สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด บทที่ 3 ตอนที่ 19-25
บทที่ 19 จับตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลี่ว์อีอวิ๋นเผลอลูบหน้าตัวเอง เผยให้เห็นสีหน้างุนงงไม่แน่ใจบางอย่าง “ฉันไม่ได้ยิ้มนี่?”
“งั้นเหรอ” ลั่วชิวพยักหน้าพูด “บางทีผมคงดูผิดไป ออกไปกันเถอะ”
หลี่ว์อีอวิ๋นเดินตามเขาไปเงียบๆ …แล้วพวกเขาก็เดินออกไป
…
…
เสียงเคาะข้างนอกนี้ดังมากเกินไปจริงๆ หลัวอ้ายอวี้เถ้าแก่เนี้ยอยู่ในห้องด้านหน้าบ้านพักพลันก็ตกใจตื่นทันที
เธอใส่เสื้อคลุมด้วยสีหน้าไม่พอใจ ดูเหมือนอยากด่าคนเต็มทน พอเดินออกมาจากห้องก็บังเอิญเห็นหลี่ว์อีอวิ๋นและลั่วชิวที่เดินออกมาจากห้องครัว
เธอไม่มีเวลามาสนใจว่าทำไมสองคนนี้ถึงออกมาจากห้องครัว หลัวอ้ายอวี้กำลังยุ่งกับการเปิดกลอนประตู ทันใดนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความเกรงใจเลย “มาแล้วๆ! ใครน่ะ ฟ้ายังไม่ทันสว่างเลย จะรีบไปเกิดใหม่หรือยังไง!”
แต่ตอนที่หลัวอ้ายอวี้เปิดประตู เธอกลับต้องตกใจ
เธอเห็นคนมากมายกรูกันอยู่ด้านนอกประตู ส่วนใหญ่เป็นคนแก่ในหมู่บ้าน ไม่ใช่แค่นั้น ข้างหลังพวกเขายังมีคนตามมาอีกยี่สิบสามสิบคน ในมือคนพวกนี้ถือกระบอกไฟฉาย ทั้งยังถือเครื่องมือบางอย่างด้วย บอกว่าเป็นเครื่องมือ แต่ที่จริงก็เป็นเครื่องมือเกษตรชนิดต่างๆ
จอบ เคียว ไม้คานเป็นต้น
หลัวอ้ายอวี้ตกใจจนหน้าถอดสี กลืนน้ำลายไปอึกหนึ่งถามขึ้นว่า “อาเป่ากง พวกลุงนี่ นี่คิดจะทำอะไรน่ะ?”
พออาเป่ากงเห็นว่าคนที่เปิดประตูก็คือหลัวอ้ายอวี้ ก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วโบกไม้โบกมือ พูดไปตรงๆ ว่า “เธอนี่แหละ! จับตัวไว้!”
ชาวบ้านอายุห้าสิบกว่าหลายคนข้างหลังอาเป่ากงลังเลพักหนึ่ง ก็กัดฟันเดินออกมาพร้อมกัน แล้วจับแขนทั้งสองข้างของหลัวอ้ายอวี้ พร้อมออกแรงดึงตัวออกมา ถือได้ว่าป่าเถื่อนเลยทีเดียว
ทันใดนั้นหลัวอ้ายอวี้ก็เซล้มลงไปกับพื้น แต่ไม่นานก็มีคนเอาเชือกมัดตัวเธออย่างฉับไว!
หลัวอ้ายอวี้ต่อสู้ดิ้นรนด้วยความหวาดกลัว และร้องเสียงแหลม “พวกแกคิดจะทำอะไรน่ะ! ปล่อยฉัน! ปล่อยฉัน!”
“อุดปากเธอไว้!” อาเป่ากงพูดด้วยเสียงเปี่ยมอำนาจ
แล้วก็มีคนเอาผ้าขาดอุดปากหลัวอ้ายอวี้ไว้
หลี่ว์อีอวิ๋นรีบพุ่งออกมาอย่างตื่นกลัว และโกรธเคืองว่า “พวกคุณคิดจะทำอะไรแม่ฉันน่ะ!! ปล่อยเธอนะ!! ปล่อยเธอ!”
ขณะเดียวกัน ชาวบ้านสามสี่คนก็ขวางหลี่ว์อีอวิ๋นไว้ เธอจึงไม่อาจเข้าไปใกล้ได้เลย
เสียงเอะอะโวยวายทำให้คนในบ้านพักตกใจตื่นขึ้นมา
เริ่นจื่อหลิงและหลี่จือเดินออกมาก่อนสองคน แล้วคนที่ตามมาด้านหลังคือโยวเย่ เริ่นจื่อหลิงมองเห็นเหตุการณ์ตรงประตูทางเข้าก็ขมวดคิ้วทันที แล้วคิดจะเดินออกไปข้างนอกทันที ทว่ากลับถูกลั่วชิวขวางไว้
ลั่วชิวจับแขนเริ่นจื่อหลิงแล้วดึงตัวกลับมาเบาๆ
“ลั่วชิว เธอ…นี่เธอจะทำอะไร ปล่อยฉันก่อน” เริ่นจื่อหลิงน้ำเสียงหนักแน่นขึ้นทันที แต่ก็ลดเสียงต่ำลงด้วยเช่นกัน
เธอเชื่อว่าลั่วชิวจะไม่ห้ามเธอโดยไม่มีเหตุผล
ลั่วชิวส่ายหน้าบอก “นี่ไม่ใช่ถิ่นของคุณ”
เริ่นจื่อหลิงพลันขมวดคิ้วมุ่น ตระหนักได้ชัดถึงความรุนแรงของเหตุการณ์ แต่ด้วยเป็นคนรักความยุติธรรมโดยกำเนิด กลับทำให้เธอไม่อาจปล่อยผ่านไปได้
เริ่นจื่อหลิงเห็นคนพวกนั้นจะพาตัวหลัวอ้ายอวี้ไป ก็ตะโกนถามเสียงดัง “พวกคุณคิดจะทำอะไรกัน! จะจับตัวคนไปที่ไหน?!”
อาเป่ากงมองดูพวกลั่วชิวแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “พวกเธอเป็นใครกัน? ฉันไม่เคยเห็นพวกเธอในหมู่บ้านหลี่ว์เลย”
“พวกเราเป็นลูกค้าที่มาเที่ยว!”
อาเป่ากงกลับตอบว่า “ในเมื่อเป็นนักท่องเที่ยว ก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเธอ คนนอกอย่ามายุ่งเรื่องในหมู่บ้านหลี่ว์ของพวกเราดีกว่า อยู่เที่ยวเล่นที่นี่ให้สนุกไปเถอะ!”
“เอ๊ะ…ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ?!”
อาเป่ากงกลับไม่สนใจ โบกไม้โบกมือ พูดเสียงดัง “พวกเราไป!”
“เดี๋ยวก่อน พวกคุณจะจับแม่ของเธอไปโดยไม่ถามความเห็นเธอสักหน่อยเหรอ?” เริ่นจื่อหลิงพูดอย่างโกรธเคือง “พวกเราเป็นคนนอก หรือว่าเด็กคนนี้ก็เป็นคนนอกด้วย?”
อาเป่ากงมองหลี่ว์อีอวิ๋นที่ล้มลงกับพื้นอย่างไม่ใส่ใจแวบหนึ่ง พลางพูดอย่างเย็นชาว่า “ยังไงผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ใช่แม่บังเกิดเกล้าของเด็กคนนี้อยู่แล้ว! หล่อนตายไปตั้งแต่คลอดเธอออกมาแล้ว! ผู้หญิงคนนี้คือเมียใหม่ที่หลี่ว์ไห่แต่งเข้ามาทีหลัง!”
“อะไรนะ?!”
หลี่ว์อีอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองด้วยความไม่อยากเชื่อ
เริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อก็สีหน้าตื่นตะลึงเช่นกัน
…
“อ๊า!!! พวกแก!!!”
ในชั่วพริบตานั้นเอง เสียงของหลี่ว์ปู้ไห่ที่เป็นอัลไซเมอร์ก็ดังมาจากในบ้าน!
หลี่ว์ปู้ไห่มีสีหน้าดุร้าย สองมือถือไม้คานอันหนึ่งพุ่งออกมา โบกกวัดแกว่งไปมาสุ่มสี่สุ่มห้า ตะโกนพูดเสียงดังด้วยความโมโห “ปล่อยเธอ!! ปล่อยเธอ!! ปล่อยลูกสะใภ้ของฉัน!! ปล่อยสุ่ยเอ๋อร์!! ปล่อยเธอนะ!!”
“คุณปู่!!”
แต่คนแก่อย่างหลี่ว์ปู้ไห่ก็ถูกชาวบ้านสามสี่คนกดตัวลงบนพื้นได้อย่างง่ายดาย
หลี่ว์ปู้ไห่กลับยังดิ้นพล่านพูดว่า “ปล่อยฉัน! ปล่อยฉัน!! พวกเดรัจฉาน! พวกแกมันเดรัจฉาน!! ปล่อยลูกสะใภ้ฉัน!! ปล่อยเธอ!!”
“หลี่ว์ปู้ไห่!! แกแก่เลอะเลือนแล้ว! ลูกสะใภ้แกตายไปตั้งนานแล้ว! คนนี้ไม่ใช่!” อาเป่ากงทำเสียงปลงในลำคอ โบกมือพูดว่า “พวกเราไป! ไปผาฟังเสียงคลื่น!”
หลี่ว์ปู้ไห่ที่ถูกชาวบ้านกดลงกับพื้นก็ลุกขึ้นไม่ได้ เขามองชาวบ้านจากไปด้วยท่าทางเซ่อๆ ซ่าๆ แล้วก็นั่งลงบนพื้นร้องไห้ราวกับเด็ก “อย่าไปนะ! อย่าไปนะ! เอาลูกสะใภ้ฉันคืนมานะ! เอาคืนมา…”
ในเวลานี้สาวน้อยวิ่งมาข้างๆ หลี่ว์ปู้ไห่ กอดปู่ของตนเองด้วยน้ำตาคลอเบ้า ใบหน้างุนงงไม่รู้จะทำยังไงดี
“นี่ ที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ฉับพลันนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
อู๋ชิวสุ่ย เสี่ยวตู้ และชาวบ้านรุ่นใหม่อีกสองคนตามมาถึงนี่ด้วยความรีบร้อน พวกเขาเห็นหลี่ว์อีอวิ๋นกับหลี่ว์ปู้ไห่นั่งกอดกันร้องไห้สะอึกสะอื้นบนพื้นแวบหนึ่งก็ขมวดคิ้ว
“เมื่อกี้นี้ คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาจับตัวแม่ของเธอไป บอกว่าจะไปผาฟังเสียงคลื่น” เริ่นจื่อหลิงมองเห็นอู๋ชิวสุ่ยมาแล้ว ก็รีบบอกทันที
อู๋ชิวสุ่ยกระทืบเท้าข้างหนึ่ง พูดอย่างเกลียดชัง “ช้าไปหรือนี่! บ้าเอ๊ย! เจ้าคนพวกนี้! บังอาจจริง!! ไป พวกเรารีบไปผาฟังเสียงคลื่น!”
“เดี๋ยวก่อน เลขาอู๋ คุณรู้หรือเปล่า ชาวบ้านพวกนั้นคิดจะทำอะไร?” เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้วถาม
อู่ชิวสุ่ยริมฝีปากกระตุก พูดว่า “พวกคุณเป็นแค่นักท่องเที่ยว เรื่องของหมู่บ้านหลี่ว์เป็นความรับผิดชอบของผม พวกคุณไม่ต้องมายุ่ง!”
เขารีบกำชับเสี่ยวตู้ว่า “คุณไปหาคนรุ่นใหม่ที่อายุน้อยหน่อยมาเพิ่มสักสามสี่คน! พวกเรารีบไปผาฟังเสียงคลื่นกัน!”
เริ่นจื่อหลิงมองอู๋ชิวสุ่ยรีบร้อนจากไปด้วยสีหน้าโกรธเคือง ก็พูดพึมพำกับตัวเอง “พวกคนแก่สารเลวพวกนี้นี่ คงไม่ได้คิดจะทำเหมือนตอนนั้นหรอกนะ ใช้คนเป็นๆ เซ่นไหว้เทพเจ้าทะเลอะไรนะ…”
จู่ๆ เธอก็รู้สึกเย็นยะเยือกตัวสั่นเทาทันที ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว
เริ่นจื่อหลิงมองดูสองปู่หลานคู่นี้ คนหนึ่งสติเลอะเลือน อีกคนสับสนมึนงง กอดกันกลมราวกับไม่มีที่พึ่ง ฉับพลันเริ่นจื่อหลิงก็พูดอะไรไม่ออก
เธอเดินไปข้างๆ หลี่ว์อีอวิ๋น ย่อตัวลงพูดปลอบใจ “เลขาอู๋คนนี้ดูพึ่งพาได้อยู่ แม่ของเธอจะต้องปลอดภัยแน่นอน”
สาวน้อยได้แต่พยักหน้าอย่างสับสน
เริ่นจื่อหลิงก็ถามอีกว่า “จริงสิ เมื่อกี้ตาแก่คนนั้นบอกว่า เถ้าแก่เนี้ยไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเธอ มันเรื่องอะไรกันแน่?”
หลี่ว์อีอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมา เธอสบตากับลั่วชิวที่อยู่ข้างหลังเริ่นจื่อหลิงซึ่งมองเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วก็เผลอก้มหน้าลง “ฉัน ฉันไม่รู้ค่ะ…”
บทที่ 20 ความหวังของคนแก่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตลอดทางที่เดินขึ้นมา หลัวอ้ายอวี้ที่เดิมทีหวีผมเผ้าไม่ทันก็ยิ่งสกปรกและยุ่งเหยิง เธอล้มอยู่บนพื้นหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ว่าก็ถูกคนฉุดขึ้นมาอย่างป่าเถื่อนทันที
ความกลัวตลอดทาง ทำให้เถ้าแก่เนี้ยที่ยังหลงเหลือเสน่ห์อันน้อยนิดคนนี้บีบน้ำตาออกมา
ถนนสายนี้คือผาฟังเสียงคลื่น
เดิมทีหลัวอ้ายอวี้ไม่ได้รู้ว่าคนพวกนี้จับเธอมาที่แห่งนี้ทำไม จนถึงตอนนี้ถึงได้แกะผ้าปิดปากของเธอออก
“พวกชั่วนี่! ปล่อยฉันนะ! พวกแกคิดจะทำอะไรกันแน่!” หลัวอ้ายอวี้ร้องเสียงแหลมทันที
อาเป่ากงมองดูอยู่แวบหนึ่ง พูดอย่างเย็นชาว่า “รออีกเดี๋ยวเธอก็จะได้รู้แล้วล่ะ”
ทันใดนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็เดินมาทางด้านหลังอย่างต่อเนื่อง มือของคนพวกนี้ทุกคนกำลังเข็นรถเข็นวัสดุก่อสร้างคันหนึ่งอยู่ และบนรถเข็นก็ใส่คนไว้คนหนึ่งหรือสองคนเหมือนๆ กัน
ในรถเข็นวัสดุก่อสร้างหลายสิบคันล้วนแล้วแต่ใส่คนเอาไว้เต็ม สีท้องฟ้านี้ได้สว่างอย่างเต็มที่แล้ว
ตอนที่หลัวอ้ายอวี้เห็นว่าในรถเข็นวัสดุก่อสร้างกำลังบรรทุกคนไว้อยู่ ก็ตกใจจนหน้าถอดสีมือไม้แขนขาอ่อนทันที
แล้วคนวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินไปที่ข้างกายของอาเป่ากง “อาเป่ากง เอาตัวคนติดโรคมาหมดแล้ว!”
อาเป่ากงพยักหน้าพูด “ครอบครัวของพวกเขาล่ะ?”
คนวัยกลางคนตอบ “ตอนอยู่ที่คลินิก พวกเขาไม่เห็นด้วย แต่ว่าในคนพวกนี้จู่ๆ ก็มีคนติดโรคอีกแล้ว…ในตอนนี้พวกเขาก็เลยต้องจำยอม มีหลายคนที่คัดค้านไม่เลิก ก็ให้พี่น้องกำราบเอาไว้แล้ว ที่เหลือล้วนแต่ไม่กล้าพูด ครั้งนี้ไม่ได้มาด้วย บอกว่าไม่อยากดูภาพแบบนี้ แต่เพื่อเป็นการระวังไว้ ผมเลยให้คนเฝ้าคลินิกไว้แล้ว ไม่ให้คนออกมา”
อาเป่ากงพยักหน้า “ฉันดูฤกษ์ยามแล้ว อีกหนึ่งชั่วโมงก็จะเป็นฤกษ์ดีแล้ว พอถึงเวลาปุ๊บก็เซ่นไหว้เทพเจ้าทะเลเลยแล้วกัน”
“เซ่นไหว้? เซ่นไหว้อะไรกัน? พวกแกพูดให้ชัดเจน!” หลัวอ้ายอวี้รู้สึกไม่ดีเลย ถึงแม้ตลอดทางมานี้จะไม่รู้อะไรเลย แต่ลางสังหรณ์บอกเธอว่า ต่อไปเธอจะมีอันตรายมากกว่าใคร
ชายวัยกลางคนผู้นั้นมาถึงตรงหน้าของหลัวอ้ายอวี้ แสยะยิ้มพูดขึ้นมาทันใด “แน่นอนว่าใช้เธอมาเซ่นไหว้เทพทะเลน่ะ! เห็นท่าทีของคนป่วยพวกนี้แล้วหรือยัง! มีเพียงเซ่นไหว้เธอให้เทพเจ้าทะเล ถึงจะปกป้องหมู่บ้านหลี่ว์ของพวกเราไว้ได้!”
“อะไรนะ!”
หลัวอ้ายอวี้ต่อสู้ดิ้นรนอย่างหวาดผวา เพียงแค่ผู้ชายกำยำสองคนจับเธอเอาไว้ เธอจะดิ้นหลุดออกมาได้อย่างไร? หลัวอ้ายอวี้อ้าปากด่าไปตรงๆ “พวกแกไอ้พวกสารเลว! ไอ้ชั่ว! ปล่อยฉัน! ปล่อยฉันนะ! ฉันจะหาหัวหน้าหมู่บ้าน! บอกเขาว่าพวกแกคิดจะฆ่าฉัน!”
“อย่าโวยวายไป!” คนวัยกลางคนส่งเสียงสบถ ชี้ไปที่รถเข็นวัสดุทางนั้นพลางพูดว่า “หัวหน้าหมู่บ้านก็อยู่ตรงนี้เหมือนกัน! เขาก็ติดโรคแล้ว!”
หลัวอ้ายอวี้นิ่งอึ้ง จากนั้นก็รู้สึกหมดหวัง พยายามดิ้นรุนแรงยิ่งกว่าเก่า จึงถูกคนใช้ผ้ายัดปากไว้อีกครั้ง
เธอถูกกดเอาไว้กับพื้น ทำได้แค่ส่งเสียงร้องไห้อื้ออึงจากลำคอ เธอเนื้อตัวสั่นเทา ตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
ในตอนนี้เองคนอีกกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา
หลัวอ้ายอวี้เหมือนได้ยินเสียงของอู๋ชิวสุ่ยมาแต่ไกล เธอจึงเริ่มจุดประกายความหวังขึ้นมาใหม่
…
…
เริ่นจื่อหลิงเดินไปมาในห้องต้อนรับแขกเล็กๆ ของบ้านพักตากอากาศ
หลีจื่อมองดูจนตาลายเลยอดพูดไม่ได้ว่า “พี่เริ่น พี่เดือดเนื้อร้อนใจอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์หรอก…ยังไงที่นี่ก็ไม่ใช่ถิ่นของเราจริงๆ”
“เพราะอย่างนี้ถึงได้โมโหน่ะสิ!” เริ่นจื่อหลิงกัดฟันพูด “ยุคสมัยไหนแล้ว ทำไมถึงยังมีคนแบบนี้อยู่ แล้วยังเป็นกลุ่มเดียวกันอีก??”
“ชู่ว์…เบาหน่อย” หลีจื่อพูดอย่างระวังว่า “อีอวิ๋นเพิ่งพยุงคุณปู่เธอเข้าห้องพักไป เด็กคนนี้พ่อหายตัวไป แม่ก็ถูกจับไป ซ้ำคุณปู่ยังเป็นแบบนี้อีก…”
เริ่นจื่อหลิงถอนหายใจ นี่ถึงได้ทำให้เธอรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่จนใจที่สุด
“กินอะไรหน่อยเถอะ”
ลั่วชิวกลับเดินออกมาจากห้องครัว มือกำลังถือถาดรอง ด้านบนวางหม้อดินสองหม้อเอาไว้ด้วย
“ฉันกินไม่ลงแล้วล่ะ!” เริ่นจื่อหลิงนั่งลง ท่าทางยังคงคับแค้นใจอยู่เต็มอก
ลั่วชิววางช้อนถ้วยชามและหม้อในถาดลงมา “โจ๊กเนื้อบดใส่ขิง ผมใส่กุ้งและเนื้อปลาแห้งลงไปอีกด้วย”
เริ่นจื่อหลิงเผลอกลืนน้ำลาย หลีจื่อยิ่งออกอาการมากกว่า มองหม้อด้วยดวงตาทอประกาย
“รอให้เย็นอีกหน่อยค่อยกิน” ลั่วชิวก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่แง้มเปิดฝาหม้อออกนิดหน่อย แล้วถือหม้ออีกใบเดินขึ้นไปทางบันไดนี้”
“นี่ เจ้าเด็กนี่ เธอไปไหนน่ะ?”
“ส่งของกินไปให้คุณปู่หน่อยน่ะครับ”
เริ่นจื่อหลิงมองลั่วชิวเดินขึ้นไปตึ่งๆ ๆ ด้วยความตะลึงงัน เธออยากจะพูดอะไรบ้าง แต่ยังคงหุบปากเงียบ…เด็กคนนี้ดูแลคนอื่นเก่งจริงๆ
โยวเย่ก็ชอบเด็กคนนี้เพราะเหตุผลนี้น่ะเหรอ?
สำหรับคุณแม่จื่อหลิงแล้ว ลั่วชิวดีไปหมดทุกเรื่องนั่นแหละ แม้ว่าพูดไม่ค่อยเก่ง แต่ก็ดูออกว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์นะ…รองบรรณาธิการเริ่นที่เคยชินกับการจินตยาการไปเอง ก็ได้จ้องเขม็งทันที “หลีจื่อตักให้ฉันชามหนึ่ง!”
“เฮ้อ? พี่เริ่นไม่ได้บอกว่ากินไม่ลงเหรอ?”
“เธอไม่ต้องสนหรอก…จริงสิ แล้วโยวเย่ล่ะ? ไม่เห็นเธอมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ?”
“ฉันเหมือนเห็นเธอเดินกลับไปที่ห้องแล้ว” หลีจื่อพูดพร้อมกัดช้อน
“เฮ้อ…” เริ่นจื่อหลิงถอนหายใจ
เดิมที เธอคิดจะอาศัยโอกาสนี้ดูแฟนสาวของลั่วชิวให้ดีๆ และถือโอกาสเชื่อมความสัมพันธ์ จัดวันครอบครัวสักครั้งที่ไม่ได้มีมานานแล้ว กลับไม่คิดว่าจะเจอเรื่องเช่นนี้
เด็กสาวที่ชื่อโยวเย่คนนี้ตกใจกลัวไปแล้วหรือเปล่า…เริ่นจื่อหลิงกำลังคิดอย่างเผลอไผล ก่อนส่งโจ๊กร้อนๆ เข้าไปในปากคำหนึ่ง
“โอ๊ย! ลวกจะตายแล้ว!” เริ่นจื่อหลิงแลบลิ้นออกมา ใช้ฝ่ามือพัดวีอย่างแรงและเร็ว
หลีจื่อกลับหัวเราะก๊าก กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
“เธอหัวเราะอะไร? ไม่เคยเห็นคนลิ้นโดนลวกเหรอ?” เริ่นจื่อหลิงมองค้อนทันที
หลีจื่อส่ายหน้าพูด “ไม่ใช่เรื่องนี้ซะหน่อย แค่ฉันคิดว่า ‘ลูกชายคนโต’ ของพี่คนนี้เข้าใจพี่มากกว่าตัวพี่เองซะอีกนะพี่เริ่น เขาบอกไว้แล้วว่าให้เย็นหน่อยพี่ค่อยกิน แล้วพี่ก็ยังพลาดจริงๆ”
เริ่นจื่อหลิงขายหน้าอย่างมาก
…
แอ๊ด
วินาทีที่ประตูห้องเปิดออก หลี่ว์อีอวิ๋นพลันนิ่งอึ้ง มองลั่วชิวด้วยสีหน้าเก้ๆ กังๆ …มองเขาที่ถือถาดอยู่
“ผมเข้าไปได้ไหม?”
“อ้อ…ค่ะ” หลี่ว์อีอวิ๋นพยักหน้า
สีหน้าของเธอยังคงดูไม่ค่อยดีนัก เธอกำลังมองลั่วชิวเดินเข้ามา นี่คือห้องของหลี่ว์ปู้ไห่ เป็นห้องที่เรียบง่ายมากๆ
ตอนนี้หลี่ว์ปู้ไห่เพียงแค่นั่งมองดูทะเลนอกหน้าต่างอยู่ตรงปลายเตียงเงียบๆ
คนแก่คนนี้มีตัวอยู่ที่นี่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดกลับไม่ได้อยู่ที่นี่
ลั่วชิวเดินมาถึงข้างกายหลี่ว์ปู้ไห่ มองดูอยู่แวบหนึ่ง แล้วก็มองหลี่ว์อีอวิ๋นอีกแวบหนึ่ง ตอนนี้สาวน้อยรีบเดินมา รับถาดจากมือลั่วชิวไป แสดงรอยยิ้มฝืนๆ พลางพูดว่า “ลำบากคุณแล้วค่ะ เดิมทีคุณต่างหากที่เป็นลูกค้า”
“ผมรับแขกจนชินแล้วครับ” ลั่วชิวพูดเสียงเบา
หลี่ว์อีอวิ๋นไม่รู้จะตอบโต้คนที่ทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นคนนี้ได้เลย จึงก้มหน้าลงคนโจ๊กที่อยู่ในจาน
เธอตักออกมาบางส่วน ตัวเองชิมรสชาติและความร้อนเล็กน้อย แล้วสาวน้อยก็ต้องตะลึงงันไปเลย
“ไม่ถูกปากเหรอครับ?”
หลี่ว์อีอวิ๋นพูด “เปล่าค่ะ อร่อยกว่าที่ฉันทำอีก…แต่ถ้าไม่มีผักดอง คุณปู่ฉันก็จะไม่ยอมกินทั้งนั้น”
“อืม ผมจะไปทำมาให้นะครับ” ลั่วชิวพยักหน้า
หลี่ว์อีอวิ๋นรีบพูด “ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน…เดี๋ยวฉันกลับมา”
หลี่ว์อีอวิ๋นออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ความจริงเขาเห็นผักดองจานเล็กๆ ที่หั่นไว้ดีแล้วอยู่ข้างหม้อดินตั้งนานแล้ว เจ้าของร้านลั่วผู้ที่เห็นแต่ไม่ยอมเอามาก็สังเกตห้องของหลี่ว์ปู้ไห่ไปทั่ว
ที่นี่มีแค่ภาพร่างง่ายๆ อย่างเดียว เป็นภาพที่แขวนไว้บนกำแพงทั้งสี่มุม
พวกมันเริ่มเหลืองไปบ้างแล้วเล็กน้อย
หลี่ว์ปู้ไห่ยังคงมองทะเลนอกหน้าต่างอย่างล่องลอย แต่ได้สติกลับมาบ้างแล้ว โดยเนื้อแท้แล้วเขายังเป็นไม้ใกล้ฝั่งคนนั้นซึ่งพ่วงโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย
ลั่วชิวเดินมาที่ด้านหนึ่งของกำแพง แล้วเดินลูบกระดาษวาดรูปที่คล้ายกันพวกนี้ทีละภาพ
“ทำไมถึงไม่วาดพวกมันให้เสร็จล่ะครับ?”
ถ้าหากคนแก่ยังจำได้ล่ะก็ เขาจะจำเวลาที่พบกันครั้งแรกได้ เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
หลี่ว์ปู้ไห่ที่เงียบไม่ขยับเขยื้อน เมื่อได้ยินคำถามนี้ก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ เขาค่อยๆ หันหน้ามา วินาทีที่สายตาฝ้าฟางประสานกับสายตาของลั่วชิว สายตาของหลี่ว์ปู้ไห่ก็กลับมาชัดเจนเล็กน้อย
“ช่วยเธอ ช่วยเธอ…”
เขาพูดซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนว่าตัวเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่บ้างกันแน่
ตาทั้งสองของหลี่ว์ปู้ไห่กำลังกลับไปมืดมน แล้วมองไปยังทะเลที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตานั้นอีกครั้ง
แต่ว่าม้วนหนังแกะเก่าแก่ม้วนหนึ่งกลับค่อยๆ คลี่ออกมาตรงหน้าเขา
เมื่อฝ่ามือกดลงไปบนม้วนหนังแกะ แสงสว่างสุดท้ายในสายตาของหลี่ว์ปู้ไห่พลันก็หายไป เขากลับไปนั่งที่ลานหญ้านั้นอีกครั้ง ด้วยท่าทางหันไปทางทะเลกำลังวาดภาพ
แต่ตาทั้งสองกลับเปลี่ยนไปเป็นฝ้าฟาง
บทที่ 21 ผมคิดจะช่วยคุณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อหลี่ว์อีอวิ๋นกลับไปที่ห้องของหลี่ว์ปู้ไห่อีกครั้งกลับไม่เห็นลั่วชิวอยู่ที่นี่
สาวน้อยขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่เธอยังคงเดินไปข้างหน้าหลี่ว์ปู้ไห่ คุณปู่เธอยังคงอยู่ในท่าเดิม
แต่ก็เหมือนไม่ใช่ท่าเดิม หลี่ว์อีอวิ๋นสัมผัสได้ว่าหลี่ว์ปู้ไห่ไม่เหมือนปกติเล็กน้อย เขาเงียบยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก
สาวน้อยถึงขนาดมองไม่เห็นความมีชีวิตชีวาเพียงน้อยนิดในดวงตาของคุณปู่ ราวกับว่าที่อยู่ตรงนี้มีเพียงร่างกายเท่านั้น
ฉับพลันนั้นเธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
สาวน้อยมองดูดวงตาที่ขุ่นมัวไปหมดคู่นี้ ก่อนค่อยๆ ถอยหลังไปทีละก้าวทีละก้าว แล้วปิดปากของตัวเองเบาๆ จนกระทั่งเธอชนเข้ากับหน้าต่างในที่สุด
หลี่ว์อีอวิ๋นเปิดหน้าต่างออกทันที เธอไม่ได้คิดจะเผชิญหน้ากับอาการของหลี่ว์ปู้ไห่เช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงยื่นหัวออกไปสูดอากาศนอกหน้าต่าง
ต้องมีสักวันที่เขาจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไป ญาติของเขา บ้านของเขา ทุกๆ อย่างของเขา จนกระทั่งตัวเขาเอง ผลพวงสุดท้ายของโรคอัลไซเมอร์นี้ก็เป็นแบบนี้แหละ อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปได้เลย
สาวน้อยรู้เรื่องพวกนี้มาตั้งนานแล้ว ด้วยยุคสมัยที่สารสนเทศพัฒนาไปไกล เด็กวัยรุ่นจึงศึกษาทำความเข้าใจเรื่องต่างๆ มากมายได้ง่ายด้วยการค้นหาผ่านอินเทอร์เน็ต
รู้มาตั้งนานแล้วนี่
เพียงแต่ เพียงแต่หวังว่าวันนี้จะมาถึงช้าอีกหน่อย หนึ่งปี หนึ่งเดือน หนึ่งวัน หรือหนึ่งชั่วโมงก็ยังดี
เธอสูดอากาศบริสุทธิ์ของทะเลเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า อากาศนั้นมีกลิ่นเค็มและสดชื่นเฉพาะตัวของทะเลปนเปอยู่ด้วย แต่กลับไม่ได้ทำให้สาวน้อยคนนี้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด
สุดท้ายหลี่ว์อีอวิ๋นก็ไม่ได้เข้มแข็งแบบที่ตัวเองคิดไว้
น้ำตาของเธอไปไม่ถึงทะเลที่อยู่ข้างหน้า เพียงแค่ไหลลงสู่กลางฝ่ามือของตัวเธอเอง จากนั้นก็ไหลเปื้อนบนขอบหน้าต่าง ไหลรินโดยไร้เสียงร่ำไห้ ทว่าฉับพลันเธอก็เห็นชายวัยรุ่นคนนั้นกำลังมองอะไรอยู่ที่สนามหญ้าข้างๆ
หลี่ว์อีอวิ๋นเปิดประตูระเบียงข้างๆ ออก แล้วเดินลงไปจากบันไดเล็กๆ ข้างๆ ระเบียงไปถึงสนามหญ้า
เธอเดินมาอยู่ที่ข้างๆ วัยรุ่นคนนี้อย่างเผลอไผล
เธอเพิ่งจะรู้สึกตัว…จึงแอบรู้สึกเสียใจภายหลังอยู่บ้าง เพราะมองไปจากทิศนี้ ก็คือบริเวณผาฟังเสียงคลื่นนี่เอง
“ข้างบนนั้นคงจะกำลังวุ่นวายมากเลยนะ”
ลั่วชิวหันตัวมามองหลี่ว์อีอวิ๋น พลางพูดเสียงเบาๆ
…
“คุณทำอะไรคุณปู่ฉันหรือเปล่า หรือว่าพูดอะไรไป?”
แต่การพูดจาของสาวน้อย กลับเป็นการคลำไปถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงบางเรื่อง
ลั่วชิวแสดงรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาคิดจะให้สาวน้อยคนนี้ได้เงียบสงบลงที่นี่ตอนนี้ อีกทั้งยังพูดว่า “คุณคิดว่าผมจะทำอะไรคุณปู่คุณ หรือพูดอะไรล่ะครับ?”
เริ่นจื่อหลิงเป็นคนที่เข้าหาได้ง่ายมากๆ หลีจื่อก็เป็นคนที่ค่อนข้างเรียบง่ายและอ่านใจได้ไม่ยาก ส่วนคนที่ชื่อโยวเย่คนนั้นกลับดูลึกลับ นี่เป็นเรื่องที่สาวน้อยสัมผัสได้จากการคลุกคลีในช่วงเวลาสั้นๆ ทว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ กลับลึกลับและเข้าหายากยิ่งกว่า
“ฉัน!” หลี่ว์อีอวิ๋นเบนสายตาออกไปทางทะเลทันที “ฉันไม่รู้”
ลั่วชิวพยักหน้า ก่อนมองไปทางผาฟังเสียงคลื่นอีกครั้ง “อู๋ชิวสุ่ยยังไม่ได้กลับมา ซึ่งก็หมายความว่า แม่ของคุณอาจถูกชาวบ้านโยนลงไปได้ตลอดเวลา ผมว่าคุณเหมือนไม่ได้เป็นห่วงเท่าไรนะ”
“จะเป็นไปได้ยังไง” หลี่ว์อีอวิ๋นกัดฟันพูด “ฉันก็ไปมา…เพียงแต่ เพียงแต่คุณปู่คนเดียว ฉัน…”
“ไม่อยากให้เธอถูกโยนลงไปเหรอครับ?” ครั้งนี้ลั่วชิวเหมือนจะพูดตรงยิ่งกว่าเดิม
“ไม่อยาก” หลี่ว์อีอวิ๋นเงยหน้ามอง
“แต่เธอไม่ใช่แม่แท้ๆ ของคุณนะ”
“ฉัน ฉันก็เพิ่งรู้!”
“คุณกินข้าวหรือยัง?”
“อะไรนะ? กินแล้ว…”
“กินอะไรมา? ใครเป็นคนทำ? กินกี่โมง? กินไปแค่ไหน? บะหมี่หรือข้าว? ปกติกินข้าวได้มากเท่าไร? คุณสมัครใจสอบเอ็นทรานซ์ที่ไหน? มีคนสมัครใจกรอกใบสมัครเหมือนกับคุณหรือยัง? คุณรู้มานานแล้วว่าไม่ใช่แม่แท้ๆ ของคุณ แล้วคุณมีความรักในวัยเด็กไหม? คุณมีความรักในวัยเด็กเมื่อไร?? รู้ตัวตอนไหน? คนที่ชอบคือใคร? สูงเท่าไร? ชื่ออะไร? อีกฝ่ายชอบคุณไหม?”
“โจ๊ก” “ฉันทำเอง” “ตอนเช้าตีห้ากว่าๆ” “หนึ่งชาม” “โจ๊ก” “หนึ่งชาม” “มหาวิทยาลัยสือกวง” “รู้มานานแล้ว” “เปล่า” “เปล่า” “ไม่มีรักวัยเด็ก” “ก่อนสอบเข้ามหา’ลัย” “ฉันบอกไปแล้วว่าไม่มีคนชอบ” “ไม่รู้ค่ะ” “ไม่รู้ค่ะ” “บอกไปแล้วว่าไม่มีคนชอบ ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร…ล่ะ”
ถึงถามทุกอย่างรวดเดียว สาวน้อยก็ตอบกลับได้รวดเร็วเป็นพิเศษ เธอไม่แน่ใจว่าทำไมตัวเองถึงตอบคำถามของอีกฝ่ายรวดเร็วแบบนี้เหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้ คำถามเป็นชุดข้อแล้วข้อเล่าก็ทำให้เธอ…ปิดปากของตัวเองเอาไว้
รู้มานานแล้ว
ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย
“คุณ…คุณเล่นลูกไม้กับฉัน!” สาวน้อยมองอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง
ลั่วชิวส่ายหน้าพูด “ผมไม่ได้บังคับคุณ และก็ไม่ได้ให้คุณตอบผมทันที ทำไมคุณต้องตอบให้ทันคำถามผมด้วยครับ?”
หลี่ว์อีอวิ๋นชะงักไป
ฉับพลันนั้นลั่วชิวพูดก็พูดอีกครั้งว่า “พ่อคุณไม่ได้อยู่ที่คลินิกแล้ว”
หลี่ว์อีอวิ๋นเผลอพูดว่า “เป็นไปได้ยังไง!”
“เดิมทีพ่อของคุณก็ไม่ได้หายตัวไปจากคลินิกเหรอครับ? ทำไมจะเป็นไปไม่ได้?”
“เพราะ!”
หลี่ว์อีอวิ๋นขยับริมฝีปากอีกครั้ง แต่กลับพูดไม่ออก
“ทำไมหลี่ว์เฉาเซิงถึงช่วยคุณ…หรือจะบอกว่าทำไมคุณต้องช่วยเขา?” ลั่วชิวถอนหายใจถาม
หลี่ว์อีอวิ๋นก้มหน้า เธอรู้ว่าเรื่องบางอย่างไม่อาจปิดเอาไว้ได้ เพียงแต่ว่าเธอยังคงสงสัยมากจริงๆ “คุณ…คุณรู้ตอนไหน เป็นเพราะว่าตอนอยู่ที่ครัวมองเห็นฉัน…ยิ้มเหรอคะ”
“ตอนนั้นก็ยืนยันได้ว่าคุณมีปัญหาบางอย่าง” ลั่วชิวพูดเสียงเรียบเฉย “ส่วนที่บอกว่าสงสัย คงจะเป็นเมื่อวานนี้”
หลี่ว์อีอวิ๋นพูดอย่างประหลาดใจ “เมื่อวาน?”
ลั่วชิวพยักหน้าพูด “เมื่อวานตอนที่อยู่ร้านบะหมี่ ท่าทางของคุณต่างออกไปเล็กน้อย”
หลี่ว์อีอวิ๋นยังคงพูดอย่างไม่เข้าใจ “ฉันมีท่าทางอะไรคะ?”
ลั่วชิวพูด “ตอนที่เห็นคนติดโรคคนที่สอง ว่าตามเห็นผล คุณเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ควรจะหันไปแล้วตกใจมากขนาดนั้น แต่ความจริงคือ…คุณหันไป แล้วเป็นจังหวะพอดีกับที่มีคนหนึ่งเดินเข้ามา”
ลั่วชิวพูดอย่างละเอียด “เด็กคนนั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณ เป็นหลานของคนที่ติดโรค ในเมื่อพวกคุณอายุใกล้เคียงกัน นั่นก็หมายความว่าพวกคุณรู้จักกัน ที่หมู่บ้านนี้มีเพียงโรงเรียนประถมประจำหมู่บ้านแห่งเดียว จะเข้าเรียนมัธยมต้นและปลายทำได้แค่ไปเรียนที่เมืองด้านนอก พวกคุณคงจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันล่ะสิ? คุณเลยไม่อยากให้เด็กผู้ชายคนนั้นเห็นคุณ”
หลี่ว์อีอวิ๋นพูดอย่างไม่คาดคิดว่า “เพราะแค่รายละเอียดปลีกย่อยนี้เหรอ?”
ลั่วชิวส่ายหน้าพูด “เปล่า ตอนแรกผมแค่รู้สึกแปลกๆ ว่าเพราะอะไรคุณถึงไม่อยากให้เพื่อนร่วมชั้นเห็นคุณ ต่อมาลองคิดๆ ดูอาจจะเป็นเพราะครอบครัวคุณไม่ได้รับการต้อนรับจากหมู่บ้าน หรือบางทีอาจเป็นเพราะชีวิตที่โรงเรียนไม่ค่อยดีประมาณนั้น ก็เลยไม่ได้เก็บเอาไปคิดอะไร แต่ผมก็ยังติดใจอยู่นิดหหน่อย จนกระทั่งเห็นคุณยิ้มตอนได้ยินเสียงโวยวายนอกประตูบ้านเมื่อตอนรุ่งเช้า”
เขาจ้องจาของเธอพลางพูดว่า “คุณไม่รู้จริงๆ เหรอครับ? นอกจากคุณจะยิ้มไปเล็กน้อยแล้ว สายตาก็แน่วแน่ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าคุณรู้ทุกอย่างมาตั้งนานแล้ว”
“งั้น…คุณถามเรื่องพ่อของฉัน…”
“ผมก็แค่ถามไปตามน้ำ ถ้าเป็นการสอบสวนของตำรวจตามปกติ ก็คงจะเป็นแบบนี้” ลั่วชิวส่ายหน้า “ไม่สิ จะต้องชำนาญกว่านี้”
มีพ่อเป็นตำรวจมันยังไงน่ะเหรอ?
นั่นก็คือที่บ้านจะเต็มไปด้วยตำราเทคนิคการสืบสวนสอบสวนหลายอย่าง
ตอนนี้เป็นเจ้าของสมาคมแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่นที่เคยมีความฝัน เคยมีวิสัยทัศน์ต่ออนาคต เคยมีความมุ่งมั่นอยากจะสืบทอดอุดมการณ์ของพ่อ และลุ่มหลงกับตำราหนังสือที่ยากจะเข้าใจพวกนั้นอย่างเต็มที่
สายตาของหลี่ว์อีอวิ๋นเปลี่ยนไป
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง เหมือนพลังและจิตวิญญาณเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ฉับพลันนั้นท่าทางของเธอก็เปลี่ยนเป็นดูผู้ใหญ่ขึ้น สายตาดุดันกล่าว “ฉันคิดมาตลอดว่าเริ่นจื่อหลิงดูน่าจะระวังมากที่สุด คิดไม่ถึงว่าเป็นคุณต่างหาก”
ลั่วชิวกลับพูดเสียงเบา ดูอบอุ่นอย่างน่าประหลาด “ไม่ ผมแค่ไม่เหมือนกับเธอนิดหน่อย คุณระวังเธอไว้ก็ถูกต้องแล้ว เพราะไม่ช้าก็เร็วผู้หญิงคนนี้จะรู้ความจริง ก็เหมือนกับหนูนั่นแหละ เธอสามารถดมกลิ่นสิ่งที่เธอต้องการได้ทั้งนั้น”
มือของหลี่ว์อีอวิ๋นค่อยๆ วางไปที่ข้างหลัง เธอกำลังมองลั่วชิวอย่างสงบพร้อมพูดว่า “ไม่ว่าเป็นใคร รู้แล้วก็คือรู้แล้ว ถูกต้อง ฉันเป็นคงเสี้ยมให้หลี่ว์เฉาเซิงซ่อนพ่อฉันไว้ และก็บงการเขาให้แพร่กระจายเชื้อโรคพวกนี้ ก่อนตาย ฉันจะบอกคุณไว้หน่อย แม้กระทั่งอาเป่ากงฉันก็ควบคุมไว้ทั้งนั้น…”
“แต่ผมคิดจะช่วยคุณ”
“อะไรนะ?”
สาวน้อยคิดจะชักมือที่อยู่ด้านหลังออกมา แต่ก็ต้องชะงักกึกทันที
เพราะว่า…เธอไม่มีทางคาดเดาได้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่!
บทที่ 22 เมฆหนาราวกับน้ำลึก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยามนี้แววตาของสาวน้อยราวกับคลื่นยักษ์บนผิวน้ำทะเลที่ลมพัดพามา
เพียงไม่นาน หลี่ว์อีอวิ๋นก็เดินเข้ามาใกล้ลั่วชิว ในระยะห่างเจ็ดเซนติเมตรนั้น เธอเงยหน้าขึ้นมา พร้อมถามว่า “ทำไมคุณถึงช่วยฉันล่ะคะ? คุณรู้ไหมว่าฉันคิดจะทำอะไร?”
ลั่วชิวตอบ “ผมไม่สนว่าคุณจะทำอะไร”
หลี่ว์อีอวิ๋นก้มหน้าลง พูดขอบคุณมาคำหนึ่ง
ในที่สุดสาวน้อยก็เริ่มขยับตัว เธอยื่นมือขวาออกไปคว้าชายหนุ่มที่เธอเพิ่งรู้จักไม่ถึงสามวัน
แขนอันบอบบางแรงเยอะอย่างคาดไม่ถึง เธอยกชายโตเต็มวันคนหนึ่งขึ้น แล้วเหวี่ยงให้ล้มลงไปบนสนามหญ้า
ลั่วชิงเหมือนจะสลบเพราะแรงเหวี่ยงนี้ สาวน้อยมองลั่วชิวที่หลับตาสองข้างอยู่บนพื้น แล้วอ้าปากกว้างสูดเอาลมเค็มๆ ริมทะเลเข้าไปเฮือกหนึ่ง
แต่ไหนแต่ไรมาที่นี่ไม่เคยขาดลมทะเล
หลี่ว์อีอวิ๋นเสยผมเล็กน้อย พึมพำเสียงเบาว่า “แต่ฉัน…ไม่ต้องการคนช่วย”
ที่นี่เป็นแนวสันเขา ด้านหลังบ้านพักตากอากาศก็เป็นถนนสายเล็กๆ บนภูเขา เดินขึ้นไปตามทางสักพัก ก็จะเห็นบ้านไม้เล็กๆ หลังหนึ่ง
หลี่ว์อีอวิ๋นอุ้มตัวลั่วชิวเข้ามาในบ้านไม้เล็กๆ หลังนี้ แล้วใช้เชือกป่านใหญ่หนาพิเศษหนึ่งเส้น พันมัดตัวคนไว้กับเสาไม้ค้ำบ้านต้นหนึ่งหลายรอบ
สาวน้อยคิดใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ก่อนหยิบโทรศัพท์ของเขามา วางไว้ในตำแหน่งที่ไม่อาจเอื้อมถึง แล้วถือโอกาสปิดเครื่องไป
หลังจากที่เธอตรวสอบจนแน่ใจแล้วว่ารอบตัวลั่วชิวไม่มีสิ่งใดช่วยเขาหลบหนีไปได้ ถึงได้ค่อยๆ ก้าวถอยหลัง พูดเสียงเบาว่า “พี่ชาย ช่วยรออยู่ที่นี่เฉยๆ สักสามสี่วันนะ…แค่สามสี่วัน”
…
…
“เฮ้อ…อิ่มจริงๆ”
หลีจื่อลูบท้องพิงพนักเก้าอี้ เลียริมฝีปากตนเองไม่จบไม่สิ้น เรอแล้วก็พูดว่า “พี่เริ่น ฉันนับถือพี่เลย!”
เริ่นจื่อหลิงวางชามลง ถามอย่างงงงัน “นับถืออะไรฉัน?”
“กินแล้วไม่อ้วนไง!” หลีจื่อกะพริบตาตอบ “พี่ดูสิ ลั่วชิวของพี่นี่ได้ทักษะพ่อครัวมาเต็มๆ เลยสินะ? อาหารที่ทำมาอร่อยขนาดนี้ แต่หลายปีมานี้พี่กลับไม่อ้วนขึ้นเลยสักนิด พี่ว่าถ้าฉันไม่นับถือพี่ แล้วฉันจะไปนับถือใคร?”
“ไปๆ ๆ” เริ่นจื่อหลิงโบกไม้โบกมือ
ในตอนนี้เองหลี่ว์อีอวิ๋นก็เดินเข้ามาพอดี เริ่นจื่อหลิงจึงถามด้วยความอยากรู้ “เอ๊ะ? ทำไมเธอกลับมาจากข้างนอกล่ะ เมื่อกี้เพิ่งเห็นเธอขึ้นข้างบนไปไม่ใช่เหรอ?”
หลี่ว์อีอวิ๋นตอบ “อืม ฉันลงมาจากบันไดเล็กๆ ตรงระเบียงนั่นค่ะ…เมื่อกี้เหมือนเห็นคน ฉันเลยนึกว่าพ่อกลับมาแล้ว แต่ฉันมองผิดไปค่ะ”
เริ่นจื่อหลิงพูดปลอบใจ “ไม่มีอะไรหรอก พ่อเธอต้องกลับมาแน่ๆ”
เพื่อเลี่ยงไม่ให้สาวน้อยคนนี้เสียใจมากกว่าเดิม เริ่นจื่อหลิงจึงได้แต่เปลี่ยนเรื่องคุย “จริงสิ เมื่อกี้เห็นลั่วชิวก็เดินขึ้นข้างบนไปแล้วเหมือนกัน เธอเห็นเขาบ้างหรือเปล่า? เขาอยู่ไหน?”
หลี่ว์อีอวิ๋นตอบ “คุณลั่วบอกว่า มีธุระนิดหน่อย แล้วก็ออกไปแล้วค่ะ”
เริ่นจื่อหลิงตะลึงงัน ขมวดคิ้วแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา…ยังไม่ทันไร คิ้วของเริ่นจื่อหลิงก็ขมวดแน่นกว่าเดิม “ปิดโทรศัพท์ไปแล้ว เจ้าเด็กนี่มีเรื่องอะไรกันแน่?”
“พี่เริ่น เขาโตขนาดนี้แล้ว พี่ยังจะห่วงอะไรอีก?” หลีจื่อบอก
เริ่นจื่อหลิงตอบว่า “ถ้าเป็นที่อื่นก็ยังดี แต่หมู่บ้านนี้แปลกมากๆ …จะว่าไป มีอย่างที่ไหนทิ้งแฟนสาวตัวเองไว้ ส่วนตัวเองออกไปข้างนอกคนเดียว ไม่รู้ว่าไปทำอะไร…ไม่ได้การล่ะ ฉันต้องไปดูหนูโยวเย่สักหน่อยแล้ว ไม่รู้ว่าตกใจแย่แล้วหรือเปล่า!”
เรื่องนี้ล่ะก็ กระตือรือร้นเชียวนะ
หลีจื่อเห็นเริ่นจื่อหลิงวิ่งออกไปราวกับพายุก็ส่ายหน้า ถอนหายใจ “ห่วงโอเวอร์เกินไปจริงๆ ถึงจะเป็นญาติกันแท้ๆ ก็ไม่เคยเห็นว่าจะเอาใจใส่ขนาดนี้เลยนะ? ความสัมพันธ์แม่ผัวลูกสะใภ้หลังจากนี้คงราบรื่นดีเลยล่ะ!”
“แม่ผัวลูกสะใภ้?” หลี่ว์อีอวิ๋นอ้าปากค้าง…เธอไม่ได้ฟังผิดนะ?
หลีจื่อยิ้มแล้วมองสาวน้อย อธิบายความสัมพันธ์ให้ฟังอย่างง่ายๆ
หลี่ว์อีอวิ๋นมองไปทางที่เริ่นจื่อหลิงจากไป พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ฉันยังนึกว่าเธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาเสียอีกคะ ไม่นึกว่า…”
…
หลายคนก็คิดไม่ถึงเหมือนกันแหละ
หลีจื่อแอบยิ้มเงียบๆ คนที่อยู่ในช่วงวัยที่งดงามอย่างเริ่นจื่อหลิง กลับยืนหยัดเลี้ยงดูลูกติดของสามีมาโดยตลอด มีใครไม่ตกใจบ้าง?
มีกี่คนแล้วที่มองตาค้อน มีกี่คนแล้วที่เจตนาไม่ดีเคยหาข้อมูลมาอย่างละเอียดอีก เพียงแต่ผ่านมาหลายปีแล้ว เริ่นจื่อหลิงยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง
แม้แต่มุมของคนทั่วไป ก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก แล้วนับประสาอะไรกับมุมมองของปีศาจล่ะ?
เธอเป็นสายอาหาร และทำงานในวงการนิตยสาร ทุกครั้งเวลาเธอเห็นเริ่นจื่อหลิงยิ้มเยาะให้กับพวกมองค้อนมองบนพวกนั้น มักจะรู้สึกได้ว่ามีเสน่ห์บางอย่าง
เธอปีศาจน้อยซึ่งชอบของกิน ผู้ช่วยตัวน้อยในวงการนิตยสาร ก็รู้สึกว่างานในตอนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ
แน่นอนว่าตอนนี้ดูเหมือนว่ามีเหตุผลที่จะอยู่กับพี่เริ่นเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่งแล้ว
ผู้ช่วยตัวน้อยผู้ซึ่งไม่เคยเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงก็เลียริมฝีปาก แล้วมองหม้อตุ๋นที่ถูกจัดการจนสะอาดเกลี้ยง
“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันไปอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ฉันนะคะ” หลี่ว์อีอวิ๋นหันกลับมาบอก
“อ๋อ เอาเลย” หลีจื่อพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ
ปังๆ ปังๆ ๆ ปัง!
ทันใดนั้นก็มีเสียงตบประตูดังขึ้น ทั้งสองคนนิ่งตะลึง ตอนที่เปิดประตู คนที่เห็นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอู๋ชิวสุ่ยนี่เอง!
…
ท่าทางของเลขากรรมการหมู่บ้านคนนี้ดูรีบร้อนแปลกๆ วินาทีที่เพิ่งเปิดประตู เขาก็มองหลี่ว์อีอวิ๋น แล้วรีบถามอย่างรวดเร็ว “แม่ของเธอกลับมาหรือยัง?”
หลี่ว์อีอวิ๋นพูดด้วยความตื่นตะลึงประหลาดใจ “เลขาอู๋ เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าคุณ…คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรกับแม่ฉันใช่ไหมคะ?”
“ไม่ได้กลับมาเหรอ?” อู๋ชิวสุ่ยขมวดคิ้ว แล้วก็พูดด้วยความรีบร้อน “เมื่อกี้พวกเรารีบไปผาฟังเสียงคลื่น แล้วก็เห็นคนกลุ่มนั้นพอดี ผมกำลังคิดว่าจะไปเจรจากับพวกเขา…”
อู๋ชิวสุ่ยถอนหายใจพลางพูดว่า “พูดไปแล้วก็น่าละอายใจจริงๆ การเจรจาล้มเหลวแล้ว เฮ้อ เลขากรรมการหมู่บ้านอะไรกัน ไม่เคยเห็นใครไร้ความสามารถอย่างผมเลย ขอโทษนะ”
หลี่ว์อีอวิ๋นตื่นตระหนกจับแขนเสื้ออู๋ชิวสุ่ยไว้แน่น “งั้น งั้นแม่ฉัน เธอก็…”
“เธอไม่เป็นอะไร” อู๋ชิวสุ่ยตอบ “ต่อมาเธอได้รับความช่วยเหลือจากเด็กหนุ่มคนหนึ่ง”
หลีจื่อถามด้วยความงงงัน “เด็กหนุ่มคนหนึ่ง?”
อู๋ชิวสุ่ยพยักหน้าตอบ “ใช่น่ะสิ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ย้อมผมสีทอง บนแขนเหมือนมีรอยสักอันหนึ่ง แต่ในที่เกิดเหตุชุลมุนมาก ผมมองเห็นไม่ชัด”
“เลขาอู๋คะ คุณพอจะบอกสถานการณ์ตอนนี้ให้ละเอียดได้ไหมคะ?”
แล้วเริ่นจื่อหลิงก็โผล่มาจากด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่นู้ กำลังขมวดคิ้วถาม
“พี่เริ่น!” หลีจื่อร้องเรียกขึ้นมา
เริ่นจื่อหลิงบอก “โยวเย่อยู่บนเตียง น่าจะหลับไปแล้ว ฉันไม่อยากปลุกเธอ…พูดเรื่องเร่งด่วนดีกว่า เมื่อกี้บอกว่าใครช่วยเถ้าแก่เนี้ยมานะคะ?”
อู๋ชิวสุ่ยพูดต่อ “ผมก็ไม่รู้จักเหมือนกันครับ ไม่เคยเห็นนี้มาก่อน น่าจะไม่ใช่คนในหมู่บ้านหลี่ว์ เด็กรุ่นใหม่คนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ไม่ทันไรก็ซัดคนไปกองอยู่กับพื้นแล้ว แต่เหมือนพะว้าพะวังอะไรอยู่ ถึงไม่ได้ลงไม้ลงมือหนักเลย จนกระทั่งกลุ่มพรรคพวกอาเป่ากงกรูกันเข้ามาแล้ว เจ้าเด็กรุ่นใหม่นั่นเห็นว่าไม่มีทางเลือก ก็ด่าด้วยความโกรธไปชุดใหญ่ หลังจากนั้นก็หิ้วแม่ของคุณด้วยแขนข้างเดียว ฝ่ากลุ่มคนออกมาแล้วมุ่งหน้าลงเขาหลบหนีไป ผมนึกว่าเขาจะพาแม่ของคุณกลับมาที่นี่ก่อน ก็เลยรีบตามมาดูสักหน่อย”
“ที่เขาด่าคืออะไร?” เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้วถาม
อู๋ชิวสุ่ยมองเริ่นจื่อหลิงแวบหนึ่ง แล้วอธิบายแบบขอไปที “ไม่มีอะไร ก็แค่ด่าว่าพวกป่าเถื่อนไร้อารยธรรมอะไรแบบนั้นไปสามสี่คำ”
เริ่นจื่อหลิงรู้ว่าถามมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะเจ้าเลขากรรมการหมู่บ้านนี่มัวแต่กังวลว่าจะพูดให้หมู่บ้านเสื่อมเสียชื่อเสียง เพียงแต่ในความคิดของเธอแล้ว เขากำลังหลอกตัวเองอยู่
แต่คนรุ่นใหม่ผมสีทอง บนแขนมีรอยสัก…เจ้าหมอนั่นที่พวกเธอเคยเจอในบ้านพักตากอากาศนี่?
เริ่นจื่อหลิงกับหลีจื่อสบตากันแวบหนึ่ง
ฉับพลันนั้นเอง เสี่ยวตู้ก็รีบวิ่งเข้ามาข้างในอย่างร้อนรน พูดอย่างลนลานว่า “ท่านเลขา! อาเป่ากงพาชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมาแล้ว! ผมเห็นในมือพวกเขาถือจอบเคียวด้วย…คนพวกนี้เลวร้ายเกินไปแล้ว!”
“อะไรนะ!?” อู๋ชิวสุ่ยตกตะลึงอย่างถึงที่สุด!
…
…
เชือกราวกับงูที่ขยับตามเสียงเป่าขลุ่ย ค่อยๆ คดงอคดเคี้ยว แล้วก็คลายออกอย่างสบายๆ
ลั่วชิวลุกขึ้นยืน พิจารณาบริเวณรอบๆ บ้านไม้เล็กหลังนี้
แล้วตอนนี้เองประตูบ้านไม้เล็กๆ ก็เปิดออก
นั่นคือคุณสาวใช้แห่งสมาคม…สองมือของโยวเย่กำลังยกกล่องลังเก่าๆ ใบหนึ่ง
ลั่วชิวเดินมาตรงหน้าโยวเย่ เปิดกล่องออก ฉีกผ้าสีขาวซึ่งเหมือนกับธงประจำชาติผืนนั้นขาด มองดูหลอดทดลองเล็กๆ แต่ละหลอดซึ่งอยู่ในช่องจำนวนมากมาย
เจ้าของร้านลั่วยื่นมือหยิบหลอดหนึ่งออกมา เขย่าๆ แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ใช้หมดแล้วสินะ”
บทที่ 23 ฉากตอนช่วยชีวิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
สีหน้ามั่วมั่วดูไม่ดีเลย
สาเหตุหนึ่งเพราะได้รับบาดเจ็บหนักยังไม่ได้รักษา อีกสาเหตุหนึ่งย่อมเป็นเพราะถูกยั่วให้โมโห
เขาย่อมไม่ใช่คนตามประสาโลกเลยจริงๆ เพียงแต่ตอนที่ได้ยินว่าเมื่อสี่สิบห้าปีก่อนเกิดเรื่องขึ้นในหมู่บ้านหลี่ว์ ก็รู้สึกเหมือนว่าจะไม่เชื่อเสียทีเดียว แต่หลังจากเขาเห็นพฤติกรรมของคนในหมู่บ้านหลี่ว์ด้วยตาของตนเองแล้ว ความไม่เชื่อนี้แปรเปลี่ยนเป็นความไม่ถูกต้องและความโกรธเดือดดาลแทน
“พวกเขาไม่ตามมาแล้ว”
มั่วมั่วมองหญิงซึ่งตื่นตระหนกจนไม่รู้จะทำอย่างไรคนนี้ เขาไม่ไปตัดสินประเมินเสน่ห์และอายุของผู้หญิงคนนี้ แค่พูดด้วยเสียงเฉยเมยว่า “คุณไม่เป็นไรนะ”
จะไม่เป็นอะไรได้ยังไงล่ะ?
หลัวอ้ายอวี้ตกใจกลัวมากจริงๆ!
เธอยังคงตึงเครียดและตื่นกลัวอยู่ ถึงแม้ว่าเธอจะได้รับการช่วยชีวิตจากเจ้าหมอนี่ แต่เวลานี้เธอกลับไม่เชื่อใจใครเช่นกัน เถ้าแก่เนี้ยซึ่งตกใจกลัวเกินพิกัดถอยหลังไปสองก้าวทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ถามว่า “คุณ…คุณเป็นใคร?”
“ผมชื่อมั่วมั่ว” มั่วมั่วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “คุณคิดซะว่าผมเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่ก็แล้วกัน ทำไมพวกเขาจะทำแบบนั้นกับคุณล่ะ?”
หลัวอ้ายอวี้ตั้งสติแล้วส่ายหน้า แต่พอเธอนึกถึงคนป่วยที่ถูกเข็นขึ้นมาบนผาฟังเสียงคลื่นพร้อมกันแล้ว ก็พอจะเข้าใจเรื่องราว พูดอย่างลืมตัวว่า “บางที บางทีคงเป็นเพราะฉันเป็นคนนอกแต่งงานเข้ามา ปกติคนในหมู่บ้านนี้ก็ไม่ค่อยต้อนรับคนนอกที่แต่งงานเข้ามาเท่าไร”
“พวกเขาโอเคกับคนนอก แต่ไม่โอเคกับคนนอกที่แต่งเข้ามา เหตุผลก็ฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไรเลย” มั่วมั่วส่ายหน้า
หลัวอ้ายอวี้ถอนหายใจพูดว่า “ได้ยินว่ากฎของหมู่บ้านแห่งนี้ คือไม่อนุญาตให้แต่งงานกับคนนอก ไม่ว่าจะชายหรือหญิง”
มั่วมั่วไม่คิดจะซักถามเกี่ยวกับประเพณีแบบนี้ ยิ่งประเพณีที่ไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายได้เขาก็เคยพบเห็นมาแล้วเช่นกัน เขาส่ายหน้าถาม “คุณอยู่ที่ไหน? ผมพาคุณกลับไปส่งก่อนแล้วกัน เรื่องนี้ค่อยลองคิดหาวิธีกันอีกที”
หลัวอ้ายอวี้ตกใจทันที “ฉันไม่กลับ! ถ้าฉันกลับไปล่ะก็ พวกเขาจะต้องกลับมาจับฉันอีกแน่นอน…ไม่ได้ ฉันต้องไปจากที่แห่งนี้!”
มั่วมั่วมองท่าทางของหลัวอ้ายอวี้ พูดอย่างเย็นชา “แม้ว่าคุณจะหนีไป คุณก็ต้องกลับไปเก็บของก่อนไม่ใช่? ท่าทางแบบนี้คุณจะไปได้ไกลแค่ไหนกัน?”
หลัวอ้ายอวี้ตะลึงงัน สิ่งที่คนไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าพูดมาก็มีเหตุผล
เพียงแต่หลังจากเคยเจอเรื่องแบบนี้มาแล้ว เธอกลับไม่อาจไว้ใจคนอื่นได้อีก โดยเฉพาะตอนที่เจ้าหมอนี่ช่วยชีวิตเธอไว้ ต่อสู้เก่งเกินไปแล้วจริงๆ!
อย่างกับดาราหนังแอ็กชันในละครเลย ถ้าไม่เห็นเองกับตา เธอคงไม่เชื่อว่านอกจอจะมีคนต่อสู้แบบนี้ได้จริงๆ
แต่ว่า…เจ้าหัวทองนี่ ดูแล้วก็ไม่เหมือนคนดีอะไรเลย!
“งั้น งั้นก็ได้” หลัวอ้ายอวี้กัดฟัน คิดอยู่ว่าเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคงไม่มีอะไรเกินกว่าเหตุการณ์เมื่อครู่แล้ว คิดอยู่ว่าเจ้าหมอนี่เพิ่งเสี่ยงตายช่วยชีวิตเธอไว้ ถึงแม้จะเป็นคนเลวก็ไม่ใช่คนเลวร้ายมากนัก
“ฉันพักอยู่บ้านพักตากอากาศบนไหล่เขาน่ะ”
มั่วมั่วนิ่งตะลึง แล้วขมวดคิ้วมุ่น
บ้านพักตากอากาศบนไหล่เขา นั่นไม่ใช่ที่พักชั่วคราวของ ‘รุ่นพี่’ คนนั้นเหรอ?
ไป หรือไม่ไปดี?
…
…
คนทั้งสองฝ่าย อาเป่ากงเป็นผู้นำคนอีกฝ่ายหนึ่ง อู๋ชิวสุ่ยเป็นผู้นำชาวบ้านฝั่งคนหนุ่มสาวอีกกลุ่มหนึ่ง
ทั้งหมดเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน แต่ในที่แห่งนี้กลับเกิดสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน
“พวกคุณไม่สนใจกฎหมายเลยจริงๆ ใช่ไหม? ผมบอกให้พวกคุณกลับไป! รอถนนเปิดผ่านไปได้แล้ว จะส่งไปโรงพยาบาลที่อุปกรณ์ดีพร้อม คนป่วยก็จะรักษาได้หมด! นี่ไม่ใช่คำสาปอะไร! พวกคุณต้องเชื่อหลักวิทยาศาสตร์!” อู๋ชิวสุ่ยพูดเสียงดัง “ช่วงนั้นเกิดเรื่องน่าเศร้าสลดในหมู่บ้านของพวกคุณ หรือว่าพวกคุณยังอยากให้เกิดขึ้นซ้ำสองเหรอ?”
“พูดหมาๆ! วิทยาศาสตร์อะไร! ไม่ใช่คำสาปอะไรกัน?!” อาเป่ากงแก่มากแล้ว แต่นิสัยบุคลิกกลับไม่ได้แพ้อู๋ชิวสิ่วเลยสักนิดเดียว “เธอบอกฉันสิ! ไม่ใช่คำสาป แล้วนี่มันโรคอะไร? หวัดงั้นเหรอ? เป็นไข้งั้นเหรอ? หรือว่าเป็นโรคอีสุกอีใส? โรคอะไรที่ทำให้ผู้คนกลายเป็นแบบนี้ไปได้!”
อู๋ชิวสุ่ยพูดด้วยความโมโหว่า “โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ มีโรคที่พวกคุณไม่เคยเห็นมันน่าแปลกตรงไหน? ที่สำคัญคือหาสาเหตุการเกิดโรคที่ชัดเจน แล้วก็รักษา! แต่ไม่ใช่ไปเชื่อเทพเจ้าเพ้อเจ้ออะไรนั่น!”
อาเป่ากงทำเสียงหัวเราะเยาะในลำคอพูดว่า “งั้นคุณบอกผมมา ทำไมถนนเส้นที่ออกจากหมู่บ้านถึงถูกตัดขาด? ทำไมเรือถึงพัง? ยังมีอีกทำไมหน้าผาถึงถล่มอีกครั้ง แล้วยังเป็นวันเดียวกันอีก! คุณอย่าบอกผมนะว่าเป็นเรื่องบังเอิญ!”
“เรื่องพวกนี้พวกเราจะตรวจสอบให้ชัดเจน แต่พวกคุณต้องให้เวลาผมหน่อย!” อู๋ชิวสุ่ยพูดด้วยท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมอ่อนให้ “แต่ผมไม่อนุญาตให้พวกคุณก่อความวุ่นวายต่อไป! ตอนนี้ผมขอสั่งให้กลับไปให้หมด!”
อาเป่ากงเคาะไม้เท้างอๆ ในมือแรงๆ ครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “วันนี้ ไม่ว่ายังไงจะต้องนำตัวผู้หญิงคนนั้นไปเซ่นไหว้เทพเจ้าทะเลให้ได้ หมู่บ้านพวกเราถึงจะมีโอกาสรอด! เลขาอู๋ อู๋ชิวสุ่ย! คุณหลบไป! ปกติพวกเราเคารพคุณว่าเป็นเลขา ยังให้เกียรติไว้หน้าคุณ แต่นี่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของพวกเราทั้งหมู่บ้าน เป็นเรื่องของพวกเรา ไม่ต้องให้คนนอกอย่างคุณมาชี้นิ้วสั่งเอาสั่งเอา!”
“คุณ!”
อู๋ชิวสุ่ยเกือบจะพุ่งเข้าไปตบคนแก่คนนี้สักฉาด ช่างเป็นไม้แก่ดัดยากจริงๆ เลย ดื้อรั้นไม่ยอมฟังเหตุผล
“คนที่คุณหาไม่ได้อยู่ข้างใน” อู๋ชิวสุ่ยสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่งพูดว่า “ผมบอกให้พวกคุณกลับไปให้หมด! บ้านพักตากอากาศแห่งนี้ มีแค่เด็กและนักท่องเที่ยวไม่กี่คน! ที่นี่เป็นที่ส่วนบุคคล ไม่อนุญาตให้พวกคุณมาก่อความวุ่นวาย”
อาเป่ากงทำเสียงหัวเราะเยาะในลำคอบอก “ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง คุณมีเจตนาปกป้องผู้หญิงคนนี้ คนอยู่ข้างในก็ย่อมต้องบอกว่าไม่อยู่อยู่แล้ว! แม้แต่เจ้าหมอนั่นที่มาจัดการคนของพวกเราจนบาดเจ็บ ก็อาจเป็นคนที่คุณสั่งมา!”
“คนนั้นผมก็ไม่รู้จักเหมือนกัน คุณอย่าพูดซี้ซั้ว!” อู๋ชิวสุ่ยถลึงตาบอก
ใบหน้านี้ที่จ้องเขม็งด้วยความโกรธ ทำให้หัวใจของอาเป่ากงเต้นแรงทันที แต่เขาขบกราม พูดเสียงแข็งกร้าวว่า “ฉันสั่งให้ค้น! เข้าไปค้น! ค้นเอาตัวคนออกมา!”
ชายชราคนนี้ใช้บารมีและชื่อเสียงที่เพาะบ่มมาในหมู่บ้านหลายสิบปีปลุกระดมคนเก่าแก่ที่อยู่ข้างหลัง อู๋ชิวสุ่ยได้แต่พูดอย่างจนใจ “ขวางไว้! ไม่อนุญาตให้คนพวกนี้เข้าไป! เป็นคนทำอะไรต้องรู้จักขอบเขตเสียบ้าง! อาเป่ากง คุณจะให้คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ปะทะกับผู้หลักผู้ใหญ่ของพวกเขาจริงๆ งั้นเหรอ?”
อาเป่ากงหัวเราะเยาะในลำคอพูดว่า “คุณก็รู้อยู่เหรอว่าพวกเราเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเด็กรุ่นหลังพวกนี้น่ะ? แล้วคุณยังให้พวกเขามาเป็นศัตรูพวกเราอีกเหรอ? พวกเธอคิดจะลงมือกับพวกฉันจริงๆ เหรอ? เด็กน้อยพวกนี้อย่างพวกเธอนี่! ครดูแลพวกเธอมาจนโต? หลีกไป!”
ชาวบ้านวัยรุ่นหนุ่มสาวที่อยู่ด้านหลังอู๋ชิวสุ่ยเริ่มลังเล…ที่เผชิญหน้านี้ มีผู้หลักผู้ใหญ่ของพวกเขาอยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ
พอเห็นพวกคนหนุ่มสาวพวกนี้เริ่มลังเล อาเป่ากงก็โบกไม้เท้างอๆ ในมือพูดว่า “เข้าไป ค้น!”
“แม่งเอ๊ย!! ฉันทนคนแก่ตายยากอย่างพวกคุณมานานมากพอแล้วเหมือนกัน!”
แล้วในตอนนั้นเอง รองบรรณาธิการเริ่นที่ไปเอาจอบเสียมด้ามหนึ่งมาจากไหนไม่รู้ก็พุ่งตัวออกไป เอาจอบเสียมกระแทกบนพื้น “พวกคุณนี่ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว พวกคนแก่ตายยากงี่เง่าเต่าตุ่นที่เอาแต่พูดเรื่องผีสาง แน่จริงก็เข้ามาเลย! มารังแกคนแก่และเด็กสาวที่นี่เลย! ฉันจะคอยดูว่าพวกคุณเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า! มาสิ! ฉันจะฟาดให้ทีละคนเลย!”
“อย่า อย่าสนใจผู้หญิงคนนี้! บุกเข้าไป!” อาเป่ากงใช้เสียงสูงแหลม!
ชาวบ้านผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังย่อมไม่กลัวผู้หญิงคนเดียว จึงพากันบุกเข้าไปข้างหน้าทีละคน นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะกล้าหาญเสียจริง หยิบจอบเสียมขึ้นมาโบกกวัดแกว่งไปมา ทำเอาผู้คนไม่กล้าเข้าไปใกล้
“บุกพร้อมกัน! หาคนไม่เจอ พวกเราจะต้องโดนคำสาปจนตาย!” อาเป่ากงยังปลุกระดมอีก
คนจำนวนมากบุกมาข้างหน้าโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น บีบบังคับให้เริ่นจื่อหลิงถอยหลังไปทีละก้าวทีละก้าว
“พวกคุณอย่ามาก่อความวุ่นวาย!” อู๋ชิวสุ่ยทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว ยืดอกออกมาต่อสู้อย่างกล้าหาญ มุ่งไปจับตัวชาวบ้านคนหนึ่ง แต่กลับถูกคนใจเด็ดผลักให้ไปล้มกองกับพื้น
“เลขา!”
เสี่ยวตู้ตกใจรีบพุ่งมาข้างหน้า กลับถูกคนคลุ้มคลั่งกลุ่มนั้นจับตัวไว้ แต่ชาวบ้านหนุ่มสาวพวกนั้นสามสี่คนได้เข้ามาห้ามไว้ทันที บางคนลังเลสับสน บางคนหลบซ่อนอยู่ข้างๆ
แต่คนกลุ่มใหญ่ก็พุ่งเข้ามาแล้ว สถานการณ์ตอนนี้วุ่นวายอย่างไม่อาจหาที่เปรียบได้
ตอนที่เริ่นจื่อหลิงเริ่มต้านไว้ไม่อยู่แล้ว ในชั่ววินาทีนั้นเอง เสียงดังเสียงหนึ่งดังก็เข้ามาจากประตูทางเข้าด้านนอกบ้านพักตากอากาศ
และสิ่งที่ตามมายังมีเสียงทุ้มต่ำ “ผมสั่งให้ทุกคนหยุด! ไม่มีใครเคารพกฎหมายแล้วใช่ไหม? เชื่อไหมว่าผมยิงพวกคุณได้ด้วยนัดเดียว!!”
หลังจากเสียงคำรามดังลั่นนี้ ก็ตามมาด้วยเสียงปืนดังสนั่นติดต่อกันอีกสองนัด
พวกชาวบ้านพวกนั้นพากันตื่นตกใจ หนุ่มวัยกลางคนไว้หนวดน้อยๆ ท้วมหน่อยๆ คนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลัง กำลังชูปืนกระบอกหนึ่งชี้ขึ้นฟ้า
ที่ตามมาติดๆ ด้านหลังชายหนุ่มวัยกลางคนนี้ คือชายหนุ่มสามนาย…ที่สวมอยู่คือเครื่องแบบตำรวจ จ่อกระบอกปืนไปที่ชาวบ้านเหล่านั้น
“ผมสั่งให้ทิ้งอาวุธในมือไปซะ! ไปยืนอยู่อีกข้างหนึ่ง!”
ชายวัยกลางคนพูดอย่างดุดันเด็ดขาด “ไม่อย่างนั้นผมจะให้พวกคุณได้รู้สักหน่อยว่า การขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ผลยังไง!”
…
“นายตำรวจท่านนี้! ขอบคุณคุณมากๆ เลย! คุณมาได้ยังไง?”
อู๋ชิวสุ่ยกลับมาสงบเยือกเย็นดังเดิมแล้ว รีบเดินมาตรงหน้านายตำรวจวัยกลางคนผู้นี้ เอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ นึกไม่ถึงว่านายตำรวจวัยกลางคนกลับไม่ตอบคำถาม แล้วก็หันเดินไปทางเริ่นจื่อหลิงทันที
รองบรรณาธิการเริ่นซึ่งมือข้างหนึ่งถือจอบเสียมค้ำพยุงตัวไว้ มือข้างหนึ่งเท้าสะเอวไว้ พลันอ้าปากกว้างหอบหายใจแฮ่กๆ จ้องนายตำรวจวัยกลางคนนี้แวบหนึ่ง
นายตำรวจหนุ่มวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนทันทีว่า “นั่นน่ะ…ผมว่าพี่สะใภ้ ครั้งหน้าคุณอย่าทำตัวห้าวหาญแบบนี้ได้หรือเปล่า?”
“ครั้งหน้านายมาให้เร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม?” เริ่นจื่อหลิงไม่ได้พูดเสียงนุ่มนวลว่า “ถ้านายมาช้าอีกนิดนะ ฉันคงถูกคนพวกนี้ระเบิดสมองไปแล้ว!”
นายตำรวจวัยกลางคนทำหน้าเศร้าบอก “สวรรค์เมตตาไง! เมื่อคืนผมได้รับโทรศัพท์ของพี่ปุ๊บก็รีบตะบึงมาเลย พี่นึกว่าการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเรื่องง่ายเหรอ? ผมนี่รีบมาจนต้องยืมเฮลิคอปเตอร์เขามาอีกนะ ยังไม่ผ่านลำดับขั้นตอนกระบวนการเลย กลับไปคงต้องถูกด่าเละอีกนะเนี่ย จะว่าไปที่บ้าๆ นี่ ผมหาที่ลงจอดได้ก็นับว่าเก่งแล้วล่ะ! นี่ยังถือว่าไม่รีบมาอีกเหรอ…อย่าโกรธเลยนะ อย่าโกรธเลย”
เริ่นจื่อหลิงโยนจอบเสียมในมือทิ้งไป ยังคงหอบแฮ่กๆ อยู่ “ให้ฉันดื่มน้ำสักอึกก่อน…”
…
“พี่เริ่น น้ำค่ะ!”
หลีจื่อวิ่งไปเอาน้ำดื่มมาขวดหนึ่ง หลังจากนั้นก็ถามเสียงเบาว่า “พี่เริ่น ท่านนี้ก็คือเซอร์หม่าเหรอคะ? เขามาได้ยังไง?”
เริ่นจื่อหลิงดื่มน้ำไปอึกหนึ่งแล้วพูดอย่างสดชื่นว่า “เมื่อวานฉันคิดว่าหมู่บ้านนี้มันแปลกๆ ทั้งเกิดโรคทั้งถนนถูกตัดขาดอะไรแบบนี้ แน่นอนว่าต้องหาทหารกู้ภัยไง! เธอไม่ได้ยินลูกชายที่ว่านอนสอนง่ายคนนั้นของฉันบอกเหรอ ว่านี่ไม่ใช่ถิ่นของเราอย่าบุ่มบ่าม? งั้นก็ได้ ฉันก็เอาเหตุการณ์เฉพาะหน้านี้เปลี่ยนเป็นถิ่นของเราซะเลย!”
“มิน่าล่ะ พี่ถึงได้ไม่สะทกสะท้านแบบนี้ ที่แท้ก็มีคนหนุนหลังอยู่ตั้งนานแล้วนี่เอง” หลีจื่ออดตะลึงพูดชื่นชมยกยอไม่ได้
เริ่นจื่อหลิงไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อคำยกยอแบบนี้ ใช้มือเช็ดรอยน้ำที่อยู่บนหน้า แล้วก็เดินไปข้างๆ หม่าโฮ่วเต๋อ
ชาวบ้านจำต้องยอมทำตามตำรวจถือปืนสามสี่นายบอก สองมือกุมหัวไว้ นั่งยองๆ อยู่บนถนนด้านนอกบ้านพักตากอากาศ เหตุการณ์กลับเป็นภาพสง่างามยิ่งใหญ่นัก
“เหล่าหม่า ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้นายฟังอย่างละเอียดแล้ว นายว่าจัดการยังไงดีล่ะ?” เริ่นจื่อหลิงถาม
หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว ส่ายหน้า “พูดยาก…เรื่องที่ก่อเหตุร่วมกันแบบนี้ ยุ่งยากที่สุด จริงสิ ลั่วชิวล่ะ? เขาไมาเป็นอะไรใช่ไหม? ทำไมเขาไม่อยู่นี่ล่ะ?”
เริ่นจื่อหลิงส่ายหน้าตอบ “เขาออกไปตั้งนานแล้ว นี่ก็ไม่รู้ว่าไปที่ไหน ฉันก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน…ฉันไปเอง พูดถึงปุ๊บก็กลับมาพอดีเลย”
คนที่กำลังเดินสบายๆ ลงเขามาตามเส้นทางเล็กๆ ก็คือลั่วชิวที่หิ้วถุงสองถุง
เขากำลังมองชาวบ้านพวกนั้นที่นั่งยองๆ อยู่บนถนน มองหม่าโฮ่วเต๋อและเริ่นจื่อหลิงที่อยู่ข้างหน้า ก็ดูจะตะลึงงันไปเล็กน้อย
แน่นอนว่า ถัดไปข้างหลังอีกยังมีคนอย่างหลีจื่อ อู๋ชิวสุ่ย…และย่อมจะมีสาวน้อยหลี่ว์อีอวิ๋นด้วยเช่นกัน
เวลานี้ใบหน้าของสาวน้อยเต็มไปด้วยความตะลึงตกใจ จนแข็งทื่อไปทั้งตัว มองดูคนนี้ที่เดินกลับมาอย่างสบายอกสบายใจ…เขาน่าจะถูกมัดไว้ในบ้านไม้หลังเล็กๆ สิถึงจะถูก!
ลั่วชิวเดินมาตรงหน้าคนทั้งสอง
“อาหม่า? เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ?”
“อ๋อ คืออย่างนี้นะ” เซอร์หม่ากำลังคิดจะเล่า
เริ่นจื่อหลิงกลับชิงตัดหน้ามาก้าวหนึ่ง เดินมาถึงหน้าลั่วชิว กอดเขา “เธอไปไหนมา! เธอรู้ไหมฉันตกใจแทบตายแน่ะ!”
ตอนโบกสะบัดจอบเสียม กล้าหาญราวกับแม่ทัพหญิงคนหนึ่ง ตอนนี้ที่กำลังกอดลั่วชิวอยู่ กลับอ่อนแอเสียจนมีน้ำรื้นอยู่ในดวงตา
“ห้องครัวไม่มีกับข้าว ก็เลยออกไปหาข้างนอกมานิดหน่อยครับ” เขามองหลี่ว์อีอวิ๋นที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง สาวน้อยรีบหลบสายตาทันที ลั่วชิวก็พูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา “สาวน้อยเกิดเรื่องเกิดราวแบบนี้แล้ว ก็ไม่สะดวกให้เธอต้องมาดูแล้วพวกเราล่ะมั้งครับ?”
“ซื้อกับข้าวโทรศัพท์ต้องปิดด้วยเหรอ?” ตอนนี้เริ่นจื่อหลิงถึงยอมปล่อยลั่วชิว สายตาจ้องมา แต่ไม่โกรธตั้งนานแล้ว
“…ไม่มีสัญญาณน่ะ”
เริ่นจื่อหลิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กลอกตามองบน รอยยิ้มผุดขึ้นมา “ให้อภัยก็ได้!”
หม่าโฮ่วเต๋อ “???”
ใบหน้างุนงงนิ่งอึ้ง
…
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ดังมาจากในบรรดาชาวบ้านพวกนี้ที่นั่งยองๆ อยู่…หลังจากชาวบ้านคนนี้จ้องเขม็งไปที่ตำรวจตรงหน้าด้วยความกดดันอย่างใหญ่หลวง ก็กดรับโทรศัพท์
“แย่แล้ว! อาเป่ากง คน…คนในหมู่บ้านทั้งหมดติดโรคแล้ว! ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทุกคนติดโรคกันหมดแล้ว!!”
บทที่ 24 เชื่อในกันและกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
พวกชาวบ้านที่นั่งอยู่บนถนนได้รับข้าวก็พลันวุ่นวายขึ้น
ไม่ว่าพวกเขาทำอะไรอยู่ที่นี่ ไม่ว่าเดิมทีเรื่องที่พวกเขามำจะไร้มนุษยธรรมขนาดไหน ความตั้งใจแรกของพวกเขาก็เป็นเพียงแค่การปกป้องตัวเอง และไม่อยากให้คนในครอบครัวตัวเองโดนคำสาปทำร้าย
แต่ว่าตอนนี้คนทั้งหมู่บ้านติดโรคหมดแล้ว?
“เทพเจ้าทะเลพิโรธแล้ว!!” ตอนนี้อาเป่ากงกำลังพูดเสียงแหลม “เทพเจ้าทะเลพิโรธแล้ว!! เป็นพวกคุณ! เป็นพวกคุณที่ขวางพวกเราบูชาเทพเจ้าทะเล! สุดท้ายก็พิโรธแล้ว! คนทั้งหมู่บ้านพวกเราจะต้องตาย…พวกคุณนั่นแหละ! พวกคุณนั่นแหละที่ทำให้พวกเราต้องตาย!”
หลังจากอาเป่ากงตะโกนด่าไม่หยุด สายตาของชาวบ้านที่กำลังกุมหัวนั่งอยู่บนพื้นพวกนั้นพลันก็เปลี่ยนไปทันที
ชาวบ้านที่กล้าหาญหลายคนค่อยๆ ลุกขึ้นมา
เซอร์หม่าเบิกตากว้าง พูดอย่างโมโหว่า “พวกคุณคิดจะทำอะไร? ย่อตัวลงไปให้หมด!”
“ลูกเมียผมอยู่ในหมู่บ้าน ติดโรคไปแล้ว! คุณยังให้ผมคุกเข่าอยู่ตรงนี้…ครอบครัวผมก็ตายกันหมดพอดี! แน่จริงก็มาหยุดเลย!”
ชาวบ้านคนหนึ่งพุ่งเข้ามาทันที
หม่าโฮ่วเต๋อยิงปืนนัดหนึ่งไปบนถนนตรงๆ เสียงปืนดังสะท้อนอยู่ในหุบเขา ดังกึกก้องเป็นพิเศษ ชาวบ้านที่พุ่งมาคนนั้นหยุดลงทันที หน้าถอดสี ริมฝีปากสั่นระริก
ตำรวจสองนายเดินมาพร้อมกัน จับคนคนนี้เอาไว้
เซอร์หม่าพลันพูดเสียงทุ้มต่ำ “ผมรู้ว่าพวกคุณกำลังร้อนใจมาก! ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณ! แต่ผมจะไม่ให้พวกคุณกลับไปแบบนี้! ไม่อนุญาตให้ทุกคนที่นี่ออกไปไหนทั้งสิ้น! ผมไม่เชื่อคำสาปอะไรนั่น! แต่ในเมื่อคนทั้งหมู่บ้านติดโรคแล้ว ก็มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือโรคประหลาดนี้อาจจะแพร่กระจายได้รวดเร็ว! หากพวกคุณกลับไปแบบนี้ ก็มีโอกาสติดโรคได้เหมือนกัน! ถ้าพวกคุณติดโรคกันหมด แล้วใครจะมาช่วยครอบครัวคุณ!”
พอเห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งค่อยๆ สงบลง หม่าโฮ่วเต๋อก็ถอนหายใจ พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยนเล็กน้อยว่า “ขอให้เชื่อใจพวกเรา พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อแก้ปัญหา! และไม่ได้มาต่อสู้อย่างไร้ความหมายกับพวกคุณ! แต่หากพวกคุณยังวุ่นวายแบบไร้เหตุผลอีก โดยเฉพาะบางคนที่ตั้งใจก่อกวน ก็อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจนะ!”
พูดไปหม่าโฮ่วเต๋อก็จ้องไปที่ตัวอาเป่ากงแวบหนึ่ง จนชายชราที่มีชื่อเสียงที่สุดในหมู่บ้านคนนี้ตัวสั่นสะท้าน รีบก้มหัวลงไป
…
“อีกเดี๋ยว พวกคุณก็ไปชายหาดที่เฮลิคอปเตอร์ของผมลงจอดเมื่อกี้ จากตรงนั้นจะมีคนพาพวกคุณออกไป”
หลังจากสงบอารมณ์ของชาวบ้านลงได้เล็กน้อย หม่าโฮ่วเต๋อก็ดึงเริ่นจื่อหลิงและลั่วชิวมาข้างๆ แล้วพูดเสียงเบาว่า “หลังจากไปแล้ว จะมีคนพาพวกพี่ส่งไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเลยนะ”
“นายให้ฉันไปแบบนี้เหรอ?” เริ่นจื่อหลิงพูดตรงๆ อย่างไม่พอใจ
หม่าโฮ่วเต๋อพูดอย่างมีน้ำโห “นี่ผมไม่ได้กลัวว่าพวกคุณจะติดโรคเหรอ? คุณดูสิโรคประหลาดที่นี่ร้ายแรงมากนะ! อย่าเอาแต่ใจสิพี่สะใภ้!”
ฉับพลันนั้นลั่วชิวก็พูดว่า “อาหม่า พวกเราไปแล้ว อาจะทำยังไง?”
หม่าโฮ่วเต๋อมองลั่วชิวอย่างพอใจ ก็มีเพียงหลานชายคนนี้ที่เป็นห่วงเขา ไม่เหมือนกับพี่สะใภ้บางคนแถวนี้…เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร เมื่อกี้คุยกับเลขาอู๋คนนั้นไปหน่อยแล้ว เขาให้คนจากในเมืองส่งเรือมาลำหนึ่งแล้ว อีกอย่างถึงจะมีอันตราย แต่พวกเราที่กินข้าวหลวงจะทิ้งประชาชนไปไม่ได้ แต่พวกเธอไม่เหมือนกัน พวกเธอต้องไปอยู่ในที่ปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้นถ้าพวกเธออยู่ที่นี่ ก็มีแต่ทำให้อาเป็นห่วง”
ลั่วชิวกลับส่ายหน้าพูด “อาหม่า เกรงว่าพวกเราจะยังออกไปไม่ได้ครับ”
หม่าโฮ่วเต๋อตะลึงงัน เผลอพูดว่า “เจ้าเด็กนี่ เธอไม่มีเหตุผลเหมือนแม่ของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“หม่าโฮ่วเต๋อ! นายพูดอะไร? นายหาเรื่องอยากตายเหรอ?”
ลั่วชิวมองเริ่นจื่อหลิงแวบหนึ่ง หลายปีมานี้ที่รองบรรณาธิการเริ่นกลัวที่สุดก็คือสายตาแบบนี้ของลูกชายที่ว่านอนสอนง่ายคนนี้ ฉับพลันนั้นก็เงียบลงทันที
ลั่วชิวถึงได้ถอนหายใจพร้อมพูดว่า “เหมือนที่อาหม่าพูดนั่นแหละครับ ถ้าพวกเราติดโรค ก็ยิ่งไปไหนไม่ได้ คิดดูสิครับ พวกเรายังไม่รู้ทฤษฎีเกี่ยวกับโรคประเภทนี้ เป็นโรคติดต่อหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าพวกเราออกจากที่นี่ไปตอนนี้ ก็มีโอกาสเอาเชื้อโรคประเภทนี้ออกไป ถูกไหมครับ? ถ้ามันแพร่กระจายไปในเมืองล่ะก็ อาลองคิดผลลัพธ์ดูนะครับ”
หม่าโฮ่วเต๋อตะลึงงัน ตบหน้าผากของตัวเองทันทีพร้อมกับพูดว่า “นี่ก็จริง! เฮ้อ ฉันเลอะเลือนไปจริงๆ…”
พอหม่าโฮ่วเต๋อเข้าใจว่าหากโรคประหลาดแพร่กระจายในเมืองจริงๆ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เขาก็ตกใจจนเหงื่อตก “ยังดีที่เธอเตือนอา ไม่อย่างนั้นคงเกิดเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่แล้ว อากลัวว่าจะเป็นความผิดบาปต่อผู้คนนับพัน!”
“หม่าโฮ่วเต๋อ! ฉันถึงบอกว่าไม่ไปไง ตอนนี้รู้ว่าผิดไปแล้วล่ะสิ?” เริ่นจื่อหลิงพูดย้อน
เซอร์หม่าคิดว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้คิดถึงขั้นนี้แน่นอน อย่างมากก็แค่ไม่อยากทิ้งคดีในที่เกิดเหตุไม่ใช่เหรอ??
“…เอาแบบนี้แล้วกัน พวกพี่กลับไปในที่พักก่อน ลองดูว่าในที่พักมีแอลกอฮอล์ ยาดับร้อนล้างพิษอะไรไหม เช็ดได้ก็เช็ด กินได้ก็กิน! อย่าดื่มน้ำประปา ให้ดื่มน้ำแร่ขวดแทน!” หม่าโฮ่วเต๋อรีบพูด“อาจะลองไปคุยกับอู๋ชิวสุ่ยนั่นดูอีกครั้ง ว่าเรือจะมาถึงเมื่อไหร่…นี่อาจจะเป็นการแพร่กระจายเชื้อ อาจะต้องโทรศัพท์กลับไปรายงาน”
“อาทำธุระเถอะครับ” ลั่วชิวพยักหน้า
หม่าโฮ่วเต๋อตบบ่าของลั่วชิว ไม่ได้พูดอะไร…เขาดีใจที่หลานชายคนนี้เริ่มพึ่งพาได้แล้ว
จากนั้นหม่าโฮ่วเต๋อก็มองเริ่นจื่อหลิงแวบหนึ่งพร้อมพูดว่า “คุณดีใจแล้วหรือยังล่ะ! จะได้ทำข่าวใหญ่สมใจสักที!”
รองบรรณาธิการเริ่นพูดอย่างใจกว้าง “ขอบคุณ”
หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้า กลัดกลุ้มกังวลใจ
…
ชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง แทบทั้งหมดถูกคุมตัวอยู่ในบ้านพักตากอากาศ ตำรวจถือปืนสามสี่นายแยกกันเฝ้าทางออกไม่กี่ทางออกของบ้านพักตากอากาศ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน
ชาวบ้านจำนวนหนึ่งใช้โทรศัพท์ติดต่อกับหมู่บ้าน ก็นั่งยองๆ ในมุมหนึ่งแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นเงียบๆ
ลั่วชิวมองดอกดาวสีฟ้าในลานบ้าน มองสาวน้อยที่นั่งยองข้างๆ สวน
หลี่ว์อีอวิ๋นเหมือนสังเกตเห็นการมาของลั่วชิวตั้งนานแล้ว แต่ไม่ได้ลุกขึ้นและไม่ได้หันไปมอง แค่มองดอกดาวสีฟ้าพวกนั้นอย่างเหม่อลอย
ทันใดนั้นสาวน้อยก็พูดว่า “รู้ไหม? ภาษาดอกไม้ของดอกดาวสีฟ้าคืออะไร ‘เชื่อใจกันและกัน’ ไม่ว่าจะจับคู่กับดอกไม้อะไร มันจะหาที่ที่เป็นของมันเองได้อย่างดีทีเดียว จะไม่บดบังความงดงามของดอกไม้อื่น และก็ไม่ถูกลมองข้ามไปอย่างง่ายดาย”
เธอลุกขึ้นยืน ในมือมีดอกไม้ที่ไม่รู้ว่าเด็ดมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ดอกไม้สีฟ้านิ่งสงบอยู่ในฝ่ามืออันอ่อนโยนของสาวน้อย หลี่ว์อีอวิ๋นพูดเสียงเบา “ก็เหมือนกับการคบค้าสมาคมกันระหว่างผู้คน ทุกคนต่างโดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร แต่ก็เพราะความโดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร จึงมักจะเกิดความเห็นต่าง”
ใบหน้าสาวน้อยมีรอยยิ้มงดงามปนเศร้า “แต่ถ้าอยากคบต่อไป อยากให้ความเห็นตรงกัน ก็ต้องเชื่อใจซึ่งกันและกัน ถ้าไม่อาจเชื่อใจกันและกันได้…ก็ง่ายที่จะทำให้ความทุกข์ใจและกังวลเพิ่มมากขึ้นไปเปล่าๆ เพียงเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หวาดระแวงซึ่งกันและกัน ไม่เชื่อใจซึ่งกันและกัน แม้แต่…แค่เพื่อตนเอง”
“นี่คุณปลูกไว้เหรอครับ?” ลั่วชิวเอ่ยถาม
สาวน้อยพูดเสียงเฉยเมย “คุณปู่ฉันปลูกไว้ค่ะ ได้ยินคุณปู่บอกว่า นี่เป็นดอกไม้ที่เมื่อก่อนคุณย่าของฉันชอบมากที่สุด คุณปู่เลยปลูกไว้ในลานบ้านนี้”
ลั่วชิวพยักหน้า เขาย่อตัวลง และเด็ดขึ้นมาหนึ่งดอก วางไว้กลางฝ่ามือแล้วยื่นให้สาวน้อย
สาวน้อยกลับส่ายหน้า ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว
หนึ่งก้าวแห่งความไม่เชื่อใจ
…
…
ในแววตาของหลี่ว์เฉาเซิงแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ตอนแรกก็ครอบครัวของผู้ป่วย ต่อมาก็คนที่เฝ้าคลินิกอยู่ด้านนอก ในชั่วพริบตาเดียวก็ล้มลงไปทีละคน อาการป่วยน่าหวาดกลัวแบบนี้แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว
ไปจนถึงผู้คนเดินไปมาบนถนน คนที่อยู่ไกลออกไป…แพร่กระจายไปทั่ว
เขาไม่รู้ว่าจะแพร่กระจายเป็นวงกว้างขนาดไหน ทั้งหมู่บ้านหลี่ว์มีหลายคนตกอยู่ในความตื่นกลัว แม้แต่ตัวเขาเอง เวลานี้ก็เริ่มแสดงอาการของโรคนี้แล้ว
หลี่ว์เฉาเซิงรู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของตนเองเริ่มเลือนราง หายใจลำบาก รู้สึกคลื่นไส้อย่างรุนแรง ถึงขนาดหน้าซีดขาด ร้อนหนาวสลับไปหมดทั้งตัว
เขากัดฟัน มองนิ้วมือที่เริ่มแข็งทื่อ และไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ได้แต่พยายามคลำไปจนถึงห้องทำงานของตนเอง แล้วล็อกประตูห้อง
“หมอ ช่วยพวกเราหน่อย…ช่วยฉันด้วย…”
หลี่ว์เฉาเซิงได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือด้านนอกประตูอย่างเลือนราง เวลานี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาเริ่มหาของในห้องทำงาน พลิกตู้เอกสารที่ใส่เอกสารเยอะแยะมากมายลงบนพื้น แล้วก็พบกล่องเหล็กกล่องหนึ่ง
ระดับความแข็งทื่อของมือและเท้ามาถึงระดับสูงสุดแล้ว หลี่ว์เฉาเซิงเปิดกล่องอย่างทุลักทุเลสุดๆ ในนั้นมีหลอดฉีดยาบรรจุอยู่ และยังมีขวดเล็กๆ จำนวนหนึ่ง
สองมือหลี่ว์เฉาเซิงสั่นเทา รู้สึกราวกับว่ากำลังวิ่งแข่งกับเวลา ผสมสารในขวดเล็กๆ แล้วกรอกเข้าไปในหลอดฉีดยา ก่อนใช้ปากกัดหนังยางสีเหลืองไว้ และไม่มีเวลามาสนใจว่าเส้นเลือดจะขึ้นชัดแล้วหรือไม่ หรือใช้แอลกอฮอล์เช็ดหรือยัง ทว่าก็ฉีดเข็มเข้าไปในแขนทันที
เขายังคงหอบหายใจรุนแรง แต่เหมือนว่าจะดีขึ้นมาไม่น้อยแล้ว เหมือนว่าส่วนน่ากลัวที่งอกบนนิ้วมือของเขาก็ช้าลงไปมากแล้ว
เพียงแต่แววตาหวาดกลัวของเขาก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปด้วยเลย เพราะเขาเข้าใจดีกว่าใครทั้งหมด สิ่งที่ฉีดเข้าไปเมื่อกี้นี้ระงับได้แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
หลี่ว์เฉาเซิงล้วงโทรศัพท์ออกมาจากเสื้อกาวน์ตัวใหญ่ แล้วพูดด้วยเสียงโกรธแค้นว่า “เธอบอกว่าขอให้หลัวอ้ายอวี้และพวกที่เกี่ยวข้องในตอนนั้นตายไปก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้ทั้งหมู่บ้านถึงได้ถูกวางยาหมดล่ะ?!”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที หลี่ว์เฉาเซิงก็ไม่ได้รับคำตอบที่พอใจ ยิ่งพูดด้วยความโกรธแค้น “เอายาแก้พิษมาให้ฉัน!! ถ้าเธอไม่เอายาแก้พิษออกมาล่ะก็ ฉันจะให้เธอพังพินาศไปพร้อมกัน!! อย่าลืมล่ะ ตอนนี้พ่อของเธอยังซ่อนตัวอยู่กับฉันที่นี่…ฮ่าๆ เธอว่าฉันกล้าไหมล่ะ? ตัวฉันติดเชื้อแล้ว เธอว่าฉันยังมีอะไรต้องกลัวอีก…ฉันไม่สนทั้งนั้น! ถ้าเธอไม่มาล่ะก็ ฉันก็จะไปด้วยตัวเอง!!”
หลี่ว์เฉาเซิงตะคอกใส่โทรศัพท์มือถือด้วยเสียงอันดัง และตอนนี้เอง เขากลับได้ยินเสียงดังกะทันหัน เสียงนั้นดังมาจากตู้เหล็กในห้องทำงาน
ตู้เหล็กเริ่มสั่นไหว เสียงทุบปังๆ ดังมาจากข้างใน วินาทีถัดมา ประตูตู้เหล็กก็ถูกเปิดออกทันใด!
คนในนั้น ก็กลิ้งออกมาทันที
“คุณ…ทำไมคุณรู้สึกตัวเร็วขนาดนี้? เห็นชัดๆ ว่าผมให้ยานอนหลับคุณเพิ่มไปแล้วนี่นา…”
หลี่ว์เฉาเซิงมองหลี่ว์ไห่ซึ่งลุกขึ้นมาจากพื้น ใบหน้าของเขาตื่นตกใจกลัวมากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลี่ว์ไห่ตบหัวตัวเอง ราวกับว่ายังหน้ามืดอยู่ แต่ว่าเขาสังเกตหลี่ว์เฉาเซิง…มองดูอาการบนร่างกายเขาที่ยับยั้งไว้แล้วแต่ยังหลงเหลือร่องรอยอยู่ แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที
“เมื่อกี้คุณโทรศัพท์คุยกับใคร?” หลี่ว์ไห่เดินมาตรงหน้าหลี่ว์เฉาเซิง พูดด้วยท่าทางเยือกเย็น
หลี่ว์เฉาเซิงขยับริมฝีปาก เห็นหลี่ว์ไห่หน้าตาดุร้ายอย่างมาก ก็รู้สึกเขย่าขวัญน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
นึกไม่ถึงว่าหลี่ว์ไห่กลับถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง พูดสั้นๆ คำเดียว “กรรมตามสนอง!”
บทที่ 25 ผู้รับผิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
มั่วมั่วขมวดคิ้ว มองดูรอบๆ บ้านพักตากอากาศ ก็เห็นรอบๆ บ้านพักตากอากาศมีคนเฝ้าอยู่
แถมยังไม่ใช่คนธรรมดาด้วย แต่เป็นคนที่รับเงินเดือนจากรัฐบาล
มั่วมั่วเริ่มลังเลเล็กน้อย
คนที่กินเงินเดือนรัฐบาลแบบนี้ โดยพื้นฐานแล้วเป็นประเภทที่นักพรตอย่างเขาไม่ชอบคบค้าด้วยเป็นที่สุด เพราะไปยุ่งกับเจ้าพวกนี้ทีไร มักจะเกิดการกระทบกระทั่งกับอุดมการณ์ของประเทศนี้ตามมาอยู่เสมอ
สำหรับนักพรตแล้ว หากเข้าไปเกี่ยวข้องกับอุดมการณ์ของชาติ ก็เท่ากับเป็นกรรมที่ตามติดพัวพันแน่น
ดังนั้นข้อห้ามที่มีอยู่อย่างลับๆ ในสังคมนักพรตเต๋ายุคปัจจุบันก็คือหากเลี่ยงได้ก็ให้เลี่ยงพวกกินเงินเดือนรัฐบาลแบบนี้
ปรมาจารย์หนุ่มลังเลใจ แต่หลัวอ้ายอวี้ที่อยู่ข้างๆ กลับไม่คิดเช่นนั้น ถ้าเทียบกันแล้วคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปที่อยู่ข้างๆ คนนี้ ถึงแม้เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตไว้เมื่อครู่ เธอก็ยังยินดีจะเชื่อพวกตำรวจที่กินเงินเดือนรัฐบาลพวกนี้มากกว่าเสียอีก
ถึงแม้เธอไม่รู้ว่าตำรวจพวกนี้มาจากที่ไหน แต่ในเมื่อเป็นตำรวจ ความปลอดภัยของเธอก็มีหลักประกันแล้ว
ไม่พูดเอะอะอะไรทั้งสิ้น หลัวอ้ายอวี้วิ่งออกมาจากที่ซ่อนตัวเลย วิ่งมุ่งหน้าไปยังตำรวจนายหนึ่งที่อยู่ด้านหนึ่งของบ้านพักตากอากาศ แถมตะโกนเสียงดัง “คุณตำรวจ! ช่วยด้วยค่ะ! คุณตำรวจ! ช่วยด้วยค่ะ!”
พอมั่วมั่วเห็น แม้ว่าเขาจะมองข้ามชีวิตชาวบ้านในหมู่บ้านหลี่ว์ไปไม่ได้ แต่ปรมาจารย์หนุ่มแห่งเขาพยัคฆ์มังกรกลับเกลียดผู้หญิงคนนี้เอาเสียจริงๆ
มั่วมั่วมองหลัวอ้ายอวี้พูดอะไรกับตำรวจคนนั้น เขาคิดตัดสินใจอยู่เงียบๆ แล้วอ้อมผ่านทั้งสองคน วกกลับไปที่กำแพงอย่างสบายๆ แล้วลอบเข้าไปในบ้านพักตากอากาศ
ครั้งนี้เขาไม่บุ่มบ่ามแล้ว เขาแค่อยากรู้ให้ชัดเจนว่าเรื่องในหมู่บ้านหลี่ว์กับรุ่นพี่ผุ้ลึกลับคนนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไรกันแน่
ถ้าพูดกันแบบตรงๆ น่าจะไม่มีเรื่องอะไรมั้ง…คิดว่า
…
…
ในที่สุดสาวน้อยก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง ไม่พูดเรื่องดอกดาวสีฟ้าแล้ว แต่พูดเรื่องที่ควรพูดแต่แรก “ฉันไม่รู้ว่าคุณหนีออกมายังไง…แต่นี่เป็นเรื่องของฉัน ฉันไม่ชอบให้ใครยื่นมือเข้ามายุ่ง ไม่ว่าคุณมีแผนอะไรก็ตาม”
ลั่วชิวชักมือกลับมาพร้อมกับดอกดาวสีฟ้า “รับปากช่วยใครไว้ ต้องรักษาสัญญา”
หลี่ว์อีอวิ๋นนิ่งอึ้ง ความรู้สึกไม่แน่ใจในแววตาเธอยิ่งเข้มข้นขึ้น
สาวน้อยพิจารณาอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง เธอไม่รู้ว่าทำไมคนนี้ถึงไม่บอกเรื่องที่เธอชักใยอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนี้กับตำรวจ
ดูจากท่าทางแล้ว พวกลั่วชิวน่าจะสนิทกับตำรวจพวกนั้น และไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบผิวเผิน แต่เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจปิดบัง
“ใคร? ใครให้คุณมาช่วยฉัน?”
“ขอเพียงคุณรู้และเชื่อมั่นว่าผมมาช่วยคุณก็พอแล้ว” ลั่วชิวส่ายหน้าตอบ “บอกผมเถอะ นอกจากทำให้คนในหมู่บ้านทั้งหมดติดโรค คุณยังคิดจะทำอะไรอีก”
สีหน้าหลี่ว์อีอวิ๋นเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดเสียงหลง “คุณนี่เอง…คุณนี่เองที่ทำให้คนทั้งหมู่บ้านติดโรค? คุณ ทำไมคุณต้องทำแบบนี้?”
ลั่วชิวกลับพูดด้วยความประหลาดใจ “งั้นเพราะอะไรคุณถึงทำแบบนี้? หรือว่าให้คนหลายสิบคนป่วย กับให้คนทั้งหมู่บ้านป่วยกันหมด มีอะไรไม่เหมือนกันเหรอครับ? ฆ่าคนหนึ่งก็คือการฆ่า ฆ่าสิบคนก็คือการฆ่าเหมือนกัน มีอะไรต่างกันเหรอครับ? แก้แค้นคนหนึ่งก็คือการแก้แค้น แก้แค้นสิบคนก็คือการแก้แค้น มีอะไรไม่เหมือนกันเหรอครับ? คนหนึ่งเจ็บปวดทุกข์ทรมาน คนในหมู่บ้านคนหนึ่งเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ยังมีอะไรไม่เหมือนกันอีกเหรอครับ? หรือจะบอกว่า คุณวางแผนเรื่องราวมามากมายขนาดนี้ ก็เป็นเพียงแค่เล่นเกม?”
หลี่ว์อีอวิ๋นก้มหน้า ทั้งตัวสั่นเทาเล็กน้อย
เธอคิดว่า ปัญหาพวกนี้มีอยู่มาก่อนหน้านี้ตั้งนานนมมากแล้ว มีอยู่ก่อนที่เธอจะตัดสินใจทำแบบนี้แล้ว
สาวน้อยสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ คำถามที่เธอไม่เคยเลี่ยงหรือคำนึงถึงกำลังบังคับให้เธอตัดสินใจเลือก
“ไม่มีอะไรต่างกัน”
เธอมองลั่วชิว พูดซ้ำอีกครั้ง “เดิมที…ก็ไม่มีอะไรต่างกัน แต่ว่า…”
เธอคิดจะพูดบางอย่าง
แต่ถูกคนขัดจังหวะก่อน
“อ้าว! พวกเธออยู่ที่นี่เอง!”
คนที่รีบวิ่งออกมาคนนั้นคือหลีจื่อ “อีอวิ๋น แม่ของเธอกลับมาแล้ว!”
…
“คุณตำรวจ ก็คนพวกนี้แหละ! พวกเดรัจฉานพวกนี้! คุณรีบจับคนพวกนี้ไปทุกๆ คนเลย โยนเข้าคุกไปสักแปดปีสิบปี…ไม่สิ ตลอดชีวิตไม่ต้องปล่อยออกมาเลยดีที่สุด! ฉันจะบอกอะไรให้ เมื่อเช้า พวกโง่เง่าเต่าตุ่นพวกนี้จับฉันมา คิดจะโยนฉันลงไปที่หน้าผา…”
เพิ่งเดินเข้าห้องมาเมื่อกี้นี้ ก็ได้ยินเสียงต่อว่าต่อขานแหลมปี๊ดของหลัวอ้ายอวี้ เพราะหม่าโฮ่วเต๋ออยู่ในนี้…ขอเพียงปืนพกสีดำข้างกายหม่าโฮ่วเต๋ออยู่ที่นี่ พวกชาวบ้านที่ถูกประณามแต่ละคนก็ไม่กล้าขัดขืนหรือมีปากเสียงเลย
ลั่วชิวมองสีหน้าของหม่าโฮ่วเต๋อที่ดูไม่สู้ดีนัก…น่าจะเป็นเพราะ ‘เสียงคำรามลั่น’ ของเถ้าแก่เนี้ยบ้านพักตากอากาศคนนี้ที่ดังร้ายกาจ ก็เลยรับมือไม่ไหว
“คุณผู้หญิง คุณใจเย็นๆ ก่อนนะครับ พวกเราต้องทำตามกฎหมายแน่นอนครับ คุณวางใจได้” หม่าโฮ่วเต๋อพูดแบบขอไปที
ถ้าตัดสินคดีได้ตามสะดวกล่ะก็ เขาคงจับตัวไปเลย ไม่พูดพล่ามซ้ำสองหรอก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทำผิดกฎหมายก็คือผิดกฎหมาย แต่การกระทำเป็นหมู่คณะแบบนี้มันยุ่งยากอย่างยิ่ง
จับคนทั้งหมดมาลงโทษ?
นั่นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้เลย อย่างมากที่สุดก็จับหัวโจกไปสามสี่คน คนที่เหลือไม่อยากปล่อยก็ต้องปล่อยไป…คนเยอะมากเกินไปจริงๆ!
“คุณจะให้ฉันใจเย็นได้ยังไง? ฉันเกือบตายแล้วนะ!”
แต่หลัวอ้ายอวี้ยังคงร้องตะโกนเสียงแหลม หม่าโฮ่วเต๋อแอบกลอกตา มองไปที่เริ่นจื่อหลิงราวกับขอความช่วยเหลือ
แต่เริ่นจื่อหลิงทำเป็นมองไม่เห็น…เธอก็ไม่อยากยุ่งกับเถ้าแก่เนี้ยคนนี้ แต่ก็ทนเห็นสายตาวิงวอนของหม่าโฮ่วเต๋อไม่ได้ “เอ๊ะ อีอวิ๋น มาแล้ว! มาหาแม่ของเธอสิ เธอปลอดภัยไม่เป็นอะไรแล้ว”
สายตาทอดมองไปที่สาวน้อยของเธอทันที หลี่ว์อีอวิ๋นจำใจต้องมองหลัวอ้ายอวี้แวบหนึ่ง แล้วเดินไปข้างๆ หลัวอ้ายอวี้
แล้วหลัวอ้ายอวี้ก็ดึงตัวหลี่ว์อีอวิ๋นไว้แล้วมองหม่าโฮ่วเต๋อบอกว่า “มานี่ คุณตำรวจ! นี่ก็เป็นพยานได้เหมือนกัน! นี่คือลูกสาวของฉัน เธอกับคุณเริ่นคนนี้ก็เหมือนกัน เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากับตาตัวเองเลย! คุณลองถามเธอดู จะได้รู้ว่าที่ฉันพูดเป็นความจริงหรือไม่กันแน่!”
“แม่…แม่ใจเย็นๆ หน่อย พวกคุณตำรวจรู้หน้าที่อยู่แล้ว” หลี่ว์อีอวิ๋นพูดเสียงเบาๆ
หลัวอ้ายอวี้กลับโมโหในทันที แล้วก็ผลักหลี่ว์อีอวิ๋นล้มลงพื้นในครั้งเดียว พูดตวาดใส่ “ใจเย็น? ลูกจะให้แม่ใจเย็นได้ยังไง! ลูกจะช่วยแม่หรือเปล่า? ไม่ช่วยก็ยืนอยู่อีกข้างเลยไป! อย่ามาขวางหูขวางตา!”
สาวน้อยก้มหน้าอยู่บนพื้น ไม่ได้พูดอะไร
โยวเย่มายืนอยู่ข้างลั่วชิวเงียบๆ แล้วแอบพูดอะไรบางอย่าง เห็นแค่ลั่วชิวพยักหน้า แล้วก็ไม่ได้ทำอะไร
เจ้าของร้านลั่วแค่พูดเบาๆ ว่า “ควรจบได้แล้ว”
…
“นี่ลูกสาวของคุณนะคะ คุณทำกับเธอแบบนี้ได้ยังไง?” เริ่นจื่อหลิงทนดูไม่ไหวยื่นมือไปพยุงหลี่ว์อีอวิ๋นขึ้นมา จ้องหลัวอ้ายอวี้พลางถาม
หลัวอ้ายอวี้ทำเสียงสบถในลำคอพลางตอบ “คุณทำความเข้าใจใหม่นะ ฉันกับเจ้าเด็กนี่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแม้แต่นิดเดียว! คุณคิดว่าเธอจะเห็นฉันเป็นแม่ของเธองั้นเหรอ? ตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าเด็กนี่ก็ไม่เคยยิ้มให้ฉันสักครั้ง!”
“ไม่ยิ้มแล้วยังไงล่ะ?”
สิ่งที่ตามมาหลังเสียงแหลมสูงของหลัวอ้ายอวี้กลับเป็นเสียงที่หยาบคายไร้มารยาท ชายวัยกลางคนสีหน้าร้อนรนปรากฏตัวอยู่ตรงทางเข้าบ้าน ตาสองข้างถลึงมอง
“เซอร์หม่า…คุณผู้ชายคนนี้บอกว่าเป็นเถ้าแก่ของที่นี่ครับ พวกเราขวางเขาไม่ได้” ตอนนี้นายตำรวจหนุ่มคนหนึ่งมาบอกถึงในห้อง “ยังมีอีกนะครับ เขาพาคนป่วยคนหนึ่งมาด้วย!”
“อะไรนะ?” หม่าโฮ่วเต๋อตะลึงงัน “ยังไม่รีบคุมตัวคนไว้อีก!”
แต่หลี่ว์ไห่ที่อยู่หน้าประตูกลับเดินมุ่งตรงมาอยู่ตรงหน้าหลัวอ้ายอวี้ ราวกับไม่เห็นทุกคนที่อยู่ที่นี่ สายตาจ้องหลัวอ้ายอวี้ด้วยความดุดัน พูดเสียงทุ้มต่ำ “ฉันถามเธอว่า ไม่ยิ้มแล้วมันยังไง?”
หลังจากหลัวอ้ายอวี้แต่งงานเข้ามา ก็เอาแต่ด่าเขา แต่ไหนแต่ไรไม่เคยถูกเขาปฏิบัติต่อตนเองแบบนี้ จึงขมวดคิ้วถามทันที “หลี่ว์ไห่! คุณลองพูดเสียงดังใส่ฉันอีกครั้งดูสิ? คนไร้น้ำยาอย่างคุณนี่ ตอนเช้าฉันถูกคนจับตัวไป คุณไปตายอยู่ที่ไหน? ปล่อยเมียให้คนจับตัวไป คุณไม่โวยวายสักคำ กลับมาก็ยังตะคอกใส่ฉันอีก? ดีนี่! คุณยังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือเปล่า?”
เพี๊ยะ!
เถ้าแก่บ้านพักตากอากาศตบหน้าเถ้าแก่เนี้ยครั้งหนึ่งอย่างดุดัน
เสียงตบทั้งดังและรุนแรง ทำให้คนที่ได้ยินเสียงนี้ต่างรู้สึกเจ็บที่แก้มกันทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลัวอ้ายอวี้ซึ่งเป็นคนโดน ฝ่ามือนี้ตบเข้าอย่างจังจนเห็นดาวเลยีเดียว
“คุณ คุณ คุณๆ คุณกล้าตบฉัน?!” หลัวอ้ายอวี้เอามือกุมแก้มตนเองไว้ ไม่รู้ว่าโกรธหรือกลัวกันแน่ พูดจาก็ตะกุกตะกัก
เพี๊ยะ!
แต่หลี่ว์ไห่ยังตบไปแก้มอีกข้างของหลัวอ้ายอวี้อีกครั้ง เสียงดังเหมือนเดิม ไร้ความปรานีเหมือนเดิม “ผมบอกอะไรคุณให้ ถ้าคุณมาพาลที่นี่อีกล่ะก็ ผมจะตบปากคุณแตกเลย ผมพูดจริงทำจริง!”
หลัวอ้ายอวี้เห็นหลี่ว์ไห่ยกฝ่ามือขึ้นอีกครั้ง เธอก็ตกใจจนหน้าซีดทันที นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีนี้ที่เห็นหลี่ว์ไห่น่ากลัวแบบนี้
หลัวอ้ายอวี้ถอยไปข้างๆ เซอร์หม่าแบบไม่ต้องคิด แล้วคว้าแขนเซอร์หม่าพลางพูดว่า “คุณตำรวจ คุณได้ยินแล้วนะ! คุณเห็นแล้วนะ! เขาเอาแต่จะตบตีฉัน จะตีฉันให้ตาย!”
“…คุณผู้หญิง นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของคุณ พวกเรายุ่งไม่ได้หรอกครับ” หม่าโฮ่วเต๋อทำทีเป็นพูดทางการ “พวกคุณลองคุยกันหน่อยไหม? ครอบครัวรักใคร่กลมเกลียว สองสามีภรรยาน่ะ…นะ”
“คุณ!!!”
หม่าโฮ่วเต๋อ…เซอร์หม่าผิวปาก มือไพล่หลังเดินจากไปสองก้าว
หลี่ว์ไห่วางมือลง หลับตา สูดลมหายใจลึกๆ กลับเดินมาตรงหน้าหลี่ว์อีอวิ๋น
เขามองลูกสาวตนเอง ไม่ได้พูดอะไร แค่มองเงียบๆ แบบนั้น
หลี่ว์อีอวิ๋นเห็นหลี่ว์ไห่มองมา ก็ก้มหน้าลงช้าๆ ราวกับตกใจ และหวาดกลัวเช่นกัน
หลี่ว์ไห่กลับถอนหายใจทันที เขายื่นมือออกไปลูบแก้มหลี่ว์อีอวิ๋น สาวน้อยเงยหน้าขึ้นมาทันที ในแววตามีความตื่นกลัวอยู่
แล้วหลี่ว์ไห่ก็กลับหันตัวทันที มองหม่าโฮ่วเต๋อแล้วพูดว่า “คุณตำรวจ คุณจับผมเถอะ พิษในหมู่บ้าน ผมเป็นคนแพร่กระจายเชื้อเอง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น