กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ ภาค 3 ตอนที่ 24-30

 ตอนที่ 24 ยินดีด้วยที่สุดท้ายเจ้าก็คลานมาถึงข้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

“หากเจ้าคลานเข่ามาหาข้า ข้ายอมสู้กับเจ้าเลยเอ้า”


เจ้าสำนักเจ็ดดารากัดฟันแน่นพลางก่นด่าในใจ ‘ช่างเป็นคนที่หน้าหนาต่ำช้าปากดีอะไรเช่นนี้! เขาพูดราวกับว่าข้าเป็นคนขอร้องให้สู้อย่างนั้นล่ะ’


อย่างไรเสีย ด้วยเหตุนี้เจ้าสำนักจึงตัดสินได้ว่าขั้นตบะของอีกฝ่ายนั้นแท้จริงไม่ได้สูงและเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนวัยรุ่นจากสำนักชั้นนำ หาไม่แล้วด้วยความหยิ่งทะนงของผู้บำเพ็ญเซียนแห่งพันธมิตรหมื่นเซียน ฝ่ายตรงข้ามย่อมใช้วิชาเซียนขั้นสูงและอาจใช้อาวุธวิเศษทรงพลังบดขยี้เขาไปแล้ว มัวแต่เล่นแง่เช่นนี้จะได้ประโยชน์อันใด


นอกจากนั้น ขั้นตบะของอีกฝ่ายอาจต่ำกว่าขั้นสร้างฐานระดับสูง… หาไม่แล้วด้วยรากฐานอันแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญเซียนจากพันธมิตรหมื่นเซียน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานระดับสูงย่อมเก่งกล้าเพียงพอที่จะต่อกรกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ธรรมดาๆ แน่นอน


เมื่อตบะถึงขั้นสร้างฐาน ทักษะและวิชาที่ผู้บำเพ็ญเซียนจะใช้ได้ย่อมมีมากมาย และแน่นอนว่าผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยจากพันธมิตรหมื่นเซียนเคยเอาชนะฝ่ายตรงข้ามแบบข้ามชั้นมาแล้ว ทว่าจากการบำเพ็ญเซียนมานับร้อยปี เจ้าสำนักเจ็ดดาราเองก็เคยเอาชนะศิษย์จากพันธมิตรหมื่นเซียนมาไม่น้อย… เมื่อไม่มีพลังที่น่าเกรงขาม เจ้าหมอนี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องเกรงกลัว!


ทว่าตอนที่เจ้าสำนักเจ็ดดารากำลังจะสำแดงฤทธิ์ เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังแว่วมาแต่ไกล


เจ้าสำนักตื่นตกใจ คิดว่าเสียงเหล่านั้นอาจเป็นเสียงของผู้อาวุโสในสำนักที่เดินทางมาด้วยกัน แต่เขาสั่งให้หลบซ่อนตัวและออกมาเช่วยเฉพาะยามคับขันเท่านั้น!


จากนั้นเจ้าสำนักก็นึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาได้


“อยู่ที่นี่ต่อท่านก็ไร้ประโยชน์ เหตุใดไม่ไปช่วยตาแก่ลามกจัดการแมลงวันตัวเล็กตัวน้อยทางตะวันออกของหุบเขาเล่า”


“ชิ ให้ไปสู้แมลงตัวเล็กตัวน้อยรึ”


…กลายเป็นว่าในตอนนั้น แมลงตัวเล็กตัวน้อยที่เจ้าสำนักภูมิปัญญากล่าวถึงก็คือพวกเบื้องบนของสำนักที่เขาพามาด้วย! ไม่แปลกที่ตรงจุดนี้ อีกฝ่ายจะใช้เพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณที่ถูกเพิ่มพละกำลังโดยค่ายกลเท่านั้น! จากข่าวลือที่พวกเขาได้ยินระหว่างเดินทางมาที่นี่ สำนักภูมิปัญญามีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานอยู่มากมาย กลายเป็นว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเหล่านั้นไปห้อมล้อมพวกที่มาจากสำนักเจ็ดดารานั่นเอง!


ตอนนี้เขาเข้าใจกระจ่างแล้วว่าเหตุใดเจ้าสำนักภูมิปัญญาจึงเอาแต่พูดจาไร้สาระ นั่นเพราะยิ่งเจ้านั่นพูดมากเท่าไร ก็ยิ่งประวิงเวลาไปได้มากเท่านั้น!


เจ้าสำนักเจ็ดดาราไม่ได้ตะขิดตะขวงใจที่ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังมากพอไปล้อมพวกของตนที่มาจากสำนักเจ็ดดารา แม้ว่าตามทฤษฎี คนมากกว่าสิบคนที่เขาพามาจะเป็นผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างฐาน ซึ่งมีจำนวนมากกว่าผู้ฝึกเซียนตบะขั้นสร้างฐานของสำนักภูมิปัญญามากนัก ทว่าฝ่ายตรงข้ามได้เปรียบเรื่องชัยภูมิ… หนำซ้ำยังมีหญิงสาวคนนั้นที่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อย่างลึกลับ ผลที่ออกมานั้นสุดจะคาดเดาจริงๆ!


เมื่อคิดได้ดังนี้ เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาคว่ำแผนที่เจ็ดดาราลง ขณะเดียวกันกระจุกดาวเจ็ดดาราก็เปล่งแสงขึ้น เขากำลังจะใช้พลังอิทธิฤทธิ์เคลื่อนย้ายตัวเองออกจากสมรภูมิที่เสียเปรียบแห่งนี้


ทว่ามีหรือที่หวังลู่จะยอมให้อีกฝ่ายฉวยโอกาสนี้ไปได้ง่ายๆ


“คิดจะไปจากที่นี่หรือ ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!”


ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวสายฟ้าฟาดจนทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน แสงดาวกะพริบสั่นไหว จากนั้นเจ้าสำนักเจ็ดดาราก็มองเห็นยอดเขาสองยอดพุ่งเข้าหากันอย่างรวดเร็ว แล้วก่อตัวเป็นทางยาวแคบ ด้านบนมีเมฆดำทะมึนลอยบดบังแสงดาวเสียสนิท ช่องทางของเขาถูกตัดขาดหมดแล้ว!


“…เป็นวิชาฮวงจุ้ยย้อนกลับที่วิเศษจริงๆ!”


เจ้าสำนักเจ็ดดาราตกใจเมื่อพบว่าตัวเองถูกกักอยู่ในหุบเขา ทว่าเขาไม่ได้ตื่นตระหนก ในความคิดเขา การเคลื่อนย้ายภูเขามาถมทะเลมีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ระดับสูงจากสำนักชั้นนำขึ้นไปเท่านั้นที่ทำได้ ส่วนการเคลื่อนย้ายแนวเทือกเขาความยาวนับสิบลี้เข้าหากัน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ทั่วไปนั้นสามารถทำได้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ฝ่ายตรงข้ามซึ่งตบะยังไม่ถึงขั้นสร้างฐานระดับสูงจะทำอะไรเช่นนี้ได้


สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือ ไม่ใช่พื้นดินหรือภูเขาก็ขยับ แต่กระแสพลังปราณฟ้าดินตามแนวเส้นฮวงจุ้ยที่ซ่อนอยู่ใต้ดินต่างหากที่ย้อนกลับ หวังลู่ใช้เหมืองพลังปราณย้อนกระแสพลังปราณฟ้าดินที่ไหลอยู่ตามเส้นฮวงจุ้ยภายในเหมืองจนเกิดระเบิดขนานใหญ่ และกลายเป็นภาพลวงตาที่ขนาบร่างของเขาไว้ตรงกลาง


ทว่าเมื่อพูดถึงวิชาฮวงจุ้ยย้อนกลับ เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็รู้เพียงหลักการทั่วไปของมันเท่านั้น แต่ไม่รู้ลึกขนาดที่ว่าวิชานี้ใช้อย่างไร ทว่าตอนนี้เขาถูกกักอยู่ในภาพลวงตา จึงมีทางเลือกเพียงสองทางเท่านั้น ทางแรกเขาจำต้องหยุดการระเบิดของพลังปราณฟ้าดิน และตัดการเชื่อมต่อของมันกับโลกภายนอกโดยใช้พลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดที่สะสมไว้ในวิหารหยก เมื่อนั้นภาพลวงตาก็จะสลายไป ทว่าแก่นบำเพ็ญเซียนของเขานั้นไม่สมบูรณ์ และพลังอิทธิฤทธิ์ที่สะสมไว้ก็จะไม่เพียงพอที่จะเป็นเชื้อเพลิงให้แผนที่เจ็ดดาราทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่วนอีกทางหนึ่งที่จะยุติค่ายกลภาพลวงตานั้น…


“แค่จัดการคนที่ใช้วิชาฮวงจุ้ยย้อนกลับนี้ แล้วเจ้าก็จะออกไปจากที่นี่ได้”


น้ำเสียงยั่วยุของอีกฝ่ายดังก้องไปทั่วหุบเขา ในขณะเดียวกันที่หุบเขาเบื้องหน้า เด็กหนุ่มในชุดขาวส่งยิ้มบางมาให้เจ้าสำนักเจ็ดดารา ดวงตาเต็มไปด้วยความยั่วยุ


เจ้าสำนักเจ็ดดาราใช้ดวงจิตขั้นปฐมตรวจสอบและพบว่าเขาคิดถูกแล้ว ฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ทว่าเมื่อบวกกับวิชาเซียนชั้นแนวหน้าจากสำนักชั้นนำและความได้เปรียบด้านสถานที่ ก็น่าจะชดเชยช่องว่างระหว่างขั้นตบะได้มากโข เจ้าสำนักเชื่อว่านี่คือเหตุผลที่อีกฝ่ายกล้าออกมาเผชิญหน้าเขาโดยตรง


น่าเสียดายที่ช่องว่างระหว่างขั้นพิสุทธิ์กับขั้นสร้างฐานไม่อาจเติมเต็มได้ง่ายดาย แม้อีกฝ่ายจะเดาวิชาบำเพ็ญเซียนดั้งเดิมของเขาได้ถูกต้อง แต่ก็ไม่อาจเดาได้ว่าเขาสะสมไพ่ตายไว้มากเท่าไรระหว่างการบำเพ็ญเซียนร้อยปีของเขานี้!


เจ้าสำนักเจ็ดดาราเหยียดยิ้มเต็มที่ สะบัดมือขวา แผนที่เจ็ดดาราคลี่ออกและสั่นสะเทือน แผนภาพที่อยู่บนนั้นกลายมาเป็นกระบี่ยาวสามฉื่ออย่างน่าอัศจรรย์ เจ้าสำนักจับกระบี่เอาไว้ด้วยมือของเขา กระจุกดาวเจ็ดดาราระยิบระยับอยู่บนกระบี่ทั้งสองด้าน ส่องประกายแสงแปลกตา


อึดใจถัดมา เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็ใช้มือข้างหนึ่งชี้กระบี่ไปข้างหน้า กระจุกดาวเจ็ดดาราพลันสว่างจ้าขึ้นมา ท่ามกลางแสงจ้านั้น ในชั่วพริบตาเจ้าสำนักเจ็ดดาราพร้อมกระบี่ก็ย้ายร่างมาหลายลี้และมาปรากฏตรงหน้าเด็กหนุ่มชุดขาว ทว่าเงาร่าง ณ ตรงจุดที่เขายืนอยู่เดิมก็ยังไม่เลือนหายไป จนดูเหมือนว่าเขามีสองร่างในเวลาเดียวกัน


วิชากระบี่เจ็ดดารากระบวนท่าแรก – กระบี่พุ่งชน


เด็กหนุ่มชุดขาวไม่ได้ตื่นตระหนก ราวกับล่วงรู้การเคลื่อนไหวนี้ตั้งแต่แรก ดังนั้นก่อนที่เจ้าสำนักจะไสกระบี่ออกมา เด็กหนุ่มก็ชักเท้ากลับไปครึ่งก้าวแล้ว


ในหุบเขาที่ทั้งยาวและคับแคบ ระยะการชักเท้าดูเหมือนจะยืดยาวไม่สิ้นสุด ครึ่งก้าวกลายเป็นหลายลี้ ทำให้กระบวนท่าแรกของเจ้าสำนักเปล่าประโยชน์


เมื่อเห็นว่ากระบวนท่าแรกของเขาล้มเหลว เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็สะบัดข้อมือที่ถือกระบี่อยู่ กระจุกดาวชุดหนึ่งก็หลุดออกมาจากปลายดาบและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันใดนั้นพวกมันก็กลายเป็นกระบี่แหลมคมขนาดเล็กนับไม่ถ้วน พุ่งตรงไปยังอีกฝ่ายรวดเร็วราวพายุ


วิชากระบี่เจ็ดดารากระบวนท่าที่สอง – กระบี่แยกย่อย


ทว่าการเคลื่อนไหวของหวังลู่ก็ไม่ได้เชื่องช้า มือขวาของเขาฉวยเอาอากาศที่ว่างเปล่าไว้และเคลื่อนย้ายเส้นขอบฟ้า หุบเขาใหญ่ยักษ์ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกันส่งเสียงกึกก้องและเคลื่อนตัวเข้าหากัน กลายมาเป็นโล่แข็งแรงเบื้องหน้าเขา


ห่ากระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปยังโล่กำบัง จากนั้นก็ปะทะอย่างรุนแรงแล้วร่วงหล่นลงมาราวสายฝน


ก่อนที่กำแพงหินทั้งหมดจะพังทลายลงมา เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็ตวัดดาบคืน พุ่งตรงไปข้างหน้า และเสือกกระบี่ไปด้านหน้าราวกับเป็นหอก


ลำแสงเป็นประกายสว่างไสวไปทั่วหุบเขา ฝ่าทะลวงชั้นหินหนาที่เด็กหนุ่มในชุดขาวซ่อนตัวอยู่เข้าไปอย่างง่ายดาย


วิชากระบี่เจ็ดดารากระบวนท่าที่สาม – กระบี่ถลา


พอกระบวนท่าที่สามของกระบี่สามารถทำลายกำแพงหินลงได้ เจ้าสำนักก็ไม่รอช้าและเพลงดาบกระบี่พุ่งชนอีกครั้งเพื่อให้กระบี่พุ่งตรงไปด้านหน้า


ครั้งนี้เขาไล่ตามศัตรูทัน เมื่อไม่อาจหนีจากกระบี่ที่พุ่งเข้ามา เด็กหนุ่มชุดขาวจึงยกมือขึ้นคว้าอากาศจากนั้นก็ชี้นิ้วขึ้นด้านบน ทันใดนั้นร่างเด็กหนุ่มก็หายไปต่อหน้าต่อตาของเจ้าสำนักเหมือนเป็นภาพลวงตา


“หึ!”


ไม่มีทางที่เจ้าสำนักเจ็ดดาราจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปง่ายๆ กระบี่ในมือของเขาสั่นไหวรุนแรง จากนั้นมันก็ค่อยๆ เลือนไปราวกับเป็นภาพลวงตา ทว่าในการสั่นครั้งสุดท้ายมันได้ปล่อยคลื่นพลังรุนแรงไปทั่วทุกทิศทาง คลื่นพลังนี้หมุนวนราวกับพายุงวงช้างไร้พ่ายปกคลุมไปทั่วทั้งหุบเขา


วิชากระบี่เจ็ดดารากระบวนท่าที่สี่ – กระบี่วายุ


เสียงร้องเจ็บปวดดังก้องในอากาศ เด็กหนุ่มชุดขาวที่ซ่อนตัวอยู่หลังภาพลวงตาถูกกระบี่วายุเหวี่ยงขึ้นไป ทำให้ร่างของเขาปรากฏออกมาจากนั้นก็ตกลงไปด้านล่าง ชุดสีขาวของเด็กหนุ่มชุ่มโชกไปด้วยเลือด


เจ้าสำนักเจ็ดดาราเหยียดยิ้มน้อยๆ แต่หลังจากที่มุมปากของเขายกขึ้นไม่นาน ใบหน้าเขากลับแข็งทื่อในทันใด


ร่างของเด็กหนุ่มตรงหน้าค่อยๆ เปลี่ยนไปกลายเป็นตาแก่ผมและเคราสีดอกเลา ใบหน้าของตาแก่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ซึ่งเหมือนสีหน้าในขณะนี้ของเจ้าสำนักโดยบังเอิญ


“เหออวิ๋น เจ้าเองหรือ?” เจ้าสำนักเจ็ดดาราตะลึงงัน!


“โอ๊ย เจ็บเจียนตายแล้ว…”


คนผู้นี้คือเหออวิ๋นไม่ผิดแน่! ผู้บำเพ็ญเซียนที่เชี่ยวชาญการวางค่าลกลนี้ เมื่ออยู่ในภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากวิชาฮวงจุ้ยย้อนกลับ กลับคล่องแคล่วราวปลาได้น้ำ พอเจ้าสำนักตบะขั้นพิสุทธิ์เอาชนะเขาได้ในกระบวนท่าที่สี่ เขาเพียงแค่บาดเจ็บแต่กลับไม่ถึงตาย ทั้งที่เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานเท่านั้น!


ปกติแล้วหากผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นพิสุทธิ์สู้กับตบะขั้นสร้างฐาน ถือเป็นเรื่องน่าอับอายมากหากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ต้องใช้ถึงสองประบวนท่าถึงเอาชนะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานได้


เจ้าสำนักเจ็ดดาราเดือดดาลด้วยความโกรธเพราะกว่าจะเอาชนะตาแก่นี่ได้ เขาต้องสังเวยไพ่ตายไปหลายใบ นอกจากต้องใช้วิชากระบี่เจ็ดดาราติดต่อกันแล้ว เขายังเสียกระจุกดาวเจ็ดดาราล้ำค่าไปถึงสองชิ้นอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนั้นส่งผลเพียงทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานบาดเจ็บเท่านั้น! ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาต่อกรกับคนทรยศผู้นี้แล้ว เจ้าสำนักยกกระบี่ขึ้นและคำรามลั่น


“เจ้าสำนักภูมิปัญญา! จนป่านนี้เจ้าก็ยังไม่กล้าเผยตัวและมาสู้กับข้าซึ่งๆ หน้า เอาแต่ใช้ลูกเล่นสกปรกดึงเวลาอยู่ได้”


อึดใจถัดมา น้ำเสียงเยาะเย้ยก็ดังก้องหุบเขาอีกครา


“ก็อย่างที่พูดไป หากเจ้าคลานเขามาหาข้า ข้าจะยอมสู้กับเจ้าก็ได้”


เจ้าสำนักเจ็ดดาราสบถ “สารเลว! บิดาเจ้าคนนี้อยากรู้นักว่าเจ้าจะซ่อนตัวไปได้นานเท่าไหร่!”


