เดินก้าวเข้ามาทีละก้าวทีละก้าว


หลี่ว์ไห่ยื่นมือออกมา พูดเสียงเบาว่า “เอามาให้พ่อเถอะ”


ผู้คนยืดคอมองสิ่งที่อยู่ในมือสาวน้อยคนนี้ กลัวว่าเธอจะเผลอทำของตกลงบนพื้น ไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจแรงๆ


หลี่ว์อีอวิ๋นก้มหน้า


ก้มต่ำมากๆ แต่การก้าวเท้าของเธอหยุดก็ลงแล้ว เธอกอดหลอดทดลองไว้แนบแน่นที่อกตนเอง “พ่อ…ขอโทษนะคะ หนูเอาให้ไม่ได้”


“อีอวิ๋น เชื่อพ่อ!” หลี่ว์ไห่พูดเสียงเบาว่า “ลูกยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง อย่าเอาแต่ใจตัวเองนักเลย”


“จริงสิ ยายหนู เธอส่งยาต้านไวรัสมาเถอะ” หม่าโฮ่วเต๋อก็ช่วยพูดด้วยเช่นกัน “ถือโอกาสตอนยังไม่มีใครเสียชีวิต พ่อเธอถึงจะมีโทษ ก็เป็นโทษเบาได้เหมือนกัน ถ้าช้าไปล่ะก็ ผลลัพธ์ก็จะร้ายแรงมากเลยนะ!”


หลี่ว์อีอวิ๋นกลับส่ายหน้า ถอยหลังไปทีละก้าวทีละก้าว น้ำตาไหลนองเต็มใบหน้า เธอมองหลี่ว์ไห่ เอาแต่ส่ายหน้าตลอด “ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แบบนี้…ที่จริงไม่ใช่แบบนี้!”


“ลูกพูดบ้าอะไรน่ะ! ส่งยาต้านไวรัสมานี่!”


หลี่ว์ไห่ตะเบ็งเสียงด้วยความโมโหทันที สายตาก็เพ่งมองไปข้างหน้า คว้าไปที่หลอดทดลองในมือหลี่ว์อีอวิ๋น คาดไม่ถึงว่าหลี่ว์อีอวิ๋นกลับพูดว่า “อย่าเข้ามานะ! ไม่อย่างนั้นหนูจะเขวี้ยงมันลงพื้น!”


“อีอวิ๋น นี่ลูก…”


สาวน้อยพูดด้วยเสียงร้องไห้คร่ำครวญว่า “พ่อคะ…หนูให้อภัยไม่ได้! หนูให้อภัยไม่ได้จริงๆ! หนูทำไม่ได้!! ได้โปรด ได้โปรดอย่ารับโทษแทนหนู”


“อีอวิ๋น ลูกอย่าพูดจาเหลวไหล! อย่าทำอะไรตามอารมณ์!”


“ไม่ใช่แบบนี้ ต้องไม่ใช่แบบนี้…” หลี่ว์อีอวิ๋นส่ายหน้า เธอออกแรงดึงจมูก สายตาเปี่ยมด้วยพลัง บนลำคอขาวสะอาดเกร็งจนเห่อแดง เธอมองคนในบ้านพักตากอากาศแห่งนี้ ในแววตาเปี่ยมไปด้วยไฟแค้น


สาวน้อยยื่นมือชี้ออกมาทันที คนแรกที่ชี้ไปก็คือหลัวอ้ายอวี้ พูดอย่างร้ายกาจว่า “ก่อนอื่น! ผู้หญิงคนนี้ก็สมควรตาย!! พ่อคะ พ่อรู้ไหมว่าผู้หญิงคนนี้ทำอะไรลับหลังพ่อไว้บ้าง?”


“ลูก ลูกพูดอะไรน่ะ? แม่ไปทำอะไร!” หลัวอ้ายอวี้ขึ้นเสียงสูง


หลี่ว์อีอวิ๋นพูดอย่างเดือดดาล “อย่าคิดว่าหนูไม่รู้เรื่องสกปรกพวกนั้นของแม่กับหัวหน้าหมู่บ้าน! ทุกครั้งตอนที่แม่ออกจากบ้านไปซื้อของที่หมู่บ้าน ก็หลบไปมีความสุขกับหัวหน้าหมู่บ้านไม่ใช่เหรอ?!”


“แก แกพูดเหลวไหล!!”


บทที่ 27-2 ช่องว่างระหว่างอดีตและปัจจุบัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ตอนนั้น!” หลี่ว์อีอวิ๋นยิ้มเยาะพลางพูดว่า “คนในหมู่บ้านนี้ รู้สึกผิดต่อครอบครัวพวกเรา จึงปรึกษากัน แบ่งพื้นที่ทั้งหมดของภูเขาใกล้ๆ นี้ให้กับพวกเรา เพื่อเป็นการชดใช้! แต่ถ้าไม่ใช่เพราะครอบครัวพวกเรามีที่ดินเยอะขนาดนี้ ผู้หญิงมักมากอย่างคุณจะยินดีแต่งงานเข้ามาเหรอ? หัวหน้าหมู่บ้านก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีนักหนา เอาแต่จ้องจะเอาที่ดินของพวกเราตลอด! พวกคุณสองคนแอบทำเรื่องน่าอับอาย! วันนั้น หลังจากพวกคุณมีความสุขร่วมกันแล้ว ก็ปรึกษากันว่าจะทำยังไงให้พ่อกับปู่ของฉันตาย แล้วฮุบที่ดินของครอบครัวเราน่ะ?!”


“แก แก…แกพูดเหลวไหล! ฉันไม่ได้!!” สีหน้าหลัวอ้ายอวี้ขาวซีดขึ้นมาทันที


หลี่ว์อีอวิ๋นหัวเราะเยาะพูดว่า “พ่อแยกห้องนอนกับคุณมาหลายปีแล้ว! แล้วเด็กนั่นในท้องของคุณ เป็นลูกกันแน่ คุณบอกมาสิ? ถ้าคุณไม่รีบไปทำแท้ง ผ่านไปสองเดือนก็ถูกจับได้แล้ว!”


หลัวอ้ายอวี้เอามือกุมท้องน้อยตนเองไว้อย่างเผลอตัว


หลี่ว์อีอวิ๋นพูดอย่างเดือดดาลว่า “คุณป้อนยาพิษให้คุณปู่กินทุกวัน คุณคิดว่าฉันไม่รู้จริงๆ ใช่ไหม? ถ้าไม่ใช่เพราะฉันแอบเททิ้งตลอด คุณก็คงทำสำเร็จไปนานแล้วใช่ไหมล่ะ? ลองดูยาพวกนั้นที่คุณซ่อนไว้ใต้เตียงสิ!”


หลัวอ้ายอวี้ขนลุกเย็นวาบทันที ก่อนรีบพุ่งตัวไปที่หน้าประตูคิดจะวิ่งหนี


แต่กลับหนีไม่พ้นนายตำรวจหนุ่มสองคนที่เฝ้าประตูไว้ จึงถูกจับกลับมาอย่างง่ายดาย เธอยังคิดจะต่อสู้ขัดขืน ฟาดงวงฟาดงาอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งนายตำรวจหนุ่มทั้งสองจนปัญญา ได้แต่จับตัวคนกดแนบไปกับกำแพง


หลี่ว์อีอวิ๋นพลันแย้มยิ้ม เอียงหัวถลึงตาจ้องหลัวอ้ายอวี้อย่างดุดัน “คุณเอาแต่พูดไม่ดีเรื่องคุณย่า ฉันก็จะให้คุณลิ้มรสความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหมือนกับคุณย่าในตอนนั้น ฉันจะทำให้คุณรีบตายแล้วรีบไปเกิดใหม่ซะ!! แต่น่าเสียดาย น่าเสียดาย พลาดตอนจบไปนิดเดียวเท่านั้น!”


หลี่ว์อีอวิ๋นฝืนยิ้มพูดว่า “ฉันรอโอกาสมาโดยตลอด โอกาสเดียวที่ให้คนทั้งหมู่บ้านได้ลิ้มรสความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน…เรื่องเลวร้ายพวกนั้นเมื่อสี่สิบห้าปีก่อน ไม่ควรถูกปิดบังไว้แบบนี้ คนพวกนี้ไม่สมควรมีชีวิตสงบสุขแบบนี้ ในที่สุดโอกาสที่ฉันรอคอยก็มาถึง ฉันรู้ว่าหญิงแพศยาคนนี้คิดจะพัฒนาบ้านพักตากอากาศมาโดยตลอด ฉันก็เลยเสนอให้เธอหานักข่าวมาทำบทสัมภาษณ์ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงเขามาก็จะมีเรื่องเขียนแล้ว! สิ่งที่เขียนไม่ใช่ทิวทัศน์ของบ้านพักตากอากาศแห่งนี้ แต่เป็นความผิดเมื่อสี่สิบห้าปีก่อน! สิ่งที่เขียนคือความผิดที่คนอย่างพวกคุณเหลือทิ้งไว้! สิ่งที่เขียนคือความชั่วร้ายของหลี่ว์เฉาเซิงและซะไก ทัตสึโอะด้วย! ฉันจะให้ทั้งหมู่บ้านหลี่ว์ของพวกคุณมีชีวิตอยู่ท่ามกลางการตำหนิประณามของคนทั้งโลก ฉันจะให้ทั้งชีวิตของพวกคุณ และลูกหลานของพวกคุณ ไม่อาจสู้หน้าใครได้อีก!! พวกคุณทั้งหมดจะได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรฆ่าคน!”


เมื่อได้ยินหลี่ว์อีอวิ๋นพูดประณามและสิ่งที่เธอทำ ผู้คนต่างก็รู้สึกได้ถึงความน่าหวาดกลัวของสาวน้อยคนนี้อย่างลึกซึ้ง


ขนาดเริ่นจื่อหลิงเองก็ขนลุกไปทั้งตัว…เธอไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า ความแค้นแบบไหนกันแน่ถึงทำให้สาวน้อยเดินมาถึงจุดนี้ได้ ตั้งแต่เธอมาเหยียบที่นี่ครั้งแรกก็อยู่ในแผนการแก้แค้นของสาวน้อยคนนี้แล้ว


น่ากลัวเหลือเกิน


เวลานี้หลี่ว์เฉาเซิงกลับส่งเสียงร้องอย่างเวทนา ฟองสีขาวฟูมออกจากปาก พูดอย่างทุกข์ทรมานว่า “ยาต้านไวรัส…เอายาต้านไวรัสให้ผม…หลี่ว์ไห่ พี่รับปากผมจะให้ยาแก้พิษผม…พี่รับปากผม รับปากผมแล้ว ขอแค่ให้ความร่วมมือ ก็จะให้เธอเอายาต้านไวรัสออกมานี่…หลี่ว์ไห่…ช่วยผมด้วย…ผมยังไม่อยากตาย…”


หลี่ว์ไห่สิ้นหวัง เขามองหลี่ว์อีอวิ๋นอย่างเจ็บปวด พูดเสียงแหบแห้ง “อีอวิ๋น…ทำไมลูกถึงแค้นกว่าตัวพ่อเองล่ะ…”


หลี่ว์อีอวิ๋นน้ำตาไหลพราก


เธอกลับหันหน้าไปอย่างช้าๆ ถอดชุดของตนเองออก เผยให้เห็นแผ่นหลังของเธอ


เริ่มจากบ่าทั้งสองข้าง ผิวละเอียดนุ่มเกลี้ยงเกลา บ่าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของสาวน้อยแรกรุ่น แต่มองลงมากลับเห็นรอยแผลเป็นอัปลักษณ์น่ากลัวเต็มไปหมดราวกับใยแมงมุม


เห็นกับตาแบบนี้แล้วน่าตกใจ


หลังจากให้คนเห็นแบบนี้แล้ว หัวใจก็กระตุกวูบ


“เพราะอะไรกัน?”


หลี่ว์อีอวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “พ่อคะ พ่อรู้หรือเปล่า ข้างนอกนั่น พวกที่อายุเท่ากัน พวกที่อายุมากกว่านิดหน่อย เขาทำกับหนูยังไงบ้าง?”


“พวกเขาบอกว่าหนูเป็นลูกปีศาจ พวกเขาได้ยินคนที่บ้านบอกว่าคุณย่าหนูเป็นเมียเทพเจ้าทะเล ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือปีศาจทะเล…พวกเขาบอกว่าหนูเป็นลูกของปีศาจ พ่อรู้ไหม พวกเขาจะจับหนู บอกว่าจะจับหนูถลกหนัง เพื่อดูว่าหนูเหมือนกับพวกเขาหรือเปล่า?”


ทันใดนั้นสีหน้าหลี่ว์อีอวิ๋นก็ไร้ความรู้สึก น้ำเสียงเย็นเยียบ “ตอนแรกก็ใช้มีดฟันที่แขนของหนู เห็นว่าหนูเลือดไหลเป็นสีแดง ก็บอกว่าอยากดูกระดูกของหนู ต่อมาก็ใช้ไฟลวก แล้วก็กดหัวหนูจมน้ำ”


“แต่พวกเขาก็ยังไม่สะใจ และทำรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สองคนจับเท้าหนูไว้แน่น คนหนึ่งใช้คีมงัดเล็บเท้าออกมาทีละเล็บทีละเล็บ พวกเขามีความสุขที่ได้มองดูปีศาจกรีดร้องเจ็บปวด ยังมีอีกเยอะเลยนะ พวกคุณอยากฟังต่อหรือเปล่าล่ะ…ลองฟังเรื่องที่ลูกหลานผู้บริสุทธิ์ของพวกคุณทำสิ เป็นยังไงบ้าง?”


รอยน้ำตาบนหน้าหลี่ว์อีอวิ๋นแห้งไปแล้ว เธอกลับไปสวมเสื้อผ้าอีกครั้ง


ดวงตาสาวน้อยราวกับหน้าหนาวในขั้วโลกเหนือ ในสายตาของเธอนั้น พวกวัยรุ่นได้แต่มองด้วยความหดหู่


สาวแรกรุ่นคนนี้ต้องผ่านเรื่องราวมาเท่าไรกันแน่ ถึงได้มีหัวใจเย็นชาไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิดเดียวอย่างทุกวันนี้


“หนูบอกใครไม่ได้ พอหนูพูดออกมา หนูได้แต่ทนทุกข์มากกว่าเดิมเท่านั้น” หลี่ว์อีอวิ๋นยิ้มเยาะตนเองพูดว่า “หนูมันขี้ขลาด…แต่ทำไมคนพวกนี้ถึงต้องโหดร้ายกับหนู? เพราะอะไรถึงมีข่าวลือแบบนี้ อ๋อ หนูรู้แล้ว นั่นก็เพราะคนในหมู่บ้านนี้ทำเพื่อให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น เพื่อไม่ให้ลูกหลานคนรุ่นหลังรู้เรื่องเลวร้ายที่ตนเองเคยทำไว้ และบิดเบือนเรื่องราวในตอนนั้นจนไม่รู้ว่าสิ่งไหนจริงสิ่งไหนเท็จ”


“พวกคุณ!” หลี่ว์อีอวิ๋นชี้ไปที่ชาวบ้านที่ถูกควบคุมตัวจนไม่กล้าพูดอะไร “เลือดเย็นขนาดไหนกันแน่?”


“ฉันจะไม่ให้อภัยพวกคุณ! ไม่มีวันเด็ดขาด!” หลี่ว์อีอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ใบหน้าของสาวน้อยมีแววดุร้ายอย่างที่สุด


หม่าโฮ่วเต๋อแอบส่งสัญญาณมือลับๆ แล้วนายตำรวจหนุ่มสองนายก็พยักหน้าน้อยๆ ทั้งสองคนก้าวเท้าช้าๆ วินาทีที่กำลังคิดจะพุ่งไปที่หลี่ว์อีอวิ๋น พวกเขากลับต้องอ้าปากไปทันที


“อย่าเข้ามานะ!!”


เธออ้าปากกว้าง ตะโกนเสียงแสบแก้วหู


ด้วยเสียงที่แสบแก้วหูนี้ ราวกับหัวถูกทุบอย่างไรอย่างนั้น ผู้คนต่างเอามืออุดหูกันอย่างทรมาน ล้มลงบนพื้นอย่างเจ็บปวด


เสียงแหลมสูงนั่นยังคงดังต่อไป เวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วินาที ก็ส่งเสียงตุบๆ สลบล้มลงไปบนพื้นตามกันไปทีละคน ทีละคน


หลี่ว์อีอวิ๋นมองดูคนในที่นี้ล้มไปบนพื้นหมดแล้ว แล้วค่อยๆ เดินไปข้างๆ หลี่ว์ไห่ ก้มหน้ากอดหัวของพ่อไว้ แล้วจัดแจงผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของเขา


สาวน้อยพูดเสียงแผ่วเบาว่า “พ่อคะ ต้องดูแลคุณปู่ให้ดีๆ นะคะ”


สาวน้อยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ค่อยๆ คลายมือออก แล้วลุกขึ้นยืน


ทันใดนั้น หลี่ว์อีอวิ๋นก็เอี้ยวตัวกลับมา แววตาดุดัน…ที่นี่มีคนหนึ่งที่ไม่ได้ล้มลงไป คนหนึ่งซึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก แต่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในชั่วพริบตา เป็นคนที่เธอเคยพบมาก่อน


ลูกค้าย้อมผมสีทองทั้งหัว มาถึงที่นี่ตั้งแต่คืนพายุฝน!


มั่วมั่ว



มั่วมั่วขมวดคิ้ว มองรุ่นพี่คนนั้นล้มอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง…เจ้าหมอนี่กำลังแกล้งตายอยู่ล่ะสิ? เสียงแสบแก้วหูระดับนั้นทำให้เขาสลบไปได้ก็บ้าแล้ว


เขาไม่รู้ว่ารุ่นพี่คนนี้คิดจะทำอะไร แต่เขาก็มีหลักการลงมือและจุดยืนของตนเอง หลังจากเขาคุ้มครองส่งหลัวอ้ายอวี้กลับมาอย่างปลอดภัย เขาก็ซ่อนตัวอยู่ในบ้านพักตากอากาศแห่งนี้มาโดยตลอด ดังนั้นเขาย่อมได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ทั้งหมดอย่างชัดเจน


พอได้ยินสาวน้อยคนนี้พูดเรื่องที่ต้องประสบพบเจอมา เขาก็โกรธมากเหมือนกัน ความเดือดพลุ่งพล่านอยากทำร้ายคนใกล้จะระงับไว้ไม่อยู่แล้ว แต่ความโกรธก็เป็นเรื่องหนึ่ง สาวน้อยคนนี้ถือยาต้านไวรัสเดินจากไปแบบนี้เลย ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


“ส่งยาต้านไวรัสมาเถอะ อย่าทำผิดซ้ำอีกเลย” มั่วมั่วถอนหายใจพลางพูดขึ้น “ปีศาจเป็นสิ่งที่พิเศษมาก ความโกรธแค้นจะทำให้ปีศาจมีพลังแกร่งกล้าขึ้น แต่สิ่งที่ตามมาก็คือความหลงผิด ถ้าเธอยังไม่รีบกลับตัว มีแต่จะทำให้ปีศาจกลืนกินตัวเธอนะ”


“ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร” หลี่ว์อีอวิ๋นพูดอย่างระแวดระวัง “แต่จะให้ฉันให้อภัยคนพวกนี้…ไม่มีทาง!”


ดวงตาทั้งคู่ของมั่วมั่วสว่างวาบเป็นแสงสีทองทันที พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ในเมื่อเธอไม่กลับใจสำนึกผิด ฉันคงต้องลงมือแล้ว! ผู้สืบทอดแห่งเขาพยัคฆ์มังกร มั่วมั่วผู้นี้จะสังหารเธอที่นี่เอง!”


เขาโยนกล่องในมือขึ้นไปในอากาศ แล้วมันก็เปิดออกในพริบตา ในกล่องใบนั้นมียันต์สีเหลืองจำนวนมากโผล่ออกมา แต่ละใบมีเสียงฟ้าผ่าด้วยรางๆ ก่อนเริ่มกลายเป็นเสือร้ายแสงสีทองทีละตัว


พอหลี่ว์อีอวิ๋นเงยหน้า หูของเธอก็เปลี่ยนรูปร่างดูเล็กแหลมขึ้นเล็กน้อย นิ้วก็เรียวแหลมขึ้นเล็กน้อย ฟันแต่ละซี่ก็แหลมและคม เหมือนฟันเลื่อยที่ผ่านการฝนมาแล้ว


“สังหาร!” มั่วมั่วพูดเสียงดัง ขณะเดียวกัน เสือร้ายแสงสีทองหลายตัวก็พุ่งมาทางหลี่ว์อีอวิ๋น


หลี่ว์อีอวิ๋นกลับเปล่งเสียงดังแสบแก้วหูออกมาอีกครั้ง ต้านทานการจู่โจมของเสือร้ายตัวหนึ่งให้ถอยกลับไป


แต่มันกลับไม่อาจขัดขวางเสือร้ายแสงสีทองจำนวนมากได้ เวลานี้ สีหน้าของมั่วๆ เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาจางๆ แล้วเสือร้ายแสงสีทองพวกนั้นก็พุ่งชนไปที่ตัวหลี่ว์อีอวิ๋นทันที


เธอไม่อาจต้านทานได้ ร่างกายราวกับว่าวที่สายป่านขาด ชนกระแทกกับกำแพงทันที แล้วร่วงลงไปที่ลานบ้านพักตากอากาศด้านนอก ล้มลงกลางทะเลดอกดาวสีฟ้าผืนนั้น


มั่วมั่วกำลังคิดจะลงมือซ้ำหลังจากเป็นต่อแล้ว หลี่ว์อีอวิ๋นกลับลุกขึ้นมา แล้วหลบหนีไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว


“คิดจะหนีเหรอ?!”


มั่วมั่วไม่มีเวลาสนใจรุ่นพี่ที่ยังแกล้งตายคนนี้ว่าคิดจะทำอะไรกันแน่ ก็ขี่เสือตามลงไป…ปีศาจนี่รับมือไม่ยาก ที่รับมือยากก็คือความคิดของรุ่นพี่คนนี้ต่างหาก


แต่เขาจำต้องทำเรื่องที่ค่อนข้างยาก…สรุปก็คือ รีบไปเอายาต้านไวรัสมาให้ได้ก่อน


ฉับพลันนั้นบ้านพักก็เปลี่ยนเป็นเงียบเชียบ


เจ้าของสมาคมและคุณสาวใช้แห่งสมาคมลุกขึ้นเงียบๆ


ลั่วชิวมองหลีจื่อที่ล้มอยู่ข้างๆ เริ่นจื่อหลิงแวบหนึ่ง คุณสาวใช้ก็เข้าใจความหมาย เดินมาตรงหน้า หลีจื่ออย่างไร้สุ้มเสียง ยื่นมือไปแตะบนหน้าผากของหลีจื่อเบาๆ อย่างรวดเร็ว


เปลือกตาของหลีจื่อขยับเล็กน้อย…แล้วก็สลบไปจริงๆ


ลั่วชิวอุ้มเริ่นจื่อหลิงขึ้นมาวางไว้ข้างๆ กำแพง หลังจากจัดให้นั่งพิงกำแพงแล้ว จึงได้ออกห่างจากบ้านพัก กำลังมองด้านนอกบ้านพัก พูดเสียงเบาๆ ว่า “พาพ่อของหลี่ว์ไห่ไปด้วย พวกเราจะขึ้นไปผาฟังเสียงคลื่นกัน ความปรารถนาของหลี่ว์ปู้ไห่ใกล้สำเร็จแล้ว”


บทที่ 28-1 ที่อบอุ่นที่สุดก็คือใจคน

โดย

Ink Stone_Fantasy

นานมาแล้ว นานมากแล้ว น่าจะก่อนกำเนิดหมู่บ้านตระกูลหลี่ว์แห่งนี้เสียอีก


คนเก่าแก่เล่ากันว่า ในทะเลมีเทพ มันทั้งเมตตากรุณา และดูแลหมู่บ้านแห่งนี้อย่างดี


มันทำให้หมู่บ้านคลื่นลมสงบ แล้วก็ทำให้ชาวประมงเก็บเกี่ยวทำมาหากินได้


เป็นแบบนี้เหรอ?


ตั้งแต่ตอนเด็กๆ หลี่ว์ปู้ไห่ใฝ่ฝันว่าจะได้มองดูทะเล และพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกได้ทุกวัน


สิ่งที่ก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่…โดยเฉพาะตอนที่พระอาทิตย์ตกดิน เขามักชอบนั่งที่ชายหาดคนเดียว เขาไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ธรรมชาติมากมายนัก ตัวอักษรก็รู้จักไม่กี่ตัว นอกจากเขียนชื่อของตนเองเป็นแล้ว เขามักจะครุ่นคิดว่าทะเลมีอะไรอยู่กันแน่


จนกระทั่งถึงตอนนั้น วินาทีที่พระอาทิตย์ตกดิน คลื่นทะเลซัดเธอมาถึงตรงหน้าหลี่ว์ปู้ไห่ ราวกับว่าจินตนาการของเขาได้หยุดลง


ทะเลมีอะไรอยู่กันแน่? ชาวประมงหนุ่มแค่อยากรู้ แล้วผู้หญิงคนนี้ก็ถูกคลื่นทะเลซัดมา ดึงดูดความสนใจเขาไว้


หลังจากสลบไปสามวันสามคืน ในที่สุดผู้หญิงคนนี้ก็รู้สึกตัวแล้ว


“คุณเป็นใคร…แล้วฉันเป็นใคร?”


นี่คือวินาทีที่เขาและเธอประสานสายตากันเมื่อหลายปีก่อน หลี่ว์ปู้ไห่ราวกับมองเห็นทะเลลึกในดวงตาของเธอ ก็มิปาน


เธอลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่จากนี้จะเริ่มจดจำเขา


ส่วนเขาเคยมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่กลับบอกตนเองเงียบๆ ว่าเก็บเธอไว้ในใจก็เพียงพอแล้ว


“สุ่ยเอ๋อร์…คุณโผล่มาจากทะเล ดังนั้นก็เรียกสุ่ยเอ๋อร์แล้วกันนะ?” เขาพูดพลางยิ้มซื่อๆ



เขาเป็นคนในหมู่บ้านชาวประมงนั่น และเธอก็กลายเป็นภรรยาประมงหนุ่มคนนี้ ชีวิตเรียบง่าย เพียงแค่เปลี่ยนจากตัวคนเดียวไปเป็นสองคน อย่างน้อยที่สุดก็ไม่โดดเดี่ยวแล้ว


สุ่ยเอ๋อร์ให้กำเนิดลูกคนหนึ่งกับเขา ผ่านไปหลายปีแล้ว เขาซึ่งเป็นคนไม่รู้หนังสือจึงลบชื่อตรงกลางของตัวเองออก แล้วใช้ตั้งชื่อลูกชาย


เขามองภรรยาของตนเอง พลางยิ้มซื่อๆ แล้วพูดว่า “คุณคือสุ่ยเอ๋อร์ เขาคือไห่เอ๋อร์ ชื่อเข้ากันเลย!”


“อย่างนี้ก็กลายเป็นไห่สุ่ยแล้วล่ะ! ไม่เพราะเลย!”


ครอบครัวเรียบง่ายมีสมาชิกใหม่ ไม่ว่าจะเรียบง่ายอย่างไรอีกก็มีความครึกครื้นบ้างเล็กน้อย



ต่อมาไม่รู้เริ่มขึ้นตอนไหน แววตาของหญิงสาวที่ลืมทุกอย่างและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขคนนี้กลับเปลี่ยนไป


สายตาของเธอยังล้ำลึกเหมือนเดิม แต่เขากลับรู้สึกได้ว่า ในคลื่นสงบสุขนี้เหมือนมีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวช้าๆ


เขารู้ว่าเธอชอบดอกดาวสีฟ้า ก็เลยปลูกไว้มากมาย



มีวันหนึ่ง เธอบอกเขาว่า เธอไม่ใช่คนที่นี่…เธอบอกว่าเธอเริ่มจำเรื่องบางอย่างได้ เธอยังบอกว่าเธอเป็นคนมีที่มาไม่ชัดเจน


ตอนนั้นชีวิตน้อยๆ ในครอบครัวก็อายุครบเจ็ดขวบ เป็นเด็กเริ่มรู้ความแล้ว เขาอยากปกป้องครอบครัวนี้ ดังนั้นเขาเลยบอกเธอ ถ้าเธอไม่ใช่คนที่นี่ อย่างนั้นเขาก็จะไปจากที่นี่เป็นเพื่อนเธอแล้วกัน?


อย่างไรตอนที่แต่งงาน ก็ไม่มีชาวบ้านสนับสนุนสักคน ไม่ว่าจะอยู่หรือไปก็ไม่ต่างกัน


เขาก็เลยยังยิ้มซื่อๆ พลางถามเธอว่า “คุณอยากไปไหน?”


เธอมองไปที่ทะเลอย่างเหม่อลอย เธอนั่งแกร่วอยู่ที่ชายหาดด้วยเท้าเปล่าเปลี่ยน มองดูพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า พร้อมพูดเสียงเบาๆ ว่า ‘ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากกลายเป็นปลาตัวหนึ่งว่ายอยู่ในทะเล’


หลี่ว์ปู้ไห่กลับยิ้มพูดว่า “ยัยทึ่ม คนจะกลายเป็นปลาได้ยังไง แต่ถ้าเธออยากออกทะเลล่ะก็ ฉันจะต่อเรือประมงสักลำแล้วกัน! เรือที่ให้คนทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกันได้…”


สองมือเขาวาดมือเป็นรูปโค้งใหญ่ๆ อันหนึ่ง หัวเราะร่าแล้วบอกว่า “เรือลำใหญ่ๆ เลย!”


เธอซุกอยู่ในอ้อมอกของเขา ยิ้มน้อยๆ มองดูแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ที่กำลังจะหายไปที่ปลายสุดขอบฟ้า




เสียงลมพัดหวีดหวิว ที่นี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง


ผาฟังเสียงคลื่นที่ถูกผลักดันให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานถล่มลงมาเพราะฟ้าผ่า


ที่นี่ทุกวันนี้ เป็นเพียงแค่หน้าผาสูงชันที่พังทลาย


“ข้างหน้าไม่มีทางไปแล้ว ส่งยาต้นไวรัสมาเถอะ”


มั่วมั่วมีแสงสีทองพันรอบนิ้วมือ “ขอเพียงเธอส่งยามา เรื่องนี้ฉันไม่ยุ่งก็ได้ แต่เธอต้องรับปากฉัน ให้ฉันกำจัดรากของมารบนตัวเธอ!”


หลี่ว์อีอวิ๋นมองดูทะเล


ตั้งแต่ข้างบนจนถึงตรงนี้ เธอก็มองดูทะเลอยู่ตลอด


เธอกางแขนสองข้างออก หันหน้าไปทางทะเล


ราวกับว่าเธอไม่ได้ยินคำพูดของมั่วมั่ว แค่มองไปไกลๆ อย่างเหม่อลอย


มั่วมั่วกลับไม่กล้าบุ่มบ่าม เขากลัวจริงๆ ว่าสาวน้อยคนนี้จะโยนหลอดทดลองทิ้งหน้าผาไปในทันที…ข้างล่างก็เป็นทะเลและหินโสโครกสะเปะสะปะ เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะคว้าเอากลับมาได้


แน่นอนว่า ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ เพียงสาวน้อยคนนี้ออกแรงน้อยๆ หลอดทดลองก็แตกได้แล้ว


หลี่ว์อีอวิ๋นหันกลับมา


ลูกตาของสาวน้อยเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนๆ ของทะเล เธอมองมั่วมั่ว บอกเขาว่า “อย่าเข้ามานะ ฉันไม่รับปากคุณหรอก”


“ถึงแม้คนพวกนั้นมีความผิด แต่ไม่ใช่ความผิดถึงตาย” มั่วมั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ


แววตาของสาวน้อยกลับขมขื่น มือของเธอกุมหน้าผากไว้ แล้วตะโกนเสียงดัง “งั้นใครจะช่วยฉัน!! คุณเหรอ? พวกเขาผิดไม่ถึงตายก็ควรปล่อยพวกเขาไป แล้วฉันล่ะ? ใครเคยปล่อยฉันไปบ้าง?!”


“ใจเย็นๆ ก่อน! ปีศาจในตัวเธอจะกลืนกินสติสัมปชัญญะของเธอไป!” มั่วมั่วขมวดคิ้วพูด “อย่าให้ปีศาจพวกนี้เอาชนะตัวตนของเธอได้!”


“ใจเย็นๆ ๆ …นอกจากให้ฉันใจเย็น คุณยังทำอะไรได้อีก?” แววตาของหลี่ว์อีอวิ๋นพลันดุดัน


ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อราวกลีบดอกซากุระเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม


“ฉันเป็นปีศาจนี่! เพราะฉะนั้นไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ผิดไปหมดใช่ไหม? คนพวกนั้นเป็นมนุษย์ ดังนั้นไม่ว่าทำผิดอะไร ก็ให้อภัยได้ทั้งนั้น ใช่ไหม? คุณก็เหมือนกับคนพวกนั้น ดีแต่พูดคุณธรรมเมตตา ก็แค่คุณธรรมจอมปลอมทั้งนั้นแหละ!”


เสียงดังแสบทะลุแก้วหูดังออกมาจากปากของหลี่ว์อีอวิ๋น


มั่วมั่วคิดในใจว่าคงซวยคนเดียวแล้วล่ะ ตอนนี้สาวน้อยคนนี้กำลังกลายร่างเป็นปีศาจด้วยความเร็วที่น่ากลัว…ความเร็วระดับนี้ไม่มีทางหวนกลับอีกแล้ว ในที่สุดก็ถูกปีศาจครอบงำจิตใจไปหมดแล้ว


มั่วมั่วลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง พูดเสียงทุ้มต่ำ “ในเมื่อเธอไม่ฟัง งั้นก็อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน!”


มั่วมั่วเริ่มร่ายคาถาสั่งดวงวิญญาณเสือร้าย ฉับพลันนั้นเสือร้ายแสงสีทองหลายตัวก็พุ่งไปตรงหน้าหลี่ว์อีอวิ๋นด้วยความเร็วสูงสุด


ปรมาจารย์หนุ่มออกแรงเต็มที่ไม่เหมือนกับเมื่อหลายสิบนาทีก่อนโดยสิ้นเชิง ความเร็วของเสือร้ายเพิ่มขึ้นมาในทันที เร็วกว่าการตอบสนองของหลี่ว์อีอวิ๋นอีก เสือร้ายแสงสีทองหลายตัวงับสองแขนสองขาของสาวน้อยไว้


ความเจ็บปวดที่มาจากคมเขี้ยวซึ่งฝังลึกบนตัวสาวน้อยนั้น ทำให้เธอส่งเสียงกรีดร้องแหลมด้วยความเศร้ารันทด


“ฉันจะถามเธออีกครั้ง! เธอจะกลับตัวหรือไม่!” มั่วมั่วพูดเสียงเข้ม


แต่อีกฝ่ายกลับมองด้วยแววตาอาฆาตแค้นรุนแรงกว่าเดิม


มั่วมั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง สองนิ้วเขาคีบยันต์คาถาสีแดงเข้มแผ่นหนึ่งโดยไม่ลังเล ก่อนยื่นออกมาช้าๆ มีบางอย่างพุ่งออกมาจากยันต์คาถาสีแดงเข้มแผ่นนี้ในชั่วพริบตา


นั่นก็คือสายฟ้า


ผ่าลงบนตัวหลี่ว์อีอวิ๋น ซึ่งอาจทำให้ปีศาจน้อยที่ยังไม่ได้มีฤทธิ์มากนักตนนี้ถึงแก่ชีวิตได้เลย


ในวินาทีที่ฟ้าผ่าลงมา มั่วมั่วก็ปิดตาของตนเองไว้เช่นกัน พูดเสียงเบาว่า “ขอโทษนะ”


บทที่ 28-2 ที่อบอุ่นที่สุดก็คือใจคน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ลมทะเลยังคงพัดรุนแรง มั่วมั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น …บางทีเธอคงตายไปแล้ว…หรือเปล่า


ทว่าสายฟ้านั่นไม่สามารถทำอันตรายหลี่ว์อีอวิ๋นได้แม้เพียงเศษเสี้ยวเดียว


มั่วมั่วตาถลึงโต เพราะรุ่นพี่ลึกลับคนนั้นยืนอยู่ข้างหลังสาวน้อยคนนี้ และช่วยหยุดฟ่าผ่าให้


“รุ่นพี่…” มั่วมั่วเค้นเสียงพูดจากลำคอ


ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้เชี่ยวชาญวิชาสายฟ้าที่สุด แต่กลับถูกขวางได้อย่างง่ายดายเกินไปแล้ว เขามองไม่เห็นว่าถูกขวางไว้ได้อย่างไรกันแน่ ทว่ารุ่นพี่คนนี้ไม่ได้เป็นอะไรแม้แต่ปลายผม คิดดูแล้วคงไม่ได้ลำบากไปกว่าการตบยุงเลยสินะ?


“ลำบากคุณแล้ว” ลั่วชิวมองมั่วมั่ว พูดพลางพยักหน้า


มั่วมั่วขมวดคิ้ว พูดอย่างงงงัน “หมายความว่ายังไงกัน?”


ลั่วชิวส่ายหน้า ไม่ได้คิดจะอธิบายอะไร สรุปคือทำดีจริงๆ ทั้งบีบบังคับให้หลี่ว์อีอวิ๋นหนีไป และยังบีบบังคับให้ปีศาจในตัวเธอระเบิดออกมาอีก ช่วยไว้ได้มากเลยจริงๆ นะ คงยังฝีมืออีกไม่น้อยเลยสินะ?


ลั่วชิวยื่นมือไปใกล้เสือร้ายแสงสีทองพวกนั้น


รุ่นพี่น่ากลัวคนนี้ลูบหัวเสือร้ายที่ล้อมตัวพวกเขาอยู่ ราวกับลูบหัวแมวเชื่องๆ


“ลำบากพวกแกแล้วเหมือนกัน กลับไปเถอะ”


พวกมันแต่ละตัวค่อยๆ กลับร่างเป็นยันต์สีเหลืองหลายๆ ใบ ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ แล้วลอยหลับไปหามั่วมั่ว


นี่ทำให้ปรมาจารย์หนุ่มผู้นี้ตื่นตะลึงทันที…ในด้านทฤษฎียันต์คาถานี้ มีเพียงวิชาลับของเขาเท่านั้นถึงจะควบคุมได้


แต่นี่…


และตอนนี้เอง หลี่ว์อีอวิ๋นซึ่งรอคอยการถูกปล่อยตัวก็กรีดร้องเสียงแหลมทันที แขนยื่นออกไปข้างหนึ่ง เล็บมือพลันเปลี่ยนเป็นกรงเล็บ แล้วพุ่งไปจะตะปบลั่วชิวโดยไม่พูดพร่ำสักคำ


แต่วินาทีที่เธอยังไม่ได้เข้าถึงตัวนั้น ทั้งตัวเธอก็พลิกกลับมาในทันที แล้วทั้งตัวก็สัมผัสกับพื้นดินเข้าอย่างจังครั้งหนึ่ง


ตึง!


ตัวของสาวน้อยกระแทกบนพื้นจนเป็นหลุมตื้นๆ


ตอนที่เธอปรับสายตาได้แล้ว ฉับพลันนั้นก็มองเห็นสาวงามสุดๆ คนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า…เธอถูกผู้หญิงคนนี้เล่นงานแล้ว


แต่นี่ยังไม่จบ ฝ่ามือทรงพลังของคุณสาวใช้ซัดลงบนท้องของสาวน้อยทันที


ราวกับว่าอวัยวะภายในทั้งหมดของหลี่ว์อีอวิ๋นถูกกระแทกจนฉีกขาด ฉับพลันเธอก็กระอักเลือดสดสีเขียวเข้มออกมา


ในขณะที่หลี่ว์อีอวิ๋นคิดว่าโดนซัดอีกหน่อยคงเอาชีวิตไม่รอด คุณสาวใช้กลับไปยืนอยู่ข้างหลังลั่วชิว


หลี่ว์อีอวิ๋นกระอักเลือด สองขาสั่นเทา พยุงตัวลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก มองชายหนุ่มคนนี้ด้วยความหวาดกลัวและโกรธแค้นเช่นเดียวกัน กัดฟันพูดว่า “ทำไมไม่ฆ่าฉันไปเลยล่ะ?”


“ผมเคยบอกแล้ว ผมมาช่วยคุณ” ลั่วชิวตอบ “สัญชาตญาณปีศาจในตัวคุณสะสมมาจนถึงระดับที่หยุดไม่ได้อีกแล้ว แถมกลืนกินสติสัมปชัญญะของคุณไปอย่างร้ายแรง แน่นอนว่า จะกำจัดแบบขุดรากถอนโคนไปเลยก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องยากอะไร เพียงแต่…”


เจ้าของร้านลั่วแววตาเปลี่ยนไปและไม่ได้พูดรายละเอียดต่อ แค่ส่ายหน้า


“ฉันสบายดี! ฉันไม่ต้องให้คุณมาช่วยฉัน!” หลี่ว์อีอวิ๋นยื่นมือไปชี้หน้ามั่วมั่วด้วยความโกรธ แต่กลับจ้องลั่วชิว “คุณก็เหมือนกับเจ้าหมอนี่นั่นแหละ!”


ทันใดนั้น


มีเสียงดังขึ้นมา


นั่นเป็นเสียงของหลี่ว์ไห่ เสียงที่หนักแน่น เศร้าขมขื่น “อีอวิ๋น วางมือเถอะ”


หลี่ว์อีอวิ๋นมองตามเสียงไป เห็นเพียงหลี่ว์ไห่ประคองหลี่ว์ปู้ไห่เดินมาอย่างช้าๆ หลี่ว์ปู้ไห่ยังคงเลื่อนลอยไร้สติอยู่ คนพยุงเขาไป เขาก็เดินไปแบบนี้ช้าๆ


“พ่อ…คุณปู่…” หลี่ว์อีอวิ๋นก้าวถอยหลัง ส่ายหน้า พูดด้วยความเจ็บปวดว่า “พ่อ…ทำไมพ่อต้องมาด้วย…อย่าเข้ามานะ อย่ามองหนู! อย่ามองหนู!!”


“ทำไมพ่อจะมองลูกไม่ได้ล่ะ? ไม่ว่าลูกจะเปลี่ยนไปยังไง ลูกก็ยังเป็นลูกสาวของพ่อเสมอ” หลี่ว์ไห่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พูดว่า “ลูกเป็นลูกสาวของพ่อ พ่อก็ต้องกล้ามองสิ…ดังนั้น อีอวิ๋นวางมือเถอะ ความเกลียดแค้นชิงชังไม่เหมาะกับลูกเลยนะ”


หลี่ว์อีอวิ๋นกุมหัวไว้ ก้าวถอยหลังไปทีละก้าวทีละก้าว แววตาของเธอสั่นไหว เธอมองหลี่ว์ไห่ เสียงของเธอแหลมสูง “เพราะอะไร! เพราะอะไรพ่อถึงให้อภัยคนพวกนั้นได้!! เพราะอะไรกัน! หลายปีมานี้! ทำไมพ่อถึงไม่พูดอะไรเลย! เพราะอะไร…เพราะอะไรกัน!!!”


หลี่ว์ไห่สูดลมหายใจแรงๆ เข้าไปลึกๆ พูดว่า “เพราะว่า คนที่สร้างไวรัสของโรคนี้ขึ้นมา ไม่ใช่ใคร…แต่บังเอิญว่าเป็นย่าแท้ๆ ของลูกเองนะสิ!”


สาวน้อยหยุดชะงักทันที แววตาขยายใหญ่ขึ้น ริมฝีปากเธอสั่นระริก แล้วส่ายหัวน้อยๆ อย่างช้าๆ “ไม่…ไม่…พ่อหลอกหนู พ่อหลอกหนู…พ่อหลอกหนู!!!!!”


หลี่ว์ไห่พูดเสียงขมขื่นว่า “พ่อไม่ได้หลอกลูก…นี่เป็นเรื่องจริงแท้ที่สุด เป็นเรื่องที่คุณปู่ของลูกบอกพ่อกับปากท่านเอง ตอนนั้น คุณย่าของลูกก็เป็นหนึ่งในคนที่วางแผนนั่น และยังเป็นคนในกลุ่มวิจัยและพัฒนา ต่อมาห้องทดลองถูกโจมตี คุณย่าของลูกก็หนีออกมาเหมือนกัน เพียงแต่เธอไม่ระวังตกลงไปในทะเลสูญเสียความทรงจำ สุดท้ายก็ถูกพัดมาที่หมู่บ้านนี้ คุณปู่ของลูกแต่งงานกับเธอ แล้วให้กำเนิดพ่อมา แต่ว่า…”


หลี่ว์ไห่พูดอย่างจนใจ “แต่ว่า ตอนนั้นคนที่หนีออกมาไม่ได้มีแต่คุณย่าของลูกเท่านั้น ยังมีซะไก ทัตสึโอะ นายคนนี้เก็บรักษาไวรัสในห้องทดลองไว้อยู่ เรื่องราวต่อจากนั้น ลูกก็น่าจะรู้แล้ว จนกระทั่งหมู่บ้านปรากฏคนที่ติดโรค คุณย่าของลูกสะเทือนใจจากเรื่องนี้ ความทรงจำทั้งหมดจึงฟื้นกลับมาทันที เธอนึกว่าไวรัสของโรคนี้อาจจะติดมากับตัวเธอตอนตกทะเลแล้วแพร่กระจายมาที่นี่ แล้วมีคนเปิดยาในหลอดทดลองออกโดยไม่ทันระวัง ก็เลยเอาแต่โทษตัวเองอยู่ตลอด…แต่เธอก็ไม่รู้ว่า ซะไก ทัตสึโอะที่มาจากห้องทดลองเดียวกันก็แอบออกมาถึงที่นี่เหมือนกัน และซ่อนตัวอยู่ในบ้านหวงเหล่าเซียนกู”


หลี่ว์ไห่ส่ายหัว “เขาได้รับบาดเจ็บ ไม่เคยออกไปจากบ้านของหวงเหล่าเซียนกูเลย แต่หลังจากคุณย่าของลูกแต่งงานกับคุณปู่แล้วก็ย้ายไปท้ายหมู่บ้าน ไม่ได้เจอกัน และก็ไม่รู้การมีอยู่ของทั้งสองฝ่าย จนกระทั่งชาวบ้านมุ่งมาในบ้านของพวกเรา จับตัวคุณย่าของลูกไว้…”


หลี่ว์ไห่มองดูหลี่ว์อีอวิ๋น “คุณย่าของลูกคิดว่าตนเองมีความผิดสมควรได้รับโทษ เธอจึงไม่เคยโกรธแค้นใครเลยสักคนจนวาระสุดท้าย…แล้วทำไมพวกเราถึงต้องไปโกรธแค้นล่ะ? หลายปีมานี้ คนที่เจ็บปวดที่สุด คือคุณปู่ของลูกต่างหากล่ะ!”


“ไม่จริง…ไม่จริง…”


หลี่ว์ไห่พูดอย่างเจ็บปวดว่า “ถ้าตอนนั้นคนที่ฆ่าคุณย่าของลูกเป็นฆาตกรทั้งหมด อย่างนั้นพวกเรา…พวกเราก็เป็นลูกหลานของผู้ทำความผิด ลูกวางมือซะเถอะ…คนที่ผิดคือพ่อเอง พ่อคิดว่าไม่บอกเรื่องพวกนี้กับลูกจะเป็นผลดีต่อลูก แต่พ่อไม่รู้ว่าเบื้องหลังลูกจะต้องทุกข์ทรมานมากมายขนาดนี้ ตอนที่พ่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาที่คลินิกเล็กๆ ได้ยินหลี่ว์ไห่กับลูกคุยโทรศัพท์กัน พอพ่อบีบบังคับถามความจริงจากเขา พ่อถึงได้รู้ว่า…ทั้งหมดเป็นความผิดของพ่อเอง”


หลี่ว์อีอวิ๋นก้มหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้นในลำคอ น้ำตาหยดใสๆ ไหลพรั่งพรูออกมาจากนัยน์ตาสีฟ้าเข้ม “หนู…หนูทำไปเพื่ออะไรกันแน่…หนูทำไปเพื่ออะไรกันแน่!!!”


“อีอวิ๋น!” หลี่ว์ไห่ตะโกนเรียกไปครั้งหนึ่ง


หลี่ว์อีอวิ๋นเงยหน้าขึ้นช้าๆ ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มเศร้าแต่งดงาม เธอพูดเสียงแผ่วเบาว่า “พ่อคะ…หนูไม่โทษพ่อหรอก เพียงแต่ เพียงแต่ เพียงแต่…หนู หนูถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว ขอโทษนะคะ…อ๊า!!!!!!”


หลี่ว์อีอวิ๋นกุมหัวด้วยความเจ็บปวด เปล่งเสียงร้องสูงแหลมที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา


ดวงตาทั้งสองของเธอมีน้ำตารินไหลเป็นสีเลือดต่างจากพวกมนุษย์ หันตัวพุ่งไปทางหน้าผาแหว่งนั่นทันที…กำลังจะกระโดดลงไป


ลั่วชิวหยีตา และตบแผ่นหลังของหลี่ว์ปู้ไห่เบาๆ ในชั่วพริบตานั้นเอง ดวงตาที่ขุ่นมัวของหลี่ว์ปู้ไห่ก็เริ่มกลับมามีประกาย


ร่างกายของเขาก็เหมือนถูกผลักด้วยพลังมหาศาล กระเด็นลอยออกมาในทันที


หลี่ว์ปู้ไห่คว้าแขนของหลี่ว์อีอวิ๋นไว้ได้สำเร็จ เวลานี้หลี่ว์ไห่ก็รู้สึกตัวสะดุ้งเหมือนกัน กระโจนพุ่งตามไป คว้าเอวของหลี่ว์ปู้ไห่ไว้ได้


หลี่ว์อีอวิ๋นคิดจะขัดขืน แต่พอเห็นแววตาของคุณปู่ตัวเองกลับมาสดใสมีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่งแล้ว ก็หยุดนิ่งไปทันที


“คุณปู่…”


“ความจำปู่ไม่ดีเอง”


หลี่ว์ปู้ไห่พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ปู่เคยเห็นหลานแอบร้องไห้ แต่ก็ลืมไปอย่างรวดเร็ว ปู่เห็นหลานเช็ดแอลกอฮอล์อยู่เงียบๆ แต่ก็ลืมไปอย่างรวดเร็วอีก และปู่ก็เห็นบาดแผลของหลานเหมือนกัน แต่ปู่ก็ยังลืมได้…ปู่ ปู่ลืมไปได้ยังไงกัน?”


“หลานเป็น หลานเป็นหลานสาวของปู่นี่!”


“คุณปู่ ช่วยหนูด้วย ฮือ…”


หลี่ว์อีอวิ๋นห้อยอยู่ริมหน้าผา ร้องไห้โฮเสียงดังพร้อมกับสายลมที่พัดมา


นัยน์ตาสีฟ้าค่อยๆ เลือนหายไป ฟันแหลมคมพวกนั้นก็ค่อยๆ กลับสู่สภาพเดิม ตอนที่หลี่ว์ไห่และหลี่ว์ปู้ไห่ดึงตัวเธอขึ้นมาทีละนิดๆ นั้น ลักษณะเฉพาะของปีศาจบนตัวสาวน้อยก็ค่อยๆ เลือนหายไปทีละเล็กละน้อย


แต่เธอยังคงซบอยู่ในอ้อมอกของหลี่ว์ปู้ไห่ เสียงร่ำไห้ดังกังวานใสราวกับเด็กทารก


มั่วมั่วมองหมอกควันสีดำที่โผล่ออกมาเป็นสายจากตัวหลี่ว์อีอวิ๋นอย่างคาดไม่ถึง พูดอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เธอเกือบจะกลายเป็นปีศาจเต็มตัวแล้ว…คิดไม่ถึงว่า คิดไม่ถึงว่ายังกลับตัวได้อีก?”


“ในตัวเธอยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ไม่ใช่เหรอ? ดวงวิญญาณของมนุษย์เป็นสิ่งที่วิเศษมาก ขอเพียงมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอขับไล่ความมืดมิดที่มีในใจทั้งหมดไปได้”


เสียงของลั่วชิวดังอยู่ข้างๆ หูมั่วมั่ว เขาเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่คนนี้ อ้าปากค้าง สุดท้ายก็ยังไม่อาจพูดอะไรออกมาได้


แต่ที่หน้าผาแหว่งของหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งนี้ ปรมาจารย์หนุ่มแห่งเขาพยัคฆ์มังกรคนนี้กลับเคยคิดจะกำจัดเธอทิ้ง เพราะคิดว่าเธอไม่อาจกลับตัวได้


มั่วมั่วก้มหน้า เขาถอนหายใจโล่งอกทันที นั่งขัดสมาธิลงไปบนพื้นอย่างสบายใจ แล้วหลับตาสองข้างลง ใต้ผิวหนังทั่วทั้งตัวมีแสงสีทองไหลเวียนอยู่บางๆ


ลั่วชิวมองมั่วมั่วอย่างแปลกใจเล็กน้อย พูดด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่า “นี่ก็คือการตรัสรู้ของลัทธิที่มิใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ที่ไท่อินจื่อเคยพูดถึง?”


คุณสาวใช้กลับพูดด้วยความเบิกบานใจว่า “อย่างนี้ก็ยิ่งรอคอยการมาเยือนของมั่วมั่วเลยล่ะค่ะ”


“…”


เจ้าของสมาคมรู้ว่ารูปแบบความคิดของสาวใช้ไม่เหมือนกับตัวเอง แต่ก็วางตัวที่จะไม่โต้แย้งอะไร


บทที่ 28-3 ที่อบอุ่นที่สุดก็คือใจคน

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง หลี่ว์อีอวิ๋นหยุดร้องไห้คร่ำครวญ


คุณปู่และคุณพ่อของเธอค่อยๆ พยุงเธอที่น้ำตานองหน้าให้ยืนขึ้น เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปทางลั่วชิว ก่อนยื่นยาต้านไวรัสในมือไปให้ลั่วชิว


เจ้าของร้านลั่วรับหลอดทดลองมาแล้วพูดว่า “ถ้าผมจะเอามันมาจากมือคุณล่ะก็ ที่จริงก็ง่ายมากเลย แต่ถ้าคุณส่งให้กับมือคุณเอง…ถึงจะเป็นการปล่อยวางที่แท้จริง คุณคงเข้าใจใช่ไหมครับ?”


หลี่ว์อีอวิ๋นส่ายหน้า แล้วก็พยักหน้าอีก


“จะมาช่วยฉันทำไม?” จู่ๆ เธอก็ถามขึ้น


ลั่วชิวพูดด้วยเสียงเฉยเมย “คุณก็คิดซะว่าผมว่างก็แล้วกัน”


ริมขอบหน้าผา หลี่ว์ปู้ไห่มีแววตาซาบซึ้งใจ ก่อนค่อยๆ หลับตา แล้วล้มลงไป


“พ่อ!!”


“คุณปู่!!”


หลี่ว์อีอวิ๋นกับหลี่ว์ไห่รีบวิ่งไปข้างๆ หลี่ว์ปู้ไห่ ตะโกนเรียกชายชราผู้นี้กันอย่างลนลาน


“คุณปู่!!” สาวน้อยก้มมองดูร่างของหลี่ว์ปู้ไห่


หลี่ว์ไห่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางพูดว่า “ลูก คุณปู่อาจจะจากไปอย่างหมดห่วงแล้ว…ด้วยวัยขนาดนี้ของเขา หลายปีมานี้…ให้เขาได้พักผ่อนอย่างสงบสุขเถอะ เขาคงสบายใจที่ได้เห็นลูกปล่อยวางความโกรธแค้นในใจ ลูกเองก็เสียใจมามากแล้วเหมือนกัน”




ในยามค่ำคืน


เริ่นจื่อหลิงเปิดโคมไฟ


เธอมองหลีจื่อที่หลับลึกอยู่ ส่ายหน้าพลางยิ้ม แล้วยกน้ำชาร้อนขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น สองมือก็วางลงแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก กำลังเคาะแป้นพิมพ์เบาๆ


‘ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมา คนอื่นๆ ก็ทยอยกันตื่นแล้ว ฉันมองดูสาวน้อยและพ่อของเธอนั่งอยู่เงียบๆ ตรงนั้น ขณะเดียวกันยาต้านไวรัสในหลอดทดลองหลอดนั่นซึ่งช่วยชีวิตคนทั้งหมู่บ้านไว้ได้ก็ถูกวางไว้บนโต๊ะชงชาเช่นกัน แต่ว่าระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง พวกเราก็ไม่มีทางรู้ได้เลย’


‘อันที่จริงหม่าโฮ่วเต๋ออยากจะถามให้รู้ชัด แต่ฉันรู้จักนิสัยของเขาดี เจ้าพุงพลุ้ยด้วยดื่มเบียร์มานานนั่นไม่อยากไปสะกิดบาดแผลในใจของสาวน้อยอีก หมอนี่โมโหมาก แต่ไม่เป็นไร เพราะยังมีซะไก ทัตสึโอะและหลี่ว์เฉาเซิงสองคนนี้ยั่วโมโหเขาอยู่ ฉันคิดว่าหลังจากพาตัวเจ้าสองคนนี้ไปแล้ว หม่าโฮ่วเต๋อคงจะมีชีวิตยุ่งไปอีกนานเลย อย่างไรปัญหาในหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ก็ถือว่าเป็นปัญหาที่ตกทอดมาจากสมัยก่อน เพียงพอที่จะทำให้เขาเจองานหนักเลยล่ะ’


‘ราวกับว่ามีบางสิ่งปลุกพวกเราอยู่ในความเงียบ ให้พวกเราตื่นขึ้นมาทีละคนทีละคน โดยจ้องมองหลอดทดลองหลอดนั้นเงียบๆ ไม่มีใครถามว่าเพราะอะไร เหมือนว่าได้ผ่านการนัดแนะกันมาแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ ฉันยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลย’


‘ชาวบ้านที่ถูกช่วยชีวิตไว้พวกนั้นตกลงกันว่าจะไม่ไปกล่าวโทษหลี่ว์ไห่หรือหลี่ว์อีอวิ๋นอีก ราวกับว่าผ่านครั้งนี้ไปแล้วความอัปลักษณ์ที่ซ่อนฝังอยู่ในจิตใจพวกเขาถูกชำระล้างจนสะอาดทั้งหมด ฉันมองดูชาวบ้านพวกนี้แต่ละคนค่อยๆ โค้งคำนับอยู่ด้านนอกบ้านพักตากอากาศ แล้วก็แยกย้ายกันไป’


‘หลี่ว์ไห่กับหลี่ว์อีอวิ๋นไม่ได้ออกมาเลย ความบาดหมางยังไม่ได้หายไปหลังจากเกิดเรื่องนี้ แต่ในเมื่อครอบครัวหลี่ว์ไห่เลือกที่จะให้อภัย อย่าสงนั้นเรื่องบาดหมางก็น่าจะค่อยๆ จืดจางหายไปตามกาลเวลาเช่นกัน บางทีอาจต้องใช้เวลานาน บางทีจะเป็นยุคหลังจากสาวน้อย…แต่คงมีสักวัน บ้านพักตากอากาศบนไหล่เขานี้จะมีแขกลูกค้ามากขึ้นหน่อย และอาจจะเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับผู้สืบทอดบ้านพักหลังนี้’


‘สิ่งเดียวที่เสียใจคือชายชราในบ้านพักตากอากาศคนนี้ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ตามขนบธรรมเนียมประเพณีของหมู่บ้าน ศพของชายชราจะต้องถูกเผาในวันนั้น แน่นอนว่าขั้นตอนพิธีไม่สอดคล้องกับยุคปัจจุบันอยู่บ้าง แต่ใครใช้ให้ที่แห่งนี้อยู่ไกลตาผู้คนล่ะ? เลขาซึ่งมีความคิดความอ่านคนนี้ก็ไม่กล้าฝ่าฝืนขนบธรรมเนียมประเพณีของหมู่บ้านแห่งนี้…ฉันคิดว่าหลังจากผ่านครั้งนี้ไป บางทีเขาคงไม่กล้าทำอะไรตามความคิดตัวเองแล้วล่ะมั้ง?’


‘ไม่รู้ว่าชายชราคนนี้ ก่อนเสียชีวิตเขาจำอะไรได้บ้างหรือเปล่า?’


‘หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งนี้ เคยเกิดเรื่องที่ฉันจะจดจำไปชั่วชีวิต’


เริ่นจื่อหลิงถอนหายใจ เคาะปุ่มแป้นพิมพ์เครื่องหมายจุดจบประโยค แล้วลากบทความนี้ใส่เข้าไปในโฟลเดอร์เอกสารที่ชื่อ ‘เรื่องราวมหัศจรรย์ของเริ่นจื่อหลิง’


นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอใช้ตีพิมพ์


“ลูกชายรีบมีเบบี้สักคนเถอะ!” เริ่นจื่อหลิงค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ ก่อนจะนอนหลับไป ก็ยังยิ้มอ่อนๆ พลางพูดว่า “ฉันเตรียมเรื่องราวสนุกๆ ไว้เล่าให้หลานฟังเยอะแยะเลยล่ะ”




รองบรรณาธิการเริ่นที่กำลังหลับหวังว่าตนเองพอจะได้ฝันดีบ้าง ไม่รู้เลยว่า ในช่วงเวลากลางคืน ลูกชายที่พอจะให้กำเนิดทายาทที่เธอนึกถึงนั้น กำลังอยู่ที่ริมหาดของหมู่บ้านชาวประมง


ที่นี่มีเจ้าของสมาคม และมีสาวใช้ของสมาคม และก็มี…หลี่ว์ปู้ไห่ซึ่งน่าจะถูกเผาไปเรียบร้อยแล้ว


“ขอบคุณพวกคุณนะ” หลี่ว์ปู้ไห่มองลั่วชิว ถือว่าชายชราใจนิ่งสงบอย่างชัดเจน


พายุฝนที่เกิดขึ้นได้ผ่านไปแล้ว และทำให้ชาวประมงหนุ่มเมื่อวันวานที่เอาแต่นั่งเหม่อลอยที่ชายหาด และไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ มีแววตาเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งขึ้นแล้ว


“พวกเราแค่ทำให้ความปรารถนาคุณเป็นจริงเท่านั้นเองครับ คุณลูกค้า”


“ไม่ว่ายังไง” หลี่ว์ปู้ไห่ส่ายหน้า “นี่ก็เพียงพอแล้วล่ะ”


เขาหันหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนซึ่งไม่มีทางช้างเผือกบนฟ้ามานานแล้ว ทะเลใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนเป็นสีดำสนิท ชายชรากลับเดินลงทะเลไปทีละก้าว


น้ำทะเลกลืนสองขาเขาหายไปแล้ว จนถึงเอวของเขา และกลืนหัวของเขาจมมิดไปแล้ว


ตอนที่บ่าของเขาใกล้จะจมน้ำทะเลไป ชายชราก็ยิ้มน้อยๆ ราวกับมองเห็นหญิงสาวที่ลอยมาติดชายหาดคนนั้นเมื่อหลายปีก่อนอยู่ตรงหน้า


“เธอบอกว่า เธออยากจะเป็นปลาที่ว่ายไปในมหาสมุทร…บางทีเธออาจจะว่ายไปในทะเลแล้วจริงๆ ฉันมาหาเธอแล้ว สุ่ยเอ๋อร์”


ตอนที่ตัวเขาจมน้ำทะเลไปมิดแล้ว ชายชราแห่งหมู่บ้านประมงเล็กๆ ริมชายหาดคนนี้ก็กลายเป็นปลาสีฟ้าตัวใหญ่ว่ายหายไปบนผิวน้ำทะเลในที่สุด


ลั่วชิวพยักหน้าไปทางทะเลเงียบๆ พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “คุณลูกค้า ขอบคุณที่มาครับ”



เจ้าของร้านลั่วยังตากลมทะเลอยู่ สาวใช้ที่อยู่เป็นเพื่อนเขากลับมองไปทางด้านหลังทันที


ตอนที่เสียงฝีเท้าเหยียบย่างไปบนชายหาดค่อยๆ ดังชัดเจนขึ้น เสียงของปรมาจารย์หนุ่มแห่งเขาพยัคฆ์มังกรก็ดังขึ้น “หลี่ว์ปู้ไห่ ตอนนั้นแค่แกล้งตายจริงๆ ด้วย…พวกรุ่นพี่จัดการนี่เอง”


ลั่วชิวหันกลับมา


ควรบอกสักหน่อยหรือเปล่าว่า ‘สิ่งที่คุณรู้มีมากเกินไป’ ?


มั่วมั่วกลับขมวดคิ้วพูดว่า “ทำไมหลี่ปู้ไห่ถึงกลายเป็นปลาไปได้…ไม่สิ นี่เขากลับคืนสู่ร่างเดิมหลังจากกลายเป็นปีศาจ แต่ก็ไม่น่าจะมีชีวิตยืนยาวนี่ บางทีเขาอาจจะว่ายไปอีกฝั่งของทะเลไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมคิดมาตลอดว่าหลี่ว์อีอวิ๋นจะกลายร่างเป็นปีศาจได้ ซึ่งเป็นลักษณะที่หลงเหลือตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ผมคิดว่าตัวผู้หญิงที่โผล่มาจากชายหาดคนนั้นก็เป็นปีศาจตนหนึ่ง อย่างน้อยเธอก็มีสายเลือดปีศาจ แต่หลี่ว์ปู้ไห่กลับ…พวกรุ่นพี่เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงทำให้คนกลายเป็นปีศาจได้?”


“ผมไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นปีศาจ” ลั่วชิวส่ายหน้า “ส่วนทำไมนั้น…คุณลูกค้า อยากรู้ไหมครับ?”


มั่วมั่วนิ่งอึ้ง


วินาทีนี้เอง ราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวเหมือนตอนเจอกันครั้งแรก


นี่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงตูมตาม จนถึงกับถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้สึกตัว


มั่วมั่วส่ายหน้า “ลางสังหรณ์บอกผมว่า นี่จะทำให้ยุ่งยากขึ้น”


ลั่วชิวยิ้มน้อยๆ


มั่วมั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง มองทะเลผืนนี้อยู่เงียบๆ ฉับพลันก็พูดว่า “รุ่นพี่เคยบอกว่า ดวงจิตของมนุษย์มหัศจรรย์มาก ขอเพียงแสงสว่างเล็กน้อยก็กำจัดความมืดมิดภายในใจทั้งหมดได้…แต่อาจารย์ผมก็เคยบอกว่าที่เลือดเย็นที่สุดไม่มีอะไรเกินกว่าใจมนุษย์”


เขามองลั่วชิว “ดังนั้นใจมนุษย์คืออะไรกันแน่?”


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมก็กำลังหาคำตอบอยู่” ลั่วชิวส่ายหน้า มองออกไปทางทะเลไกลสุดลูกหูลูกตา “เพียงแต่ ที่เลือดเย็นที่สุดไม่มีอะไรเกินกว่าใจมนุษย์ และที่อบอุ่นที่สุดก็น่าจะเป็นใจมนุษย์”


ที่เลือดเย็นที่สุดไม่มีอะไรเกินกว่าใจมนุษย์


ที่อบอุ่นที่สุดก็คือใจมนุษย์เช่นกัน


มั่วมั่วพึมพำกับตัวเอง ก่อนหลับตาสองข้างลง นั่งขัดสมาธิบนชายหาดทันที แสงสีทองที่เปล่งออกมาเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นบ้างแล้ว


ลั่วชิวมองดูแววตาพึงพอใจมากขึ้นของสาวใช้ แล้วก็พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “กลับกันเถอะ”




ไม่กี่วันก่อน


ในห้องทำงานของคลินิกเล็กๆ ของหลี่ว์เฉาเซิง


คุณสาวใช้หาเอกสารฉบับหนึ่งได้จากด้านในสุดของตู้เอกสารที่ล็อกไว้เป็นอย่างดี


ใบหน้าสาวใช้จึงมีรอยยิ้มน้อยๆ มองลั่วชิว แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “นายท่านคะ ที่นี่มีสิ่งที่น่าสนใจบางอย่างค่ะ”


“สิ่งที่น่าสนใจ?”


เจ้าของสมาคมรับเอกสารมา กำลังพลิกอ่าน


นี่คือการค้นพบส่วนหนึ่งตั้งแต่ตอนที่หลี่ว์เฉาเซิงเป็นหมอในหมู่บ้านประมงแห่งนี้


เขาค้นพบว่าสุขภาพของชาวบ้านบางส่วนจะมีกระดูกซี่โครงน้อยกว่าคนปกติไปหกซี่ แต่ยังคงใช้ชีวิตได้ปกติสุข ถึงขนาดมีสุขภาพแข็งแรงกว่า…


บทที่ 29 ภาษาดอกไม้ชั้นที่สอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนเสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้น หลีจื่อก็ถามอย่างไม่เข้าใจ “พี่เริ่น พี่ยังจะถ่ายอะไรอีกล่ะคะ?”


อันที่จริงหลีจื่อไม่รู้ว่าเริ่นจื่อหลิงยังจะถ่ายพวกนี้ไปทำอะไร


เธอถ่ายภาพด้านหลังชาวบ้านที่กำลังทำความสะอาดดินถล่มบนถนน


วันนี้ก็น่าจะทำความสะอาดถนนจนพอเดินทางได้แล้วล่ะมั้ง?


“ถ้าเธอเบื่อล่ะก็ ไปเดินเล่นในหมู่บ้านสักหน่อยก็ได้นี่”


หลี่จื่อเบะปากบอกว่า “มีอะไรน่าดูกันล่ะ ทั้งหมู่บ้านไม่มีใครเดินออกมาเลย”


เอายาต้านไวรัสออกมาแล้ว และตามที่หลี่ว์เฉาเซิงพูดไว้ หลังจากทำให้เจือจางก็ค่อยๆ ฉีดให้ชาวบ้านที่ติดเชื้อทีละราย สุขภาพของชาวบ้านที่ติดเชื้อก็จะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงได้แต่พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน


นักเดินทางก็ยังไม่ได้จากไปทันที เพราะถึงแม้ว่าจะได้ยาต้านไวรัสมาแล้ว แต่ตามที่หลี่ว์เฉาเซิงบอก นี่เป็นสิ่งที่เขาปรุงขึ้นมาได้ด้วยความบังเอิญ เขาเอาแต่ศึกษาค้นคว้ายาตัวนี้ตลอด แต่สุดท้ายไม่อาจปรุงขึ้นมาได้อีก


หม่าโฮ่วเต๋อคิดว่าแค่ตัวยาของหมอคนนี้ฝ่ายเดียวนั้นคงรักษาไม่หายขาด จึงกังวลว่าไวรัสในหมู่บ้านยังไม่ได้ถูกกำจัดไปหมดสิ้น ดังนั้นเลยติดต่อทีมรักษาพยาบาลทีมหนึ่ง ดำเนินการคัดแยกคนไข้ในหมู่บ้านนี้ออกชั่วคราว รอหลังจากตรวจสอบแล้วไม่พบความผิดพลาดจริงๆ ถึงจะคิดทบทวนให้พวกลั่วชิวสามสี่คนจากไป


ดังนั้นก็เลยอยู่ต่อมาอีกนานหลายวัน


“เอ๊ะ ทำไมพวกเขาถึงขนดินทรายพวกนี้ไปบนเขาล่ะ?” หลีจื่อมองชาวบ้านพวกนั้นขนเศษหินดินทรายขึ้นรถบรรทุก แต่ไม่ได้โยนทิ้งทะเลหรือกองไว้ในป่าเขา “นี่…เหมือนว่าจะขึ้นไปผาฟังเสียงคลื่น?”


เริ่นจื่อหลิงยังคงกดชัตเตอร์กล้อง กล้องจับภาพอะไรอยู่ ดูเหมือนว่ามีเพียงตัวเธอเท่านั้นที่รู้


เธอเปลี่ยนไปอีกมุม ย่อตัวลงพลางปรับเลนส์กล้อง พลางพูดว่า “อู๋ชิวสุ่ยบอกว่า หลังจากชาวบ้านปรึกษาหารือกัน คิดจะเอาเศษหินเศษดินพวกนี้มาสร้างรูปปั้นอันหนึ่ง”


“รูปปั้น?”


“รูปปั้นภรรยาเทพเจ้าทะเล” เริ่นจื่อหลิงพูดเสียงเฉยเมย “ไว้กราบไหว้บูชา”


หลีจื่ออ้าปากค้าง เงยหน้าขึ้น เหม่อมองไปหน้าผาแหว่งแห่งนั้น เธอลูบเส้นผมที่พัดพริ้วตามลมทะเล


ฉับพลันนั้นหลีจื่อก็พูดว่า “พี่เริ่น ฉันช่วยพี่ก็แล้วกัน!”


“เธอไม่ร้องหิวก็ถือว่าช่วยฉันได้มากแล้วล่ะ” เริ่นจื่อหลิงพูดพลางมองค้อน


“อย่าพูดแบบนี้สิคะ…” หลีจื่อสีหน้าน้อยใจ



“เซอร์หม่าครับ จากคำให้การของหลี่ว์เฉาเซิง พวกเราเจอดินระเบิดที่เขาใช้ทำลายหน้าผาครบทั้งหมดแล้ว น่าจะไม่มีตกหล่นครับ”


ในคลินิกเล็กๆ หม่าโฮ่วเต๋อมองของในกล่องที่ค้นเจอ “เป็นดินระเบิดทั้งหมด”


หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้า ถอนหายใจพลางพูดขึ้น “นี่หลี่ว์เฉาเซิงก็ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์เหมือนกันนะ คิดค้นยาต้านไวรัสได้โดยลำพัง แต่น่าเสียดายที่เดินผิดทาง”


นายตำรวจหนุ่มก็พยักหน้าเห็นด้วยทีเดียว แล้วพูดว่า “แต่เซอร์หม่าครับ เรื่องนี้จะปล่อยไว้แบบนี้เหรอครับ?”


“นอกจากตายเพราะตกใจแล้ว…” หม่าโฮ่วเต๋อพูดเสียงเย็นชาว่า “คนที่ติดเชื้อในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครเสียชีวิตสักคน คนทั้งหมู่บ้านนี้เห็นพ้องว่าจะไม่สืบสาวเอาเรื่องต่อ…พูดตามจริงแล้ว หากพวกเขาคิดจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ผมก็จะสืบสาวเรื่องที่พวกเขาเคยทำไว้เมื่อหลายสิบปีก่อนเหมือนกัน ถึงแม้จะหมดอายุความไปแล้ว ผมก็จะให้คำวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมประณามคนพวกนี้ให้กระอักเลือดตายไปเลย!”


“นี่…เซอร์หม่าใจเย็นหน่อยนะครับ!” นายตำรวจหนุ่มปาดเหงื่อพลางพูดว่า “แต่แบบนี้ด้านขั้นตอนเหมือนว่าจะ…”


“นี่ผมเรียกว่าการพลิกแพลง!”


หม่าโฮ่วเต๋อทำเสียงพ่นจมูกหึๆ พลางพูดว่า “พวกคุณยังอายุน้อย! วัยรุ่นทำผิดก็ถือเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ แต่พอจะกลับตัวได้ ทำไมพวกเราจะไม่ให้โอกาสพวกเขาล่ะ? ผิดเพียงครั้งเดียวถึงกับต้องเอาให้ถึงตาย นี่น่ายกย่องหรือ? ใช่อยู่พวกเราเป็นผู้รักษากฎหมาย แต่พวกเรารักษากฎหมายไปเพื่อใคร? ถ้าแม้แต่พวกเรายังไม่ให้โอกาสเขา แล้วยังมีใครให้โอกาสเขาแก้ตัวบ้าง? กฎหมายก็ไม่ได้ไร้น้ำใจ กฎหมายมีไว้เพื่อลงโทษตักเตือน และควบคุม แต่ก็เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้กลับตัวอีกครั้ง”


“เซอร์หม่า ผมเข้าใจแล้วครับ!” นายตำรวจยศน้อยมีสีหน้าท่าทางเข้าใจ


หม่าโฮ่วเต๋อกลับจ้องตาถลึง “คุณเข้าใจบ้าอะไรล่ะ! ผมเป็นคนใกล้เกษียณ อย่ามาเอาอย่างผม!ยังไม่รีบเอาของพวกนี้ไปอีก!”


“ทราบ ทราบแล้วครับ!” นายตำรวจหนุ่มรีบกุลีกุจอยกกล่องขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าวิ่งออกไป


เซอร์หม่าเห็นท่าทางนายตำรวจหนุ่มเร่งรีบออกไปก็ถอนหายใจพลางพูดขึ้น “แต่ก็ต้องให้คนทำผิดยินดีขอโอกาสกลับตัวเอง มันถึงจะมีคุณค่า”


จู่ๆ หม่าโฮ่วเต๋อก็ถ่มน้ำลาย มองคลินิกเล็กๆ แห่งนี้ “ถุย! ถ้าเป็นตายก็ไม่ยอมเปิดโอกาสล่ะก็ สมควรตายจริงๆ!”


หม่าโฮ่วเต๋อผู้มีพุงพลุ้ย ที่อีกไม่กี่ปีก็จะเกษียณแล้ว ยังคงมีอารมณ์หุนหันพลันแล่น




ในศาลาบนสนามหญ้าซึ่งเชื่อมต่อกับบ้านพักตากอากาศ บนม้านั่งยาวซึ่งหันหน้าออกสู่ทะเล ริมรั้วตัวนั้น ลั่วชิวกำลังนั่งก้มหน้าถือดินสอวาดรูป


สิ่งที่วางอยู่ข้างๆ คือกาน้ำชาและแก้วชา ส่วนคุณสาวใช้ก็ยืนอยู่ข้างๆ


นี่ก็คือฉากที่หลี่ว์อีอวิ๋นมองเห็น…แม้เธอรู้ว่าสองคนนี้ เริ่นจื่อหลิง และหลีจื่อเป็นนักเดินทางที่มาด้วยกัน แต่กลับรู้สึกว่าสองคนนี้กับสองคนนั้นอยู่คนละโลก


แม้ผ่านเรื่องที่ผาฟังเสียงคลื่นมาแล้ว ตอนที่สาวน้อยเผชิญหน้ากับสองคนนี้ ยังคงมีความรู้สึกยำเกรงซาบซึ้งบุญคุณอย่างมาก


สาวน้อยลังเลเล็กน้อย สุดท้ายยังคงเดินเข้าไปหา “คุณ คุณลั่ว คุณโยวเย่”


“กินขนมไหม?” ลั่วชิวไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “คุกกี้ที่โยวเย่ทำ รสชาติใช้ได้เลย”


“ไม่ ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไม่หิว” หลี่ว์อีอวิ๋นรีบโบกมือพูด


ถ้าบอกว่าเมื่อหลายวันก่อนแค่รู้สึกว่าเข้าถึงยาก…อย่างนั้นตอนนี้ก็รู้สึกกดดันอย่างมาก


“ได้ยินว่าเถ้าแก่เนี้ยไปแล้ว?”


หลี่ว์อีอวิ๋นพยักหน้าพูด “แม่…เธออยู่ไม่ได้แล้ว คนในหมู่บ้านรู้เรื่องเธอกับหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว เมื่อคืนล่ะมั้ง ก็แอบหนีไปแล้ว ไม่ได้เอาอะไรไปเลย พ่อฉันบอกว่า ตอนแรกที่แต่งงานกับเธอก็เพื่อให้ดูแลฉันเท่านั้นแหละ…ตอนนี้ไปแล้วก็ไปเถอะ เธอก็อายุขนาดนี้แล้ว ออกไปแล้วก็ใช่ว่าจะใช้ชีวิตดีๆ ได้”


ปัญหาของหลัวอ้ายอวี้เป็นเรื่องส่วนตัวของหลี่ว์ไห่ ลั่วชิวได้รู้แล้ว และไม่ได้สนใจสืบสาวต่อไป


ตอนนี้มือลั่วชิวกลับหยุดนิ่ง มองหลี่ว์อีอวิ๋นพลางพูดว่า “วันนั้นวิธีที่โยวเย่จู่โจมคุณไป ถือว่าได้ทำลายปีศาจที่อยู่ในตัวคุณแล้ว และตัวคุณเองก็ได้กำจัดปีศาจทิ้งไปแล้ว โดยพื้นฐานแล้วจะไม่เกิดซ้ำขึ้นอีก แต่ตัวคุณเองก็ระมัดระวังไว้สักหน่อย ความเจ็บปวดเสียใจที่มากเกินไปอาจเป็นโอกาสให้ปีศาจของคุณฟื้นกลับคืนมาอีกได้”


“ฉัน ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”


ลั่วชิวยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “บาดแผลบนตัวคุณดีขึ้นบ้างหรือยังครับ?”


หลี่ว์อีอวิ๋นเผลอลูบที่ท้องน้อยตนเองอย่างลืมตัว พลางพูดว่า “ถ้าไม่เคลื่อนไหวก็ดีค่ะ”


“งั้นเหรอ…” ลั่วชิวพยักหน้า ลุกขึ้นยืน มองตาสาวน้อย ไม่พูดอะไรสักคำ แต่หันเดินกลับไปที่บ้านพักตากอากาศ


สาวน้อยกำลังมองของที่วางอยู่บนม้านั่งยาว รีบพูดว่า “คุณลั่ว ของของคุณไม่ได้หยิบไปด้วย”


“คุณปู่คุณให้ผมเอามาให้คุณ เก็บไว้เถอะครับ”


“คุณปู่…”


สาวน้อยนิ่งอึ้ง เธอหยิบของที่วางอยู่บนม้านั่งขึ้นมาอย่างเผลอไผล นี่เป็นภาพร่างในกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง


ที่จริงก็ไม่ใช่กระดาษสีขาวบริสุทธิ์ แต่เป็นกระดาษวาดภาพสีเหลืองอ่อนๆ…เป็นหนึ่งในภาพวาดมากมายที่คุณปู่ของเธอเก็บไว้ในห้อง


เพียงแต่ภาพวาดพวกนั้นมีแค่โครงร่างธรรมดา ทว่าวันนี้ได้สมบูรณ์แล้ว นั่นเป็นรูปของสาวน้อยคนหนึ่ง


บนกระดาษวาด ยังวางดอกดาวสีฟ้าที่ปลูกไว้ในสวน และเด็ดมาใหม่ๆ ดอกหนึ่ง


หลี่ว์อีอวิ๋นอ่านข้อความพวกนั้นที่เขียนไว้ข้างๆ ภาพร่างภาพนี้อยู่เงียบๆ…ข้อความที่ชายลึกลับคนนี้เขียนไว้


‘ชีวิตของดอกดาวสีฟ้ามีเพียงแค่วันเดียว’


‘ดอกไม้ที่ได้เห็นในทุกวัน แตกต่างไปจากวันวาน และสดใหม่เสมอ’


‘แต่รากของพวกมัน ยังคงเป็นรากของเมื่อวาน’


‘ดอกดาวสีฟ้าจึงมีอีกความหมายว่า โอบกอดปัจจุบันเอาไว้’


สาวน้อยมองดูทะเลที่อยู่ตรงหน้า โอบกอดดอกดาวสีฟ้าในฝ่ามือไว้ในอ้อมอก เธอเดินไปข้างหน้าสองก้าว เข้าใกล้ตรงรั้วราวกั้นอีกนิด


สาวน้อยหลับตาลง สองมือประสานกัน กุมดอกไม้ในฝ่ามือเบาๆ ราวกับอธิษฐาน


หลังจากนั้นเธอก็ฮัมเพลงเบาๆ


นั่นเป็นทำนองเพลงลึกลับที่เคยมีคนบันทึกไปเผยแพร่ลงอินเทอร์เน็ต เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้ร้อง มีเพียงแค่เสียงฮัมทำนองเพลงเท่านั้น


ไม่มีพลังน่าอัศจรรย์ที่ชวนให้ผู้คนตกอยู่ในภวังค์แล้ว บางทีคงเพราะว่าไม่มีเนื้อเพลงแล้ว และบางทีคงเพราะว่าไม่อาจร้องเนื้อเพลงแบบนั้นออกมาอีกแล้วเช่นกัน


แต่ว่า


ฮัมเพลงไปเรื่อยๆ เวลาก็ผ่านไปแล้ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม