สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด บทที่ 3 ตอนที่ 11-18

 บทที่ 11 พวกเรา

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อ๊า!”


หลีจื่อหวดกลัวจนหลุดร้องออกมา และรีบใช้มือปิดปากตนเองทันที


แต่เริ่นจื่อหลิงก็ไม่ได้ตำหนิปฏิกิริยาของเธอ เพราะหลังจากฟังเรื่องที่เกิดขึ้นจากปากของหลี่ว์เฉาเซิง เธอก็ควบคุมความหวาดกลัวไม่ได้ จนหลังมีเหงื่อแตกพลั่ก


คนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งร่วมมือกันพาตัวหญิงผู้บริสุทธิ์ไปที่ผาฟังเสียงคลื่น โดยไม่สนใจคำอ้อนวอนของหญิงสาว แล้วโยนลงไปข้างล่างหน้าผาทั้งเป็น


ไม่เพียงแต่เหี้ยมโหดป่าเถื่อนเท่านั้น แค่นึกถึงจิตใจโหดร้ายนี้ก็ชวนให้คนหวาดกลัวแล้ว


เริ่นจื่อหลิงถอนหายใจอีกครั้งแล้วพูดว่า “ความโง่เขลาเบาปัญญาเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ”


เธอฝืนยิ้มพลางพูด “ฉันพอจะเข้าใจว่าทำไมคุณหมอหลี่ว์ถึงไม่ยอมบอกอีอวิ๋น เหากสาวน้อยรู้เรื่องนี้เข้า คงเป็นอะไรที่…”


หลี่ว์เฉาเซิงเองก็ถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “เรื่องแบบนี้ เป็นสิ่งต้องห้ามของหมู่บ้านแห่งนี้มาโดยตลอด ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว เปลวไฟแห่งการปฏิวัติพิฆาตสี่เก่า*ข้างนอกนั่นก็ลุกลามมาถึงที่นี่ แต่ไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนทำเป็นไม่เคยเกิดเรื่องขึ้น…ใครจะอยากไปคิดถึงเรื่องแบบนั้นอีก? ใครยินดีจะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นอีก? ตัวการที่ยุยงชาวบ้านก็ถูกจับไปแล้ว บ้านของเธอก็ถูกกองเพลิงเผาทำลายสิ้นซาก พวกเขาก็พากันคิดว่า ความชั่วร้ายของตนเองถูกเผาไปพร้อมกับกองเพลิงแล้ว”


เริ่นจื่อหลิงถอนหายใจพูดว่า “มิน่าล่ะ หลี่ว์ไห่ถึงได้พาครอบครัวของเขาย้ายมาที่ลับตาคนแบบนั้น…เกรงว่าคนทั้งหมู่บ้านจะเป็นศัตรูทั้งหมด”


พอนึกถึงท่าทีเกรี้ยวโกรธของหลี่ว์ไห่บนผาฟังเสียงคลื่น เริ่นจื่อหลิงนึกถึงความหวาดกลัวของเด็กตัวเล็กๆ เมื่อสี่สิบห้าสิบปีก่อนที่ต้องพบเจอเรื่องน่าหวาดกลัวแบบนี้


ในห้องตรวจรักษาของหลี่ว์เฉาเซิงก็เงียบกริบในทันที


หลีจื่อยกของที่หลี่ว์เฉาเซิงเอามาให้ดูขึ้น สิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากคนในหมู่บ้านหลี่ว์ติดโรคแปลกประหลาด


ไม่ใช่ภาพถ่าย แต่เป็นสิ่งที่หลี่ว์เฉาเซิงวาดจากความทรงจำของตนเองในเวลาต่อมา หลีจื่อมองดูสิ่งที่ขึ้นบนมือและเท้าของผู้ป่วยพวกนี้ แล้วอดพูดอย่างตกใจกลัวไม่ได้ “นี่…สิ่งนี้เป็นคำสาปของภูตผีจริงๆ เหรอคะ?”


หลี่ว์เฉาเซิงส่ายหน้าตอบ “ตอนนั้นฉันตัดสินใจเรียนการแพทย์ สาเหตุส่วนหนึ่งก็คือเพื่อค้นคว้าว่าโรคแบบนี้คืออะไรกันแน่ เพราะฉันก็ไม่เชื่อสิ่งที่เรียกว่าคำสาปเหมือนกัน”


“งั้นคุณหาสาเหตุเจอไหม?” เริ่นจื่อหลิงถามด้วยความอยากรู้


สีหน้าหลี่ว์เฉาเซิงดูไม่แน่ใจนัก กาอนตอบว่า “หลายปีมานี้ ผมยังไม่เคยพบสาเหตุของโรคแบบนี้เลย เพียงแต่ไม่กี่ปีมานี้ อินเทอร์เน็ตพัฒนาไปไกลแล้ว ข่าวคราวมากมายแพร่หลายอยู่ตลอดเวลา แล้วผมก็ได้เห็นรายงานตัวอย่างของโรคนี้ในอินเทอร์เน็ต”


หลี่ว์เฉาเซิงหันหน้าจอคอมพิวเตอร์เก่าบนโต๊ะทำงานมาทางพวกเธอ ก่อนกดเปิดเว็บที่บันทึกไว้ แล้วพูดช้าๆ “ทั่วทั้งโลกยังไม่ค่อยพบเห็นตัวอย่างโรคนี้นัก มีเพียงสิบกว่าถึงยี่สิบรายเท่านั้น ด้านแพทยศาสตร์ยังไม่มีคำจำกัดความที่แน่ชัด ตอนนี้ถูกเรียกว่า ‘มือผ้าถูพื้น’ ไปก่อนชั่วคราว หมายความว่าหลังจากมือเท้าของผู้ป่วยเปลี่ยนสภาพไป เซลล์ในชั้นผิวหนังกำพร้าจะแตกเซลล์ขยายตัวจนผิวหนังเหมือนกับผ้าถูพื้น น่าจะเป็นโรคเซลล์เจริญเติบโตผิดปกติชนิดหนึ่งล่ะมั้ง”


“อืม…รายงานเรื่องพวกนี้ เมื่อก่อนฉันก็เคยเจอเหมือนกัน” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้า


เธอมองดูภาพถ่ายของผู้ป่วยบนหน้าเว็บไซต์ เทียบกับภาพวาดที่หลี่ว์เฉาเซิงวาดจากความทรงจำแล้ว เหมือนกันมากจริงๆ


“โรคนี้ก็ทำให้มือเท้าของคนเปลี่ยนไปทันที ดูแล้วเหมือนผ้าถูพื้น และก็เหมือนหินปะการังใต้ทะเลด้วย ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายมันจะแพร่ขยายไปทั้งตัวหรือไม่ ตอนนั้นคนต่างก็พากันหวาดกลัว พอหวงเหล่าเซียนกูคนนั้นปล่อยข่าวลือผิดๆ ชาวบ้านก็เชื่อทันที” หลีว์เฉาเซิงส่ายหน้า “ผมปิดเงียบมานานหลายปี ตอนแรกคิดจะรอให้อีอวิ๋นมาถามผมอีกครั้ง แล้วผมจะบอกเรื่องมั้งหมดกับเธอเอง”


เริ่นจื่อหลิงนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งแล้วพูดขึ้น “หมอ ภาพพวกนี้ ฉันเก็บไว้ได้ไหมคะ?”


หลี่ว์เฉาเซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “คุณอยากได้ก็เอาไปเถอะ ยังไงตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว”


เริ่นจื่อหลิงเก็บภาพพลางพูดขึ้น “ขอบคุณนะหมอ ถ้าอย่างนั้น เราไม่รบกวนเวลาหมอทำงานแล้ว…หลีจื่อ เราไปกันเถอะ”


หลี่ว์เฉาเซิงมองทั้งสองเดินจากไป ก่อนถอนหายใจยาวๆ เอนตัวบนเก้าอี้ จุดบุหรี่มวนหนึ่งเงียบๆ แล้วหลับตาลงคิดอะไรบางอย่าง


เป็นเรื่องสมัยก่อนที่นานมากๆ แล้ว




“นี่เหมือนเป็นสารเคมีจำนวนหนึ่ง”


โยวเย่เขย่าหลอดทดลองในมือ กำลังมองลั่วชิวพลางพูดว่า “ถ้าอยากทราบว่าข้างในมีส่วนประกอบอะไรบ้าง จะมีผลอย่างไรบ้าง ต้องหลังตรวจสอบแล้วถึงจะทราบค่ะ”


ในตอนนี้มั่วมั่วขมวดคิ้วพูดว่า “รุ่นพี่ รุ่นพี่เคยได้ยินเรื่องโหดร้ายที่พวกญี่ปุ่นบุกรุกมาทำก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สองไหม?”


ลั่วชิวมองมั่วมั่วแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้น “คุณกำลังคิดว่า โรคประหลาดที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านตระกูลหลี่ว์ตอนนั้นเป็นเพราะของที่อยู่ในกล่องนี้เหรอครับ?”


มั่วมั่วพยักหน้าพูด “ในนี้มีช่องว่างอยู่ช่องหนึ่งไม่ใช่เหรอครับ? แถมยังฝังไว้ในใต้ดินลึกขนาดนี้ด้วย ถ้าผมไม่มีวิชาห้าภูตเคลื่อนย้าย เกรงว่าคงหาไม่พบแล้ว ตอนนั้นร่างทรงชรานั่นรีบร้อนโยนตัวคนเป็นโรคลงทะเลไปพร้อมกันซะขนาดนั้น เกรงว่าคงกังวลว่าสิ่งนี้จะแพร่เชื้อเหมือนกัน กลับเป็นว่าเธอไม่สามารถรับมือได้”


มั่วมั่วเลิกคิ้วถาม “รุ่นพี่คิดว่า ถ้าร่างทรงชราคนนั้นใช้ของข้างในนี้ทำให้คนเกิดโรคจริงๆ ขอเพียงเธอหยุดใช้ต่อ แล้วรอจนคนป่วยล้มตายกันไปหมด อย่างนั้นหมู่บ้านหลี่ว์ก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมไม่ใช่เหรอ? แล้วเธอก็จะได้ใช้เรื่องเซ่นไหว้และเรื่องไม่เกิดโรคระบาดอีกมาทำให้คนเลื่อมใสศรัทธาเหรอ?”


ลั่วชิวพูดขึ้นทันที “งั้นถ้าเรื่องเป็นเหมือนอย่างที่คุณว่าจริงๆ คุณคิดจะทำยังไง?”


มั่วมั่วพูดอย่างมีเหตุมีผล “แน่นอนว่าพอประกาศเรื่องนี้ออกไป ร่างทรงชรานั่นถูกทหารนำตัวไปแล้ว ย่อมมีจุดจบไม่ดีแน่ แต่ตอนนั้นในหมู่บ้านมีคนบางส่วนที่มีส่วนรู้เห็นด้วย แต่ละคนถือว่าเป็นฆาตกรร่วม มองชีวิตผู้คนเป็นผักปลาแบบนี้ แค่ประโยคเดียวว่าถูกยุยงมาก็จะจบเรื่องงั้นเหรอ? หลังจากนั้นก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะเกิดขึ้น? มีอย่างนี้ที่ไหนกัน!”


ลั่วชิวรู้สึกได้ถึงความเป็นธรรมเต็มเปี่ยมในหัวใจมั่วมั่ว จึงชื่นชมยิ่งว่า “ในเมื่อจะประกาศ งั้นคุณคิดวิธีจะประกาศยังไง?”


“นี่…” มั่วมั่วนิ่งอึ้ง เขายังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย


ลั่วชิวพูดเสียงเรียบเฉย “ของนี่เป็นสิ่งที่คุณหาพบ…ก็ถือว่าผมเป็นพยานของคุณก็แล้วกัน แต่สำหรับหมู่บ้านหลี่ว์แล้ว ที่สุดแล้วผมก็เป็นแค่คนนอกคนหนึ่งเท่านั้นเอง คุณหากล่องใบนี้พบที่นี่และคาดการณ์ไว้แล้ว คุณคิดว่ามีคนจำนวนเท่าไหร่ที่เชื่อว่านี่เป็นสาเหตุของเรื่องตอนนั้น?”


มั่วมั่วหน้าเปลี่ยนสีทันที


ลั่วชิวถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “ตอนที่ผู้หญิงแซ่หวงคนนั้นถูกคนจับไป เกรงว่าละครปาหี่ของเธอคงถูกเปิดโปงไปแล้ว ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ เป็นไปได้ยังไงที่จะไม่มีชาวบ้านรู้ถึงความผิดปกติของเรื่องในตอนนั้น? แต่พวกเขาก็หลีกเลี่ยงไม่พูดมาโดยตลอดไม่ใช่เหรอ?”


มั่วมั่วมองดูกล่องที่หาพบเงียบๆ ผิดปกติเป็นที่สุด


ลั่วชิวพูดเสียงแผ่วเบา “ไม่ใช่ว่าไม่รู้…แค่ไม่อยากยอมรับก็เท่านั้นเอง”


มั่วมั่วพูดอย่างเคืองๆ “คนพวกนี้! คนพวกนี้ทำอย่างนี้ได้ยังไง!”


ลั่วชิวหันกลับไป บ้านที่ถูกเผาเกลี้ยงนี้อยู่จุดภูมิประเทศค่อนข้างสูง เพียงมองจากที่สูงออกไปไกลๆ เล็กน้อยก็มองเห็นเกือบครึ่งหนึ่งของหมู่บ้านหลี่ว์แล้ว เสียงของเขาดังขึ้นช้าๆ “น่าจะเป็นเพราะว่า…เรื่องนี้คงไม่ได้ทำเพียงแค่คนเดียวหรอกมั้ง”


ควรเรียกว่า ‘พวกเรา’


*พิฆาตสี่เก่า การปฏิวัติวัฒนธรรมทั้งสี่ด้านของยุวชนเรดการ์ด ได้แก่ ความคิดเก่า วัฒนธรรมเก่า ประเพณีเก่า และนิสัยเก่า ซึ่งเริ่มต้นในปี1996


บทที่ 12 ใจคนโหดร้ายที่สุด

โดย

Ink Stone_Fantasy

มั่วมั่วไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไร


ด้วยเขาไม่เคยจัดการเรื่องพวกนี้มาก่อน ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดปรมาจารย์เขาพยัคฆ์มังกร ตอนอายุยังน้อยก็สำเร็จวิชาหลากหลายอย่าง เขาไล่ภูตผี กำจัดปีศาจ สังหารมาร แต่เขาก็ไม่เคยเข้าถึงใจคนได้เลย


คำพูดของลั่วชิว หนักหนาสำหรับเขามากเกินไป


มั่วมั่วผู้ที่มีความฝันอยากเป็นนักเลง ตอนที่อยากจะทำอะไรถึงได้รู้ว่าตัวเองเด็กจนเกินไป


แต่เขายังคงเป็นผู้สืบทอดเขาพยัคฆ์มังกร หน้าที่ของตัวเองคือการกำจัดภูตผีไล่ปีศาจ แต่เขากลับเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสี่สิบห้าปีก่อนของหมู่บ้านหลี่ว์เอาไว้อย่างระมัดระวัง


เพราะว่าเขารู้ดี


เขารู้ว่าต้องมีสักวัน ตอนที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่ยิ่งขึ้น เขาจะมีความสามารถพอจะจัดการเรื่องแบบนี้ได้อย่างดี


ประวัติศาสตร์ช่วงนี้สกปรกโสมมเกินไป ถึงขนาดทำให้มั่วมั่วคิดว่า นี่มันสกปรกกว่าเรื่องที่เขาเคยฆ่าปีศาจ ขับไล่มารอีก


มั่วมั่วกำลังมองลั่วชิว แล้วทอดมองพื้นที่ของหมู่บ้านหลี่ว์ไปพร้อมกับเขาที่นี่ เขาผู้ที่ย้อมผมสีทอง บนแขนมีรอยสักกิเลน ไม่เหมือนอันธพาล แต่กลับเหมือนคนมีความรู้คนหนึ่ง


เขาพูดอย่างเนิบนาบ “เมื่อก่อนอาจารย์เคยบอกกับผมว่า ‘จิตใจคนเหี้ยมโหดที่สุด’ ”


ลั่วชิวไม่ได้พูดตอบกลับ เขาแค่ยืนอยู่ตรงนี้ แล้วจินตนาการว่าตอนที่อาจารย์ชราท่านนั้นพูดก็มีจิตใจเหี้ยมโหดเหมือนกันหรือเปล่า


มั่วมั่วเลือกที่จะจากไป


เขามาเพื่อตำนานปีศาจทะเล


ในเมื่อตำนานเป็นเพียงเรื่องที่ร่างทรงชรากุขึ้นมา อย่างนั้นเป้าหมายของเขาก็เหลือเพียงแค่ตอนนี้


ก็คือบทเพลงมหัศจรรย์ที่ทำให้ผู้คนสูญสิ้นความรู้สึกตัว


เรื่องเล่านี้คือเรื่องจริง


มั่วมั่วออกมาแล้วถึงเพิ่งนึกเรื่องหนึ่งได้ เขาลืมเอากล่องนั้นไปทำลายหรือเอามาด้วย และเขาก็ไม่รู้ว่ารุ่นพี่คนนี้เป็นคนดีหรือคนชั่วกันแน่


เขาจึงย้อนกลับไปที่เดิม แต่ก็ไม่เห็นคนแล้ว กล่องนั้นก็หายไปด้วยเช่นกัน มั่วมั่วมองสถานที่ที่ถูกเผาเป็นซากปรักหักพังอย่างระทมทุกข์ ทันใดนั้นเองก็รู้สึกสับสนกับทางข้างหน้ากว้างสุดลูกหูลูกตา


เขายังคงไม่รู้ว่ารุ่นพี่คนนี้เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์มาจากไหน แม้กระทั่งชื่อของเขาก็ไม่เคยรู้จัก


ผู้สืบทอดเขาพยัคฆ์มังกรบ่นพึมพำกับตัวเอง “คงจะ…ไม่ใช่คนพูดซุบซิบไปทั่วหรอกมั้ง? ไม่พูดซุบซิบไปทั่วจริงก็คงดี”


เรื่องที่โรงแรมเป็นประวัติศาสตร์อันเลวร้ายที่สุดในชีวิตของผู้สืบทอดวัยรุ่นคนนี้




ลั่วชิวเจอเริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อที่ในหมู่บ้าน และได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นต่อมา และเรื่องที่สืบได้จากทางหลี่ว์เฉาเซิง


มองเห็นในมือหลีจื่อกำลังถือของที่หลี่ว์เฉาเซิงวาดเอาไว้ ลั่วชิวที่ชอบเรื่องแปลกเป็นพิเศษก็พูดว่า “เหมือนมือไม้ถูพื้น”


หลีจื่อยังไม่ได้พูดอะไรนะ เขาก็ชิงพูดออกมาคำหนึ่ง เธอคิดว่าลูกชายของพี่เริ่นคนนี้คงไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน และที่ไม่ธรรมดายิ่งกว่าก็คือโยวเย่ที่ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในฐานะแฟนของเขา


เพียงแต่เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดี จึงไม่ได้คิดมากเกินไป จากที่สังเกตการณ์กระทำของลั่วชิวมาตลอดทาง ก็รู้ว่าคนคนนี้เอาใจใส่พี่เริ่นมากขนาดไหน


จน..จนเหมือนสลับหน้าที่กัน คนที่เป็นลูกชายคนนี้ถึงจะทำหน้าที่เป็นแม่ล่ะมั้ง?


ตอนนี้เริ่นจื่อหลิงพยักหน้าพูดว่า “ฉันสืบเรื่องที่เด็กผู้หญิงคนนั้นไหว้วานมาสำเร็จแล้ว แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี”


ลั่วชิวเอ่ยถามทันที “นี่พวกคุณจะไปที่ไหนกัน?”


เริ่นจื่อหลิงพูดไปตามอารมณ์ “ไม่ได้คิดจะไปไหน ก็แค่เดินเล่นอยู่ที่นี่ ผ่อนคลายหน่อย ลองดูว่ามีเรื่องพิเศษอะไรอีกก็เท่านั้น…โอ้ หลีจื่อ เธอสังเกตเห็นไหม ใต้ชายคาของแทบทุกบ้านมีแต่กระดิ่งเปลือกหอยแขวนไว้ทั้งนั้นเลย?”


หลีจื่อคิดพลางพูดว่า “อาจจะเป็นประเพณีของที่นี่มั้งคะ? เหมือนกับที่หน้าประตูหลายที่แขวนพวกยันต์แปดทิศหรือกระจกทองแดงพวกนั้นไว้ไหมคะ?”


เริ่นจื่อหลิงตอบ “นั่นเอาไว้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย แต่กระดิ่งที่ทำจากเปลือกหอยนี้ขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้ด้วยเหรอ?”


หลีจื่อยักไหล่พลางพูดว่า “นี่ฉันก็ไม่รู้แล้วค่ะ ลองถามใครสักคนดูไหมคะ?”


เริ่นจื่อหลิงกำลังจะตอบรับ แต่ตอนนี้กลับมีคนรีบวิ่งมาอย่างลุกลี้ลุกลน ปรากฏว่าเป็นหลี่ว์อีอวิ๋นที่ควรอยู่ดูแลหลี่ว์ไห่ที่คลินิก


สาวน้อยวิ่งมาอย่างร้อนรนเล็กน้อย หายใจหอบแฮ่ก หน้าของเธอดูตื่นตระหนกพูดว่า “พี่เริ่น พวกพี่เห็นพ่อของฉันไหมคะ?”


เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้วพูด “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


สาวน้อยพูดคล้ายจะร้องไห้ออกมา “ฉันเพิ่งจะเดินห่างออกมาแป๊บเดียว แต่พอกลับไปที่ห้องคนไข้ พ่อของฉันก็หายไปแล้ว! ฉันถามหมอแล้ว เขาก็บอกว่าไม่เห็น ทำยังไงดีคะ! พ่อของฉันยังเป็นไข้สูงอยู่เลย!”


หลีจื่อรีบพูดปลอบ “ไม่เป็นไรหรอก อาจจะเพิ่งฟื้นขึ้นมา ไม่ยอมอยู่ค้างที่คลินิกล่ะมั้ง? อาจจะกลับบ้านไปเองแล้ว!”


“แต่…”


เริ่นจื่อหลิงพูด “งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน หมู่บ้านนี้ก็ไม่ใหญ่ อยากหาคนก็หาเจอได้ไม่ยาก พวกเราแยกกันไปดูเถอะ”


“ได้ๆ!” สาวน้อยรีบพยักหน้าพูด


ลั่วชิวตอบ “งั้นพวกเราไปหาทางนี้แล้วกัน”


ลั่วชิวชี้ไปที่ทางหนึ่ง เริ่นจื่อหลิงจึงพยักหน้า แล้วก็ไปรวมตัวกับหลีจื่อและหลี่ว์อีอวิ๋น เดินไปอีกทิศทางหนึ่ง


พอเห็นพวกเริ่นจื่อหลิงทั้งสามคนเดินไปแล้ว ลั่วชิวก็ไม่ได้ไปตามทางที่ตกลงกันไว้


เขากำลังมองดูตำแหน่งที่ตั้งคลินิก แล้วเดินไปในคลินิกเล็กๆ นั้น สำหรับเจ้าของสมาคมแล้ว เรื่องการหาคนไม่ใช่เรื่องยากเลย


หลี่ว์ไห่ไม่ได้หลงทางไป


ข้อมูลแสดงไว้ เขายังอยู่ในคลินิกนั่น



ข้างในคลินิกเล็กๆ หลี่ว์เฉาเซิงกำลังตรวจโรคให้กับชาวบ้าน คลินิกนี้มักจจะยุ่งตลอดเพราะเป็นคลินิกเดียวในหมู่บ้านนี้


ตอนที่ลั่วชิวและโยวเย่เดินผ่านห้องตรวจรักษาไป หลี่ว์เฉาเซิงกำลังใช้เครื่องช่วยฟังทาบบนร่างกายของเด็กเล็กคนหนึ่ง


ตอนที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาอย่างองอาจผ่าเผย หลี่ว์เฉาเซิง แม้กระทั่งเด็กคนนั้น หรือพ่อแม่ของเด็กคนนั้นก็ไม่ได้สังเกตเห็นพวกเขาเลย


ลั่วชิวเพียงแค่มองดูแวบเดียว แล้วก็เดินเข้าไปในห้องที่อยู่ข้างในห้องตรวจรักษา ข้างในนี้เป็นห้องทำงานของหลี่ว์เฉาเซิง ประตูไม่ได้ปิดสนิท แต่แง้มไว้เล็กน้อย


ตอนที่ทุกคนไม่ทันสังเกต ประตูบานนี้ก็ค่อยๆ เปิดแง้มออกอีกเล็กน้อย


ห้องทำงานนี้ไม่ใหญ่ แวบเดียวก็เห็นทั้งห้องแล้ว ลั่วชิวเดินเข้าไปที่ด้านหน้าตู้เหล็กตู้หนึ่งใกล้กับกำแพง พอคุณสาวใช้เห็นสายตาของเจ้านายมองไปทางนั้น เธอก็ยื่นมือออกไป จับไปที่ตัวล็อกของตู้เหล็ก


แกร็ก


ประตูตู้เหล็กค่อยๆ เปิดออก


เห็นเพียงแค่ชั้นวางในตู้เหล็กนี้ถูกคนเอาไปหมดแล้ว มีเพียงพื้นที่ที่กว้างมากๆ ที่หนึ่ง และหลี่ว์ไห่ก็ซ่อนตัวอยู่ในนี้


หลี่ว์ไห่ยังมีท่าทางสลบไสล หลังมือมีเข็มเจาะอยู่ และด้านบนของตู้มีถุงน้ำเกลือแขวนเอาไว้หนึ่งถุงหนึ่ง


เตียงคนไข้ไม่พอจึงพาคนป่วยมาให้น้ำเกลือที่นี่เหรอ เรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้แน่นอน


ที่นี่เป็นห้องทำงานของหลี่ว์เฉาเซิง เขาย่อมถือครองกุญแจตู้มีแต่เพียงผู้เดียว


​บทที่ 13 ‘คำสาป’ ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในเมื่อหาที่ที่หลี่ว์ไห่อยู่พบ โยวเย่ก็พูดไปตรงๆ “นายท่านคะ ต้องแจ้งคุณเริ่นไหมคะ?”


ลั่วชิวกลับปิดประตูตู้เหล็กใหม่อีกครั้งให้เรียบร้อย


เขาพูดขึ้น “ถ้าหลี่ว์เฉาเซิงคิดจะทำอะไรบางอย่างกับหลี่ว์ไห่จริง ตอนขังไว้ที่นี่คงไม่ตั้งใจห้อยสายน้ำเกลือให้น้ำเกลือเขาต่อหรอก”


โยวเย่พยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยกับคำพูดนี้


ลั่วชิวเดินวนรอบห้องทำงานแห่งนี้รอบหนึ่ง กำลังมองดูมุมต่างๆ ที่หลี่ว์เฉาเซิงจัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย


ถึงแม้ตัวเครื่องของคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าจะมีสีเหลืองๆ แล้ว แต่กลับไม่มีฝุ่นสักนิดเดียว ขนาดคีย์บอร์ดก็ดูเหมือนถูกทำความสะอาดเป็นประจำ


ตัวอักษรบนปุ่มเริ่มเลือนรางแล้ว บางปุ่มก็จางหายไปเลย แต่กลับเห็นฝุ่นตามซอกร่องคีย์บอร์ดได้ยาก


คีย์บอร์ดเล็กๆ ยังขนาดนี้ ของอย่างอื่นย่อมดูแลได้สะอาดมากเช่นกัน ตอนที่ลั่วชิวเข้ามาก็รู้สึกว่า อย่างน้อยหลี่ว์เฉาเซิงก็จริงจังในหน้าที่การงานของตนเองเป็นอย่างมาก


ลั่วชิวเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ของหลี่ว์เฉาเซิง เอนพิงพนักพิง สายตามองประตูห้องทำงาน


เขาชอบทำแบบนี้ มองสิ่งที่อยู่ในสายตาของคนอื่นผ่านมุมมองของคนอื่น เขามองโยวเย่ ยิ้มน้อยๆ ครั้งหนึ่งพลางพูดขึ้น “นี่เป็นคนที่มุ่งมั่นและจริงจังคนหนึ่งเลย ส่วนเป้าหมายที่เขาซ่อนหลี่ว์ไห่ไว้ เราลองสังเกตการณ์อีกสักหน่อยดีกว่า”


โยวเย่ยิ้มน้อยๆ


ขอแค่เจ้านายพอใจ เธอก็ยินดี


คุณสาวใช้เดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องทำงาน หลังจากนั้นก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้เหล็กอีกตู้หนึ่ง ตู้นี้น่าจะเป็นที่หลี่ว์เฉาเซิงใช้เก็บของพวกข้อมูลและตัวอย่างโรค


แม่กุญแจแบบนี้ป้องกันคนทั่วไปยังไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องคิดว่าจะป้องกันคุณสาวใช้ของสมาคมได้เลย


พอเปิดลิ้นชักหนึ่งที่ล็อกอยู่ข้างล่างสุดของตู้นี้ออก ก็เห็นซองเอกสารหนังวัวที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ นิ้วของโยวเย่ไล้ไปบนซองเอกสารพวกนี้ราวกับเต้นรำ แล้วก็หยุดลงทันที


เธอดึงเอกสารชุดหนึ่งในนั้นออกมาแล้วเปิดออก


หลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าของคุณสาวใช้ก็มีรอยยิ้มน้อยๆ เธอมองลั่วชิว พูดเสียงเบาๆ ว่า “นายท่านคะ ที่นี่มีสิ่งน่าสนใจบางอย่างด้วยค่ะ”




“หลี่ว์ไห่? ไม่เห็น ไม่เห็น ไปๆๆ!”


อีกคนก็พูดว่าไม่เห็น


ตลอดทางมานี้ เริ่นจื่อหลิงรู้สึกได้ว่าคนในหมู่บ้านนี้ไม่ได้ชอบหลี่ว์ไห่สักเท่าไร ถ้าเป็นตอนที่ไม่เคยรู้เรื่องเมื่อสี่สิบห้าปีก่อน บางทีเริ่นจื่อหลิงจะคิดว่าเจ้าหลี่ว์ไห่นี่ทำเรื่องให้ผู้คนโกรธแค้นอะไรหรือเปล่า


แต่ตอนนี้ เธอกลับรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ รอบหมู่บ้านแห่งนี้ได้จากก้นบึ้งหัวใจเลย


เธอส่ายหน้า ถึงกับถอนหายใจ แล้วเดินไปข้างๆ หลี่ว์อีอวิ๋น


สาวน้อยปิดโทรศัพท์ ส่ายหน้า พูดด้วยสีหน้าผิดหวัง “แม่บอกว่า ยังไม่เห็นพ่อกลับไปเลยค่ะ”


เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้วพูด “ในบ้านเกิดเมืองนอน คนเป็นๆ สะดุดตาอย่างพ่อเธอ กลับไม่มีใครสังเกตเห็น…อาจจะไม่ได้มาเดินทางฝั่งนี้ เดี๋ยวลองดูว่าทางลั่วชิวเจออะไรบ้างหรือยัง เธอวางใจเถอะ พ่อเธอโตขนาดนั้นไม่ทำเรื่องโง่ๆ หรอก”


สาวน้อยได้แต่พยักหน้าหงึกๆ เท่านั้น อ่อนแอจนคนเห็นแล้วก็ปวดใจ


เริ่นจื่อหลิงนึกถึงคำไหว้วานของหลี่ว์อีอวิ๋นได้ ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังคิดว่ารอให้หาหลี่ว์ไห่พบแล้วค่อยพูด


หลี่ว์อีอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไปเฮือกหนึ่งแล้วพูดขึ้น “พี่เริ่น เราลองไปหาทางฝั่งนั้นกันเถอะค่ะ เมื่อกี้ยังไม่ได้ไปหาเลย”


“ได้” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้า


ตอนนี้เองหลีจื่อก็พูดขึ้นทันที “ข้างหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ? ทำไมคนพากันวิ่งไปทางนั้นกันหมด?”


ที่นี่ไม่ใช่ถนนสายหลักของหมู่บ้านแล้ว แต่เป็นซอยที่อยู่ด้านหลังหมู่บ้านใกล้ๆ


“หรือว่าจะเป็นพ่อคะ?” หลี่ว์อีอวิ๋นสีหน้าร้อนรน รีบสาวเท้าตรงเข้าไปทันที


เริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อก็รีบเดินตามไป ไม่นานพวกเธอก็เบียดเข้าไปในกลุ่มคน เห็นแค่ว่านี่เป็นประตูทางเข้าบ้านหลังหนึ่ง และตอนที่กำลังเห็นเหตุการณ์ตรงหน้านี้ พวกเธอก็เข้าใจทันที เพราะอะไรคนจำนวนมากถึงได้มารวมตัวกันในทันที


“อ๊า!”


สาวน้อยหลี่ว์อีอวิ๋นถึงกับร้องตกใจกลัว


แม้ว่ารองบรรณาธิการเริ่นจะเคยพบเห็นฉากเหตุการณ์ใหญ่ๆ มาแล้ว ก็ยังรู้สึกขนพองสยองเกล้าเช่นกัน ภาพที่เห็นคือ ผู้ชายคนหนึ่งท่าทางอายุหกสิบห้าสิบปี คงเป็นคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ตอนนี้เขาล้มอยู่หน้าประตูบ้านตนเอง


ประตูบ้านหลังนี้เปิดอยู่ แต่ตอนนี้ตัวของผู้ชายคนนี้กำลังนอนอยู่บนธรณีประตู…ท่าทางราวกับว่าเขากำลังคลานออกมาจากในบ้าน


เห็นเพียงสองมือของเขา สองเท้าของเขามีกิ่งไม้สีเทาขึ้นเต็มหนาแน่น เหมือนกับโคนต้นไม้เก่าแก่ เหมือนกับหินปะการังในทะเลลึก…เหมือนกับอาการของผู้ป่วยที่อยู่ในภาพวาดที่หลี่ว์เฉาเซิงเอาให้พวกเธอดู!


ตอนนี้ชายคนนั้นพ่นฟองสีขาวออกมา สีหน้าซีดขาว ดวงตาปิดสนิท


ท่าทางของเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว ถึงขนาดไม่มีใครกล้าเข้าไปตรวจดูว่าเขายังหายใจอยู่หรือไม่กันแน่!


ตอนนี้เองเด็กน้อยคนหนึ่งก็มุดเข้ามาในฝูงชน หลังจากมองดูแวบหนึ่งก็ตกใจจนหน้าซีด ร้องไห้ไปในทันที แม่ของเด็กรีบปิดตาของเขาไว้แล้วหมุนตัวเขาหันกลับมา แต่กลับพูดอย่างหวาดกลัวเช่นกันว่า “อย่ามองๆ อย่ามอง!”


“นี่คือ…นี่คือ…ฉันนึกออกแล้ว! ฉันนึกออกแล้ว!”


ตอนนี้เองยายแก่คนหนึ่งก็ร้องเสียงแหลมสูง ขาสองข้างของเธออ่อนปวกเปียก ทั้งตัวไร้เรี่ยวแรงทรุดลงไปบนพื้น แต่สองขาของยายแก่ยังถีบเหยียดไว้อยู่ ดันตัวเองให้ถอยไปข้างหลังไม่หยุด


ยายแก่ชี้นิ้วออกมาสั่นๆ เสียงก็สั่น “คำสาป! คำสาป! มันเป็นคำสาป!! คำสาปนั่นกลับมาแล้ว! กลับมาแล้ว!!”


คนหนุ่มสาวที่พักอยู่แถวๆ นี้ ก็เริ่มตกใจตื่นตระหนกกันแล้ว พากันถามว่า “ยายกุ้ยอวี้ คำ คำสาปอะไร?”


ตอนนี้คุณยายคนนั้นตัวสั่นเทา “ฉันไม่รู้! ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น…ไม่เกี่ยวกับฉัน ไม่เกี่ยวกับฉัน…คนมากมายตายไปแล้ว คนมากมาย…ไม่เกี่ยวกับฉัน…ไม่เกี่ยวกับฉัน…”


ยายแก่คลานออกมาจากฝูงชนทันที คลำกำแพงในซอยไปอย่างลนลาน พูดพึมพำตลอดเวลา “ตายไปเยอะแยะ…เยอะมากๆ…ไม่เกี่ยวกับฉัน…ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น! อย่า อย่ามาหาฉัน อย่ามาหาฉัน…”


ไม่ใช่แค่ยายแก่คนนี้เท่านั้น


แทบจะในเวลาเดียวกัน คนแก่หลายคนในที่เกิดเหตุก็พากันลนลานหลบซ่อนตัวโดยไม่ปริปากสักคำ บางคนหลบเข้าไปในบ้านของตนเอง บางคนกลับวิ่งหนีเข้าไปตามตรอกซอยต่างๆ


เหลือเพียงแค่คนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่ง ตกใจจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี


ตอนนี้เริ่นจื่อหลิงก็ขมวดคิ้วมุ่น “พวกคุณมัวนิ่งอึ้งอะไรกัน? ส่งเขาไปคลินิกสิ!”


“คุณ คุณอยากไปส่งคุณก็ไปส่งเองเถอะ…นาย นายนี่น่ากลัวแบบนี้ ใครจะรู้ว่าแพร่เชื้อหรือเปล่า?”


เริ่นจื่อหลิงชูนิ้วกลางมือขวาขึ้นทันที และก็ไม่มองสีหน้าไม่พอใจที่ตามมาพวกนั้น “หลีจื่อ มาช่วยฉัน! อีอวิ๋น โทรศัพท์หาคุณหมอหลี่ว์ บอกไปว่าโรคนั่นโผล่มาอีกแล้ว!”


“ค่ะๆ ได้ค่ะ!” สาวน้อยที่ตกใจกลัวล้วงโทรศัพท์ออกมาอย่างลนลาน


ตอนนี้เริ่นจื่อหลิงกัดฉีกแขนเสื้อขาด แล้วพันไปบนฝ่ามือตนเอง


หลีจื่อเห็นดังนั้น ก็เลียนแบบฉีกแขนเสื้อมาพันมือทั้งสองข้าง สองคนร่วมแรงกันดึงคนนี้ขึ้นมา


“ยังมีลมหายใจอยู่”


เริ่นจื่อหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง


บทที่ 14 ถนนติดขัด

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ถอยไปๆ คนที่ไม่เกี่ยวข้องเชิญออกไป รบกวนทุกคนด้วย”


นางพยาบาลคนเดียวที่ทำงานอยู่ในคลินิกเล็กๆ อายุราวสามสิบปี กำลังไล่พวกชาวบ้านที่มาออกันอยู่หน้าประตูคลินิก


เพียงไม่นาน เรื่องชายแก่ล้มป่วยคนนั้นก็แพร่งพรายไปทั่วในหมู่บ้านเล็กๆ นี้ คงจึงรู้เรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ


แม้ว่าด้านนอกคลินิกจะมีแต่เสียงเอะอะโวยวาย แต่หลี่ว์เฉาเซิงที่อยู่ในห้องตรวจรักษาโรคก็จริงจังอย่างเห็นได้ชัด เขาได้รับโทรศัพท์จากหลี่ว์อีอวิ๋นก่อนล่วงหน้าแล้ว จึงจัดเตรียมอุปกรณ์ไว้พร้อมรับมือ


เริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อกำลังดูอยู่ข้างๆ พวกเธอเอาแอลกอฮอล์ส่วนหนึ่งมาจากหลี่ว์เฉาเซิง แล้วเช็ดทำความสะอาดมือทั้งสองข้างที่สัมผัสโดนผิวหนังของผู้ป่วยเข้า


“เป็นยังไงบ้าง? เป็น…เป็นโรคอะไรกันแน่?” เริ่นจื่อหลิงถามอย่างจริงจัง “หรือว่า…”


หลี่ว์เฉาเซิงปั้นหน้า เขาพูดอย่างจริงจังว่า “นี่เหมือนกับที่ผมเคยเห็นตอนนั้นมากๆ …จะบอกว่าเหมือนกันมากจนมองไม่เห็นความต่างก็ไม่ผิด แต่จะใช่หรือไม่ ตอนนั้นอายุผมน้อยมากจริงๆ ความทรงจำตอนเด็กอาจจะผิดเพี้ยนไป ดังนั้นผมไม่กล้ายืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่…”


พอมองคนทั้งสองที่พาคนแก่คนนี้มาส่งอย่างกล้าหาญ หลี่ว์เฉาเซิงก็รีบพูดอย่างรวดเร็ว “เครื่องมือของผมมีอยู่จำกัด ถ้าอยากจะรู้โรคที่แน่ชัดจริงๆ คงต้องส่งไปโรงพยาบาลในเมือง หรือโรงพยาบาลใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป”


เริ่นจื่อหลิงนึกขึ้นมาได้ว่าเห็นมอเตอร์ไซค์ของพยาบาลสาวหน้าประตูคลินิกเพียงคันเดียว จึงพูดเสนอตัวเอง “คุณหมอหลี่ว์ ฉันช่วยพาคนไปส่งในเมืองได้!”


หลี่ว์เฉาเซิงพยักหน้า “งั้น…เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ พวกเราออกเดินทางกันเถอะ!”


ฉับพลันนั้นเองนอกห้องก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังมา แล้วชายวัยกลางคนสวมกางเกงสูทเสื้อเชิ้ตสีขาว อายุราวๆ สี่สิบปีคนหนึ่ง ก็เดินเข้ามาพร้อมกับผู้ชายอีกสองคน


“คุณหมอ พวกเขาบอกว่า…จะเข้ามาดูหน่อย” คุณพยาบาลสาวพูดอย่างลำบากใจ


หลี่ว์เฉาเซิงส่ายหน้า โบกไม้โบกมือให้พยาบาลสาวไปปลอบคนไข้บางส่วนในคลินิกก่อน แล้วมองผู้ชายที่เป็นผู้นำคนนั้น ก่อนยิ้มเฝื่อนๆ พลางพูดว่า “เลขา หัวหน้าหมู่บ้าน ทำไมก็มาด้วยล่ะ?”


ผู้ชายคนนี้แซ่อู๋ ชื่อเต็มๆ ว่าอู๋ชิวสุ่ย เป็นเลขากรรมการหมู่บ้านที่ในเมืองส่งมา ส่วนคนข้างๆ ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็คือหัวหน้าหมู่บ้านหลี่ว์ และคนหนุ่มด้านหลังอีกคนก็คือผู้ช่วยเลขากรรมการหมู่บ้านแซ่ตู้ เป็นคนนอกหมู่บ้าน พอจบจากมหา’ลัยก็ถูกส่งมาเป็นเจ้าหน้าที่หมู่บ้าน


แล้วอู๋ชิวสุ่ยก็พูดว่า “อ้อ คือแบบนี้นะ ได้ยินมาว่าในหมู่บ้านมีผู้ชายคนหนึ่งติดโรคน่ากลัว ผมเป็นห่วงว่าโรคนี้จะกลายเป็นโรคติดต่อ ดังนั้นก็เลยรีบมาดูทันที แล้วก็อยากจะเข้าใจสถานการณ์ครอบครัวของผู้ป่วยสักหน่อย เผื่อมีอะไรช่วยได้ เอ่อ สองท่านนี้คือ…เหมือนผมไม่เคยเห็นมาก่อน”


สายตาของอู๋ชิวสุ่ยกวาดไปที่ตัวเริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อแวบหนึ่ง พร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย


หลี่ว์เฉาเซิงพูด “คุณผู้หญิงสองคนนี้นำตัวคนมาส่งครับ เอ่อ พวกเธอมาที่นี่เพื่อเที่ยวพักผ่อนน่ะครับ”


อู๋ชิวสุ่ยพยักหน้า พูดอย่างเกรงใจว่า “คนจิตใจดีทั้งสอง ขอบคุณครับ!”


“ไม่เป็นไรค่ะ ช่วยเหลือคนเป็นเรื่องเร่งด่วน” เริ่นจื่อหลิงตอบเสียงเรียบเฉย


หลี่ว์เฉาเซิงรีบพูดขึ้น “ท่านเลขา หัวหน้าหมู่บ้าน ผมยังไม่รู้มูลเหตุของโรคนี้ เครื่องมือที่นี่ก็มีไม่พอ ผมตรวจหาไม่ได้ ตอนนี้ก็กำลังวางแผนจะพาคนส่งไปที่โรงพยาบาลในเมือง”


ตอนนี้สายตาอู๋ชิวสุ่ยและหัวหน้าหมู่บ้านหลี่ว์กำลังพิจารณาคนไข้บนเตียงนั้นอยู่พักหนึ่ง ฉับพลันนั้นใบหน้าของคนทั้งสองที่เห็นโรคนี้ก็เผยให้เห็นสีหน้าสะดุ้งตกใจ


อู๋ชิวสุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งพลางพูดว่า “ควรเป็นอย่างนั้น! แต่ว่าอย่าไปรบกวนคุณผู้หญิงทั้งสองเลย คุณหมอหลี่ว์ ผมจะให้เสี่ยวตู้ขับรถไปส่งพวกคุณแล้วกัน!”


“ก็ได้ครับ ยิ่งเร็วยิ่งดี” หลี่ว์เฉาเซิงก็ไม่เกรงใจ พยักหน้าพูดไปตรงๆ



“เป็นยังไงบ้าง? หาคนเจอไหม?”


หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เริ่นจื่อหลิงถึงได้เจอกับลั่วชิวในคลินิกเล็กๆ อีกครั้ง หลังจากออกมาจากในห้องทำงานของหลี่ว์เฉาเซิงแล้ว เจ้าของร้านลั่วก็พาสาวใช้ของตนเองไปเดินเล่นข้างนอกรอบหนึ่ง ก่อนเดินกลับมาอีกครั้ง


ลั่วชิวส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร


โยวเย่พูดเสียงเบา “คุณเริ่น ทำไมที่นี่มีคนมารวมตัวกันเยอะเลยคะ?”


“สุภาพอะไรกัน! เรียกฉันพี่เริ่นก็พอแล้ว ถ้าเขินก็เรียกฉันว่าแม่ก็ได้! เริ่นจื่อหลิงทำให้ลั่วชิวตกใจเหมือนเห็นผีอีกแล้ว


เรียกแม่บ้าบออะไรล่ะ…


“พี่เริ่น”


โยวเย่เรียกอย่างเป็นธรรมชาติและสง่างาม


ตอนนี้รองบรรณาธิการเริ่นพอใจแล้ว รู้สึกว่านี่ก็เพื่อเป็นการลดระยะห่างกับลูกสะใภ้สักหน่อย ดังนั้นเธอจึงพูดอีกรอบอย่างสำราญใจ


ระหว่างนั้น ลั่วชิวก็สังเกตเห็นสาวน้อยหลี่ว์อีอวิ๋นก้มหน้าก้มตานั่งเงียบอยู่ข้างๆ เหมือนมีเรื่องหนักใจ ดูท่าคงเป็นห่วงคุณพ่อของตัวเองที่หายไปไร้ร่องรอย


เหมือนหลี่ว์อีอวิ๋นรู้สึกถึงสายตาของลั่วชิว จึงได้เงยหน้าขึ้นมา


เธอเช็ดขอบตาของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วสบตาลั่วชิว


ลั่วชิวยิ้มเล็กน้อยพลางส่ายหน้า


สาวน้อยตะลึงงัน เธอไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย


เริ่นจื่อหลิงก็สังเกตเห็นท่าทางของหลี่ว์อีอวิ๋นจึงพูดว่า “งั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน? พวกเราออกไปหาอีกรอบ ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ก็กลับไปลองดูสถานการณ์ที่บ้านพักกันก่อน”


เหมือนจะทำได้แค่นี้แหละ


พอพวกเขาออกมาจากคลินิก กลับเห็นรถคันหนึ่งมาจอดเทียบพอดี แล้วหลี่ว์เฉาเซิงกับผู้ช่วยเสี่ยวตู้ก็ช่วยกันยกชายชราที่ล้มป่วยคนนั้นออกมา


“นี่…นี่จะพาออกไปไม่ใช่เหรอ? ทำไมกลับมาอีกแล้วคะ?” หลีจื่ออดถามไม่ได้


เจ้าหน้าที่หมู่บ้านวัยรุ่นคนนั้นขมวดคิ้วพูดว่า “ถนนที่ออกไปถูกขวางเอาไว้ รถผ่านออกไปไม่ได้!”


“อะไรนะ?” เริ่นจื่อหลิงตะลึงงัน


ตอนนี้เสี่ยวตู้พยักหน้าพูด “ดินถล่มลงมา คงจัดการไม่เสร็จในหนึ่งชั่วโมง เมื่อคืนวานฝนตกหนักตลอด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่า”


“ไม่มีถนนสายอื่นที่ออกไปได้เลยเหรอครับ?” ลั่วชิวเอ่ยปากถามทันที


เสี่ยวตู้มองลั่วชิวแวบหนึ่ง ส่ายหน้าพูดว่า “ไม่มีแล้ว เมื่อหลายปีก่อนมีการระดมทุนสร้างถนนสายนี้เพียงเส้นเดียวเพื่อพัฒนาธุรกิจโรงแรม ทางบนภูเขาที่เหลืออยู่พวกนั้น ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ แม้กระทั่งมอเตอร์ไซค์ก็ขับออกไปได้ยาก ผมและคุณหมอหลี่ว์กำลังปรึกษากัน ให้คนที่มีเรือพายลำเล็กช่วยอ้อมออกไป พอผ่านที่นั่นไปได้ค่อยดูว่าติดต่อให้รถมารับได้ไหม”


หลังเสี่ยวตู้อธิบายจบอย่างรวดเร็ว จึงมองหลี่ว์เฉาเซิงพร้อมพูดว่า “คุณหมอ คุณดูแลคนไข้อยู่ที่นี่ก่อน ผมจะไปติดต่อบ้านที่มีเรือ”


เจ้าหน้าที่วัยรุ่นทำงานคล่องแคล่วมาก ใบหน้าท่าทางจริงจังมีความรับผิดชอบ ตอนนี้เดินจากไปไกลแล้ว


“ทำไมถึงได้บังเอิญขนาดนี้?” เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้ว “ตอนที่ขึ้นมาบนถนนสายนี้ ฉันเห็นการก่อสร้างของขอบหน้าผา มาตรการป้องกันดินถล่มทำได้ดีทีเดียว แล้วอยู่ๆ ทำไมดินถึงถล่มได้ล่ะ…หลีจื่อ พายุฝนเมื่อคืนนี้แรงมากจริงๆ เหรอ?”


หลีจื่อก้มหัวลงพลางพูดว่า “ฉันนอนหลับสนิทเลยค่ะ ไม่รู้เลย…แต่ว่าคงจะไม่ได้หนักมากมั้งคะ? ไม่อย่างนั้นหลี่ว์ไห่อยู่ที่ผาฟังเสียงคลื่นคนเดียวทั้งคืน ก็ไม่ได้ถูกพัดไปนานแล้วเหรอ?”


เริ่นจื่อหลิงใช้ข้อศอกกระแทกหลีจื่อเบาๆ หลีจื่อรีบแลบลิ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าลูกสาวของหลี่ว์ไห่ยังอยู่ที่นี่


“ฉันไม่เป็นไรค่ะ พี่หลีจื่อ” สาวน้อยส่ายหน้า


เริ่นจื่อหลิงได้แต่มองลั่วชิวพลางพูดว่า “เด็กน้อย เธอคิดว่ายังไง?”


ลั่วชิวตอบ “เสี่ยวตู้คนนั้นคงกลับมาเร็วๆ นี้แล้ว”


เริ่นจื่อหลิงอึ้งพร้อมพูดว่า “อะไรนะ?”


ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมย “ผมว่านะ เขาอาจจะหาเรือที่ออกทะเลได้ไม่เจอ แล้วก็ทำได้แค่กลับมาเท่านั้น”


“เอ๋? ทำไมถึงหาไม่ได้ล่ะ? เมื่อก่อนที่นี่เป็นหมู่บ้านประมงไม่ใช่เหรอ?” หลีจื่อถามอย่างไม่เข้าใจ “ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ได้ทำประมงเลี้ยงชีพแล้ว แต่ก็น่าจะมีเรือสิ”


ลั่วชิวตอบ “ไม่ได้บอกว่าพวกเขาไม่มีเรือ แต่เรืออาจจะใช้ไม่ได้ ถ้าถนนถูกขวางได้ ทางทะเลก็ถูกขวางได้”


หลีจื่อตะลึงงัน


เริ่นจื่อหลิงกลับขมวดคิ้วพูด “เธอหมายความว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?”


“หลังจากได้ยินว่าถนนถูกขวาง คุณก็เริ่มสงสัยแล้วไม่ใช่เหรอ?” ลั่วชิวย้อนถาม



ไม่นานนัก เสี่ยวตู้ก็รีบวิ่งกลับมาอย่างรีบร้อน หอบหายใจพลางพูดว่า “แย่แล้ว! เรือหาปลาของบ้านชาวประมงใช้ไม่ได้เลยสักลำ! ไม่รู้ว่าเรือของพวกเขาไปกระแทกอะไรมา ด้านล่างเรือเป็นรูรั่วหมดเลย เหมือนถูกอะไรกัดเข้า!”


ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ หลี่ว์เฉาเซิงก็ลุกขึ้นทันที พร้อมกับขมวดคิ้วแน่น


หลีจื่อมองลั่วชิวแวบหนึ่งอย่างประหลาดใจ…เจ้าเด็กนี่พูดถูกเป๊ะๆ!


บทที่ 15 ความหวาดหวั่น (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถ้าบอกว่าดินโคลนถล่มเป็นเรื่องบังเอิญล่ะก็ อย่างนั้นแม้แต่เรือพายหาปลาของชาวประมงที่ถูกทำให้เสียหายล่ะ อย่างนี้คงจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญไม่ได้แล้วมั้ง


หนุ่มเจ้าหน้าที่หมู่บ้านขมวดคิ้วถามว่า “ทำไมถึงเหมือนกับถูกวางแผนมาเรียบร้อยเลยล่ะครับ?”


หลี่ว์เฉาเซิงได้แต่บอกว่า “พวกเราลองคิดหาวิธีให้ดีๆ อีกทีดีกว่า หัวใจของคนไข้คนนี้เต้นอ่อนมาก ผมก็ไม่รู้ว่าจะยื้อไว้ได้นานแค่ไหน ต้องพาเขาออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”


“ผมกลับไปหาเลขาแล้วลองคิดหาวิธีกันดู!” เสี่ยวตู้รีบพูด


ก็ทำได้แค่นี้แหละ


หลี่ว์เฉาเซิงพยักหน้า “ผมก็จะพยายามจัดยาบางอย่างให้เขากินแล้วกัน ทนได้นานแค่ไหนก็แค่นั้น”


พูดไป หลี่ว์เฉาเซิงก็หันหน้ามามองพวกลั่วชิว พูดอย่างทุกข์ใจว่า “ขอโทษนะครับ ตอนแรกผมว่าจะจัดการเรื่องยุ่งให้เสร็จแล้วไปช่วยหาหลี่ว์ไห่แท้ๆ เชียว คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น…ผมว่าเอาแบบนี้ดีไหม? พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ ตอนนี้ผมคงดูแลพวกคุณไม่ได้”


“ไม่มีปัญหาค่ะ คุณหมอไปทำธุระเลย ไม่ต้องสนใจพวกเราหรอก” เริ่นจื่อหลิงบอก


หลี่ว์เฉาเซิงไม่ได้พูดอะไร หลังจากพยักหน้าแล้วก็เดินเข้าไปในห้องตรวจรักษาโรค


หลังจากพวกเขาปรึกษากันไปครู่หนึ่งแล้ว ก็ยังคงตัดสินใจทำตามแผนเดิม คือหาตัวคนก่อน ส่วนปัญหาเรื่องการส่งตัวคนไข้ เจ้าหน้าที่หมู่บ้านคนท้องถิ่นและเลขาย่อมจะรู้วิธีมากกว่าคนนอกอย่างพวกเขา


จ๊อกๆ


เพิ่งจะเดินพ้นประตูออกมา ก็ได้ยินเสียงค่อนข้างดังกังวาน


หลีจื่อรีบกุมท้องตนเอง มีสีหน้าเคอะเขิน คิดไปแล้ว หลังข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กินข้าวเลย นี่ก็บ่ายโมงกว่าแล้ว ยุ่งนั้นยุ่งนี้จนลืมกินข้าวกลางวันไปเลย


“หาที่กินข้าวกันก่อนดีกว่า” ลั่วชิวมองเริ่นจื่อหลิง แล้วพูดสบายๆ ว่า “กระเพาะคุณยิ่งไม่ดีอยู่”


เริ่นจื่อหลิงเห็นหลีจื่อประหม่า จึงลูบท้องตนเองพลางพูดว่า “เอ๊ะ ฉันเริ่มหิวแล้วเหมือนกันนะ…อีอวิ๋น เรากินอะไรกันสักหน่อยดีไหม? เดี๋ยวก็ไม่มีแรงไปหาตัวคุณพ่อหรอก กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะ”


สาวน้อยได้แต่พยักหน้า…พวกเขาอุตส่าห์อาสาช่วยเธอ ตอนนี้ยังจะให้พวกเขาทนหิวอีก เธอก็รู้สึกผิดมากแล้ว “งั้น ตรงนั้นมีร้านบะหมี่อร่อยๆ อยู่ร้านหนึ่งค่ะ ฉันเลี้ยงพวกคุณเองนะ!”


“เอาสิ!” เริ่นจื่อหลิงไม่ใช่คนเรื่องมาก จึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย


ถ้าไม่ให้เด็กนี่เลี้ยงล่ะก็ เธอจะยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปเท่านั้นเอง



แต่คิดไม่ถึงว่า ในร้านบะหมี่เล็กๆ ที่หลี่ว์อีอวิ๋นพูดถึง ลั่วชิวยังเห็นใบหน้าคนคุ้นเคย…เจอมั่วมั่วที่นี่อีกแล้ว


ปรมาจารย์หนุ่มแห่งเขาพยัคฆ์มังกรน่าจะมาถึงก่อนหน้านี้แล้ว กินบะหมี่หมดไปชามใหญ่ๆ ชามหนึ่ง ตอนนี้กำลังกินบะหมี่ชามที่สองอยู่


ร้านไม่ใหญ่ มองแวบเดียวก็เห็นแล้วว่ามีใครบ้าง


มั่วมั่วที่กำลังกินบะหมี่ไปพลาง ดูโทรศัพท์มือถือไปพลาง พอเห็นคนที่เดินเข้ามา บะหมี่เต็มปากก็ห้อยคาปากทันที ก่อนค่อยๆ ร่วงกลับไปในชามบะหมี่อีกครั้ง


มั่วมั่วลูบหน้าอย่างรวดเร็วทันที ตอนที่กำลังคิดจะลุกขึ้นยืนนั้น กลับเห็นลั่วชิวหันมาส่ายหน้าเบาๆ


มั่วมั่วคิดในใจว่า ‘ดูท่ารุ่นพี่คนนี้คงไม่คิดจะพูดคุยกับตนเองที่นี่ ไม่อยากเป็นที่สนใจของผู้คน’


คิดไปมันก็ใช่ ข้างๆ รุ่นพี่คนนี้ยังมีสาวน้อยที่บ้านพักตากอากาศเมื่อคืนนี้ตามมาด้วย


แต่ไม่พูดคุย ก็ไม่ได้หมายความว่าฟังไม่ได้นี่นา! มั่วมั่วกำลังคิดอยู่ในใจ บางทีนี่น่าจะเป็นโอกาสเข้าใจที่มาที่ไปของรุ่นพี่คนนี้มากขึ้น!


เขารีบรวมสมาธิจดจ่อไปที่หูทั้งสองข้างของตนเองทันที ใช้พลังของลัทธิเต๋า ให้ความสามารถในการได้ยินดีขึ้นมาในทันที


“นี่ไม่ใช่คนหน้าด้านเมื่อคืนเหรอ?” แต่ไหนแต่ไรสายตาของรองบรรณาธิการเริ่นก็ดีมาก “ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”


มั่วมั่ว…มั่วมั่วได้แต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วกินบะหมี่ต่อไป


แล้วตอนนี้เอง หลีจื่อก็ชูนิ้วชี้แตะบนริมฝีปากทำเสียงชู่ว์ แล้วรีบพูด “พี่เริ่น อย่าก่อเรื่องเลยค่ะ…หมอนี่ดูแล้วไม่เหมือนคนดี”


มั่วมั่ว…มั่วมั่วได้แต่เติมพริกช้อนหนึ่งลงไปในชาม


ลั่วชิวนั่งลง


เพียงแต่หลังจากนั่งลงแล้ว เท้าสองข้างก็ออกแรงเลื่อนเก้าอี้ออกไปหน่อย วินาทีที่ขาเก้าอี้ไม้เสียดสีกับพื้นกระเบื้องก็เกิดเสียงแหลมเล็กดังขึ้น เหมือนกับเสียงกรีดกระจก


ปกติเสียงแบบนี้มักทำให้รู้สึกแสบแก้วหู ยิ่งปรมาจารย์หนุ่มใช้พลังในการฟังด้วยแล้ว ก็ไม่ยิ่งเหมือนฟ้าผ่าเลยเหรอ!


เสียงที่ดังสนั่นในแก้วหูทำให้มั่วมั่วตักบะหมี่ที่เติมพริกหนึ่งช้อนเข้าปากทันที จึงสำลักอย่างทรมาน!


ลำคอเหมือนมีไฟลุกไหม้ ในแก้วหูเหมือนถูกกระแทกจนหูหนวกแล้ว ปรมาจารย์หนุ่มแห่งเขาพยัคฆ์มังกรตกที่นั่งลำบากอย่างที่สุด


พอดื่มน้ำไปหลายแก้วแล้ว ในลำคอถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย มั่วมั่วเล็งไปที่คนสามสี่คนที่โต๊ะฝั่งตรงข้าม พบว่าผู้หญิงสองคนกำลังก้มหน้ากลั้นหัวเราะอยู่


มั่วมั่วแลบลิ้นด้วยความเผ็ด มองรุ่นพี่ซึ่งดูราวกับว่าไม่ได้ทำอะไรเลยคนนั้นแวบหนึ่ง แล้วก็ลอบทอดถอนใจ


รุ่นพี่คนนี้…ร้ายกาจจริงๆ!!


เขาไม่กล้าใช้วิชาแอบฟังแล้ว



“อยากกินอะไรบ้างล่ะ?”


ร้านแบบครัวเรือนเล็กๆ แบบนี้ ย่อมไม่มีความรู้เรื่องการบริการมากมายนัก เถ้าแก่เนี้ยก็พูดจาตามสบายอยู่ตรงหน้าคนสามสี่คน


หลังจากสั่งอาหารแล้ว สาวน้อยก็ถอนใจโล่งอก…ดูเหมือนว่าเงินที่ติดตัวมาจะมีพอจ่าย


ทุกคนสังเกตได้ถึงสีหน้าของสาวน้อย ก็ไม่ได้พูดอะไร


เริ่นจื่อหลิงถึงกับคิดว่าเด็กแบบนี้มีไม่มากแล้ว ว่ากันว่าดินแดนทุรกันดารมีคนเจ้าเล่ห์โผล่ให้เห็นมากมาย แต่เด็กใสซื่อราวดอกบัวขาวก็มีให้เห็นบ้างเช่นกัน


พอเด็กคนนี้ออกไปเรียนหนังสือข้างนอก ก็อย่าได้ถูกกลืนกินกลายเป็นอีกแบบหนึ่งเลย


ทันใดนั้นก็มีเสียงอะไรดังขึ้นมา


เหมือนกับเป็นเสียงกลิ้งมา ดังกังวานอย่างมาก ร้านบะหมี่มีลูกค้าไม่เยอะ รวมโต๊ะของลั่วชิวก็มีลูกค้าแค่สี่โต๊ะเท่านั้น ทุกคนต่างพากันหันไปมองเป็นตาเดียว


ร้านบะหมี่ซึ่งเป็นธุรกิจระดับครัวเรือนแบบนี้ สองชั้น ชั้นล่างทำการค้า ชั้นบนอยู่อาศัย บันไดไม้แถวหนึ่งเชื่อมสองชั้นไว้ด้วยกัน ที่แท้ก็มีคนกลิ้งตกลงมาจากชั้นบน


“ตายจริง พ่อ! พ่อตกลงมาได้ยังไงเนี่ย!”


เถ้าแก่เนี้ยทิ้งของในมือทันที แล้วรีบวิ่งไปดู


แต่เวลานี้กลับเห็นคนนั้นคลานออกมา สีหน้าแสดงชัดว่าหวาดกลัวสุดขีด “ช่วยฉันด้วย…ช่วยฉันด้วย…”


มือของชายชรายื่นออกไป กลับเหมือนรากไม้เก่าแก่ซึ่งถูกฝังลึกในดินเหนียว น่าตกใจเป็นอย่างมาก! เขากำลังออกแรงคลานออกมา สีหน้าย่ำแย่ ราวกับปีศาจน่าเกลียด!


เถ้าแก่เนี้ยคนนั้นร้องลั่นด้วยความตกใจ ล้มนั่งบนพื้นไม่ขยับ!


“นี่…นี่ไม่ใช่…”


พวกเริ่นจื่อหลิงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ละคนก็แสดงสีหน้าเหมือนกัน


มั่วมั่วที่อยู่ทางด้านนั้นก็ขมวดคิ้ว


เขานึกถึงเรื่องเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนของหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้


และก็ในตอนนั้นเอง


“หลีกไป! หลีกไป! หลีกไป!”


นั่นเป็นเสียงตะโกนที่ดังมาจากด้านนอกร้านบะหมี่ เสียงดังกังวานอย่างมาก!


เห็นเพียงนอกถนน วัยรุ่นคนหนึ่งกำลังแบกป้าคนหนึ่งอยู่…บางทีคงจะเป็นแม่ของวัยรุ่นคนนั้น


มือเท้าของป้าคนนี้ มีผิวหนังชั้นนอกคล้ายกับรากไม้เก่าแก่อย่างนั้น!


“หลีกไป! อย่าขวางทาง!”


เด็กวัยรุ่นพยายามออกแรงมุ่งหน้าไปที่คลินิก…


นับว่าป้าที่วัยรุ่นคนนี้แบกอยู่ เป็นผู้ป่วยคนที่สามแล้ว


แต่บางที นี่คงเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น


บทที่ 16 ความหวาดหวั่น (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

บนถนนชุลมุนวุ่นวาย เฉกเช่นเดียวกับเหตุการณ์ในร้านบะหมี่


แขกที่กินอยู่หลบออกไปไกลๆ ทันที


บางทีอาจด้วยชายชราที่ล้มอยู่บนพื้นคนนี้น่ากลัวเกินไป สาวน้อยหลี่ว์อีอวิ๋นหันหน้าหนีทันที เหมือนไม่กล้ามองดูอย่างไรอย่างนั้น


“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


ในขณะเดียวกัน นอกร้านบะหมี่ก็มีผู้ชายอายุสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งหิ้วของจิปาถะถุงหนึ่งเดินเข้ามา พอเห็นชายชราที่ล้มอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง ก็ตกใจจนของที่หิ้วอยู่ในมือร่วงลงพื้นทันที ข้างในนั้นมีของพวกขิงกระเทียมจำนวนหนึ่ง


“คุณปู่! คุณปู่!” ชายวัยรุ่นวิ่งเข้ามาทันที ท่าทางตื่นตกใจ


เถ้าแก่เนี้ยรีบจับชายวัยรุ่นคนนี้พร้อมพูดว่า “เร็ว รีบไปที่ครัวเรียกพ่อของลูกมา ส่งคุณปู่ไปหาหมอ!”


ชายวัยรุ่นตกใจ หลังจากมองคนรอบๆ อย่างงุนงงแวบหนึ่ง ก็วิ่งเข้าไปในห้องครัวอย่างลุกลี้ลุกลน


หลังจากนั้นไม่นาน เถ้าแก่ร้านบะหมี่และลูกชายของเขา ก็ร่วมแรงร่วมใจกันพาคุณปู่คนนี้ออกไปส่ง แล้วร้านบะหมี่ก็ถือโอกาสปิดร้านไปด้วย พอเถ้าแก่เนี้ยปิดร้านแล้วก็เดินตามไปที่คลินิก


ตอนนี้ก็เห็นคนที่ติดโรคคนที่สี่บนถนนใหญ่แล้ว


หมู่บ้านเล็กมาก ข่าวคราวจึงแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ทำให้สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดและไม่สบายใจตลอดเวลา


ถนนฝั่งนั้น ก็มีเสียงดังโหวกเหวกบางเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง…มีคนที่ห้าแล้ว


เพียงวันเดียว…ไม่สิ ภายในเวลาครึ่งวัน


คนที่หก



“หมอ! หมอ! คุณต้องช่วยแม่ฉันนะ! คุณจะต้องช่วยเธอ!”


“หมอ พ่อฉันอายุมากแล้ว ฉันก็รู้ว่าเหลืออีกไม่กี่ปีแล้ว แต่ฉันก็ไม่อยากให้จากไปแบบนี้ ได้โปรดเถอะค่ะ!”


“ถอยไปๆ! หมออยู่ไหม? เฉาเซิง เฉาเซิง! เห็นแก่ที่พวกเราโตมาด้วยกัน ไม่ว่ายังไงนายจะต้องช่วย…”


ปกติคลินิกเล็กๆ ช่วยชาวบ้านตรวจไข้หวัด ฉีดป้องกันโรคระบาดให้เด็กเล็กก็คิวเยอะอยู่แล้ว พอมีคนไข้หกเจ็ดคนและครอบครัวที่มากะทันหันนี้ หลี่ว์เฉาเซิงที่มีผู้ช่วยพยาบาลสาวคนเดียวก็ยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้


ยิ่งไปกว่านั้นที่หน้าประตูคลินิก ก็มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมามุงกันเพราะข่าว เรียกได้ว่าเบียดกันจนน้ำยังผ่านไปไม่ได้


เรื่องนี้ก็รบกวนเลขากรรมการหมู่บ้านอู๋ชิวสุ่ยที่ทำงานอยู่ให้มาอย่างเร่งด่วน เขามาพร้อมกับผู้ช่วยเสี่ยวตู้ ทั้งที่ยังไม่ทันได้หารือวิธีการดีๆ เลย หลังจากนั้นไม่นาน หัวหน้าหมู่บ้านหลี่ว์ก็รีบมาเช่นกัน


“คุณหมอหลี่ว์ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมแป๊บเดียว…” สีหน้าของอู๋ชิวสุ่ยดูไม่ดีเลย เขาขมวดคิ้วแน่น “ไม่นับรวมที่นี่ ระหว่างทางที่ฉันรีบมา ก็เห็นคนกำลังรีบมาที่นี่…คนที่เท่าไรกันแล้ว?”


หลี่ว์เฉาเซิงถอนหายใจพูดว่า “ท่านเลขา ผมเองก็ตกใจจนงงไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้เลย!”


ตอนนี้อู๋ชิวสุ่ยลากหลี่ว์เฉาเซิงมา ถามเสียงเบาว่า “คุณหมอหลี่ว์ คุณบอกผมมาตรงๆ เถอะ นี่…นี่ไม่ใช่โรคจำพวกโรคระบาดใช่ไหม? คนไข้พวกนี้ต้องกักตัวเอาไว้ไหม?”


หลี่ว์เฉาเซิงส่ายหน้าพลางพูดว่า “เครื่องมือที่นี่น้อยเกินไป ผมตรวจอะไรไม่ได้จริงๆ ครับ แล้วพวกเราก็ไม่มีสิทธิ์กักตัวพวกเขาเอาไว้ แต่ถ้า…ถ้าเป็นโรคระบาดล่ะก็ เกรงว่าคง…”


อู๋ชิวสุ่ยเข้าใจความหมายของหลี่ว์เฉาเซิงทันที ตอนนี้มีคนติดโรคอย่างต่อเนื่อง ถ้าเป็นโรคติดต่อร้ายแรง เกรงว่าคงแพร่กระจายไปแล้ว!


แม้กระทั่งตัวเขาเองก็อาจติดเชื้อไปแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้กำเริบ!


“นี่…ท่านเลขา เส้นทางที่ออกไปถูกดินถล่มกั้นทางเอาไว้แล้ว เรือหาปลาของบ้านชาวประมงก็ไม่รู้ว่าถูกตัวอะไรทำพัง พวกเรายังออกไปไม่ได้ชั่วคราว!”


“อย่าตกใจไป ผมติดต่อตัวเมืองไว้แล้ว อีกไม่นานก็จะมีหน่วยกู้ภัยมาจัดการ” อู๋ชิวสุ่ยพูดอย่างใจเย็น


คาดไม่ถึงว่าในตอนนี้เอง น้ำเสียงร้อนรนของครอบครัวคนไข้คนหนึ่งพลันดังขึ้นมา…คาดว่าไม่ได้แอบฟังตั้งแต่แรกก็คงผ่านมาได้ยินพอดี “อะไรนะ? พวกเราออกไปไม่ได้เหรอ?”


หัวหน้าหมู่บ้านตระกูลหลี่ว์พูดเสียงทุ้มต่ำว่า “คุณมานี่ก่อน คุณไม่ได้ยินท่านเลขาบอกเหรอ ว่าอีกไม่นานก็จะมีหน่วยกู้ภัยมา?”


คนคนนี้กลับเอาแต่ถอยหลัง ส่ายหน้า “ไม่…ปิดบังเรื่องนี้กับทุกคนไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นท่านเลขา หรือหัวหน้าหมู่บ้านก็ทำไม่ได้!”


พอเห็นว่าคนนี้มีท่าทางจะเดินออกไป ใบหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านหลี่ว์และอู๋ชิวสุ่ยก็ตึงเครียดทันที รีบร้องตะโกนว่า “กลับมา! อย่าพูดส่งเดช! กลับมา!”


แต่ก็เรียกคนกลับมาไม่ได้แล้ว


อู๋ชิวสุ่ยและหัวหน้าหมู่บ้านหลี่ว์สบตากัน คิดว่าอีกไม่นานเรื่องจะต้องยิ่งวุ่นกว่านี้แน่ เจ้านั่นทำให้คนกลัวโดยไม่จำเป็นเข้าแล้ว!



“ทุกคนฟังนะ เมื่อกี้ฉันเพิ่งไปสืบมาได้ ถนนที่พวกเราออกไปถูกปิดเอาไว้แล้ว! แม้กระทั่งเรือของบ้านชาวประมงก็พายไม่ได้แล้ว! มีคนของบ้านชาวประมงอยู่ไหม? แสดงตัวหน่อย!”


นอกประตูคลินิก ฉับพลันนั้นก็มีคนคนหนึ่งร้องตะโกนเสียงดัง


“นายพูดถูก! ฉันเพิ่งโทรศัพท์กลับบ้าน พ่อของฉันบอกว่า เรือที่บ้านเราใช้ไม่ได้แล้ว! เหมือนถูกตัวอะไรกัดเข้าไป!


อ๊าก!


“เป็นคำสาป! เป็นคำสาป! เหมือนกันไม่มีผิด เหมือนกับปีนั้นเลย!! คำสาปมาอีกแล้ว มาอีกแล้ว!!”


“คุณยายสุ่ยฮวา ยายอย่าพูดมั่วๆ ให้คนตกใจสิ คำสาปที่ไหนกัน!”


“เป็นคำสาปจริงๆ! จริงๆ! จริงๆ! ตอนนั้นฉันเห็นกับตาตัวเองนะ…อ๊าก มาอีกแล้ว! มีมาอีกคนแล้ว!”


ท่ามกลางฝูงชน ฉับพลันก็มีคนแหวกเข้ามาอย่างสับสนอลหม่าน เบาะหลังรถจักรยานยังมัดชายแก่คนหนึ่งเอาไว้ แขนขาบนตัวก็มีของแบบนั้นขึ้นมาเต็มไปหมด


“พวกเราทั้งหมดถูกสาป พวกเราทั้งหมดถูกสาป…ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว!”


คนแก่ที่ชื่อคุณยายสุ่ยฮวารีบฝ่าฝูงชนออกมาทันที วิ่งอย่างโซซัดโซเซไปได้ไม่กี่ก้าวก็ล้มพับลงไปบนพื้น แต่ก็รีบยันตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง วิ่งแบบหนีตาย


พอเห็นท่าทางหวาดกลัวจนหน้าซีดของคุณยายสุ่ยฮวา และคนแก่คนนั้นที่ถูกส่งตัวเข้าไปในคลินิกเล็กๆ ผู้คนก็เริ่มหวาดหวั่น ไม่มีใครกล้าเปล่งเสียงพูดออกมา


ความเงียบพลันเข้าครอบคลุม เหมือนผู้ไว้อาลัยที่กำลังสงบนิ่งให้ผู้ตายในสุสาน


ด้านนอกฝูงชน


หลี่ว์อีอวิ๋นจับแขนของเริ่นจื่อหลิงอย่างลืมตัว ใบหน้าปรากฏสีหน้าตื่นตกใจ พูดด้วยความกังวลอย่างถึงที่สุด “พี่เริ่น…พี่รู้หรือเปล่าว่าคำสาปที่คุณยายสุ่ยฮวาพูดถึงคืออะไร? หรือว่า พ่อ พ่อของฉันก็จะ…ล้มสลบอยู่ที่ไหนสักที่ ถึงได้หาไม่เจอ?”


“อย่ากลัวไปเลย…” เริ่นจื่อหลิงสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง “เธอฟังฉันพูดก่อน พ่อเธออาจจะไม่ได้ติดโรค แต่เรื่องคำสาปนี้ฉันรู้จริงๆ และก็รู้ว่าเรื่องคำสาปนี้ เกี่ยวพันกับสาเหตุการตายของคุณย่าเธอ”


สาวน้อยพลัน็ตกใจไปทันที


ลั่วชิวมองเริ่นจื่อหลิงเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้หลี่ว์อีอวิ๋นฟัง ก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย โยวเย่ที่อยู่ข้างกายเขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย


ลั่วชิวโบกมือเบาๆ ให้โยวเย่อยู่เฉยๆ ไปก่อน แล้วเขาก็ถอยหลังไปเงียบๆ ก่อนหันตัวเข้าไปกลางซอยเล็กๆ แห่งหนึ่ง


เจ้าของสมาคมมองเห็นมั่วมั่วปรมาจารย์หนุ่มเขาพยัคฆ์มังกรอยู่ที่นี่



“คุณมาหาผมมีเรื่องอะไร?”


ลั่วชิวมองมั่วมั่ว ปรมาจารย์ผมสีทองก็กำลังร้องเรียกเขาเบาๆ ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว


มั่วมั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง พูดอย่างจริงจังว่า “รุ่นพี่ คุณคงเห็นพวกคนไข้ที่เดินเข้าคลินิกเล็กๆ นั่นแล้วใช่ไหม?”


ลั่วชิวพยักหน้า พูดเสียงเฉยเมย “แล้ว?”


มั่วมั่วพูดเสียงทุ้มต่ำ “คนไข้พวกนี้กับคนไข้ในหมู่บ้านหลี่ว์เมื่อสี่สิบห้าปีก่อน เหมือนกันไม่มีผิดเลยใช่ไหมล่ะครับ?”


“ก็จริง” ลั่วชิวก็พยักหน้าเห็นด้วย


มั่วมั่วก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าวเล็กๆ ฝ่ามือข้างขวาซ่อนอยู่ข้างหลัง พูดเสียงเบาๆ ว่า “แต่พวกเราก็รู้ว่า โรคเมื่อสี่สิบห้าปีก่อนไม่ใช่คำสาปอะไรเลย ทว่าเกิดจากของพวกนั้นที่หาพบในห้องใต้ดินบ้านร่างชราคนนั้น”


ลั่วชิวมองมั่วมั่วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้า “คุณกำลังสงสัยว่า ผมใช้ของเหลวในหลอดทดลองพวกนั้นสร้างเรื่องวุ่นวาย?”


มั่วมั่วกัดฟันพูด “หมู่บ้านนี้ไม่เคยเกิดเรื่องนี้มาหลายสิบปีแล้ว วันนี้ของที่ถูกฝังไว้พึ่งจะโผล่พ้นดิน มีแค่คุณและผมที่รู้ แต่ในวันเดียวกันนี้ กลับมีคนติดเชื้อโผล่มาอย่างต่อเนื่อง…แล้วรุ่นพี่จะไม่ให้ผมสงสัยได้ยังไง!”


“ไม่ใช่ผม”


ลั่วชิวตอบเรียบง่าย ง่ายจนโต้แย้งไม่ได้เลย


มั่วมั่วถอนหายใจแรงๆ พร้อมพูดว่า “บนโลกมีเรื่องบังเอิญแบบนี้ที่ไหนกัน! เดิมทีผมคิดว่าคุณเป็นรุ่นพี่ที่บำเพ็ญเพียรขั้นสูงคนหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าคุณจะกล้าทำเรื่องโหดร้ายคร่าชีวิตมนุษย์ได้! ผมจะไม่ให้พี่แพร่กระจายของแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว! วันนี้ผมมั่วมั่วจะขอลงทัณฑ์แทนสวรรค์เอง!”


สองมือของปรมาจารย์หนุ่มแยกออกทันที แล้วยันต์สีเหลืองก็ออกมาจากกระเป๋าถือที่เปิดออกทีละใบทีละใบ วนเวียนอยู่รอบตัวเขา


ตามมาด้วยเสียงระเบิดเบาๆ ราวกับเสียงคั่วถั่ว จากนั้นยันต์สีเหลืองก็เริ่มมีประกายสีทองน้อยๆ ปรากฏออกมา!


“ผมไม่ใช่รุ่นพี่อะไรนั่น มีแต่คุณที่บังคับให้ผมเป็นก็แค่นั้น” ลั่วชิวส่ายหน้า “อีกอย่าง…คุณอย่าคิดร้ายกับผมจะดีกว่า”


​บทที่ 17 ความชั่วร้ายและความวุ่นวาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่มั่วมั่วเชื่อในสิ่งที่ตนเองคิดและเริ่มใช้พลังจนถึงขีดสุด ตอนนี้จะใช้คำพูดประโยคสองประโยคมาหยุดได้อย่างไร?


ธนูสีทองพวกนั้นใช้สารชินนาบาร์ที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษบนเขาพยัคฆ์มังกรผสมเข้ากับสารสกัดจากเลือดของสัตว์ดุร้ายบนภูเขา เป็นหนึ่งในสุดยอดพลังที่มั่วมั่วกักเก็บไว้


เขารู้ว่า ‘รุ่นพี่’ หน้าเด็กที่คาดเดายากตรงหน้าคนนี้มีพลังแค่ไหน ย่อมไม่กล้าประมาทเลินเล่อ พอลงมือปุ๊บก็คิดจะใส่พลังทั้งหมดเต็มที่


“น้ำใสพยัคฆ์มังกรเร้นกาย สำเร็จวิชาพยัคฆ์มังกรปรากฏกาย!”


ยันต์สีเหลืองลอยลงพื้นตามกันเป็นสายตามเสียงพูดทุ้มต่ำของมั่วมั่ว แต่พวกมันไม่ได้หายไป ทว่ากลายเป็นเสือร้ายหน้าตาดุร้ายทีละตัวทีละตัว


แสงสีทองรวมตัวกันเป็นร่างเสือร้าย แต่กลับไม่ได้ใหญ่โตเหมือนกับเสือร้ายตัวจริง แต่มีขนาดพอๆ กับหมาป่าดุร้ายธรรมดาๆ พวกมันกรูกันอยู่รอบตัวมั่วมั่ว แต่ละตัวมีพลังน่ากลัวที่ไร้คนเทียบเคียง


กรงเล็บของเหล่าเสือร้ายแสงสีทองกำลังย่อตัวตะปบพื้นดิน อ้าปากแยกเขี้ยว ท่าทางเหมือนเจอกับศัตรูทรงพลังอำนาจ


มือขวามั่วมั่วกำลังจับมือซ้ายเอาไว้ ชิดนิ้วชี้นิ้วกลางของมือซ้ายเป็นตราดาบ แตะไปที่คิ้วของตัวเอง กำลังสื่อสารกับเสือร้ายแสงสีทองพวกนี้อย่างสุดแรงเกิด!


เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามสื่อสารบังคับพวกมันอย่างไร เสือร้ายแสงสีทองที่เขาได้มาตั้งแต่ฝึกวิชาสำเร็จ บัดนี้กลับไม่ยอมขยับตามคำสั่งเลยแม่แต่น้อย!


เสือร้ายแสงสีทองพวกนี้มีจิตวิญญาณของเสือจริงๆ ผนึกเอาไว้ จึงยังมีสัญชาตญาณความกลัวของสัตว์เหลืออยู่…


มั่วมั่วกำลังเคลื่อนพลังมหัศจรรย์ในร่างกายแบบบ้าระห่ำ ดวงตาทั้งสองกลายเป็นสีทองสวยงาม กำลังจ้อง ‘รุ่นพี่’ ที่อยู่ข้างหน้าคนนี้อย่างตื่นตัว


เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมตั้งแต่เริ่มจนตอนนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ตอนนี้ในมุมมองของมั่วมั่ว กลับมีของบางอย่างเพิ่มเข้ามา!


ประตูบานหนึ่ง


ประตูบานหนึ่งที่เห็นรำไรๆ ราวกับมีวิญญาณพยาบาทนับไม่ถ้วนผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ กำลังส่งกลิ่นอายชวนสั่นสะท้านตลอดเวลา


มั่วมั่วเผยให้เห็นสีหน้าสะดุ้งตกใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลังจากเห็นประตูแปลกๆ บานนี้แล้ว จิตใจของเขาก็เหมือนถูกน้ำวนขนาดใหญ่ดูดเอาไว้ ราวกับสามจิตเจ็ดวิญญาณ*จะแตกสลายได้ตลอดเวลา


“ที่แท้คุณก็มองเห็นได้” ตอนนี้ลั่วชิวพูดเสียงเบา “ไหนบอกผมหน่อย รูปร่างเป็นยังไง”


เขากำลังเดินมาข้างหน้ามั่วมั่ว


ทุกครั้งที่เขาเข้ามาใกล้ มั่วมั่วก็รู้สึกเหมือนจิตวิญญาณกำลังถูกสูบออกไปอย่างแรง หลังจากก้าวที่สาม มั่วมั่วก็บ้วนเลือดสดๆ ออกมา


สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นเหน็ดเหนื่อยแบบยากที่จะทนทานได้ ที่บ้วนออกมาไม่ใช่เลือดสดๆ ธรรมดา แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า เลือดเนื้อจิตวิญญาณของลัทธิเต๋า!


เพียงชั่วครู่เดียว พลังลมปราณของเขาได้ถูกทำลายไปอย่างมาก!


เสือร้ายแสงสีทองที่เรียกออกมา พลันหายวับไปในทันที กลายเป็นยันต์สีเหลืองใหม่อีกครั้ง แล้วกลับไปในกระเป๋าถือของเขา


พอมั่วมั่วกัดฟันทำท่าประสานมือใช้เคล็ดวิชา ฉับพลันหมอกควันสีขาวกลุ่มหนึ่งก็ค่อยๆ ปกคลุมเต็มพื้นที่ว่างในซอยนี้ทันที


“อยากหนี?!”


ท่ามกลางหมอกหนา เสียงของโยวเย่ดังขึ้นมาในทันที


เปลวไฟสีดำในมือของคุณสาวใช้ไล่หมอกควันพวกนี้ไปจนหมด ระหว่างนั้นเงาที่อยู่ในสภาพจนตรอกของมั่วมั่วก็ไปอยู่ตรงบริเวณทางออกซอยแล้ว


คาดไม่ถึงว่าลั่วชิวกลับกดข้อมือของโยวเย่ให้หยุด


เขากำลังมองสีหน้าโกรธเคืองของโยวเย่ ก่อนยื่นมือไปจิ้มคิ้วขมวดมุ่นของเธอให้คลายออก แล้วพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ยังไม่ต้องไปสนใจเขา เดี๋ยวก็ได้เจอกันอีก”


“นายท่าน?”


ลั่วชิวตอบ “ช่วงนี้ความรู้สึกนี้นับวันก็ยิ่งชัดเจน”


สาวใช้ยิ้มพูดด้วยความดีใจ “นั่นเพราะนายท่านทำการแลกเปลี่ยนมากขึ้น พลังก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นค่ะ”


ลั่วชิวส่ายหน้า “ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?”


โยวเย่ตอบ “ชาวบ้านเริ่มสติหลุดแล้วค่ะ เลขาและหัวหน้าหมู่บ้านปลอบขวัญก็ไม่ได้ผลอะไร แต่ว่าจำนวนผู้ป่วยไม่ได้เพิ่มขึ้นแล้วค่ะ จนถึงตอนนี้มีคนล้มป่วยทั้งหมดสิบเอ็ดคน เป็นคนแก่อายุเยอะทั้งหมดค่ะ”


ลั่วชิวพยักหน้าพูด “ก็หมายความว่า เป็นคนในสมัยนั้น”


“น่าจะใช่ค่ะ”


“หลี่ว์ไห่ล่ะ”


“ยังไม่ฟื้นเลยค่ะ” โยวเย่พูดเสียงเบา “คิดแล้วคงจะเป็นเพราะถูกฉีดพวกยากล่อมประสาท”


ลั่วชิวหลับตาทั้งสองข้างลง สาวใช้ที่ยืนเงียบอยู่ข้างหลังเขารู้ดีว่านายท่านของตนเองกำลังทำอะไรอยู่


ไม่นานนัก ลั่วชิวก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น พูดเสียงเฉยเมย “คนเริ่มกลัวกันเยอะขึ้นแล้ว…แต่ยังไม่มีคนผิดหวัง”


“อีกไนนก็คงจะมีแล้วค่ะ” โยวเย่พูดเสียงเรียบเฉย “ไม่ว่าใครที่เล่นเล่ห์เหลี่ยมอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้ไม่เหมือนยุคโบราณแล้ว ถึงแม้ว่าถนนจะถูกกีดขวาง แต่ก็ปิดถนนได้ไม่นาน ดังนั้น คนที่อยู่เบื้องหลัง…”


ลั่วชิวมองโยวเย่ที่ตอบกลับเขาได้อย่างดีเยี่ยม ก่อนพูดต่อจากเธอว่า “จะทำให้ความหวาดกลัวเพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง”




พอถึงตอนดึก คนที่ล้มป่วยก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง นับรวมกับคนป่วยตอนกลางวัน คนเป็นโรคก็มีจำนวนสามสิบห้าคนพอดี


ตอนกลางวันมีแค่คนแก่ พอตกกลางคืนกลับเป็นคนวัยกลางกับวัยรุ่น


ในบรรดาคนไข้นี้ยังรวมหัวหน้าหมู่บ้านหลี่ว์ด้วย!


ตัวหัวหน้าหมู่บ้านเองก็นอนอยู่ในคลินิกแล้ว!


ตอนนี้ชาวบ้านกลุ่มเล็กก็ประชุมลับกันโดยปิดบังอู๋ชิวสุ่ยเอาไว้ ที่นี่มีชายวัยฉกรรจ์ และก็มีที่อายุหกสิบกว่า ล้วนแต่เป็นคนมีคุณธรรมและบารมีสูงส่งในหมู่บ้าน


“สามสิบห้าคน…” ตอนนี้คนผู้หนึ่งในนั้นลูบคลำไม้เท้าของตัวเองไม่หยุด เห็นได้ถึงความไม่สบายใจ “ถ้าฉันไม่ได้จำผิดล่ะก็ มากกว่าตอนนั้นอีก…ตอนนั้นแค่สิบกว่าคนเอง”


“ฉันเคยถามเฉาเซิงแล้ว เขาบอกว่าตอนนี้ยังตรวจไม่ได้ เพราะมีเครื่องมือไม่พอ แต่ว่าดูเวลาที่โรคนี้กำเริบแล้ว อาจจะต้องรอพรุ่งนี้ถึงจะมีคนอาการกำเริบอีก”


ชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ รวมตัวกันอยู่ในบ้านเก่านี้ ฉับพลันก็เงียบสนิทจนน่ากลัว…คนที่นี่ไม่รู้ว่าถึงพรุ่งนี้แล้วตัวเองจะกลายเป็นหนึ่งในคนที่ต้องไปนอนในคลินิกไหม


“คำสาป! คำสาปนั้น!” คนแก่ที่ฟันใกล้ร่วงหมดปากคนหนึ่งร้องเสียงแหลม


คนที่ค่อนข้างจะวัยรุ่นหน่อยก็สบถออกมา “หุบปาก! นี่มันยุคไหนแล้ว ยังมาพูดเรื่องคำสาปอะไรอีก! เรื่องนั้นทุกคนตกลงกันแล้วนี่ ว่าจะไม่พูดถึงมันอีก!”


“แต่ออกจากหมู่บ้านไม่ได้แล้ว! พวกเราไม่มีทางหนี…” ตาเฒ่ายังคงพูดยืนกราน “หรือว่าจะต้องปีนขึ้นเขาไหม? ต้องเดินเท่าไรถึงจะเดินออกไปได้? ออกไปไม่ได้สิ! ถ้าล้มป่วยแล้วใครจะไม่รู้ นี่ก็ยังต้องตายอีกอยู่ดี!”


“เฮ่อ…สี่สิบกว่าปีนี้ผ่านไปแล้ว ทำไมของแบบนี้ยังมีมาอีกนะ! หรือว่าจะเป็นเทพเจ้าทะเล?”


“แกไม่ได้ยินทหารรักษาการณ์พูดเหรอ ร่างทรงชราคนนั้นแกล้งผีหลอกคนใช่ไหม?”


“แต่…แต่ทหารรักษาการณ์พวกนั้นเองก็บอกไม่ได้ว่าทำไมชาวบ้านถึงติดโรคแบบนี้มา? ว่ากันว่าการแพทย์ข้างนอกนั้นเจริญก้าวหน้าไม่ใช่เหรอ? เฉาเซิงเรียนจบจากข้างนอกจนกลับมาก็ยังไม่รู้ว่านี่เป็นอะไรกันแน่เลยนี่? อีกอย่างพอเซ่นไหว้บูชาไปครั้งนั้น สถานการณ์ก็กลับมาดีไม่ใช่เหรอ?”


“นี่…อาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ร่างทรงชราคนนั้นเจอเรื่องบังเอิญเข้าแล้ว”


“ถ้าเป็นความจริงล่ะ?” คนแก่คนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องกลืนน้ำลายพร้อมกับพูดว่า “พวกแกรู้จักการเล่นอินเทอร์เน็ตไหม? หลายวันก่อน หลานตัวน้อยของฉันเล่นอินเทอร์เน็ต บังเอิญไปเจอรายงานข่าวเกี่ยวกับหมู่บ้านของพวกเราด้วย บอกว่ามีคนได้ยินเสียงเพลงแปลกๆ ที่ดังมาจากในทะเล แล้วยังบันทึกไว้ได้อีก…พวกแกคิดว่ายังไง?”


“ว่ายังไงนะ?”


“ใช่แล้ว เหล่าหนิวกงว่าอย่างไร?”


เหล่าหนิวกงกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง “เพลงนั้นพิลึกพิลั่นมากๆ! พอฉันฟังปุ๊บ หัวใจก็เต้นไม่หยุดเลย รู้สึกเหม่อลอยไม่ได้สติ แม้แต่เวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ยังไม่รู้ ตอนที่ได้สติคืนมา ก็นั่งมาครึ่งชั่วโมงแล้ว หลานฉันเองก็เหมือนกัน!”


“นี่…นี่เรื่องจริงเหรอ?”


“ฉันจะหลอกพวกแกทำไม?” แล้วเหล่าหนิวกงพูดอย่างหวาดกลัวว่า “แย่แล้ว! แย่แล้ว! แย่จริงๆ แล้ว!”


และในตอนนี้เองคนหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน พูดอย่างหวาดกลัวว่า “แย่แล้ว คุณปู่ทุกท่าน มีคนล้มป่วยอีกแล้ว เยอะมากๆ!”


ในขณะเดียวกัน


โครม!!


ค่ำคืนนี้ เสียงดังแสบแก้วหูพลันดังส่งมา น่ากลัวแบบเห็นได้ชัด ทำให้ทุกคนตกใจทันที พวกเขารีบวิ่งออกมาจากบ้าน กำลังฟังเสียงโครมครามดังมาไม่ขาดสาย!


“เสียงนั่นดังมาจากทางผาฟังเสียงคลื่น!”


“เร็ว หาคนสักคนไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น!”


หลังจากรออย่างยากลำบากมาหลายชั่วโมง คนที่ไปสืบข่าวก็กลับมา สีหน้าดูย่ำแย่ “ผาฟังเสียงคลื่น…ถล่มแล้ว! เหมือนกับสี่สิบห้าปีก่อน…จบแล้วๆ เทพทะเลโกรธแล้วจริงๆ ตอนฉันกลับมา มองเห็นคนหลายคนรีบแห่ไปที่คลินิกของเฉาเซิง มีบางคน…มีบางคน…”


คนคนนี้แสดงสีหน้าซีดขาว พูดเสียงสั่นเครือว่า “มีบางคน…คลานบนพื้น…”


“คำสาปกลับมาแล้ว!! กลับมาแล้ว!!” ตอนนี้เหล่าหนิวกงร้องเสียงแหลมขึ้นมา “เป็นหวงเหล่าเซียนกู! เป็นหวงเหล่าเซียนกู! ตอนนั้นที่เธอถูกจับ พวกเราไม่ได้ไปช่วยเหลือเธอ! ตอนเธอถูกจับฉันยังจำได้แม่น! เธอบอกว่าเธอจะกลับมาแก้แค้นพวกเรา! เธอบอกเธอจะกลับมา! เธอบอกพวกเราดูหมิ่นเทพ! เธอเป็นลูกสาวของท่านเทพ! เธอกลับมาแล้ว!! กลับมาแล้ว!!”


“เหล่าหนิวอย่าทำให้คนอื่นกลัวสิ!”


“กลับมาแล้ว! กลับมาแล้ว!” เหล่าหนิวกงกลับอ้าปากกว้างหอบหายใจเฮือกใหญ่ เบิกตากว้าง ทันใดนั้นก็ล้มลงไปบนพื้น ไม่ขยับเขยื้อนอีก


ทุกคนตกใจกลัว พอรีบดูปุ๊บ…เหล่าหนิวกงก็ขาดใจไปแล้ว!


“อาเป่ากง นี่…นี่ นี่พวกเราควรทำยังไงดี?”


ทุกคนมองไปทางผู้อาวุโสฟันร่วงหมดปากที่ถือไม้เท้าผู้นั้น แล้วอาเป่ากงพูดเสียงทุ้มต่ำ “พรุ่งนี้เช้า ถ้ายังคงมีคนป่วยเพิ่มเติมอีก พวกเราก็ลองทำตามวิธีเมื่อก่อนดูก็แล้วกัน!”


“อะไรนะ…”


“นี่…นี่ไม่ดีนะ!”


“อาเป่ากง พูดมั่วซั่วไม่ได้ แล้วก็ทำส่งเดชไม่ได้…สังคมสมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว นี่เป็นการทำความผิดนะ!”


อาเป่ากงสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งพร้อมพูดว่า “ตอนนี้ผิด แล้วเมื่อก่อนไม่ผิดเหรอ? เมื่อก่อนแกคิดว่าทหารรักษาการณ์พวกนั้นไม่รู้เรื่องที่เราทำเหรอ? พวกเขารู้! แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก! พวกเขาไม่มีทางจัดการพวกเราได้! พวกเขาจะจับพวกเราได้ยังไงล่ะ? จับพวกเราทั้งหมดเอาไว้เหรอ? ไม่ พวกเขาไม่กล้าหรอก! ถ้าจับพวกเราก็จะเกิดความวุ่นวาย! ตอนนี้ก็เหมือนกัน! โทษความผิดทำอะไรชาวบ้านไม่ได้!”


“ใช่! โทษความผิดทำอะไรชาวบ้านไม่ได้! พวกเราก็ไม่มีทางเลือก! พวกเราทำได้แค่ช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น!”


“ใช่ๆๆ! ถ้าเรื่องแบบนี้หายไป ก็หมายความว่าวิธีของเราถูกแล้ว! ถ้าหากไม่หาย…คนป่วยพวกนั้นจะแพร่เชื้อหรือเปล่าก็ไม่รู้ โยนคนทิ้งไป ก็ดีต่อคนรุ่นหลังของพวกเราไม่ใช่เหรอ?”


“ใช่ๆ มีเหตุผล”


“ใช่…”


“รอฟ้าสาง! แต่…แต่ถ้าจะทำตามวิธีตอนนั้นจริงๆ พวกเราจะไปหาคนจากที่ไหน?”


อาเป่ากงสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่งตอบ “ภรรยาของหลี่ว์ไห่ก็เป็นคนข้างนอกไม่ใช่เหรอ…”


*สามจิตเจ็ดวิญญาณ คือ สิ่งที่ประกอบให้เป็นคนสมบูรณ์


บทที่ 18 รอยยิ้ม

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนที่กระอักเลือดออกมาครั้งหนึ่ง มั่วมั่วก็นึกถึงคำพูดที่อาจารย์เคยบอกเขาก่อนลงเขามา


“นอกภูเขายังมีภูเขา เหนือคนยังมีคน ทำอะไรต้องรู้จักระวังตน”


เขาเคารพอาจารย์อย่างยิ่ง ปรมาจารย์หนุ่มที่ไม่มีพ่อแม่ย่อมต้องนับถืออาจารย์ของตนเองเป็นเหมือนญาติ


เขาเป็นเพียงคนหนุ่มที่ทำตัวง่ายๆ สบายๆ แต่บางครั้งก็ขี้ลืม


และหุนหันพลันแล่นมากเกินไปหน่อย


มั่วมั่วสูดลมหายใจลึก พยายามสงบความวุ่นวายในร่างกาย เพียงแค่เห็นประตูบานนั้น ก็ทำให้เขาเกือบจะธาตุไฟเข้าแทรก แม้ว่าเขายังหนุ่มแน่นอยู่ แต่ก็อดตกใจกลัวไม่ได้


ทว่าปรมาจารย์หนุ่มแห่งเขาพยัคฆ์มังกรกลับไม่รู้ว่า นักพรตผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนที่เร่ร่อนในโลกมาห้าร้อยปี ก็กระอักเลือดทุกครั้งที่เห็นประตูบานนี้ กระอักแล้วกระอักอีก จนจะเริ่มชินชาแล้ว


มั่วมั่วใช้เวลาทั้งคืนปรับพลังปราณของตัวเองให้สงบ พระอาทิตย์ที่โผล่พ้นผิวน้ำทะเลขึ้นมา ยังตรงเวลากว่านาฬิกาดิจิทัลใดๆ ที่ละเอียดแม่นยำที่สุด


แต่ว่าท้องฟ้ายังคงสลัวๆ



และก็มีคนที่ใช้แรงงานมาตลอดตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงตอนนี้ นั่นคือชาวบ้านที่หนุ่มแน่นและแข็งแรงจำนวนหนึ่งในหมู่บ้านหลี่ว์ที่ตั้งกลุ่ม ‘ทีมเปิดถนน’ ขึ้นมาเอง


แม้ว่าอู๋ชิวสุ่ยจะบอกว่าติดต่อราชการในเมืองไป และทางนั้ส่งทีมกู้ภัยมาแล้วก็ตาม แต่ชาวบ้านรอต่อไปไม่ได้ เพราะจำนวนคนติดโรคมีเพิ่มขึ้นถึงระดับที่สั่นคลอนคนทั้งหมู่บ้านตระกูลหลี่ว์ให้อยู่ในความโกลาหลได้


“ไม่ได้ ถ้าแค่ดินที่กลิ้งลงมายังพอไหว แต่ว่าส่วนมากเป็นหินผา หากพึ่งกำลังคนแทนเครนล่ะก็ คงเคลื่อนย้ายได้ยากมาก!”


เจ้าหน้าที่หมู่บ้านเสี่ยวตู้ที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนกำลังมองดูอู๋ชิวสุ่ย ตาทั้งสองของเขาเริ่มมีรอยเส้นเลือดให้เห็นแล้ว เห็นได้ชัดว่าเหนื่อยจนถึงขีดสุด


อู๋ชิวสุ่ยก็รู้ว่าลำพังอาศัยแค่มือและเท้าของชาวบ้านพวกนี้ คงจัดการดินถล่มเป็นวงกว้างแบบนี้ได้ยากมาก


“ไม่รู้ว่าคนไข้จะทนได้อีกนานแค่ไหน…” อู๋ชิวสุ่ยขมวดคิ้วแน่น เขาไม่รู้ว่าหลังจากรอให้ทีมย่อยของหน่วยกู้ภัยจัดการถนนจนเรียบร้อยแล้ว คนไข้พวกนั้นจะ…


“เรือทางฝั่งนั้นล่ะ?” อู๋ชิวสุ่ยถาม


เสี่ยวตู้ตอบ “ฝั่งทางเมืองบอกมาแล้ว ว่าจะจัดเรือหาปลามาให้หนึ่งลำ…แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย”


“เราจะช้าไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียวนะ” อู๋ชิวสุ่ยถอนหายใจยาว “ไม่ได้จริงๆ ทำได้แค่แบกคนไข้เดินผ่านทางภูเขาไปทีละคนแล้ว”


อู๋ชิวสุ่ยเลิกคิ้วขึ้น วิตกกังวล และก็เหนื่อยมาก


เสี่ยวตู้ตอบ “ท่านเลขา คุณพักก่อนสักหน่อยเถอะครับ ตรงนี้ให้ผมคอยดูก็ได้”


ฉับพลันนั้นเอง วัยรุ่นคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลน “แย่แล้ว! ท่านเลขา แย่แล้วล่ะ!”


“เกิดอะไรขึ้น?” อู๋ชิวสุ่ยใจกระตุกเล็กน้อย “หรือว่าคนไข้พวกนั้น…”


จนถึงตอนนี้ หมู่บ้านหลี่ว์มีคนติดโรคกว่าร้อยคนแล้ว เพียงคืนเดียวก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขนาดนี้ หากไม่ทำให้คนเครียดก็แปลกแล้ว


“ไม่ใช่ๆ!” ชาวบ้านวัยรุ่นตอบ “เป็นพวกอาเป่ากง! ผู้อาวุโสของกลุ่มชาวบ้านทั้งเมืองนำคนกลุ่มใหญ่ไปทางบ้านพักของหลี่ว์ไห่แล้ว!”


เสี่ยวตู้ชะงักไปพร้อมพูดว่า “พวกเขาไปทำอะไร?”


“บอก…บอกว่าจะไปจับคนมาเซ่นไหว้เทพเจ้าทะเล…” วัยรุ่นพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “บอกว่านี่ไม่ใช่โรค แต่เป็นคำสาป เป็นการลงทัณฑ์ของเทพเจ้าทะเลต่อหมู่บ้านหลี่ว์ มีแต่เพียงการจับคนไปเซ่นไหว้ ถึงปกป้องหมู่บ้านของเราเอาได้ ก็เหมือนกับ เหมือนกับ…”


“เหมือนกับอะไร? พูดมา!” อู๋ชิวสุ่ยเป็นเลขามาหลายปีแล้ว เขาพลันสบถเสียงขรึม ทำท่าทางน่าเกรงขาม


“เหมือนกับตอนนั้นเมื่อสี่สิบห้าปีก่อน!”


“ฟางมิ่ว!” อู๋ชิวสุ่ยเบิกตากว้าง โกรธจนพูดเสียงหลง “คนพวกนี้ คนกลุ่มนี้! พวกปลิ้นปล้อนชั่วร้าย! ชั่วร้ายจริงๆ!! รีบพาฉันไปเร็ว!! โศกนาฏกรรมแบบนั้นจะเกิดซ้ำสองไม่ได้! ให้เจ้าแก่นี่ก่อเรื่องวุ่นวายตามใจชอบได้ยังไง ยังมีกฎหมายอยู่หรือเปล่า?!!”


คนกลุ่มหนึ่งรีบเร่งไปที่บ้านพักตากอากาศอย่างร้อนรน




ก่อนยามฟ้าสาง สาวน้อยก็มาอยู่ในครัวของบ้านพักตัวเองแล้ว


แต่แล้วสาวน้อยหลี่ว์อีอวิ๋นก็ต้องแปลกใจ เพราะคิดไม่ถึงว่าเวลาเช้าขนาดนี้เธอจะพบกับลูกค้าอยู่ในครัว


และยังเป็นลูกค้าชายเพียงคนเดียวอีกด้วย


“คะ คุณลั่ว” สาวน้อยมองดูลั่วชิวที่เดินเข้ามาอย่างค่อนข้างอึดอัด


เธอคิดว่าวัยรุ่นคนนี้เข้าหายากกว่าพี่เริ่น เหมือนกับยิ้มไม่เป็นอย่างนั้น…หลี่ว์อีอวิ๋นทำได้แค่ถามอย่างประหลาดใจ “คุณมาทำอะไรที่นี่ หรือว่าหิวคะ”


เมื่อวานนี้พวกเขามัวแต่ตามหาพ่อของเธอจนไม่ได้กินข้าวดีๆ สักที สุดท้ายเพราะดึกแล้วถึงได้กลับมาก่อน หลังจากกลับมาเริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อที่เหนื่อยมาทั้งวันหัวถึงหมอนก็หลับสนิทไปเลย


จึงไม่ได้ออกมากินข้าวกัน


ลั่วชิวเดินเข้ามา พูดเสียงเรียบเฉยว่า “ว่าจะทำโจ๊กสักหน่อยน่ะครับ…ที่นี่มีขิงไหม?”


“อ๋อ…อ๋อ มีค่ะ” สาวน้อยรีบพยักหน้า “ถ้าเป็นโจ๊ก ที่จริงฉันก็ทำไว้บ้างแล้วค่ะ”


ลั่วชิวมองไปในหม้อครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “นี่ทำให้คุณปู่ของคุณกินเหรอครับ?”


หลี่ว์อีอวิ๋นพยักหน้าพูด “ใช่ค่ะ หลายปีมานี้สุขภาพของคุณปู่ไม่ค่อยดี ท่านก็เลยไม่ค่อยอยากอาหาร ตอนเช้ากินของมันมากไม่ได้…”


เธอส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดขึ้นทันที “ถ้าฉันมีเวลาว่างก็จะต้มโจ๊กให้ท่านกินค่ะ”


ลั่วชิวตอบ “ตลอดคืนนี้คุณแทบจะไม่ได้นอนเลยล่ะสิครับ”


หลี่ว์อีอวิ๋นตอบ “ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไม่เหนื่อยเลย…อีกเดี๋ยวฉันจะลองออกไปหาอีกทีค่ะ”


ลั่วชิวเริ่มซาวข้าวแล้ว สาวน้อยมองโจ๊กที่ตัวเองต้มไว้แป๊บหนึ่ง แล้วก็มองข้าวที่ลั่วชิวกำลังซาว ก่อนจะอ้าปากน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


“ไม่ได้หมายความว่าคุณทำไม่ดีนะครับ” ลั่วชิวส่ายหน้าพูด “เพียงแต่มีบางคนกระเพาะไม่ค่อยดี ผมก็เลยรู้ว่าเธอกินอะไรได้บ้าง”


เธอรู้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจากการพูดคุยเมื่อวานนี้ แล้วตอนนี้สาวน้อยนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดที่ลั่วชิวพูดเมื่อวานนี้ได้ว่ากระเพาะของพี่เริ่นไม่ดี จึงอดอุทานอย่างตกตะลึงไม่ได้ “คุณลั่ว คุณดีกับครอบครัวจริงๆ!”


ลั่วชิวพูดเนิบๆ “คุณก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ”


หลี่ว์อีอวิ๋นก้มหน้าเขินอาย


ฉับพลันนั้นห้องครัวนี้ก็เงียบลง สาวน้อยกวนโจ๊กในหม้อเงียบๆ ส่วนลั่วชิวก็กวนของตัวเองเช่นกัน


“เรื่องนั้น…คุณลั่ว คุณว่าวันนี้หมู่บ้านจะมีคนป่วยเพิ่มขึ้นหรือเปล่าคะ?” หลี่ว์อีอวิ๋นพลันเอ่ยถาม


“พูดยากนะครับ”


หลี่ว์อีอวิ๋นพูดอีก “คุณ…คุณคิดเห็นยังไงกับโรคนี้คะ?”


ลั่วชิวพลันหยุดมือ แล้วมองหลี่ว์อีอวิ๋น พร้อมกับถามว่า “เมื่อวานนี้คุณก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นแล้วไม่ใช่เหรอ…แล้วคุณคิดเห็นยังไงกับโรคนี้ล่ะครับ”


หลี่ว์อีอวิ๋นกัดฟัน พูดด้วยท่าทางเหมือนคนใจแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เธอพูดเสียงต่ำและงุนงง “ฉัน ฉันไม่รู้…”


ลั่วชิวพยักหน้า


ในตอนนี้เอง นอกบ้านพักตากอากาศก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้น เหมือนมีคนกำลังตบประตูรัวๆ และมีเสียงของคนหลายคนดังเข้ามา


ลั่วชิวมองไปทางทิศทางนั้น จากนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดคราบน้ำในมือ และพูดทั้งที่ไม่ได้มองสาวน้อย “ไปดูกันเถอะ”


“อ้อ ได้ ได้ค่ะ” หลี่ว์อีอวิ๋นเผลอตอบกลับ


ลั่วชิวมุ่งหน้าเดินออกไปนอกห้องครัว ซึ่งก็อยู่ในสายตาของสาวน้อย


แต่เขากลับหยุดชะงัก เหมือนนึกอะไรได้ กำลังเอียงหน้าเล็กน้อย แต่สายตายังไม่ได้หันกลับมา


เขาพูด “ใช่แล้ว เธอยิ้มอะไร”


ในตอนนี้ ใบหน้าสาวน้อยมีรอยยิ้มบาง ทว่าพริบตาเดียวก็แข็งทื่อไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม