กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ ภาค 3 ตอนที่ 12.2-13.2
ตอนที่ 12 เจ้าย่อมไม่เข้าใจโลกของศิษย์แถวหน้า (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาเองก็สงสัยเช่นกัน คำกล่าวของหวังลู่เรื่องแท่นบูชานั้นเป็นความจริง ทุกสำนักในพันธมิตรหมื่นเซียนไม่ว่าใหญ่หรือเล็กต่างก็มีแท่นบูชาของตัวเองทั้งนั้น แท่นบูชานั้นสามารถควบรวมพลังปราณวิญญาณฟ้าดินและเปลี่ยนให้เป็นสิ่งวิเศษต่างๆ มากมาย ทว่าสิ่งง่ายๆ เช่นแท่นบูชานี้ สำนักสวะอย่างสำนักเจ็ดดารากลับไม่เคยมีไว้ในครอบครอง นั่นเพราะพวกเขาสร้างไม่เป็นนั่นเอง
แม้แท่นบูชาจะดูเป็นสิ่งที่เรียบง่าย แต่ทักษะและเคล็ดลับที่จะใช้ในการสร้างนั้นกลับสูงลิบอย่างไม่น่าเชื่อ! เจ้าสำนักเจ็ดดารามีตบะเซียนอยู่ในขั้นพิสุทธิ์ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังไม่อาจสร้างแท่นบูชาจริงๆ ได้! ณ ตอนนี้ หลังจากที่ออมเงินมาหลายปี สำนักเจ็ดดาราก็ทำได้เพียงซื้อภาชนะหักๆ มาจากหอนภาเร้นลับเท่านั้น พวกเขาจึงจำต้องตั้งค่ายกลห้าธาตุเหนือภาชนะที่ว่าเพื่อเป็น ‘ตั้งบูชา’ ขึ้นมา ดังนั้นอัตราการควบรวมพลังปราณฟ้าดินจึงไม่สูงนัก และของวิเศษที่เปลี่ยนสภาพมานั้นก็มีจำกัด… แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้หลายสำนักอิจฉาแล้ว หากเป็นแท่นบูชาของจริง สำนักอื่นๆ จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกันนะ ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาไม่กล้าคิดเลยจริงๆ!
สำหรับหวังลู่ แม้เขาจะมีปูมหลังที่โดดเด่น แต่ทว่าเพิ่งบำเพ็ญเซียนมาเพียงสองปีเท่านั้น ตบะเซียนของเขาอยู่เพียงขั้นฝึกปราณระดับต่ำ แล้วจะรู้วิธีสร้างแท่นบูชาได้อย่างไร
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงฮึมาจากหวังลู่ “พวกเจ้าประเมินศิษย์แถวหน้าของสำนักกระบี่วิญญาณต่ำไปแล้ว”
พูดจบหวังลู่ก็หยิบหนังสือชื่อ ‘ความรู้พื้นฐานเรื่องแท่นบูชา โดย ลู่หลี’ ออกมา จากนั้นก็ไล่อ่านไปทีละหน้า
เลือดในกายของธิดาเทพเกือบจะปะทุออกมา “เจ้า…เจ้าเพิ่งจะมาอ่านงั้นรึ!?”
หวังลู่เหยียดยิ้ม “เพิ่งจะอ่าน? คำพูดนี้ถือเป็นการดูหมิ่นศิษย์แถวหน้าชัดๆ ข้าจะบอกให้นะ ศิษย์แถวหน้าที่แท้จริงน่ะไม่ใช่ว่าเพิ่งอ่านตอนที่จะใช้หรอก! ข้าน่ะอ่านมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ข้าก็แค่ทบทวนนิดหน่อย!”
“นี่เจ้า… แต่หนังสือเรื่องความรู้พื้นฐานเรื่องแท่นบูชานี่อย่างน้อยไม่ใช่สำหรับพวกตบะขั้นสร้างฐานหรอกหรือ เจ้ายังไม่สำเร็จขั้นหลอมร่างเลย แล้วจะอ่านไปเพื่ออะไรกัน”
“ศิษย์แถวหน้าไม่เคยตั้งคำถามว่าวิชานี้มีประโยชน์หรือไม่ เขาจะถามเพียงว่าวิชานี้ได้คะแนนเท่าไหร่!”
“บ้าเถอะ! นี่มันปกติมนุษย์ที่ไหน! แต่หากเจ้ารู้เพียงทฤษฎีแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร แถมเจ้ายังศึกษาเรื่องนี้เมื่อนมนานมาแล้ว หากเจ้าคิดจะทบทวนตอนนี้ ข้าก็เกรงว่ามันจะสายเกินไป”
หวังลู่ยิ้มหยัน “ด้วยสติปัญญาอย่างท่าน ไม่แปลกที่จะไม่เข้าใจประสิทธิภาพของการทบทวนวิชาของศิษย์แถวหน้า”
“เอาเถอะพ่อศิษย์แถวหน้า แล้วเจ้าคิดจะทบทวนวิชานี้เสร็จเมื่อไหร่เล่า”
หวังลู่ส่งเสียงฮึ “ขอข้าสองนาที”
พูดจบเขาก็เริ่มพลิกหน้าหนังสือแบบสุ่มๆ จากนั้นก็ปิดมัน “เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว”
“…นี่เจ้าแกล้งทำใช่ไหมเนี่ย”
“การตั้งแท่นบูชานั้นไม่ใช่เรื่องยากหากคำนวณสถานที่ตั้งมาเป็นอย่างดี เลือกประเภทของแท่นบูชาที่เหมาะสมตามหลักเกณฑ์ และตระเตรียมวัตถุดิบพื้นฐานให้เรียบร้อย ปัญหาที่เหลือก็คือ จะสร้างกระแสพลังปราณเพื่อก่อกำเนิดวงโคจรของพลังปราณฟ้าดินได้อย่างไร เก้าในสิบส่วนของหนังสือความรู้พื้นฐานเรื่องแท่นบูชาเล่มนี้อธิบายถึงกระแสพลังปราณ และในส่วนนี้ข้าก็จำได้จนขึ้นใจแล้ว”
ธิดาเทพขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่านางไม่เข้าใจสิ่งที่หวังลู่กล่าวแม้แต่น้อย
นั่นเพราะนางบำเพ็ญเซียนไม่ได้ เฟิงหลิงจึงไม่ได้สนใจศึกษาทฤษฎีของการบำเพ็ญเซียน ความรู้เกี่ยวกับโลกบำเพ็ญเซียนของนางก็มาจากการได้ยินผู้คนบนภูเขาพูดคุยกัน ดังนั้นพอเป็นเรื่องทฤษฎีที่จริงจัง นางก็ถึงกับมึนงงไม่น้อย
แต่สำหรับตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวานั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะกับตาแก่ลามก ซึ่งเกี่ยวพันกับความพยายามหลายต่อหลายครั้งในการตั้งแท่นบูชาของสำนักเก่า หลังจากที่ล้มเหลวต่อเนื่องกัน เขาก็มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี
การสร้างกระแสพลังปราณนั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวด อาจพูดได้ว่าการตระเตรียมสิ่งอื่นๆ เช่น การเลือกวัตถุดิบ การตั้งค่ายกลที่เข้ากัน รวมถึงการเลือกวันที่เป็นมงคลนั้นก็เพื่อจุดประสงค์นี้ทั้งนั้น
ทว่าการสร้างกระแสพลังปราณนั้นนับเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ ซึ่งถือว่ายากพอๆ กับขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว สำหรับสำนักที่อยู่ในพันธมิตรหมื่นเซียน ขอเพียงพวกเขามีผู้เชี่ยวชาญตบะขั้นสร้างแกน และหากผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวใช้วิธีนั่งกรรมฐานระดับลึก ก็สามารถควบคุมพลังปราณวิญญาณฟ้าดินเพื่อสร้างวงโคจรของกระแสพลังปราณได้ ทว่า…ผู้เชี่ยวชาญตบะขั้นสร้างแกนผู้สูงศักดิ์จะยอมลดตัวสุงสิงกับสำนักเจ็ดดาราได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า เป็นการยากที่ผู้เชี่ยวชาญตบะขั้นสร้างแกนจะนั่งกรรมฐานระดับลึกได้โดยไม่มีแหล่งพลังงานจากสำนักที่อยู่ในพันธมิตรหมื่นเซียน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณระดับต่ำอย่างหวังลู่จะเทียบผู้เชี่ยวชาญตบะขั้นสร้างแกนได้อย่างไร
“อืม เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องจุกจิกเช่นนี้หรอก ขอแค่ไปรวบรวมวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องมาก็พอ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
ตาแก่ลามกพยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้ การตั้งแท่นบูชา สร้างประแสพลังปราณ เรื่องพวกนี้ถือเป็นแก่นความรู้ของสำนัก ไม่แปลกอะไรที่หวังลู่จะไม่แพร่งพรายให้รู้ ทว่า…แล้วพวกเขาจะไปรวบรวมวัตถุดิบมาจากที่ใดเล่า
“แน่นอนว่าเจ้าต้องไปซื้อมา อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นผู้มีอิทธิพลในอาณาจักรเก้าแคว้นนี่ เพราะงั้นเจ้าต้องรู้จักคนที่ขายของพวกนี้สิ จริงไหม”
ขณะพูดหวังลู่ก็หยิบย่ามสีเหลืองหม่นมาจากข้างลำตัว หยิบปากกาและกระดาษออกมา แล้วเริ่มเขียนรายการสิ่งของที่ต้องการลงไป จากนั้นก็โยนมาให้ตาแก่ลามก “ซื้อของที่อยู่ในรายการนี่มา อย่าให้ขาดให้เกินแม้แต่อย่างเดียว”
ตาแก่ลามกมองไปยังรายการแล้วก็รู้สึกอยากกระอักเลือดในทันที “ทองคำระดับเจ็ด ดินดำระดับสี่ เปลวไฟระดับหก ท่านผู้จัดการ ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ!”
อู้เฟยฮวาซึ่งได้ยินสิ่งที่ตาแก่ลามกพูดก็อดเบิกตาโพลงไม่ได้ “ของแต่ละอย่างนี่อย่างน้อยก็ราคาหลายร้อยศิลาวิญญาณ เราจะมีปัญญาจ่ายได้อย่างไร!?”
ครั้งนี้ถึงคราวหวังลู่ประหลาดใจบ้าง “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้ยึดครองเมืองหลวงของจังหวัดอยู่หรอกหรือ เงินไม่กี่แสนศิลาวิญญาณถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก แล้วกับอีแค่ไม่กี่ร้อยศิลาวิญญาณทำไมเจ้าถึงไม่มีปัญญาจ่าย”
ตาแก่ลามกร้องโอดโอยออกมาทันใด “เงินเป็นแสนศิลาวิญญาณนั่นถือเป็นรายได้ของสำนัก ไม่ใช่รายได้ส่วนตัวของข้าเสียหน่อย! ค่าดูแลจัดการของสำนักก็สูงไม่น้อย หากว่ากันตามตำแหน่งแล้ว เจ้าสำนักย่อมต้องหาประโยชน์จากเงินจำนวนนั้นก่อนผู้อาวุโสทั้งหลาย ดังนั้นกว่าเงินจะมาถึงมือข้าก็เหลือไม่มากแล้ว! หนำซ้ำข้ายังต้องใช้มันไปกับการบำเพ็ญเซียน! เงินที่ต้องใช้จ่ายไปกับโอสถต่างๆ ถือว่าไม่น้อย สุดท้ายข้าก็มีเงินเก็บเพียงไม่กี่ศิลาวิญญาณเท่านั้น!”
หวังลู่ถอนหายใจ “พูดสั้นๆ ก็คือเจ้าไม่มีเงิน ก็ได้ ข้าจะออกให้ก่อน”
จากนั้นเขาก็เปิดย่ามสีเหลืองหม่นแล้วหยิบหยกโปร่งแสงซึ่งมีประกายแวววาวจนคนอื่นๆ ตาพร่าออกมา
“นี่ นี่มันศิลาวิญญาณระดับสูงสุดนี่นา!” แม้จะใช้ชื่อของสำนักเจ็ดดารากวาดเงินมาหลายต่อหลายปี แต่ตาแก่ลามกกลับยังไม่เคยเห็นศิลาวิญญาณชั้นสูงเช่นนี้มาก่อน ศิลาวิญญาณประเภทนี้บริสุทธิ์มากเพราะเปี่ยมไปด้วยพลังปราณจำนวนมาก ศิลาวิญญาณชิ้นนี้มีค่ามากกว่าศิลาวิญญาณชั้นสูงทั่วไปถึงสิบเท่า แต่กระนั้นหวังลู่กลับดึงมันขึ้นมาจากย่ามอย่างไม่ใส่ใจ! หนำซ้ำศิลาวิญญาณนี่ยังมีค่ามากกว่าศิลาวิญญาณที่เขาสะสมมาหลายปีด้วยซ้ำ!
แม้แต่ธิดาเทพเองก็ประหลาดใจเช่นกัน ยอดเขาไร้ลักษณ์โด่งดังเรื่องความอัตคัดมาตลอด แล้วหวังลู่ไปเอาศิลาวิญญาณมีค่าเช่นนี้มาจากไหนกัน
แน่นอนว่าต้องใช้แต้มการเรียนแลกมาแน่ ในฐานะศิษย์แถวหน้าของสำนักกระบี่วิญญาณแล้ว แม้หวังลู่จะยากจน แต่ก็ไม่ได้ข้นแค้นขนาดนั้น
“เอาห้าร้อยศิลาวิญญาณนี่ไปแล้วไปซื้อวัตถุดิบมาให้ได้ภายในสองวัน จากนั้นเราจะตั้งแท่นบูชากันที่หมู่บ้านตระกูลหวัง เฮ้ อย่างไรเสียมันก็จะเป็นฐานที่ตั้งหลักของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาของเราแล้ว ดังนั้นก็ควรจะทำให้สวยๆ หน่อย”
……………………………………………….
ตอนที่ 13 ขอต้อนรับคณะทำลายแห่งศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
สองวันให้หลัง ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาก็รีบรุดกลับมาที่หุบเขาหูสุนัขด้วยใบหน้าฉุนเฉียว
ความจริงแล้ว เงินห้าร้อยศิลาวิญญาณที่หวังลู่ให้ไปนั้นเกินพอที่จะซื้อของที่ต้องการ ดังนั้น เป็นธรรมดาที่เงินส่วนที่เหลือจะถือว่าเป็นค่าเหนื่อยของคนทั้งคู่ ถึงแม้หวังลู่จะไม่ได้บอกอย่างแน่ชัด แต่ทั้งสองคนก็เข้าใจเช่นนี้ ด้วยเชาวน์ปัญญาของท่านผู้จัดการ เขาไม่ได้ตั้งใจเช่นนี้ตอนที่ให้เงินมาอย่างใจกว้างหรอกหรือ
โชคร้ายที่พอทั้งสองติดต่อกับพ่อค้าในละแวกนั้นเรียบร้อยพร้อมจับจ่ายซื้อของ พวกเขากลับถูกสังหารอย่างเลือดเย็น พ่อค้ากวาดตาดูรายการสินค้าแล้วบอกราคากับพวกเขา ทั้งหมดเป็นเงินหกร้อยศิลาวิญญาณ
ราคาดังกล่าวสูงกว่างบที่หวังลู่ให้มา เช่นนั้นแล้วเหออวิ๋นจะยินยอมได้อย่างไร ฝ่ายตรงข้ามรู้เท่าทันเหออวิ๋นจึงยื่นคำขาด หากจะซื้อก็ซื้อ หากไม่ซื้อก็ไสหัวไป!
แล้วจะให้เหออวิ๋นไม่ซื้อได้อย่างไร หวังลู่ให้เวลาพวกเขาเพียงสองวันเท่านั้น หากเวลาหมดลง เขาก็ไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่จะตามมาจริงๆ นี่ยังไม่รวมเรื่องที่ว่าราคาสิ่งของพวกนี้ไม่ควรเกินสามร้อยศิลาวิญญาณเท่านั้น แล้วจู่ๆ มันขึ้นมาเป็นสองเท่าได้อย่างไร!?
เมื่อเขาสอบถามถึงเรื่องนี้จึงเข้าใจแจ่มแจ้ง ปกติแล้วราคาวัตถุดิบต่างๆ ในหอนภาเร้นลับมักจะถูกกว่า แต่จากสถานะของพวกเขา แค่จะผ่านประตูของหอนภาเร้นลับเข้าไปยังทำไม่ได้ ดังนั้นการซื้อขายครั้งนี้จึงไม่ต่างอะไรจากการซื้อขายในตลาดมืด ราคาจึงสูงขึ้นเป็นเรื่องธรรมดานั่นเอง
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาทั้งสองจึงต้องใช้วิธีต่อรองเอา ในที่สุดก็ได้สิ่งของทั้งหมดมาในราคาเหมารวมห้าร้อยศิลาวิญญาณ ซึ่งสำหรับพวกเขาก็ไม่ต่างจากการปลูกพืชที่ไร้ผล ตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะยักเงินจากภารกิจนี้ได้สักร้อยสองร้อยศิลาวิญญาณ ทว่านี่ถือเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว พวกเขาทั้งสองยังถูกภาคทัณฑ์จากอาชญากรรมที่ก่อเอาไว้ก่อนหน้าอยู่ เช่นนี้แล้วหวังลู่จะใจดีเปิดโอกาสให้ร่ำรวยได้อย่างไร
กระนั้นเมื่อนึกถึงการตั้งแท่นบูชา ทั้งสองก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา พวกเขาทำงานให้กับสำนักเจ็ดดารามานานหลายปี แต่กลับไม่เคยได้อานิสงค์จากแท่นบูชาเลยสักครั้ง แต่เมื่อดูจากวัตถุดิบที่ไปหาซื้อมา พวกเขาก็รู้ว่าท่านผู้จัดการของตนนั้นมีความปรารถนาอย่างสูงล้นที่จะตั้งแท่นบูชาที่พิเศษกว่าธรรมดา
แม้จากความรู้อันจำกัดจำเขี่ยที่มี พวกเขายังไม่สามารถจับจุดได้ว่าเป็นแท่นบูชาประเภทไหน แต่ถึงมันจะเป็นเพียงแท่นบูชาระดับเก้า แต่พลังย่อมต้องดีเลิศกว่าของมือสองที่ครอบด้วยค่ายกลห้าธาตุของสำนักเจ็ดดาราแน่นอน! เมื่อรวมกับพลังปราณวิญญาณฟ้าดินที่หนาแน่นบริเวณหมู่บ้านตระกูลหวัง อย่างน้อยแท่นบูชาก็น่าจะควบรวมศิลาวิญญาณได้นับร้อยก้อนต่อวันแน่ แม้จะถือว่าไม่มาก แต่ภายในหนึ่งปีก็จะมีเป็นหมื่นๆ ก้อน นี่ยังไม่พูดถึงว่าการควบรวมศิลาวิญญาณเป็นความสามารถพื้นฐานของแท่นบูชาเท่านั้น
ปัญหาเดียวที่มีคือ จะตั้งแท่นบูชาขึ้นมาได้จริงๆ หรือ
ไม่ใช่ว่าพวกเขาดูถูกหวังลู่ ความจริงตั้งแต่แรกที่พวกเขามาถึงหมู่บ้านตระกูลหวัง หวังลู่ก็ไปเอากระบี่แห่งเขาคุนกลับมาในทันที ในการสั่งสมบารมีเพิ่มเติม หวังลู่บอกให้เหออวิ๋นโจมตีเขา ทว่าหลังจากใช้ทักษะของตบะขั้นสร้างฐานระดับต่ำทุกประเภทจนเหนื่อยแรง รวมถึงใส่เจตนาฆ่าลงไปด้วย เขากลับไม่สามารถเจาะการตั้งรับของกระบี่สามฉื่อได้แม้แต่น้อย
ท้ายที่สุดแล้ว คำถามเดียวก็คือ หวังลู่จะทำอย่างไรเพื่อสร้างกระแสพลังปราณขึ้นมา ——
ในวันอากาศสดใสของฤดูใบไม้ร่วงที่เย็นสบาย หมู่บ้านตระกูลหวังก็คลาคล่ำไปด้วยแสงไฟ พวกชาวบ้านกำลังประดับประดาหมู่บ้านด้วยโคมไฟเพื่อต้อนรับการมาเยือนของเทพเซียนผู้ทรงเกียรติ พวกเขายังแขวนโคลงคู่ไว้ที่ทางเข้าหมู่บ้านด้วย แม้สิ่งที่พวกเขาเขียนจะอ่านไม่รู้ความ แต่แน่นอนว่านั่นเป็นการแสดงความกระตือรือร้นที่จะได้ต้อนรับเทพเซียน
ท่ามกลางบรรยากาศที่รื่นเริง ขบวนของเทพเซียนแห่งศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา ไม่สิ แห่งสำนักภูมิปัญญาก็ลอยลงมากลางเมฆ
ครั้งนี้คณะของสำนักภูมิปัญญามาด้วยกันทั้งหมด คนที่ลงมาเป็นคนแรกคือธิดาเทพ ตามมาด้วยรองเจ้าสำนักเหออวิ๋น อาวุโสอู้เฟยฮวา และสุดท้ายก็คือเจ้าอ้วนที่ปรากฏตัวอย่างปกติธรรมดาจนทำให้หวังฉี่เหนียนต้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย…
ธิดาเทพตอบเสียงนุ่ม “อ้อ เขาก็แค่คนหนุ่มแข็งแรงที่เราจะใช้ให้ตั้งแท่นบูชาเท่านั้นล่ะ”
เจ้าอ้วนหลั่งน้ำตาอยู่ภายในใจ เขาเป็นถึงศิษย์สำนักในของสำนักกระบี่วิญญาณ แต่สถานะของเขาในศูนย์อากรเชาวน์ปัญญากลับต่ำยิ่งกว่าอู้เฟยฮวาเสียอีก! ยังดีที่เรื่องตำแหน่งอะไรนี่เป็นเพียงสิ่งที่อุปโลกขึ้น และการกระทำทุกอย่างต้องมาจากความคิดของท่านผู้จัดการเท่านั้น
อย่างไรเสีย หวังฉี่เหนียนก็ไม่กล้าเมินเฉยความแข็งแกร่งของเจ้าอ้วน หลังจากนั้นคำถามเกี่ยวกับตัวเขาก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน เจ้าอ้วนไม่เคยต้องประสบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ที่ผ่านมา ในฐานะบุตรชายของราชครู ผู้คนต่างก็พากันห้อมล้อมเขา แต่ทว่าเขาไม่เคยถูกคนบ้านนอกล้อมรอบเช่นนี้เลย! เจ้าอ้วนปิดปากเงียบอย่างสิ้นหวังพลางทำท่าให้สมกับเป็นชายมากพละกำลัง
ในที่สุดคนทั้งกลุ่มพร้อมด้วยชาวบ้านมากมายก็มาถึงจุดที่หมายตาไว้ว่าจะตั้งแท่นบูชา แน่นอนว่าหวังลู่เลือกสถานที่นี้ด้วยตัวเอง
มันคือบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน สถานที่นี้ถือเป็นการเอาคืนที่หวังฉี่เหนียนไปปรากฏตัวที่บ้านของหวังฟู่กุ้ยเมื่อหลายวันก่อน พร้อมพรั่งพรูคำดูถูกเหยียดหยามมากมายนั่นเอง
ทว่าหวังฉี่เหนียนยังไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อเห็นเหล่าเทพเซียนหยุดยืนตรงหน้าบ้านเขา เขาจึงถามออกไปอย่างสงสัย “ประทานโทษเถิดท่านเทพเซียน นี่คือ…”
ธิดาเทพตอบเสียงนุ่ม “ที่ที่จะตั้งแท่นบูชา”
“…ที่นี่?”
เฟิงหลิงพยักหน้า “ถูกต้อง ฮวงจุ้ยของที่นี่ถือว่าดีมาก จึงถือเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดในการตั้งแท่นบูชา”
หวังฉี่เหนียนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง จึงถามขึ้น “ละ แล้วบ้านของข้าเล่า”
เฟิงหลิงยิ้ม “แน่นอนว่าต้องถูกทำลายทิ้ง ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะให้พวกที่แข็งแรงสร้างหลังใหม่ให้เจ้า”
“ตะ แต่…” หวังฉี่เหนียนพูดตะกุกตะกัก แต่ก่อนที่จะได้พูดจบประโยค เขาก็ได้ยินเสียงธิดาเทพหัวเราะเบาๆ
“อ้าว นี่เจ้าไม่สบายใจหรือ ไม่มีปัญหา เรายกเลิกการสร้างก็ได้ ตาแก่ลา… เหออวิ๋น กลับได้!”
พวกเขาพากันหันหลังกลับ หวังฉี่เหนียนที่กระวนกระวายใจจึงต้องยกธงยอมแพ้ “ท่านเทพเซียน ได้โปรดอย่าไป! ท่านรื้อก็ได้ ท่านจะรื้อบ้านข้าก็ได้!”
“ดี งั้นเราจัดการต่อละนะ”
“โปรดรอสักครู่ มีของบางอย่างในบ้านข้า!”
ธิดาเทพขมวดคิ้ว “โอ๊ย เจ้านี่น่ารำคาญจริงๆ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าทำลายได้ ผ่านไปครู่เดียวเจ้าบอกว่าไม่ได้ รีบตัดสินใจเสีย อย่าบอกเชียวนะว่าเราต้องรอให้เจ้าเก็บข้าวของในบ้านเสียก่อน”
หวังฉี่เหนียนอับจนหนทางและนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ แต่จากนั้นเขาก็ได้ยินชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังพูด “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านพูดเองไม่ใช่หรือว่าการตั้งแท่นบูชานั้นสำคัญกับหมู่บ้านเรามาก หากใครกล้าขัดขวางล่ะก็ เช่นนั้น…”
หวังฉี่เหนียนสบถสาบานอยู่ในใจ ทว่าภายนอกเขากลับตอบรับด้วยรอยยิ้ม “รื้อ! รื้อเลย!”
ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงโครมครามในทันที ตาแก่ลามกได้ร่ายอาคมรวมถึงปล่อยยันต์ถึงสามชั้น ซึ่งทำให้เกิดพลังอิทธิฤทธิ์มหาศาล ทันใดนั้นเอง บ้านก็พังทลายลงกับพื้นในชั่วพริบตา
………………………………………………
ตอนที่ 13 ขอต้อนรับคณะทำลายแห่งศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
กำแพงอิฐชั้นดี คานบ้านที่แข็งแรง แผ่นกระเบื้องที่ประณีตซึ่งอยู่มานานหลายสิบปี …ภายในพริบตาเดียวพวกมันก็ถล่มลงมาเหลือหนาเพียงสองฝ่ามือ จากนั้นก็จมลงไปในดินแล้วหายวับไปกับตา
สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่ค่อนข้างอิสระอย่างตาแก่ลามกแล้ว ผลของอาคมนี้ดูดีอย่างน่าทึ่งทีเดียว ตาแก่ลามกยิ้มพลางตบแผ่นกระดาษที่มีตัวอักษรว่า ‘ทำลาย’ เบาๆ เขาคิดว่าตนนั้นโชคดีที่หวังลู่ให้แผ่นกระดาษที่ฉีกออกมาจากหนังสือโบราณที่ไม่สมบูรณ์ของโลกเซียนมาหลายแผ่น เขาฝึกซ้อมมันเพียงไม่กี่วันเท่านั้น อีกทั้งเขายังฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บภายในที่ได้รับตอนอยู่ที่อำเภออู่โหวอย่างสมบูรณ์แล้ว ทักษะต่างๆ ก็กลับคืนมาเกือบจะทั้งหมด บางทักษะยังพัฒนาขึ้นด้วยซ้ำ!
แม้อาคมซึ่งมีแรงกดขนานหนักเช่นนี้จะสำเร็จได้เพราะพลังของยันต์ แต่ก่อนหน้านี้ ทั้งความเร็วในการปล่อยอาคมรวมถึงความแม่นยำในการควบคุมอาคมล้วนเกินความสามารถเขาทั้งสิ้น ถือเป็นฟ้าหลังฝนที่แท้ที่เมื่อผ่านเหตุการณ์เลวร้ายในคราวนั้นไปเขาก็สามารถมาถึงขั้นนี้ได้ในเวลาไม่กี่วัน! ฮ่า! การสอพลอศิษย์สำนักดังคนนี้ย่อมนำผลประโยชน์มาให้เขามากมายแน่นอน น่าเศร้าที่เขาไม่มีโอกาสเช่นนี้เมื่อครั้งที่อยู่กับสำนักเจ็ดดารา…
ขณะที่ตาแก่ลามกกำลังยินดีในโชคชะตาของตัวเองอยู่เงียบๆ กลุ่มฝุ่นฟุ้งก็ตกลงมาสู่พื้นดิน ชาวบ้านที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พื้นดินราบเรียบนั้นต่างตะลึงจนกรามค้าง รวมถึงหัวหน้าหมู่บ้านที่แม้อยากร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตาสักหยด
ตาแก่ลามกหัวเราะคิกคัก “เจ้าคิดว่าอย่างไร การทำลายในครั้งนี้สวยงามมากว่าไหม”
หวังฉี่เหนียนตอบเสียงสั่น “อาคมของท่านเทพเซียนราวกับสวรรค์ประทาน ช่างเป็นการทำลายที่สวยงามยิ่งนัก สวยงามยิ่งนัก!”
“เจ้านี่ตาแหลมไม่เบา! วางใจเถอะ หลังจากที่ตั้งแท่นบูขาเรียบร้อยแล้ว ข้าจะให้หนุ่มๆ ที่แข็งแรงสร้างบ้านหลังใหม่ให้เจ้าเอง รับรองว่าวิเศษกว่าบ้านผุๆ หลังเก่าของเจ้าเสียอีก”
แน่นอนว่านี่เป็นคำสั่งของหวังลู่ให้เป็นทั้งรางวัลและการลงโทษจากศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา หวังฉี่เหนียนนั้น ตลอดสองปีแห่งความโง่เขลา เขาได้ทำสิ่งโง่เง่ามากมาย ดังนั้นจึงสมควรถูกลงโทษ ทว่าหัวหน้าหมู่บ้านชราผู้นี้ก็ทำหน้าที่อย่างรอบคอบและมีสติมาตลอดหลายทศวรรษ ดังนั้นแม้เขาจะไม่มีผลงานอะไร แต่ก็ยังสมควรได้รางวัลจากการทำงานหนักอยู่ดี ดังนั้นแล้วหวังลู่จะปล่อยให้เขาไร้บ้านได้อย่างไร
หลังจากที่ทำลายบ้านจนราบคาบ ตาแก่ลามกก็ขยับนิ้วเขียนเป็นตราขึ้นมา ทันใดนั้นวัตถุดิบจำนวนมากที่เตรียมพร้อมไว้นานแล้วก็ลอยออกมาจากย่ามสีเหลืองหม่น พวกมันเรียงตัวกันเป็นค่ายกลรูปวงแหวนอยู่บนพื้นดิน
จำนวนวัตถุดิบรวมทั้งการจัดเรียงนั้น หวังลู่เตรียมการไว้นานแล้ว ทันทีที่วัตถุดิบวางเรียงกันตามลำดับ อาคมก็หยุดลง
ขณะเดียวกัน ตรงกลางค่ายกลรูปวงแหวน เด็กหนุ่มหน้าตาเรียบๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น
ตาแก่ลามกและคนอื่นๆ ในคณะก็คุกเข่าลงทันใด “คารวะท่านเจ้าสำนัก!”
หวังลู่ที่จู่ๆ ก็โผล่มาจากอาคมพรางตัว ก็แสดงประสิทธิภาพของนักแสดงมืออาชีพที่ฝึกซ้อมด้วยตนเองอย่างเต็มที่ เขาโบกมือด้วยสีหน้าเมินเฉย “พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ เวลาในโลกมนุษย์ของข้ามีจำกัด ดังนั้นรีบลงมือกันดีกว่า บอกพวกชาวบ้านให้ถอยออกไปก่อน ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจเข้ามาขวางทางได้”
เมื่อได้เห็นหวังลู่ปรากฏตัว หวังฉี่เหนียนและชาวบ้านคนอื่นๆ ก็เชื่อสนิทใจว่าเขาคือเซียนตัวจริงที่ลงมาจากโลกแห่งเซียน จึงพากันตื่นเต้นจนพูดไม่ออก โชคร้ายที่ก่อนพวกเขาจะได้หมอบกราบต่อหน้าหวังลู่ อู้เฟยฮวาก็สั่งให้ทุกคนกระจายตัวออกไป กันพื้นที่เวทีขนาดใหญ่เอาไว้สำหรับแสดงละครกลุ่ม
เหออวิ๋นและคนอื่นๆ ต่างคาดหวังกับการแสดงบทที่เหลือนี้มาก
ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณระดับต่ำจะสร้างกระแสพลังปราณได้อย่างไร และเมื่ออิงจากทักษะของหวังลู่ เขาจะสรรสร้างแท่นบูชาชนิดใดออกมากันแน่ ดูจากวัตถุดิบที่ตระเตรียมมา น่าจะเป็นแท่นบูชาระดับแปด… ตอนที่เขายังหนุ่ม สำนักป่าหยก ซึ่งเป็นสำนักแรกของเขามีแท่นบูชาไฟระดับแปด ทำให้สำนักข้างเคียงริษยาไม่น้อย!
ธิดาเทพเฟิงหลิงเองก็อยากรู้เช่นกัน แม้นางจะยังไม่กระจ่างเกี่ยวกับหลักการของแท่นบูชาอะไรนี่ แต่นางก็เห็นมันอยู่บ่อยครั้งตอนที่อยู่บนเขากระบี่วิญญาณ สำนักกระบี่วิญญาณครอบครองทำเลที่ตั้งที่ดีงามที่สุดในแคว้นธาราครามในแง่ของพลังปราณฟ้าดิน แน่นอนว่าพวกเขาต้องไม่ปล่อยให้เสียเปล่า ภายในสำนักมีแท่นบูชาจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นงานฝีมือของอาวุโสหกลู่หลี เขาเป็นผู้อาวุโสที่ดูแลเรื่องการเงินของสำนัก ทั้งยังมีพรสวรรค์ด้านการสร้างแท่นบูชา เมื่อครั้งที่ตบะของเขายังอยู่ในขั้นพิสุทธิ์ เขาก็สร้างแท่นบูชาแท่นแรกของตนขึ้นมา นั่นคือแท่นบูชาไฟระดับเจ็ด… ทว่าดูท่าแล้วความทะเยอทะยานของหวังลู่ในตอนนี้ดูจะสูงกว่าของลู่หลีในตอนนั้นเสียอีก
ท่ามกลางสายตาของชาวบ้าน หวังลู่เดินอย่างไม่รู้สึกรู้สมไปยังใจกลางของค่ายกลวงกลม เขาเดินไปรอบๆ มัน จัดเรียงวัตถุดิบในการทำแท่นบูชาให้เข้าที่ จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลง
ทันใดนั้นเอง โลกภายนอกก็หายไปจากการรับรู้ของหวังลู่ ในใจของเขามีเพียงทะเลพลังปราณฟ้าดินเท่านั้น
การสร้างแท่นบูชานั้นมีอยู่สองทาง นั่นคือใช้จิตแห่งเต๋าของตบะขั้นสร้างแกนหรือขั้นพิสุทธิ์ในการควบคุมพลังปราณวิญญาณฟ้าดิน ผลักและดันมันไปมาเพื่อให้ก่อตัวเป็นกระแสพลังปราณ ส่วนอีกทางหนึ่งนั้น… ต้องใช้การคำนวณการทำงานของพลังปราณฟ้าดินที่แม่นยำ แล้วหาโอกาสที่ดีที่สุดในการใช้หลักแรงน้อยผลักของใหญ่ แล้วดำเนินการไปตามนั้นเพื่อสร้างปาฏิหาริย์แบบก้าวกระโดด!
ในอดีต อาวุโสลู่หลีอาศัยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมของเขาในการหาความเคลื่อนไหวของพลังปราณฟ้าดินได้อย่างแม่นยำและใช้ตบะขั้นพิสุทธิ์ระดับต่ำสร้างแท่นบูชาขึ้นมา อาวุโสลู่หลีครอบครองแก่นวิญญาณสวรรค์ชั้นหนึ่ง และในกลุ่มผู้อาวุโสบนหอกระบี่สวรรค์ด้วยกัน ความสามารถของเขาถือว่าอยู่ในระดับแถวหน้า หากเป็นผู้อาวุโสฟางเฮ่อหรือผู้อาวุโสหลิวเสี่ยนย่อมไม่อาจทำได้เช่นนี้แน่
ทว่ารากวิญญาณนภาที่หวังลู่ครอบครองนั้นทำให้เขามีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมกว่ารากวิญญาณสวรรค์ธรรมดาๆ หลายเท่า! แม้ในตอนนี้ที่ขั้นตบะของเขายังต่ำอยู่ ทั้งจิตแห่งเต๋าของเขาก็ยังอ่อนด้อย เขายังสามารถจับความเคลื่อนไหวของพลังปราณฟ้าดินที่อยู่ไกลออกไปหลายลี้ได้
แน่นอนว่าแค่สามารถรับรู้ได้ยังไม่เพียงพอ ขั้นต่อไปคือต้องใช้พลังของตัวเองในการขับดันให้พลังปราณฟ้าดินหมุนวนเข้าหากันและแผ่มันออกจากกันอีกครั้ง… ตามจังหวะที่สอดประสานกัน เพื่อให้มันกลายเป็นกระแสพลังปราณฟ้าดินที่ไหลขึ้นไปและตกลงมาต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย
นี่ถือเป็นขั้นตอนที่ยากมาก ตามตำราของลู่หลีนั้น หากต้องการกระตุ้นพลังปราณฟ้าดินอย่างราบรื่น คนผู้นั้นอย่างน้อยต้องใช้จิตแห่งเต๋าที่มีภาพเสมือนเก้าส่วนภาพจริงหนึ่งส่วน ซึ่งมักเกิดขึ้นในตบะขั้นสร้างฐานระดับกลาง นี่คือสิ่งที่อิงจากทฤษฎี ในครั้งนั้น ลู่หลีที่มีจิตแห่งเต๋าเป็นภาพเสมือนห้าส่วน ภาพจริงห้าส่วนก็สามารถสร้างแท่นบูชาสำเร็จได้
ในตอนนี้ จิตแห่งเต๋าของหวังลู่นั้นยุ่งเหยิงอย่างที่สุด ไม่ต้องพูดถึงภาพจริงเลย แค่ภาพเสมือนก็ยังสกัดได้ไม่สมบูรณ์ด้วยซ้ำ ดังนั้นความสามารถในการควบคุมพลังปราณฟ้าดินของเขาถือว่ายังไม่มี อย่างไรเสีย…การยักย้ายพลังปราณฟ้าดินนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้จิตแห่งเต๋าได้ ภาพเสมือนเก้าส่วนและภาพจริงหนึ่งส่วนไม่ใช่เงื่อนไขเดียวที่จะทำได้ และหวังลู่เองก็มีเครื่องมืออย่างอื่นที่สามารถให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน
กระดูกกระบี่ที่ใต้ฐานของเขาเริ่มสั่นไหว เสาหยกสองร้อยหกแท่งเริ่มหายใจถี่
……………………………………………….
ตอนที่ 14 แท่นบูชามิได้สร้างเสร็จในวันเดียว (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้จัดการศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาหวังลู่สูดหายใจลึก
อึดใจถัดมา สภาพอากาศก็เริ่มเปลี่ยนแปลง สายลมพัดกรรโชกแรง
สีหน้าของตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาเปลี่ยนไปในทันที แม้ว่าขั้นตบะของพวกเขาจะไม่สูงนัก ทั้งรากวิญญาณที่ครอบครองก็ยังเป็นของชั้นต่ำ รวมถึงประสาทสัมผัสในการตรวจจับพลังปราณวิญญาณฟ้าดินก็ไม่ได้ดีไปกว่าศิษย์หน้าใหม่ของสำนักกระบี่วิญญาณเลยสักนิด… ทว่าพวกเขาจะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณฟ้าดินที่รุนแรงดั่งพายุในทะเลนี้ได้อย่างไร
เพียงหายใจเข้าไปเฮือกเดียว หวังลู่ก็สูดเอาพลังปราณฟ้าดินในระยะเกือบหนึ่งลี้เข้ามาได้! ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรากวิญญาณที่เขาครอบครองอยู่ และอีกส่วนเป็นเพราะพลังของค่ายกล ทว่า…มันก็กินวงกว้างถึงเกือบหนึ่งลี้! แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนทั่วไปยังไม่อาจดูดซับสนามพลังปราณได้กว้างใหญ่เช่นนี้เลย!
สำหรับตาแก่ลามกนั้น แม้เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะสูดเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าร่าง แต่ก็สูดเอาพลังปราณที่อยู่ไกลออกไปได้เพียงไม่กี่ฉื่อเท่านั้น!
ขณะเดียวกัน หวังลู่ผู้อยู่ในใจกลางพายุทะเลของพลังปราณฟ้าดินก็รู้สึกถึงแรงกดดันขนานใหญ่ของการดูดซับพลังปราณอย่างบ้าคลั่งนี้เช่นกัน แม้เขาแทบจะไม่ได้ใช้วิธีการหายใจของตบะขั้นฝึกปราณเลยก็ตาม ตอนนี้ที่ใต้ฐานวิหารหยกของเขา วงโคจรของพลังปราณฟ้าดินเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว จากการดูดซับอันทรงพลังของรากวิญญาณนภาในตัวเขา มันสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินในอัตราปกติได้ ทว่าการดูดซับที่รุนแรงนี้แม้จะมีประสิทธิภาพอย่างน่าทึ่ง แต่ก็ทำให้ร่างกายของเขาบาดเจ็บได้
คลื่นพลังปราณขนาดมหาศาลชนเข้ากับกำแพงด้านนอกของรากวิญญาณนภา และปรากฏเป็นฝนสีทองอยู่ที่ใต้ฐาน ทว่ากระดูกกระบี่สองร้อยหกชิ้นที่ค้ำยันอยู่ต้องแบกรับแรงกดมหาศาล กระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์นี้เป็นเพียงตัวเชื่อมเดียวที่เชื่อมภายในและภายนอกฐานเข้าด้วยกัน แต่มันก็มีความสามารถจำกัด เมื่อหวังลู่ดูดซับพลังปราณด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี กระดูกกระบี่สองร้อยหกชิ้นนั้นก็ได้ใช้งานจนเต็มความสามารถแล้ว ทว่าในตอนนี้เมื่อมีค่ายกลมาเสริมแรงด้วย จึงกลายเป็นว่ามันทำงานเกินพิกัดไป ปลายข้างหนึ่งของกระดูกกระบี่ปลดปล่อยของเหลวสีทองอย่างต่อเนื่อง ทว่าเสาหยกเองก็สั่นสะท้านไม่รู้จบราวกับว่าเตรียมพร้อมจะระเบิดอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากผ่านเวลาไปพักใหญ่ๆ การโคจรของพลังปราณฟ้าดินก็สิ้นสุดลง เมื่อหยาดฝนสีทองระเหยกลายเป็นไอ และพลังปราณฟ้าดินกระจายตัวออกไป หวังลู่ก็รู้สึกโล่งขึ้นมาในทันที
แน่นอนว่าเมื่อมองจากภายนอก หลังจากที่รวบรวมคลื่นพลังปราณฟ้าดินได้มากพอแล้ว มันก็ย้อนกลับอย่างฉับพลันด้วยแรงกระตุ้นที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก! การเปลี่ยนแปลงนี้น่าสะพรึงเสียจนตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่ทันรู้ตัว ขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกว่าวงโคจรของพลังอิทธิฤทธิ์ในตัวก็ได้รับผลไปด้วยรางๆ สีหน้าของพวกเขาซีดเผือด ช่างเป็นกระแสพลังปราณฟ้าดินทรงพลังอะไรเช่นนี้!
หายใจเข้า หายใจออก รวบรวมเข้ามา ปลดปล่อยออกไป เหมือนการขึ้นและลงของระดับน้ำทะเลที่ทำงานเป็นวัฏจักรซึ่งเรียกว่าน้ำขึ้นน้ำลง และเมื่อมันทำงานเป็นวัฏจักร แปลว่าย่อมมีมากกว่าหนึ่งรอบ
อึดใจถัดมา หวังลู่ก็สูดลมหายใจลึกเพื่อให้กระดูกกระบี่ขยับอีกครั้ง
ครั้งนี้พลังปราณฟ้าดินที่สูดเข้าไปมีมากกว่าครั้งก่อนเสียอีก ภายใต้อิทธิพลของการสูดเข้าและปล่อยออก ระยะทางที่ส่งผลต่อพลังปราณฟ้าดินในการสูดลมหายใจครั้งที่สองนั้นขยายไปไกลกว่าเดิมอีกหลายสิบวา! และนี่คือแก่นของกระแสพลังปราณฟ้าดิน
การสูดลมเข้าและปล่อยออกแต่ละครั้งจะยิ่งซึมซับเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าสู่วงโคจรมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป มวลของมันก็ขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว
ซึ่งแน่นอนว่าจะยิ่งสร้างแรงกดดันขนานใหญ่ให้หวังลู่ หากการสูดหายใจครั้งแรกทำให้กระดูกกระบี่สั่นไหว เมื่อการสูดหายใจรอบที่สองมาถึง เขาก็ได้ยินกระดูกกระบี่ส่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด… ฝนสีทองที่ใต้ฐานในครั้งก่อนมาคราวนี้ไหลทะลักราวกับเป็นน้ำตก
ทว่าเท่านี้ยังไม่พอ
ในการหายใจเข้ารอบที่สาม พลังปราณฟ้าดินในระยะเกือบหนึ่งลี้ถูกดูดเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง จำนวนพลังปราณฟ้าดินเพิ่มมากขึ้นเกือบสองเท่าของเมื่อรอบแรก! ความรุนแรงของผลกระทบเพิ่มขึ้นสามถึงสี่เท่า หวังลู่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการที่กระดูกถูกบีบอัดได้อย่างชัดเจน และรู้ดีกว่าเขากำลังบาดเจ็บรุนแรง
แค่เพียงการดูดซับเอาพลังปราณฟ้าดินเข้ามา ถึงกับทำให้กระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ไร้พ่ายเจ็บหนักขนาดนี้ได้ ย่อมจินตนาการออกเลยว่ากระแสพลังปราณฟ้าดินนั้นทรงพลังเพียงใด! ทว่าตามที่หวังลู่คาดการณ์ไว้ เท่านี้ยังไม่เพียงพอ!
เขาต้องดูดซับพลังปราณเข้าไปอีกอย่างน้อยสามรอบ เพื่อที่จะมีพลังสะสมมากพอสร้างกระแสพลังปราณฟ้าดินที่รวบรวมแล้วปลดปล่อยด้วยตัวเอง ทว่าหลังจากทำซ้ำอีกสามรอบ เขาก็กลัวว่าร่างของตนจะสะบั้นเป็นชิ้นๆ ไปเสียก่อน
ทว่าใครใช้ให้เขาฝึกวิชากระบี่กระดูกไร้ลักษณ์เล่า ผู้ที่ฝึกวิชากระบี่ไร้ลักษณ์ย่อมไม่หวาดเกรงต่อการเจ็บปวด ตราบที่การโจมตีนั้นไม่รุนแรงจนยากจะฟื้นตัวได้ บาดแผลที่ได้รับแต่ละจุดยิ่งทำให้กระดูกกระบี่แข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นแม้ขั้นตอนการดูดซับพลังปราณจะเจ็บปวดยิ่งนัก แต่หวังลู่ก็หาได้ใส่ใจไม่
ดังนั้นเมื่อผ่านรอบสี่ รอบห้า รอบหก… ที่พลังปราณฟ้าดินในรัศมีหนึ่งลี้ถูกดูดเข้ามาอย่างบ้าคลั่งราวกับคลื่นยักษ์ หวังลู่ก็รู้ว่าทุกอย่างใกล้จะสมบูรณ์แล้ว
คราวนี้ก็มาถึงส่วนสำคัญเสียที ตรงเส้นแบ่งเขตระหว่างกระแสน้ำขึ้นและกระแสน้ำลง เขาต้องใส่พลังของตัวเองเข้าไป เพื่อสร้างกระแสพลังปราณปลอมซึ่งจะทำให้เกิดกระแสพลังปราณของจริงอีกที… ในการบรรลุสิ่งนี้ เข้าไม่จำเป็นต้องมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง แต่ต้องอาศัยการคำนวณที่แม่นยำและความมั่นใจที่หนักแน่น และสิ่งเหล่านี้ก็คือจุดแข็งของศิษย์แถวหน้าอยู่แล้ว!
ก่อนหน้านี้ที่หุบเขาหูสุนัข หวังลู่จำลองวิธีการทำอยู่หลายต่อหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าการคำนวณของเขานั้นไม่ผิดพลาด เมื่อการปลดปล่อยรอบที่หกใกล้จะสิ้นสุดลง พื้นที่ที่กระแสพลังปราณส่งอิทธิพลไปถึงนั้นขยายออกไปเกินกว่าหนึ่งลี้ ตราบที่เขาใส่พลังหมุนวนในจังหวะที่ถูกต้อง ย่อมทำให้เกิดกระแสพลังปราณที่ถาวรแน่นอน และพลังหมุนวนนี้เขาก็เตรียมไว้อยู่ที่ใต้ฐานเรียบร้อยแล้ว
เมื่อการปลดปล่อยรอบที่หกสิ้นสุดลง มีช่วงสงบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จังหวะนี้เอง หวังลู่ที่กักเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ที่ใต้ฐาน ก็เตรียมปล่อยพลังหมุนวนออกมา ซึ่งจากนั้นในการดูดซับรอบที่เจ็ด มันจะก่อให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมา ทว่าในช่วงเวลานี้เอง…
ฟู่!
ในการรับรู้ของหวังลู่ เมื่อกระแสรอบที่หกหยุดลง และเมื่อพลังปราณฟ้าดินเริ่มจะโคจรตามปกติอีกครั้ง ทันใดนั้นการสั่นไหวที่ผิดธรรมดาก็เกิดขึ้น
นี่มันอะไรกัน! หวังลู่พลันกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที!
การสร้างแท่นบูชาโดยใช้ตบะเซียนขั้นฝึกปราณของเขานั้นต้องพึ่งรากวิญญาณนภาเพียงอย่างเดียว ทุกขั้นตอนเป็นผลมาจากการคิดคำนวณซ้ำหลายๆ ครั้งของหวังลู่ หากแม้เกิดข้อแตกต่างแค่เพียงเส้นผมเดียว ผลที่ได้อาจพลาดจากเป้าหมายที่ตั้งใจไว้นับพันลี้ และแน่นอนว่าการสั่นไหวที่ผิดธรรมดานี้ย่อมเป็นข้อแตกต่างเพียงเส้นผมเดียวที่ว่านั่น!
หวังลู่ไม่มีเวลาครุ่นคิดเหตุผลที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาด เขาเก็บพลังหมุนวนไว้ที่ใต้ฐานตามเดิม และรีบสั่งการไปที่กระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์
ดูดซับเร็วเข้า!
ทางที่ดีที่สุดที่จะแก้ข้อผิดพลาดคือกดมันลงไปในคลื่นกระแสพลังปราณฟ้าดิน! หวังลู่คาดหวังสูงมากในการสร้างแท่นบูชานี้ ดังนั้นมีหรือเขาจะไม่คาดคิดถึงเหตุร้ายเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นจริงๆ แม้ว่าเขาจะแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไร
การดูดซับพลังปราณรอบที่เจ็ดช่วยขจัดร่องรอยของการสั่นสะท้านนั้นไปได้ เมื่อกระแสพลังปราณตกลง และก่อนที่กระแสพลังปราณจะพุ่งขึ้นอีกครั้ง หวังลู่ก็เตรียมพร้อมจะนำพลังหมุนวนที่อยู่ใต้ฐานออกมา แต่ทันใดนั้น…
ฟู่!
การสั่นสะเทือนลึกลับเกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งทำให้หวังลู่เสียจังหวะอย่างสิ้นเชิง! ครั้งนี้ หวังลู่ไม่เพียงรู้สึกกระวนกระวายใจเท่านั้น
ครั้งแรกที่เกิดอุบัติเหตุ อาจพูดได้ว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ว่าหากเกิดอุบัติเหตุติดๆ กันสองครั้ง… เช่นนั้นแล้วย่อมมีเหตุผลอย่างแน่นอน!
ทว่าไม่ว่าเหตุผลจะเป็นเช่นไร ก็ไม่สามารถหยุดหวังลู่จากการตั้งแท่นบูชาได้! เขาสั่งให้กระดูกกระบี่ดูดซับมันไปอีกครั้ง พร้อมหายใจเอาพลังปราณฟ้าดินเข้ามาเป็นรอบที่แปดเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด!
………………………………………………..
ตอนที่ 14 แท่นบูชามิได้สร้างเสร็จในวันเดียว (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครั้งนี้ การไหลเวียนของกระแสพลังปราณสร้างแรงกดมหาศาลให้ร่างกายหวังลู่ ทว่าแม้กระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์จะแข็งแรงเพียงใด แต่ภายใต้การกัดเซาะอย่างบ้าคลั่งของพลังปราณฟ้าดิน มันก็ส่งสัญญาณว่าพร้อมพังทลายได้ทุกเมื่อ
ทว่าคราวนี้หวังลู่ก็ไม่ต่างจากขี่หลังเสือ ตั้งแต่รอบที่หก กระแสพลังปราณไหลไปตามช่องที่ค่อยๆ ทรงพลังมากขึ้น แม้ไม่มีแรงหนุนจากภายนอก กระแสพลังปราณก็จะไหลขึ้นและตกลงมาด้วยตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าความแข็งแกร่งของมันก็จะยิ่งมหาศาลเข้าไปใหญ่! และเข้าใกล้กระแสพลังปราณที่สมบูรณ์แบบเข้าไปทุกที หากเพิกเฉย กระแสพลังปราณอาจจะยิ่งเข้มข้นขึ้น และเมื่อถึงขีดสุด มันอาจจะระเบิดออกมา… ทว่า ก่อนที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น ร่างของหวังลู่คงแตกเป็นชิ้นๆ เพราะกระแสพลังปราณที่บ้าคลั่งไปก่อนหน้านั้นแล้ว
จากการคำนวณของเขา กระดูกกระบี่น่าจะทนรับไหวเพียงแค่รอบที่สิบเท่านั้น หลังจากรอบที่สิบเป็นต้นไป เส้นเอ็นในตัวเขาจะขาดสะบั้น กระดูกจะแตกร้าว และใต้ฐานจะพังทลาย…
ทว่าตอนนี้กระแสพลังปราณหมุนมาถึงรอบที่เก้าแล้ว
หวังลู่ได้แต่หวังว่าอีกสองรอบต่อมา เขาจะหาจุดผิดพลาดและแก้ไขมันทัน แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
การสั่นที่ผิดปกติของพลังปราณนั้นไม่ใช่เรื่องหลอก เพราะมันจะสั่นทุกครั้งที่กระแสพลังปราณผ่อนลง ณ จุดหนึ่ง จากที่หวังลู่ศึกษามา มันเหมือนกับว่าไปสัมผัสโดนเส้นฮวงจุ้ยอย่างไม่ตั้งใจ
เรื่องนี้ค่อนข้างน่าแปลกเพราะหลายวันที่อยู่ในหุบเขาหูสุนัข หลังลู่ได้ตรวจสอบเส้นฮวงจุ้ยเกือบทั้งหมดแล้ว หนำซ้ำเขายังพยายามหารูปแบบของพลังปราณฟ้าดินอีกด้วย ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่กล้าที่จะตั้งแท่นบูชานี้ขึ้นมา หากว่ามีเส้นฮวงจุ้ยแอบซ่อนอยู่ในหุบเขาหูสุนัขนี้ เขาย่อมต้องเห็นมันตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว
โชคร้ายว่าหากเป็นเช่นนั้น เขาคงจะโทษใครไม่ได้นอกจากโทษสายตาตัวเอง ขณะที่หวังลู่กำลังเค้นหาสาเหตุของความผิดพลาดอย่างหนัก การปะทะรอบที่เก้าก็ได้เริ่มขึ้น
เขาเกือบสลบไปเพราะความเจ็บปวดแสนสาหัส แต่ทว่าการกระตุ้นที่รุนแรงทำให้เขาได้ความคิดบางบางอย่างฉับพลัน หากเขากำจัดข้อผิดพลาดนี้ไม่ได้ เขาสามารถรวมข้อผิดพลาดนี้ไปในกระบวนการสร้างกระแสพลังปราณได้หรือไม่ หากเขาปรับเปลี่ยนการคำนวณแรกเริ่มเพื่อรวมจุดผิดพลาดเข้าไป เขาอาจจะลดความแตกต่างของผลลัพธ์และยังสามารถสร้างกระแสพลังปราณได้อยู่ ตอนนี้ปัญหาเดียวก็คือ เขามีเวลาเหลือพอให้ปรับเปลี่ยนการคำนวณหรือไม่
เพราะรอบที่สิบของกระแสพลังปราณเริ่มขึ้นแล้ว
ในทางทฤษฎี ขีดจำกัดที่หวังลู่จะรับได้คือรอบที่สิบนี้ ทว่าตอนนี้เพียงรอบที่เก้าก็ทำให้เขาเกือบสิ้นสติแล้ว และแน่นอนว่ารอบที่สิบนั้นยิ่งต้องทรงพลังกว่ารอบที่เก้า ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะหมดสติเมื่อรอบที่สิบเอ็ดมาถึง
ทว่าในเวลานี้ ตื่นตระหนกไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ในวิกฤตที่กำลังเป็นอยู่นี้ หวังลู่ตั้งจิตให้มั่น กระดูกจักรพรรดิของเขาหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ส่งคำสั่งไปยังกระดูกกระบี่ชิ้นอื่นอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทำตาม กระดูกแต่ละชิ้นจัดองศาของตัวเอง และปล่อยพลังปราณฟ้าดินอกมาไม่หยุดหย่อนเพื่อเตรียมรับมือการกระทบกระเทือนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ในทางทฤษฎี รอบที่สิบเอ็ดจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกน และโอกาสรอดของหวังลู่มีเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น ทว่าจิตวิญญาณของนักผจญภัยมืออาชีพก็สะท้อนให้เห็น ณ ที่นี้แล้ว แม้โอกาสรอดจะมีเพียงแค่หนึ่งส่วน แต่ก็คุ้มที่เขาจะใส่ความพยายามร้อยส่วนลงไป
และในขณะที่หวังลู่พร้อมเผชิญบททดสอบของเวลา ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันอีกอย่างขึ้น
กระดูกกระบี่ออกมาจากฝัก
ตอนนี้กระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ของหวังลู่อยู่ในขั้นที่เก้า ความจริงแล้ว กระดูกสองร้อยหกชิ้นของเขาส่วนใหญ่เป็นเพียงกระดูกฝักกระบี่เท่านั้น กระดูกกระบี่จริงๆ มีเพียงแค่หยิบมือ กระจายอยู่ที่มือทั้งสองข้าง ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้วิชากระบี่ไร้ลักษณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทว่าหน้าที่จริงๆ ของมันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเอามาใช้เล่นๆ ขั้นต่อไปควรจะเป็น ‘กระบี่ออกจากฝัก’ ‘เปลี่ยนตั้งรับให้เป็นจู่โจม’ เพื่อเพิ่มพูนทักษะการตั้งรับ ซึ่งจะเป็นในขั้นที่สิบ
ตอนแรกหวังลู่คิดว่ากระดูกทั้งสองร้อยหกชิ้นต้องเปลี่ยนเป็นกระดูกกระบี่ที่แท้จริงทั้งหมดเสียก่อนจึงจะสลัดฝักได้ เรื่องนี้อาจารย์ของเขาเองก็ยืนยันมาเช่นกัน ทว่าในช่วงเวลาวิกฤตนี้ กระดูกกระบี่กลับออกมาจากฝักเองโดยไม่มีคำสั่งจากกระดูกจักรพรรดิด้วยซ้ำ สร้างความงุนงงให้หวังลู่ยิ่งนัก
ทว่านี่ถือเป็นเรื่องดี กระดูกกระบี่อยู่ในฝักและอยู่นอกฝักถือเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง! หากกระดูกกระบี่สลัดออกจากฝัก มันต้องใช้พลังปราณฟ้าดินเป็นจำนวนมาก ซึ่งช่วยลดแรงกดได้จำนวนมหาศาล!
กระบี่ทอนคลื่นพลังปราณขนาดมโหฬารลง นี่คือพลังของกระบี่ที่อยู่นอกฝัก… แม้ขั้นของกระดูกกระบี่ทั้งสองร้อยหกชิ้นจะยังไม่สมบูรณ์อีกทั้งยังขาดการฝึกฝน แต่เมื่อเผชิญกับคลื่นพลังปราณฟ้าดินที่พุ่งเข้ามาในทุกทิศทุกทาง แม้มันจะสำแดงพลังได้ไม่เต็มร้อย แต่โดยรวมแล้ว แรงกดของหวังลู่ก็เหลือเพียงสามถึงสี่ส่วนเท่านั้น! ซึ่งแปลว่าเขาสามารถต้านทานกระแสพลังปราณได้อย่างน้อยอีกสองรอบ หนำซ้ำระหว่างที่กระดูกกระบี่พัฒนาขึ้นอย่างปุบปับ ฝักกระบี่ก็ถูกดึงให้ประสานกับพลังปราณมากยิ่งขึ้น ทำให้รอยร้าวที่เกิดขึ้นก่อนหน้ามลายไปในทันใด…
หวังลู่ฉวยโอกาสนี้ปรับเปลี่ยนการคำนวณอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เปลี่ยนโครงสร้างของพลังหมุนวนที่ใต้ฐาน ไม่นานนัก พลังหมุนวนที่สมบูรณ์แบบชุดใหม่ก็ถูกผลิตขึ้น สิ่งต่อไปที่เขาต้องทำคือดึงพลังหมุนวนออกมา และกระแสพลังปราณที่สมบูรณ์แบบก็จะปรากฏขึ้น
จากนั้น…แท่นบูชาในอุดมคติก็จะถือกำเนิดขึ้นมา
สำหรับแท่นบูชาประจำสำนักแล้วนั้น หวังลู่เลือกแท่นบูชากลั่นหยก ซึ่งเป็นแท่นบูชาระดับหกอย่างใส่ใจเต็มที่ ระดับการหลอมพลังปราณฟ้าดินของแท่นบูชานี้ถือว่าสูงมาก จนแม้แต่ในสถานที่อย่างหมู่บ้านตระกูลหวังที่ความเข้มข้นของพลังปราณฟ้าดินยังไม่อาจเรียกว่าแดนสวรรค์ที่แท้จริง ก็ยังสามารถผลิตศิลาวิญญาณชั้นสูงและวัตถุดิบมีค่าอื่นๆ ได้มากมาย
แน่นอนว่าหวังลู่ไม่ได้สนใจศิลาวิญญาณชั้นสูงหรือวัตถุดิบมีค่าอื่นๆ อะไรนั่นสักเท่าไร แต่ที่เขาเลือกแท่นบูชากลั่นหยกก็เพราะ มันเป็นแท่นบูชาประเภทเดียวที่ใช้ตบะขั้นฝึกปราณระดับต่ำของเขาในการสร้างได้ ส่วนจุดสำคัญในการสร้างกระแสพลังปราณคือแรงกดจำนวนมหาศาลของพลังปราณฟ้าดิน ซึ่งเป็นความสามารถพิเศษของหวังลู่ ดังนั้นแท่นบูชาประเภทนี้จึงเหมาะเจาะกับหวังลู่ที่สุดนั่นเอง
เมื่อกระแสพลังปราณที่รุนแรงรอบสุดท้ายมาถึง หวังลู่ก็ดึงเอาพลังหมุนวนออกมาจากใต้ฐาน ในเสี้ยวนาทีนั้นเอง มันก็ชนเข้ากับพลังปราณฟ้าดิน และทำให้เกิดปฏิกริยาสะท้อนกลับที่น่าพิศวง วัตถุดิบสำหรับตั้งแท่นบูชาที่กระจายอยู่รอบตัวเขาเริ่มหมุนวนกลางอากาศอย่างช้าๆ วัตถุดิบเหล่านี้เคลื่อนที่ได้เพราะการผสานกันระหว่างพลังปราณและพลังหมุนวน พวกมันแตกออกจากกันและกลับมารวมกันอีกครั้งเพื่อประกอบเป็นฐานของแท่นบูชา และในชั่วเวลานั้นเองที่รูปทรงของแท่นบูชาปรากฏขึ้นมา!
ทว่าในขณะนั้นเอง ภายใต้ระยะมองเห็นของหวังลู่ ก็เกิดการผันผวนที่ผิดปกติขึ้น!
ระยำ! อีกแล้วหรือ!? หวังลู่ไม่มีเวลาจะมารู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาเห็นแหล่งที่มาของอาการผันผวนนั่นแล้ว
รอบสุดท้ายของการหมุนวนของกระแสพลังปราณ ระยะของพลังปราณฟ้าดินได้ขยายออกไปไกลถึงลี้ครึ่ง ซึ่งช่วยให้เขาจับที่มาของความผันผวนนี้ได้
ต้นกำเนิดของความผันผวนนั้นมาจากบ้านของเขานั่นเอง! แน่นอนว่าไม่ใช่บ้านที่อยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้าน ภายใต้บ้านเก่าที่เขาถือกำเนิดขึ้น ก้อนหินรูปร่างประหลาดที่แปลกตาไปจากก้อนหินทั่วไปถูกฝังลงในดินไว้อย่างลวกๆ ทว่าในการปะทะที่แสนรุนแรงรอบสุดท้ายของพลังปราณฟ้าดิน มันกลับถูกพัดขึ้นมา ทำให้พลังปราณเกิดอาการผันผวน ส่วนก้อนหินก็แตกออกกลายเป็นรูปร่างของกระบี่!
หวังลู่ยิ้มหยันให้กับตัวเอง ก้อนหินก้อนนี้เขาเป็นคนฝังไว้เองเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นเขารู้สึกเศร้าโศกอย่างมาก ราวกับว่าได้ฝังชีวิตของตนทั้งชีวิตลงไป… โชคร้ายที่ตอนนั้นเขายังเด็กมากทั้งร่างกายและจิตใจ ความทรงจำก็เลือนราง หลังจากนั้นเขาก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสิ้น
หินก้อนนั้นคือเศษดาวหางที่ประเมินค่าไม่ได้! มันกักเก็บพลังงานประหลาดเอาไว้ ในฐานะนักผจญภัยมืออาชีพ ตอนที่เขาคำนวณกระแสพลังปราณ เขาลืมปัจจัยนี้ไปเสียสนิท! เป็นการคำนวณที่ผิดพลาดแท้ๆ!
โชคร้ายที่ครั้งนี้ทุกอย่างสายไปแล้ว เศษชิ้นส่วนนั่นถูกพลังปราณฟ้าดินที่รุนแรงกวาดขึ้นมา และพุ่งตรงใส่เขาด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ จนแม้กระทั่งเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็ตอบสนองไม่ทัน
ทว่าภายในชั่วพริบตาเดียว เศษชิ้นส่วนนั่นก็ถูกพลังปราณฟ้าดินกลืนเข้าไปแล้วถูกดึงไปยังใจกลางของกระแสพลังปราณ
ตอนแรก รูปทรงของแท่นบูชากลั่นหยกปรากฏให้เห็นแล้ว ทว่าเมื่อถูกวัตถุนอกโลกรุกราน มันก็บิดเป็นเกลียวในทันใด!
หวังลู่เม้มปากแน่น หลังจากสู้กับตัวเองอยู่พักใหญ่ เขาก็ตัดสินใจในทันใด เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดในใจ
‘ระยำ! บิดาเจ้าคนนี้ช่างหัวเจ้าละโว้ย!’
………………………………….
ตอนที่ 15 แท่นบูชาปฐมกลียุค
โดย
Ink Stone_Fantasy
การระเบิดรุนแรงที่คาดคิดเอาไว้มิได้เกิดขึ้น
หวังลู่หลับตา กอดอกแน่น ปรับการตั้งรับของกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์จนถึงขั้นสุด แต่สิ่งที่ประสบคือความเงียบผิดปกติที่อยู่รอบตัว
อึดใจถัดมา เสียงลังเลของหญิงสาวก็ทำลายความเงียบนี้ลง “หวัง… เอ่อ เจ้าสำนัก ท่านกำลังทำพิธีกรรมอะไรอยู่กันแน่”
หวังลู่ลืมตาขึ้น แล้วก็พบกับใบหน้ากึ่งเย้าแหย่กึ่งสงสัยของธิดาเทพเฟิงหลิง เขาจึงผินหน้าไปอีกทาง ทัศนียภาพของหมู่บ้านตระกูลหวังและเทือกเขาที่อยู่รายรอบยังคงงดงามเช่นเดิม
ไม่มีการระเบิด ไม่มีพายุรุนแรงของห้วงพลังปราณฟ้าดิน ข้างๆ เขา ดวงแก้วสีเทาขนาดสูงเท่าคนนอนอยู่บนพื้น
หวังลู่กระแอม โบกไม้โบกมือให้ตาแก่ลามกและคนอื่นๆ แสดงบทบาทต่อ ตาแก่รู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้น จึงพยักหน้าและร่วมมือกับอู้เฟยฮวาร่ายมนต์ลวงตารอบหวังลู่ในระยะ 5 วาเอาไว้
สิ่งนี้เป็นแผนที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า เมื่อใดที่แท่นบูชาสร้างเสร็จสมบูรณ์ พวกเขาจะใช้มนต์ลวงตาบังมันไว้ เพื่อไม่ให้พวกชาวบ้านได้เห็นตำหนิแม้เพียงน้อยนิดที่อาจมี
ทันทีที่มนต์ลวงตาทำงาน หวังลู่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เขาเอื้อมมือไปสัมผัสผิวนอกของดวงแก้วอย่างสงสัย ทันใดนั้น ดวงจิตขั้นปฐมของเขาก็สั่นสะท้าน!
หวังลู่ประหลาดใจที่ดวงแก้วสีเทาและดวงจิตขั้นปฐมได้สร้างสายใยที่มิอาจแยกออกจากกันขึ้นมา ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกถึงแรงดึงดูดแผ่วเบา และพลังปราณฟ้าดินที่อยู่รอบๆ ก็ถูกดูดเข้าไปในดวงแก้วอย่างช้าๆ ผ่านไปครู่หนึ่งพลังปราณฟ้าดินก็กระจายออกอีกครั้ง… แม้จะมีขนาดเล็ก แต่นี่คือคุณสมบัติของกระแสพลังปราณไม่ผิดแน่!
หลังจากจ้องมองอย่างประหลาดใจ หวังลู่ก็อ้าปากค้าง แสดงให้เห็นสีหน้ายากเกินจะเชื่อ
“ระยำ! นี่…นี่คือแท่นบูชาชนิดพิเศษหรือ”
แท่นบูชานี้ควรจะเป็นแท่นบูชากลั่นหยกที่สมบูรณ์แบบ แต่หลังจากที่เศษดาวหางพิลึกนั่นถูกดูดรวมเข้าไป มันก็กลายมาเป็นสิ่งนี้!? เจ้านี่มันอะไรกัน ยังมีแท่นบูชาชนิดอื่นในอาณาจักรเก้าแคว้นอีกหรือ
หวังลู่ทบทวนสารานุกรมแท่นบูชาที่เคยอ่านมาของลู่หลี แต่ดูเหมือนไม่มีบันทึกของสิ่งที่หน้าตาคล้ายเจ้านี่อยู่ ส่วนตำราโบราณอย่าง ตำรารวบรวมของแปลกของอาณาจักรเก้าแคว้น ก็ไม่เคยเอ่ยถึงการมีอยู่ของแท่นบูชาทรงกลม… แม้เขาจะเป็นศิษย์แถวหน้าผู้คงแก่เรียนของสำนักกระบี่วิญญาณ แต่หวังลู่ก็มิอาจระบุได้ว่าเจ้าแท่นบูชานี้มีดีอย่างไร!
ทว่าการที่ไม่อาจระบุได้ตามความรู้ที่มีอยู่ในตำราไม่ได้แปลว่าเขาจะหาคุณงามความดีของเจ้าสิ่งนี้ไม่ได้ การตรวจสอบที่เกิดเหตุก็เพียงพอที่จะระบุได้แล้ว หวังลู่หลับตา จากนั้นดวงจิตขั้นปฐมของเขาก็ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในดวงแก้วนี้ เมื่อเขาใช้ความรู้ที่มีตรวจสอบโครงสร้างภายในของสิ่งนี้ผ่านสายใยที่เชื่อมต่อกัน เขาก็จะสามารถตัดสินคุณสมบัติของแท่นบูชานี้ได้
ทว่าเมื่อดวงจิตขั้นปฐมของเขาเข้ามาสู่ภายใน เขาก็พบว่าภายในของแท่นบูชาทรงกลมนี้โกลาหลวุ่นวายยิ่งนัก! ทันทีที่พลังปราณฟ้าดินถูกดูดเข้ามา มันก็กลายเป็นบางสิ่งที่ยุ่งเหยิงในทันที ทำให้เขาไม่สามารถตรวจสอบได้แม้เพียงนิด!
“เหอะ เป็นแท่นบูชาที่ไม่เหมือนใครจริงๆ เป็นชนิดดีงามชั้นสูงเสียด้วย!”
เมื่อไม่อาจตรวจสอบโครงสร้างภายใน จึงไม่อาจวิเคราะห์คุณสมบัติของแท่นบูชานี้ได้ ทว่าเมื่อดูจากความหนาแน่นของกระแสพลังปราณ รวมถึงความแตกต่างของการดูดซับและปลดปล่อยพลังปราณ หวังลู่ก็ตัดสินคร่าวๆ ว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นแท่นบูชาระดับหกหรือเจ็ด
เจ้าสิ่งนี้แย่กว่าแท่นบูชากลั่นหยกเล็กน้อย… หวังลู่ค่อนข้างผิดหวัง ทว่าเขากลับพบความไม่ธรรมดาของมันอย่างรวดเร็ว
แม้ความหนาแน่นของกระแสพลังปราณจะต่ำ แต่ทุกครั้งที่มีการดูดซับและปลดปล่อยพลังปราณฟ้าดิน… ดูเหมือนว่าปริมาณของพลังปราณฟ้าดินในแต่ละรอบจะมากกว่ารอบก่อนหน้านั้นเล็กน้อย หวังลู่อดทนรอคอยจนถึงรอบที่สิบ และความสามารถในการหยั่งรู้ถึงพลังปราณฟ้าดินที่เฉียบคมของเขาก็ช่วยยืนยันเรื่องนี้ได้
เขาเคยอ่านคุณสมบัติของแท่นบูชานี้ในตำรามาก่อน มันอธิบายได้ด้วยคำคำเดียว คือเป็นประเภทงอกเงย!
“น่าสนใจ…”
ในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนมีกฎที่ไม่ได้บันทึกไว้ นั่นคือสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นอาวุธวิเศษ กระบี่บิน หรือแท่นบูชา… หากมันอยู่ใน ‘ประเภทงอกเงย’ มูลค่าของมันจะเพิ่มเป็นเท่าทวีในทันที! เพราะสมบัติประเภทนี้ถือว่าหายากยิ่ง!
มีแท่นบูชาประเภทงอกเงยเพียงหยิบมือเดียวในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน เมื่ออนุมานตามประสบการณ์ของเขา หากแท่นบูชาที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ที่เป็นระดับหกหรือเจ็ดพัฒนาศักยภาพอย่างเต็มขั้นแล้ว ไม่ถือว่าผิดปกติหากจะสามารถพัฒนาขึ้นได้อีกหนึ่งหรือสองระดับจากระดับดั้งเดิม ดังนั้นผลที่ออกมาจึงถือว่าดีกว่าที่เขาคาดหวังไว้มาก
ตอนนี้ปัญหาเดียวที่มีก็คือ แม้ดวงแก้วนี้จะสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้ แต่โครงสร้างภายในของมันปั่นป่วนยุ่งเหยิงยิ่งนัก ดังนั้นผลลัพธ์ที่ได้จึงไร้แบบแผนเกินจะคาดเดา หวังลู่พยายามร่ายอาคมไปเจ็ดแปดอาคมเพื่อกระตุ้นมัน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
“ระยำเถอะ! เป็นแท่นบูชาชั้นเลิศไม่ใช่รึ!?”
ในเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล เขาจึงเปลี่ยนมาใช้ไม้แข็งแทน หวังลู่ถอนใจ ชักเท้าขวากลับแล้วเตะดวงแก้วดังกล่าวเต็มแรง
ทันใดนั้น ดวงแก้วก็สั่นสะท้านขึ้นมา จากนั้นก็หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานส่วนบนของมันก็เปิดออก สิ่งหนึ่งกระเด็นออกมาและตกลงสู่พื้น มันสุกใสวับวาวเป็นที่สุด
หวังลู่มองตามลงไป “สวรรค์! นี่มันศิลาวิญญาณชั้นสูงมิใช่หรือ ดูจากความสามารถในการแปลงรูปแล้ว หมายความว่ามันสามารถแปลงวัตถุวิเศษระดับแปดหรือสูงกว่านั้นออกมาได้! ประสิทธิภาพในการแปลงรูปของมันถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว!”
หวังลู่เอื้อมไปและปล่อยพลังปราณฟ้าดินจำนวนหนึ่งลงไปในแท่นบูชาด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็เตะแท่นบูชา ดวงแก้วจึงเริ่มหมุนอีกรอบ อึดใจถัดมา มันก็ส่งเสียงดัง พร้อมพ่นวัตถุสิ่งหนึ่งออกมาทางด้านบนอีกครั้ง สิ่งนั้นหล่นลงบนพื้น ปรากฏว่าเป็นถ่านสีดำสนิทหนึ่งก้อน!
“ระยำแท้! พ่นถ่านออกมาเนี่ยนะ!? แท่นบูชานี่เอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ!?”
หลังจากนั้น หวังลู่ก็เทพลังปราณฟ้าดินลงไปกลุ่มใหญ่ แต่คราวนี้ดวงแก้วกลับไม่ยอมขยับ หลังจากนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง หวังลู่ก็ตระหนักได้ว่าสองสิ่งที่ถูกพ่นออกมาอาจจะเป็นการแปลงรูปของกระแสพลังปราณที่ยังตกค้างอยู่ขณะที่ดวงแก้วกำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นก็เป็นได้ ดังนั้นพอเขาใส่พลังปราณของตนเข้าไปเอง ปริมาณของพลังปราณอาจมีไม่พอที่จะทำให้เกิดการแปลงรูปได้
ทว่าหวังลู่กลับไม่ยี่หระ แม้ขั้นตบะของเขาจะต่ำเตี้ย พลังปราณในตัวอาจไม่เพียงพอ แต่เขามีศิลาวิญญาณล้นเหลือ หวังลู่หยิบศิลาวิญญาณจำนวนหนึ่งออกมาจากย่ามสีเหลืองหม่น จากนั้นก็หลอมมันให้กลายเป็นพลังปราณฟ้าดินและใส่มันลงไปในดวงแก้ว พอทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง เขาก็รู้สูตรของแท่นบูชานี้ได้คร่าวๆ ผลลัพธ์ที่ได้จากแท่นบูชานั้นไร้แบบแผน ทว่าจำนวนพลังปราณฟ้าดินที่ต้องการเพื่อให้ดวงแก้วทำงานและพ่นวัตถุออกมาน่าจะเท่าๆ กับพลังปราณฟ้าดินที่อยู่ในศิลาวิญญาณระดับมาตรฐานหนึ่งร้อยสามสิบศิลาวิญญาณ
หากเขาใส่พลังปราณฟ้าดินลงในดวงแก้วต่ำกว่าปริมาณดังกล่าว แม้ว่าเขาจะเตะดวงแก้วแรงเท่าใดมันก็ไม่ขยับ หากใส่พลังปราณลงไปมากกว่าปริมาณดังกล่าว แท่นบูชาจะกักเก็บพลังปราณส่วนที่เหลือไว้ และหากใส่พลังปราณลงไปมากกว่าที่จำเป็นหลายเท่า แท่นบูชาก็จะพ่นสิ่งของออกมาหลายรอบ
ในความคิดของหวังลู่ แท่นบูชาทรงกลมนี้ก็เหมือนกล่องเสี่ยงทายรางวัล หากจ่ายหนึ่งร้อยสามสิบศิลาวิญญาณ ก็จะได้หมุนวงล้อสุ่มรางวัล แต่ช่วงต่างของรางวัลนั้นมหึมา… เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยกับของพรรค์นี้พิกล!?
หวังลู่นิ่งอึ้งไปอึดใจใหญ่ จากนั้นก็กัดฟันแน่น เขาควานหยิบศิลาวิญญาณทั้งหมดออกจากย่ามสีเหลืองหม่นโดยไม่เหลือแม้สักก้อน มูลค่าน่าจะหลายร้อยศิลาวิญญาณได้ จากนั้นก็หลอมจนกลายเป็นพลังปราณฟ้าดินแล้วใส่เข้าไปในดวงแก้ว ปริมาณของศิลาวิญญาณในครั้งนี้มากเสียจนตาแก่ลามกและคนอื่นๆ ที่ล้อมวงยืนมองหวังลู่อยู่อดที่จะตาเหลือกไม่ได้!
ศิลาวิญญาณชั้นเยี่ยมอีกหลายร้อย!? เพื่อสังเวยเป็นเชื้อเพลิงให้แท่นบูชานี่… “โอ้ ท่านผู้จัดการ ท่านเป็นจอมสุรุ่ยสุร่ายของสำนักกระบี่วิญญาณโดยแท้!? ทุกคนต่างรู้ว่าความสำคัญของแท่นบูชาอยู่ที่ความสามารถในการควบรวมพลังปราณฟ้าดินออกมาเป็นศิลาวิญญาณและสิ่งอื่นๆ แต่ท่านกลับทำตรงกันข้าม ถลุงศิลาวิญญาณจนหมดสิ้น!”
หลังจากที่หวังลู่เทศิลาวิญญาณทั้งหมดลงในแท่นบูชา ดวงแก้วสีเทาก็ลอยหวือราวกับกำลังเผาไหม้ด้วยศิลาวิญญาณชั้นเยี่ยม จากนั้นมันก็หมุนวนอย่างรุนแรง โดยที่ไม่ต้องให้ใครมาแตะด้วยซ้ำ
อึดใจถัดมา หวังลู่ที่คาดหวังอย่างเต็มเปี่ยมก็เห็นว่าส่วนบนของมันเปิดออก และมันพ่นวัตถุออกมาหนึ่ง สอง สาม…สิบเอ็ดรอบ!
หวังลู่ยินดีเป็นล้นพ้น เมื่อครู่จำนวนศิลาวิญญาณชั้นสูงที่เขาใช้ไปคือหนึ่งร้อยยี่สิบแปดศิลาวิญญาณ เทียบเท่ากับศิลาวิญญาณชั้นมาตรฐานหนึ่งพันสองร้อยแปดสิบศิลาวิญญาณ ซึ่งขาดไปเล็กน้อยในการจะผลิตสิ่งของวิเศษให้ได้สิบชิ้น แต่นี่แท่นบูชากลับให้รางวัลพิเศษเขามาหนึ่งชิ้นด้วย!
ส่วนสิ่งของที่ได้มานั้น…
หวังลู่เหลือบตาดูก้อนกรวดห้าก้อนบนพื้นอย่างปลงๆ เรียกว่าก้อนกรวดอาจฟังดูรุนแรงเกินไป เพราะความจริงมันคือศิลาวิญญาณบิ่นๆ ซึ่งเทียบมูลค่ากับศิลาวิญญาณชั้นต่ำยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ทว่าภายในก็มีพลังปราณฟ้าดินอยู่พอสมควร ซึ่งถือเป็นอาหารชั้นดีสำหรับตาแก่ลามกและคนอื่นๆ หากไม่ติดว่ามันเป็นศิลาวิญญาณที่เสียหาย ก็น่าจะมีค่าสูงถึงสิบศิลาวิญญาณชั้นสูง
เจ้าของห้าชิ้นนี้ถือเป็นความสูญเสียใหญ่หลวงของหวังลู่ แน่นอนว่าการใช้ศิลาวิญญาณเป็นเชื้อเพลิงให้แท่นบูชาซึ่งปกติมีหน้าที่เพียงแค่แปลงรูปพลังปราณฟ้าดินอย่างไรเสียก็ขาดทุน ความดีงามของแท่นบูชาอยู่ที่การแปลงรูปพลังปราณฟ้าดินที่คงที่ ทว่าหากมิใช่แท่นบูชาระดับสูง อัตราการแปลงรูปก็มักจะทำให้ประสาทเสียได้
นอกจากก้อนกรวดหักๆ ห้าก้อนนั้นแล้ว ยังมีแผ่นเหล็กสีดำสนิทอีกสองแผ่น หวังลู่ที่มีดวงตาแหลมคม รู้ได้ในทันทีว่ามันเป็นวัตถุดิบที่มีค่าที่สุดในยุทธภพของโลกมนุษย์ นั่นคือเหล็กนิลดำ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของกระบี่เหล็กนิลดำของเจ้าอ้วนนั่นเอง… ทว่าในโลกแห่งเซียน มันเทียบเท่ากับอาวุธชั้นดีทั่วไปเท่านั้น
ที่ข้างๆ แผ่นเหล็กนิลดำ ยังมีก้อนโคลนเมฆาหนึ่งก้อน น้ำแข็งแห้งหนึ่งก้อน หินเหล็กไฟหนึ่งชิ้น ของเหล่านี้จัดเป็นสิ่งของวิเศษระดับแปดไม่เกินนี้
เมื่อได้เห็นของพวกนี้ ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาก็รู้สึกตื้นตัน! อย่างไรเสียมันก็เป็นถึงสิ่งของวิเศษระดับแปด! แท่นบูชาของสำนักเจ็ดดาราที่ครอบด้วยค่ายกลห้าธาตุนั้นไม่อาจควบรวมสิ่งของวิเศษระดับเก้าออกมาได้ด้วยซ้ำ!
ทว่าหวังลู่กลับเหลือบมองสิ่งเหล่านั้นเพียงแวบเดียว สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่วัตถุชิ้นสุดท้ายเท่านั้น
มันคือเม็ดยาสีแดงวาวกระจ่างใสรูปทรงกลมเกลี้ยง มีพลังวิญญาณเคลื่อนไหวราวกับคลื่นอยู่ภายในนั้น หวังลู่ถอนหายใจ เขารู้ได้ในทันที มันคือโอสถเมฆานที ยาอายุวัฒนะระดับห้า
ไม่มีใครล่วงรู้มาก่อนว่าดวงแก้วธรรมดาๆ นี่จะสามารถใช้พลังปราณฟ้าดินเป็นวัตถุดิบในการควบรวมโอสถระดับห้าออกมาได้ กระบวนการทำงานของมันช่างไม่มีหลักการแม้แต่น้อย แถมสิ่งที่นำเข้าไปกับสิ่งที่ได้ออกมายิ่งไม่มีหลักการเข้าไปใหญ่! หากนำยาอายุวัฒนะระดับห้านี่ไปขายที่หอนภาเร้นลับ ก็น่าจะได้เงินอย่างน้อยสักหนึ่งพันศิลาวิญญาณระดับมาตรฐาน!
หวังลู่มิอาจกลั้นขำได้อีกต่อไป เขาส่ายศีรษะ “ได้ของมาสิบเอ็ดชิ้นจากการเขย่าเพียงครั้งเดียว หึ ถือว่าโชคไม่เลวเลยทีเดียว”
จากสัดส่วนของสิ่งที่ใส่เข้าไปและสิ่งที่ได้มา ผลลัพธ์ถือว่าสวรรค์บันดาลอย่างแท้จริง! เมื่อดูจากศิลาวิญญาณที่ใส่เข้าไปและศิลาวิญญาณที่ได้ออกมา แม้แท่นบูชาชั้นยอดยังให้ผลลัพธ์ที่ขาดทุนไปสองถึงสามส่วน ส่วนแท่นบูชาระดับหกและเจ็ด ผลลัทธ์ที่ได้ย่อมขาดทุนไปมากกว่าครึ่ง ทว่าหวังลู่กลับได้สิ่งของออกมาถึงสิบเอ็ดอย่าง แม้ความจริงสิ่งของทั้งสิบเอ็ดอย่าง จะมีเพียงอย่างสุดท้ายซึ่งคือยาอายุวัฒนะระดับห้าที่มีมูลค่า ทว่าหากวัดตามมาตรฐานของตาแก่ลามก การที่สามารถผลิตวัตถุวิเศษระดับแปดออกมาได้ถือว่าเป็นการเขย่าที่ยอดเยี่ยมแล้ว! ดังนั้นท่ามกลางสิ่งของสิบเอ็ดชิ้นของหวังลู่ หกชิ้นนับว่าเป็นการเขย่าที่ดีเยี่ยม ทั้งอีกหนึ่งชิ้นยังเป็นการเขย่าชั้นเลิศอีกด้วย หากไม่เรียกว่าสวรรค์บันดาลจะเรียกว่าอะไรได้อีก
หวังลู่เริ่มพูดโอ่ถึงความสำเร็จว่า “ไม่เลว” โชคร้ายที่ไม่มีใครกล่าวตาม ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสำราญใจเท่าไร
หลังจากที่หยิบวัตถุวิเศษและยาอายุวัฒนะขึ้นจากพื้น หวังลู่ก็ไม่คิดจะทดสอบดวงแก้วอีก ด้านหนึ่งเขาไม่อยากผลักโชคตัวเองทิ้ง อีกด้านคือนี่ไม่ใช่เวลาจะมาเสี่ยงโชค เขายังเป็นนักแสดงที่กำลังแสดงอยู่บนเวที เขาจึงจำต้องทำการแสดงต่อ ละครเรื่องนี้มีจุดด่างพร้อยมากพอแล้ว ถึงเวลาต้องจบเสียที
ดังนั้น น้ำเสียงเฉื่อยของหวังลู่จึงดังก้องไปทั่วหมู่บ้าน “แท่นบูชานี้ทำจากสายฟ้าที่กำเนิดจากสวรรค์ ซึ่งข้าเก็บไว้เมื่อครั้งเกิดกลียุคในครั้งก่อน มันรวบรวมแหล่งกำเนิดแสนมหัศจรรย์ของสรรพสิ่งในสากลโลก… ซึ่งข้าจะเรียกว่าแท่นบูชาปฐมกลียุค บัดนี้แท่นบูชาสร้างเสร็จเรียบร้อย ขอพวกเจ้าจงประจักษ์ความมหัศจรรย์ด้วยตาตนเอง”
จากนั้นเขาก็แอบขยิบตาให้ตาแก่ลามก อีกฝ่ายเข้าใจในทันทีและยุติมนต์ลวงตา จากนั้นก็ร่ายคาถาพรางตาใส่หวังลู่ เพื่อให้ดูว่าเขากลับสู่โลกแห่งเซียนไปแล้ว
เมื่อได้ประจักษ์ด้วยตาตัวเองจากระยะไกล เหล่าชาวบ้านผู้โง่เขลาก็ต่างพากันหมอบกราบแท่นบูชาดังกล่าว
หวังลู่ที่กำบังกายอยู่เหยียดยิ้ม พลางคิดในใจ ‘เอาเลย คำนับข้า คำนับวัตถุสวรรค์ประทานทั้งหก! พวกเจ้าชื่นชอบมันใช่ไหมเล่า! เจ้าพวกคนสติปัญญามีจำกัดเอ๋ย จงทำตัวให้ดีเถิด ไม่แน่ว่าพวกเจ้าอาจจะอยู่รอดก็เป็นได้!’
……………………………………………
ตอนที่ 16 ผู้เบิกทางหนึ่งล้านคน (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่สร้างแท่นบูชาปฐมกลียุคเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตาแก่ลามกและคนอื่นๆ อยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหวังต่อ สถานที่ที่เลือกไว้คือบ้านของตระกูลหวังลู่หลังเดิม แน่นอนว่าหวังลู่เป็นคนเลือกที่นี่ด้วยตนเอง
ความจริงแล้วตามแผนการเดิม หวังลู่ต้องการยึดที่อยู่ของหวังต้าฟู่ ชายผู้ที่รวยเป็นอันดับสองของหมู่บ้านคนนี้เป็นตัวปัญหามาตลอดสองปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตั้งแต่เมื่อเจ้าหวังเสี่ยวหูไปเข้าพวกกับแก๊งต้มตุ๋นพวกนั้น หายนะที่พวกเขาชักนำเข้าสู่หมู่บ้านถือว่าไม่ใช่เบาๆ ดังนั้นการยึดเอาทรัพย์สมบัติของคนพวกนี้ก็ถือว่าถูกต้องและสมควรแล้ว
ทว่าเมื่อกระแสพลังปราณปรากฏขึ้น เศษหินจากบ้านเก่าของเขาเกือบทำลายสิ่งที่เขาลงทุนลงแรงลงไป ทำให้หวังลู่รู้สึกสนใจบ้านเดิมของตน
ขณะนี้ความทรงจำของเขายังคงเลือนราง ไม่แน่ว่าอาจจะมีร่อยรอยบางอย่างที่เขาอาจมองข้ามไป หนำซ้ำหากเขาไม่ตรวจดูอย่างละเอียด เจ้าสิ่งนี้ก็อาจไม่ปรากฏออกมา ครั้งแรกที่เขากลับมาที่หมู่บ้าน บ้านหลังนี้ถูกครอบครองโดยทูตสำนักเจ็ดดาราที่มีตาแต่ไร้แวว ครั้งแรกที่เจอกัน หวังลู่เกือบสังหารหมอนั่นในบ้านหลังนั้นแล้ว แต่ท่ามกลางเหตุการณ์ทั้งหมด แม้ว่าเขาจะมีรากวิญญาณนภาที่เฉียบคม แต่ก็ไม่รู้สึกถึงเศษชิ้นส่วนที่ฝังอยู่แม้แต่น้อย! ดังนั้นหากเป็นเช่นนี้ ก็มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ามีความลับอะไรฝังอยู่ที่นั่นอีกบ้าง!
โชคร้ายที่แม้หวังลู่จะให้คนอื่นๆ ย้ายเขาไปอยู่ในบ้านเก่าของเขา เขากลับไม่พบเบาะแสเพิ่มเติมเลย
ทว่าเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกผิดหวังมากมาย หนำซ้ำเมื่อย้ายเข้าไปในบ้านหลังนี้ ก็มีงานก่ายกองที่ต้องทำ
การเทศน์ที่หน้าแท่นบูชา
หากไม่เทศน์ พวกชาวบ้านจะเปลี่ยนใจได้อย่างไร และหากพวกเขาไม่เปลี่ยนใจ หวังลู่และพวกจะเก็บภาษีสติปัญญาจากที่ไหน ทว่าหวังลู่ไม่คิดออกเทศน์เอง จะดีที่สุดหากชาวบ้านขอร้องเขาเอง
แน่นอนว่าพวกชาวบ้านเองก็มีแผนการคล้ายๆ กัน หลังจากที่มีเทพเซียนมาพำนักอยู่ที่หมู่บ้านชั่วคราว พวกเขาจะปล่อยโอกาสเช่นนี้ให้หลุดมือได้อย่างไร วันเดียวกันกับที่พวกของหวังลู่ย้ายเข้าบ้าน หัวหน้าหมู่บ้านหวังฉี่เหนียนและชาวบ้านคนอื่นๆ ก็รีบเร่งมาเยี่ยมเยียน พวกเขานำผลิตผลท้องถิ่นมาให้มากมาย รวมถึงสุราและเนื้อจำนวนหนึ่ง หนำซ้ำหัวหน้าหมู่บ้านผู้นี้ก็แสดงความปราดเปรื่องอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้เอ่ยถึงโลกแห่งเซียนแม้แต่น้อย
วันถัดมาเขาก็ยังส่งผลผลิตท้องถิ่นมาให้อีกชุดใหญ่ ตาแก่ลามกเองก็มิได้ปฏิเสธ ทำให้หวังฉี่เหนียนยินดีเป็นที่สุด
ในวันที่สาม หวังฉี่เหนียนก็มาเยี่ยมอีกครั้ง คราวนี้ตาแก่ลามกจึงถามออกไป “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านต้องการสิ่งใดกันหรือ”
หัวหน้าหมู่บ้านไม่ลังเล “โปรดชี้เส้นทางแห่งเซียนแก่พวกเราด้วย!”
ตาแก่ลามกดีใจเป็นล้นพ้นอยู่ภายใน ทว่าภายนอกแล้วนั้นเขาทำทีเป็นลังเล “เรื่องนี้…”
หัวหน้าหมู่บ้านหมอบกราบทันใด “ได้โปรดชี้ทางแก่เราด้วยเถิด!”
“โธ่เอ๋ย ตามมารยาทแล้ว เรามิควรมองข้ามน้ำใจหลายวันนี้ของพวกเจ้าก็จริง ทว่าเรื่องเส้นทางแห่งเซียนนี้ ข้ามิอาจตัดสินใจ…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสียงของเด็กหนุ่มก็ดังแว่วมา “ในเมื่อพวกเราตั้งแท่นบูชาที่นี่ การจะชี้นำพวกเขาสู่เส้นทางแห่งเซียนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
ตาแก่ลามกทำทีเป็นคุกเข่าอย่างแนบเนียน “คารวะท่านเจ้าสำนัก!”
“ไม่ต้องมากพิธีไป ข้ายังไม่ได้ลงไปยังโลกมนุษย์แค่ส่งเสียงไปเท่านั้น… อีกสามวัน ข้าจะลงไปเทศน์ที่แท่นบูชา จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับวาสนาของพวกเจ้าแล้วว่าจะเข้าใจกันสักกี่คน”
จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดส่งมาอีก หวังฉี่เหนียนมองไปรอบๆ อย่างฉงน “เมื่อครู่…คือเสียงท่านเจ้าสำนักหรือ”
ตาแก่ลามกลุกขึ้นยืนและพยักหน้า “ใช่แล้ว ท่านเจ้าสำนักส่งเสียงลงมาจากโลกแห่งเซียน หัวหน้าหมู่บ้าน พวกท่านช่างโชคดีนักที่จู่ๆ ท่านเจ้าสำนักก็ต้องการจะเทศน์ที่นี่! โธ่เอ๊ย แม้แต่ผู้อาวุโสของสำนักเรา ปีหนึ่งจะมีโอกาสเช่นนี้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น! เรื่องนี้เป็นเพราะแท่นบูชาเป็นแน่ แม้ท่านเจ้าสำนักจะเป็นเทพเซียนแห่งโลกเซียน แต่ในโลกมนุษย์นั้น ท่านกลับเดินอยู่ท่ามกลางมนุษย์ปุถุชน ใฝ่หาหลักแห่งความเท่าเทียม ในเมื่อเรามาใช้ประโยชน์พลังปราณฟ้าดินของหมู่บ้านเจ้า ย่อมเป็นหน้าที่ของเราที่จะเทศน์เรื่องเส้นทางแห่งเซียนที่นี่เช่นกัน”
หวังฉี่เหนียนตื่นเต้นตัวสั่น ไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาอยู่พักใหญ่ เขาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี่มานับสิบๆ ปี รู้สึกว่าพลังปราณฟ้าดินลึกลับนี่ไม่ใช่สิ่งธรรมดา ทว่าโลกแห่งเซียนนั้นเป็นเรื่องจริง!
แม้แต่เจ้าเด็กไม่เอาไหนหวังเสี่ยวหูที่ฝึกฝนอยู่สองปีในสำนักเจ็ดดาราจอมฉ้อฉลยังสามารถเสกไฟและวาดยันต์ได้ ดังนั้นหากเทพเซียนตัวจริงนี้สามารถนำพาพวกเขาสู่กฎแห่งเซียนได้… อนาคตย่อมไม่รู้จบ! อนาคตที่แท้จริงย่อมไม่รู้จบแล้ว!
——
สามวันต่อมา ลานเล็กๆ ในหมู่บ้านตระกูลหวังก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คน ชาวบ้านนับร้อยๆ คนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ รอคอยให้เทพเซียนมาเผยแผ่คำสอน
หวังฟู่กุ้ยเองก็อยู่ในกลุ่มชาวบ้านด้วย หวังลู่ผู้ก่อตั้งสำนักภูมิปัญญาไม่ได้บอกกล่าวให้บิดามารดาได้รู้ถึงสิ่งที่เขาทำลงไป แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความลับสำคัญ ดังนั้นแม้เขาจะสนิทสนมกับบิดามารดาเพียงใด พวกเขาก็เป็นแค่มนุษย์ปุถุชนที่อาจหลุดความลับออกมาได้ในสักวัน
ดังนั้นเมื่อสองวันก่อน พอกลับสู่ร่างเดิม หวังลู่ก็แอบย่องเข้าไปในบ้านพ่อแม่ตอนกลางคืน และสารภาพเรื่องบางเรื่อง จากนั้นก็แสร้งทำเป็นว่าต้องกลับสำนัก และบอกลาพวกเขาอย่างอิดออด
เขาบอกบิดามารดาว่าสำนักภูมิปัญญามีชื่อเสียงดีงาม แม้จะไม่ดีเท่าสำนักกระบี่วิญญาณก็ตาม และในเมื่อเทพเซียนต้องการลงมาเทศน์ให้ผู้คนฟัง จึงนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ทว่าพวกเขาก็ไม่ควรแสดงความสนใจในชะตาแห่งเซียนมากจนเกินไปนัก พูดสั้นๆ คือหวังลู่ไม่ต้องการให้บิดามารดาใกล้ชิดกับสำนักภูมิปัญญาเกินไป แต่ก็ไม่ได้อยากให้ทำตัวเหินห่าง
โชคดีที่การรับรู้ของบิดามารดาไม่ได้ย่ำแย่ แถมอนุภรรยาคนใหม่ของบิดาก็ยังเฉลียวฉลาดกว่าชาวบ้านทั่วไป พวกเขาเข้าใจเจตนาของหวังงลู่เป็นอย่างดีว่าให้ปฏิบัติกับสำนักภูมิปัญญาไม่ดีหรือแย่จนเกินไป เมื่อหวังฉี่เหนียนมาขอโทษ พวกเขาก็รับคำขอโทษจากนั้นก็ออกไปฟังเทศน์ของสำนักภูมิปัญญา หวังฉี่เหนียนเรียกคนในครอบครัวไปฟังด้วย แน่นอนว่าเขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับสิ่งที่เรียกว่าชะตาแห่งเซียน เขาทำราวกับว่ากำลังดูการละเล่น ซึ่งต่างจากพวกชาวบ้านที่ดวงตาลุกโชนด้วยความหวัง
หลังจากที่พวกชาวบ้านมารวมตัวกันแล้ว เมื่อพ้นเวลาที่นัดหมายไปเล็กน้อย เหออวิ๋น อู้เฟยฮวา และเหวินเป่าก็ออกมายืนอยู่บนเวทีที่ทำขึ้นชั่วคราวพร้อมแสดงละคร ผ่านไปพักใหญ่ ธิดาเทพผู้ซึ่งมาช้ากว่ากำหนดก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมไปหยุดยืนในจุดที่เตรียมไว้ จากนั้นร่างร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางเวที เขาคือเจ้าสำนักหวังลู่ผู้ลงมาจากโลกเซียน หรือความจริงคือโผล่ออกมาจากคาถาอำพรางร่างนั่นเอง
ในฐานะผู้กำกับและนักแสดงหลักของละครเรื่องนี้ หวังลู่พิสูจน์ให้เห็นความสำเร็จด้านอาชีพได้อย่างดีเยี่ยม ทันทีที่เขาปรากฏตัว เขาก็แผ่รังสีน่าเกรงขามคุกคามจิตใจของชาวบ้าน จนพวกเขาโค้งคำนับด้วยความสมัครใจ
จากนั้นหวังลู่จึงเปิดปากออกช้าๆ “วันนี้ข้าจะพูดเรื่องราวแห่งสวรรค์” “เรื่องราวแห่งสวรรค์?”
ไม่เพียงพวกชาวบ้านจะสงสัย แม้แต่ตาแก่ลามกและคนที่เหลือที่ยืนอยู่บนเวทีต่างก็สงสัยเช่นกัน
พวกเขาไม่รู้เลยว่าหวังลู่ต้องการพูดสิ่งใด ธิดาเทพเฟิงหลิงนั้นไม่ใส่ใจจะรู้ ส่วนเหออวิ๋นกับอู้เฟยฮวาไม่กล้าที่จะถาม ทว่าเหวินเป่าซึ่งกล้าเอ่ยปากถามก็ได้คำตอบมาแล้วซึ่งเป็นเนื้อหาที่เปิดเผยไม่ได้…
ดังนั้นเมื่อหวังลู่เอ่ยคำว่าเรื่องราวแห่งสวรรค์ ผู้คนเหล่านี้จึงสนอกสนใจอยากจะฟังว่าเรื่องราวแห่งสวรรค์ที่แท้คืออะไร
“บนสวรรค์มีเหล่าเซียนมากมาย ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าเรื่องราวแห่งสวรรค์แท้จริงแล้วก็คือเรื่องราวของโลกแห่งเซียน หรือเรื่องราวแห่งเซียนนั่นเอง”
ข้างใต้เวที มีชาวบ้านหลายคนที่พยักหน้าอย่างหนักแน่น พวกเขามารวมตัวกันเพื่อฟังเรื่องราวแห่งเซียน รวมทั้งเรื่องราวแห่งเทพเซียน ส่วนเรื่องเมฆและดวงจันทร์บนสวรรค์นั้น แม้ดูจะมีความลี้ลับมากมาย ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาแม้แต่น้อย!
เมื่อเห็นว่าชาวบ้านทั้งหลายดูกระหายใคร่รู้ หวังลู่จึงยิ้มน้อยๆ และเริ่มอธิบายทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจของโลกเซียน
………………………………………………..
ตอนที่ 16 ผู้เบิกทางหนึ่งล้านคน (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
โลกแห่งเซียนนั้นกว้างใหญ่ไร้พรมแดน หากจะบรรจุอาณาจักรเก้าแคว้นลงไป มันก็เปรียบได้เพียงหยดน้ำในถังขนาดใหญ่เท่านั้น ในโลกแห่งเซียนที่ไร้ขอบเขตนี้มีเทพเซียนอยู่มากมาย เทพเซียนล้วนมีพละกำลังมหาศาลสามารถยกภูเขาคว่ำแผ่นดินได้ เทพเซียนในโลกเซียนไม่ได้มีข้อพิพาทไม่จบไม่สิ้นเหมือนพวกมนุษย์โลก พวกเขาปรองดอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดังนั้นแม้โลกแห่งเซียนจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็สงบสุขเป็นที่สุด
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะที่นี่มีผลิตผลและทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล ไม่ว่าต้องการอะไร โลกแห่งเซียนก็ตอบสนองได้ทั้งนั้น ทรัพย์สมบัติที่ดูเหมือนประเมินค่าไม่ได้ในโลกมนุษย์กลับเป็นเพียงก้อนหินธรรมดาในโลกแห่งเซียน นั่นเพราะมันมีมากมายไปหมด ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ จึงยากที่จะมีเรื่องขัดแย้งเกิดขึ้น หนำซ้ำอารมณ์ความรู้สึกของเหล่าเซียนก็ต่างจากมนุษย์ธรรมดา ในเมื่อพวกเขามีชีวิตอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ พวกเขาจะมามัวสนใจข้อพิพาทชั่วคราวอยู่ทำไม เพียงคำพูดไม่กี่คำ หวังลู่ก็ได้สร้างภาพโลกแห่งเซียนที่เลอเลิศงดงามจนประทับจิตประทับใจเหล่าชาวบ้าน
ก่อนหน้านี้ ความเข้าใจเรื่องโลกแห่งเซียนของพวกชาวบ้านจำกัดอยู่เพียงจินตนาการของมนุษย์และสิ่งที่ทูตของสำนักเจ็ดดารากล่าวไว้ แม้เจ้าทูตนั่นจะมีสาลิกาลิ้นทอง แต่โลกแห่งเซียนที่เขาพรรณนาก็เป็นเพียงภูเขาที่เต็มไปด้วยเงินทองเท่านั้น ต่างจากภาพที่หวังลู่บรรยายลิบลับ
ทว่าแรงจูงใจจากภาพในจินตนาการเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนใจของพวกชาวบ้านได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นหวังลู่จึงเปลี่ยนหัวข้อ เพื่อให้เข้ากับรสนิยมของผู้ฟัง เขาจึงพูดถึงชีวิตของเทพเซียน
ซึ่งทั้งน่าหลงใหลและน่าตื่นเต้น
พักเรื่องเล่าของยักษ์อายุนับล้านๆ ปีเอาไว้ก่อน ใครก็ตามที่เพิ่งได้เป็นเซียน เมื่อย่างเท้าเข้ามาสู่โลกแห่งเซียนแล้ว จะมีเทพธิดาหน้าตางดงามกว่าหญิงใดในโลกเจ็ดสิบสองนางมาต้อนรับ ดูแลปรนนิบัติพัดวีจัดหาในสิ่งที่ต้องการ และพวกนางก็จะกลายเป็นสมบัติของเซียนผู้นั้นไป แล้วก็จะมีตำหนักโอ่อ่าไว้เป็นที่พำนักในโลกแห่งเซียน ในอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาล อำนาจของจักรพรรดิองค์ใดในโลกมนุษย์ก็มิอาจเทียบได้แม้กับเซียนที่อ่อนแอที่สุด หากเทพเซียนคนใดต้องการ เขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงดินแดนนับล้านๆ แห่งในโลกแห่งเซียนได้
การพรรณนาในครั้งนี้ฟังดูฉาบฉวย แต่เหล่าผู้ฟังด้านล่างต่างทึ้งหูทึ้งแก้มของตนด้วยความดีใจ ไม่อาจปกปิดความยินดีบนใบหน้าได้
สำหรับพวกเขา นี่สิจึงเป็นโลกแห่งเซียนอย่างแท้จริง นี่คือสิ่งที่ผู้เป็นเซียนสมควรได้รับ! ภูเขาเงินภูเขาทองอะไรนั่นช่างรสนิยมต่ำยิ่งนัก! ที่ไหนจะเทียบกับเหล่านางฟ้าเจ็ดสิบสององค์ได้เล่า…
ไม่นานการบรรยายเรื่องโลกแห่งเซียนของหวังลู่ก็จบลง ทว่าที่ข้างล่างเวที ชาวบ้านบางคนก็อดรนทนไม่ได้ “ข้าถามได้ไหมท่านเทพเซียน แล้วเราจะไปยังโลกแห่งเซียนได้อย่างไร”
“เราสามารถบำเพ็ญเพื่อกลายเป็นเซียนได้หรือไม่”
“ท่านเทพเซียน ท่านว่าข้ามีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้ฝึกเซียนหรือไม่”
“ท่านเทพเซียน…”
ทุกอย่างดูโกลาหล ทุกคนต่างพากันพูดขึ้นพร้อมกัน หวังลู่ที่อยู่บนเวทีโปรยยิ้มยินดี เขาไม่ห้ามพวกชาวบ้าน ทั้งยังไม่ตอบคำถาม ผ่านไปครู่ใหญ่ หัวหน้าหมู่บ้านหวังฉี่เหนียนก็กระทุ้งไม้เท้าลงพื้นพลางตะโกนเสียงดัง “เงียบปาก!”
อำนาจของคนเป็นหัวหน้าหมู่บ้านยังคงมีผล ทันใดนั้น เสียงจอแจของพวกชาวบ้านก็เงียบลง หัวหน้าหมู่บ้านหวังฉี่เหนียนโค้งคารวะหวังลู่อย่างนอบน้อม และถามเสียงต่ำ “ข้าขอถามหน่อยเถิดท่านเทพเซียน พวกเราที่เป็นมนุษย์ธรรมดา…มีสิทธิ์ที่จะได้เป็นเซียนหรือไม่”
หวังลู่ยิ้มบาง “มี”
หัวใจของหวังฉี่เหนียนเต้นแรงในทันที พลางคิด ‘แน่ล่ะ! แม้สำนักมารอย่างสำนักเจ็ดดาราจะชั่วช้าและโหดร้าย แต่ทฤษฎีของพวกเขาที่ว่าทุกคนสามารถเป็นเซียนได้นั้นไม่ผิด!’
หัวหน้าหมู่บ้านผู้นี้ถามต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เช่นนั้น ข้า ข้าสามารถ…เป็นเซียนได้เช่นกันหรือ”
แต่ดูเถิด หวังลู่กลับส่ายศีรษะ “ไม่ เจ้าเป็นไม่ได้”
หวังฉี่เหนียนนิ่งอึ้ง “ข้า ข้าเป็นไม่ได้?”
ชาวบ้านที่อยู่ข้างล่างเวทีต่างหันไปคุยกันเอง เมื่อครู่พวกเขาได้ฟังว่าทุกคนสามารถเป็นเซียนได้ แต่หวังฉี่เหนียนกลับเป็นเซียนไม่ได้ หรือจะเป็นเพราะว่าหวังฉี่เหนียนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา
จากนั้นหวังลู่ก็ถอนหายใจ “เมื่อครู่ข้าได้พูดถึงเรื่องราวแห่งสวรรค์ไปแล้ว แล้วพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสวรรค์มีกี่ชั้น”
พวกชาวบ้านมองหน้ากัน พวกเขาจะรู้คำตอบได้อย่างไร
“เหนือจากโลกมนุษย์ขึ้นไป มีสวรรค์อยู่ทั้งหมดเก้าชั้น เมื่อครั้งที่จักรวาลถือกำเนิดขึ้น สวรรค์ทั้งเก้าชั้นนี้ยังไม่ปรากฏ แต่เราเปลี่ยนสภาพมันขึ้นมาทีละชั้น”
“เปลี่ยนสภาพ?”
“ถูกต้อง มันถูกเปลี่ยนสภาพมาจากโลกมนุษย์ สวรรค์สามชั้นสุดท้ายมาจากการเปลี่ยนสภาพของโลกมนุษย์ ยุคหนึ่งก็ชั้นหนึ่ง”
“หา!?”
ครั้งนี้ไม่เพียงชาวบ้านที่อยู่ด้านล่างเวทีเท่านั้นที่ตื่นตกใจ แม้แต่ผู้อาวุโสของสำนักภูมิปัญญาที่อยู่บนเวทีก็อดงุนงงมิได้ พวกเขาต่างคิด ‘เจ้าสำนัก นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ!?’
หวังลู่กล่าวต่อ “โลกมนุษย์นั้น หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงมานับพันๆ ปีก็จะเคลื่อนสู่สวรรค์ แน่นอนว่าโลกทั้งโลกจะเคลื่อนขึ้นไปในคราวเดียว ในตอนนั้นทุกคนจะกลายเป็นเซียน และเพลิดเพลินกับความสำราญไม่มีวันจบ… เช่นนี้ข้าถึงได้พูดว่าทุกคนสามารถเป็นเซียนได้”
“เช่นนั้นเราต้องรอไปอีกเป็นพันๆ ปีหรือ”
“จำนวนปีมิได้กำหนดตายตัว การเคลื่อนสู่สวรรค์ของโลกนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลา แต่ขึ้นอยู่กับความอุตสาหะอันยิ่งใหญ่ของผู้บำเพ็ญเซียนนับพันนับหมื่นคนต่างหาก”
“ความอุตสาหะอันยิ่งใหญ่ของผู้บำเพ็ญเซียนนับพันนับหมื่นคน มัน…หมายความว่าอย่างไร”
หวังลู่ถอนหายใจ “ตำนานเก่าแก่ของโลกแห่งเซียนกล่าวไว้ว่า หากโลกนี้มีผู้ที่คู่ควรถึงหนึ่งล้านคน มันจะไปกระตุ้นให้โลกเคลื่อนสู่สวรรค์เพื่อไปรวมกับโลกเซียนอื่นๆ และในตอนนั้นเอง เหล่ามนุษย์ปุถุชนก็จะ ‘เกาะชายเสื้อคลุมของผู้บำเพ็ญเซียน’ ขึ้นไปด้วย… แต่อย่างน้อยต้องมีผู้เบิกทางถึงหนึ่งล้านคนเสียก่อน”
“แล้วตอนนี้มีผู้เบิกทางในโลกของเรากี่คนแล้ว”
“จนถึงตอนนี้ยังไม่ถึงหนึ่งร้อยคนเลย”
“โอ้…” ฝูงชนต่างรู้สึกผิดหวังและหมดกำลังใจ
หวังลู่นิ่งรอให้ความหดหู่แพร่ขยายออกไป จากนั้นจึงกล่าวต่อ “พวกเจ้าถอดใจเสียแล้วหรือ”
หวังฉี่เหนียนยิ้มขัน “พวกเรามิกล้าหลอกลวงท่านหรอก ท่านเทพเซียน พวกเราต่างอยากกลายเป็นเซียนทั้งนั้น ทว่าเกรงว่าจะต้องรอไปอีกเป็นแสนๆ ปีกว่าจะมีผู้เบิกทางถึงหนึ่งล้านคนทุกคนจึงจะได้กลายเป็นเซียน แต่พอถึงตอนนั้น พวกเรามิกลายเป็นกระดูกผุๆ กันไปหมดแล้วหรือ!”
หวังลู่หัวเราะ “เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่มาเป็นผู้เบิกทางเล่า”
“หา?”
“ผู้เบิกทางนับล้านนี้ ย่อมต้องมีคนอาสาที่จะเป็น มิเช่นนั้นหากปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป เกรงว่าจะไม่มีการเคลื่อนสู่สวรรค์ของโลก และหากเราไม่ระวัง ก็อาจกลายเป็นเหยื่อพวกมารและถูกลืมเลือนไปตลอดกาล ในเมื่อพวกเจ้าต้องการที่จะเป็นเซียนอยู่แล้ว เหตุใดจึงไม่มาเป็นผู้เบิกทางเสียเลยเล่า”
“ระ เราเป็นได้หรือ”
“หากพวกเจ้าไม่อุตสาหะ ไม่ผึกฝน ย่อมเป็นไม่ได้ ในการที่จะทำให้โลกเคลื่อนสู่สวรรค์ ต้องใช้แรงอุตสาหะ ต้องใช้ความพยายามของมนุษย์ปุถุชนนับล้านๆ สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็คือชีวิต และในเมื่อคนเราเกิดมามีชีวิตเดียว เช่นนั้นผู้คนจึงควรดำเนินชีวิตให้ดี เมื่อมองย้อนกลับไป จะได้ไม่เศร้าเสียใจที่ปล่อยเวลาในชีวิตให้เสียเปล่า หรือละอายต่อความเป็นมนุษย์ของตน เช่นนั้นเมื่อตายไป ก็จะสามารถพูดได้ว่าตนนั้นอุทิศชีวิตและกำลังกายให้กับเรื่องที่ดีเลิศที่สุด นั่นคือ การพากเพียรเพื่อให้โลกได้เคลื่อนสู่สวรรค์นั่นเอง”
………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น