พูดจบเขาก็ขว้างกระบี่เจ็ดดาราไปกลางอากาศ กระจุกดาวสามกระจุกบนกระบี่ส่องประกายขึ้น เสี้ยววินาทีถัดมาทั้งหุบเขาก็สว่างไสวราวกับว่ากลางคืนได้เปลี่ยนเป็นกลางวัน กระบี่นับหมื่นนับแสนเล่มตกลงมาจากฟากฟ้า บดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่ในหุบเขาอย่างโหดเหี้ยม


วิชากระบี่เจ็ดดารากระบวนท่าสุดท้าย – กระบี่ชำระล้าง


หลังจากกระบวนท่าสุดท้ายของกระบี่เจ็ดดารายุติลง หุบเขาแคบยาวที่อยู่เบื้องหน้าก็ปลาสนาไป เหมืองพลังปราณที่บังคับให้กระแสพลังปราณฟ้าดินตามแนวเส้นฮวงจุ้ยย้อนกลับก็พังทลายลงจากการโจมตีอย่างรุนแรงของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ ทำให้กระแสพลังปราณกลับมาเป็นปกติ ภาพลวงตาเบื้องหน้าจึงหายไปด้วย


พลังทำลายล้างขั้นรุนแรงของกระบี่เจ็ดดารากระบวนท่าสุดท้ายไม่ได้ละเว้นเหล่าต้นไม้ใบหญ้ ป่าไม้เขียวชอุ่มหลายลี้ที่อยู่โดยรอบเจ้าสำนักเจ็ดดาราถูกทำลายย่อยยับ ต้นไม้กองระเนระนาดอยู่บนพื้น รอยบากลึกที่เกิดจากคมดาบปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วบนพื้น ยอดเขาที่ถูกคมกระบี่ตัดก็เลื่อนไหลลงสู่พื้นดินเป็นระยะ


แม้พลังการโจมตีของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์จะไม่ถึงขั้นเคลื่อนย้ายภูเขาไปถมทะเลได้ แต่พลังของมันก็สามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตจำนวนมากได้ในพริบตา การโจมตีในครั้งนี้กวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างในรัศมีหลายร้อยลี้ไปเสียสิ้น ภาพลวงตาที่เกิดจากการย้อนกลับของพลังปราณฟ้าดินตามเส้นฮวงจุ้ยเองก็ถูกพลังรุนแรงนี้ทำลายลง หนำซ้ำผู้บำเพ็ญเซียนอิสระขั้นฝึกปราณระดับสูงอีกสิบคนที่มีหน้าที่ดูแลกระแสพลังปราณที่ย้อนกลับก็ตื่นตระหนกจากการโจมตีนี้ไม่น้อย


เจ้าสำนักเจ็ดดาราใช้ดวงจิตขั้นปฐมตรวจสอบพื้นที่รอบๆ แล้วก็พบว่ารอบตัวเขามีแต่เสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เขาเรียกอาวุธวิเศษกลับคืนมาด้วยความยินดี ทว่าในใจก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย หากแก่นบำเพ็ญเซียนของเขาสมบูรณ์ละก็ กระบี่ชำระล้างของเขาย่อมสามารถทำลายดวงจิตขั้นปฐมของผู้บำเพ็ญเซียนอิสระเหล่านั้น ทำให้พวกเขาบาดเจ็บทั้งกายและใจ ไม่แน่ว่าพวกนั้นอาจจะตายในทันที ไม่ใช่แค่บาดเจ็บอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ แต่อย่างไรเสีย เขาก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว


ท่ามกลางบรรยากาศที่มืดมัว ร่างหนึ่งก็ลุกขึ้นยืน คนผู้นี้อยู่ในระยะทำลายล้างของกระบี่ชำร้าง ทว่ากลับไม่มีทีท่าว่าบาดเจ็บหรืออ่อนล้าแม้แต่น้อย…


“ยินดีด้วยที่สุดท้ายเจ้าก็คลานมาถึงข้า”


ตอนที่ 25 ลูกไม้เดิมทำอะไรข้าไม่ได้หรอก…

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


“ยินดีด้วยที่สุดท้ายเจ้าก็คลานมาถึงข้า แต่ตอนนี้เจ้ายังแน่ใจอยู่หรือว่าจะเอาชนะข้าได้”


หวังลู่เปิดเผยตัวตนต่อหน้าเจ้าสำนักเจ็ดดารา ร่างอวบค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างมาตรฐานซึ่งพูดด้วยน้ำเสียงสงบสุขุม ทว่าฉากที่สงบเงียบนี้ช่างตรงกันข้ามกับเสียงร้องโอยโอยที่ดังแว่วมาของผู้อาวุโสแห่งสำนักเจ็ดดาราที่บาดเจ็บหนัก


เจ้าสำนักเจ็ดดาราตกตะลึงที่อีกฝ่ายยังหนุ่มนัก แต่ขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็ช่วยคลี่คลายความสงสัยของเขา


ก่อนหน้านี้พอได้ยินเสียงร้อยโอดครวญของผู้อาวุโสแห่งสำนักของตน เขาแทบอยากจะพุ่งไปช่วยเหลือคนเหล่านั้นในทันที ทว่าตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว… ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามใช้วิชาฮวงจุ้ยย้อนกลับเพื่อถ่วงเวลา เขาจึงพลาดโอกาสไปช่วยเหลือคนในปกครองของตน ต่อให้รีบรุดไปในตอนนี้ เขาก็กลัวว่าจะไปเจอเพียงร่างไร้วิญญาณเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้น เขาขอฉวยโอกาสนี้เอาชนะเจ้าสำนักของฝ่ายตรงข้ามเสียดีกว่า เพราะหากเขาจับตัวเจ้าสำนักภูมิปัญญาที่ลึกลับนี้ได้ เขาย่อมเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นชัยชนะได้ เขาเห็นว่าขั้นตบะของอีกฝ่ายช่างตื้นเขิน เมื่อใช้พลังจิตขั้นปฐมตรวจสอบความผันผวนของพลังปราณฟ้าดิน ผลคือตบะขั้นของฝ่ายตรงข้ามนั้นอยู่เพียงขั้นฝึกปราณระดับสูง ซึ่งห่างจากขั้นตบะของเขาถึงสองขั้น ดังนั้นแม้อีกฝ่ายจะมาจากสำนักชั้นนำ ก็ย่อมไม่มีความหมายอะไร


แม้เจ้าสำนักเจ็ดดาราจะอยู่ในระดับล่างสุดของโลกบำเพ็ญเซียน อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นพิสุทธิ์ ทั้งยังมีอาวุธวิเศษอยู่ในมือ เขามั่นใจว่าต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณที่มีพรสวรรค์เหลือล้นจากสำนักเซิ่งจิงก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะขั้นพิสุทธิ์อย่างเขา ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงไม่ตระเตรียมการอย่างสลับซับซ้อน แค่ออกมาสู้กับเขาตัวต่อตัวก็เพียงพอแล้ว


โชคร้ายที่ตอนนี้กระจุกดาวบนกระบี่เจ็ดดารามีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ทำให้ไม่อาจใช้กระบวนท่าที่ทรงพลังมากที่สุดของวิชากระบี่เจ็ดดาราได้ หนำซ้ำแสงจันทร์และแสงดาวภายในรัศมีหลายลี้รอบหุบเขาหูสุนัขยังถูกบ่อจันทรากักเก็บไปอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่อาจใช้แผนที่เจ็ดดาราและใช้กระบวนท่าของกระบี่เจ็ดดาราได้ซ้ำอีก โดยรวมแล้วเขาเหลือความแข็งแกร่งเพียงแค่สองถึงสามส่วนเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังมากพอที่จะบดขยี้ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณได้


ดังนั้นเจ้าสำนักจึงดึงกระบี่เจ็ดดารามาใกล้อก ใช้ฝ่ามือรูดกระบี่ตั้งแต่หัวจรดปลายจนแบนเรียบและกลายมาเป็นแผนที่เจ็ดดาราที่ค่อยๆ แผ่ออก เมื่อเทียบกับกระบี่เจ็ดดาราที่โหดเหี้ยมว่องไว แผนที่เจ็ดดารานั้นสงบเสงี่ยมกว่ามาก แต่ภายในกลับน่ากลัวยิ่งกว่า แม้จะไม่มีปลายแหลมคม แต่มันก็สามารถใช้โจมตีและตั้งรับปรับเปลี่ยนไปได้ตามสถานการณ์ เมื่อมีแผนที่เจ็ดดาราในมือ เจ้าสำนักก็มั่นใจว่าหากไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนโผล่มา เขาย่อมรับมือได้ทุกสถานการณ์แน่


หวังลู่มองดูการกระทำของเจ้าสำนักอย่างเงียบๆ จนแผนที่เจ็ดดารากางออกเต็มที่ และเจ้าสำนักตั้งท่าพร้อมสู้ เขาจึงถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “อ้าว ข้าอุตส่าห์ให้โอกาสเจ้าหนี เจ้ากลับไม่อยากหนี นี่เจ้าต้องการสู้ตัวต่อตัวกับข้าจริงๆ หรือ”


เจ้าสำนักกำลังตั้งสมาธิเต็มที่ เขาดีดนิ้วสองนิ้วบนมือขวา จากนั้นลำแสงจำนวนมากก็ส่องสว่างกลางอากาศ ดูคล้ายดาราจักรที่สุกสว่างอยู่ท่ามกลางม่านหมอกแห่งรัตติกาล


แสงดาวที่แท้จริงถูกบ่อจันทรากักเก็บไปหมดสิ้นแล้ว ส่วนท้องฟ้าที่พร่างพราวด้วยดวงดาวในตอนนี้นั้นเกิดจากค่ายกลที่อยู่ในแผนที่เจ็ดดารานั่นเอง


เจ้าสำนักมองหวังลู่อย่างประหลาดใจ พลางคิดว่าเหตุใดเจ้านี่จึงเมินเฉยความเคลื่อนไหวในการวางค่ายกลของเขา แม้ที่นี่จะไม่ใช่ถิ่นของเขา แต่เมื่อมีแผนที่เจ็ดดาราในมือ หนำซ้ำอีกฝ่ายกลับยอมให้เขาสร้างค่ายกลได้ตามใจชอบ เช่นนั้นข้อได้เปรียบเรื่องสถานที่ก็คงกลับตาลปัตรเสียแล้ว ตอนนี้เขาวางค่ายกลกระจุกดาวพราวนภาสำเร็จแล้ว ทันทีที่เขาทำให้กระจุกดาวหลักทั้งเจ็ดส่องสว่าง มันจะไปกระตุ้นการทำงานของค่ายกลกระจุกดาวพราวนภา ทำให้กระจุกดาวทวีคูณขึ้นไม่จบสิ้น ถึงตอนนั้นเขาก็จะอยู่ในสถานะไร้พ่าย ต่อให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาก็ยังสามารถรับมือได้หลายกระบวนท่า เช่นนั้นการรับมือผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณก็แสนง่ายราวกะพริบตา


ทว่าหวังลู่กลับยอมให้ฝ่ายตรงข้ามสร้างค่ายกลขึ้นมาจริงๆ เขามองดูค่ายกลด้วยรอยยิ้ม นานๆ ครั้งก็เอ่ยปากวิจารณ์ความสมบูรณ์แบบของค่ายกลฝั่งตรงข้ามออกมา แน่นอนว่าคำวิจารณ์ของเขานั้นเลื่อนเปื้อนไร้สาระ เพราะต่อให้เขาเป็นศิษย์แนวหน้าของสำนักกระบี่วิญญาณ ก็ไม่มีทางที่เขาจะเชี่ยวชาญด้านการวางค่ายกลภายในสองปี ยิ่งวิจารณ์ค่ายกลระดับพิสุทธิ์แล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่


ทว่าเป็นเพราะตอนอยู่บนเขากระบี่วิญญาณเขาได้อ่านตำราเป็นจำนวนมาก ทำให้ในคำวิจารณ์ไร้สาระนั้นยังพอมี ‘ตรรกะ’ อยู่บ้าง คำวิจารณ์เหล่านั้นกระทบใจเจ้าสำนักอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้ความเร็วในการสร้างค่ายกลตกลง พอรู้ตัวเจ้าสำนักก็ตื่นตกใจไม่น้อย


หากนี่เป็นช่วงสูงสุดของการแสดง มันมักหมายถึงลางร้าย แม้เจ้าสำนักเจ็ดดาราจะเป็นนักสู้ผู้ช่ำชอง แต่กลับมีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมาตรงหน้าผาก


หวังลู่ที่ยังคงมองอีกฝ่ายอย่างผ่อนคลาย ก็พูดให้กำลังใจออกไป “ไม่ต้องรีบร้อน ใช้เวลาให้เต็มที่”


ในที่สุดเจ้าสำนักก็เปิดใช้งานค่ายกลกระจุกดาวพราวนภา กระจุกดาวหลักทั้งเจ็ดส่องแสงสว่างไสวอย่างน่าอัศจรรย์ และพลังปราณฟ้าดินของกระจุกดาวก็เริ่มหมุนวน ทำให้ขั้นตอนสุดท้ายของการเพิ่มจำนวนทวีคูณของกระจุกดาวเสร็จสมบูรณ์


จากนั้นหวังลู่ก็ยิ้ม ส่ายศีรษะและเอานิ้วมือแตะหน้าผาก กระดูกจักรพรรดิในร่างสันสะท้าน กระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์สูดหายใจเฮือกใหญ่อย่างหิวกระหาย


อึดใจถัดมา พลังปราณฟ้าดินในรัศมีหลายลี้รอบตัวก็เคลื่อนเข้ามาในกายเขา กลายเป็นพายุบ้าคลั่ง


ใบหน้าของเจ้าสำนักกระบี่วิญญาณซีดเผือด เขาไม่คาดคิดว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น! การรวบรวมพลังปราณฟ้าดินอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้เหมือนสิ่งที่เกิดกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนหรือขั้นกำเนิดใหม่ตอนกำลังเข้าฌานระดับลึก! การเปลี่ยนแปลงของพลังปราณฟ้าดินที่อยู่รอบๆ นั้นรุนแรงมาก แม้มันจะไม่ส่งผลร้ายโดยตรงเพราะพลังปราณฟ้าดินมีสถานะเป็นกลาง ทว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นในระหว่างที่ค่ายกลกระจุกดาวพราวนภากำลังจะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งเป็นช่วงที่วิกฤตและเปราะบางมากที่สุด!


แม้แผนที่เจ็ดดาราจะมีวิธีรับมือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นพันๆ วิธี แต่เจ้าสำนักไม่ได้เตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้แม้แต้น้อย เขายกมือซ้ายขึ้นมาวาดตราปิดผนึกอย่างเร่งรีบโดยการใช้พลังจากกระจุกดาวยับยั้งพลังปราณฟ้าดิน ขณะเดียวกันมือขวาก็ชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้าเพื่อนำทางให้พลังปราณฟ้าดินของกระจุกดาวหลักโคจรรอบสุดท้ายให้เป็นผลสำเร็จ


สำหรับผู้ฝึกเซียนอิสระ ปฏิกิริยาที่รวดเร็วของเจ้าสำนักถือว่าโดดเด่น ทว่าหวังลู่กลับไวกว่านั้น


“ทะลวง!”


อาคมเดียวกันเมื่อใช้โดยหวังลู่ที่มีขั้นตบะตามที่เป็นอยู่ในตอนนี้ย่อมด้อยกว่าอาคมที่เจ้าสำนักเจ็ดดาราปล่อยออกมา ทว่าอาคมนี้ปล่อยออกมาได้เหมาะเหม็งจนทำให้เหมืองพลังปราณระเบิดออกมา


ตู้ม!


เหมืองพลังปราณพังทลาย เส้นฮวงจุ้ยทั้งเส้นถูกกระตุ้น สายแร่พลังปราณฟ้าดินจำนวนมากที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินส่งเสียงสนั่นหวั่นไหวและเริ่มสั่นไหว


สำหรับเส้นฮวงจุ้ยในแคว้นธาราครามแล้วนั้น การสั่นไหวครั้งนี้รวดเร็วราวยักษ์กระพริบตา ทว่าผลก็คือมันทำให้แผ่นดินตรงที่ต่อสู้กันอยู่สั่นไหว เมื่อเหมืองพลังปราณพังทลาย พลังปราณฟ้าดินก็ปะทุออกมาราวกับภูเขาไฟระเบิด! มันพุ่งทะลักออกมารุนแรงจนทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน


ขณะเดียวกันค่ายกลที่เจ้าสำนักเจ็ดดาราอุตส่าห์จัดเตรียมไว้อย่างดิบดีก็ถูกพลังรุนแรงนี้ทำให้หยุดชะงักลง แม้กระจุกดาวที่รวบรวมเอาไว้จะไม่กระจัดกระจายออกไป แต่ส่วนที่สำคัญที่สุด ซึ่งคือกระจุกดาวหลักก็ไม่อาจโคจรพลังปราณฟ้าดินได้อีก ซึ่งทำให้เจ้าสำนักเสียแรงเปล่าๆ ไปเกือบครึ่งหนึ่ง!


หวังลู่กล่าวอย่างร่าเริง “น่าตื่นตาตื่นใจดีไม่หยอกว่าไหม”


ตื่นตาตื่นใจมารดาเจ้าสิ!


เจ้าสำนักเจ็ดดาราทั้งอับอายและขัดเคือง พลางคิดว่ามีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจตรงไหนกัน!? แม้การตั้งค่ายกลจะไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่กระจุกดาวที่รวบรวมมาก็มีเพียงพอ ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนอาวุธในมือให้เป็นกระบี่เจ็ดดารา หรือจะใช้แผนที่เจ็ดดาราต่อไป อย่างน้อยเขาก็น่าจะสำแดงพลังได้อย่างที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ระดับต่ำจะสำแดงออกมาได้ โดยไม่มีทางที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณจะต้านทานได้!


ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะระเบิดเหมืองพลังปราณอีกสิบเหมือง จนทำให้เส้นฮวงจุ้ยพังทลายและเกิดเป็นคลื่นสึนามิก็ไม่อาจจะช่วยชีวิตของเขาได้!


“กระจุกดาวเล็งเป้า!”


เจ้าสำนักเอื้อมมือไปหยิบกระจุกดาวหนึ่งในดาราจักรที่สว่างไสวและเปลี่ยนมันเป็นโซ่สีเงินที่พุ่งตรงเข้าหาอีกฝ่าย หวังลู่เห็นดังนั้นก็หัวเราะขึ้น เขาถ่มกระบี่แห่งเขาคุนซึ่งขยายตัวยาวเหยียดออกมา จากนั้นก็ฉวยกระบี่ขึ้นมาไว้เบื้องหน้าตนเอง สายโซ่สีเงินจึงถูกสกัดก่อนที่จะมาถึงตัวหวังลู่ได้


เจ้าสำนักเจ็ดดารารู้สึกประหลาดใจ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณมีทักษะในการสกัดกระจุกดาวเล็งเป้าด้วยหรือ เขาเพิ่มพลังไปยังฝ่ามืออีกนิดเพื่อให้สายโซ่เคลื่อนไปเบื้องหน้า


หวังลู่ไม่ได้พยายามตอบโต้เท่าไรนัก เขาดึงกระบี่แห่งเขาคุนกลับมาเล็กน้อยเพื่อให้สายโซ่พุ่งเข้ามาใกล้อีกนิด ทว่าพอสายโซ่เข้ามาใกล้กระบี่แห่งเขาคุนประมาณสามชุ่น กระจุกดาวเล็งเป้าก็ถูกสกัดด้วยพลังที่มองไม่เห็นอีกครา


ที่ปลายอีกด้านของโซ่ เจ้าสำนักเจ็ดดารารู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่ามือข้างที่ถือสายโซ่อยู่ ราวกับว่าถูกตำด้วยหนามจำนวนนับไม่ถ้วน พอเขาเพิ่มพลังเข้าไปอีก ความเจ็บก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า สามเท่าเป็นทบทวี จนเขารู้สึกว่าฝ่ามือนั้นแทบจะปริออก


หวังลู่ยังคงถือกระบี่แห่งเขาคุนไว้ในมือ ไอพลังจากตัวเขาค่อยๆ ผสามกับไอพลังจากกระบี่แห่งเขาคุน นี่คือวิชากระดูกกระบี่สลัดฝัก ซึ่งแยกออกจากฝักกระบี่เพราะแรงกดดันมหาศาลจากกระแสพลังปราณเมื่อสามเดือนก่อน สามเดือนให้หลังเขาชำนาญวิชากระดูกกระบี่สลัดฝักมากยิ่งขึ้น หนำซ้ำพอมีกระบี่แห่งเขาคุนในมือ ทำให้สามารถต้านทานการโจมตีของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ได้ชั่วคราว


ความเจ็บปวดที่ปรากฏโดยไม่คาดคิดทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองของเจ้าสำนักเจ็ดดาราเชื่องช้าลง แต่ครั้งนี้หวังลู่ยื่นกระบี่แห่งเขาคุนไปเบื้องหน้า ค่อยๆ ดันมันไปด้านหน้าอย่างช้าๆ และแทงทะลุปลายด้านหนึ่งของสายโซ่


เสียงปะทะในครั้งนี้ดังกึกก้องไปทั่ว กระจุกดาวเล็งเป้าชนเข้ากับพลังปราณฟ้าดินของกระบี่แห่งเขาคุนที่เป็นธาตุดิน ทันใดนั้นกระจุกดาวเล็งเป้าก็ร่วงลงมาไม่อาจควบคุมได้อีก


เจ้าสำนักเจ็ดดาราผงะถอยหลัง นอกจากจะช่วยปกป้องร่างกายของหวังลู่แล้ว พลังปราณฟ้าดินที่เป็นธาตุดินของกระบี่แห่งเขาคุนยังทำให้ธาตุของกระจุกดาวเล็งเป้ากลายเป็นกลางอีกด้วย แม้ก่อนหน้านี้หวังลู่จะแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ แต่ดูเหมือนจู่ๆ เขากลับมีพลังของผู้ฝึกเซียนขั้นสร้างฐานขึ้นมาเสียได้! เมื่อเข้าคู่กับเพลงดาบที่ไม่ธรรมดาของโลกเซียน ทำให้หวังลู่สามารถสกัดการโจมตีจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ได้


แน่ละว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานระดับสูงจริงๆ แต่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ใช้ค่ายกลรวบรวมพลังปราณฟ้าดินตามแนวเส้นฮวงจุ้ยเข้าร่างตัวเองเพื่อเพิ่มขั้นตบะของตน ทว่าการเพิ่มขั้นตบะจากขั้นฝึกปราณเป็นขั้นสร้างฐาน… สิ่งนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ปริมาณพลังปราณฟ้าดินส่วนเกินที่อยู่ในกายของเด็กหนุ่มอยู่ในระดับที่อันตราย การโคจรของพลังปราณฟ้าดินอาจทำให้ร่างกายทำงานหนัก และหากผู้ที่เพิ่มขั้นตบะให้ตนเองที่ไม่ได้อยู่ขั้นสร้างฐาน ใช้พลังอิทธิฤทธิ์จากพลังปราณฟ้าดินส่วนเกินนี้ มันจะส่งผลให้ร่างระเบิด… เจ้าเด็กนี่แม้ขั้นเซียนจะตื้นเขิน แต่ร่างกายกลับทานทนผิดธรรมดา ทว่าจะทานทนขนาดไหนก็ไม่อาจรู้ได้


แต่กระจุกดาวเล็งเป้าเป็นกลยุทธ์ที่กระจอกที่สุดที่เจ้าสำนักเจ็ดดาราสำแดงออกมา ขอบเขตความสามารถของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ไม่ได้จำกัดเพียงเท่านี้ เจ้าสำนักเจ็ดดาราหายใจเข้าเฮือกใหญ่ และทันใดนั้น กระจุกดาวก็หลั่งไหลลงมาราวน้ำตก ท่ามกลางแสงเจิดจ้าของกระจุกดาวเหล่านั้น กระบี่เจ็ดดาราก็มาปรากฏอยู่ในมือของเจ้าสำนัก เขาปล่อยกระบวนท่ากระบี่พุ่งชนออกไป และในชั่วพริบตานั้นเอง กระบี่เจ็ดดาราก็เกือบจะแท่งเข้าที่หน้าอกของหวังลู่


แคร้ง!


ไม่แปลกที่การจู่โจมในครั้งนั้นจะถูกกระบี่แห่งเขาคุนสกัดไว้ได้ ทว่าแม้อีกฝ่ายจะสกัดไว้ได้แล้วอย่างไรเล่า ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณจะสามารถต้านทานพลังของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ได้หรือ


“ฮึบ…”


หวังลู่อ้าปากอย่างไม่รู้ตัว ตอนนี้เขาแทบไม่อาจสกัดการโจมตีของกระบี่เจ็ดดาราได้ แม้เขาจะเตรียมตัวมาอย่างดีด้วยการรวมรวมพลังปราณฟ้าดินผ่านค่ายกลเพื่อช่วยเพิ่มขั้นตบะให้เป็นขั้นสร้างฐาน แต่แค่การโจมตีธรรมดาครั้งเดียวของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ เขาก็รู้สึกว่ากระดูกภายในร่างแทบจะหักเป็นชิ้นๆ แล้ว!


ช่องว่างมีมากเกินไป แม้ขั้นตบะของเขาจะเพิ่มขึ้นชั่วคราว แม้กระบี่แห่งเขาคุนจะยอดเยี่ยมกว่ากระบี่เจ็ดดารามากนัก แม้วิชากระบี่ไร้ลักษณ์จะเยี่ยมยุทธ แม้ความสามารถในการตั้งรับของกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์จะยอดเยี่ยมที่สุดในโลก… แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเซียนที่ขั้นตบะห่างกว่าถึงสองขั้น สิ่งเหล่านี้ก็ดูราวเป็นแค่ปุยเมฆ


หนำซ้ำด้วยการโจมตีในครั้งนี้ เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็รับรู้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย เขาเหยียดยิ้มและตวัดกระบี่ลงอีกครั้ง ครั้งนี้หวังลู่ไม่อาจต้านทานได้ เขาตื่นตระหนกและกระอักเลือดออกมา


พอตวัดกระบี่ครั้งที่สาม หวังลู่ก็กระอักเลือดออกมาอีก เขาแทบจะตั้งท่าไม่อยู่และเริ่มจะซวนเซ


แม้ความอึดของอีกฝ่ายจะทำให้เจ้าสำนักจะตกตะลึงไม่น้อย ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณสามารถสกัดการจู่โจมของกระบี่จากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ได้สามครั้งต่อเนื่องกัน ทว่าอีกด้านหนึ่งเขาก็ไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายไป เจ้าสำนักคิดจะใช้กระบวนท่าถัดไปเป็นกระบวนท่าพิฆาต เขาเรียกแผนที่เจ็ดดาราออกมา และใส่พลังทั้งหมดลงไปยังกระบี่เจ็ดดารา จากนั้นก็ตวัดกระบี่ลงอีกครั้ง


ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงคุ้นหูก็ดังมาจากด้านหลัง


“ชิ เจ้านี่ช้าจริงๆ เหนื่อยจะเล่นแล้วรึยัง”


จากนั้นเจ้าสำนักเจ็ดดาราก็ถูกพลังหนักหน่วงกระแทกใส่จนหมดสติไป


……………………………….


ตอนที่ 26 จงคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นเซียน

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


“อ้าว ฟื้นแล้วเหรอ แน่ล่ะ ก็เจ้าเป็นที่หนึ่งของฝูงนี่นา”


เมื่อเจ้าสำนักเจ็ดดาราฟื้นคืนสติขึ้นมา เสียงโหวกเหวกของเด็กหนุ่มก็ดังเข้ามากระทบหู ตามด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึงของหญิงสาว


“เหลวไหล เขาเป็นถึงเจ้าสำนัก แน่นอนว่าขั้นตบะย่อมสูงกว่าพวกอยู่แล้ว”


พอลืมตาขึ้น ก็เห็นคนสองคนยืนประจันหน้าอยู่ เขาหวนนึกถึงตอนที่กำลังจะได้ชัยชนะ หญิงสาวผู้นี้ก็ลอบโจมตีเขาที่ด้านหลัง ทำให้ต้องพ่ายแพ้หมดหนทาง หนำซ้ำตอนนี้พลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดในตัวก็กระจัดกระขายไปจนหมดสิ้น ทั้งยังถูกพันธนาการไว้ด้วยด้ายที่มองไม่เห็น แม้จะอับอายที่ถูกปฏิบัติราวกับเป็นนักโทษ แต่เจ้าสำนักก็ทำได้เพียงกัดฟันแน่น


ทว่าสิ่งแรกที่หลุดออกจากปากกลับเป็น “คนของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”


หวังลู่โบกมือเบาๆ “วางใจเถอะ ทุกคนยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็มีสภาพไม่ต่างจากเจ้านั่นแหละ”


แม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย แต่จู่ๆ เขาก็กลับขุ่นเคืองขึ้นมา


“นั่นน่ะหรือการต่อสู่ที่ยุติธรรมของเจ้า”


หวังลู่ทำหน้าตลกใส่ “แน่นอนว่าไม่ แต่แล้วจะทำไมเล่า ถ้าเจ้ายังไหวจะแจ้นไปฟ้องร้องข้าก็ได้นะ~”


“เจ้า!?”


เจ้าสำนักเจ็ดดาราไม่อยากเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะยึดมั่นเรื่องความต่ำช้าและหน้าไม่อายถึงเพียงนี้!


หวังลู่หัวเราะ “อะไรกัน รู้สึกไม่ยุติธรรมหรือ ข้าขอถามหน่อย ปรมาจารย์ขั้นพิสุทธิ์ผู้สูงส่งคิดจะแหกปากเรียกร้องความเป็นธรรมที่พ่ายแพ้ข้า ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณที่บำเพ็ญเซียนมาไม่ถึงสามปีงั้นหรือ เจ้าคิดว่าเจ้ากล้าหรือ”


เจ้าสำนักเจ็ดดารานิ่งอึ้ง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณที่บำเพ็ญเซียนมาไม่ถึงสามปี!? ย่อมไม่ใช่แน่! ในมุมมองของเขา แม้อีกฝ่ายจะยังเด็กและมีขั้นตบะตื้นเขิน แต่อย่างน้อยก็ควรเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับสูงที่บำเพ็ญเซียนมามากกว่าสิบปีถึงจะถูก เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าฝ่ายตรงข้ามจะเด็กถึงเพียงนี้!


ขณะที่เจ้าสำนักเจ็ดดารายังคงตะลึงงันอยู่ หวังลู่ก็พูดต่อ “หากข้าอยากชนะเจ้าจริงๆ มันก็มีอีกหลายทาง ต่อให้เป็นการประลองกันตัวต่อตัว การเอาชนะเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก ข้าแค่เลือกทางที่ง่ายที่สุดและถูกที่สุด ดังนั้นถึงเจ้าแพ้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เป็นธรรม เจ้าไม่ต้องรู้สึกแย่ไปหรอก


เมื่อเห็นสีหน้าไม่อยากเชื่อของเจ้าสำนักเจ็ดดารา หวังลู่ก็ส่ายหัว หยิบบางอย่างออกจากย่ามสีเหลืองหม่นและโยนไปเบื้องหน้าอีกฝ่าย “เจ้ารู้จักสิ่งนี้ใช่ไหม”


เจ้าสำนักเจ็ดดาราเพ่งพิศสิ่งนั้นอย่างรอบคอบ “ยันต์สายฟ้า? วัตถุศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้า… ฮ่าๆ หากใช้สู้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ เจ้านี่คงถือว่าเป็นอาวุธลับชั้นดี แต่หากใช้สู้กับข้า…”


“ถูกแล้ว มันไม่ดีพอที่จะใช้ต่อกรกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ เพราะงั้นข้าจึงงเอาจำนวนเข้าสู้ไงเล่า”


ขณะพูด เขาก็เปิดปากยามสีเหลืองหม่นกว้างขึ้น ในนั้นมียันต์สายฟ้าส่งเสียงกระทบกันอยู่นับร้อยชิ้น ใบหน้าของเจ้าสำนักเจ็ดดาราซีดเผือดไร้สีสัน หากยันต์สายฟ้าร้อยชิ้นระเบิดขึ้นพร้อมกัน แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ก็คงไม่รู้สึกยินดีเท่าไร


“ยันต์สายฟ้านี่แค่เรียกน้ำย่อย ข้ายังมียันต์อัสนีพิโรธกับยันต์เพชรจินดาอีกด้วย ในเมื่อเจ้ารู้ที่มาของข้าแล้ว เจ้าย่อมต้องรู้ว่าแม้ขั้นเซียนของข้าจะตื้นเขิน แต่ข้าก็มีคลังแสงมากมายที่จะใช้ต่อกรกับเจ้า”


จากนั้นธิดาเทพก็หัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน


เขายอมรับอยู่ในใจเงียบๆ โลกแห่งการบำเพ็ญเซียนนั้นช่างอยุติธรรม ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ ที่ฝึกบำเพ็ญเซียนมาอย่างจำกัด แม้จะมีอาวุธเซียนอยู่ในมือ ก็ไม่อาจสำแดงฤทธิ์ของอาวุธนั้นได้อย่างเต็มศักยภาพเพราะพลังในกายไม่เพียงพอ ทว่า…หากเป็นของชิ้นเล็กๆ อย่างยันต์สายฟ้า ยันต์อัสนีพิโรธกับยันต์เพชรจินดา ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณสามารถใช้สิ่งเหล่านั้นได้อย่างอิสระ แม้พลังของยันต์เหล่านั้นจะส่งผลเพียงเล็กน้อยเมื่ออยู่ในมือพวกเขา แต่หากใช้ยันต์นับร้อยๆ ชิ้นพร้อมๆ กัน แม้แต่ผู้ฝึกเซียนขั้นพิสุทธิ์อย่างเขาก็ย่อมแบนราบเป็นหน้ากลองแน่ ไม่ต่างจากมดนับแสนตัวเข้ามารุมช้างตัวเดียว ทว่าหากใช้สิ่งเหล่านั้นต่อกรกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกน มันก็เท่ากับการเอาศิลาวิญญาณไปผลาญทิ้งเล่นๆ ยันต์สายฟ้าร้อยชิ้นมีมูลค่าเป็นหมื่นๆ ศิลาวิญญาณ ยันต์อัสนีพิโรธกับยันต์เพชรจินดายิ่งแพงขึ้นไปอีก เจ้าสำนักคำนวณว่าหากอีกฝ่ายคิดจะใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อเอาชนะตน อย่างต่ำๆ ก็ต้องจ่ายไปหลายหมื่นศิลาวิญญาณ แต่ฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายแล้ว ดูเหมือนราคาค่างวดไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่เลยสักนิด


ฮ่า! ศิษย์จากสำนักทรงเกียรติ… แต่ละคนรวยบัดซบจริงๆ!


หวังลู่หัวเราะเบาๆ “แน่ละว่าหากข้าต้องจ่ายเงินไปเป็นหมื่นๆ ศิลาวิญญาณเพื่อต่อกรเจ้า ข้าคงรู้สึกเสียดายไม่น้อย ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้เงินหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณจ้างใครสักคนมารับมือกับเจ้า ราคานี้ข้าว่าย่อมดึงดูดผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ได้ด้วยซ้ำ เจ้าว่าไหม”


เจ้าสำนักเจ็ดดาราตกตะลึง ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็ถอนหายใจ “แต่เจ้าคงจะจ่ายไปไม่น้อยเพื่อตระเตรียมค่ายกลและผู้คนในหุบเขาหูสุนัขนี่”


“ตรงข้ามเลย ข้าจ่ายไปแค่หยิบมือเดียว นั่นเพราะข้าไม่อยากจ่ายเงินให้การตระเตรียมที่มันยุ่งยาก” หวังลู่อธิบาย “บ่อจันทรา เหมืองพลังปราณ เป็นสิ่งที่คนของสำนักข้าใช้เวลาทำเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้น มันใช้วัตถุดิบมากมายก็จริง แต่ข้าสร้างแท่นบูชาเอาไว้ที่หมู่บ้านตระกูลหวัง ดังนั้นของส่วนใหญ่จึงไม่ต้องเสียเงินซื้อ เงินที่ข้าเสียไปเพื่อต่อกรกับเจ้านั้น…คือเจ็ดพันสองร้อยศิลาวิญญาณ หักลบกับของที่สามารถเอาไว้ใช้ต่อหลังจากจบการต่อสู้ ราคาจริงๆก็คงไม่มากไม่น้อยไปกว่าหนึ่งพันศิลาวิญญาณ เจ้าคิดว่าไง ถูกมากเลยใช่ไหมเล่า”


ไม่ใช่แค่ถูก แต่มันสุดจะเชื่อ! เจ้าสำนักเจ็ดดาราเป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ ของสำนัก ดังนั้นเขาจึงรู้ราคาของบ่อจันทราและสิ่งอื่นๆ อย่างดี หากสำนักเขาจะสร้างสิ่งเหล่านั้น แค่ค่าสร้างเหมือนพลังปราณก็หลายหมื่นศิลาวิญญาณแล้ว ส่วนบ่อจันทรานั้น… เขาไม่มีพิมพ์เขียวด้วยซ้ำไป!


ในตอนนั้น ในใจของเจ้าสำนักมีแต่ความสับสน อีกทั้งเขายังเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของผู้อาวุโสคนอื่น ความคิดของเขาจึงปั่นป่วนไม่น้อย


เมื่อเห็นใบหน้าสับสนของเจ้าสำนัก หวังลู่ก็พูดขึ้น “เจ้าอยากเดินดูสำนักของข้าหน่อยมั้ย”


เจ้าสำนักเจ็ดดาราเงยหน้าขึ้น “เจ้าต้องการให้ข้าเข้าสำนักของเจ้า เป็นขี้ข้าเจ้า? ข้าว่าเจ้าอย่าเสียเวลาเลยดีกว่า”


หวังลู่กล่าว “อย่างน้อยก็ให้โอกาสข้าก่อนเถอะ เหตุใดจึงรีบปฏิเสธนัก เจ้ายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญาสักนิด”


เจ้าสำนักเจ็ดดาราเหยียดยิ้ม “จริงอยู่ที่ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญาของเจ้า แต่หลังจากที่สอบถามสำนักมากมายที่อยู่แถวนี้ ข้าก็รู้ว่าสำนักเจ้านั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสำนักพันวิญญาณในประเทศจันทราขาวเลยสักนิด! ฮ่า! พันธมิตรหมื่นเซียนของเจ้าอาจจะดูสูงส่ง แต่เอาเข้าจริงก็ด้อยกว่าสำนักของข้าซึ่งเป็นเพียงสำนักชั้นล่าง อย่างน้อยเราก็ด้อยกว่าแค่กำลังเงิน ไม่ใช่กำลังคน!”


หวังลู่ยักไหล่อย่างไม่แยแส จากนั้นก็ขยิบตาให้ผู้ที่อยู่ด้านหลังเจ้าสำนักเจ็ดดารา


“เหวินเป่า พาคนผู้นี้ไปเยี่ยมชมหมู่บ้านซิ”


“ตกลง”


จากนั้นเจ้าสำนักเจ็ดดาราก็รู้สึกว่าร่างของเขาถูกมืออ้วนล่ำยกขึ้นกลางอากาศราวกับว่าเป็นชิ้นเนื้อย่างก็ไม่ปาน


เจ้าสำนักเจ็ดดาราทั้งรู้สึกอับอายและโมโหจึงพยายามดิ้นหนี เขาคิดว่าในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ แม้พลังอิทธิฤทธิ์ของเขาจะกระจายไปหมดแล้ว หนำซ้ำร่างกายก็ถูกพันธนาการด้วยด้ายจำนวนมาก แต่หากเขาดิ้น แรงของเขาก็น่าจะมากพอๆ กับวัวตัวหนึ่ง ทว่าฝ่ามือที่อยู่บนคนของเขากลับบีบแน่นมากขึ้น แล้วก็มีพลังมหาศาลมากดการดิ้นหนีของเขาลง


พอหันศีรษะกลับไปมอง เจ้าสำนักก็เห็นว่าชายที่อยู่ด้านหลังเขานั้น แม้จะรูปร่างกำยำสูงใหญ่ แต่กลับดูอ่อนเยาว์ เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าซื่อสัตย์ถ่อมตัว


เจ้าสำนักถูกเหวินเป่าแบกออกมาจากโรงเก็บของแคบๆ ขนาบข้างด้วยหวังลู่


นอกโรงเก็บของ คือหมู่บ้านตระกูลหวัง สำนักงานใหญ่ของสำนักภูมิปัญญา ทว่าภาพที่เห็นตรงหน้านั้นยิ่งกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากนัก


ในฐานะเจ้าสำนักที่ละเอียดรอบคอบ เขาเคยเดินทางผ่านหุบเขาหูสุนัขซึ่งอยู่ในพื้นที่อิทธิพลของสำนักเจ็ดดาราเมื่อสิบปีก่อน และตัดสินว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เลิศเลออะไร เขาเพียงรู้สึกเสียดายพลังปราณฟ้าดินจำนวนมากที่อยู่ที่นี่ แต่ตัวหมู่บ้านนั้นไม่ได้น่าสนใจ ไม่ต่างจากหมู่บ้านห่างไกลที่อื่นๆ หากจะพูดให้ชัดก็คือ หมู่บ้านนี้ค่อนข้างร่ำรวย เพราะอยู่ไม่ไกลจากอำเภออู่โถวนัก จึงมีครอบครัวที่มั่งคั่งอยู่ไม่น้อย


ทว่ามาตอนนี้หมู่บ้านตระกูลหวังกลับเปลี่ยนแปลงไปราวพลิกแผ่นดิน ที่กลางหมู่บ้านมีดวงแก้วสีเทาสูงเท่าๆ คนหนึ่งคนลอยอยู่กลางอากาศ มันค่อยๆ สูดเอาพลังงานฟ้าดินเข้าและปล่อยออกอย่างช้าๆ เป็นจังหวะ มันคือกระแสพลังปราณที่เจ้าสำนักเจ็ดดาราปรารถอยากครอบครองมาตลอด! ข้างใต้ดวงแก้วนั้นคือฐานพลังปราณซึ่งเชื่อมต่อกับดวงแก้ว ทำหน้าที่ควบรวมพลังปราณเพื่อให้วงโคจรหมุนวน คุณภาพของฐานไม่ได้ดีนัก แต่ลวดลายนั้นวิจิตรสวยงามและทำหน้าที่ของมันได้ดีเยี่ยม เจ้าสำนักเจ็ดดาราเองอยากได้สิ่งนี้มาตลอด แต่เขาหาพิมพ์เขียวไม่ได้


ข้างๆ ฐานพลังปราณที่อยู่ใต้ดวงแก้ว มีสิ่งของหล่ายสิ่งที่วางกระจัดกระจายตามจุดต่างๆ เช่น เครื่องมือที่ดูคล้ายฐานพลังปราณซึ่งคุณภาพไม่ค่อยดีนัก แต่กลับมียู่ไม่น้อย หนำซ้ำยังจัดวางได้อย่างชาญฉลาดและสวยงามตามสมควร เมื่อเป็นเช่นนี้ หมู่บ้านตระกูลหวังจึงปกคลุมไปด้วยพลังปราณฟ้าดินที่หนาแน่นผิดธรรมดาซึ่งเกิดจากกระแสพลังปราณจากดวงแก้ว


หากได้บำเพ็ญเซียนในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ผลลัพธ์ที่ได้จะมิเพิ่มเป็นสองเท่าหรือ ก่อนหน้านี้ หมู่บ้านตระกูลหวังก็มีพลังปราณฟ้าดินที่ค่อนข้างหนาแน่นอยู่แล้ว แต่หลังจากมีการจัดการเช่นนี้ มันกลับดียิ่งกว่าสถานที่ตั้งของบางสำนักในพันธมิตรหมื่นเซียนด้วยซ้ำ


นอกจากนี้พวกชาวบ้านยังสร้างสนามอายุวัฒนะและห้องแปรธาตุ อีกทั้งทางตะวันออกของหมู่บ้าน ยังมีบ่อจันทราขนาดใหญ่ซึ่งแต่ละคืนสามารถกักเก็บแสงจันทร์ไว้เป็นจำนวนมากอีกด้วย


หมู่บ้านนี้มีทุกสิ่งไม่ต่างจากสำนักระดับล่างในพันธมิตรหมื่นเซียนมี แน่นอนว่าเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ คุณภาพไม่ดีเท่าของใช้ในสำนักระดับกลางๆ ของพันธมิตรหมื่นเซียน ทว่าสถานที่เล็กๆ แต่มีข้าวของครบครันเช่นนี้ถือว่าหาไม่ได้ง่ายๆ เลย


“ไม่เลวเลยเจ้าว่าไหม”


เจ้าสำนักเจ็ดดาราซ่อนความสนเท่ห์ไว้ในใจและเหยียดยิ้มออกมา “ในฐานะศิษย์จากสำนักชั้นนำอย่างเจ้า ทั้งหมดนี่ก็แค่ใช้เงินไม่กี่ศิลาวิญญาณเท่านั้น”


หวังลู่พูดขัด “วัตถุดิบทุกอย่างข้าได้มาจากแท่นบูชา ส่วนที่เหลือได้มาจากหมู่บ้านตระกูลหวัง ชาวบ้านลงแรงช่วยกันก่อสร้างสิ่งต่างๆ ข้าก็แค่ดูแลรับผิดชอบเรื่องการออกแบบ”


“อาศัยแรงงานของพวกโง่เง่าเหล่านี้หรือ”


เจ้าสำนักเจ็ดดาราถามด้วยน้ำเสียงยากจะเชื่อ แม้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการบำเพ็ญเซียนซึ่งสร้างขึ้นในหมู่บ้านจะไม่ใช่ของมีคุณภาพสูง แต่อย่างไรเสียก็เป็นข้าวของแห่งโลกเซียน การสร้างของแต่ละชิ้นต้องอาศัยการควบคุมพลังปราณฟ้าดินอย่างเข้มงวด ซึ่งไม่อาจทำสำเร็จได้ด้วยฝีมือของปุถุชนธรรมดา


หวังลู่ยิ้ม “แม้คนพวกนี้ส่วนใหญ่จะไร้ปัญญา แต่หลังจากฝึกฝนนานหลายเดือน อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถดึงพลังปราณเข้าร่างได้ ส่วนพวกที่ฉลาดเฉลียวกว่าก็เกือบจะทะลุถึงขั้นฝึกปราณระดับแปด ดังนั้นการทำงานใช้กำลังเช่นนี้ย่อมไม่เกินความสามารถ”


“หา?”


เจ้าสำนักเจ็ดดาราตกตะลึงอีกครั้ง ไปถึงขั้นฝึกปราณได้ในเวลาไม่กี่เดือน… นี่เทียบเท่ากับความเร็วในการบำเพ็ญเซียนของผู้บำเพ็ญเซียนที่ครอบครองรากวิญญาณตามธรรมชาติเชียวนะ แล้วยิ่งพวกที่สามารถทะลุไปถึงขั้นฝึกปราณระดับแปดได้… พวกเขาทำได้รวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร!?


ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งเจ้าสำนักเจ็ดดาราก็เหยียดยิ้มออกมา “เจ้าใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาสินะ”


หวังลู่ไม่ปฏิเสธ ขณะเดินนำชมหมู่บ้าน เขาก็พูดออกมา “ใช่แล้ว ข้าใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา หากไม่มีสิ่งนี้และให้กินแต่โอสถหกประสานเพียงอย่างเดียว ต่อให้บำเพ็ญเซียนไปสามปีห้าปี พวกเขาก็ยังไม่อาจไปถึงขั้นฝึกปราณได้… ทว่าเจ้าช่วยใช้สมองก่อนจะพูดออกมาได้ไหม เจ้าว่าพวกไม่ได้เรื่องพวกนี้จะสามารถพัฒนาได้โดยอาศัยวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาอย่างเดียวหรือ หากวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาดีจริง เช่นนั้นสำนักพันวิญญาณคงได้ครองทั้งแคว้นธาราครามไปแล้ว”


ขณะพูดประโยคสุดท้าย หวังลู่ก็หันหลังกลับพร้อมเหยียดยิ้ม “หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าก็เคยฝึกวิชาโลหิตเพลิงโหมนภานี่ เจ้าไม่รู้ถึงผลของมันหรอกหรือ”


………………………………….


ตอนที่ 27 ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน ไปคิดทบทวนมาดีๆ

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ครั้งหนึ่งเจ้าสำนักเจ็ดดาราเคยฝึกวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาจริงๆ


เมื่อไม่กี่ปีก่อน เขามีโอกาสได้ฝึกวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาจากพ่อค้าคนหนึ่ง สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ที่ติดอยู่ที่ระดับเก้ามาหลายสิบปีแล้ว โอกาสนี้เป็นดังสวรรค์ประทานอย่างไม่ต้องสงสัย


หากแก่นบำเพ็ญเซียนไม่สมบูรณ์ ตามทฤษฎีแล้วตบะขั้นสูงที่สุดที่เจ้าสำนักเจ็ดดาราจะฝึกถึงได้คือขั้นสร้างฐานช่วงปลาย ทว่าครั้งหนึ่งเขาได้กินผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงเข้าโดยบังเอิญ ทำให้พลังอิทธิฤทธิ์เพิ่มขึ้นมหาศาลในชั่วพริบตา จึงสามารถทะลุถึงขั้นพิสุทธิ์ได้ด้วย ทว่าเส้นทางแห่งเซียนในเบื้องหน้านั้นช่างมืดมิดนัก


ด้วยสติปัญญาและไหวพริบที่เจ้าสำนักมี เป็นเรื่องยากยิ่งที่เขาจะเดินหน้าต่อได้ ไม่ต่างจากคนตาบอดที่คลำสำรวจตัวช้าง นี่ถ้าหากเขาได้กินผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงอีกครั้งล่ะก็… โชคร้ายที่ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นหาได้ยากยิ่ง การได้ลิ้มรสของมันครั้งหนึ่งเมื่อในอดีตก็เหมือนเขาได้ใช้โชคทั้งหมดที่สะสมไว้หลายชาติหมดไปแล้ว…


ดังนั้นจึงมีเพียงวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเท่านั้นจึงจะช่วยได้ วิชาที่เปลี่ยนอายุขัยเป็นพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาลจะช่วยให้เขามีโอกาสฝ่าทะลวงขั้นตบะได้


ทว่าพอเจ้าสำนักเจ็ดดาราสังเวยช่วงชีวิตสิบปีของเขาไปแล้ว แม้จะได้พลังอิทธิฤทธิ์กลับมามหาศาล แต่ก็ยังห่างไกลจากการฝ่าทะลวงขั้นตบะมาก อาศัยการสะสมพลังอิทธิฤทธิ์เพียงอย่างเดียวในการขยับขั้นตบะ หากมองทั้งแง่ศาสตร์และศิลป์แล้ว ความยากของมันนั้นเกินกว่าที่เจ้าสำนักเจ็ดดาราจะจินตนาการได้ หากต้องการฝ่าทะลวงขั้นตบะโดยการใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา ไม่แน่ว่าเขาอาจต้องสังเวยอายุตัวเองนับร้อยๆ ปี! ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้มเอาเสียเลย…


“วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาไม่ได้สร้างมาเพื่อให้พวกคนโง่สันหลังยาวใช้เป็นทางลัด ผู้บำเพ็ญเซียนชั่วร้ายที่คิดค้นวิชานี้ขึ้นมาใช้วิชานี้เป็นตัวเลือกสุดท้ายหลังจากได้ลองทุกทางแล้ว ความจริงหลายคนเข้าใจวิธีใช้งานของวิชานี้ผิด พวกเขามองเพียงว่าวิชานี้ใช้อย่างไร นั่นคืออายุขัยแลกการบำเพ็ญเซียน แต่พวกเขาละเลยแก่นที่แท้จริงของวิชานี้”


“แก่นที่แท้จริง?”


“หากดูที่ชื่อเจ้าก็คงรู้ได้ สิ่งที่วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาผลาญจริงๆ ก็คือเลือดไม่ใช่อายุขัย หึ เจ้าคงอยากจะถามว่ามันต่างกันอย่างไร ง่ายมาก ตอนที่เจ้าคำนวณอายุขัยกับพลังอิทธิฤทธิ์ สิ่งที่เผาผลาญไปก็คืออายุของเจ้า แต่หากเจ้าเพิกเฉยเรื่องอายุขัยและจดจ่อไปที่เส้นทางแห่งเซียนเพื่อจะก้าวไปข้างหน้า สิ่งที่เจ้าเผาผลาญก็คือเลือด เลือดร้อนๆ หากมองในอีกมุมหนึ่ง วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาต้องการผู้บำเพ็ญเซียนที่ลุ่มหลงในเส้นทางแห่งเซียน เมื่อมองจากจุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ติดตามของสำนักพันวิญญาณในประเทศจันทราขาวที่เชื่อว่าพวกเขาสามารถใช้ขั้นตบะที่สูงกว่ากดหัวคนอื่นได้ หรือแม้แต้เจ้า ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ ก็ยังถือว่าห่างไกลอยู่มาก”


เรื่องประวัติและคุณสมบัติเฉพาะของวิชาโลหิตเพลิงโหมนภานั้น ความรู้ของเจ้าสำนักยังห่างชั้นกว่าหวังลู่นัก ดังนั้นเขาจึงฟังเงียบๆ พลางขบคิดถึงเหตุผลที่หวังลู่เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง


“เพราะข้าคิดว่าเจ้าควรรู้ถึงปัญหานี้ และในเมื่อข้ารู้ถึงธรรมชาติของวิชาโลหิตเพลิงโหมนภา แล้วข้าจะใช้วิชานี้ผิดๆ เหมือนสำนักพันวิญญาณได้อย่างไร”


ขณะพูด หวังลู่ก็เดินมาถึงโรงเรียนหมู่บ้านตระกูลหวัง พวกเขาได้ยินเสียงขึ้นๆ ลงๆ ของตาแก่เหออวิ๋นดังออกมาจากภายใน ตาแก่ลามกกำลังอธิบายวิธีบำเพ็ญเซียนและทักษะพื้นฐานง่ายๆ บางเรื่อง ถึงอย่างนั้นคำอธิบายของเหออวิ๋นก็มีหลักการ หนำซ้ำข้อมูลยังถูกต้อง แสดงให้เห็นถึงความรู้พื้นฐานที่ลุ่มลึก


เจ้าสำนักเจ็ดดาราตระหนักได้ในทันทีว่าตาแก่ผู้นี้เพียงแค่อ่านจากตำราเอา ส่วนผู้ที่ตระเตรียมเนื้อหาในการสอนแน่นอนว่าต้องเป็นเด็กหนุ่มเจ้าสำนักภูมิปัญญาที่บำเพ็ญเซียนมาเพียงสามปีซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้… ทว่าให้เขามาเห็นสิ่งนี้แล้วจะได้ประโยชน์อะไร


“นี่ เจ้าเข้าไปดูให้เห็นกับตาตัวเองสิ” พูดจบหวังลู่ก็เปิดประตูโรงเรียน ภายในมีเหล่าชาวบ้านนั่งนิ่งฟังคำสอนของตาแก่ลามกราวกับเป็นรูปแกะสลัก


เจ้าสำนักเจ็ดดาราตะลึง แต่สิ่งที่ชวนตะลึงยิ่งกว่าคือสิ่งที่ได้เห็นต่อจากนั้น


ในตาของเหล่าชาวบ้านเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้ ซึ่งเข้ากันกับท่านั่งนิ่งราวกับหินของพวกเขาราวกับลาวาที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ภายใต้ผืนโลก… เป็นสายตาที่ปรารถนาและโหยหาเส้นทางแห่งเซียน!


หลังจากที่เขาให้เจ้าสำนักสำรวจภายในโรงเรียนอยู่พักใหญ่ หวังลู่ก็เดินออกมา ฉีกยิ้มและถามขึ้น “เจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง”


เจ้าสำนักเจ็ดดาราถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำ “ทำไมกัน”


เหตุใดกลุ่มชาวบ้านที่ไม่อาจเอื้อมในเส้นทางแห่งเซียนจึงมีความหลงไหลในโลกแห่งเซียนอย่างรุนแรงเช่นนี้ สิ่งนี้นั้น…เขาไม่อาจเข้าใจได้แม้แต่น้อย


“เพราะอุดมการณ์”


หวังลู่กล่าว ทว่าเขาไม่ได้รีบร้อนอธิบายว่าอุดมการณ์ของชาวบ้านเหล่านั้นคืออะไร แต่กลับถามกลับ “เจ้าล่ะมีอุดมการณ์ไหม”


เจ้าสำนักเจ็ดดาราผงะ เขาไม่คาดคิดว่าหวังลู่จะถามคำถามเช่นนั้น จึงไม่รู้ว่าจะตอบให้ฟังดูดีที่สุดได้อย่างไร


“เจ้าบำเพ็ญเซียนมานับร้อยปีอีกทั้งยังก่อตั้งสำนักเจ็ดดาราด้วย เจ้าไม่มีเป้าหมายเลยหรือ หากดูตามขั้นตบะของเจ้า เจ้าสามารถเข้าร่วมพันธมิตรหมื่นเซียนได้ด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมัวยึดติดอยู่กับสำนักเจ็ดดาราเล่า เจ้าไม่มีเป้าประสงค์ในใจอยู่เลยหรือไร”


เมื่อได้ฟังคำกล่าวของหวังลู่ ความรู้สึกของเจ้าสำนักเจ็ดดาราก็ผสมปนเปกันอยู่ครู่หนึ่ง แน่นอนว่าหากไม่ใช่เพราะอุดมการณ์ส่วนตัว เขาย่อมหาสำนักใหญ่ๆ เป็นที่คุ้มกะลาหัวแต่แรกแล้ว หลังจากที่เป็นสุนัขรับใช้ในสำนักต่างๆ มาหลายปี แน่ละว่าเขาย่อมได้ประโยชน์ตามสมควร แต่กระนั้น…


หวังลู่ไม่ให้โอกาสเจ้าสำนักดำดิ่งอยู่กับอารมณ์ของตัวเองนานนัก เขายิ้มและพูดต่อ “ข้าว่าเจ้าอาจต้องการอิสระ แทนที่จะเป็นสุนัขรับใช้ในสำนักอื่น เจ้ากลับออกมาและสร้างสำนักขึ้นเอง ด้วยเหตุนี้สำนักเจ็ดดาราจึงกำเนิดขึ้น บอกตามตรงว่าพัฒนาการของเจ้านั้นไม่เลว หากเจ้ามุดหัวอยู่ในสำนักอื่น ด้วยข้อจำกัดที่เจ้ามี แน่นอนว่าขั้นตบะเจ้าย่อมไม่สูงถึงขนาดนี้แน่”


“หึ” เจ้าสำนักเจ็ดดาราหัวเราะเบาๆ ยอมรับในใจว่าคำพูดของอีกฝ่ายนั้นสมเหตุสมผล


“นั่นคือเหตุผลที่ว่าเหตุใดการมีอุดมการณ์จึงเป็นเรื่องดี เมื่อมีอุดมการณ์เจ้าก็จะบำเพ็ญเซียนได้ดี มีพลังขับเคลื่อนด้วยตนเอง แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกคนที่มีสติปัญญาในโลกแห่งเซียน แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่ในความคลุมเครือไปตลอดชีวิต เจ้าว่าจริงไหม ทว่าอุดมการณ์ของเจ้ามันก็เท่านั้น”


ขณะกำลังสนทนากันพวกเขาเดินอยู่บนถนนในหมู่บ้าน มีชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งผ่านไปอย่างรีบร้อน หวังลู่ฉวยแขนอีกฝ่ายไว้และถามตรงไปตรงมา “เจ้าบำเพ็ญเซียนไปเพื่ออะไร”


ครั้งนี้หวังลู่ไม่ได้ปรากฏตัวในร่างของเจ้าสำนัก ชาวบ้านคนนั้นจึงจำเขาไม่ได้ จึงรู้สึกประหลาดใจที่ถูกเรียกตัวไว้ แต่พอเห็นว่าผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังหวังลู่คือเหวินเป่า เขาก็เดาได้ทันทีว่าหวังลู่ต้องเป็นหนึ่งในพวกระดับสูงของสำนักภูมิปัญญาแน่ หลังจากยกมือขึ้นคำนับแล้ว ชาวบ้านคนนั้นก็ตอบกลับอย่างจริงจัง “เพื่อการเคลื่อนสู่สวรรค์ของโลก!”


คำพูดที่ทรงพลังของเขาทำให้คนฟังตื่นตะลึง


หวังลู่ยิ้มพลางตบบ่าอีกฝ่าย “เด็กหนุ่มอนาคตไกล” จากนั้นก็ปล่อยชาวบ้านผู้นั้นไป


เจ้าสำนักเจ็ดดาราหันศีรษะกลับมา แม้เขาจะทึ่งกับคำตอบที่มุ่งมั่นของชาวบ้านคนนั้น แต่เขาก็ยังไม่กระจ่างอยู่เรื่องหนึ่ง “การเคลื่อนสู่สวรรค์ของโลกคืออะไร”


ดังนั้นหวังลู่จึงอธิบายทฤษฎีผู้เบิกทางหนึ่งล้านคนให้เจ้าสำนักฟัง เมื่อได้ฟังคำอธิบาย เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็อึ้งไป “นี่เจ้าคิดทฤษฎีระยำนี่ขึ้นมาได้อย่างไรเนี่ย” จากนั้นก็เหยียดยิ้ม “งั้นที่เจ้าพูดมาทั้งหมดทั้งมวลนี่ อุดมการณ์ที่ว่านี่ก็แค่อุบายล้างสมองปลอมเปลือกอย่างนั้นหรือ”


หวังลู่ยิ้มและถามกลับ “จริงอยู่ที่มันเป็นแค่อุบาย แต่แล้วจะผิดอะไรเล่า หากอาณาจักรเก้าแคว้นจะมีผู้เบิกทางถึงหนึ่งล้านคน มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร การที่ทำให้พวกชาวบ้านสมองขี้เลื่อยทั้งหลายมีอุดมการณ์ที่พวกเขาจะดิ้นรนเพื่อทำให้สำเร็จ นี่สิจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”


“ช่างเป็นคำพูดที่สวยหรูยิ่งนัก! เจ้าใช้เรื่องโกหกปลุกปั่นให้ชาวบ้านไร้การศึกษารู้สึกฮึกเหิม จากนั้นก็ใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเผาผลาญความลุ่มหลงนี้ จากนั้น…


เมื่อพูดถึงตรงนี้ เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็นิ่งอึ้งไป


หวังลู่ต่อคำพูดของเจ้าสำรักด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “จากนั้นข้าก็ลงทุนลงแรงกับชาวบ้านไร้การศึกษาพวกนี้ ภายในสามเดือนต่อมาหมู่บ้านตระกูลหวังจึงพัฒนามาถึงจุดนี้ได้ ตั้งแต่แรกนั้น ข้าลงทุนลงแรงไปไม่น้อย จนถึงตอนนี้ ข้ายังขาดทุนศิลาวิญญาณไปตั้งหลายก้อน… เช่นนั้นเจ้าจะกล่าวหาข้าว่าอย่างไร เสียสละเกินไปอย่างนั้นหรือ”


เจ้าสำนักเจ็ดดารานิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากถาม “ทำไม”


หวังลู่ถามกลับ “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”


“…ชาวบ้านพวกเขาต้องเกลียดเจ้าแน่ถ้าได้รู้ความจริง”


หวังลู่ระเบิดหัวเราะ “น่าขำสิ้นดี เจ้าเองเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ เจ้าย่อมไม่ควรโง่เขลาเรื่องการบำเพ็ญเซียน จริงไหม วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเผาผลาญอายุขัย แล้วคนที่บำเพ็ญเซียนจะไม่รู้ได้อย่างไร หากต้องการ เจ้าจะไปถามชาวบ้านว่าพวกเขารู้ความจริงข้อนี้หรือเปล่าก็ย่อมได้!


“เพื่ออุดมการณ์ลวงโลก พวกเขาถึงกับยอมสละอายุขัยตัวเองเชียวหรือ”


“ฮ่าๆๆ แม้อุดมการณ์ไม่อาจทำให้เป็นจริง แต่การเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้านตระกูลหวังเป็นเรื่องจริง และการบรรลุขั้นเซียนของพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องโกหก แน่ละว่านี่เป็นเพียงก้าวเล็กๆ ในเส้นทางแห่งเซียน ทว่าความจริงที่ว่าพวกเขาได้ก้าวย่างลงบนเส้นทางแห่งเซียนแล้วจริงๆ ก็เพียงพอให้เหล่าคนที่โง่เขลาพวกนี้ตื่นเต้นแล้ว”


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หวังลู่ก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง “พูดถึงเรื่องนี้ ข้าอยากจะเล่าเรื่องน่าสนใจให้เจ้าฟังสักหน่อย เมื่อสองสามวันก่อน มีกลุ่มโจรภูเขาปรากฏตัวแถวๆ หมู่บ้านตระกูลหวังเพื่อขโมยของ ผลก็คือชาวบ้านตบะขั้นฝึกปราณสามคนที่มีเพียงเคียวกับไม้สามารถจัดการโจรนับสิบคนได้ พวกนั้นทำอะไรไม่ได้นอกจากวิ่งหนีหางจุกตูด… ถือเป็นฉากดีงามไม่น้อยเลย”


พูดจบหวังลู่ก็หันกลับมา “ตอนนี้เจ้าก็คงเข้าใจสภาพของสำนักภูมิปัญญาได้คร่าวๆ แล้ว คิดจะเปลี่ยนใจหรือยังเล่า”


เจ้าสำนักเจ็ดดารากล่าวอย่างขมขื่น “เจ้า…อยากให้ข้าเข้าสำนักภูมิปัญญาจริงหรือ”


หวังลู่ตอบ “ถูกต้อง ครั้งนี้ถือเป็นการชักชวนอย่างเป็นทางการ แม้สำนักนี้จะตั้งมาไม่นาน แต่ใครก็ตามที่มีตา ย่อมเห็นโอกาสที่สำนักภูมิปัญญาจะพัฒนาได้อย่างอน่นอน”


เจ้าสำนักเจ็ดดาราถามกลับ “เหตุใดจึงเป็นข้า จากปูมหลังของเจ้า เจ้าย่อมหาผู้ติดตามที่ยอดเยี่ยมได้เป็นจำนวนมาก แม้แต่คนในพันธมิตรหมื่นเซียน…”


หวังลู่ขัดขึ้น “ข้าไม่สนพวกผู้บำเพ็ญเซียนจากพันธมิตรหมื่นเซียน ตอนนี้สำนักภูมิปัญญาไม่ต้องการพวกมีพรสวรรค์ระดับสูงที่เย่อหยิ่งเอาแต่ใจ แต่เป็นพวกที่ตามองต่ำเท้าติดดินและมาจากชั้นรากหญ้าอย่างสำนักเจ็ดดาราของเจ้า และท่ามกลางพวกหัวกะทิในชั้นรากหญ้า เจ้าถือว่าหาได้ยากยิ่ง แม้ปัญญาและการหยั่งรู้ของเจ้าจะธรรมดา แต่หากสามารถฝึกไปถึงขั้นพิสุทธิ์และก่อตั้งสำนักเจ็ดดาราเองได้… เจ้าย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน”


เมื่อถูกวิจารณ์จากผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มขั้นฝึกปราณราวกับว่าอีกฝ่ายมีประสบการณ์มากกว่า เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี


“เป็นไปไม่ได้ที่จะพัฒนาสำนักโดยอาศัยเพียงแค่กำลังคนอย่างเดียว การใช้เงินหมื่นเหรียญ ไม่สิ แสนเหรียญศิลาวิญญาณจ้างกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนที่โง่เขลาแล้วเปลี่ยนพวกเขาให้เชื่อฟังฟังดูสวยงามก็จริง แต่หากสำนักผลาญศิลาวิญญาณไปเกือบหมดสิ้น เช่นนั้นสำนักก็จะอันตรธานไปราวกับหมอกควัน ในทางตรงข้าม สำนักเจ็ดดาราที่เต็มไปด้วยหมาจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ ผู้เชี่ยวชาญในการแหวกว่ายโคลนตมในโลกแห่งเซียน ย่อมคู่ควรกับสำนักภูมิปัญญาในยุคแรกๆ นี้มากกว่า ในความคิดเห็นของเจ้า เจ้าอยากจะติดแหงกอยู่บนยอดเขาแร้นแค้นที่เจ้าเรียกว่าฐานที่มั่นหลัก หรือจะมาฝึกบำเพ็ญเซียนที่นี่ ข้าเชื่อว่าคงตัดสินใจไม่ยากหรอกมั้ง”


เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของหวังลู่ก็เยือกเย็นขึ้น “ไม่แน่ว่าในฐานะเจ้าสำนัก เจ้าอาจลำบากใจที่ต้องเลือกเป็นหัวไก่หรือเป็นหางของนกเพลิง แต่สำหรับคนอื่นๆ ของสำนักเจ็ดดารา เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย หนำซ้ำเจ้าเองก็เป็นเจ้าสำนักมานานพอแล้ว ลองถามตัวเองสิว่า ความใฝ่ฝันที่เจ้าเรียกมันว่าอิสระนั้นเจ้าคว้ามันมาได้จริงๆ แล้วหรือยัง”


เจ้าสำนักเจ็ดดารานิ่งเงียบอยู่นาน


“ขอเวลาข้าวันนึง”


“ย่อมได้ ข้าให้เวลาเจ้าไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน เพราะฉะนั้นตอนนี้ให้คำตอบข้าได้แล้ว”


“…”


…………………………………


ตอนที่ 28 ทูตเจรจาเหวินเป่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


หวังลู่ไม่ให้เวลาอีกฝ่ายได้คิด


จริงอยู่ที่เจ้าสำนักเจ็ดดาราเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่ท้ายที่สุดเขาก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนที่ตรมเศร้าในโลกแห่งเซียน ไม่คู่ควรให้หวังลู่เอ่ยปากถามซ้ำสอง


ดังนั้นเจ้าสำนักเจ็ดดาราจึงเลือกเส้นทางเดียวที่เปิดกว้างให้เขาอย่างสิ้นหวัง นั่นคือยอมตกลง จากนั้นเขาก็ให้คำสาบานกับปีศาจในใจ และนับแต่นี้ต่อไปก็จะทำงานเป็นผู้ติดตามใต้อาณัติของหวังลู่ด้วยความสมัครใจ


ตั้งแต่นั้น ตำแหน่งของเย่ชูเฉิน เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็เปลี่ยนเป็นรองหัวหน้าศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา


เมื่อถูกถอดจากตำแหน่งเจ้าสำนัก เย่ชูเฉินจึงเป็นเพียงชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบถึงห้าสิบปี พอถูกแต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้าศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา เย่ชูเฉินก็ได้แต่แค่นยิ้ม รู้ตัวว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่นใด


ภารกิจแรกที่หวังลู่มอบให้เย่ชูเฉินคือให้เขาเอาชนะผู้ใต้บังคับบัญชาเดิม เย่ชูเฉินหันหลังเดินจากไปด้วยรอยยิ้มบูดเบี้ยว เขาคิดถึงพลังวิญญาณขั้นปฐมของตนที่ถูกผูกติดไว้กับคำสาบานกับปีศาจ แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะพูดอย่างไรเมื่อได้พบกับอดีตผู้ใต้บังคับบัญชา


หวังลู่มองเย่ชูเฉินที่เหาะจากไปในอากาศ จากนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่พักใหญ่แล้วก็ถอนหายใจออกมา “การทำตัวเย็นชานี่ใช้ความพยายามไม่น้อยเลย”


“ฮ่า ใครบังคับให้เจ้าเสแสร้งกันเล่า”


เสียงของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ดังมาจากด้านหลังโดยที่หวังลู่ไม่ทันได้รู้ตัว


สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนที่สามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงของพลังปราณฟ้าดินได้ หญิงสาวผู้นี้ถือว่าไวเหมือนปรอท และเพราะคุณสมบัติข้อนี้เองที่ทำให้นางลอบจู่โจมเย่ชูเฉิน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ผู้ทรงเกียรติได้ง่ายๆ


“ตายละ ได้เห็นเจ้าทำหน้านิ่งเหมือนมังกรทะนงที่บินเอื่อยไปบนฟากฟ้าอย่างไร้อารมณ์เช่นนี้ ข้าไม่สบายใจเลยจริงๆ”


หวังลู่หัวเราะ “ข้าเองก็ไม่สบายใจ เหมือนเพิ่งรู้ว่าตัวเองตั้งท้องก็ไม่ปาน… ทว่านี่คือการฝึกฝนของผู้เป็นนักแสดง หากข้าอยากให้คนอย่างเย่ชูเฉินยินยอมอย่างสมัครใจ ทักษะการแสดงของข้าก็ควรจะต้องเยี่ยมยุทธ์”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ส่งเสียงฮึ “แค่อัดให้น่วมก็พอแล้ว”


ทว่าหญิงสาวก็ไม่ได้เป็นจริงเป็นจังกับคำพูดนั้นนัก หลังจากเงียบกันไปพักใหญ่ นางก็มองไปยังควันซึ่งลอยออกมาจากหมู่บ้านตระกูลหวังจากนั้นก็ถอนหายใจ “ครั้งนี้การเล่นสนุกของเจ้าไม่ใช่เล็กๆ เลย ข้าว่าไม่มีผู้อาวุโสในสำนักคนไหนคาดคิดว่าเจ้าจะเรียนรู้หาประสบการณ์ด้วยวิธีเช่นนี้แน่”


หวังลู่พูดหยัน “นี่ละคือช่องว่างระหว่างนักผจญภัยมืออาชีพกับปุถุชนธรรมดา โอกาสจะลงจากเขานั้นถือว่าหาได้ยาก จะให้วิ่งพล่านไปทั่วเหมือนไก่ไร้หัว รอคอยสิ่งที่เรียกว่าโอกาสมาปรากฏตรงหน้า และบรรลุสิ่งที่เรียกว่าการเติบโตจากความล้มเหลวและผิดพลาดซ้ำๆ เช่นนั้น ท่านไม่คิดว่ามันงี่เง่าบ้างหรือ”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์หมุนตัวกลับมาและเหลือบตามองหวังลู่ ใบหน้าของเด็กหนุ่มอาบด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน แต่ก็ไม่สื่อถึงความรำคาญแต่อย่างใด


ตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน หวังลู่เป็นคนที่มีความมั่นใจและหลงตัวเอง บางคนอาจคิดว่าคนผู้นี้นั้นหยิ่งผยองและเหลืออด แต่เสี่ยวหลิงเอ๋อร์กลับคิดว่าเขาน่าสนใจไม่น้อย


ตราบใดที่นางอยู่ใกล้ๆ หวังลู่ นางย่อมได้ประสบกับเรื่องสนุกๆ ที่ไม่คาดฝันมากมาย เหมือนเรื่องเงินสิบล้านตำลึงเงินบ้าบอนั่นเมื่อตอนพบกันครั้งแรกที่เมืองธาราวิญญาณ หรือการกระทำที่ไม่คาดฝันของเขาตอนงานชุมนุมคัดเลือกเซียน การเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ในขณะที่ศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักกระบี่วิญญาณตั้งอกตั้งใจมองหาโอกาสตามสถานที่ที่ผู้อาวุโสกำหนดไว้ให้ในแผนที่ แต่หวังลู่กลับพยายามทำเคลื่อนโลกขึ้นสู่สวรรค์…ช่างน่าขันเกินไปแล้ว!


เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามสิ่งที่อยู่ในใจของนางมาเนิ่นนาน


“นี่ หวังลู่ ข้าถามอะไรเจ้าหน่อยสิ”


“ว่ามาเลย พี่หญิงหลิง”


“เจ้าจริงจังกับสำนักภูมิปัญญานี่จริงๆ หรือ”


หวังลู่เบ้ปาก “ข้าลงเงินไปตั้งแสนศิลาวิญญาณ ท่านคิดว่าข้าไม่จริงจังหรือ”


“…งั้นเจ้าก็ควรคิดด้วยว่า นี่ไม่ใช่การละเล่นที่เจ้าควรจะหมกมุ่นจนเกินไป เพราะภารกิจเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของสำนักกินเวลาแค่ปีเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเป็นเจ้าสำนักภูมิปัญญาไปตลอดกาล นอกจากว่าเจ้า…”


หวังลู่ขัดขึ้น “คุณสมบัติพื้นฐานข้อหนึ่งของนักผจญภัยมืออาชีพก็คือ ไม่จำเป็นต้องโดนไฟฟ้าดูดเพื่อให้เลิกหมกมุ่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ข้าลงจากเขามาเพื่อเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ ไม่ใช่เพื่อละทิ้งหน้าที่หลัก ท้ายที่สุดสิ่งที่ข้าสนใจก็คือโลกแห่งเซียน ไม่ใช่การเก็บภาษีสติปัญญาจากพวกไม่รู้ความเหล่านี้”


“จริงหรือ” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แม้คำพูดของหวังลู่จะฟังดูดี แต่หลายเดือนมานี้ หวังลู่อุทิศตนให้สำนักภูมิปัญญาอย่างมาก จนไม่น่าจะปล่อยมือไปได้ง่ายๆ ทว่าในเมื่อเขาพูดเช่นนั้น…


“ข้าได้บอกท่านหรือเปล่าว่า เมื่อเร็วๆ นี้มีสัญญาณว่าจิตไร้ลักษณ์ของข้าจะบรรลุขึ้นไปอีกขั้น ไม่แน่ว่าภายในสองเดือน ข้าอาจจะสำเร็จไปถึงขั้นฝึกปราณระดับกลางก็เป็นได้”


“อะไรกัน! ทำไมเจ้าถึงจะบรรลุไปถึงขั้นฝึกปราณระดับกลางเร็วนัก” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์มองหวังลู่อย่างประหลาดใจ “ไม่เห็นจะสัมพันธ์กับผู้บำเพ็ญเซียนขี้แพ้อย่างเจ้าเลย”


“ไม่เอาน่า อย่าดูถูกรากวิญญาณนภาของข้าเชียวนะ… เมื่อเทียบกับรากวิญญาณนภาของท่านบรรพบุรุษเต๋อเซิ่ง พัฒนาการข้าถือว่าช้าจนอยากจะร่ำไห้ ท่านบรรพบุรุษเต๋อเซิ่งใช้เวลายี่สิบปีจึงได้เป็นเซียนที่แท้จริง แถมตบะขั้นฝึกปราณทั้งขั้นเขาใช้เวลาบรรลุมันไม่ถึงหนึ่งปี ส่วนข้าต้องใช้เวลาถึงสามปีกว่าจะมาถึงขั้นฝึกปราณระดับกลาง ไม่ต่างจากเต่าคลานเลยจริงๆ หนำซ้ำนี่เป็นผลมาจากการถูกกระตุ้นซ้ำๆ ด้วยซ้ำไป ตอนแรกก็เมื่อคราวที่ข้าสร้างกระแสพลังปราณ ต่อมาก็ตอนที่ข้าฝืนตัวเองเพื่อสู้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ข้าจะบรรลุไปได้ อีกขั้น อย่างไรเสียนี่ก็ถือเป็นผลสำเร็จข้อหนึ่งที่จะใช้รายงานได้ตอนกลับขึ้นเขาไปแล้ว”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์กลอกตา นางจับใจความสำคัญในประโยคของหวังลู่ได้ “เจ้าจะไม่รายงานเรื่องสำนักภูมิปัญญาหน่อยหรือ”


“เหลวไหล ข้าจะพูดได้อย่างไร หากตาแก่ฟางรู้เรื่องเข้าละก็ ข้าต้องโดนสายฟ้าจากสวรรค์ฟาดลงมาจนเหลือเพียงขี้เถ้าแน่ๆ แต่เอาเถอะ ในเมื่อข้ามีพี่หญิงหลิงอยู่ด้วย ข้าก็ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องนั้นให้มากนักหรอก ฮ่า!”


“เวรเถอะ! อย่าคิดเอาข้าเป็นโล่มนุษย์หน่อยเลย ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเขาถือว่าไม่เลว หากเขามาถึงนี่จริงๆ สิ่งแรกที่ข้าจะทำคือลากตัวเจ้าไปหาเขาเนี่ยแหละ! เฮ้อ ดีแล้วล่ะที่เจ้าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ หากเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป ทั้งสำนักต้องถูกดึงมาพัวพันเพราะเจ้าแน่ๆ แม้ทฤษฎีของเจ้าจะสั่นคลอนจิตใจคนได้ แต่แค่การใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเพียงอย่างเดียว พันธมิตรหมื่นเซียนก็ย่อมไม่ปล่อยเจ้าแน่”


หวังลู่ยิ้มไม่พูดอะไร


ถูกต้องแล้ว วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาถือเป็นจุดอ่อนของสำนักภูมิปัญญา แม้เขาจะลวงเย่ชูเฉินได้ด้วยการใช้คำพูดสละสลวยอย่าง “เลือดร้อน” และ “กระตือรือร้น” แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ใช่วิชาที่ซื่อตรง แม้จะมีความกระตือรือร้นมากเท่าไร แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้ผลลัพธ์ในเชิงบวกจำนวนมากหากอาศัยเพียงรากวิญญาณหกประสานอย่างเดียว ที่สุดแล้วสำนักภูมิปัญญาก็อยู่ในขั้นต้นของการก่อตั้ง ไม่แน่ว่าเส้นทางแห่งเซียนอาจมีปาฏิหาริย์ก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีไว้เพื่อปุถุชนธรรมดาอยู่ดี


ทว่าแล้วอย่างไรเล่า แม้แต่คนมีไหวพริบอย่างเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ยังไม่ตระหนักถึงเนื้อแท้ของพันธมิตรหมื่นเซียนผู้ทรงอำนาจเลย


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หวังลู่ก็ส่ายหัว เส้นความคิดในสมองเขาดูเหมือนจะไถลออกนอกรางไปไกล อย่างไรเสียเรื่องของสำนักภูมิปัญญาก็ยังไปไม่ถึงหูของพันธมิตรหมื่นเซียน ในอนาคตเมื่อสำนักเติบโตได้มากพอ ถึงเวลานั้นเขาค่อยคิดแก้ปัญหาเรื่องพันธมิตรหมื่นเซียนก็ย่อมได้


——


การถอนตัวของเย่ชูเฉินถือเป็นจุดสิ้นสุดของสำนักเจ็ดดารา ทำให้สำนักต้องสลายไปโดยปริยาย ผู้อาวุโสมากกว่าสิบคนที่ติดตามเขามาตอนที่จะมาปะทะกับสำนักภูมิปัญญาได้รับการอภัยจากหวังลู่ คนทั้งหมดเปลี่ยนใจและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสำนักภูมิปัญญา


นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของสำนักภูมิปัญญาเท่านั้น ท่ามกลางผู้มีพรสวรรค์มากมายและหวังลู่ก็นั่งเป็นประธานเจ้าสำนัก ย่อมไม่มีสิ่งใดผิดพลาดแน่นอน ตอนที่ผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดาราเข้าร่วมสำนักภูมิปัญญา พวกเขาไม่ได้ถูกแยกออกจากกัน แต่ถูกจับให้ทำงานร่วมกันในหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาใหม่ที่ชื่อว่า หน่วยเจ็ดดารา ซึ่งเย่ชูเฉินเป็นคนดูแลจัดการ


ส่วนเนื้องานนั้น ไม่ได้เป็นการปล้นชิงหรือกรรโชกกทรัพย์ แต่เป็นการส่งต่อมรดกของสำนักเจ็ดดาราให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


ก่อนที่เจ้าสำนักเย่ชูเฉินจะยอมจำนน ในบรรดาสำนักต่างๆ ในประเทศต้าหมิง อิทธิพลของสำนักเจ็ดดาราถือว่ายิ่งใหญ่ไม่น้อย นอกเหนือจากฐานที่มั่นหลักในจังหวัดตงเต้า พวกเขายังมีขุมกำลังกระจายอยู่ในจังหวัดใหญ่ๆ ของประเทศต้าหมิงอีกด้วย


ผ่านไปหนึ่งเดือน ขุมกำลังเกือบทั้งหมดก็ตกอยู่ในมือของสำนักภูมิปัญญา และเมื่อใช้สถานที่เหล่านี้เป็นฐานกำลัง อิทธิพลของสำนักภูมิปัญญาก็แผ่ขยายไปทั่วทุกทิศทาง หนึ่งเดือนถัดมา ผู้ติดตามของสำนักภูมิปัญญาก็เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นแสนคน ในขณะเดียวกัน ที่ฐานที่มั่นเดิมของสำนักเจ็ดดาราในอำเภออู่โถว หวังลู่ก็ลงไปทำภารกิจหนึ่งด้วยตัวเอง เขาใช้แท่นบูชาเดิมของเย่ชูเฉินเป็นฐานและสร้างแท่นบูชาใหม่ ซึ่งคือแท่นบูชาวายุพิโรธชนิดเคลื่อนย้ายได้ขึ้นมา แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแท่นบูชาระดับแปด แต่ก็เป็นประเภทที่เคลื่อนย้ายได้จริง ซึ่งถือว่าเยี่ยมที่สุดในหมู่แท่นบูชาระดับแปดด้วยกัน เมื่อแท่นบูชานี้สร้างสำเร็จ สมาชิกดั้งเดิมของสำนักเจ็ดดาราถึงกลับหลั่งน้ำตา ก่อนหน้านี้คนของสำนักเจ็ดดาราไม่กล้าคิดฝันสักนิดว่าจะได้ครอบครองแท่นบูชาประเภทนี้


ผลก็คือ อุปสรรคใหญ่ที่สุดที่อาจส่งผลต่อความไม่มั่นคงของสำนักภูมิปัญญาก็ค่อยๆ ถูกขจัดออกไป แม้สมาชิกดั้งเดิมจะรู้สึกอาลัยสำนักเจ็ดดาราอยู่บ้าง แต่หลายเดือนที่ผ่านมา คนของสำนักภูมิปัญญาก็ไม่ได้กดขี่หรือเอาเปรียบพวกเขา ทั้งยังไม่ทำท่าเย็นชาใส่ หนำซ้ำพวกเขากลับสบายใจที่สำนักภูมิปัญญาเชื่อใจให้พวกเขาทำงานสำคัญมากมาย พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้ผู้คนต่างพากันพูดไม่ออกอย่างแท้จริง


ในขณะเดียวกัน เมื่อมีแท่นบูชาวายุพิโรธชนิดเคลื่อนย้ายได้ในครอบครอง ความเร็วในการพัฒนาสำนักภูมิปัญญาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จากคำพูดของหวังลู่ ตอนนี้สำนักเข้าสู่ยุคกอบโกยเท่าทวี แท่นบูชาทั้งสองแท่นจัดหาทรัพยากรได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแท่นบูชาปฐมกลียุคที่พ่นสิ่งของออกมาในคราวเดียวสอบเอ็ดอย่าง หากหวังลู่เป็นผู้ควบคุม มันมักพ่นวัตถุวิเศษชั้นเลิศออกมาบ่อยครั้ง หากวัดกันตามความร่ำรวยเพียงอย่างเดียว สำนักภูมิปัญญาร่ำรวยยิ่งกว่าสำนักระดับเก้าในพันธมิตรหมื่นเซียนเสียอีก เรียกได้ว่าพรั่งพร้อมสมบูรณ์ แน่ละว่าหากคำนึงถึงจำนวนผู้ติดตามนับแสนคนของสำนักภูมิปัญญาแล้ว คิดตามรายหัวแล้วยังถือว่าแทบไม่ได้อะไร แต่ก็ตามที่หวังลู่พูดไว้ ตอนนี้การเคลื่อนสู่สวรรค์ของโลกยังอยู่ในขั้นแรกเท่านั้น


อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า สำนักภูมิปัญญาจะมีอายุครบหกเดือนนับตั้งแต่ก่อตั้งมา เกินครึ่งของดินแดนในประเทศต้าหมิงต่างได้รับอิทธิพลจากสำนักภูมิปัญญาทั้งนั้น โดยมีจำนวนผู้ติดตามเกือบล้านคน ส่วนผู้ที่ให้ความสนใจต่อสำนักยิ่งมีจำนวนเยอะกว่านั้นมากนัก ถึงกระนั้นการขยายตัวอย่างรวดเร็วก็ไม่ได้ทำให้สำนักเกิดปัญหา การเพิ่มจำนวนของผู้ติดตามนั้นยิ่งทำให้การสั่งสมแหล่งทรัพยากรเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วไปด้วย


เมื่อครั้งที่สำนักเจ็ดดาราครอบครองเมืองหลวงจังหวัด พวกเขาได้ลาภลอยจำนวนมหาศาล ทว่าเงินทองที่ได้มาจากเมืองนั้นมาจากบรรณาการของชาวบ้านทั่วไป ดังนั้นเมื่อขับเคลื่อนด้วยคนนับล้าน ความเร็วในการรวบรวมศิลาวิญญาณก็มากเสียจนอ้าปากค้าง


ไม่แปลกที่คนยุคก่อนกล่าวไว้ใน ‘ตำราภูมิศาสตร์อาณาจักรเก้าแคว้น’ ว่าสายแร่ทรัพยากรของอาณาจักรเก้าแคว้นมีเพียงหนึ่งในสามของทั้งหมด ที่เหลือกระจัดกระจายกันไปตามที่ต่างๆ ในอาณาจักรเก้าแคว้น แต่ก็ยากที่จะเก็บรวบรวม เพราะค่าใช้จ่ายในการทำเหมืองนั้นสูงมาก จึงทำให้ถูกมองข้ามอยู่บ่อยครั้ง ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิศาสตร์เหล่านั้นจะประเมินจำนวนศิลาวิญญาณในอาณาจักรเก้าแคว้นต่ำไปสักหน่อย ในการประชุมครบรอบการก่อตั้งหกเดือนของสำนักภูมิปัญญา เจ้าสำนักหวังลู่เอารายงานสถิติล่าสุดออกมาแสดง จำนวนศิลาวิญญาณที่สำนักภูมิปัญญาเก็บรวบรวมได้ในหนึ่งวันนั้นสูงกว่าห้าพันศิลาวิญญาณเสียอีก…


แม้จะรู้ว่าความเร็วที่บ้าคลั่งนี้มาจากการแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทะนุบำรุงเอาไว้ แต่ตอนที่ได้รับรายงาน หวังลู่ก็ยังคงถอนหายใจ ตอนนี้อิทธิพลส่วนใหญ่ของสำนักภูมิปัญญายังอยู่ในประเทศต้าหมิง แต่ความสามารถในการเก็บรวบรวมศิลาวิญญาณนั้นไม่ต่างไปจากที่คาดไว้ในตอนแรก หากพวกเขายังแผ่ขยายอำนาจได้เช่นนี้ต่อไป ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็น่าจะศิลาวิญญาณเกินกว่าที่ตั้งไว้ เมื่อนั้นหากเขาใช้ประโยชน์สิ่งเหล่านี้อย่างเหมาะสม คุณภาพของสำนักต้องเติบโตอย่างก้าวกระโดดแน่


แน่นอนว่าการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของสำนักภูมิปัญญา ย่อมกระทบกับสำนักอื่นอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาหวังลู่พยายามเลี่ยงพันธมิตรหมื่นเซียนอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันเขาก็ให้เย่ชูเฉิน เซี่ยฉือและผู้อาวุโสคนอื่นๆ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เพื่อให้สำนักไม่ถูกเบื้องบนจับตามองมากนัก ส่วนสำนักอื่นที่ไม่ได้โด่งดังอะไร หากเกลี้ยกล่อมได้ก็จะเกลี้ยกล่อมเข้าสำนัก หากเกลี้ยกล่อมไม่ได้ก็จะทำลายให้สิ้น ในเมื่อสำนักภูมิปัญญามีเย่ชูเฉินที่ทำตัวเป็นอันธพาลขั้นพิสุทธิ์ รวมถึงธิดาเทพที่ล้มอันธพาลขั้นพิสุทธิ์ได้ในหมัดเดียว พวกเขาย่อมไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น


ทว่าการขยับขยายอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่งของสำนักภูมิปัญญาก็ต้องเผชิญกับสภาวะคอขวดเมื่อย่างเข้าเดือนแปดของการก่อตั้งสำนักนั่นเอง


ราชสำนักของต้าหมิงรับรู้ถึงการมีอยู่ของสำนักภูมิปัญญาเข้าแล้ว


เอาเข้าจริงตามความเห็นของสำนักภูมิปัญญา ปฏิกิริยาของประเทศต้าหมิงถือว่าช้ามาก แม้สำนักภูมิปัญญาจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาตลอดแปดเดือน รวมถึงไม่ก่อเหตุวุ่นวายใหญ่โต แต่จะว่าไปเมื่อสำนักภูมิปัญญาเข้ามา การดูแลด้านความปลอดภัยทั่วประเทศต้าหมิงก็พัฒนาขึ้นไม่น้อย


ทว่าเมื่อสำนักสามารถส่งอิทธิพลต่อชาวบ้านนับสิบล้านคนในประเทศต้าหมิง จึงเป็นธรรมดาที่ราชสำนักจะตระหนักถึงเรื่องนี้


เมื่ออีกฝ่ายรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะไม่มีตัวแทนก็ไม่ได้ ดังนั้นหวังลู่จึงส่งคณะทูตไปยังเมืองหลวงของประเทศต้าหมิงเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับผู้ปกครองประเทศ


“เช่นนั้นข้าจะมอบความรับผิดชอบที่หนักอึ้งของการเป็นตัวแทนทูตของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาในประเทศต้าหมิงให้กับเจ้า”


“หวัง… เอ่อไม่สิ ท่านผู้จัดการ งานนี้มันยากเกินไปสำหรับข้า” ทูตจำเป็นเปิดปากประท้วงอย่างสิ้นหวัง


“แน่นอนว่าการย้ายเจ้าที่จากเดิมเป็นหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐานให้มาเป็นทูตเจรจาย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ข้าแน่ใจว่าเจ้าต้องเอาชนะมันได้แน่ เอาล่ะ พอที หมดเวลาพูดจาเรื่อยเปื่อยแล้ว เด็กหนุ่มผู้กล้า จงออกไปสร้างปาฏิหาริย์เถิด”


จากนั้นท่านผู้จัดการก็เตะทูตเจรจาหน้าใหม่ให้ออกไปเผชิญกับการเดินทางที่ยาวนาน


เหวินเป่าที่ต้องออกเดินทางไกล อดคิดในใจไม่ได้ว่าถูกหลอกเสียแล้ว


………………………………..


ตอนที่ 29 เจ้าพวกรุ่นสองไม่เอาไหน

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ตั้งแต่เมื่อแปดเดือนก่อนที่เหวินเป่าถูกหวังลู่ลวงให้ออกมาจากเมืองธาราวิญญาณ เขาก็ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตัวอย่างเช่น ตอนที่ตั้งสำนักใหม่ๆ แม้แต่ตาแก่ลามกยังได้แต่งตั้งเป็นรองผู้จัดการศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา แต่เขาได้เป็นเพียงคนงานที่น่าสรรเสริญของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา หรือที่รู้จักกันในนาม ชายผู้แข็งแกร่ง ทั้งวันทั้งคืนเขาได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบเรื่องการขุดเหมือง ไม่ก็สร้างอาคารตามที่ต่างๆ ภายหลังจากที่สำนักภูมิปัญญาพัฒนาแล้ว เขาได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน ทว่าหน้าที่ความรับผิดชอบก็ยังเหมือนเดิม คือขุดเหมืองและสร้างอาคาร แต่เป็นขนาดที่ใหญ่กว่า


แน่นอนเหวินเป่ารู้เต็มอกว่าหวังลู่เชื่อใจให้เขาทำงานสำคัญของสำนัก ครึ่งปีกว่ามานี้ สำนักภูมิปัญญาหาเงินมาได้มหาศาล แต่สำนักเองก็จ่ายเงินออกไปราวสายน้ำเช่นกัน นอกจากเพื่อจัดหาโอสถหกประสาน โอสถเพาะรากวิญญาณและอื่นๆแล้ว ที่เหลือก็ลงไปกับสิ่งก่อสร้างพื้นฐานทั้งสิ้น ในตอนนั้น สิ่งของสร้างของสำนักภูมิปัญญาในหมู่บ้านตระกูลหวังยังทำให้อดีตเจ้าสำนักเจ็ดดาราตกตะลึงอีกด้วย


ทว่านับแต่นั้นจำนวนหมู่บ้านที่พัฒนาขึ้นมาเท่าเทียมกับหมู่บ้านตระกูลหวังก็มีเกือบสิบแห่ง แต่ละหมู่บ้านต่างมีพลังปราณฟ้าดินหนาแน่น จึงสมควรที่จะสร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่น เพื่อที่ว่าเหมืองเท่าทวีสองเหมืองของสำนักจะพัฒนาขึ้นเป็นเหมืองจำนวนมาก หวังลู่ไม่ได้ลงมาควบคุมการก่อสร้างหมู่บ้านเหล่านี้ด้วยตัวเอง แต่กลับลงเงินไปกับวัตถุดิบ และระดมพลผู้ติดตามให้ฝึกวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเพื่อแลกเปลี่ยนกับพลังอิทธิฤทธิ์ เมื่อมีแรงงานมากขึ้น การก่อสร้างก็รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว และในฐานะหัวหน้าหน่วยก่อสร้างพื้นฐาน เหวินเป่าถือว่ามีบทบาทสำคัญยิ่ง


หมู่บ้านที่มีแท่นบูชาถือเป็นพื้นที่สำคัญของสำนักภูมิปัญญา นอกเหนือจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ตามแต่สภาพพื้นที่ที่หลากหลาย เช่น ทุ่งโอสถ แปลงนา โรงถลุงแร่ โรงหลอมแร่ เป็นต้น… สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้มีเป็นจำนวนมาก แม้ระดับจะไม่ได้สูงมากมาย แต่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในฐานะหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน เหวินเป่าต้องทำงานหามค่ำหามรุ่งเพื่อโครงการเหล่านี้ ครึ่งปีให้หลังความอ้วนของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ


แน่ละว่าไม่ใช่เพราะความเกียจคร้าน แต่เหวินเป่ากำลังจะบรรลุสู่ขั้นฝึกปราณระดับหก เมื่อเทียบกับการมีรากวิญญาณปฐพีในครอบครอง ความก้าวหน้าในระดับนี้ไม่ถือว่าน่าแปลก ทว่าเมื่อพิจารณาจากนโยบายการสอนที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมของสำนักกระบี่วิญญาณ ท่ามกลางศิษย์ที่ยังมีขั้นบำเพ็ญเซียนต่ำ ความเร็วระดับนี้ถือว่าชวนตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก ย้อนกลับไป ศิษย์พี่เยวี่ยอวิ๋น หัวหน้ากลุ่มเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ที่เขาเมฆาครามเล็กในครั้งนั้นใช้เวลาถึงสี่ปีกว่าจะก้าวขึ้นสู่ขั้นฝึกปราณระดับหก


การทำงานหนักตลอดแปดเดือนที่ผ่านมาส่งผลต่อความก้าวหน้านี้ด้วย งานโครงสร้างพื้นฐานของสำนักภูมิปัญญาไม่ได้อาศัยเฉพาะพละกำลังเพียงอย่างเดียว แต่ละงานต้องมีการควบคุมพลังปราณฟ้าดินอย่างละเอียด ตอนแรกเหวินเป่าไม่ถนัดงานนี้นัก แต่ท้ายที่สุดหลังจากขลุกอยู่กับมันมากว่าครึ่งปีจนเหนื่อยเจียนตาย เหวินเป่าก็รู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาเสถียรขึ้นมาก หนำซ้ำเขายังสามารถใช้พลังได้อย่างแม่นยำขึ้นด้วย ดังนั้นตบะเซียนขั้นฝึกปราณของเขาจึงพัฒนาไปอย่างราบรื่น


ความก้าวหน้าในการบำเพ็ญเซียนนี้ทำให้เหวินเป่าตระหนักได้ว่าการที่เขาตัดสินใจตามหวังลู่ลงภูเขามาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ศิษย์พี่ปากร้ายผู้นี้ปฏิบัติต่อเขาอย่างดีมาตลอด แต่ก็นั่นล่ะ…


หากคิดจะหลอกใช้งานเขา ศิษย์พี่ผู้นี้ก็ไม่รู้จักคำว่าปรานี! หวังลู่กล้ามอบหมายงานทูตเจรจาให้กับคนที่ข้นแค้นคลังคำศัพท์ในหัวเช่นเขาได้อย่างไร หรือไม่นี่อาจจะเป็นรายการล้อกันเล่น ที่พอเขาไปพูดตะกุกตะกักในประเทศต้าหมิง ก็จะมีคนโผล่ออกมาแล้วตะโกนใส่ว่า เจ้าโดนหลอกแล้ว!


ขณะคิดทบทวนไปมา เขาก็ก้มลงมองหนังสือการทูตในมือที่หวังลู่เป็นคนเขียนให้แล้วก็ถอนหายใจ เหวินเป่ารู้เต็มอกว่าไม่มีทางเลือก จึงได้แต่เดินกอดอกมุ่งตรงไปข้างหน้า


จากฐานที่มั่นหลักของสำนักภูมิปัญญาในหมู่บ้านตระกูลหวังไปยังเมืองหลวงของประเทศต้าหมิง แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนเองยังต้องใช้เวลาเดินสามถึงห้าวัน เหวินเป่าสั่งให้ผู้ช่วยคนสนิทสองคนในหน่วยโครงสร้างพื้นฐานตระเตรียมสัมพาระให้เขาและออกเดินทางไปด้วยกัน


สามวันให้หลัง ทั้งสามคนก็มาถึงเมืองหน้าด่าน พอเดินเข้าประตูเมืองไป ผู้ช่วยคนที่ยืนข้างๆ เหวินเป่าก็อุทานเสียงดัง


“หากเราสร้างแท่นบูชาขึ้นที่นี่เพื่อดึงดูดจำนวนผู้ติดตาม คงจะวิเศษมากทีเดียว”


เมื่อได้ยินดังนี้ เหวินเป่าซึ่งตอนแรกรู้สึกหวั่นวิตกก็หัวเราะออกมา “เสี่ยวหยาง เจ้านี่ทะเยอทะยานไม่น้อย”


ผู้ช่วยหยางเซียวอธิบาย “เมืองหน้าด่านแห่งนี้คึกคักกว่าเมืองหลวงของจังหวัดตงเต้าอีก ลำพังแค่จำนวนร้านค้าบนถนนเส้นนี้ก็เยอะว่าร้านค้าทั้งหมดในเมืองหลวงของจังหวัดตงเต้าแล้ว!”


กั๋วฮงผู้ช่วยอีกคนพยักหน้าเห็นด้วยและพูดเสริม “ว่ากันว่าเมืองหน้าด่านแห่งนี้มีประชากรมากถึงหนึ่งล้านคน มากกว่าคนในเมืองหลวงจังหวัดตงเต้าถึงสิบเท่า หนำซ้ำที่นี่นับว่ามีฮวงจุ้ยที่ดีงาม พลังปราณฟ้าดินในระยะห้าร้อยลี้ต่างมาบรรจบกันที่นี่ ข้าว่าหากสำนักภูมิปัญญาของเราแข็งแกร่งขึ้นอีกนิด คงจะเจ๋งไม่น้อยหากเราย้ายฐานที่มั่นหลักและแท่นบูชาปฐมกลียุคมาไว้ที่นี่!”


เหวินเป่าพยักหน้า “มันย่อมเจ๋งแน่ ทว่าโชคร้ายที่เป็นไปไม่ได้ แม้ประเทศต้าหมิงจะไม่ใช่ประเทศที่แข็งแกร่งอันดับต้นๆ แต่พวกเขาย่อมไม่ให้เราครอบครองเมืองหลวงของตัวเองแน่”


หยางเซียวทำหน้าไม่เชื่อ “เจ้าสำนักพูดว่า ประกายไฟประจุเดียวทำให้เกิดไฟไหม้ป่าได้ แม้สำนักภูมิปัญญาเพิ่งตั้งมาไม่นาน จึงยังไม่มีอำนาจมากนัก แต่ไม่ช้าจะต้องแผ่ขยายไปจนทั่วอาณาจักรเก้าแคว้นเป็นแน่ ถึงตอนนั้นประเทศต้าหมิงก็ขี้ผงแล้ว”


คำพูดของเหวินเป่าติดขัดอยู่ในลำคอ ซึ่งเขาเองก็รู้สึกรำคาญไม่น้อย ทว่าในใจกลับรู้สึกโศกเศร้าที่การล้างสมองของศิษย์พี่นั้นทรงพลังเกินไป เดิมทีทั้งหยางเซียวและกั๋วฮงเป็นผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักเจ็ดดารา ซึ่งแตกต่างจากพวกชาวบ้านไร้การศึกษา ทว่าไม่กี่เดือนหลังจากที่เข้าร่วมสำนักภูมิปัญญา พวกเขากลับหมกมุ่นยิ่งกว่าชาวบ้านทั่วไปมากนัก ทุกวันพวกเขาจะตะโกนว่าจะเป็นหนึ่งในผู้เบิกทางหนึ่งล้านคนให้ได้ แถมยังเป็นคนงานที่กระตือรือร้นสูง ซึ่งทำให้หัวหน้าหน่วยอย่างเขาละอายไม่น้อย


“พูดพอแล้ว ตอนนี้เรามาหาวิหารประทีปเพื่อมอบจดหมายแนะนำตัวดีกว่า”


สิ่งก่อสร้างที่เรียกว่าวิหารประทีปนั้นคือสำนักพิเศษในประเทศต้าหมิงซึ่งมีหน้าที่ดูแลจัดการสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโลกแห่งเซียน หน้าที่ของที่นี่รวมถึงหน้าที่ของหอสัจจะบุรุษของพันธมิตรหมื่นเซียนดูจะทับซ้อนกันก็จริง แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น หอสัจจะบุรุษของพันธมิตรหมื่นเซียนคล้ายกับหน่วยปราบปรามความรุนแรง ที่ดูแลจัดการปัญหาซึ่งเจ้าหน้าที่ของเมืองซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาจัดการไม่ได้ ส่วนเรื่องการติดต่อประสานงานทั่วไประหว่างผู้บำเพ็ญเซียนแห่งโลกเซียนกับมนุษย์ปุถุชน ปกติแล้วจะขึ้นอยู่กับกฎที่เจ้าหน้าที่ของแต่ละประเทศตั้งขึ้นมา ดังนั้นวิหารประทีปแห่งประเทศต้าหมิงจึงมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้


ทั้งสามใช้เวลาเดินเข้าไปในเมืองอยู่พักใหญ่ก่อนจะมาถึงหน้าวิหารประทีป สำนักที่มีหน้าที่ติดต่อประสานงานระหว่างโลกแห่งเซียนและโลกมนุษย์แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหน้าด่าน ข้างๆ สำนักคือวังหลวง ชัยภูมิพิเศษของสำนักแห่งนี้สะท้อนสถานะที่อยู่เหนือประชาชนทั้งปวง แม้แต่ยามที่เฝ้าหน้าประตูยังมองชาวบ้านทั่วไปด้วยสายตาดูหมิ่น เหวินเป่าก้าวเข้ามาที่ด้านหน้าวิหาร แสดงตนว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนและมอบจดหมายแนะนำตัวให้ แต่อีกฝ่ายก็ยังมีท่าทีเย็นชาปั้นปึง


เหวินเป่าเป็นคนเรียบง่าย จึงไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ หลังจากที่มอบจดหมายแนะนำตัวให้แล้ว เขาก็ถอยหลังออกมาเพราะตั้งใจจะให้คนของวิหารประทีปติดต่อมาอีกที ทว่าผู้ช่วยสองคนมีท่าทีฉุนเฉียว


“พวกสารเลวหยิ่งผยอง เป็นแค่ยามเฝ้าหน้าประตูแท้ๆ คิดว่ายิ่งใหญ่มาจากไหนกัน”


“จริงด้วย เป็นแค่คนธรรมดากล้ามาดูถูกกันได้!”


เหวินเป่ายิ้มขัน “ต่อให้เป็นคนธรรมดา พวกเขาก็เป็นคนธรรมดาจากวิหารประทีป แม้ประเทศต้าหมิงจะไม่ได้เป็นประเทศที่ทรงอำนาจมากมาย แต่ในดินแดนนี้มีผู้บำเพ็ญเซียนนับล้านคน ดังนั้นคนที่พวกเขาต้อนรับขับสู่อย่างดีคงเป็นพวกผู้สูงศักดิ์ระดับสูง เขาจึงย่อมมองเหยียดพวกบ้านนอกอย่างเราอยู่แล้ว”


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมองของเหวินเป่าทันที เขาเดาได้ถูกต้องว่าเหตุใดหวังลู่จึงแต่งตั้งเขาให้เป็นทูตเจรจาของสำนักภูมิปัญญา


ตอนนี้สำนักภูมิปัญญายังห่างไกลจากคำว่าผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศต้าหมิง แม้จำนวนผู้ติดตามและทรัพย์สินเงินทองจะมหาศาล แต่ก็ยังไม่พ้นถูกมองว่าเป็นสำนักชั้นล่าง ผู้บำเพ็ญเซียนที่มีขั้นตบะสูงสุดก็ยังเป็นเย่ชูเฉินซึ่งอยู่ในขั้นพิสุทธิ์ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ หากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนสักสองสามคนมาเคาะประตูสำนักเข้าละก็ สำนักภูมิปัญญาย่อมราบเป็นหน้ากลองอย่างง่ายดาย


ดังนั้นในยามที่พวกเขาต้องมาเยี่ยมเยียนวิหารประทีป ย่อมต้องทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนราวกับหลานปู่ไปเยี่ยมบรรพบุรุษ แล้วใครกันเล่าที่จะเชี่ยวชาญงานที่น่าเบื่อเช่นนี้ไปกว่าเหวินเป่า


เมื่อคิดได้ดังนี้ เหวินเป่าก็รู้สึกสบายใจ ในเมื่อศิษย์พี่เลือกเขาให้แสดงบทหลานปู่ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยหากเขาทำหน้าที่ตนเองได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรเสียเรื่องข้อมูลจำเพาะเกี่ยวกับการเจรจา หวังลู่ได้เขียนลงในตำราการทูตเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาก็แค่ยื่นสิ่งนี้ให้หัวหน้าของวิหารประทีป รอคอยให้พวกเขาตัดสินใจก็เท่านั้น


ดังนั้นระหว่างที่พยายามปลอบประโลมผู้ช่วยหัวร้อนทั้งสองคน เหวินเป่าก็มองหาโรงเตี๊ยมในเมืองหน้าด้านนี้เพื่อรอให้คนของวิหารประทีปติดต่อมาอีกที นี่คือความรวดร้าวของสำนักเล็กๆ หากเป็นหนึ่งในสำนักของพันธมิตรหมื่นเซียน ปัญหาเหล่านี้จะไม่มีให้เห็น เพราะพวกเขาจะสามารถเดินผ่านประตูเข้าไปพูดคุยกับหัวหน้าของวิหารประทีปได้โดยตรง


หนทางของสำนักภูมิปัญญานั้นยังอีกยาวไกลนัก


ด้วยความที่เป็นคนใจเย็น เหวินเป่าจึงรอคอยคำตอบจากวิหารประทีปอย่างอดทน หนึ่งวันก็แล้ว สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว… พอมาถึงวันที่สี่ ไม่ต้องพูดถึงผู้ช่วยหัวร้อนสองคนของเขา เพราะขนาดตัวเหวินเป่าเองก็ยังรู้สึกว่าอยู่เฉยๆ อีกไม่ได้


จดหมายที่เขาให้ไปไม่ได้เป็นเพียงจดหมายแนะนำตัวเท่านั้น มันบรรจุตัวอักษรหลายร้อยตัวซึ่งแสดงให้เห็นสถานะ ต้นกำเนิด รวมถึงข้อเรียกร้องที่จะขอเจรจากับหัวหน้าวิหารประทีป มันยากที่จะจัดการที่ตรงไหนกัน ไม่ใช่ว่าเขียนด้วยภาษาตะวันตกเสียหน่อย!


เห็นได้ชัดว่าวิหารประทีปดูแคลนพวกเขาดังนั้นจึงไม่ให้ความสำคัญกับจดหมายของพวกเขา แม้เขาจะพร้อมทำตัวเป็นหลานปู่ที่อ่อนน้อมถ่อมตน แต่นี่มันชักจะเกินไปหน่อยแล้ว เหวินเป่ารู้สึกขุ่นเคืองใจไม่น้อย


“พี่เหวิน เรายังต้องรออยู่อีกหรือ”


ผู้ช่วยทั้งสองรู้สึกขุ่นเคืองใจเป็นทวีคูณ ในหมู่บ้านตระกูลหวังและสถานที่อื่นๆ พวกเขาในฐานะแกนหลักของสำนักย่อมถูกผู้ติดตามนับไม่ถ้วนกราบไหว้บูชา ทว่าที่เมืองหน้าด่านแห่งนี้ แค่จะเป็นหลานปู่ยังมีคุณสมบัติไม่พอเลย!


เหวินเป่านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความจริงตามพื้นฐานอารมณ์ของเขา หากต้องรออีกสักหน่อยเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ทว่าในสถานการณ์ที่จดหมายแนะนำตัวดูเหมือนจะถูกเก็บไว้ในลิ้นชักราวกับหินที่ถูกโยนลงทะเล เช่นนั้นภารกิจการทูตในครั้งนี้ต้องล้มเหลวแน่…


“เช่นนั้นเราจะไปถามพวกเขาอีกที”


ดังนั้นทั้งสามจึงมุ่งหน้าไปที่วิหารประทีปอีกครั้ง ระหว่างทางผู้ช่วยทั้งสองก็สุมไฟให้เหวินเป่ารู้สึกฉุนเฉียวอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเหวินเป่าที่หัวอ่อนก็หัวร้อนอย่างหนักจนพร้อมจะพุ่งเข้าใส่ประตูโดยไม่สนใจว่าใครจะยืนยามอยู่


เมื่อมาถึงวิหารประทีป พวกเขาก็เห็นคนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากำลังพูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเคร่งเครียด


“พวกเจ้าทั้งสองเตรียมตัวให้ดี อีกไม่นาน ท่านอาจารย์เซียนจะมาเยือนที่นี่ ดูให้ดีอย่าให้มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะถลกหลักพวกเข้าออกมาแน่ ได้ยินไหม!?”


ยามทั้งสองรับคำว่าง่าย ทว่าไม่ไกลจากจุดนั้น เหวินเป่าและผู้ช่วยทั้งสองมองหน้ากันอย่างงุนงง


หยางเซียวถามขึ้น “อาจารย์เซียน? ใช่พวกเราหรือเปล่า”


เหวินเป่าหัวเราะทั้งที่พยายามกลั้น “จะเป็นไปได้อย่างไร นี่เป็นเมืองหลวงประเทศเชียวนะ ดังนั้นหากเป็นอาจารย์เซียนจริงๆ อย่างน้อยย่อมต้องอยู่ในขั้นสร้างแกน”


กั๋วฮงถามบ้าง “หากพวกเขาเอาจริงเอาจังเรื่องผู้บำเพ็ญเซียน เหตุใดจึงปล่อยให้เรารอแห้งแกร็กอยู่ที่โรงเตี๊ยมตั้งหลายวัน ข้าก็นึกว่าไม่ค่อยมีอาจารย์เซียนมาเยี่ยมเยียนที่นี่ เพราะงั้นพวกเขาจึงทำตัวไม่ค่อยถูก”


กั๋วฮงกำลังไม่พอใจ ดังนั้นเสียงของเขาจึงดังขึ้นเล็กน้อย เหวินเป่ารีบดึงเขาออกมา แต่โชคร้ายที่คนเป็นหัวหน้าดูเหมือนจะได้ยินว่าวาจาว่ากล่าวนั้น


โชคดีที่ตอนนี้เรื่องอื่นสำคัญกว่า ดังนั้นหลังจากที่พ่อบ้านปรายตามองพวกเขาทั้งสาม เขาก็ไม่ได้สนใจจะไต่ถามพวกบ้านนอกสามคนนี่ และหันไปลงรายละเอียดกับพวกยามต่อ ครั้งนี้วิหารประทีปให้ความสำคัญกับการมาเยือนของอาจารย์เซียนคนนี้ไม่น้อย แถมยังลงรายละเอียดในส่วนที่จุกจิกยิบย่อยอีกด้วย ทว่าก่อนที่พ่อบ้านจะหยุดการจ้ำจี้จำไชที่ดูราวไม่รู้จบ ชายคนหนึ่งก็เร่งรีบเข้ามากระซิบบางอย่างใส่หู สีหน้าของพ่อบ้านเปลี่ยนไปในทันที หลังจากส่งสายตาดุร้ายไปที่ยามทั้งสองและพูดตักเตือนอีกครั้ง เขาก็ยืนอย่างน้อบน้อมอยู่ที่หน้าประตูทางเข้านั่นเอง


ไม่นานนักก็มีเสียงดังโหวกเหวก วัยรุ่นสองคนที่ถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มชาวบ้านเดินมุ่งหน้าไปยังวิหารประทีป ดูจากการแต่งตัว ทั้งสองน่าจะเป็นบุคคลสำคัญของประเทศต้าหมิง โดยปกติแล้วระหว่างเดินทาง พวกชนชั้นสูงจะหลีกเลี่ยงฝูงชน ทว่าตอนนี้ทั้งสองต่างยิ้มย่องขณะเดินเคียงข้างชาวบ้านที่มีเหงื่อชุมโชก ปราศจากภาพของบุคคลชั้นสูงอย่างสิ้นเชิง


กั๋วฮงมีท่าทีกังขา “ข้าไม่เห็นว่าสองคนนั้นจะสลักสำคัญอะไร ก็แค่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมชาวบ้านถึงห้อมล้อมพวกเขานัก ข้าว่าคงไม่พ้นเป็นศิษย์จากสำนักชั้นนำ ไม่ก็ลูกของผู้บำเพ็ญเซียนคนใหญ่คนโต เชอะ เจ้าพวกรุ่นสองไม่เอาไหน!”


หยางเซียวพนักหน้าเห็นด้วย “วิหารประทีปแห่งประเทศต้าหมิงนี่ช่างเลือกปฏิบัติ ท่าทีประจบประแจงนั่นก็น่าหัวร่อ เมื่อเทียบกับสำนักภูมิปัญญาของเราแล้ว… ช่างต่างกันราวสวรรค์กับโลกมนุษย์”


“ใช่แล้ว หากสำนักเราได้ครอบครองประเทศนี้ละก็ ต้องยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่หลายเท่าแน่”


ทั้งสองคนพูดจาพาทีวาดฝันถึงอนาคตเบื้องหน้ากันอยู่พักใหญ่ ยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น ทว่าอึดใจถัดมา พวกเขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป หากเป็นตามปกติ พี่เหวินเป่าย่อมต้องบอกให้พวกเขาหยุดพูดแล้ว แต่จนถึงตอนนี้เหวินเป่ากลับเอาแต่นิ่งเงียบ


พอทั้งสองหันกลับไปมอง ก็พบว่าเหวินเป่ากำลังจ้องไปยังสองคนนั้นที่ยืนอยู่ไกลๆ ด้วยใบหน้าว่างเปล่า สายตาของเขาดูตื่นตะลึง แต่กลับแฝงไปด้วยความขมขื่นมากกว่าถึงล้านเท่า


มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่


ขณะนี้สองคนนั้นได้เดินเข้ามาใกล้จนสามารถได้ยินบทสนทนา


“ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย ข้างหน้าเจ้าก็คือวิหารประทีป”


“อ้อ ขอบคุณศิษย์พี่จูฉินยิ่งนักที่พาข้ามาที่นี่ มิเช่นนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรแล้ว”


…………………………………


ตอนที่ 30 วันนี้ข้าจะมาพาดวงใจของข้าไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


“ศิษย์พี่จูฉิน ขอบคุณท่านยิ่งนักที่พาข้ามาที่นี่ ไม่เช่นนั้น ท่ามกลางคนเหล่านี้ คงจะ…”


เมื่อถูกห้อมล้อมด้วยฝูงชน เยวี่ยซินเหยาก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก


แม้นางจะเกิดมาในตระกูลชนชั้นสูงของโลกเซียน ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าลูกหลานชนชั้นสูงของมนุษย์ปุถุชน แต่บรรยากาศในตอนนี้กลับทำให้นางรู้สึกอัดอัดใจเป็นอย่างมาก


ทว่ารัชทายาทจูฉินกลับผ่อนคลายกว่ามาก “เจ้าไม่ต้องเกรงใจนักหรอกศิษย์น้องหญิง นี่เป็นความผิดของทางเรา… หลังจากได้รับจดหมายทางการจากศิษย์น้องหญิง พวกเขากลับไม่ได้ตอบกลับภายในสิบวัน ประสิทธิภาพในการทำงานของวิหารประทีปเห็นทีต้องสางกันใหม่เสียแล้ว”


คำพูดเช่นนั้นทำให้สีหน้าของเจ้าหน้าที่ที่รอบล้อมพวกเขาอยู่เป็นกังวลกันไปมากบ้างน้อยบ้าง แน่นอนว่าคนที่ต้องกังวลมากที่สุดคือเจ้าหน้าที่จากวิหารประทีป แต่เจ้าหน้าที่บางคนที่จะได้เสียบแทนที่เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวกลับมีใบหน้าเปี่ยมความหวัง


ทว่าเยวี่ยซินเหยากลับขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิษย์พี่จูฉิน แม้ข้าจะไม่มีคุณสมบัติพอจะพูดเช่นนี้ แต่ในเมื่อเราเป็นผู้ฝึกเซียน ดังนั้นสถานะของเราในโลกปุถุชนนั้น…”


จูฉินยิ้ม “ศิษย์น้องหญิงจะสอนข้าว่าข้าไม่ใช่รัชทายาทของประเทศต้าหมิง แต่เป็นผู้ฝึกเซียนธรรมดาจากเขากระบี่วิญญาณใช่หรือไม่ แต่เจ้าก็รู้ กลับบ้านมาครั้งนี้ ข้ายังไม่มีเวลาไปพบท่านพ่อท่านแม่เลย สิ่งแรกที่ข้าทำคือมาลงชื่อพร้อมกับเจ้าที่วิหารประทีปนี่ต่างหาก”


เยวี่ยซินเหยายิ้มพลางพยักหน้า “เรียนศิษย์พี่ เรื่องนี้อาจฟังดูไร้สาระ แต่…เส้นทางของปุถุชนนั้นย่อมแตกต่างจากเส้นทางของผู้บำเพ็ญเซียน”


ระหว่างที่คนทั้งคู่สนทนากันอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ที่ห้อมล้อมอยู่ต่างพากันเศร้าสร้อย หากรัชทายาทปฏิเสธอำนาจและมุ่งมั่นฝึกฝนการบำเพ็ญเซียน ย่อมเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อประเทศต้าหมิงอย่างใหญ่หลวงแน่นอน


“โอ้ ข้าเกือบลืมไปเลย ศิษย์น้องหญิง จุดประสงค์ที่เจ้ามายังประเทศต้าหมิงคืออะไร มีใครที่เจ้าต้องติดต่อด้วยอย่างนั้นหรือ”


“มีสำนักตั้งใหม่สำนักหนึ่งที่ดูเหมือนจะรุกรานผู้คนจำนวนไม่น้อย ทว่าข้าก็ไม่รู้แน่ชัดหรอกว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ดังนั้นจึงอยากร่วมมือกับวิหารประทีปเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ สำนักนี้แปลกมาก พวกเขาพัฒนาสำนักได้รวดเร็ว แถมวิธีที่ใช้พัฒนาก็ประหลาดไม่เหมือนใคร ว่ากันว่าในเวลาไม่กี่เดือน ผู้ติดตามก็เพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่าหนึ่งล้านคน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าหัวหน้าสำนักนี้เป็นใครกันแน่”


“โอ้ ประหลาดถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แล้วพวกเขาอยู่แค่ในประเทศต้าหมิงเท่านั้นหรือ จุ๊ๆๆ คนของวิหารประทีปมัวทำอะไรกันอยู่ พวกเขาไม่ควรให้คนนอกอย่างเจ้าต้องมาจัดการเรื่องนี้ด้วยซ้ำ… อ้อจริงสิ ศิษย์น้องหญิง ว่าแต่สำนักนี้มีชื่อว่าอะไร”


“เป็นชื่อที่แปลกมาก ชื่อว่าสำนักภูมิปัญญา”


——


เยวี่ยซินเหยากับจูฉินพูดคุยกันพลางเดินเข้าไปในวิหารประทีป เจ้าหน้าที่ที่เหลือรีรออยู่ที่หน้าประตูพักหนึ่งก่อนจะค่อยๆ สลายตัวไป พร้อมบ่นพึมพำถึงการจัดการที่ไม่เป็นระเบียบจนทำให้รัชทายาทจูฉินต้องเสด็จมาถึงที่นี่ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบที่อาจจะเกิดขึ้น


ไม่ไกลไปจากตรงนั้น สามสหายจากสำนักภูมิปัญญาที่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ได้แต่นิ่งอึ้งไปพักใหญ่


“พี่เหวิน เราจะทำอย่างไรกันดี”


“ดูท่าว่ามีบางคนคิดจะรวมหัวกับประเทศต้าหมิงเพื่อจัดการเรา ฮ่า! เจ้าสำนักพูดถูกแล้ว ท่ามกลางกระแสแห่งคลื่นลูกใหม่ คลื่นลูกเก่าที่ไม่อยากตายจะพยายามโต้กลับอย่างรุนแรง ทว่าท่ามกลางจำนวนผู้ติดตามมหาศาล จะต้านทานอย่างไรก็คงไร้ผล!”


“พี่เหวิน… พี่เหวิน ท่านได้ยินข้าไหม”


โอ้ พี่เหวินที่น่าสงสาร จิตใจของเขายังคงจมอยู่ในช่วงเวลาไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ตอนที่จูฉินและเยวี่ยซินเหยาเดินเข้าไปในวิหารประทีปด้วยกัน โดยเฉพาะฉากที่จูฉินวางมือลงบนไหล่ของเยวี่ยซินเหยา!


——


“พี่เหวิน นี่เรา…จะกลับกันจริงหรือ”


บนโต๊ะอาหารเย็นในโรงเตี๊ยม กั๋วฮงถามขึ้นอย่างระมัดระวัง หยางเซียวเองก็มองมาด้วยสายตาสงสัย


ผู้ช่วยทั้งสองมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้านายของพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง จึงเข้าอกเข้าใจนิสัยเรียบง่ายของเหวินเป่าเป็นอย่างดี ทว่าเขามักมีปฏิกิริยาเชื่องช้าทั้งยังไม่อาจตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองได้ เมื่อครู่พวกเขาเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ผู้ช่วยทั้งสองจึงไม่มั่นใจนักว่าเหวินเป่าจะจัดการกับปัญญานี้ได้


เหวินเป่าเองก็สับสนไม่น้อย ปัญหาที่มีอยู่นั้นมากและซับซ้อนเกินกว่าความสามารถของเขา ศิษย์น้องหญิงมาที่ประเทศต้าหมิงทำไม เพราะอะไรนางจึงอยากจัดการสำนักภูมิปัญญา หลายเดือนก่อนตอนที่ออกจากสำนัก เขาได้ลอบสังเกตสถานที่ที่เยวี่ยซินเหยาจะไป หากเข้าใจไม่ผิด นางออกเดินทางไปยังทิศตะวันตกเพื่อร่วมในการสำรวจสุสานโบราณ ซึ่งน่าจะกินเวลาเกือบทั้งปี… หรือว่าการสำรวจนั้นจะจบลงเร็วกว่าที่คิด


ส่วนจูฉินนั้น การที่เขามาปรากฏตัวที่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก อย่างไรเสียเขาก็เป็นรัชทายาทของประเทศต้าหมิง จึงเป็นเรื่องปกติที่จะใช้เวลาในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์กลับมาเยี่ยมครอบครัว ทว่าเหตุใดเขาจึงมาอยู่กับเยวี่ยซินเหยาได้ พวกเขาสองคนเป็นเพียงศิษย์พี่ศิษย์น้องธรรมดา นอกจากตอนที่รวมกลุ่มกันเพื่อสั่งสมประสบการณ์ที่เขาเมฆาครามเล็กแล้ว ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก แล้วนี่…


แน่นอนว่าตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องคิดคือความสัมพันธ์ของพวกเขา ในฐานะผู้อาวุโสของสำนักภูมิปัญญา หนึ่งในหัวหน้าของศูนย์ศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา เมื่อต้องจัดการปัญหาเกี่ยวกับสำนัก…


“ข้าอยากเข้าไปตรวจดูสถานการณ์สักหน่อย”


“หา!?” กั๋วฮงและหยางเซียวตกใจ “เข้าไป!?”


“ใช่แล้ว รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ข้าจะไม่ยอมให้จูฉินกับศิษย์น้องหญิงเยวี่ย… ไม่สิ ข้าจะไม่ยอมให้พวกเขาร่วมมือกับวิหารประทีปวางแผนป้ายสีสำนักเราหรอก ข้าอยากให้พวกเจ้าสองคนกลับไปรายงานเรื่องนี้กับเจ้าสำนัก ส่วนข้าจะอยู่จัดการเรื่องราวที่นี่”


“พี่เหวิน แต่นี่…” ดวงตาของกั๋วฮงเบิ่งกว้าง มองไปยังผู้อาวุโสที่เด็ดขาดผู้นี้อย่างไม่เชื่อสายตา


หยางเซียวเองก็มีทีท่าลังเลพลางคิดในใจ ‘พี่เหวิน แม้ท่านจะเป็นผู้อาวุโสที่ทุ่มเททำงานหนักแถมยังซื่อสัตย์จริงใจ แต่ก็มีบางเรื่องที่ท่านไม่ถนัดเลยสักนิด!’


“วางใจเถอะ อย่างไรเสียข้าก็เป็นผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณ… สำนักภูมิปัญญา” เหวินเป่ากัดฟัน “แม้ข้าจะไม่ถนัดเรื่องแบบนี้ ตราบใดที่ในใจข้ายังมุ่งมั่นอยู่กับการทำให้โลกเคลื่อนสู่สวรรค์ ข้าย่อมประสบความสำเร็จในทุกการพยายาม! นี่คืออาวุธทางจิตของสำนักภูมิปัญญา!”


ดวงตาของกั๋วฮงยิ่งเบิ่งโพลงเข้าไปใหญ่ “พี่เหวิน ข้อโต้แย้งเรื่องอาวุธทางจิตนั่นจบสิ้นแล้ว และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องจริง ดังนั้น…”


“ช่างเถอะ ข้าถนัดมือซ้าย”


“หา!?”


“ไม่ ข้าหมายถึง… ข้ามีอาวุธลับที่เจ้าสำนักให้มาอยู่ในแขนเสื้อซ้าย!”


พูดจบ เหวินเป่าก็ยัดซาลาเปาลูกสุดท้ายบนจานเข้าปาก จากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วเดินตรงลิ่วไปยังวิหารประทีปด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น


——


อาวุธลับในแขนเสื้อที่ว่านั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น


ขณะเดิน เหวินเป่าก็หยิบเอาถุงผ้าไหมออกมาจากกระเป๋าสีเหลืองหม่น หลังจากที่เปิดถุงออก เขาก็พบกระดาษใบหนึ่งที่หวังลู่ให้มา เป็นกระดาษที่หวังลู่อ้างว่าช่วยกระตุ้นศักยภาพของเขาเพื่อให้สร้างปาฏิหาริย์ที่ไม่น่าเชื่อให้เกิดขึ้นได้


เหวินเป่าไม่เคยสงสัยถึงศักยภาพของหวังลู่ในการสร้างปาฏิหาริย์ ดังนั้นแม้ภารกิจนี้จะเต็มไปด้วยรังสีของความหลอกลวง เหวินเป่าก็ยังถือว่าสิ่งนี้เป็นไพ่ใบสำคัญ


ทว่าหวังลู่ได้เตือนมาว่าหากไม่ใช่สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานจริงๆ เขาก็ไม่ควรเปิดถุงใบนั้น สถานการณ์ในตอนนี้เรียกว่าหน้าสิ่วหน้าขวานได้แล้วไหมนะ


ศิษย์พี่ โปรดช่วยข้าด้วย!


จากนั้นเหวินเป่าก็ค่อยๆเปิดคลี่กระดาษนั่นออกช้าๆ ด้วยมืออันสั่นเทา


สิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษมีบรรทัดเดียว เจ้าคือเหวินเป่าผู้รู้ตื่น …


เหวินเป่าถอนหายใจ สะบัดนิ้วชี้จนเกิดเป็นประกายไฟเผากระดาษแผ่นนี้


“ระยำ! ข้ารู้แต่แรกอยู่แล้วว่าหมอนี่มันเจ้าแห่งการหลอกลวง! เหวินเป่าผู้ตื่นรู้!? ตื่นรู้บิดาท่านสิ! ให้หมูข้ามาสักชิ้นแล้วเปลี่ยนข้าเป็นท่านบรรพบุรุษเต้อเฉิงยังจะดีกว่า!”


ทว่าไม่ว่าเขาจะโมโหสักเพียงไรแต่ก็ไม่มีทางเลือก หนำซ้ำเมื่อมาคิดใคร่ครวญดีๆ หากเทียบกับเหวินเป่าผู้เรียบง่ายซื่อตรง ไม่แน่ว่าเหวินเป่าผู้รู้ตื่นอาจมีศักยภาพมากพอจะทำการสำเร็จก็ได้…


“…เอาละ ข้าคือเหวินเป่าผู้รู้ตื่น ข้าคือเหวินเป่าผู้รู้ตื่น ข้าคือเหวินเป่าผู้รู้ตื่น!”


เหวินเป่าท่องซ้ำๆ เช่นนั้นไปตลอดทาง ในที่สุดสีหน้าเรียบง่ายซื่อตรงราวกับน้ำนิ่งของเขาก็ค่อยๆ ตื่นเต้นขึ้นอย่างไม่อาจปิดบังได้


ฮ่าๆๆ ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย ข้ามาหาเจ้าแล้ว!


——


ตอนนี้เหวินเป่ากำลังยืนอยู่หน้าวิหารประทีป เผชิญหน้ากับยามที่ส่งสายตาระแวดระวังปนสงสัยกลับมา แต่เขาก็ยังคงยิ้มอย่างสุภาพจริงใจ


ทว่าภายในเขากลับกึ่งประหม่ากึ่งตื่นเต้น… แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าตัวตนของเหวินเป่าผู้รู้ตื่นเป็นอย่างไร แต่ภายใต้สถานการณ์ที่กดดันยิ่งยวด ตัวตนที่น่าทึ่งมักจะปรากฏออกมา


ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะสามารถสำแดงตัวตนที่น่าทึ่งนั้นออกมาได้ใสกสักเพียงไร


หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน ยามหน้าประตูก็เปิดปากถาม “ขออภัยด้วย ท่านคือ…”


ชายร่างอ้วนตรงหน้าพวกเขาดูปกติดี แต่ท่ามกลางคนนับล้านคนในเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่นับรวมพวกที่สติไม่ดีหรือเบาปัญญา มีไม่กี่คนที่เต็มใจหยุดยืนอยู่หน้าวิหารประทีป ในสายตาของพวกชาวบ้าน ในวิหารประทีปนั้นเต็มไปด้วยอาคมอันตรายไม่ก็พ่อมดหมอผี… ดังนั้นเงินค่าจ้างของยามที่นี่จึงสูงกว่าที่อื่นๆ


ดังนั้นหากชายอ้วนผู้นี้ไม่ได้สติไม่ดีหรือเบาปัญญาละก็…


“เอ่อ ข้ามาหาคนน่ะ” ชายอ้วนยิ้มเซ่อ


“มาหาคน? ท่านมีญาติหรือสหายเป็นเจ้าหน้าที่ของที่นี่หรือ”


เหวินเป่ายิ้ม เขาไม่ต้องการเสียเวลาพูดคุยกับยามตรงหน้าอีก จึงใช้นิ้วจุดประกายไฟแล้วปล่อยให้ลอยขึ้นไปในอากาศ หลังจากที่เปลวไฟเผาไหม้หมด พลังอิทธิฤทธิ์แปลกตาก็กระจายออกเป็นคลื่นเบาๆ


ผ่านไปพักใหญ่ ประตูหน้าของวิหารประทีปก็เปิดออกจากด้านใน จากนั้นเยวี่ยซินเหยาที่มีใบหน้าสงสัยก็เดินออกมา เมื่อเห็นเหวินเป่า นางก็แปลกใจเป็นที่สุด


“ศิษย์พี่เหวินเป่า!?”


เมื่อได้เห็นใบหน้ากระจ่างงดงามของหญิงสาว เหวินเป่าเองก็ตกใจเช่นกัน เขารู้สึกว่าสมองครึ่งหนึ่งของเขาว่างเปล่า ส่วนอีกครึ่งตื่นเต้นอย่างหนัก ทำให้เผลอทักทายนางออกไป ทั้งๆ ที่ปกติเป็นคนเหนียมอายแท้ๆ


“ฮ่าๆ อรุณสวัสดิ์ศิษย์น้องหญิงเยวี่ย”


“อรุณสวัสดิ์ศิษย์พี่” หญิงสาวตอบกลับอย่างกระตือรือร้น จากนั้นจึงถามขึ้น “ศิษย์พี่ตามหาข้าอยู่หรือ”


“ใช่ ข้าอยากขอร้องเจ้าหน่อย”


“เชิญศิษย์พี่ว่ามาเลย”


เหวินเป่ายิ้มจากนั้นก็ชี้ไปที่ประตูด้านหลังเยวี่ยซินเหยา “ช่วยให้ข้าผ่านประตูบานนั้นเข้าไปที…”


เยวี่ยซินเหยาระเบิดหัวเราะออกมา “ประตูของวิหารประทีปก็ไม่ดีจริงๆ นั่นละ” จากนั้นนางก็ผินหน้าไปมองยามหน้าประตูด้วยสายตาตั้งคำถาม ยามทั้งสองรู้สึกราวกับว่าขาของพวกตนอ่อนแรงในทันใด แม้พวกเขายังไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้ผู้บังคับบัญชา แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ ——


“ศิษย์พี่เหวินเป่า ท่านมาที่นี่เพราะเรื่องของสำนักภูมิปัญญาด้วยหรือเปล่า”


ขณะที่พวกเขากำลังเดินเข้าไปยังวิหารประทีป เยวี่ยซินเหยาก็อดถามขึ้นด้วยความสงสัยไม่ได้


เหวินเป่าทำสีหน้าเลิ่กลั่กภายในใจตื่นตระหนก เขารู้ดีว่าหากทำตัวไม่เนียนพอ ความลับจะต้องถูกเปิดเผยแน่ๆ!


เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเหวินเป่า เยวี่ยซินเหยาก็เข้าใจว่าศิษย์พี่ของตนยังไม่เคยได้ยินชื่อสำนักภูมิปัญญา ดังนั้นนางจึงอธิบายอย่างใจเย็น “สำนักนี้เป็นสำนักตั้งใหม่ในประเทศต้าหมิง


พวกเขาพัฒนาสำนักได้รวดเร็วแต่ก็สร้างปัญญาไว้มากมาย ดังนั้นข้าเลยเข้าใจไปว่าท่านมาที่นี่เพราะเรื่องนี้” จากนั้นนางก็ส่ายหัวและเปลี่ยนเรื่อง “เราสองคนไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน ท่านดูเปลี่ยนไปมาก ศิษย์พี่ การบำเพ็ญเซียนของท่านก้าวหน้าไปรวดเร็วนัก”


เมื่อรู้ว่าหัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปแล้ว เหวินเป่าก็คลายใจไปอย่างมาก “ก็ไม่เลว อีกไม่นานข้าคงไปถึงขั้นฝึกปราณระดับหก


เยวี่ยซินเหยาประหลาดใจไม่น้อย “ศิษย์พี่กำลังจะเข้าสู่ระดับกลางแล้วหรือ รวดเร็วจริงๆ! ข้านึกว่าตอนอยู่ที่สุสานโบราณพฤกษ์ครามข้าก็พัฒนาขึ้นไม่น้อย แต่ดูท่าว่ายังห่างชั้นกับท่านอยู่โข ศิษย์พี่ ตอนนี้ข้ายังอยู่ที่ขั้นกลางของระดับเจ็ดอยู่เลย ยังอีกนานนักกว่าข้าจะทะลวงไประดับต่อไปได้”


ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากเบื้องหน้า “ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยช่างถ่อมตนนัก เพื่อที่จะฝึกพลังวิญญาณขั้นปฐม เจ้าจึงตั้งใจหยุดการบำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณเอาไว้ก่อน ทว่าความแข็งแกร่งของเจ้านั้นไม่ห่างจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับหกสักเท่าไรหรอก ในหมู่ศิษย์ด้วยกันเอง ข้าว่าเจ้าเองก็ไม่เป็นรองใคร”


ขณะพูด รัชทายาทจูฉินก็สืบเท้าเข้ามาด้านหน้า เมื่อเผชิญกับสายตาของเหวินเป่า เขาก็ยิ้มกว้างออกมา


“ศิษย์น้องเหวินเป่า ไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าที่นี่”


เหวินเป่านิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดพร้อมรอยยิ้ม “อรุณสวัสดิ์ศิษย์น้องจูฉิน”


สีหน้าของจูฉินแข็งกระด้างขึ้นมาทันใด ศิษย์น้องหรือ!?


ก่อนหน้านี้ เจ้าอ้วนไม่ได้ความนี่เคารพนบนอบเขามาตลอด ปากก็มักจะเอ่ยว่า ศิษย์พี่จูฉินอย่างนั้น ศิษย์พี่จูฉินอย่างนี้ ทว่าหลังจากไม่ได้พบกันไม่กี่เดือน นอกจากความก้าวหน้าในการบำเพ็ญเซียนจะเพิ่มขึ้นอย่างน่ายกย่องแล้ว ความกล้าหาญก็เพิ่มขึ้นมากอีกด้วย!


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มของจูฉินก็ค่อยๆ กระด้างขึ้น


เหวินเป่าเหยียดยิ้มอยู่ในใจพลางคิดว่า “สารเลว เจอกับเหวินเป่าผู้ตื่นรู้หน่อยเป็นไง!”


……………………………………..

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม