กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ ภาค 3 ตอนที่ 17-23

 ตอนที่ 17 ผลประโยชน์เต็มขั้นของแรงงานราคาถูก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทันทีที่เสียงของหวังลู่เงียบลง ผู้ฟังต่างพากันยังประหลาดใจกับพูดของเขา แล้วก็เกิดความเงียบขึ้นเป็นเวลานาน


หวังลู่ยิ้ม กวาดสายตาไปทั่วแล้วก็พบกับสายตาที่ว่างเปล่าของผู้คนนับร้อย


สิ่งที่หวังลู่พูดออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นอยู่บนสวรรค์ รวมทั้งกฎที่มนุษย์ปุถุชนจะกลายเป็นเซียนได้ ล้วนแตกต่างจากที่ชาวบ้านคาดหวังไว้มหาศาล แต่เมื่อเทียบกับถ้อยคำจูงใจสั่วๆ ที่ว่าใครก็สามารถเป็นเซียนได้ของสำนักเจ็ดดาราแล้ว การพรรณนาของหวังลู่นั้นย่อมน่าเชื่อถือกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าลึกๆ แล้วพวกเขาอยากจะเชื่อคำโน้มน้าวที่ว่าตราบใดที่กินยาลูกกลอนก็สามารถเป็นเซียนได้ทีละนิดอย่างน่าอัศจรรย์ก็ตาม ทว่า…


ผู้เบิกทางนับล้าน เส้นทางการเคลื่อนสู่สวรรค์ คำชักจูงดังกล่าวสามารถทำให้เลือดในกายเดือดพล่านได้จริงๆ ทว่าหลังจากตื่นเต้นกันอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็ต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ นั่นคือพวกเขามีคุณสมบัติพอที่จะเป็น…ผู้เบิกทางหรือ แม้พวกเขาจะอุตสาหะกันตลอดปีตลอดชาติ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะจบชีวิตลงด้วยการเป็นกองกระดูกเสียมากกว่า


บางคนก็อดขุ่นเคืองใจมิได้ ไฉนโลกแห่งเซียนจึงเป็นอย่างที่สำนักภูมิปัญญาบรรยายไว้


ไฉนจึงไม่เป็นตามที่สำนักเจ็ดดาราเคยกล่าวไว้กันเล่า…


ขณะที่ชาวบ้านกำลังสับสนอยู่กับการทำความเข้าใจเรื่องราวของสวรรค์ หวังลู่ก็เปิดปากพูดอีกครั้ง


“พวกเจ้าไม่อยากเป็นผู้เบิกทางหรอกหรือ”


หวังฉี่เหนียนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เราอยากเป็น แน่นอนว่าเราอยากเป็น แต่…”


“เมื่ออยากเป็น เหตุใดจึงต้องคิดให้มากความ พวกเจ้าแคลงใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองต้อยต่ำ คิดว่าไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้เบิกทางหรือ”


หวังฉี่เหนียนและชาวบ้านอีกหลายคนมองหน้ากัน จากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านผู้เฒ่าก็ยิ้มขื่นพลางตอบว่า “ท่านเจ้าสำนัก ท่านเป็นคนจากโลกเซียน ดังนั้นท่านอาจไม่เข้าใจความทุกข์ยากของเราที่เป็นมนุษย์ปุถุชน ไหวพริบเราไม่เฉียบแหลม สติปัญญาก็ไม่เฉียบคม หากหวังพึ่งแค่ตัวเองเพื่อบำเพ็ญเซียน ข้าเกรงว่าเราคงมิอาจไปถึงจุดที่จะขึ้นสวรรค์ได้”


หวังลู่ยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าจะไม่บำเพ็ญเซียน?”


หวังฉี่เหนียนงุนงง ในเมื่อพวกเขามิอาจพบความสำเร็จได้ แล้วจะบำเพ็ญเซียนเพื่อประโยชน์อันใด


“จริงอยู่ที่ข้าเกิดเป็นเซียน จึงมิอาจเข้าใจความทุกข์ยากของมนุษย์ทั่วไป ทว่าข้ารู้ว่าหลายต่อหลายปีในอดีตในอาณาจักรเก้าแคว้น มีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากที่บำเพ็ญเซียนเพื่อเป็นผู้เบิกทาง ไม่ใช่ทุกคนที่ปราดเปรื่อง ไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาพร้อมชะตาแห่งเซียน และท้ายที่สุดก็มีไม่กี่คนที่ไปถึงปลายทางที่ตั้งใจ… แต่เหตุใดผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนนับไม่ถ้วนนี้ยังคงบำเพ็ญเซียนกันเล่า”


ขณะพูด หวังลู่ก็ชี้ไปยังตาแก่ลามกเหออวิ๋น “ชายผู้นี้ก็มาจากโลกมนุษย์ เขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียน มิอาจเรียกได้ว่าเป็นเซียน ว่าแต่พวกเจ้าไม่อยากแลกที่กับเขาหรือ”


“แลกที่กับเขา?”


“ถูกต้อง แลกการบำเพ็ญเซียนทั้งหมดที่เขามี”


หวังฉี่เหนียนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ดีดตัวขึ้นราวกับคิดอะไรบางอย่างได้ “แน่นอนว่าเราต้องการแลก! แม้เขาจะไม่ใช่เซียนจริงๆ แต่วิชาเซียนช่างลึกลับและลึกซึ้ง ร่างแก่ๆ ของข้านี้จะเทียบได้อย่างไร”


หวังลู่ยิ้ม “ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าอยากบำเพ็ญเซียนหรือไม่”


“บำเพ็ญเซียน แน่นอนข้าอยากบำเพ็ญเซียน! แต่…”


ครั้งนี้ตาแก่ลามกขัดขึ้น “ถูกแล้ว ถ้าว่ากันตามไหวพริบและสติปัญญา เจ้าก็ถือว่าเป็นแค่คนธรรมดา ทว่าเมื่อพูดถึงการบำเพ็ญเซียน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือโอกาส ทว่าในโลกมนุษย์นั้น โอกาสใดจะดีไปกว่าการได้เป็นที่โปรดปรานของเทพเซียนกันเล่า”


เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม้พวกเขาจะโง่เง่าเพียงใด ก็ยังสามารถเข้าใจความหมายโดยนัยที่ซ่อนอยู่ ชาวบ้านทั้งหลายจึงปลาบปลื้มอย่างเหลือล้น


“เช่นนั้นข้าขอถามท่านเจ้าสำนักว่าเราจะบำเพ็ญเซียนได้อย่างไร”


หวังลู่ส่ายศีรษะ ไม่ยอมพูดอะไร


หวังฉี่เหนียนสับสน เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านเทพเซียนจึงจบการเทศน์เพียงเท่านี้


ตาแก่ลามกกระแอมขึ้นจากนั้นจึงกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าท่านเจ้าสำนักไม่ต้องการบอก แต่การบำเพ็ญเซียนเป็นความลับของสำนักที่มิอาจแพร่งพรายให้คนอื่นรู้ได้ง่ายๆ ท่านเจ้าสำนักที่เป็นเซียนอาจไม่ถือสา แต่คนอื่นๆ อาจคัดค้าน และในเมื่อเจ้าสำนักใส่ใจความรู้สึกของผู้ใต้ปกครอง…”


พอได้ยิน หวังฉี่เหนียนก็เข้าใจกระจ่างแจ้งในทันที เขารีบหมอบกราบ “รับเราเข้าสำนักด้วยเถิดท่านเจ้าสำนัก! ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านตระกูลหวังต้องการเข้าสำนักภูมิปัญญาของท่านและรับใช้ท่านอย่างซื่อสัตย์!”


ตาแก่ลามกไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “นี่ ท่านผู้เฒ่า… ทำอะไรน่ะ เหตุใดจึงขอเข้าสำนักภูมิปัญญากันง่ายๆ เช่นนี้”


ครั้งนี้หวังลู่จึงพูดขึ้นมาบ้าง “คนพวกนี้ซื่อสัตย์จริงใจ จะกีดกันพวกเขาคงไม่สมควร เราสามารถตั้งแท่นบูชาขึ้นที่นี่ก็เพราะได้รับโอกาส ดังนั้นนอกจากการเทศน์ในวันนี้แล้ว พวกเขายังได้รับโอกาสจากเราด้วย จงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ติดตามของสำนักเราและดูแลให้ดี… พรุ่งนี้ให้เจ้าอธิบายการบำเพ็ญเซียนให้พวกเขาฟัง ข้าเกิดเป็นเซียน ดังนั้นวิธีบำเพ็ญเพื่อให้ได้เป็นเซียนของมนุษย์โลกนั้น ข้าไม่คุ้นเคยเท่าเจ้า”


เหออวิ๋นคำนับ “ข้าน้อมรับคำสั่ง”


หวังลู่ยิ้ม ดวงตาจับจ้องไปที่เหล่าชาวบ้านอีกครั้ง จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “พวกเจ้าอาจจะล้มเหลวที่จะทำให้โลกเคลื่อนสู่สวรรค์ แต่ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจว่าความอุตสาหะของพวกเจ้าแต่ละคนนั้นไม่ได้สูญเปล่า ถนนสู่โลกแห่งเซียนนั้นปูด้วยก้อนอิฐจำนวนนับไม่ถ้วน หลายก้อนพวกเจ้าเป็นคนปูลงไปด้วยตัวเอง ซึ่งจะนับเป็นเกียรติแก่ตัวไปชั่วกัปชั่วกัลป์”


——


หลังจากที่การเทศน์จบลงพักใหญ่ พวกชาวบ้านจึงค่อยๆ แยกย้ายกันไป แม้ยังมีข้อสับสนอยู่ในใจมากมาย แต่หลายคนก็มิอาจปกปิดความตื่นเต้น จิตใจของพวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยความสุขมิต่างจากดอกไม้บาน


ขณะเดียวกัน เหล่าผู้นำของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาก็กำลังฉลองกันอย่างสุขสันต์ การเทศน์ที่เพิ่งจบไปได้ผลตามที่คาดหวังไว้ แม้จะเป็นคนที่กังขาที่สุด แต่ธิดาเทพเองก็อดเอ่ยปากชมไม่ได้


“ฮ่าๆ คนนับล้าน… เป็นทฤษฎีที่สุดยอดไปเลย! เป็นการเทศน์ที่ไร้ช่องโหว่! นี่เจ้าคิดทฤษฎีปัญญาอ่อนพรรค์นี้ได้อย่างไรกันเนี่ย”


ท่านผู้จัดการโบกไม้โบกมืออย่างถ่อมตน “ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร อย่าเสียเวลาพูดถึงเลย”


ธิดาเทพยังคงตราตรึงกับการแสดงที่ผ่านมา นางกล่าวอย่างตื่นเต้น “หนำซ้ำสองสามประโยคสุดท้ายวิเศษเข้าไปใหญ่ ที่บอกว่าพวกชาวบ้านควรใช้เวลาในชีวิตทำเยี่ยงนั้น.. สุดจะจินตนาการได้จริงๆ คำพูดพวกนั้นมาจากปากของศิษย์ของยอดเขาไร้ลักษณ์ หวังลู่จอมเลวทรามที่เลื่องลือในเรื่องทำตัวเลวร้ายจริงๆ น่ะหรือ!”


“ระยำ! ข้ามันแค่คนยากไร้แห่งยอดเขาไร้ลักษณ์ที่ต้องวิ่งลงไปหาของกินที่โรงเตี๊ยมของท่านเกือบทุกวัน ข้าจะเอาเวลาที่ไหนมาทำตัวเลวทรามชั่วร้ายกัน”


“พูดสั้นๆ ก็คือ สิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ช่างเปิดโลกนัก ให้ความรู้สึกเดียวกับครั้งที่ข้ายืนดูเจ้าแสดงจำอวดตอนชุมนุมคัดเลือกเซียนไม่ผิด!”


“ไม่เอาน่า อย่าพูดถึงอดีตไร้สาระนั่นเลย…”


หลังจากเย้าแหย่อีกฝ่ายจบแล้ว ในที่สุดธิดาเทพก็พูดเข้าจุดสำคัญ “เริ่มต้นได้ดี ว่าแต่จะทำอะไรต่อไป”


หวังลู่กล่าว “ทำอะไรต่อ แน่นอนว่าเราก็จะเริ่มเก็บภาษีสติปัญญาไงล่ะ”


“เราจะเก็บอย่างไร หลังจากที่ผ่านประสบการณ์ของสำนักเจ็ดดารามาแล้ว ข้าว่าการจะขายรากวิญญาณที่ทำเองในราคาสูงลิ่วคงไม่ได้ผลแล้ว”


หวังลู่หัวเราะ “เพราะเหตุนี้เราจึงควรทำสิ่งที่เป็นไปได้ เรื่องโอสถหกประสานและของอื่นๆ เราจะไม่ขายในราคาสูง หากจำเป็น เราอาจต้องขายขาดทุน หากจะเก็บภาษีเราต้องใช้วิธีอื่น”


“แล้ววิธีอื่นที่ว่าคือ?”


“ตัวอย่างเช่น หอพันวิญญาณหรือสวนบุปผาดาดาษ”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์สะดุ้ง “เจ้าอยากให้พวกเขาใช้แรงงานงั้นหรือ”


“ถูกต้อง เหมือนอย่างจักรพรรดิของโลกมนุษย์ที่หาประโยชน์ใส่ตัวด้วยการให้พวกชาวบ้านจ่ายภาษีและใช้แรงงาน ในอนาคตเราจะใช้ประโยชน์จากความนิยมของโอสถหกประสานและวัตถุอื่นๆ แม้พวกโง่เง่านี้ไม่อาจบำเพ็ญเซียนขั้นลึกได้ แต่ก็ยังเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกเซียน และช่วยสร้างสิ่งก่อสร้างพื้นฐานให้เรา พวกเขาจะเป็นคนวางรากฐานฐานที่มั่นหลักของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์กลอกตาจากนั้นก็ยิ้มออกมา “จริงสิ อย่างที่เจ้าพูดเอาไว้… อะไรที่มันดูหรูหราสักนิด?”


“ถูกต้อง ข้าต้องการเช่นนั้น แบบนี้ไม่เพียงเราที่ได้ประโยชน์โดยตรง พวกชาวบ้านที่โง่เขลาเองก็ได้ประโยชน์ด้วย ระหว่างการก่อสร้าง พวกเขาก็จะได้ฝึกฝนการบำเพ็ญเซียน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อตอนที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว พวกเขาย่อมได้ประโยชน์จากสถานที่แห่งนั้นด้วย ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวโดยแท้! อย่างที่คนโบราณพูดไว้ ก่อนฆ่าหมูก็ต้องขุนหมูเสียก่อน นี่คือวิธีทำงานของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา โดยการให้พละกำลังแก่พวกชาวบ้าน ยิ่งแข็งแกร่งมาก หมูก็ยิ่งตัวใหญ่ขึ้น และยิ่งหมูอ้วนขึ้นเท่าไร เราย่อมเก็บภาษีได้มากขึ้นเท่านั้น เมื่อเทียบกับวิธีของสำนักเจ็ดดาราที่บังคับให้ชาวบ้านกรีดเลือดขายไตเสียเงินเพื่อให้ได้บำเพ็ญเซียน แบบนั้นถือว่าเป็นการฆ่าห่านที่ออกไข่เป็นทองคำแท้ๆ”


คำพูดนี้ทำให้ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาไม่สบายใจนัก แม้ตอนนี้พวกเขาจะละทิ้งความมืดมุ่งสู่แสงสว่าง แต่เมื่อได้ยินคำวิจารณ์สำนักเจ็ดดาราจากปากหวังลู่ ก็อดรู้สึกละอายแก่ใจไม่ได้


“งั้นคำถามต่อไป เราจะไปหาโอสถหกประสานมาจากไหนตั้งมากตั้งมาย”


หวังลู่กล่าว “ของพวกนั้นวางเน่าอยู่ข้างถนนตั้งเยอะแยะ ไม่ใช่ว่าเป็นโอสถชั้นสูงเสียเมื่อไร ตราบที่เรามีเงิน ย่อมซื้อได้แน่นอน”


“แล้วเจ้ามีเงินหรือ”


“แล้วท่านคิดว่าข้าสร้างแท่นบูชาปฐมกลียุคนั่นขึ้นมาทำไม”


ความจริงแล้ว หากต้องการซื้อโอสถหกประสาน ไม่จำเป็นต้องจ่ายเป็นศิลาวิญญาณ เงินของโลกแห่งเซียนก็ย่อมได้ ตอนนี้โอสถชนิดนี้แพร่หลายมากในอาณาจักรเก้าแคว้น ไม่ถือว่าเป็นโอสถผูกขาดของสำนักเซิ่งจิงอีกต่อไป เดี๋ยวนี้แม้แต่สำนักเล็กๆ ยังสามารถผลิตโอสถชนิดนี้ขึ้นมาได้ง่ายๆ ดังนั้นราคาจึงต่ำลงจนสามารถซื้อขายได้ด้วยเงินของโลกมนุษย์ นี่คือการหาประโยชน์ใส่ตัวของสำนักที่ฉ้อฉล มิเช่นนั้นหากซื้อขายกันด้วยศิลาวิญญาณเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่ส่งผลดีกับพวกเขานัก


ทว่าหากต้องการซื้อในปริมาณมาก การจ่ายด้วยศิลาวิญญาณหรือวัตถุอย่างอื่นย่อมดีกว่า เช่นนี้แล้วการครอบครองแท่นบูชาปฐมกลียุคก็เหมือนครอบครองขุมสมบัติที่ไม่มีวันหมด สำหรับสำนักระดับล่าง การได้ครอบครองแท่นบูชาที่ทำงานได้เต็มกำลังก็เหมือนนั่งอยู่บนสายแร่ศิลาวิญญาณ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินงานของสำนัก


“ไหนๆ ก็พูดเรื่องนี้แล้ว ไอ้ลูกกลมๆ ที่เจ้าสร้างขึ้นมาวันนี้มันคืออะไรกันแน่ ข้าไม่เคยเห็นแท่นบูชาเช่นนี้มาก่อนเลย”


“ฮ่าๆ อย่างที่ข้าบอก คุณสมบัติของแท่นบูชาปฐมกลียุคก็คือ…”


หลังจากที่หวังลู่อธิบายคุณสมบัติของแท่นบูชาปฐมกลียุคอย่างช้าๆ หลายคนที่อยู่ในห้องก็อดตกตะลึงไม่ได้ แค่เป็นแท่นบูชาชนิดงอกเงย และมีกระแสความหนาแน่นอยู่ในระดับหกถึงเจ็ดก็ทำให้ตะลึงพอแล้ว แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือมันสามารถพ่นยาอายุวัฒนะระดับห้าออกมาได้ด้วย… วัตถุชนิดนี้ขัดต่อเจตจำนงของสวรรค์ แม้แต่แท่นบูชาระดับสูงยังไม่อาจทำเช่นนี้ได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่มีใครคาดคิดว่าแท่นบูชาจะสามารถพ่นยาอายุวัฒนะระดับห้าออกมาด้วยการดูดซับเพียงพลังปราณฟ้าดินเข้าไป อัตราการเปลี่ยนรูปของแท่นบูชานี้ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก


“จุ๊ๆ สมกับที่เจ้าบอกว่า ‘ได้ทองเป็นถังทุกวันจริงๆ’ หวังลู่เจ้าได้นับไหม หากเจ้าไม่ใช้ศิลาวิญญาณเป็นเชื้อเพลิงให้แท่นบูชา ใช้แต่กระแสพลังปราณอย่างเดียว ต้องใช้เวลานานแค่ไหนมันถึงจะพ่นของออกมา”


หวังลู่กล่าว “โดยทั่วไปวันหนึ่งมันน่าจะพ่นของออกมาสิบเอ็ดครั้ง”


ตาแก่ลามกตะลึงจากนั้นก็โพล่งออกมา “สิบเอ็ดครั้งต่อวัน แปลว่าปีหนึ่ง แท่นบูชานี้ก็ให้ศิลาวิญญาณกับเราได้นับแสนเลยสิ เท่ากับรายได้ที่ได้จากเมืองหลวงจังหวัดเลยทีเดียว ไม่สิ มากกว่าด้วยซ้ำ!”


ก่อนหน้านี้ สำนักเจ็ดดาราเคยครอบครองเมืองหลวงจังหวัดและครั้งหนึ่งเคยมีรายได้หลายแสนศิลาวิญญาณต่อปี ทว่าโชคลาภดังกล่าวไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก ต้องรวบรวมเงินจากการฉ้อฉลนานหลายปีกว่าจะมีเงินเท่านั้นได้


เมื่อได้ยินตาแก่ลามกทั้งคร่ำครวญทั้งตื่นเต้น หวังลู่ก็รู้สึกสนุกไม่น้อย “เป็นเพราะโชคของข้าล้วนๆ ที่การเขย่าแค่ครั้งเดียวก็ได้ของมาสิบเอ็ดอย่าง ซ้ำยังมียาอายุวัฒนะระดับห้าอีกด้วย เจ้าคิดว่าการพ่นของสิบเอ็ดอย่างครั้งใหม่จะได้ของมูลค่าเท่าเดิมงั้นหรือ หากคิดเช่นนั้น ทำไมไม่ลองดูสักครั้งหลังจากเทศน์เสร็จพรุ่งนี้เล่า หากมันไม่พ่นเอาของที่มีมูลค่าเท่ากับยาอายุวัฒนะระดับห้า เจ้าก็ต้องจ่ายส่วนต่างตามมูลค่าของมันให้ข้า!”


ตาแก่ลามกกล่าวตอบ “หากข้ามีโชคเหมือนท่าน ข้าจะยากจนมาจนถึงตอนนี้หรือ” จากนั้นเขาก็คำนับขอโทษในทันที


“หึ พูดสั้นๆ คือเรามีเงิน เรามีกำลังคน เช่นนั้นขั้นต่อไปก็คือ…”


รอยยิ้มของเจ้าสำนักหวังลู่เย็นเยียบในทันใด “ใครบางคนน่าจะมาเคาะประตูสำนักของเราน่ะสิ”


…………………………………………..


ตอนที่ 18 ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานตัวเล็กๆ มาเยือนหมู่บ้านตระกูลหวัง…

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


บนภูเขาแห้งแล้งแห่งหนึ่งในจังหวัดตงเต้า ประเทศต้าหมิงแห่งแคว้นธาราคราม มีการรวมตัวกันอย่างลับๆ ของสมาชิกระดับสูงของสำนักเจ็ดดารา


สำนักสวะชั้นต่ำซึ่งคุณสมบัติยังไม่ถึงแม้เกณฑ์ขั้นต่ำที่จะเข้าร่วมพันธมิตรหมื่นเซียน กำลังเข้าตาจนในการใช้วิธีการผิดธรรมดาดำเนินการและพัฒนาสำนัก


หนึ่งเพราะธุรกิจหลักของพวกเขาคือการต้มตุ๋นและทำพิธีนอกรีต ดังนั้นในอาณาเขตของพันธมิตรหมื่นเซียน พวกเขาจึงจำต้องแฝงตัวอยู่ในที่มืด แม้แท่นบูชาก็ยังต้องซ่อนเร้นด้วยการตั้งอยู่บนยอดเขาแห้งแล้ง มิเช่นนั้นท่ามกลางสำนักชั้นสวะเหมือนๆ กัน สำนักเจ็ดดาราย่อมถือว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ไม่ตกต่ำอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน


สอง เพราะพวกเขาไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก หลายสิ่งที่ควรมีในสำนักทั่วๆ ไป พวกเขากลับไม่มี เช่น เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ขาดช่องทางการติดต่อที่จำเป็น ปกติแล้วในพันธมิตรหมื่นเซียน จะมีวิธีติดต่อกันระหว่างพวกเบื้องบน ไม่ว่าจะเป็นผ่านกระจกวารี ยันต์สื่อสาร กระบี่บินสื่อสาร หรืออื่นๆ… สำหรับสำนักชั้นนำ ยันต์รวมตัวสัมบูรณ์สามารถทะลวงการยับยั้งของค่ายกลนับไม่ถ้วนเพื่อไปยังจุดหมายได้ ซึ่งราคาของแต่ละชิ้นนั้นสามารถซื้อสำนักเจ็ดดาราได้ทั้งสำนักเลยทีเดียว


ด้านสำนักเจ็ดดารา พวกเขาใช้ได้เพียงวิธีของมนุษย์ปุถุชน นั่นคือนัดหมายเวลาและสถานที่เพื่อประชุมเบื้องบนเท่านั้น


แม้สำนักเจ็ดดาราจะไม่ใช่สำนักใหญ่โต แต่เครือข่ายธุรกิจกลับซับซ้อน ผู้อาวุโสแต่ละคนจะมีพื้นที่ปฏิบัติการของตนเองและมักวุ่นวายอยู่กับงานของตนอยู่เสมอ ยากมากที่จะมีเวลามารวมตัวกันได้ ดังนั้นก่อนเวลาประชุม พวกเขาจะแสดงความสมัครสมานทักทายปราศรัยกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ ทว่าวันนี้บรรยากาศที่แท่นบูชาซึ่งเป็นที่มั่นหลักกลับมีอะไรแปลกไป


ชายวัยกลางคนในชุดสีดำเร่งรุดมายังเนินเขา คนผู้นี้มีนามว่าเซี่ยฉือ อายุน้อยสุดในบรรดาผู้อาวุโสแห่งสำนักเจ็ดดารา เขาเป็นผู้ฝึกเซียนพรสวรรค์สูงส่งที่เจ้าสำนักเจ็ดดาราดึงตัวมาจากสำนักหนึ่งในพันธมิตรหมื่นเซียนเมื่อหลายปีก่อน ปกติแล้วเจ้าสำนักให้ความสำคัญกับเขามาก แต่มาคราวนี้เขากำลังเผชิญกับปัญหาในกิจการของตัวเอง จนทำให้หลงลืมกำหนดประชุมครั้งนี้ไป ดังนั้นเขาจึงรีบรุดมายังที่นัดหมาย แต่ก็นับว่าช้าไปเล็กน้อย


เมื่อเซี่ยฉือมาถึงยังที่นัดหมายพร้อมรอยยิ้มฉาบบนใบหน้า เตรียมยอมรับความผิด เขากลับรู้สึกว่าหายใจติดขัดราวกับร่างกำลังแบกสิ่งที่มีน้ำหนักมหาศาลไว้


เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็ได้พบว่าเจ้าสำนักกำลังโกรธจัด


ดังนั้นเขาจึงหยุดพูดจาพาที รีบเข้าไปยืนในตำแหน่งของตนอย่างว่องไว จากนั้นก็กระซิบถามผู้อาวุโสที่ยืนข้างๆ “เกิดอะไรขึ้น”


ผู้อาวุโสส่งเสียงกลับมาเบาๆ “เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีใครคนหนึ่งหายไป”


เซี่ยฉือชะงัก “ตาเฒ่าเหอหายไปไหน”


“หึ พวกเราเองก็อยากรู้เหมือนกัน… เห็นว่าติดต่อไม่ได้มาพักใหญ่แล้ว คราวก่อนเขาก็ไม่ได้เข้าประชุมด้วยใช่ไหม ขาดประชุมโดยไม่มีเหตุผลถึงสองครั้งเช่นนี้ แม้เจ้าสำนักจะไม่เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้…แต่เจ้าก็รู้ความหมายดีใช่ไหมเล่า”


เซี่ยฉือแทบไม่เชื่อหู “ตาเฒ่าเหอ เขา…ไม่ใช่พวกมีกึ๋นพอที่จะทรยศสำนักได้ หรือเขาเบื่อที่จะมีชีวิตแล้ว แม้ขั้นตบะเขาจะไม่แย่ แต่ก็ไม่อาจเทียบกับเจ้าสำนักได้…”


“ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านั่น ดังนั้นเจ้าสำนึกจึงหงุดหงิดมาก แต่ก็ยังเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่ยอมปริปากออกมา”


เซี่ยฉือถาม “มีใครที่อยู่กับตาเฒ่าเหออีกบ้าง”


“นอกจากอู้เฟยฮวาคู่ฝึกเซียนของเขา คนอื่นๆ ก็เป็นเพียงพวกระดับสามแล้วก็ลูกศิษย์ชั้นล่างๆ ที่ไม่มีคุณสมบัติพอจะติดต่อเรา”


เซี่ยฉือถามอีกรอบ “แต่เรามีคุณสมบัติพอจะติดต่อพวกเขานี่!?”


“รายชื่อของศิษย์ทั้งหมดในอำเภออู่โหวอยู่ในมือของตาเฒ่าเหอและเฟยฮวา แม้แต่เจ้าสำนักเองก็ไม่ได้คัดลอกเอาไว้ แล้วเราจะติดต่อพวกเขาได้อย่างไร!?”


เซี่ยฉือทำหน้างุนงง “ทำไมกัน… เหตุใดระบบการจัดการของสำนักเจ็ดดาราถึงได้ไร้เหตุผลเช่นนี้!?”


“เฮ้ อย่าเอาไปเทียบกับมาตรฐานของสำนักบ้านหมื่นดอกไม้ของเจ้าไปหน่อยเลย เฮ้อ ไม่แน่ว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ เราอาจต้องระวังให้มากขึ้นก็ได้”


คนทั้งคู่แอบคุยกันอย่างเพลิดเพลิน แต่ทันใดนั้น น้ำเสียงดุดันของเจ้าสำนักก็ดังขึ้น


“หึ พอที เงียบได้แล้ว”


เหล่าผู้อาวุโสจึงเงียบปากในบัดดล


น้ำเสียงที่เจือความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น “ข้าเพิ่งจะมาทบทวนเรื่องนี้ โชคดีที่ข้ารู้จักพ่อค้าตลาดมืดคนหนึ่ง ซึ่งบังเอิญรู้มาว่าเมื่อไม่นานมานี้มีบางคนซื้อวัตถุดิบบางอย่างแล้วนำไปยังหุบเขาหูสุนัข หึ ไปยังหุบเขาหูสุนัขเช่นนั้น พวกนั้นย่อมต้องวางแผนทรยศแน่ๆ!”


น้ำเสียงที่ใช้เอ่ยถ้อยคำสุดท้ายออกมาดังราวฟ้าผ่า สร้างความหวาดผวาให้เหล่าผู้อาวุโสยิ่งนัก


แม้ขั้นตบะของเจ้าสำนักยังอยู่เพียงขั้นพิสุทธิ์ แต่ระหว่างเขากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ยังมีช่องว่างที่ไม่อาจเอาชนะได้อยู่ ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสจึงไม่กล้าทำตัวโอหังอวดดี


“เซี่ยฉือ ข้าอยากให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ ส่วนวิธีที่ว่าเจ้าจะจัดการอย่างไร ข้าคงไม่ต้องมานั่งบอกให้ฟัง เข้าใจไหม”


ในใจของเซี่ยฉือเย็นเยียบขึ้นมาทันที “เข้าใจขอรับ!”


——


สามวันต่อมา เซี่ยฉือก็ไปถึงหุบเขาหูสุนัขในอำเภออู่โหวตามลำพัง


แม้จะผ่านมาสามวันแล้ว แต่เซี่ยฉือก็ยังมิอาจลืมน้ำเสียงเจือเจตนาฆ่าที่ดังมาจากอากาศ ก่อนที่เขาจะจากมาได้


ครั้งนี้เจ้าสำนักโกรธจัด… ทว่าความโกรธของเขาใช่ว่าไร้สาเหตุ แม้หลายปีมานี้สำนักเจ็ดดาราจะถูกหลายสำนักกำราบ แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาภายใน ตาเฒ่าเหอปกติแล้วหมกมุ่นอยู่แต่กับตัณหาและกามา ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะกล้าคิดทรยศ ดังนั้นการทรยศครั้งนี้จึงสร้างความเจ็บแค้นให้เจ้าสำนักอย่างยิ่งยวด เพราะตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าคนรอบกายไม่มีใครไว้ใจได้สักคน!


แต่จะว่าไป ระบบการจัดการของสำนักเจ็ดดาราถือว่าอ่อนแอนัก เพื่อที่จะปกปิดการกระทำของพวกเขาจากสำนักใหญ่ๆ สำนักเจ็ดดาราจึงใช้วิธีสั่งการเป็นเส้นตรงจากเบื้องบนไปเบื้องล่าง ผลก็คือ หากมีจุดใดขาดไป ทั้งเส้นก็จะกลายเป็นอัมพาต หนำซ้ำเมื่อปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด ตาเฒ่าเหอจึงสามารถหลบหลีกไปได้! เผยให้เห็นจุดอ่อนของระบบจัดการของสำนักเจ็ดดาราอย่างชัดเจน แต่เป็นเพราะเจ้าสำนักให้ความสนใจการดำเนินการของสำนักในหมู่บ้านตระกูลหวัง ดังนั้นเมื่อเขาตรวจสอบเรื่องนี้ จึงพบว่าบุคคลที่ดูแลได้หนีหายไปเสียแล้ว!


มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นที่นี่กันแน่… ไม่แปลกที่เจ้าสำนักจะให้เขาผู้ซึ่งมาจากพันธมิตรหมื่นเซียนจัดการเรื่องนี้ หากไม่ให้มืออาชีพเช่นเขาเข้ามาแก้ไขเรื่องนี้ ไม่ช้าสำนักเจ็ดดาราคงต้องถึงจุดจบต่อหน้าต่อตาเจ้าสำนักเป็นแน่! ทว่าหากมองอีกมุมหนึ่ง มีเพียงเหตุการณ์เช่นนี้ที่คุณค่าในตัวเขาจะกระจ่างชัดขึ้นมา แล้วนี่ไม่ใช่เหตุผลที่เขาเปลี่ยนสำนักจากสำนักในพันธมิตรหมื่นเซียนมาอยู่ในสำนักเล็กๆ หรอกหรือ เหตุผลก็เพราะโอกาสที่จะไต่ไปถึงตำแหน่งเจ้าสำนักนั้นมากกว่า หากมีโอกาสรวมสำนักเจ็ดดาราสวะๆ นี่เข้าไปในพันธมิตรหมื่นเซียนได้ล่ะก็ อนาคตของเขาย่อมไร้ขอบเขตเป็นแน่ ในสำนักบ้านหมื่นบุปผา เขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดา แต่หากวันใดเขาได้เป็นผู้อาวุโสในพันธมิตรหมื่นเซียน เมื่อนั้นสถานะของเขาย่อมไม่เหมือนเดิมแน่นอน…


ทว่าเขาต้องพักเรื่องการบริหารจัดการของสำนักเอาไว้ก่อน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือลงโทษคนที่ทรยศสำนัก


“ตาเฒ่าเหอเอ๋ย ตาเฒ่าเหอ เจ้าของเข้าหรืออย่างไรจึงกล้าทรยศเช่นนี้ หนำซ้ำยังกล้าเลือกที่นี่อีกด้วย หากเป็นตามบ้านนอกยากไร้ ไม่แน่ว่าเจ้าสำนักก็อาจจะขี้เกียจเกินกว่าจะจัดการเจ้า เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอจะได้ครอบครองสถานที่ที่อุดมด้วยพลังปราณฟ้าดินซึ่งเปรียบดั่งสรวงสวรรค์ตามธรรมชาติเช่นนี้หรอก”


เซี่ยฉือเหยียดยิ้มพลางถือบุปผาหลากหนาม วัตถุวิเศษระดับห้าชิ้นเดียวของเขาไว้ในมือ บุปผาหลากหนามเป็นวัตถุวิเศษที่ได้จากโรงหล่อของสำนักบ้านหมื่นบุปผา หากใช้คู่กับวิชาหมื่นบุปผาจะสามารถปลดปล่อยพลังที่ใกล้เคียงอาวุธวิเศษระดับสูงได้เลยทีเดียว เหตุผลใหญ่ที่เจ้าสำนักมั่นใจส่งเขามารับมือกับเหออวิ๋น อู้เฟยฮวา และศัตรูอื่นตามลำพังก็คือวัตถุวิเศษระดับห้าชิ้นนี้นี่เอง


ข้อสอง แม้เขาจะอ่อนวัยกว่าเหออวิ๋นไม่น้อย แต่กลับแข็งแกร่งกว่ามาก คนทั้งสองเป็นผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานระดับต่ำด้วยกันทั้งคู่ ทว่าสำนักบ้านหมื่นบุปผากับสำนักป่าหยกนั้นแตกต่างกัน สำนักบ้านหมื่นบุปผาเป็นสำนักระดับแปด ส่วนสำนักป่าหยกเป็นเพียงสำนักระดับเก้า ดังนั้นแม้จะมีตบะขั้นเดียวกัน แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของเขานั้นสูงกว่าถึงสิบส่วน


แม้สิบส่วนจะดูไม่มากมาย แต่ในทางปฏิบัติแล้ว หากแข็งแกร่งกว่าสิบส่วนในการประลอง ก็แปลว่าเขามีโอกาสเอาชนะได้ภายในสิบกระบวนท่า หนำซ้ำเมื่อมีวัตถุวิเศษบุปผาหลากหนามในมือ แม้เขาต้องรับมือกับเหออวิ๋นและอู้เฟยฮวาพร้อมกัน เขาก็ยังมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ภายในห้ากระบวนท่า


“ตาเฒ่าเหอ อภัยให้ข้าด้วย แต่ข้าต้องทำจริงๆ”


ทันทีที่พูดจบ เซี่ยฉือก็ตัวแข็งค้าง หลังจากก้าวค้างอยู่ครึ่งก้าว เขากลับไม่กล้าที่จะสืบเท้าต่อ


ห้าวาเบื้องหน้า เหออวิ๋นที่ใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตา


“อาวุโสเซี่ยฉือ เจ้าจะขอโทษขอโพยข้าทำไม”


เซี่ยฉือยังคงขยับไม่ได้ เขาประหลาดใจว่าเหตุใดตาแก่นี่จึงรู้ว่าเขาจะมาและมาหาเขาถึงที่ เขายังไม่ทันได้เตรียมตัวด้วยซ้ำ!


แต่แล้วความคิดหนึ่งก็เข้ามาในสมอง ตาแก่นี่เป็นคนจัดการเรื่องในหุบเขาหูสุนัขที่อุดมไปด้วยพลังปราณฟ้าดินมากว่าสองปี จึงไม่แปลกที่เขาจะวางค่ายกลประหลาดๆ เอาไว้ อีกอย่างตาแก่ผู้นี้มาจากสำนักป่าหยก จึงน่าจะคุ้นเคยกับการสร้างค่ายกลไม่น้อย… ทว่าสกัดเขาตั้งแต่ตรงนี้จะมีประโยชน์อันใด นอกจากบุปผาหลากหนามแล้ว เขายังมีไพ่สามใบอยู่ในแขนเสื้อ แต่ละใบสามารถกำจัดตาแก่ตบะขั้นสร้างฐานระดับต่ำได้อย่างง่ายดาย!


“ตาเฒ่าเหอ ท่านมาคนเดียวหรือ แล้วเฟยฮวาเล่า” แม้เซี่ยฉือจะมั่นใจในตัวเอง แต่ก็ไม่ยอมประมาทต่อหน้าศัตรู เมื่อเห็นตาแก่ผู้นี้ปรากฏตรงหน้าตามลำพัง แสดงว่าอู้เฟยฮวาต้องซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล เตรียมพร้อมที่จะโจมตีเมื่อได้รับสัญญาณเป็นแน่


เขารู้สึกขบขันไม่น้อย ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณคิดจะลอบจู่โจมเขางั้นหรือ ตอนนี้เขาสวมชุดเกราะเก้าเร้นลับที่ไม่อาจทำลายได้อยู่…


“น่ารำคาญเป็นบ้า มัวรออะไรอยู่”


เซี่ยฉือตื่นตระหนกที่ได้ยินเสียงหงุดหงิดของหญิงสาวดังมาจากด้านหลัง ทว่าสิ่งต่อมาที่รับรู้คือ เขาถูกตีเข้าที่ศีรษะอย่างแรงจนหมดสติไปในทันที


ความคิดสุดท้ายก่อนที่เขาจะหมดสติไป ‘เกราะเก้าเร้นลับ ของลวงโลกแท้ๆ…’


——


พอเซี่ยฉือลืมตาขึ้น รอยยิ้มชั่วช้าของเหออวิ๋นก็ปรากฏขึ้นในสายตาอีกครา


เมื่อเห็นว่าเซี่ยฉือได้สติแล้ว เหออวิ๋นก็หันหน้าไปอีกทาง “ท่านผู้จัดการ ชายผู้นี้ตื่นแล้ว”


“โอ้ เร็วแท้ ดูท่าจะเป็นผู้เล่นหลักสินะ”


“หืม?”


“ไม่มีอะไร เจ้าไม่เข้าใจคำพูดคนเป็นผู้นำหรอก”


ขณะที่เหออวิ๋นกับชายแปลกหน้ากำลังพูดคุยกันอยู่ เซี่ยฉือก็กวาดตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว


ที่นี่น่าจะเป็นโกดังร้างที่ทิ้งไว้นานแล้วแต่เพิ่งทำความสะอาดขึ้นใหม่ เขาถูกโยนลงมากลางกองซากปรักหักพัง แม้จะไม่ได้บาดเจ็บ แต่พลังอิทธิฤทธิ์ในตัวกลับกระจัดกระจาย แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเพราะขั้นตบะของเขายังคงเดิม แต่ทั้งร่างกลับถูกมัดไว้ด้วยด้ายที่มองไม่เห็น ทำให้ไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย… ร่างของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานอย่างเขาแข็งแกร่งกว่าขั้นฝึกปราณหรือจอมยุทธ์ในโลกวรยุทธ์มากนัก ทว่าเมื่อถูกมัดไว้เช่นนี้ ทำให้เขาไม่มีช่องว่างที่จะขยับตัวแม้แต่น้อย


ภายในโกดัง ผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เหออวิ๋นคือเด็กหนุ่มที่ตาเฒ่าเหอพูดคุยด้วย ดูจากวิธีพูด เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มมีสถานะสูงกว่าเหออวิ๋น


นอกจากพวกเขา ยังมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่ทำหน้าอดรนทนไม่ได้อยู่ด้านหลังของเด็กหนุ่ม ดูจากภาษาท่าทางแล้ว เหมือนว่าสถานะของนางจะสูงกว่าเด็กหนุ่มเล็กน้อย


เซี่ยฉือประหลาดใจ แต่เขาก็ไขปริศนาได้ในทันที มีคนนอกสำนักเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยนั่นเอง มิเช่นนั้น เหออวิ๋นคงไม่กล้าพอที่จะทรยศสำนักเป็นแน่


ทว่าสำนักใหญ่ๆ ไม่ได้ให้ความสนใจหมู่บ้านตระกูลหวังบนหุบเขาหูสุนัขแห่งนี้สักหน่อย หรือจะมีสำนักใดในแคว้นธาราครามที่เขามาแทรกแซงกิจการของสำนักเจ็ดดารากันนะ


ขณะที่เซี่ยฉือกำลังเค้นสมอง เสาะหาร่องรอยเพิ่มเติม ร่างเด็กหนุ่มก็เข้ามาปรากฏชัดในสายตาของเขา


“สวัสดี ข้า ผู้จัดการของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้น เจ้าสำนักภูมิปัญญา ขอต้อนรับเจ้าสู่ครอบครัวที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่แต่ต่อไปต้องโด่งต้องดังแห่งนี้ เรามาร่วมแรงร่วมใจบริหารจัดการศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นด้วยกันเถอะ!”


………………………………………….


ตอนที่ 19 ธิดาเทพผู้อับโชค

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


“เอาล่ะทุกคน โปรดปรบมือต้อนรับผู้มาใหม่ของเราด้วย ชายผู้นี้นามว่าเซี่ยฉือ จริงๆ แล้วเขาเป็นผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดารา จากบรรดาผู้อาวุโสทั้งหมดสิบแปดคน เซี่ยฉืออยู่ลำดับที่เจ็ด ซึ่งสูงกว่าตาแก่เหอมาก หนำซ้ำเขายังมีพรสวรรค์สูงส่ง ในอนาคตย่อมต้องทำประโยชน์ให้ศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาได้มากอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเจ้าจงให้ความร่วมมือกับเขาในทุกทางด้วย”


ภายในห้อง หวังลู่ยิ้มย่องตบบ่าเซี่ยฉือพร้อมทั้งพูดยกย่องเสียเลิศเลอ บุคคลที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ เหวินเป่า เหออวิ๋น และอู้เฟยฮวาต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป แต่ละคนอยู่ในห้วงคิดของตัวเอง


ส่วนเซี่ยฉือนั้นมีสีหน้าแข็งทื่อราวผีดิบก็ไม่ปาน


ภายในโกดังแห่งนี้ เขาได้รับการเชื้อเชิญที่กระตือรือร้นจากหวังลู่ ผลก็คือ… เป็นธรรมดาที่เขาจะยอมรับข้อเสนอที่ว่านั้น


ประการแรก ผลประโยชน์สามข้อที่หวังลู่เสนอให้ช่างชวนเชิญไม่น้อย ประการที่สอง…


เซี่ยฉือไม่มีทางเลือก ชีวิตเขาอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้าม แล้วเขาจำต้องมาตายอย่างเปล่าประโยชน์เพื่อสำนักเจ็ดดารางั้นหรือ แม้เขา เซี่ยฉือ จะจงรักภักดี แต่ก็คงไม่อาจตะล่อมให้เจ้าสำนักเจ็ดดารานำสำนักเข้าร่วมกับพันธมิตรหมื่นเซียนได้แน่


ที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนที่อยู่ในโกดัง เจ้าหนุ่มหวังลู่ให้เขากินยาที่ว่ากันว่าคือโอสถสมองสามศพ ซึ่งเป็นยาพิษแมลงในตำนานที่นำเข้ามาจากทางใต้ เมื่อกินไปแล้ว หากไม่เชื่อฟัง วิญญาณของเขาจะบินออกจากร่างและไม่กลับมาอีก… แน่นอนว่าเซี่ยฉือไม่รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของนำเข้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในฐานะที่เป็นคนบากบั่นและตระหนี่ มีหรือหวังลู่จะยอมนำเข้ายาพิษแมลงและเอาให้ทหารชั้นต่ำอย่างเขากิน สิ่งที่เรียกว่าโอสถสมองสามศพอะไรนั่นที่แท้ก็แค่ก้อนถ่านหินที่แท่นบูชาทรงกลมสีเทานั่นพ่นออกมาเท่านั้น


ดังนั้น เซี่ยฉือจึงไม่ลังเลที่จะก้มหัวยอมจำนน อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว


ทว่าเรื่องที่เซี่ยฉือเข้าร่วมกับศูนย์อากรเชาวน์ปัญญานั้น ธิดาเทพเฟิงหลิงกลับถอนหายใจอย่างฉุนเฉียว นางคิดว่าแม้กำลังคนของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาจะแข็งแกร่งขึ้น แต่จำนวนพวกสวะชั้นต่ำก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ความจริงแล้วที่นางมาที่นี่เพื่อหวังความสนุก และสองสามวันที่ผ่านมานี้นางก็มีความสุขอยู่กับการเสี่ยงโชคกับแท่นบูชาที่พ่นของสิบเอ็ดชิ้นต่อวัน ทว่าผลที่ได้รับคือนางไม่ได้ของที่มีค่าเลยสักชิ้น ศูนย์ในสิบเอ็ด ศูนย์ในสิบเอ็ด ศูนย์ในสิบเอ็ดต่อเนื่องกัน… ส่งผลให้จิตวิญญาณของการ ‘สู้ต่อไปแม้จะล้มเหลวติดๆ กัน’ ของนางลุกโชน นางจึงไม่สนสักนิดว่าศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาของหวังลู่จะสำเร็จหรือล้มเหลว


ส่วนเหวินเป่า เขายินดีกับการมาของเซี่ยฉือ เพราะนั่นแปลว่าจะมีคนมาช่วยในการก่อสร้างอาคารในหมู่บ้านมากขึ้น ความกดดันที่เขาแบกรับก็จะบรรเทาลงไปได้มากโข ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นอยู่นอกเหนือสติปัญญาของเขาที่จะจัดการได้


สำหรับอู้เฟยฮวา นางรู้สึกยินดีอยู่ลับๆ เดิมทีเซี่ยฉือคนนี้มาจากสำนักระดับแปด แม้ขั้นตบะจะไม่สูงนัก แต่ก็สูงกว่าตาแก่เหออวิ๋น หนำซ้ำยังร่ำรวยไม่น้อย ชายผู้นี้มีวัตถุวิเศษมากมายที่ติดตัวมาจากสำนักเดิม แถมหน้าตาก็ยังหล่อเหลา พูดสั้นๆ เขาคือ ‘เจ้าชายรูปงาม’ ตามพิมพ์นิยม! หากนางสามารถหาทางหลับนอนกับเขาได้ งานหนักต่างๆ ที่นางต้องทำในหมู่บ้านตระกูลหวังก็ถือว่าไม่เหนื่อยเปล่าแล้ว


บุคคลเดียวที่เต็มไปด้วยความกังวลคือเหออวิ๋น ข้อแรก เขากลัวว่าเจ้าสารเลวหน้าหล่อนี่จะมาแย่งตำแหน่งเขา ตอนนี้เหออวิ๋นเป็นรองผู้จัดการของสำนักภูมิปัญญา แม้อำนาจและอิทธิพลของเขาจะไม่ได้มากมาย แต่ก็รับผิดชอบด้านการพัฒนาสำนักภูมิปัญญา แถมยังจับงานส่วนใหญ่ของสำนัก แปลว่าผลประโยชน์ของเขาย่อมสูงตามไปด้วย… ทว่าหากลองซื่อตรงกับตัวเอง ที่เขาได้ตำแหน่งนี้มาเพราะหวังลู่ไม่มีตัวเลือกอื่น ธิดาเทพแข็งแกร่งก็จริง แต่ก็ไม่เชื่อฟังผู้จัดการ เหวินเป่าอยู่ในโอวาท แต่ ‘ความโง่เง่า’ ก็เข้าขั้นบีบหัวใจ ท่ามกลางพวกระดับบนๆ ในสำนักภูมิปัญญา มีเพียงเขาเท่านั้นที่มีประโยชน์ ทว่าในสำนักเจ็ดดารา ตำแหน่งของเซี่ยฉือสูงกว่าเขา ไม่ว่าจะเป็นขั้นตบะ ญาณหยั่งรู้ และความสามารถ ชายผู้นี้ดีเยี่ยมกว่าเขาเสียทั้งหมด พูดง่ายๆ คือ การคุกคามนี้ใหญ่หลวงนัก


ประการที่สอง เป็นความกังวลในระดับที่ลึกเข้าไปอีก การกระทำในครั้งนี้ของหวังลู่นั้นบ้าบิ่นล้ำเส้นสำนักเจ็ดดารา เซี่ยฉือต่างจากเหออวิ๋นซึ่งเป็นเพียงปลาเล็กปลาน้อยในสำนัก เขาถือเป็นหนึ่งในแกนนำของสำนัก ซึ่งเจ้าสำนักตั้งใจจะปลุกปั้นให้เป็นรองเจ้าสำนักและจากนั้นก็เป็นผู้สืบทอดด้วยซ้ำ! การหายตัวไปของเหออวิ๋น อย่างมากที่สุดก็อาจทำให้ระบบของสำนักเจ็ดดารารวนไปบ้าง แต่การตีตัวออกห่างของเซี่ยฉือเช่นนี้ ย่อมทำให้เจ้าสำนักเจ็ดดารามุ่งร้ายต่อพวกเขาแน่


แล้วอย่างไรเล่า เจ้าสำนักเจ็ดดาราจะสั่งการให้ผู้อาวุโสของสำนักมาโจมตีพวกเขาอย่างนั้นหรือ หากต้องสู้กันจริงๆ พวกเขาต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน แม้ว่าหวังลู่จะทรงพลังเพียงใด แต่ตบะขั้นฝึกปราณมิอาจเอาชนะตบะขั้นพิสุทธิ์ได้แน่ แม้ธิดาเทพจะเก่งกาจด้านวรยุทธ์ แต่หากต้องรับมือกับผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างฐานเป็นสิบๆ คน สำนักภูมิปัญญาย่อมไม่ได้เปรียบแน่นอน


แน่นอนว่าหวังลู่ไม่จำเป็นต้องสู้กับสำนักเจ็ดดารา เพียงแค่เขาโบกธงผืนใหญ่สีสันสดใสของสำนักกระบี่วิญญาณ สำนักเจ็ดดาราผู้ต่ำต้อยย่อมหมอบกราบและเข้ามาเลียแข้งเลียขาพวกเขาแน่นอน ทว่าการใช้ไพ่ตายอย่างบุ่มบ่ามเช่นนั้นรังแต่จะทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยของสำนักกระบี่วิญญาณโกรธเกรี้ยว และเรื่องก็จะจบลงด้วยความหายนะเช่นเดิม


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ตาแก่ลามกก็อดหวั่นวิตกไม่ได้ พอได้เห็นว่าหวังลู่จ่ายงานสำคัญๆ ให้เซี่ยฉืออย่างกระตือรือร้น เขาก็ทำตาส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ตอนนี้เหออวิ๋นไม่อาจใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมในการสื่อสาร เพราะเป็นไปได้ว่าเซี่ยฉืออาจได้ยินการเจรจาลับๆ ผ่านอาคมนี้เช่นกัน


โชคร้ายที่หวังลู่ไม่ได้สังเกตเห็นสัญญาณดังกล่าว หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องไร้สาระแต่ละขั้นตอนแล้ว หวังลู่ก็ปรบมือ “เอาล่ะ วันนี้พอเท่านี้ ทุกคนเชิญไปได้”


ตาแก่ลามกยังมีเรื่องที่อยากจะพูด แต่หวังลู่กลับกำลังปิดประตู ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าการประชุมจบลงแล้ว ตาแก่ลามกจึงทำได้เพียงดึงตัวอู้เฟยฮวาให้มาด้วยกัน แต่เขากลับพบว่าอู้เฟยฮวากำลังมองเซี่ยฉือด้วยสายตายั่วยวน ตาแก่ลามกจึงอดรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาไม่ได้!


——


“นี่ เจ้าไม่คิดเหรอว่าสิ่งที่เจ้าทำมันไม่ถูก”


เมื่อคนอื่นๆ ออกไปกันหมดแล้ว ธิดาเทพจึงพูดขึ้น


หวังลู่ถามกลับอย่างฉงน “ไม่ถูกตรงไหนกัน”


“ไม่คิดบ้างหรือว่าสิ่งที่เจ้าทำมันบ้าบิ่นเกินไป เจ้าไม่เพียงขโมยคนจากสำนักเจ็ดดารา แต่ปาขี้ใส่หน้าพวกเขาด้วยซ้ำและเรื่องนี้ไม่อาจรอมชอมได้แน่ ข้าไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะแพ้ให้สำนักชั้นต่ำนั่น แต่หากเรื่องมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ การเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของเจ้าคงจะจบเห่ลงในไม่ช้าแน่”


หวังลู่พยักหน้าเห็นด้วย “พี่หญิงหลิง หาได้ยากยิ่งเลยนะที่ท่านจะใช้สมองคิดอะไรจริงจังเช่นนี้… วันนี้ก็สิบเอ็ดได้ศูนย์อีกแล้วหรือ”


“…สักวันหนึ่งข้าต้องได้มาสักชิ้นแน่ อย่ามาปล่อยลมความหวังคนอื่นให้เรียบแบนหน่อยเลย!”


หวังลู่ที่กำลังนั่งอยู่ เหลือบมองที่หน้าอกเสี่ยวหลิงเอ๋อร์พลางทำปากจู๋ “ปล่อยลมหรือไม่ปล่อย มันก็ยังดู… โอ๊ย ท่านตีข้าทำไมเนี่ย?!”


พอลุกจากพื้นได้ หวังลู่ก็ปัดฝุ่นตามตัวออกพลางพูดขึ้น “ที่ท่านพูดก็ถือว่าถูก หากเป็นเช่นนั้น พรุ่งนี้เราอาจจะต้องเผชิญหน้ากับสำนักเจ็ดดาราก็เป็นได้ ทว่าสิ่งที่ท่านคิดได้ ข้าเองจะคิดไม่ได้หรือ วางใจเถอะ เรื่องนี้ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเขามาถึงนี่ไม่ได้หรอก”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์สงสัยขึ้นมาในทันที “มาถึงนี่ไม่ได้งั้นหรือ?”


“อืม ท่านคิดว่ากลุ่มคนที่แม้แต่ตัวเองยังดูแลไม่ได้จะมีคุณสมบัติพอมาป่วนพวกเรางั้นหรือ ทว่าเราต้องใช้เวลาให้คุ้มที่สุด เราต้องฉวยโอกาสที่หายากเช่นนี้กระจายชื่อเสียงของสำนักภูมิปัญญาให้รวดเร็วที่สุด รวมทั้งปรับปรุงขั้นตบะของคนในสำนัก เมื่อเราขยับขยายสำนักและพัฒนาขั้นตบะของสมาชิกได้เพียงพอแล้ว หากสำนักเจ็ดดาราต้องการหาเรื่อง พวกเขาคงต้องคิดทบทวนเสียก่อน ถึงตอนนั้นเราก็น่าจะมีจำนวนคนมากกว่า และไม่ต้องกังวลใจเรื่องคนพวกนั้นอีกต่อไป”


เมื่อเห็นหวังลู่เอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างสุขใจ เฟิงหลิงก็ขัดขึ้นอย่างไว “เดี๋ยว เดี๋ยว ที่ว่าจัดการเรียบร้อยแล้วหมายถึงอะไร”


หวังลู่ยิ้ม “ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เมื่อสองวันก่อนข้าได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ป่านนี้มันคงถึงที่หมายและทำให้เกิดปฏิกิริยาบางอย่างแล้ว”


“จดหมาย? ถึงใคร”


“หอสัจจะบุรุษแห่งแคว้นธาราครามของพันธมิตรหมื่นเซียน”


“…มันคืออะไร”


“มันคือหน่วยที่ดูแลจัดการเรื่องของมนุษย์ปุถุชนโดยเฉพาะ หากจะให้พูดถึงลักษณะเฉพาะของคนที่ทำงานที่นี่ มันก็คือกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนที่เอาแต่นั่งนอนรอคอยความตาย ทว่าหน้าที่หนึ่งของพวกเขาก็คือ ตรวจสอบดูว่าโลกมนุษย์ในขอบเขตอำนาจของพวกเขาไม่ถูกแทรกแซงจากภายนอกอย่างไม่เป็นธรรม”


“แล้วการแทรกแซงจากภายนอกอย่างไม่เป็นธรรมหมายถึง…?”


“ตัวอย่างเช่น การกระทำของจื้อเฟิงในประเทศจันทราขาว งานหลักของหน่วยงานนี้คือจัดการผู้บำเพ็ญเซียนที่ประพฤติมิชอบในโลกมนุษย์ ความจริงแล้ว การที่ผู้บำเพ็ญเซียนเข้ามาแทรกแซงในโลกมนุษย์ไม่ถือว่าแปลก หากผู้บำเพ็ญเซียนได้รับอนุญาตจากพันธมิตรหมื่นเซียน ผู้บำเพ็ญเซียนผู้นั้นสามารถรับเงินสนับสนุนจากราชสำนักของประเทศนั้นๆ ได้ด้วยซ้ำ ทว่าหากไม่ได้รับอนุญาตจากพันธมิตรหมื่นเซียน แม้เจ้าแค่เล็งเด็กชาวโลกมั่วๆ ไม่กี่คน ก็ถือว่ากำลังหาเรื่องใส่ตัวแล้ว และแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่สำนักเจ็ดดาราจะได้รับอนุญาตจากพันธมิตรหมื่นเซียน”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจความหมายโดยนัยที่หวังลู่วงกลมเอาไว้ ดวงตาของหญิงสาวเบิ่งกว้าง ถามออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้า…ในฐานะเจ้าสำนัก ร้องเรียนสำนักตัวเองหรือ!?”


หวังลู่กล่าวอย่างซื่อตรง “การร้องเรียนเรื่องสำนักเป็นหน้าที่ของทุกคนอยู่แล้ว!”


“แต่ทำไมเจ้าถึงร้องเรียนสำนักตัวเองเล่า!”


“แม่นาง โปรดเคารพต่ออุดมการณ์อันสูงส่งของสำนักภูมิปัญญาของเราด้วย แก่นของสำนักเราแตกต่างจากสำนักมารนั่นอย่างสิ้นเชิง”


“ใช่สิ สำนักมารนั่นไม่ได้เบาปัญญาอย่างเจ้าไงล่ะ”


“ขอบคุณ หาได้ยากที่ท่านจะเอ่ยปากชมข้าเยี่ยงนี้”


การต่อปากต่อคำกับหวังลู่เป็นงานหนักที่นอกจากไม่สร้างผลกำไรแล้วยังเสียพลังงานเปล่าอีกด้วย เฟิงหลิงนวดขมับที่ปวดแปลบของตัวเอง “…ตามความคิดของเจ้า คนในหน่วยนั้นก็แค่ผู้บำเพ็ญเซียนที่นั่งๆ นอนๆ รอคอยความตาย แล้วเจ้าส่งจดหมายหาพวกเขาทำไม ใช่ว่าเราจะเป็นพวกทรงอิทธิพลเสียหน่อย พวกเขาไม่มาสนใจปัญหาขี้ผงของสำนักขี้ปะติ๋วอย่างเราหรอก”


“ขอบคุณสำหรับคำถาม นั่นเพราะข้าลงชื่อจริงไปในจดหมาย หากรายงานจากศิษย์ผู้สืบทอดจากหนึ่งในห้าสำนักวิเศษไม่ทำให้พวกเขาขยับก้นได้ล่ะก็ หน่วยงานนั้นก็ไม่สมควรได้รับงบประมาณแล้ว”


“ระยำเอ๊ย! เจ้าใช้ชื่อจริงของตัวเอง!?”


“ใช่ ข้าทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา เหตุใดจึงต้องปกปิดด้วยเล่า นี่เรียกว่าช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อเจอสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เช่นนั้นแล้วช่วยเรียกข้าว่าผู้ชำนาญการด้านให้เบาะแสด้วยเถอะ”


“ผู้ชำนาญการสมองทึบรนหาที่ตายเสียมากกว่า…”


——


บนยอดเขาแห้งแล้งแห่งหนึ่งที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอกในจังหวัดต้าตง ประเทศต้าหมิง


เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดาราเปิดประชุมเร่งด่วน


ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ที่เข้าประชุมต่างได้รับรู้เหตุการณ์ชวนอ้าปากค้างที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้


เซี่ยฉือทรยศสำนัก


สำหรับผู้อาวุโสส่วนใหญ่ เรื่องนี้ถือว่าน่าเหลือเชื่อ เซี่ยฉือคือบุคคลมากพรสวรรค์ที่เจ้าสำนักทาบทามมาจากสำนักบ้านหมื่นบุปผาด้วยตัวเอง ทันทีที่เข้าสำนักมา เขาก็ได้เป็นผู้อาวุโสชั้นกลาง นั่นเพราะเขายังอายุน้อยและตบะยังอยู่เพียงขั้นสร้างฐานระดับต่ำ จึงไม่สมควรอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างฐานระดับสูงหลายคน ทว่าอิทธิพลของเขาก็เทียบได้กับผู้อาวุโสผู้ใหญ่หลายคนที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าสำนักมานานที่สุด


เขาคือความหวังของสำนักเจ็ดดารา ในอนาคตสำนักต้องตกอยู่ในมือเขาแน่นอน แม้แต่ในขณะนี้ ทรัพย์สินบางส่วนของสำนักก็ถูกแบ่งให้เขา แล้ว…เหตุใดเขาจึงทรยศได้!?


นี่คือเหตุผลหลักที่เจ้าสำนักเรียกประชุมอย่างเร่งด่วน ทว่าเมื่อเหล่าผู้อาวุโสมารวมตัวกันที่โถงประชุม พวกเขาก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศที่นี่ช่างเยือกเย็น อึมครึม อึดอัด ไม่สบายตัวเป็นอย่างยิ่ง


นี่…บอกเป็นนัยได้ว่าเจ้าสำนักกำลังอารมณ์เสียอย่างหนัก หนำซ้ำดูราวกับว่าเขาไม่อาจทำอะไรเรื่องนี้ได้ด้วย


เกิดอะไรขึ้นกันแน่


โชคดีที่ปริศนานี้ถูกเปิดเผยอย่างรวดเร็ว เมื่อผู้อาวุโสทั้งหมดมาถึง เสียงของเจ้าสำนักก็ดังผ่านอากาศเข้ามา


“ตัวแทนของหอสัจจะบุรุษแห่งพันธมิตรหมื่นเซียน…มาที่นี่”


………………………………………


ตอนที่ 20 การป้องกันการถูกคุกคามระดับมืออาชีพ

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


“หอสัจจะบุรุษ?”


ต่างจากธิดาเทพผู้สูงส่ง เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดาราคุ้นเคยกับชื่อนี้เป็นอย่างดี


ไม่ว่าพวกเขาจะต้องการหรือไม่ สำนักเช่นสำนักเจ็ดดาราย่อมต้องเผชิญกับหอสัจจะบุรุษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน่วยนี้เต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญเพียรที่หาผลประโยชน์จากผู้ที่อ่อนแอและหวาดเกรงผู้ที่แข็งแกร่งกว่า พวกเขาทั้งละโมบและไม่รู้จักพอ ทั้งยังลำเอียงเข้าข้างพันธมิตรหมื่นเซียน ก่อนหน้านี้พวกเขาทำเป็นมองข้ามเรื่องที่สำนักเซิ่งจิงสนับสนุนสำนักหนึ่งในประเทศจันทราขาว แต่เบื้องหลังประตู พวกเขาได้รับผลประโยชน์จึงทำเป็นผ่อนผันให้ แต่หากเป็นสำนักขี้เรื้อนอย่างสำนักเจ็ดดารา ที่ผ่านมาพวกเขาแสดงศักยภาพในการกดขี่ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระเหล่านี้ซึ่งก็ทำได้เพียงร้องโอดครวญหาบิดามารดาอย่างเต็มที่


สำนักเจ็ดดาราคุ้นเคยกับความจริงและความเจ็บปวดนี้ดี เมื่อหลายปีก่อน พวกเขาได้ครอบครองเมืองหลวงจังหวัดแห่งหนึ่งของประเทศต้าหมิง ตอนนั้นพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับความสุขสำราญ ทว่าไม่นานนักก็มีคนของสำนักหอสัจจะบุรุษมาเยือน เมื่อต้องเผชิญกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์สองคนและผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานอีกสิบคน สำนักเจ็ดดาราซึ่งแข็งแกร่งมากในตอนนั้นก็ถูกบังคับให้คุกเข่าและมอบผลประโยชน์หกถึงเจ็ดส่วนในสิบส่วนให้ก่อนที่คนเหล่านั้นจะยอมปล่อยสำนักเจ็ดดาราไป


หลังประสบการณ์อันขมขื่นครั้งนั้น พวกเขายังรักษาความสัมพันธ์กับหอสัจจะบุรุษอยู่ และส่งของขวัญไปให้คนเหล่านั้นเป็นประจำ เช่นนี้เองวิกฤตของสำนักจึงคลี่คลายและทำให้รากฐานของพวกเขามั่นคงขึ้น… ทว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่าหลังจากสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันแล้ว หอสัจจะบุรุษยังคงจับตามองพวกเขาอยู่ดี! หอนั่นกัดมือคนที่ให้อาหารตนเองแท้ๆ ราวกับว่าศิลาวิญญาณและวัตถุวิเศษต่างๆ ที่ให้ไปก่อนหน้านั้น พวกเขาให้สุนัขไปเช่นนั้นล่ะ!


“ท่านเจ้าสำนัก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”


เจ้าสำนักเองก็รู้สึกหดหู่ไม่น้อย นั่นเพราะผู้บำเพ็ญเซียนระดับล่างคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้แจ้งข่าวของหอสัจจะบุรุษให้กับเขา กลับไม่เต็มใจจะแจ้งสาเหตุที่แน่ชัดในการมาเยือนครั้งนี้ หลายปีมานี้ เขาติดสินบนเจ้าหน้าที่มากมายในหอนั้น แต่ก็ยังเข้าไม่ถึงการจัดการต่างๆ อยู่ดี ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น มันก็เกินกำลังที่เขาจะล่วงรู้ถึงเหตุผล เมื่อนึกไม่ออกว่าเหตุใดหอสัจจะบุรุษจึงเพ่งเล็งมาที่พวกเขา เจ้าสำนักจึงต้องเรียกประชุมผู้อาวุโสเพื่อหารือถึงมาตรการรับมือ


ทว่าหากเจ้าสำนักยังคิดหาทางไม่ได้ แล้วเหล่าผู้อาวุโสจะคิดออกได้อย่างไร หลังจากหารือกันจนรุ่งเช้า สิ่งเดียวที่ได้ก็คือเจ้าสำนักและผู้อาวุโสทั้งหลายต้องหอบหิ้วของมีค่าต่างๆ ไปบรรณาการกับคนในหอสัจจะบุรุษด้วยตนเอง และหวังว่าการใช้เงินในครั้งนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้


แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านตระกูลหวังที่หุบเขาหูสุนัขเล่า


ช่างหัวบิดามันสิ! ภัยกำลังจะมาถึงสำนักอยู่แล้ว ใครหน้าไหนจะมีเวลาใส่ใจชาวบ้านที่หุบเขาหูสุนัขกัน!?


ในเดือนนั้น ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าพวกเขาใช้เงินไม่ต่างจากน้ำ หลังจากที่ผู้อาวุโสหลายคนของสำนักเจ็ดดาราพาบุคลากรของหอสัจจะบุรุษไปเลี้ยงสุราหลายต่อหลายครั้งจนเมามายหมดสติ วิหารหยกในกายสั่นไหว ในที่สุดเรื่องก็เริ่มบรรเทาลง


โชคดีที่หลายปีมานี้ สำนักเจ็ดดารายังรักษาความสัมพันธ์อันดีกับหอสัจจะบุรุษไว้ พวกเขาจึงสามารถทำให้เรื่องยุติลงได้จากการเลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้งเกือบทุกวันในเวลาเพียงหนึ่งเดือน หากเป็นสำนักอื่น แม้เสนอจะเลี้ยงสุราวิเศษ ก็ไม่มีทางเชิญคนพวกนั้นมาดื่มกินได้ แต่ถึงกระนั้นสำนักเจ็ดดาราก็ต้องใช้เวลาทั้งเดือนกว่าที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของหน่วยย่อยหนึ่งจะให้เข้าพบเพื่อมอบของกำนัลเป็นศิลาวิญญาณ เป็นอันยุติข้อพิพาทนี้


นอกจากนั้นพวกเขายังได้ของกำนัลเพิ่มเติมอีกด้วย นั่นคือได้รู้ว่ามือปีศาจมือใดที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ความจริงแล้วไม่ใช่มือของปีศาจที่ยื่นเข้ามาแส่เรื่องนี้หรอก คนร้ายตัวจริงคือพวกเฮงซวยที่เขียนจดหมายถึงหอสัจจะบุรุษแจ้งว่ามีสำนักมารเคลื่อนไหวอยู่ในประเทศต้าหมิงแห่งแคว้นธาราคราม… หอสัจจะบุรุษนั้นได้รับจดหมายทำนองนี้บ่อยครั้งมาก ประมาณแปดร้อยถึงหนึ่งพันฉบับต่อปี โดยปกติพวกเขาทิ้งจดหมายเหล่านี้ไป ทว่าจดหมายผิดธรรมดาฉบับนี้เป็นจดหมายที่พวกเขาไม่อาจละเลยได้ นั่นเพราะมันเขียนโดยศิษย์ผู้สืบทอดของหนึ่งในห้าสำนักวิเศษ


ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ ไม่กี่เดือนมานี้ มีเรื่องอื้อฉาวซึ่งเกี่ยวข้องกับหอสัจจะบุรุษแห่งพันธมิตรหมื่นเซียนเกิดขึ้นในแคว้นธาราคราม ทั้งผู้คุมหอและรองผู้คุมหอต่างถูกลงโทษ ดังนั้นพวกเขาจึงอ่อนไหวเป็นพิเศษกับเรื่องทำนองนี้ แต่แรกสำนักมารนั่นถูกผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักกระบี่วิญญาณทำลายลง ปรมาจารย์จื้อเฟิงผู้อยู่เบื้องหลังสำนักมารดังกล่าวพ่ายแพ้และล่าถอยไป เขาถูกสำนักของตัวเองทำโทษโดยการพรากร่างมนุษย์ และใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์เป็นสิบปี ทว่าหลังจากนั้นท่าทีของสำนักเซิ่งจิงที่มีต่อสำนักกระบี่วิญญาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแคว้นธาราครามก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาอาจเมินเฉยต่อเสียงของสำนักอื่น แต่ไม่ใช่จากสำนักกระบี่วิญญาณ


ด้วยสถานการณ์ที่สลับซับซ้อนเช่นนี้ จดหมายจากศิษย์ผู้สืบทอดเพียงฉบับเดียวก็สามารถเขย่าหอสัจจะบุรุษแห่งนี้ได้… ทว่าระหว่างที่กลับจากหอสัจจะบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนักหรือเหล่าผู้อาวุโส พวกเขาต่างรู้สึกเหมือนโดนลอกผิวหนังออกอย่างไรอย่างนั้น


ยามที่เหนื่อยอ่อนเช่นนั้น อารมณ์โกรธเกรี้ยวก็ปะทุขึ้นอย่างง่ายดาย หอสัจจะบุรุษทำให้พวกเขาต้องลำบากแท้ๆ แต่สำนักเจ็ดดาราก็ไม่อาจตอบโต้ใดๆ ได้ ทว่าพอทุกอย่างยุติแล้ว ก็ถือเวลากวาดล้างพวกฉวยโอกาสหน้าไม่อายที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาหูสุนัขแล้วมิใช่หรือ!?


ทว่าตอนที่เจ้าสำนักคิดจะหย่อนใจสักครู่ ก็มีคนเข้ามารายงาน ปัญหาใหม่เกิดขึ้นอีกแล้ว


“หา? หอนภาเร้นลับ!? นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ!?เราไปข้องเกี่ยวกับพวกเขาตั้งแต่เมื่อไรกัน ก้าวเข้าประตูของหอนั้นยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ! พวกเขาหาว่าเราข้องเกี่ยวกับวัตถุผิดกฎหมายอย่างยาพิษกระจายวงงั้นหรือ ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด! เราเป็นแค่สำนักจนๆ จะมีปัญญาครอบครองยาพิษกระจายวงได้อย่างไร หนำซ้ำพวกเขาเองต่างหากที่เปิดประมูลยาพิษแมลงชั้นสูง!? ว่ากันว่าพิษนั่นสามารถถอนรากถอนโคนประเทศเล็กๆ ได้ทั้งประเทศ แล้วยังมีหน้าจะมาสอบสวนเราเนี่ยนะ!?”


เจ้าสำนักยังคงบ่นเสียงดังยาวเหยียด ทว่าอำนาจของหอนภาเร้นลับนั้นมีมากกว่าหอสัจจะบุรุษหลายเท่านัก ดังนั้นแม้ว่าผู้ที่ดูแลเรื่องนี้จะเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาในสาขาย่อยของหอนภาเร้นลับ แต่อำนาจของคนผู้นี้ก็มีมากพอจะกำจัดสำนักที่ใหญ่กว่าสำนักเจ็ดดาราเป็นร้อยๆ เท่าเลยทีเดียว


เมื่อคราวเคราะห์มาเยือนอย่างคาดไม่ถึง เจ้าสำนึกจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเรียกประชุมผู้อาวุโสอีกครั้ง หลังจากปรึกษาหารือกันอีกรอบ พวกเขาก็หอบหิ้วสุราวิเศษและเริ่มการเดินทาง ‘เชื่อมสัมพันธ์’ ครั้งใหม่


…………………………………..


ครั้งนี้กินเวลาครึ่งเดือน เมื่อพวกเขากลับมาต่างก็รู้สึกว่าถูกลอกชั้นผิวหนังอีกชั้นออกไป ทว่าคนที่โชคร้ายที่สุดก็คือผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ดื่มสุรามากเกินไปจนทำให้ขั้นตบะลดลง ขั้นตบะของเขาลดไปหนึ่งขั้นซึ่งถือว่าเป็นหายนะที่น่าสะพรึงอย่างแท้จริง


คราวนี้สำนักเจ็ดดาราไม่มีเรี่ยวแรงที่จะโกรธเกรี้ยว ทว่าพวกเขากลับนึกถึงหายนะที่เกิดขึ้นในหุบเขาหูสุนัขขึ้นมาได้


เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะหารือในเรื่องนี้ จิตใจของเจ้าสำนักก็สั่นไหว ลางสังหรณ์บางอย่างพุ่งทะยานเข้ามาในความคิด


“ระยำ! อย่าบอกนะว่า…”


เจ้าสำนักส่ายศีรษะ ตัดสินใจที่จะไม่เชื่อลางสังหรณ์ดังกล่าว เขาเปิดปาก “เรื่องหุบเขาหูสุนัข…”


ก่อนที่จะทันได้พูดต่อ ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ผลุนผลันเข้ามา “รายงานท่านเจ้าสำนัก มีคนจากพันธมิตรหมื่นเซียนมาที่นี่อีกแล้ว!”


“เวรเอ๊ย! คราวนี้อะไรอีกเล่า!?”


“คนผู้นั้นกล่าวว่าสำนักเจ็ดดาราของเราพัวพันกับการหาผลประโยชน์บางอย่าง ที่ส่งผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อมของแคว้นธาราคราม…”


“บิดาเจ้าสิ! นี่มันเรื่องระยำอะไรกัน! พันธมิตรหมื่นเซียนครอบครองสายแร่ของพลังปราณฟ้าดินมากมาย ยามที่พวกเขาตักตวงผลประโยชน์จากพื้นที่เหล่านี้ แม้เกิดแผ่นดินถล่มพวกเขาก็ไม่เคยคิดใส่ใจ แต่ครั้งนี้กลับจะมาหาเรื่องเราด้วยเหตุผลพรรค์นี้น่ะหรือ!?”


เจ้าสำนักแค้นเคืองเสียจนอยากจะทึ้งผมทึ้งหนวดตัวเองเพื่อแสดงความเดือดดาล โชคร้ายที่สำนักเจ็ดดาราไม่ใช่สำนักโด่งดัง ความเดือดดาลของพวกเขาไม่มีค่าแม้เงินเพียงกระผีก หลังจากแสดงความโกรธเกรี้ยวอยู่ภายในห้องโถงครู่ใหญ่ เจ้าสำนักก็ทำได้เพียงถอนหายใจและออกไปจัดการกับปัญหานั้น…


และแล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


พอสำนักเจ็ดดาราจัดการปัญหาทุกอย่างได้เรียบร้อยแล้ว เหล่าพวกที่อยู่เบื้องบนก็เหนื่อยล้ากันเต็มที หลังจากพักฟื้นอยู่สองสามวัน พวกเขาก็จำขึ้นมาได้ว่ายังมีปัญหาที่หุบเขาหูสุนัขรอให้จัดการอยู่!


“ระยำเอ๊ย! ข้าอยากรู้นักว่าเหออวิ๋นและเซี่ยฉือ คนทรยศสองคนนั่นไปก่อเรื่องอะไรที่หุบเขาหูสุนัขกันแน่!?” ——


ความจริงแล้ว สามเดือนให้หลังมานี้ สิ่งที่เกิดขึ้นที่หุบเขาหูสุนัขเรียกได้ว่าสั่นสะเทือนฟ้าดิน


หวังลู่ไม่รั้งรอที่จะเป็นตัวตั้งตัวตีในการพัฒนาสำนักภูมิปัญญา ที่หุบเขาหูสุนัข… และในประเทศต้าหมิง อุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือสำนักเจ็ดดารา ตราบใดที่สำนักเจ็ดดารายังคงนิ่งเงียบ ย่อมไม่มีอิทธิพลภายนอกอื่นใดจะขัดขวางสำนักภูมิปัญญาได้ ความจริงแล้วสามเดือนให้หลังมานี้ เมื่อไม่มีการก่อกวนจากฝ่ายตรงข้าม สำนักภูมิปัญญาก็ขยับขยายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับไฟป่าที่ไม่อาจควบคุมได้


อย่างแรกคือการขยายอำนาจของสำนักอย่างบ้าคลั่ง ด้วยการแสดงของหวังลู่ในหมู่บ้านตระกูลหวังที่สัมฤทธิ์ผลด้วยดี เซี่ยฉือ ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาต่างก็เลียนแบบการแสดงของหวังลู่ ใช้รูปแบบของหมู่บ้านตระกูลหวังในหลายๆ หมู่บ้านที่อยู่บริเวณหุบเขาหูสุนัข เปิดสำนักย่อยและรวบรวมผู้ติดตามได้จำนวนมาก และเมื่อบอกเล่ากันปากต่อปาก อิทธิพลของสำนักภูมิปัญญาก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อิทธิพลของพวกเขาเริ่มแผ่ขยายไปยังประเทศข้างเคียงอีกด้วย


ในยุคของสำนักเจ็ดดารา พวกเขาพัฒนาต่อเนื่องไปยังหมู่บ้านและประเทศที่อยู่ห่างไกล ทว่าสำหรับสำนักภูมิปัญญาซึ่งมีวิธีการเก็บภาษีที่แตกต่างไป ไม่มีสถานที่ใด หรือบุคคลใดไร้ค่าพอที่จะพัฒนา แม้ผู้ติดตามเหล่านั้นจะไม่มีกำลังเงิน แต่พวกเขาก็มีร่างกาย มีกำลังกาย มีไต!


ทว่ามีเพียงการเทศน์ของสำนักภูมิปัญญาเท่านั้นจึงจะขุดเอาคุณค่าแห่งการพัฒนานี้ขึ้นมาได้ สามเดือนให้หลังมานี้ สำนักภูมิปัญญาสร้างผู้ติดตามได้นับหมื่นๆ คน ทว่าผู้ติดตามส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากทฤษฎีผู้นำทางหนึ่งล้านคนของหวังลู่ ทั้งยังไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่แท่นบูชาปฐมกลียุคพ่นวัตถุวิเศษราคาแพงอยู่บ่อยครั้ง


ความเป็นเลิศของสำนักภูมิปัญญาขึ้นอยู่กับความสามารถในการขุดเอาศักยภาพของชาวบ้านทั่วไปขึ้นมา ระหว่างการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสำนักในเวลาสามเดือน จากผู้ติดตามนับหมื่นคน มีกว่าห้าร้อยคนที่สามารถบำเพ็ญเซียนได้จริงๆ


สัดส่วนที่ว่านี้อาจจะดูน้อย แต่กระจัดกระจายไปตามหมู่บ้านนับสิบๆ แห่ง แต่ละหมู่บ้านย่อมมีตัวอย่างของผู้ที่สามารถบำเพ็ญเซียนได้หมู่บ้านละคนสองคน ข้อเท็จจริงที่ว่านี้เพียงอย่างเดียวก็น่าดึงดูดกว่าคำคมหรือทฤษฎีใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ชาวบ้านเชื่อมั่นในตัวพวกเขาเข้าไปอีก


เมื่อครั้งที่สำนักเจ็ดดาราใช้เล่ห์กลต่างๆ กับพวกชาวบ้าน ผลที่ได้รับไม่ได้เป็นตามนี้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสามารถพัฒนาได้รวดเร็ว หนำซ้ำเมื่อถูกจับไต๋ได้ จำนวนคนติดตามย่อมลดลงเป็นธรรมดา


ส่วนที่สำนักภูมิปัญญาสามารถพัฒนาได้รวดเร็วอย่างน่าทึ่งนั้น มีเหตุสำคัญอยู่สองประการ


ประการแรก พวกเขานำเข้าโอสถหกประสานมาจำนวนมาก และแจกจ่ายอย่างกว้างขวางเพื่อที่ว่าทุกคนจะได้มีโอกาสบำเพ็ญเซียน ขั้นตอนนี้ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเพราะพวกเขามีแท่นบูชาปฐมกลียุคที่เสถียรพอจะจัดหารายได้ให้เพียงพอกับรายจ่าย ยิ่งไปกว่านั้นคือโอสถหกประสานไม่ใช่ยาที่มีราคาแพง ตราบใดที่สามารถหาเครือข่ายจัดหาสินค้าได้ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองราคา และกลายเป็นว่าเซี่ยฉือเองมีแหล่งทรัพยากรที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อยู่ในมือเป็นจำนวนมาก


ประการที่สอง คือทำให้โอกาสในการบำเพ็ญเซียนเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด สำหรับบุคคลทั่วไป โอสถหกประสานทำได้เพียงลดช่องว่างที่จะนำไปสู่ประตูแห่งโลกบำเพ็ญเซียน แม้พวกเขาจะบำเพ็ญเซียนนานนับสิบปี ก็อาจไม่สามารถดึงพลังปราณฟ้าดินเข้าสู่ตัว ผลก็คือเท่ากับศูนย์ หลายปีที่สำนักเจ็ดดาราต้มตุ๋นชาวบ้าน พวกเขาไม่สามารถพิชิตอุปสรรคข้อนี้ได้ แม้นานๆ ทีพวกเขาจะสามารถล่อลวงลูกค้าที่ร่ำรวยซึ่งยอมเสียเงินจำนวนมากเพื่อรากวิญญาณชั้นสูง แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนคนผู้นี้ให้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนได้… ทว่าภายใต้การดูแลของหวังลู่ แม้จะเป็นเพียงโอสถหกประสาน แต่กลับเปล่งประกายอย่างที่ไม่มีใครเสมอเหมือน และสามารถทำให้ชาวบ้านที่ไร้ญาณรับรู้และไร้โอกาสจำนวนมาก ทะลวงเข้าสู่โลกแห่งเซียนได้ทีละคนสองคน


วิธีในการจัดการเรื่องนี้นั้นง่ายมาก


นั่นคือใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา


……………………………………….


ตอนที่ 21 ข้าผิดไปแล้ว มันก็แค่ความฝันวาบหวามเท่านั้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไรสำหรับผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ในแคว้นธาราคราม จะว่าไปวิชานี้นั้นโด่งดังไม่น้อย


ถ้าจะพูดให้ถูก วิชานี้ถือว่าฉาวโฉ่ เมื่อหลายเดือนก่อน ปรมาจารย์จื้อเฟิงพ่ายแพ้ต่อสำนักกระบี่วิญญาณและถูกส่งกลับสำนักอย่างน่าอับอาย แม้ทั้งสองสำนักจะปกปิดรายละเอียดในเรื่องนี้เพื่อรักษาหน้า แต่การประเมินเชิงลบของวิชาโลหิตเพลิงโหมนภากลับเล็ดลอดออกมา


เริ่มแรกผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณออกมาปรักปรำว่าวิชานี้เป็นวิชาสายมาร ทว่าความจริงที่ว่าปรมาจารย์จื้อเฟิงใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเพื่อช่วยพัฒนาผู้บำเพ็ญเซียนระดับล่างจำนวนมากที่ประเทศจันทราขาวก็เป็นที่รับรู้ไปทั่ว จากนั้นพันธมิตรหมื่นเซียนก็ส่งผู้ฝึกเซียนจำนวนมากเพื่อรวมกลุ่มกันทำวิจัย พวกเขาใช้ข้อมูลที่ได้มาจากจื้อเฟิงรวมทั้งคำสารภาพของสำนักพันวิญญาณ ศึกษาวิชานี้อย่างรอบด้าน


ทว่ากลุ่มผู้วิจัยก็ได้แต่ถอนหายใจ เมื่อผลจากการศึกษาวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาอย่างรอบด้านกลับสนับสนุนข้อสรุปของผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่วิญญาณ นั่นคือที่เป็นอยู่ในตอนนี้ วิชานี้มีจุดอ่อนมากเกินไป


คำอธิบายของผู้อาวุโสสำนักกระบี่วิญญาณที่มีต่อข้อบกพร่องดังกล่าวประกอบด้วย มันจะทำให้จิตแห่งเต๋าสั่นคลอน หากฟังในฐานะผู้สังเกตการณ์ มันก็เหมือนการพยายามมองหายอดเขาที่ถูกเมฆหมอกบดบัง นั่นคือยากที่จะเข้าใจความหมายที่แท้จริง ทว่าก็มีคำอธิบายที่เรียบง่ายกว่านั้น นั่นคือวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาไม่ได้ช่วยในการบำเพ็ญเซียนได้จริง มันก็แค่ความฝันวาบหวามที่รู้สึกสมจริงอย่างที่สุด ให้ความรู้สึกสุขสบายใจ แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนสิ่งที่เป็นอยู่จริงๆ


หลักพื้นฐานของวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาคือการเผาผลาญสิ่งมีค่าของคนผู้นั้น นั่นก็คือ อายุขัย เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมาก ซึ่งอาจนำไปใช้พัฒนาการบำเพ็ญเซียนของตนได้ ทว่าพลังอิทธิฤทธิ์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการพัฒนาขั้นตบะ ตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น หลังจากฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาสามสิบปี ผู้บำเพ็ญเซียนที่ครอบครองรากวิญญาณหกประสานอาจมีขั้นตบะได้ถึงขั้นฝึกปราณระดับสูง แต่หากผู้บำเพ็ญเซียนใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา ระยะเวลาที่จะไปถึงขั้นตบะดังกล่าวอาจสั้นลงหลายปี ทว่าต้องแลกกับการที่อายุขัยของผู้บำเพ็ญเซียนผู้นั้นสั้นลงไปมากกว่าหกสิบปี และหากเลินเล่อแม้เพียงนิดเดียว อายุขัยอาจถูกเผาผลาญอย่างหนักหน่วงจนทำให้ถึงชีวิตได้อย่างปุบปับ จื้อเฟิงพยายามพิสูจน์วิชานี้ แต่ที่ประสบผลก็คือ เขาสามารถเลี่ยงการตายอย่างฉับพลัน และลดการเผาผลาญอายุขัยจากหกสิบปีเหลือ…ห้าสิบปี ซึ่งหากจะพูดกันจริงๆ แล้ว มันไม่ได้เปลี่ยนอะไรแม้แต่น้อย น่าขำยิ่งนัก จากคำกล่าวอ้างของจื้อเฟิง วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาฉบับปรับปรุงนั้นถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่จะสร้างโอกาสให้ทุกคนสามารถกลายเป็นผู้ฝึกเซียนได้ แต่หากว่ากันตามแก่นแท้แล้วนั้น วิชานี้กลับปิดกั้นการการพัฒนาขั้นตบะของผู้ฝึกเซียน หากผู้ฝึกเซียนที่ครอบครองรากวิญญาณเทียมอย่างรากวิญญาณหกประสานฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาร้อยปี เขาอาจสำเร็จถึงขั้นสร้างฐาน ทว่าหากเขาใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา ผู้ฝึกเซียนคนนั้นอาจผลาญอายุขัยของตนจนสามารถสำเร็จตบะสูงสุดได้ถึงขั้นฝึกปราณระดับสูง หนำซ้ำเพราะการบำเพ็ญเซียนที่รุดหน้ารวดเร็วเกินไป ผู้บำเพ็ญเซียนคนดังกล่าวจึงไม่ต่างจากปราสาททราย ที่ไม่อาจต้านแม้เพียงสายลมเดียวได้


หากจะมีประโยชน์อยู่บ้าง วิชาโลหิตเพลิงโหมนภานี้จะดีก็ต่อเมื่อผู้ที่ใช้ต้องการฝ่าทะลวงแบบก้าวกระโดด ตัวอย่างเช่นหากบางคนติดค้างอยู่ที่คอขวดเพราะไร้ความชำนาญ ไม่อาจทะลวงไปจนถึงตบะขั้นต่อไปได้ เขาอาจเดิมพันอายุขัยของตนกับวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเพื่อทะลวงไปให้ถึงตบะขั้นต่อไป จากนั้นก็จะได้อายุขัยคืนกลับมาบางส่วน วิธีนี้จะใช้เป็นตัวเลือกสุดท้ายก็ย่อมได้ แต่หากวิชานี้แพร่หลายไปทั่วโลกในฐานะอาวุธวิเศษที่จะช่วยเร่งความเร็วในการบำเพ็ญเซียนแล้วล่ะก็ มันก็จะน่าขำเกินไป


หากยังอยู่ในช่วงกลียุคเมื่อหลายพันปีก่อน คงไม่มีใครใส่ใจหากวิชาไร้แก่นสารพรรค์นี้จะแพร่หลายในวงกว้าง ทว่าปัจจุบันนี้มีสิ่งที่เรียกว่าพันธมิตรหมื่นเซียน ดังนั้นโลกแห่งเซียนจึงไม่ต้องทนใช้วิชาที่เอาเปรียบเช่นนี้ หากทุกคนคิดพึ่งพิงการเผาผลาญอายุขัยของตนในทุกครั้งที่เผชิญอุปสรรคเพื่อหวังจะฝ่าทะลวงไปได้ เช่นนั้นโลกแห่งเซียนคงไร้อนาคตแล้ว


ดังนั้นเมื่อหวังลู่เสนอแผนนี้ขึ้นมา เขาก็ถูกคัดค้านทันควัน


“ตะคริวขึ้นสมองหรืออย่างไร เจ้าคิดได้อย่างไรว่าจะใช้วิธีนี้ ไม่กลัวว่าอาจารย์ของเจ้าจะมาลากตัวเจ้ากลับไปโบยหรอกหรือ”


“น่าหัวร่อสิ้นดี เหตุใดนางจึงต้องเปลืองแรงมาตามหาข้าด้วย หากเป็นเรื่องแบ่งเงินภาษีให้นางก็ว่าไปอย่าง…”


“เจ้าก็รู้ว่านางเกลียดวิชาโลหิตเพลิงโหมนภานี้จะตาย”


“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น”


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หวังลู่ก็ถามติดตลกออกไป “พี่หญิงหลิง ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าข้าเรียนวิชาโลหิตเพลิงโหมนภามาจากไหน”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์นิ่งไป “จากไหน”


“แม้ข้าจะเป็นนักเรียนแถวหน้า แต่ก็ไม่ได้เกิดมาพร้อมความรู้ แน่นอนว่าข้าย่อมต้องเรียนมาจากที่ใดที่หนึ่ง แม้แต่คนที่มีภูมิความรู้กว้างขวางที่สุดอย่างท่านอาหลิวเสี่ยนก็ยังไม่รู้จักวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาฉบับปรับปรุง…ทีนี้ท่านเดาได้หรือยังเล่าว่าข้าเรียนมาจากใคร”


“…เจ้าล้อข้าเล่นใช่ไหม!? เป็นไปไม่ได้!” จู่ๆ เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็ค่อยๆ รู้แจ้งขึ้นมาว่าคนที่สอนวิชานี้ให้หวังลู่ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นหวังอู่เอง!


“ไม่ใช่ว่าอาจารย์ข้าเกลียดวิชาโลหิตเพลิงโหมนภา แต่นางเกลียดที่ผู้คนต่างใช้วิชานี้เป็นทางลัดในการบำเพ็ญเซียน และข้าก็เห็นด้วยกับนาง พวกคนเขลาสมควรตายเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ทว่าวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาไม่เกี่ยวด้วย ต่อให้มันจะห่วยแตก แต่หากนำมาใช้งานได้ ก็ถือว่ามีประโยชน์ ข้าไม่ได้จะใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเป็นทางลัดสักหน่อย”


“…แล้วเจ้าจะใช้ขำๆ หรืออย่างไร”


“มันไม่เกี่ยวกับว่าขำหรือไม่ขำ แต่เป็นอีกขั้นหนึ่งที่ต้องก้าวไปให้ถึงเพื่อให้สำนักภูมิปัญญาพัฒนาได้ ลองคิดดูสิว่าคนประเภทใดที่เรากำลังพัฒนาอยู่ พวกเขาทั้งไร้เงิน ไร้สมอง ไร้ความรู้! คนพวกนี้ หากอิงตามคำพูดของอาจารย์ข้า พวกเขาควรนอนกินอาจมอยู่ที่บ้าน ไม่ควรมาเกี่ยวข้องกับโลกแห่งเซียน! สิ่งดีสิ่งเดียวที่พวกเขามีก็คืออายุขัย ดังนั้นหากพวกเขาอยากบำเพ็ญเซียน พวกเขาจะทำอย่างไรได้นอกจากต้องทุ่มสุดตัว”


ธิดาเทพงงงวย “ต่อให้ทุ่มสุดตัวแล้วอย่างไร ใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาแล้วก็ยังไม่คุ้ม…”


“มันจะไม่คุ้มได้อย่างไร จริงอยู่ที่หากใช้รากวิญญาณหกประสานก็อาจไปถึงตบะขั้นสร้างฐานได้หากบำเพ็ญเซียนอย่างพากเพียรสักหนึ่งร้อยปี แต่ปุถุชนธรรมดาเหล่านี้จะหาเวลาว่างที่ไหนได้ตั้งหนึ่งร้อยปี สำนักต่างๆ ของพันธมิตรหมื่นเซียน พวกลูกศิษย์ต่างไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องทำคืออุทิศตนเพื่อบำเพ็ญเซียน ซึ่งเป็นเรื่องที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ หากพวกเขาไม่ทำไร่ไถนา พวกเขาก็ต้องหิวตาย หากพวกเขาไม่ทอผ้า ย่อมไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ มีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ตั้งมากมายที่เบี่ยงเบนความตั้งใจของพวกเขา หนำซ้ำข้าเองก็ไม่มีเวลามากพอที่จะรอให้พวกเขาบำเพ็ญเซียน การเรียนรู้หาประสบการณ์ในครั้งนี้กินเวลาเพียงหนึ่งปี! หากข้าต้องรีดแรงงานจากพวกเขาอย่างเต็มกำลัง ข้าก็ต้องใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเพื่อเร่งขั้นตบะของพวกเขา ยิ่งพวกเขาบำเพ็ญเซียนได้สำเร็จเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะช่วยพัฒนาสำนักภูมิปัญญาได้เร็วเท่านั้น สำนักภูมิปัญญายังพัฒนาได้แค่เพียงขั้นแรก หากเราเร่งจังหวะอีกหน่อย เราก็ย่อมถึงเป้าหมายของการพัฒนาได้เร็วขึ้น”


“แต่หากคนพวกนี้ต้องเผาผลาญอายุขัยของพวกเขาจะยิ่งไม่สูญเสียใหญ่หลวงหรือ”


หวังลู่กล่าวเสียงเย็น “พี่หญิงหลิง ท่านกลายเป็นคนอ่อนหวานตั้งแต่เมื่อไรกัน หากว่าไม่มีคนลงแรงปลูกต้นไม้ให้ เราจะได้รื่นรมย์กับร่มเงาของต้นไม้หรือ ตอนนี้สำนักภูมิปัญญาแพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณกลุ่มคนที่สำเร็จตบะขั้นฝึกปราณ ทางหนึ่งพวกเขาถือว่าเป็นโฆษณาชั้นเยี่ยม อีกทางหนึ่งพวกเขาก็เป็นแรงงานในการก่อสร้างสิ่งต่างๆ ของสำนัก ทั้งแท่นบูชาสำรองในหมู่บ้านตระกูลหวัง สวนติณชาติวิญญาณ วิหารวิญญาณ… เราต้องสร้างมันขึ้นมาเองหรือเปล่า หากไม่มีสิ่งก่อสร้างเหล่านี้สำนักภูมิปัญญาจะสามารถดึงดูดพวกที่มีพรสวรรค์มาเข้าร่วมสำนักได้หรือ สัปดาห์ก่อนมีผู้บำเพ็ญเซียนอิสระขั้นฝึกปราณที่มีพรสวรรค์สูงส่งสามคนเปรยว่าสนใจอยากเข้าร่วมสำนักภูมิปัญญา… หากเรามัวรอให้พวกสวะเหล่านั้นบำเพ็ญเซียนอย่างอืดอาด ชาตินี้ก็อย่าหวังว่าสำนักภูมิปัญญาจะพัฒนาเลย”


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หวังลู่ก็อดใส่อารมณ์ไม่ได้ “การพัฒนาสำนักในขั้นแรกย่อมต้องใช้ทุนรอนจำนวนมาก ซึ่งรากเลือดและโหดร้ายไม่เบา พี่หญิงหลิงท่านเองก็ควรเรียนรู้ที่จะทำตัวให้คุ้นชินด้วย”


“ผลสุดท้าย คำพูดที่ฟังดูมีคุณธรรมของเจ้ามันก็แค่เพื่อรวบรวมเงินทองเท่านั้นล่ะ ใช่ไหม” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ยังคงขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด


“จุ๊ๆ ท่านดูถูกข้าเกินไปแล้ว พี่หญิงหลิง จนถึงตอนนี้ภาษีสติปัญญาที่ศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาเก็บมานั้น ข้าก็ลงให้กับสิ่งก่อสร้างและการพัฒนาของสำนัก ไม่มีสักแดงที่เข้ากระเป๋าของข้า”


คำแย้งของหวังลู่ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ สำนักภูมิปัญญาพัฒนาได้อย่างฉับไวและกว้างขวาง แต่จนถึงบัดนี้มีเพียงหวังลู่เท่านั้นที่รู้รายรับรายจ่าย เขามีสมุดบัญชีอยู่ในสมองแต่ไม่เคยแบ่งปันให้ใครได้รับรู้ด้วย


“เจ้าไม่คิดละโมบสักนิดจริงหรือ” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์สงสัยเป็นที่สุด


หวังลู่ยักไหล่ “ไม่เกี่ยวกับว่าละโมบไม่ละโมบ แต่คุณสมบัติพื้นฐานของผู้ที่เป็นนักผจญภัยมืออาชีพก็คือจดจำเป้าหมายและพุ่งเป้าไปที่มัน ข้าลงจากเขามาเพื่อเรียนรู้หาประสบการณ์ ไม่ใช่มาเพื่อหาผลประโยชน์ และการตั้งสำนักนี้ขึ้นมาก็เพื่อจัดการเรื่องภาษีสติปัญญา ไม่ใช่ต้องการหาเงินเข้ากระเป๋า เป้าหมายของข้ามันชัดเจนมากก็เท่านั้น”


“จุ๊ๆ ใบหน้าเที่ยงธรรมของเจ้าทำคนอื่นอยู่ไม่สุขเอานะ”


ทว่าแม้เสี่ยวหลิงเอ๋อร์จะไม่พออกพอใจหวังลู่อยู่บ้าง แต่ภายใต้การจัดการของหวังลู่ สำนักที่เฟื่องฟูและพัฒนาอย่างรวดเร็วในหุบเขาหูสุนัขแห่งนี้ก็ไปได้ไกลเกินกว่าที่หลายคนจินตนาการเอาไว้มาก


สามเดือนถัดมา เมื่อสำนักเจ็ดดาราพร้อมที่จะมายังหุบเขาหูสุนัข สิ่งที่พวกเขาเห็นกลับไม่ใช่สำนักลูกเจี๊ยบบอบบางที่หวังพึ่งแค่คนทรยศขั้นสร้างฐานสองคนนั่น แต่เป็นสำนักยักษ์ใหญ่ที่มีอำนาจแผ่ไพศาลไปหลายประเทศ


ในเวลาเพียงสามเดือน อิทธิพลของสำนักภูมิปัญญาก็มีมากถึงหกส่วนของสำนักเจ็ดดารา หนำซ้ำเพราะทฤษฎีแปลกใหม่และการพัฒนาอย่างรวดเร็ว สำนักจึงสามารถดึงดูดผู้บำเพ็ญเซียนอิสระได้เป็นจำนวนมาก แม้ไม่มีสักคนที่มีขั้นตบะสูงส่ง แต่ก็มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานและขั้นฝึกปราณซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งนับสิบคน ซึ่งหากไม่นำไปเทียบกับสำนักชั้นนำแล้ว ก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่ดีงามไม่น้อย


ดังนั้นพอพวกเบื้องบนของสำนักเจ็ดดารามาถึงยังหุบเขาหูสุนัขได้ไม่ถึงครึ่งวันดี พวกเขาก็หวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ และไม่มีทางเลือกนอกจากเหาะหนีหางจุกก้นกลับไปยังยอดเขาแร้นแค้นและรายงานผล


สำนักเจ็ดดาราต่างตระหนกตกใจ แม้เจ้าสำนักจะคาดไว้แล้วว่าต้องเป็นเรื่องเลวร้าย แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะเลวร้ายได้ถึงขั้นนี้! สำนักเจ็ดดาราลงหลักปักฐานอยู่ในประเทศต้าหมิงมานานหลายปี อีกทั้งยังคุ้นเคยกับสำนักข้างเคียงที่มีขนาดใหญ่กว่าจำนวนไม่น้อย ครั้งนี้ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง พวกเขาตั้งใจไปดูลาดเลาที่หุบเขาหูสุนัข และได้รับการยืนยันว่าสำนักภูมิปัญญาไม่ใช่สำนักที่ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง แต่เป็นสำนักที่โหดเหี้ยมรับมือได้ยากสำนักหนึ่ง!


พวกเขามีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณมากกว่าสิบคนและมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสี่หรือห้าคน ในประเทศต้าหมิงนี้ถือว่าเป็นขุมกำลังที่ไม่ควรไปล้อเล่นด้วย แม้ความแข็งแกร่งยังคงห่างชั้นกับสำนักเจ็ดดาราอยู่มาก แต่อีกฝ่ายยังไม่ได้เผยไพ่ทั้งหมดออกมา ในขณะเดียวกันสำนักเจ็ดดาราเองก็ไม่อาจรวบรวมไพ่ไว้ในมือเพื่อสู้กับอีกฝ่ายได้อย่างง่ายๆ


หากพวกเขาเริ่มสงครามและแม้จะชนะ ก็เป็นชัยชนะที่ไม่คุ้มค่า ดังนั้นเจ้าสำนักจึงทำได้เพียงกดความโกรธเกรี้ยวไว้ในใจอย่างช่วยไม่ได้


“ว่ามาซิ”


แน่ล่ะว่าพวกเขาต้องพูดถึงเรื่องนี้แน่ ทว่าตอนนี้สำนักเจ็ดดาราเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อย อีกฝั่งหนึ่งเป็นใครกันแน่ พวกเขามาจากไหน พวกเขาตั้งใจจะทำอะไร คำตอบของคำถามเหล่านี้พวกเขาไม่รู้เลย!


ดังนั้นพวกเขาควรไปถามใครดี แน่นอนว่าต้องเป็นเซี่ยฉือและเหออวิ๋น สองคนนั้นที่ทิ้งสำนักไปอย่างไม่มีเหตุผล ดังนั้นแม้ว่าสำนักเจ็ดดาราจะไม่ตรวจสอบหาเหตุผลเหล่านั้น แต่พวกเขาก็น่าจะละอายแก่ใจอยู่บ้าง หนำซ้ำในบรรดาคนของอีกฝ่ายหนึ่ง พวกเขาเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่สำนักเจ็ดดาราจะติดต่อด้วย


สองวันต่อมา เจ้าสำนักเจ็ดดาราจึงนัดหมายกับเซี่ยฉือ แน่นอนว่าเป็นการนัดหมายอย่างลับๆ สำหรับผู้อาวุโสที่เขาเพียรซื้อตัวมาเมื่อหลายปีก่อน ถือว่าเขายังมีความหวัง


ทว่าพอได้พบกัน เซี่ยฉือก็ยิ้มหยัน “เจ้าสำนัก… ข้าขอกล่าวประโยคนี้จากใจจริง โปรดกลับไปเสียเถอะ นี่ไม่ใช่ศัตรูที่ท่านจะรับมือได้ไหว”


………………………………….


ตอนที่ 22 ข้าไม่ใช่คนแบบที่เจ้าคิดหรอกนะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้าสำนัก… ข้าขอกล่าวประโยคนี้จากใจจริง โปรดกลับไปเสียเถอะ นี่ไม่ใช่ศัตรูที่ท่านจะรับมือได้ไหว”


เมื่อคนทั้งคู่พบกัน เซี่ยฉือก็แนะนำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา


หากเป็นเมื่อสามเดือนก่อน เขาอาจไม่พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจเช่นนี้ แม้จะรู้ว่าหวังลู่น่าจะมาจากหนึ่งในสำนักชั้นนำของพันธมิตรหมื่นเซียน และมีปูมหลังที่ไม่ธรรมดา ทว่าปูมหลังที่ไม่ธรรมดาก็มิใช่บัตรผ่านทางในโลกบำเพ็ญเซียน เมื่อต้องเผชิญหน้าฝ่ายตรงข้ามที่ทรงพลัง สำนักเจ็ดดาราก็มีหนทางที่จะเอาตัวรอด ดั่งเช่นงูและหนูที่ย่อมมีหนทางเอาตัวรอดของมันเอง ยิ่งหวังลู่ยังอายุน้อยอีกทั้งขั้นตบะก็ยังตื้นเขิน ย่อมมีหลายทางที่จะส่งเจ้าเด็กนี่เดินคอตกกลับสำนักไป


ทว่าสามเดือนถัดมา หลังจากที่ได้เห็นการขยับขยายอย่างบ้าคลั่งของสำนักภูมิปัญญา เซี่ยฉือก็ไม่กล้าสบประมาทอีกต่อไป เจ้าเด็กไม่ธรรมดานี่ไม่ใช่มือใหม่ที่ลงจากเขามาเพื่อภารกิจเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ แต่เป็นมืออาชีพมากความสามารถที่คู่ควรกับคำสรรเสริญ ตอนนี้หากแม้ไม่มีหวังลู่อยู่เบื้องหลัง สำนักภูมิปัญญาก็ไม่ใช่สำนักระดับล่างกะโหลกกะลาที่จะถูกทำลายได้ในพริบตา ด้วยคำแนะนำของหวังลู่ ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระแต่ละคนที่เข้าร่วมสำนักก็ก้าวหน้าด้านขั้นตบะกันทุกคน โดยเฉพาะพวกที่ก่อนหน้านี้ติดขัดอยู่ที่คอขวด แค่หวังลู่ชี้จุดสำคัญให้แค่เพียงครั้งเดียว ที่ก่อนหน้านี้ติดขัดอยู่ที่คอขวด การบำเพ็ญเซียนของพวกเขาก็พัฒนาอย่างรวดเร็วในทันใด!


และเซี่ยฉือซึ่งเป็นผู้ติดตามกลุ่มแรกๆ และกลายมาเป็นแกนหลักของสำนักภูมิปัญญาย่อมไม่พลาดที่จะได้รับผลประโยชน์จากหวังลู่ จากแหล่งทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ หลังจากนำเข้าโอสถหกประสานจำนวนมหาศาล เขาก็ค้นพบวิชา “บุปผาพร่างพราย” ซึ่งช่วยเติมจุดพร่องของการบำเพ็ญเซียนของเขาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แม้มันจะไม่ช่วยเพิ่มขั้นตบะให้ แต่พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย!


สิ่งนี้ก็ไม่ต่างจากการบีบคลึงขาอ่อนของหญิงงามที่ให้ความรู้สึกนุ่มสบายเป็นที่สุด!


ตอนนี้จิตใจของเซี่ยฉือไม่ไขว้เขวแต่อย่างใด แม้จะไม่มีโอสถสมองสามศพ เขาก็ไม่คิดทรยศผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มน้อยตบะขั้นฝึกปราณระดับต่ำผู้นี้แน่นอน


หากไม่ใช่ว่าเจ้าสำนักเจ็ดดารามาหาตนด้วยตัวเอง เขาก็เกือบจะลืมไปแล้วว่าเคยเป็นสมาชิกของสำนักเจ็ดดารามาก่อน ทว่าเมื่อตอนนี้ทั้งคู่ได้พบกัน มิตรภาพเก่าก่อนที่อยู่ในความทรงจำก็ท่วมท้นจิตใจของเขาอีกครั้ง เซี่ยฉือไม่ได้ต้องการเป็นปรปักษ์จึงให้คำแนะนำอย่างจริงใจ


เจ้าสำนักเพ่งมองเข้าไปยังดวงตาของเซี่ยฉือ พยายามตรวจดูว่ามีร่องรอยการสะกดจิตหรือตบตาอยู่หรือไม่…ทว่าเขากลับต้องผิดหวัง


เซี่ยฉือท่าทางจริงจัง ชายผู้นี้ตระหนักถึงความสัมพันธ์อันดีงามแต่เก่าก่อนของพวกเขา ลึกๆ แล้วเซี่ยฉือยังเคารพเขาอยู่ ทั้งยังตระหนักถึงพละกำลังและบารมีของเขาในฐานะผู้ฝึกเซียนขั้นพิสุทธิ์… แต่กระนั้นก็ยังเอ่ยปากเตือน


“ทำไม”


เซี่ยฉือส่ายศีรษะอย่างสิ้นหวัง “ขออภัย ข้าพูดไม่ได้… แค่เสี่ยงมาพบท่านเจ้าสำนักก็ถือว่าเต็มกลืนมากแล้ว” เจ้าสำนักตกตะลึงอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่แล้วก็ถอนหายใจ “หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่รู้จะไปอธิบายให้คนอื่นฟังได้อย่างไร”


เซี่ยฉือยิ้มขัน “ท่านเป็นถึงเจ้าสำนัก เหตุใดจึงต้องอธิบายให้คนอื่นฟังด้วย หนำซ้ำมีสิ่งใดที่ท่านต้องออกหน้ารับผิดชอบด้วยหรือ ตั้งแต่ก่อตั้งสำนักเจ็ดดารามาจนถึงตอนนี้ อย่าบอกนะว่าทุกอย่างราบรื่นเป็นไปตามแผนทั้งหมด แค่ความล้มเหลวเพียงเล็กน้อยท่านไม่ถึงกับต้องออกมารับผิดชอบหรอกว่าไหม”


เจ้าสำนักยังไม่จำนน “ข้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร!?”


“หากท่านรู้แล้วจะทำอย่างไรได้ เรื่องบางเรื่องไม่รู้ย่อมดีกว่า ท่านเจ้าสำนัก หลายปีมานี้สำนักเจ็ดดาราเติบโตอย่างราบรื่น ทว่าในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน สำนักเจ็ดดาราถือว่ายังห่างชั้นกับสำนักชั้นนำ คนจากสำนักชั้นนำไม่ว่าคนใดสามารถทำลายสำนักเจ็ดดาราให้เหลือเพียงขี้เถ้าได้… ข้าว่าสำนักควรหาทางอยู่รอดที่ถูกต้องจะดีกว่า”


เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เจ้าสำนักก็จับคำสำคัญได้ไม่น้อย


นี่เป็นผลงานของสำนักชั้นนำเช่นนั้นหรือ มิน่าก่อนหน้านี้คนจากพันธมิตรหมื่นเซียนจึงจงใจสร้างปัญหาให้พวกเขานัก มันอธิบายได้เพียงอย่างเดียวเช่นนี้นี่เอง… ทว่าหากบุคคลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มาจากพันธมิตรหมื่นเซียน เหตุใดจึงต้องมาถึงหุบเขารกร้างห่างไกลเช่นนี้ด้วย พลังปราณฟ้าดินของหมู่บ้านตระกูลหวังค่อนข้างหนาแน่นก็จริง แต่มันดึงดูดความสนใจของพันธมิตรหมื่นเซียนได้ขนาดนั้นเชียวหรือ


โชคร้ายที่ไม่ว่าเขาจะเพียรถามเท่าไร เซี่ยฉือก็ไม่ปริปากพูดอะไรอีก เจ้าสำนักรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะกดดันให้เขาพูด และหากใช้การบังคับ สัมพันธภาพของพวกเขาอาจต้องจบลงเป็นแน่


แต่ก่อนที่จะจากกัน เจ้าสำนักต้องการพูดอะไรเสียหน่อย แต่พอเปิดปากเขากลับไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี


เขายังจำเรื่องราวที่สำนักบ้านหมื่นบุปผาเมื่อหลายปีก่อนได้ คนทั้งคู่ดื่มสุราพูดคุยกันพลางจินตนาการถึงอนาคต ตอนนั้นสำนักเจ็ดดาราเพิ่งเดือนร้อนเพราะหอสัจจะบุรุษมาหมาดๆ หนำซ้ำรากฐานของสำนักก็ยังไม่มั่นคงเท่าปัจจุบัน ส่วนเซี่ยฉือก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนระดับต่ำที่ไร้ทั้งอนาคตไร้ทั้งความหวัง เมื่อทั้งคู่ใกล้จะเมามายเพราะสุรา พวกเขาก็สัญญาต่อกันว่าจะทำให้สำนักเจ็ดดาราเป็นสำนักที่เที่ยงตรงและยุติธรรมเพื่อเป็นหนึ่งในพันธมิตรหมื่นเซียนให้จงได้ เพื่อที่ว่าในอนาคต ถนนสู่โลกแห่งเซียนของพวกเขาจะขยายใหญ่จนสามารถค้นพบเส้นทางแห่งเซียนที่ไร้ขีดจำกัดได้


โชคร้าย…ที่สหายเก่าแก่ในอดีตต้องกลายมาเป็นศัตรู แต่ในอนาคต…ก็ไม่รู้ว่าหนทางเบื้องหน้าจะนำพาไปสู่อะไร เขาบำเพ็ญเซียนมากว่าหนึ่งร้อยปีจนในที่สุดก็ทะลุถึงขั้นพิสุทธิ์ แต่หากว่าในชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสครั้งใหญ่อีก ไม่แน่ว่าเส้นทางแห่งโลกบำเพ็ญเซียนของเขาคงหยุดลงเพียงเท่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายังไม่อาจยอมรับได้


เมื่อคิดถึงจุดนี้ เจ้าสำนักก็รู้สึกขุ่นเคืองใจไม่น้อย ทว่าตอนที่เขากำลังจะจากไป วิหารหยกของเขากลับสั่นไหวเล็กน้อย ทำให้พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาตื่นขึ้นมา


“นั่นใครน่ะ!?”


“อ้อ ข้าเอง”


เจ้าสำนักได้ยินเพียงแค่เสียงแต่ไม่เห็นตัว เขาสบถอยู่ในใจ “ข้าน่ะใครกัน”


ทว่าเมื่อเขาใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมของตบะขั้นพิสุทธิ์ตรวจสอบดูรอบตัว กลับไม่พบตำแหน่งของผู้พูด… มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่าง หนึ่ง หุบเขาหูสุนัขติดตั้งค่ายกลจำนวนมากพอที่จะสกัดพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขา และสองขั้นตบะของฝ่ายตรงข้ามนั้นสูงกว่าเขา! ทว่าไม่ว่าจะเป็นข้อใดก็ไม่ส่งผลดีกับเขาทั้งสิ้น


ใจของเจ้าสำนักกระตุก ภายนอกเขายังคงสงบนิ่ง แต่ก็เปิดการใช้งานเกราะป้องกันตัวซึ่งเป็นวัตถุวิเศษอย่างเงียบๆ อีกทั้งแผนที่เจ็ดดารา อาวุธประจำกายของเขาก็ยังอยู่ในมือ พร้อมที่จะใช้งานตลอดเวลา


“ความจริงแล้วเจ้าไม่ควรต้องเครียดขึงถึงเพียงนี้ เพราะนี่เป็นเพียงวิชาส่งเสียงของข้า ตัวจริงของข้าอยู่ไกลจากที่ที่เจ้าอยู่มากนัก จึงเป็นธรรมดาที่เจ้าจะหาข้าไม่พบ แต่หากข้าอยู่ที่นั่นมันคงจะแย่กว่านี้แน่”


ทันใดนั้นเจ้าสำนักก็รู้สึกเหมือนกินแอปเปิ้ลเน่าเข้าไป ระยำ! เมื่อพิจารณารอบด้านแล้ว เขากลับลืมความเป็นไปได้ที่ง่ายที่สุดไปเสียได้ ครั้งนี้เขาทำตัวเองเสียหน้าจริงๆ


“เจ้าต้องการอะไร”


“ข้าจะไม่อ้อมค้อมละนะ ข้าอยากเชิญท่านเข้าร่วมสำนักภูมิปัญญา”


“…” เจ้าสำนักนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งจากนั้นก็หัวเราะออกมา “เจ้าชวนข้าเข้าสำนักภูมิปัญญา เรื่องตลกของเจ้านี่น่าขันชะมัด”


“ความรู้สึกของข้าเป็นเรื่องจริงแท้ ความบริสุทธิ์ใจของข้าก็กระจ่างราวดวงอาทิตย์และดวงจันทร์”


“งั้นข้าก็จะพูดอย่างกระจ่างบ้าง…ว่าฝันไปเถอะ”


“เดี๋ยว เดี๋ยวไม่ต้องรีบปฏิเสธไป แม้จะเป็นการปฏิเสธหลังจากที่กระทำย่ำยีมาก็ตาม แต่เจ้าก็ควรมีท่าทีลังเลบ้างมิใช่หรือ สำนักภูมิปัญญาของข้าขยับขยายอย่างรวดเร็วทั้งยังมีอนาคตที่สดใส หากเจ้าเข้าร่วมสำนักเราตอนนี้ เจ้ายังถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง แต่หากในอนาคตเจ้าคิดเข้าร่วม เจ้าก็จะไม่ได้รับข้อเสนอดีๆ เช่นนี้แล้ว”


เจ้าสำนักคุมสติตัวเองและกล่าวปฏิเสธ “หากข้าคิดเข้าร่วมกับสำนักอื่น เมื่ออิงตามขั้นตบะของข้า ยกเว้นเพียงแต่สำนักชั้นนำในพันธมิตรหมื่นเซียน สำนักใดบ้างที่ข้าเข้าไม่ได้ ข้าปฏิเสธคำเชิญไปเป็นผู้อาวุโสในสำนักบ้านหมื่นบุปผามาแล้ว แถมหลายสิบปีมานี้ ข้าก็รับข้อเสนอทำนองนี้จำนวนมาก ดังนั้นสำนักภูมิปัญญาเล็กๆ ของเจ้าควรต้องต่อแถวก่อน”


หวังลู่พยายามอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างสำนักภูมิปัญญาและสำนักดั้งเดิมอื่นๆ ทว่าเจ้าสำนักรีบพูดขัด “ข้ารู้ว่าปูมหลังของเจ้าไม่ธรรมดา ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้าได้ตรวจสอบข้อมูลสำนักภูมิปัญญาของเจ้ามาแล้ว เพียงไม่กี่เดือนในประเทศต้าหมิง สำนักของเจ้ากลับเติบโตอย่างรวดเร็ว ข้าจึงไม่อาจเชื่อว่าเจ้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่ไม่มีคนหนุนหลัง แต่หากเจ้าคิดว่ามีสำนักใหญ่หนุนหลังแล้วจะทำอะไรได้ตามใจชอบ เจ้าก็คิดผิดมหันต์ ความจริงข้าเองก็อยากรู้ว่าสำนักเบื้องหลังของเจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้าตั้งสำนักขึ้นมาในประเทศต้าหมิง และพวกเขาเห็นด้วยกับเจ้าจริงๆ หรือเปล่า”


ห่างไกลออกไปหลายลี้ เมื่อหวังลู่ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เขาถอนหายใจ “ตาเฒ่า สติปัญญาของเจ้าน่าจะสูงกว่าที่ข้าคาดไว้สักสิบส่วนเห็นจะได้”


เมื่อสามเดือนก่อนจนถึงตอนนี้ ตั้งแต่ที่เขาเริ่มขยับขยายสำนักภูมิปัญญาในหมู่บ้านตระกูลหวัง เขาก็ติดต่อผู้บำเพ็ญเซียนอิสระรวมถึงสำนักมากมาย แม้ตัวตนของหวังลู่จะถูกเก็บเป็นความลับอย่างยิ่งยวด แต่คนส่วนใหญ่ก็รู้ว่าปูมหลังของเขานั้นไม่ธรรมดา เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ หลายคนก็คิดเพียงว่านี่เป็นข้อได้เปรียบที่หาที่ใดอีกไม่ได้ แต่น้อยคนนักที่จะคิดว่า หากหวังลู่มากจากสำนักชั้นนำในพันธมิตรหมื่นเซียนจริงๆ สำนักของเขาจะชื่นชอบที่เขามาเปิดลัทธิมารในโลกมนุษย์เช่นนั้นหรือ


เรื่องนี้ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร ในสายตาของผู้บำเพ็ญเซียนอิสระในยุคนี้ เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเข้าใจวิธีคิดของสำนักชั้นนำในพันธมิตรหมื่นเซียนคิด สำหรับสำนักชั้นนำเหล่านั้น การหาประโยชน์จากโลกมนุษย์นั้นช่างไร้ความหมาย เมื่อครั้งที่สำนักเจ็ดดาราครอบครองเมืองหลวงจังหวัด พวกเขาสะสมศิลาวิญญาณได้นับล้าน ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนอิสระแทบคลั่งตาย ทว่าสำหรับสำนักชั้นนำแล้วนั้น แค่รายจ่ายทั่วไปอย่างน้อยก็สูงถึงสิบล้านศิลาวิญญาณต่อปี และยิ่งเป็นสำนักเซิ่งจิง จำนวนเงินก็ยิ่งมหาศาลกว่านั้นมาก…เงินแค่ล้านศิลาวิญญาณไม่พอที่จะอุดช่องว่างระหว่างฟันแต่ละซี่ด้วยซ้ำ


ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่คนเหล่านั้นจะเข้าใจว่าสำนักระดับสูงไม่สนใจทรัพย์สมบัติของโลกมนุษย์สักนิด สิบล้านศิลาวิญญาณถือว่าสำคัญน้อยกว่าหน้าตาของสำนักหลายขุมนัก


“เรื่องที่ว่าเจ้าขยับขยายสำนักภูมิปัญญาของเจ้าได้อย่างไร สำนักเจ็ดดาราไม่ต้องการเข้าไปแทรกแซง คนจากสำนักข้าบางคนไม่อาจต้านทานสิ่งล่อใจจึงเปลี่ยนไปเข้ากับสำนักของเจ้า… เรื่องอะไรที่แล้วก็ให้แล้วกันไป ในอนาคตน้ำบ่อไม่ควรปะปนกับน้ำในแม่น้ำ เราไม่ควรจะยั่วยุต่อกันอีก”


พูดจบ เจ้าสำนักก็ทำท่าจะจากไป แต่หวังลู่จะยอมปล่อยให้ชายชราผู้นี้กลับไปง่ายๆ ได้อย่างไร


“น่าขำสิ้นดี ตอนนี้เจ้าย่อมพูดจาสวยหรูได้ แต่หากเจ้ากลับไป ข้าเกรงว่าเจ้าคงหาเรื่องปวดหัวมาให้ข้าเป็นแน่ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่โดยตรง แต่เจ้าอาจเขียนจดหมายรายงานว่ามีศิษย์จากสำนักชั้นนำคนหนึ่งกำลังแพร่ขยายลัทธิมารเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพันธมิตรหมื่นเซียนเข้ามาตรวจสอบ… ข้าถึงบอกว่าเจ้าอยู่ที่นี่จะดีกว่า”


เจ้าสำนักหัวเราะเสียงดัง “พล่ามกันมาตั้งนาน สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังอยากจะสู้เช่นนั้นหรือ” ทันทีที่พูดจบ เขาก็หันมามองเซี่ยฉือ ผู้ที่ทำหน้าจนปัญญาทั้งยังถอยหลังไปหลายก้าว แสดงจุดยืนว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และไม่คิดเข้าข้างฝ่ายใด


เจ้าสำนักสะใจเล็กน้อย เขาพยักหน้า “งั้นก็ดี งั้นขอข้าพิสูจน์ฝีมือของศิษย์จากสำนักสูงศักดิ์หน่อยเถอะ”


ทันทีที่พูดจบ ลำแสงสีรุ้งก็วาบขึ้นมาบนฝ่ามือที่ถือแผนที่เจ็ดดาราเอาไว้ ลำแสงนั้นแผ่ออกไปหลายร้อยลี้ ร่างนับสิบร่างที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเงามืดปรากฏกายออกมาอย่างไม่เต็มใจ ตามมาด้วยเสียงร้องระงม


‘เป็นการซุ่มโจมตีจริงด้วย’ เจ้าสำนักกรีดร้องอยู่ในใจ หากแต่เขาไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด ตอนที่ตกลงมาพบเซี่ยฉือที่ใกล้ๆ หุบเขาหูสุนัข เขาก็ไม่คิดอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะมาเพียงลำพัง แม้เซี่ยฉือจะพูดคำไหนเป็นคำนั้น แต่เจ้าสำนักภูมิปัญญานั้นเล่า


หากไม่มีการซุ่มโจมตี เช่นนั้นสิจะถือว่าแปลก!


แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมา นั่นเพราะสถานการณ์เช่นนี้สำนักเจ็ดดาราใช่ว่าเพิ่งเคยเผชิญเป็นครั้งแรก ในอดีตเมื่อครั้งที่สำนักเจ็ดดารายังครอบครองเมืองหลวงจังหวัด พวกเขาได้เมืองหลวงนี้มาหลังจากตะลุมบอนชนะสำนักกะโหลกอาชาขาวที่คุมพื้นที่อยู่ที่นั่น หลังจากนั้นพวกเขาต้องต่อสู้กับสำนักสำนักธาราหยก และเป็นเขาที่ไปยังแหล่งของศัตรูตามลำพังและถูกห้อมล้อมด้วยผู้ฝึกเซียนมากกว่าสิบคน…


การต่อสู้ที่ดุเดือดกินเวลาถึงสามวัน ผลที่สุดสำนักธาราหยกก็ถูกถอดไปจากโลกแห่งเซียน แม้สำนักนั้นจะไม่อยู่ในบันทึกของเหล่าสำนักชั้นนำตั้งแต่แรกก็ตามที แม้เจ้าสำนักจะบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้ครั้งนั้น แต่แผนที่เจ็ดดาราก็ถูกหลอมเป็นอาวุธวิเศษ และพลังของมันก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ


เรื่องนี้นอกจากผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดาราที่เชื่อถือได้สองคนแล้ว เขาก็ไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้รู้อีก รวมถึงเซี่ยฉือที่รู้เพียงว่าแผนที่เจ็ดดาราเป็นวัตถุวิเศษชั้นสูง ดังนั้นทันทีที่เจ้าสำนักใช้อาวุธนี้ขึ้นมา จึงทำให้ฝ่ายตรงข้ามประหลาดใจมาก


จากนั้น…มุมปากของเจ้าสำนักก็ยกขึ้นเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะหักเหลำแสงของแผนที่เจ็ดดาราไปอีกทาง น้ำเสียงที่ทำให้ดวงจิตขั้นปฐมของเขาสั่นไหวก็ดังมาจากด้านหลัง ทำเอาวิหารหยกในการสั่นสะท้าน


“เฮ้อ ข้าเบื่อจะแย่ พวกเจ้านี่ชักช้าเสียจริง”


………………………………………..


ตอนที่ 23 ดูเหมือนว่าเจ้ากับข้าต้องสู้กันตัวต่อตัวแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

“พวกเจ้าช้าเกินไปแล้ว”


หึ่ง!


หลังจากเสียงนั้นดังกังวานอยู่ในห้องความคิด เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็รู้สึกว่าทั้งร่างสั่นสะท้านเพราะมีพลังขนาดมหึมามากระทำใส่ ในพริบตานั้นเอง…


ร่างของเขาก็ไปโผล่ไกลหลายลี้จากจุดเดิมที่เคยยืนอยู่


เจ้าสำนักตัวแข็งทื่อไปพักใหญ่ก่อนจะผ่อนลมหายใจและใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมทำให้วิหารหยกคงที่ ในตอนนั้นแผ่นหลังของเขาก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ


เมื่อครู่คือการลอบโจมตี แม้ว่าเขาจะระมัดระวังเป็นพิเศษอีกทั้งยังใช้แผนที่เจ็ดดาราจัดการพื้นที่รอบตัวไปแล้ว แต่ก็ไม่ทันรู้สึกอยู่ดี หากไม่ใช่เพราะพลังปราณฟ้าดินที่รวมตัวกันอยู่ในแผนที่เจ็ดดาราในรูปแบบของกระจุกดาว ที่ทำให้เขาย้ายร่างมายังอีกสถานที่หนึ่งในชั่วพริบตา ในช่วงเวลาวิกฤตนั้น เขาอาจพ่ายแพ้การต่อสู้ก็เป็นได้


“…ระยำ! เจ้านั่นเป็นใครกันแน่!?”


“เอ่อ เขาหนีไปแล้ว! ให้ตายสิ ขั้นพิสุทธิ์อย่างไรเสียก็คือขั้นพิสุทธิ์ เบามือให้ไม่ได้จริงๆ”


เสียงของหวังลู่ส่งผ่านมาทางอากาศโดยการใช้วิชากระจายคลื่นเสียงเต็มกำลัง เขาวางกับดักไว้อย่างดีโดยใช้เซี่ยฉือเป็นเหยื่อล่อ และมีผู้บำเพ็ญเซียนอิสระมากกว่าสิบคนซุ่มซ่อนอยู่ นอกจากนั้นยังวางหลิงเอ๋อร์ ซึ่งเหมาะเจาะกับการลอบโจมตี เพราะร่างกายนางต่อต้านพลังปราณฟ้าดิน ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนตรวจจับไม่ได้ ไว้เป็นผู้ลอบโจมตีตัวจริงอีกด้วย


ในช่วงสามเดือนที่มีการขยับขยายอย่างรวดเร็ว สำนักภูมิปัญญาต้องพบเจออุปสรรคมากมาย แต่พวกเขาสามารถฝ่าอุปสรรคมาได้ด้วยดีนั่นเพราะหวังลู่ใช้เสี่ยวหลิงเอ๋อร์เป็นอาวุธลับ อุปสรรคส่วนใหญ่คือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานระดับสูง โชคร้ายที่การลอบโจมตีในคราวนี้ยังไม่ดีพอที่จะจัดการผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ได้


“ชิ ล้มเหลวจนได้”


ไกลออกไปหลายลี้ หลังจากพลาดเป้าหมาย เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็เอามือเท้าสะเอว พูดเสียงแห้ง “เอาอย่างไรต่อล่ะ”


หวังลู่กล่าวตอบ “ถ้าตามที่พนันไว้ ท่านติดข้าอยู่ห้าร้อยศิลาวิญญาณ”


“…ข้าไม่ได้ถามถึงเรื่องนั้น เอาน่า ข้าไม่เบี้ยวหนี้เจ้าแน่” เถ้าแก่เนี้ยเจ้าของกิจการที่มีเงินหมุนเวียนนับหมื่นตำลึงต่อวันกล่าวอย่างใจกว้าง


“อ้อ เรื่องนั้นไม่เป็นไร อย่างไรเสียข้าก็มีเสื้อผ้าท่านเป็นตัวประกัน หากท่านเบี้ยวจ่ายหนี้ข้า ข้าก็เอาของพวกนั้นไปประมูลก็สิ้นเรื่อง”


“ระยำ! เจ้าอยากตายหรือไง!?”


“วางใจเถอะน่า เราก็รู้จักมักจี่กันมาหลายปี ข้าไม่เอาเสื้อผ้าท่านมาแขวนคอตายหรอก…เอาละ พอเถอะ อยู่ที่นี่ต่อท่านก็ไร้ประโยชน์ เหตุใดไม่ไปช่วยตาแก่ลามกจัดการแมลงวันตัวเล็กตัวน้อยทางตะวันออกของหุบเขาเล่า”


“ชิ ให้สู้กับแมลงตัวเล็กตัวน้อยรึ”


แม้จะไม่ยินดี แต่ก่อนที่หวังลู่จะพูดซ้ำอีกครั้ง เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งทะยานเข้าไปในป่าราวกับสายลมและหายตัวไปประหนึ่งว่าเป็นภูตผี


“เช่นนั้น สหายเจ้าสำนัก ดูท่าว่าจะเหลือเพียงแค่พวกเราสู้กันหนึ่งต่อหนึ่ง เจ้าสำนักกับเจ้าสำนัก”


เจ้าสำนักเหยียดยิ้ม แสงจากแผนที่เจ็ดดารายิ่งส่องสว่างมากกว่า มันดูมีพลังเข้มข้นขึ้นภายใต้ความมืดยามค่ำคืน


“ข้าเองก็ต้องการเช่นนั้น!”


อึดใจถัดมา แสงกระบี่นับสิบสายก็พุ่งออกมาจากเงาของต้นไม้ เจ้าสำนักสะดุ้ง เหยียดนิ้วชี้และนิ้วกลางออกไปเป็นหัตถ์กระบี่ ปัดแสงกระบี่เหล่านั้นทิ้งไปทีละสาย


แม้ไม่ใช่การจู่โจมที่อันตราย แต่ก็ทำให้เจ้าสำนักตกใจจนทำให้เหงื่อเย็นๆ ไหลออกมา เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “นี่น่ะหรือหนึ่งต่อหนึ่งที่เจ้าว่า!?”


เมื่อกี้เห็นได้ชัดว่าคือการโจมตีของผู้บำเพ็ญเซียนมากกว่าสิบคนพร้อมกัน หมาหมู่ชัดๆ!


น้ำเสียงเอื่อยๆ ของหวังลู่ลอยมาในอากาศ “ขออภัย… แต่มันคือวิชารวมพลังของข้า… พอใช้วิชานี้ ผู้บำเพ็ญเซียนมากกว่าสิบคนจะมารวมตัวกันเพื่อช่วยข้าสู้ เจ๋งใช่ไหมเล่า”


“รวมพลังมารดาเจ้าสิ!”


เจ้าสำนักรู้สึกหงุดหงิดใจ เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าฝ่ายตรงข้ามที่มาจากสำนักทรงเกียรติ จะทำตัวต่ำช้ายิ่งกว่าพวกสำนักสวะเสียอีก! แถมยังดูภูมิอกภูมิใจกับกลยุทธ์หมาหมู่ของตัวเองไม่น้อย!


ทว่ากระบี่ที่พุ่งเข้ามาโจมตีเขาเมื่อครู่มาจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานหลากหลายระดับ…สำนักภูมิปัญญามีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานมากมายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?


แต่เขาไม่มีเวลาหาคำตอบเรื่องนี้ เพราะแสงกระบี่เหล่านั้นพุ่งเข้ามาโจมตีเขาอีกรอบแล้ว


ครั้งนี้เจ้าสำนักไม่ได้พยายามจะปัดป้องมัน เขาเปิดใช้งานแผนที่เจ็ดดารา และใช้วิชากระจุกดาวไปปรากฏตัวข้างๆ ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ไกลหลายลี้


ผู้ฝึกเซียนคนนั้นตกตะลึง ไม่คาดคิดมาก่อนว่าศัตรูจะเข้าประชิดตัวขนาดนี้! เขาพยายามหันแสงกระบี่ปกป้องร่างตนเองอย่างว่องไว ทว่าก็ช้าเกินไป


“ทะลวง!”


เจ้าสำนักเจ็ดดาราสืบเท้าไปข้างหน้าเสือกกำปั้นเข้าไปที่ร่างของผู้บำเพ็ญเซียนส่วนปากก็ร่ายอาคมไปด้วย วิหารหยกขั้นพิสุทธิ์ในกายสว่างขึ้น พลังอิทธิฤทธิ์เข้มข้นห่อหุ้มอยู่รอบๆ หมัดขณะตะบันเข้ที่หน้าอกของผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักภูมิปัญญาเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส


ผู้บำเพ็ญเซียนเห็นเพียงคลื่นแสงขุ่นมัวสว่างวูบบนหน้าอกก่อนจะร้องออกมาอย่างเจ็บปวด กระอักเลือดออกมาจากนั้นก็ร่วงลงบนพื้นราวโคลนนิ่มๆ


หลังจากจู่โจมอีกฝ่ายได้แล้ว เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็อดประหลาดใจไม่ได้ เขาคิดว่าในเมื่อฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน หมัดของเขาคงทำได้เพียงเจาะทะลุเกราะป้องกันของอีกฝ่าย แต่ไม่คิดว่าจะได้รับชัยชนะมาอย่างง่ายดายเช่นนี้! ทักษะการร่ายอาคมของผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้คงไม่สอดประสานกับพลังอิทธิฤทธิ์ที่มีอยู่ในร่างเป็นแน่…


ทว่าก่อนที่เขาจะได้คิดต่อ แสงกระบี่กว่าสิบสายก็พุ่งมาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว เจ้าสำนักใช้วิชากระจุดอีกครั้งและปัดแสงเหล่านั้นทิ้งไป จากนั้นก็ฉวยโอกาสเข้าไปทำร้ายผู้บำเพ็ญเซียนอีกสองคน


หลังจากจัดการสำเร็จ เจ้าสำนักก็พบปัญหา ความจริงแล้วหวังลู่เตรียมผู้บำเพ็ญเซียนไว้สิบกว่าคน แต่ละคนเป็นเพียงขั้นฝึกปราณระดับสูงเท่านั้น แต่เขาใช้วิชาลึกลับเพิ่มพลังอิทธิฤทธิ์ในกายเป็นทวีคูณจนขั้นตบะกลายเป็นขั้นสร้างฐาน แม้ความสามารถของพวกเขาจะแตกต่างจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานตัวจริงอยู่มากโข แต่หากซ่อนตัวและร่ายอาคมจากที่ไกลๆ พวกเขาก็จะดูไม่ต่างจากกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานตัวจริงแม้แต่น้อย… หากไม่มีวิชากระจุกดาวของสำนักเจ็ดดารา เจ้าสำนักคงจะรับมือกับพวกเขาได้ยากแน่


คำถามก็คือ วิชาประเภทใดกันที่สามารถเพิ่มขั้นตบะให้ผู้บำเพ็ญเซียนนับสิบคนได้พร้อมๆ กัน!?


ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง เป็นเพราะเจ้าสำนักเจ็ดดาราสกัดการโจมตีของพวกเขาได้อย่างง่ายดายทั้งยังทำให้พวกเขาหลายคนบาดเจ็บ กลยุทธ์เหมืองพลังปราณฟ้าดินจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า!


เพื่อที่จะรับมือกับสำนักเจ็ดดารา หวังลู่ได้ให้พวกชาวบ้านขุดเหมืองพลังปราณฟ้าดินตามแนวเส้นฮวงจุ้ย ที่ที่พลังปราณฟ้าดินจะถูกสกัดออกมา เช่นนี้แล้วจึงสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้พลังอิทธิฤทธิ์ของเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนได้มากขนาดที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณมีพลังอิทธิฤทธิ์สูงในระดับเดียวกับขั้นสร้างฐาน!


หวังลู่คิดว่าเขาจะสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ด้วยจำนวนคนที่มากกว่า เขาจึงสอนเพลงดาบกระจ่างใจให้คนเหล่านั้นสองสามกระบวนท่า เมื่อบวกรวมกับค่ายกลแล้ว หวังลู่คิดว่าผู้ฝึกเซียนเหล่านี้คงจะสร้างปัญหาให้เจ้าสำนักเจ็ดดาราไม่น้อย ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์นั้นแข็งแกร่งกว่าที่หวังลู่จินตนาการไว้มาก เจ้าสำนักสามารถจัดการผู้บำเพ็ญเซียนของเขาได้อย่างง่ายดาย! หากไม่ใช่ผลจากพลังปราณฟ้าดินตามแนวเส้นฮวงจุ้ยที่ช่วยปกป้องร่างของคนเหล่านี้ไว้ หมัดของเจ้าสำนักเจ็ดดาราคงทำให้พวกเขากลัวกระเจิดกระเจิงกันหมดเป็นแน่!


“ชิ วิชาเรียกปีศาจอะไรนี่ไม่เห็นจะได้ความ… พอที พวกเจ้าถอนตัวไปได้แล้ว”


คำสั่งของหวังลู่ฟังไม่ต่างจากประกาศอภัยโทษ แม้แต่เจ้าสำนักเจ็ดดาราเองก็ยังหยุดมือ ไม่ใช่เพราะเขามีจิตใจปรานี แต่เพราะไม่อยากใช้พลังอิทธิฤทธิ์ที่แสนมีค่าไปกับพวกแมลงตัวเล็กตัวน้อยต่างหาก


ทว่าทันทีที่เขาหยุดมือ แสงกระบี่หลายสายก็พุ่งตรงมายังเขาทั่วทิศทาง


“ระยำ! นี่มันการต่อสู้ประเภทไหนกันแน่!?”


เจ้าสำนักไม่มีเวลาเรียกใช้วิชากระจุกดาว เขาจึงใช้มือข้างหนึ่งต่างหัตถ์กระบี่เพื่อปัดป้องแสงกระบี่ที่พุ่งเข้ามา และใช้มืออีกข้างร่ายอาคมป้องกันตัวที่สายรัดผ้าคลุมของเขา ถือเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากไม่น้อย


“ฮ่าๆๆ ท่านเจ้าสำนัก เจ้าคงไม่คิดว่าข้าออกคำสั่งไปเช่นนั้นจริงๆ หรอกนะ”


เจ้าสำนักโกรธมากเสียจนเกือบจะผรุสวาทออกไป ตั้งแต่แรกฝ่ายตรงข้ามใช้วิชาส่งเสียงผ่านอากาศเพื่อดึงดูดความสนใจเขา ทว่าอีกฝ่ายยังมีวิธีอื่นในการออกคำสั่งโดยที่เขาไม่ได้ยิน… เขาพลาดท่าให้กับอุบายง่ายๆ เช่นนี้เสียได้!


อย่างไรเสีย เมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมาจากสำนักที่สูงส่ง เขาก็คาดหวังว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะยุติธรรมและทรงเกียรติ แต่ไม่คิดว่า…มันจะเป็นการต่อสู้ที่โสมมเช่นนี้


ทว่าในฐานะเจ้าสำนักที่ต่อสู้ดิ้นรนในจุดที่ต่ำสุดของโลกแห่งเซียนมานักต่อนัก เหตุใดเขาจึงต้องกลัวการต่อสู้ที่สกปรกเช่นนี้ด้วย เมื่อเปรียบกับผู้บำเพ็ญเซียนที่ทรงพลังและโอหังของพันธมิตรแห่งเซียน เขานี่แหละคือปรมาจารย์ด้านการสู้แบบโสมมมิใช่หรือ


คิดได้ดังนี้ มุมปากด้านหนึ่งของเจ้าสำนักเจ็ดดาราก็เหยียดขึ้น ความตื่นกลัวในแววตาค่อยๆ เลือนหายไป


จากนั้นเขาก็คว่ำแผนที่เจ็ดดาราลง ตัดสินใจไม่เก็บกำลังไว้ และคิดใช้พลังทั้งหมดที่มีบดขยี้ฝ่ายตรงข้าม… ทว่าทันใดนั้นแผนที่เจ็ดดารากลับสั่นไหวอย่างรุนแรง!


เจ้าสำนักรู้ในทันใดว่ามันคือสัญญาณบ่งบอกว่าพลังอิทธิฤทธิ์ไม่เพียงพอ… เขารีบกระตุ้นวิหารหยกขั้นพิสุทธิ์ในร่างและส่งผ่านพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปยังแผนที่เจ็ดดาราเพื่อบรรเทาอาการสั่นนั้น ทว่า…


เมื่อเจ้าสำนักมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ใจก็ดิ่งยวบทันที ก่อนหน้านี้ดวงจันทร์ยังส่องสว่างเจิดจ้าอยู่บนฟ้า แต่ตอนนี้ท้องฟ้ากลับมืดมิดปราศจากแสงใดๆ ราวกับว่าถูกคลุมไว้ด้วยผ้า จนทำให้แสงจันทร์และแสงดาราไม่อาจส่องผ่านลงมาได้!


พลังของแผนที่เจ็ดดารานั้นไร้ขอบเขต แต่ทุกครั้งที่ใช้ มันผลาญพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาลซึ่งเกินกว่าที่เจ้าสำนักจะกักเก็บไว้ได้ ดังนั้นพลังอิทธิฤทธิ์ส่วนใหญ่จึงมาจากแสงจันทร์และพลังของการโคจรของดวงดาว เขานัดหมายเซี่ยฉือในเวลากลางคืน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหากต้องลงแรงกันจริงๆ ภายใต้ม่านแห่งราตรีกาล แผนที่เจ็ดดาราจะเป็นกุญแจสำคัญในการกุมชัยชนะ


แต่ดูเถิด ความลับของแผนที่เจ็ดดารานั้นฝ่ายตรงข้ามได้สืบค้นจนล่วงรู้ และได้ตระเตรียมรับมือไว้เรียบร้อยแล้ว!


ภายในสำนัก นอกจากเจ้าสำนักมีเพียงผู้อาวุโสใกล้ชิดไม้กี่คนที่รู้ความลับของแผนที่เจ็ดดารา… ยากที่จะเชื่อว่าคนเหล่านี้ทรยศต่อเขา แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่มีคำอธิบายอื่นอีก


“ฮ่าๆ เจ้าคิดอย่างไรที่ข้าจัดแจงเรื่องดวงจันทร์”


ทันทีที่หวังลู่ถามจบ เจ้าสำนักก็สังเกตเห็นลำแสงสีเงินที่ส่องประกอบอยู่รอบยอดเขา หากสังเหตดูดีๆ จะเห็นได้ว่ามันมีรูปร่างคล้ายบ่อน้ำ แสงจันทร์และแสงดาวที่สาดส่องไปทั่วฟ้าถูกดึงไปบรรจบกันในนั้น ทำให้มองดูคล้ายม่านน้ำใสกระจ่าง เมื่อเห็นดังนั้น ใจของเจ้าสำนักก็เย็นเยียบลง บ่อจันทราไม่มีทางตระเตรียมได้ในเวลาสั้นๆ นั่นหมายความว่า… พวกที่เขาไว้ใจที่สุดทรยศต่อเขามานานเพียงไรแล้วก็ไม่รู้


“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเหมือนว่าจากนี้ไปเจ้าจะไม่เชื่อใครอีก ข้าไม่จำเป็นต้องติดสินบนคนรอบกายเจ้าก็สามารถเดาความลับจิ๊บจ๊อยของเจ้าได้”


“หึ” เจ้าสำนักพ่นลมออกจมูก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดนี้แม้แต่น้อย


หวังลู่หัวเราะ “ในเมื่อเจ้าเดาได้ว่าข้ามาจากสำนักชั้นนำ เจ้าก็ควรรู้ว่าในฐานะศิษย์ของสำนักนั้น แม้ขั้นตบะของข้ายังต่ำอยู่ แต่ความรู้ในโลกแห่งเซียนของข้ากว้างขวางกว่าผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักขยะเช่นเจ้ามากนัก ดังนั้นอย่าได้ใช้ระดับความรู้ที่เจ้ามีมาวัดความสามารถด้านเหตุและผลของข้าเลย ทันทีที่ข้ารู้ว่าอาวุธหลักของเจ้าคือแผนที่เจ็ดดารา ข้าก็เดาที่มาของเจ้าได้แล้ว หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าน่าจะมาจากสำนักปริดาราซึ่งเป็นสำนักย่อยของสำนักดาราจรัส แก่นวิชาในการบำเพ็ญเซียนของเจ้าน่าจะเป็นผลพวงจากเคล็ดวิชาเจ็ดดาราเลอเลิศ แต่ด้วยความที่เจ้าไม่ได้เข้าใจวิชานี้อย่างแจ่มแจ้ง เจ้าก็จับแพะชนแกะเอาเองจนกลายมาเป็นเคล็ดวิชาเจ็ดดารา อาจจะเรียกได้ว่าเจ้าเดินไปบนอีกเส้นทางหนึ่ง แต่มันก็สามารถนำพาเจ้ามาถึงขั้นพิสุทธิ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่น่าเศร้าที่มันเป็นเพียงการคาดเดาเคล็ดวิชาเจ็ดดาราเลอเลิศเท่านั้น เจ้าทำได้เพียงคำว่าใกล้เคียง แต่ก็ไม่อาจเป็น


ของจริงไปได้”


เจ้าสำนักนิ่งเงียบแต่ใบหน้ากลับซีดเซียว นั่นเพราะสิ่งที่หวังลู่พูดเป็นความจริงทั้งหมด


ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ผู้ทรงภูมิเช่นเขา ผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหวาดกลัว ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามมีตบะขั้นสร้างแกน ขวัญของเขาก็ยังไม่สั่นไหวรุนแรงถึงเพียงนี้ ทว่า…พอความลับที่ฝังไว้ลึกสุดในใจถูกขุดขึ้นมาประจานเช่นนี้เขากลับรู้สึกไม่ต่างจากอาจมเลยสักนิด ทว่าขวัญของเจ้าสำนักกระเจิงไปเพียงครู่เดียว ผ่านไปพักหนึ่ง ความรู้สึกสดชื่นก็แพร่กระจายไปทั่ววิหารหยกของเขา ทำให้จิตวิญญาณนักสู้ของเขากลับคืนมาดังเดิม


จริงอยู่ที่ผู้บำเพ็ญเซียนชั้นล่างนั้นขาดหลายสิ่งเมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักชั้นสูง ทว่าในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนชั้นล่างที่ต่อสู้ดิ้นรนมานานหลายปี แรงใจของเขานั้นเทียบไม่ได้กับผู้บำเพ็ญเซียนที่ใช้ชีวิตราวกับองค์ชาย… เขาเคยประสบกับสถานการณ์ที่เข้าตาจนยิ่งกว่านี้มานักต่อนัก ตราบใดที่เขายังคลานได้ เขาย่อมต้องหาทางออกได้แน่นอน


“หมดเวลาพูดจาไร้สาระแล้ว หากเจ้ามีความสามารถสูงส่งจริงๆ เหตุใดต้องใช้แผนลวงด้วย แผ่ไอตบะขั้นสร้างแกนของเจ้าออกมาสิ แล้วข้าจะหมอบกราบยอมรับความพ่ายแพ้เดี๋ยวนี้เลย ทำได้ไหมล่ะ”


เมื่อเรียกขวัญและกำลังใจกลับคืนมาแล้ว เจ้าสำนักก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัด “มีเพียงผู้อ่อนแอเท่านั้นที่ใช้อุบาย ในเมื่อเจ้ามาจากสำนักที่น่าเคารพ งั้นก็ควรทำตัวให้ชวนเคารพ ออกมาสู้กับข้าอย่างยุติธรรมเสียเถอะ!”


ทว่าวิธีพูดยุยงให้อีกฝ่ายลงมือของเจ้าสำนักกลับถูกปัดตกในทันใด


“เช่นนั้นก็ได้ หากเจ้าคลานเข่ามาหาข้า ข้ายอมสู้กับเจ้าเลยเอ้า”


ระยำ! หมอนี่มียางอายบ้างไหนเนี่ย!?


…………………………………..

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม