กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ ภาค 3 ตอนที่ 1-5.1

 ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 1 เจ้าอ้วนของบ้านเราไม่อาจถูกปั่นหัวได้ง่ายๆ หรอกนะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“หวังลู่ นี่เจ้าอกหักงั้นหรือ”


“หา?”


เถ้าแก่เนี้ยจากที่นอนพิงโต๊ะยาวอยู่ก็ยืดตัวขึ้น สีหน้ากระตือรือร้นประหนึ่งคนที่โปรดปรานข่าวซุบซิบ “หลังจากที่เจ้าลงจากเขาไป เจ้าก็ไปเจอหญิงสาวปุถุชนรูปโฉมสะคราญ เจ้าหลงรักนางหัวปักหัวปำ ทว่าวิถีแห่งเซียนแตกต่างจากวิถีมนุษย์ เจ้าไม่อาจให้ความสุขตามที่นางปรารถนาได้ เจ้าจึงต้องจำใจลาจากนางมา แต่ก็มิอาจสลัดนางออกจากใจได้…ข้าพูดถูกไหม”


“นี่ท่านอยู่ในช่วงกระสันงั้นหรือ จู่ๆ คิดเรื่องน่าละอายเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร” หวังลู่ตะคอกอย่างฉุนเฉียว “แต่ก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง ครั้งนี้หลังจากที่ลงจากเขาไปแล้ว ข้าก็ไปเจอปัญหาเข้าจริงๆ ดังนั้นข้าก็เลยกลับมาเพื่อมาหาท่าน แล้วก็ดูว่าพอจะระดมคนไปช่วยเหลือข้าได้หรือไม่”


“ปัญหา?” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่ “นี่เจ้าเจอปัญหาจริงๆ น่ะหรือ ปัญหาที่ว่าคงจะหนักหนาเอาการแน่ๆ รีบเล่าให้ข้าฟังเร็วเข้าสิ!”


หวังลู่ตบโต๊ะเสียงดัง “ไปเอาเหล้ามา!”


“…”


เมื่อได้ความกล้าจากน้ำเมาแล้ว หวังลู่ก็ทั้งสบถทั้งก่นด่าถึงประสบการณ์อันขมขื่นที่เขาเจอในหมู่บ้านตระกูลหวังตั้งแต่ต้นจนจบ


ผลที่ได้รับก็คือ…


“ฮ่าๆๆๆ! นี่เจ้าโดนพวกบ้านนอกคอกตื้อนั่นปรามาสมาจริงหรือ!? ข้าฟังผิดไปหรือเปล่า!?”


ระยำเอ๊ย หญิงสาวผู้นี้เหตุใดถึง ‘อ่อนโยนและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น’ ขนาดนี้นะ!?


ทว่าหวังลู่ก็มิอาจตอกหน้านางกลับได้ นั่นเพราะ…แทนที่จะพ่ายแพ้ให้สำนักเศษสวะอย่างสำนักเจ็ดดารา อาจกล่าวได้ว่าความจริงแล้วเขาพ่ายแพ้ให้กับชาวบ้านตระกูลหวังที่ตื้นเขินต่างหาก หากคนพวกนั้นใช้สมองตรองดูสักนิด ก็คงไม่ต้อนหวังลู่ให้จนมุมเช่นนี้หรอก


ช่างน่าหงุดหงิดเสียจริงๆ


ด้วยอารมณ์โกรธของเขา เช่นนี้แล้วเขาจะฝึกความอดกลั้นได้อย่างไร แม้ก่อนจะจากมา เขาได้ขู่จะฆ่าพวกชาวบ้านที่คิดแตะต้องบิดามารดาของเขาเอาไว้แล้ว จนทำให้พวกโง่เขลาเหล่านั้นกลัวจนหัวหดก็ตาม แต่นั่นเป็นผลจากการที่เขาพยายามอย่างหนักที่จะข่มความโกรธต่างหาก


ไม่ใช่ว่าเขาหัวรุนแรงและกระหายเลือดสักนิด แต่เขาเลือกที่จะใช้วิธีที่เรียบง่ายที่สุดในการแก้ปัญหาต่างหาก หากเป็นที่อื่นๆ เมื่อต้องเผชิญกับพวกสิบแปดมงกุฎ เขาคงแค่ยกกระบี่ขึ้นมาสังหารคนพวกนั้นเสีย แต่พอเป็นหมู่บ้านเกิดของตัวเอง มือและเท้าของเขากลับถูกพันธนาการเอาไว้!


มันทำให้เขาอึดอัดใจ อึดอัดใจที่สุด! น่าเศร้าที่มันเป็นหมู่บ้านของเขาเอง เขาจึงต้องทนกล้ำกลืนเอาไว้!


“เอาล่ะ งั้นขั้นตอนการรอมชอมก็คือไปจับตัวเจ้าสำนักเจ็ดดาราแล้วพามายังหมู่บ้านตระกูลหวังเพื่อสารภาพความผิดทั้งหมด หากคนร้ายยอมจำนน พวกชาวบ้านก็คงหมดคำจะพูด!”


เถ้าแก่เนี้ยเคี้ยวถั่วปากอ้าพลางขมวดคิ้ว “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องทำนงทำเนียมอะไรนั่นหรอก แต่ข้ารู้สึกว่าแผนของเจ้ามันไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่”


“บัดซบ! เถ้าแก่ระดับสามที่มีเงินหมุนเพียงหยิบมืออย่างท่านมีคุณสมบัติพอที่จะประเมินแผนของข้าด้วยหรือ”


ถ้าแก่เนี้ยระเบิดอารมณ์อย่างโกรธเกรี้ยว “นี่เจ้ากล้าดูถูกข้างั้นรึ! ดีล่ะ! งั้นก็อย่ามาขอความช่วยเหลือจากข้าสิ! เด็กหนุ่มผู้ขมขื่นที่ไม่มีใครอยากจะเห็นหน้า ดั้นด้นมาหาความอบอุ่นจากข้า แต่ก็ยังมาพูดจากวนโทสะใส่กันอีก”


หวังลู่ตบโต๊ะ “ใครดั้นด้นมาหาความอบอุ่นจากท่านกัน อย่าผลิตน้ำวิสุทธิ์เหลือเฟือ ไม่สิ! อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง[1]หน่อยเลย เข้าใจไหม!?”


ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังโต้เถียงกันอยู่ คนผู้หนึ่งก็เดินเข้าประตูมา “พี่หลิง พี่หลิง ข้าเตรียมของที่ท่านต้องการทั้งหมดแล้ว มัน… อ้าว ศิษย์พี่หวังลู่ ท่านเองหรือ”


หวังลู่หันกลับไป “เหวินเป่า ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่”


คนที่เดินเข้ามาก็คือเหวินเป่า เขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู มือหนึ่งหิ้วหมูเป็นๆ อยู่ สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย


“อย่าขวางประตู เข้ามา”


หลังจากที่เถ้าแก่เนี้ยเรียกเหวินเป่าให้เข้ามาในห้องและวางหมูลง เหตุผลที่เขายังคงอยู่ที่นี่ก็กระจ่างขึ้น


นั่นเพราะตั้งแต่เริ่มแรกของการออกเดินทางเรียนรู้หาประสบการณ์ ศิษย์คนอื่นๆ ต่างพากันเลือกสถานที่ที่เป็นเป้าหมายของตน มีเพียงเหวินเป่าที่ยังลังเลใจ


นั่นเพราะไม่ว่าจะที่ไหนๆ ก็ล้วนยากไปหมดสำหรับเขา


เส้นทางการบำเพ็ญเซียนของเหวินเป่านั้นแตกต่างจากศิษย์สำนักชั้นในคนอื่นๆ เขาเลือกเส้นทางที่สุดโต่งเช่นเดียวกับหวังลู่แต่เป็นเรื่องที่ตรงข้ามกัน นั่นคือเขาชำนาญด้านการโจมตี ก่อนที่จะลงจากเขา เหวินเป่าสำเร็จขั้นสูงสุดของเพลงกระบี่เหล็กนิลดำแล้ว มันเป็นเพลงกระบี่ของโลกบำเพ็ญเซียนที่สามารถทลายทั้งภูเขาได้ อีกทั้งขั้นตบะของเขาก็แตะขั้นฝึกปราณระดับแปด ดังนั้นพลังโจมตีของเขาจึงน่าสะพรึงมากเสียจนศิษย์พี่ตบะขั้นฝึกปราณระดับสูงยังตะลึงงัน


ทว่าความสามารถด้านอื่นๆ ของเขาเรียกว่าไม่ได้ความ แถมการออกเดินทางเรียนรู้หาประสบการณ์ในครั้งนี้ก็เป็นการวัดความสามารถรอบด้านของเหล่าศิษย์ เหวินเป่าเค้นสมองเพื่อประเมินสถานที่แนะนำแต่ละที่และตัดสินใจได้ว่า แม้แต่ที่ที่เรียบง่ายที่สุดก็ยังถือว่าเสี่ยงไปสำหรับตน


ดังนั้นเหวินเป่าจึงปลีกตัวออกมาลำพัง และเพราะไม่อาจกลับขึ้นไปบนภูเขาได้ เขาจึงอาศัยอยู่ที่เมืองธาราวิญญาณเป็นการชั่วคราวโดยให้เหตุผลที่สละสลวยว่ากำลังรอคอยสหายร่วมกลุ่มเรียกตัว การออกเดินทางเรียนรู้ประสบการณ์ครั้งนี้อนุญาตให้เหล่าศิษย์จับกลุ่มกันได้ ส่วนรายงานก็จะต้องเขียนร่วมกัน ทว่าจำนวนคนในกลุ่มมีได้สูงสุดเพียงสองคนเท่านั้น ทั้งยังอนุญาตให้หลายกลุ่มร่วมแก้ปัญหาเดียวกันอีกด้วย แต่คะแนนที่ได้จากรายงานก็ต้องถูกหารตามสัดส่วนกันไป


เหวินเป่าทำงานให้เถ้าแก่เนี้ยไปพลางรอคอยให้มีใครสักคนเรียกเข้าร่วมกลุ่มไปพลาง ตามคำพูดของเถ้าแก่เนี้ย คือเขาคงรอไปจนแก่ตาย แต่อย่างไรเสีย…เขาก็จำต้องรออยู่ดี!


“ศิษย์พี่หวังลู่ ตอนที่ท่านลงจากเขา ทำไมท่านไม่เรียกหาข้าเล่า”


ทั้งใบหน้าอวบอ้วนและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความขุ่นข้องใจ ในอดีตตอนที่พวกเขาเร่งรุดไปยังผามังกรครามด้วยกัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็พัฒนาขึ้นโดยปริยาย ในการเรียนรู้หาประสบการณ์ครั้งนี้ เขายังคิดว่าจะได้สำแดงพลังการจู่โจมร่วมกันอีก ทว่าหวังลู่กลับออกเดินทางไปตามลำพัง! เขาจึงอดรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้


“ว่าแต่ท่านกลับมาทำไม”


หวังลู่คิดว่าควรบอกความจริงให้เหวินเป่ารู้ เขาจึงเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดอีกครั้ง หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ใบหน้าของเหวินเป่าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ “สำนักเจ็ดดาราช่างน่ารังเกียจนัก พวกเขากล้าข่มเหงคนในหมู่บ้านของศิษย์พี่หวังลู่ แบบนี้ให้อภัยไม่ได้แล้ว!”


เถ้าแก่เนี้ยเลิกคิ้ว “งั้นหรือ ข้าคิดว่าชาวบ้านพวกนั้นต่างหากที่น่าชัง พวกเขาโง่เง่าถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน แถมยังเชื่อคนนอกมากกว่าหวังลู่ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านตัวเองอีก อย่างไรเสียเจ้าเด็กนี่ก็เคยอยู่ในหมู่บ้านนั้นมาสิบกว่าปี พวกเขากลับบุ่มบ่ามตัดสินว่าเป็นปีศาจเสียได้”


หวังลู่ฮัดฮัดพลางคิดว่า ‘ท่านคิดงั้นรึ’


เมื่อเทียบกับพวกสำนักเจ็ดดาราจอมวายร้ายแล้ว เป็นชาวบ้านของหมู่บ้านตระกูลหวังเสียอีกที่ทำให้เขารู้สึกขุ่นเคือง


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นคนจิตใจดี ทว่าจากกันเพียงสองปีกว่าพวกเขาก็กลายเป็นคนโง่เขลาไปเสียได้…


ครั้งนี้เหวินเป่าอธิบายอย่างใจเย็นราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ “พวกเขาก็แค่ชาวบ้าน จะโง่เง่าไปบ้างก็ไม่น่าแปลกใจ หากเป็นคนระดับอื่น สำนักเจ็ดวิญญาณก็ไม่อาจหลอกได้แน่! ยิ่งโง่เท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น”


“…”


หวังลู่กับเถ้าแก่เนี้ยนิ่งอึ้งไป ต่างฝ่ายต่างตะลึงกับ ‘วรรคทองแห่งปี’ ของเหวินเป่าเป็นอย่างมาก


“ฟังดูมีเหตุผล” เถ้าแก่เนี้ยประเมินอย่างคลุมเครือพลางเคี้ยวถั่วปากอ้าทอดไปด้วย


หวังลู่พยักหน้าเห็นด้วย “คำพูดเช่นนี้ไม่น่าออกจากปากของคนที่มีระดับปัญญาเจ้าเลย นี่ไม่ใช่คำพูดหยาบๆ จากคนหยาบๆ แต่เป็นคำคมชัดๆ”


เหวินเป่ารู้สึกอับอาย “ความจริงแล้วนั่นเป็นคำพูดของพ่อข้าต่างหาก ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจความหมายหรอก ได้แต่จดๆ มันเอาไว้”


“อ๋อ เป็นเช่นนี้นี่เอง อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นถึงบุตรของราชครู ไม่แปลกหรอกที่เจ้าจะเรียนรู้อะไรมาบ้าง”


“ศิษย์พี่หวังลู่ ท่านชมเกินไปแล้ว… เอ่อ หากท่านไม่มองว่าข้าต่ำต้อยเกิน งั้นเรามาจับกลุ่มกันไหม”


“จับกลุ่ม?” หวังลู่ตะลึงไปพักใหญ่ก่อนจะจ้องมองเหวินเป่าอย่างพินิจพิเคราะห์ “อืม ฟังดูเข้าที อย่างไรเสียข้าก็ยังขาดเรื่องกำลังคน ได้อีกคนมาเสริมแรงก็น่าจะดี เพราะลำพังข้าน่ะไม่สามารถโค่นสำนักเจ็ดดาราได้แน่”


“เยี่ยมเลย เยี่ยม” เหวินเป่าตอบกลับอย่างกระตือรือร้น แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “เอ่อ ว่าแต่สำนักเจ็ดดารานี่อยู่ระดับไหนกัน”


หวังลู่ตอบกลับ “ระดับเศษสวะ พวกเขาคุณสมบัติไม่พอจะเข้าเป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียนด้วยซ้ำ ข้าว่ามากสุดเจ้าสำนักก็อยู่แค่ขั้นพิสุทธิ์นั่นแหละ”


“…” เหวินเป่าขวัญกระเจิงจนทั้งร่างแข็งทื่อราวกับหินทีเดียว “ศิษย์พี่หวังลู่ ท่านว่าไงนะ เจ้าสำนักของพวกเขาอยู่ในขั้นไหนนะ”


“ขั้นพิสุทธิ์ เฮอะ ยังไม่ถึงขั้นสร้างแกนด้วยซ้ำ”


เหวินเป่ากระอักเลือดออกมากองโต “ศิษย์พี่หวังลู่ ท่านเองอยู่เพียงขั้นฝึกปราณระดับต่ำ แล้วท่านไปเอาความรู้สึกเป็นต่อนี่มาจากไหนกัน ไม่ว่าสำนักนั่นจะสวะเพียงใด แต่เจ้าสำนักก็ยังอยู่ในขั้นพิสุทธิ์ ขั้นพิสุทธิ์เชียวนะ! วงโคจรของพลังอิทธิฤทธิ์ของคนพวกนี้ถูกบีบอัดจนถึงจุดหนึ่งแล้ว และอย่างไรเสีย เขาย่อมมีพลังมากกว่าเราเป็นร้อยๆ เท่าแน่นอน แล้วนี่ท่าน…”


หวังลู่พูดหยันเสียงเย็น “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว สิ่งที่เจ้าเปรียบจะเป็นจริงก็เฉพาะกับศิษย์ขั้นพิสุทธิ์ของสำนักเราเท่านั้น แต่กับสำนักสวะอย่างสำนักเจ็ดดาราแล้วนั้น ขั้นพิสุทธิ์ที่มีพลังมากกว่าเราแค่สิบเท่าก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว… อย่าลืมทฤษฎีที่ว่า หากศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณลงจากเขาแล้ว ย่อมต้องได้พบกับผู้ฝึกเซียนจากสำนักต่างๆ ที่ด้อยกว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากจะประเมินความสามารถพวกเขา ศิษย์อย่างเราต้องใช้กฎมากกว่าขั้นหนึ่ง นั่นคือ ศิษย์ขั้นฝึกปราณระดับต่ำของสำนักเราเทียบเท่ากับศิษย์ขั้นสร้างฐานระดับต่ำของสำนักอื่นอย่างไรเล่า”


เหวินเป่าแทบจะเป็นบ้าอยู่ร่อมร่อ “นั่นมันก็แค่กฎสั่วๆ ไร้ความรับผิดชอบ! อีกทั้งยังใช้ได้เฉพาะกับขั้นสร้างฐานไปจนถึงขั้นสร้างแกนเท่านั้น เรายังเป็นแค่ศิษย์ใหม่ที่ยังมีพื้นฐานไม่มากพอจะท้าประลองกับผู้ฝึกเซียนต่างขั้น! อีกทั้งเรายังเป็นแค่ผู้ฝึกเซียนขั้นสร้างปราณระดับต่ำ เทียบกับขั้นพิสุทธิ์แล้วยังถือว่าต่างกันลิบลับ!”


หวังลู่เถียงกลับ “แต่ข้าเป็นศิษย์ผู้สืบทอด เพราะงั้นหากจะบวกเพิ่มอีกขั้นนึงในการท้าประลองกับผู้ฝึกเซียนต่างขั้นมันก็เป็นไปได้ จริงไหม”


“นี่ท่านตื่นหรือยังเนี่ย!? คิดว่าการเป็นศิษย์ผู้สืบทอดมันเจ๋งขนาดนั้นเลยหรือ!? คิดจะเพิ่มตบะให้ตัวเองอีกขั้นในการท้าประลองกับผู้ฝึกเซียนต่างขั้นงั้นรึ ท่านคิดว่าตัวเองเป็นหลิวหลีเซียนหรือจูซือเหยาหรืออย่างไร!?”


เมื่อนึกถึงศิษย์พี่หญิงที่เป็นดั่ง ‘ปีศาจ’ สองคนนี้แล้ว หวังลู่จึงจำต้องอธิบายอีกหน “เจ้าก็รู้ว่าวิชาตั้งรับไร้ลักษณ์ของข้ามันน่าทึ่งแค่ไหน อย่างน้อยก็น่าจะทนต่อการโจมตีของขั้นพิสุทธิ์ได้ เจ้าว่าไหม”


“ขั้นตบะห่างกันตั้งสองขั้น!? ท่านกล้าดียังไงถึงคาดการณ์ออกมาได้หน้าไม่อายขนาดนี้!? อีกอย่างนะมีพลังตั้งรับที่น่าทึ่งมันดีเด่ที่ตรงไหนกัน ท่านอยากเป็นกระสอบทรายงั้นหรือ!?”


“เพราะงั้นข้าถึงมาระดมพลอย่างไรเล่า ตอนแรกข้าว่าจะขอร้องศิษย์ผู้สืบทอดสักสองคนให้ช่วย แต่ในเมื่อข้าเจอเจ้าแค่คนเดียว ก็คงต้องจัดการไปเท่าที่มีนั่นแหละ”


“ข้าไม่ขอไปตายกับท่านด้วยหรอก ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ให้นานกว่านี้อีกนิด!”


“จะว่าไปข้าได้ยินว่าทักษะของเจ้าพัฒนาขึ้นอีกแล้วนี่”


“นั่นเพราะท่านบังคับข้าต่างหาก ศิษย์พี่หวังลู่! ทุกครั้งที่เราไปที่เขาเมฆาครามเล็ก เหมือนท่านอยากต้อนให้ข้าจนมุมเสียก่อนท่านถึงจะพอใจ!”


หวังลู่กับเถ้าแก่เนี้ยมองหน้ากัน สำหรับพวกเขา การได้เห็นเหวินเป่าใกล้เป็นประสาทนั้นน่าสนุกไม่น้อย


“ถ้าอย่างนั้น ตั้งแต่นี้ไปข้าจะเรียกเจ้าว่าเหวินเป่าผู้ตื่นรู้”


“ผู้ตื่นรู้อะไร!?”


“พูดสั้นๆ ก็คือ ข้ารับฟังในสิ่งที่เจ้ากังวล หากเจ้าสำนักเจ็ดดารามีตบะอยู่ในขั้นพิสุทธิ์จริงอย่างที่คาดการณ์ล่ะก็ แค่เราสองคนคงไม่เพียงพอที่จะรับมือได้ไหว”


ตอนนั้นเองเถ้าแก่เนี้ยก็พูดขัดขึ้นมา “ไม่ใช่แค่เจ้าสองคนหรอก ต่อให้รวมศิษย์ผู้สืบทอดอีกสองคนก็ยังยากที่จะต่อกรกับผู้ฝึกเซียนขั้นพิสุทธิ์เลย เพราะฉะนั้น…”


หวังลู่ยิ้ม “เพราะฉะนั้น…”


เถ้าแก่เนี้ยรู้สึกเสียวสันหลังวาบในทันที ราวกับว่ามีสิ่งโสมมสัมผัสที่หลังของนาง


“เพราะฉะนั้น พี่หญิงหลิง ครั้งนี้เราคงต้องกวนท่านช่วยเหลือเราด้วย”


“…”


“ฟังนะ ท่านไม่ใช่คนในสำนัก ต่อให้ท่านร่วมกลุ่มกับเรา ก็ไม่ถือว่าเกินจำนวนที่กำหนด อีกทั้ง…”


ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “…ข้าไม่อยากร่วมกลุ่มกับเจ้า”


หวังลู่ตะลึงงัน “หา? ทำไม ข้าไม่เห็นท่านจะมีงานอะไรทำเลยในโรงเตี๊ยมเนี่ย”


“ไม่มีงานอะไรทำ? พูดจาบาดหูยิ่งนัก!”


“ลูกค้าท่านก็พอๆ กับโรงอาหารยอดเข้าเร้นลับนั่นแหละ ข้าพูดเรื่องจริง ต่อให้ท่านไม่อยากยอมรับก็เถอะ”


“เจ้า เจ้ากล้าเทียบข้ากับแม่ครัวหมาเน่าจากตะวันตกงั้นรึ!? ข้าจะบอกให้นะ แม้แต่สำนักเองก็ยังบังคับให้ข้าทำภารกิจไม่ได้เลย!?”


เมื่อได้ยินคำตอบที่เด็ดขาดเช่นนั้น หวังลู่ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “เหวินเป่า เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ”


“หา!? เอ่อ ก็ได้” เหวินเป่าอ้วนเดินออกไปในทันทีโดยไม่คิดตั้งคำถามอะไร


ด้วยเหตุนี้เขาจึงโชคดียิ่งนักที่ไม่ต้องได้คำพูดภายในโรงเตี๊ยม


“โธ่ท่านอาจารย์ โปรดช่วยศิษย์คนนี้ด้วยเถอะ!”


“ระยำ! เจ้าใช้อุบายแบบนี้อีกแล้วนะ!?”


“ท่านอาจารย์ ช่วยศิษย์ของท่านด้วยนะ!”


“เจ้า… ก็ได้ ก็ได้ ข้ารับปากเจ้าก็ได้! พอที เลิกคุกเข่าคำนับได้แล้ว!”


………………………………………………………


[1] 自作多情 zì zuò duō qíng แปลว่าคิดเข้าข้างตัวเอง ตอนแรกหวังลู่ใช้คำว่า 自作多精 ซึ่ง 精 jīng แปลว่าน้ำอสุจิ


ตอนที่ 2 แกะรอยสัมผัสสิบแปด (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“พูดสั้นๆ ก็คือ ด้วยเหตุผลหลายประการ พี่หญิงหลิงผู้ปราดเปรื่องและเก่งกาจของเราตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกลุ่มเพื่อปราบสำนักเจ็ดดารากับเราด้วย”


ที่นอกโรงเตี๊ยม หวังลู่แนะนำสหายร่วมศึกคนใหม่กับเหวินเป่า ผู้ที่ดูเหมือนคาดหวังให้เรื่องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว


บุตรสาวนอกกฎหมายของเจ้าสำนักกระบี่วิญญาณ เถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมตระกูลหรูแห่งเมืองธาราวิญญาณ และเหนือสิ่งอื่นใด เป็นจอมยุทธ์ยอดฝีมือ แม่นางเฟิงหลิง!


เถ้าแก่เนี้ยกล่าวตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เอาล่ะ เอาล่ะ เลิกทำเป็นเล่นแล้วรีบๆ จบเรื่องนี้เสียที ไม่เช่นนั้นข้าจะกลับไปนอนต่อแล้ว… ข้าว่าตอนนี้กลุ่มของเจ้าก็สมบูรณ์แล้ว เจ้าจะทำอย่างไรต่อล่ะ มีแผนการในใจแล้วหรือยัง”


“แน่นอน แผนต่อไปก็คือทลายฐานที่มั่นหลักของสำนักเจ็ดดารา ลากตัวเจ้าสำนักไปยังหมู่บ้านตระกูลหวังเพื่ออธิบายทุกอย่างให้ชาวบ้านฟัง จากนั้น… พวกเขาจะคิดเห็นเช่นใดก็ไม่ใช่ปัญหาของข้าอีกแล้ว”


“…แล้วรู้หรือว่าฐานที่มั่นของพวกเขาอยู่ที่ไหน”


“ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า”


“ระยำแท้! เรื่องนี้เจ้าเองก็ยังไม่รู้ แล้วจะให้คุยหาบิดาเจ้าหรือ!? ข้าไปนอนต่อละ!”


“อย่ากังวลไปเลยน่า ต่อให้ตอนนี้ข้าไม่รู้ แต่เราย่อมหาจนเจอได้แน่” หวังลู่ยิ้มหยัน “หากตามเบาะแสไป เราย่อมเจอฐานที่มั่นของพวกมันได้อย่างง่ายดาย”


“ไหนเล่าเบาะแส”


“แน่นอนว่าต้องอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหวัง”


เถ้าแก่เนี้ยตะลึงงัน “ไม่ใช่ว่าเจ้าไล่คนพวกนั้นออกจากหมู่บ้านไปหมดแล้วหรือ…”


“ตัดบัวยังเหลือใยไหมเล่า”


“ใยอะไรของเจ้า… ช่างเถอะ หมู่บ้านตระกูลหวังงั้นสินะ ไม่ไกลจากที่นี่มากใช่ไหม เจ้ายังจำได้หรือเปล่าว่าความสามารถของข้ามีผลแค่เฉพาะในแคว้นธาราครามเท่านั้น เพราะฉะนั้น…”


“ข้ารู้ นั่นเพราะจุดชีพจรของพลังปราณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในแคว้นธาราครามใช่ไหมเล่า วางใจเถอะ ข้าพาท่านไปด้วยเพื่อเสริมพลังโจมตี ไม่ใช่เพื่อคอยยั้งเรา สำนักเจ็ดดาราเป็นแค่สำนักสวะๆ ดังนั้นข้าว่าฐานที่มั่นของคนพวกนั้นต้องไม่ไกลจากหมู่บ้านตระกูลหวังแน่นอน” ——


ไม่ช้าสิ่งที่เรียกว่า ‘ตัดบัวยังเหลือใย’ ของหวังลู่ ก็ทำให้พวกเถ้าแก่เนี้ยได้เปิดโลกกว้าง


สี่วันต่อมา ทั้งหมดก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านตระกูลหวัง ในคืนนั้นเอง ภายใต้การสั่งการของหวังลู่ เถ้าแก่เนี้ยเจ้าของกิจการผู้ซื่อตรง ก็ได้ทำกิจที่น่ารังเกียจลงไป นั่นคือแอบย่องเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อลักพาตัวชาวบ้านออกมา


หนำซ้ำ ตามคำสั่งของหวังลู่ นางยังต้องมัดชาวบ้านผู้นั้นด้วยเชือกป่านจนร่างของเขาดูเหมือนเกี๊ยวนึ่งไม่มีผิด แถมเชือกยังรัดแน่นเสียจนผิวของคนผู้นั้นกลายเป็นสีม่วงเหมือนกุ้งย่าง


“…นี่ ข้าว่ามัดขนาดนี้เขาอาจถึงตายได้นะ”


นางแบกตัวประกันขึ้นไหล่แล้วรีบวิ่งออกจากหมู่บ้านไปยังยอดเขาของหุบเขาหูสุนัข เถ้าแก่เนี้ยไม่รู้ความตั้งใจของหวังลู่ นางจึงพูดเตือนออกไป


แต่หวังลู่ไม่ได้อธิบายอะไร เขาเดินตรงไปที่บุคคลซึ่งถูกลักพาตัวมา ยัดเศษผ้าสะอาดเข้าไปในปากคนผู้นั้น จากนั้น…


เพียะ!


หวังลู่ตบเข้าที่แก้มของคนผู้นั้น จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “หากเจ้าไม่ทำเรื่องโง่ๆ ลงไป ก็คงไม่ต้องมารับผลเช่นนี้หรอก อย่างน้อยเราก็คนร่วมหมู่บ้านเดียวกัน ข้าไม่อยากฆ่าเจ้าเลยจริงๆ เสี่ยวหู”


หวังเสี่ยวหูที่ถูกมัดแน่นจนดูเหมือนกุ้งย่างตื่นตกใจ ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าเขาจะจำเสียงของหวังลู่ได้


“พี่หวังลู่ อย่าฆ่าข้าเลยนะ”


น้ำเสียงของเขาสั่นเครือและแผ่วเบา


หวังลู่ส่งเสียงฮึ “ข้าอยากถามคำถามเจ้านิดหน่อย หลังจากนั้นข้าจะปล่อยเจ้ากลับไป”


“…ตกลง”


“เจ้ารู้ฐานที่มั่นของสำนักเจ็ดดาราหรือไม่”


“ข้า ข้าไม่รู้ มีเพียงอาจารย์ของข้า…กับทูตระดับสี่ดาวเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะได้รู้ฐานที่มั่นของสำนัก”


“อาจารย์ของเจ้าคือใคร”


“เขาชื่อเหอถาน… ผู้ฝึกเซียนที่เจ้าฆ่าตายไปเมื่อวันนั้น”


“นอกจากอาจารย์ของเจ้าแล้ว เจ้ารู้จักคนของสำนักเจ็ดดาราอีกบ้างไหม”


“โจวหมิงรุ่ย… ทูตคนที่เจ้าฆ่า”


“นอกนั้นล่ะ”


“ข้ายังเป็นแค่เด็กใหม่ เพราะงั้น…จึงไม่รู้อะไรมากนัก” เมื่อพูดถึงตรงนี้ หวังเสี่ยวหูก็เริ่มสั่นกลัว เขาเกรงว่าหากเขาไม่สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หวังลู่จะโมโหจนฆ่าเขาทิ้งเสีย


ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้น เขากลับพบว่าดวงตาของหวังลู่นั้นเยือกเย็นราวกับดวงจันทร์ อารมณ์ของเด็กหนุ่มมิได้แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย


“หลายวันมานี้ มีคนจากสำนักเจ็ดดารามาหาเจ้าบ้างไหม”


“อ้า มี!”


“ใคร”


“หนึ่งในนั้นเป็นลูกศิษย์ระดับสองดาว ส่วนอีกคนข้าไม่รู้จัก เขาเป็นคนมาหาข้าเองแล้วเอาจดหมายจากสำนักให้ข้า”


“จากนั้นเล่า”


“เขาไม่ให้ข้าทำอะไรบุ่มบ่าม สำนักไม่ต้องการเป็นศัตรูกับเจ้า แต่เขาต้องการให้ข้าคอยสอดส่องสถานการณ์แล้วรีบรายงานหากมีอะไรเปลี่ยนแปลง”


“แล้วเจ้ารายงานพวกเขาไปหรือยัง”


“ข้าไม่ได้รายงานอะไร… ทั้งยังพยายามห้ามชาวบ้านบางคนที่คิดจะไปหาเรื่องพ่อของเจ้าด้วยซ้ำ ข้า…”


“เงียบปาก แล้วคนที่เจ้าต้องติดต่อด้วยอยู่ที่ไหน”


“เขาบอกว่าช่วงนี้เขาจะซ่อนตัวฝึกวิชาอยู่ที่นอกหมู่บ้าน หากอยากจะพบเขาต้องใช้เครื่องมือวิเศษช่วย… ข้าซ่อนสิ่งนั้นไว้ที่บ้าน มีเพียงข้าที่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน”


พูดจบหวังเสี่ยวหูก็เงยหน้ามองหวังลู่อย่างคาดหวัง เขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อให้หวังลู่ปล่อยเขาให้เป็นอิสระ


เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยปาก “อยากให้ข้าไปตามหาหมอนั่นไหม”


หวังลู่ส่ายหน้า “ไม่จำเป็น อีกอย่างสติปัญญาระดับท่านจะให้ไปตามหาเจ้านั่นคงจะยากเกินไป”


“…”


จากนั้นหวังลู่ก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ กระดูกกระบี่สองร้อยหกชิ้นที่สั่นสะท้านอยู่ใต้กระดูกจักรพรรดิซึ่งส่องแสงเรืองรอง ก็ระเบิดพลังดูดซับรุนแรงผิดธรรมดาออกมา


กำลังในการดูดซับพลังปราณฟ้าดินสำหรับตบะขั้นฝึกปราณระดับต่ำของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าเมื่อสองสามเดือนก่อนมาก พลังปราณฟ้าดินถูกพลังดูดซับจำนวนมหาศาลดูดเข้ามา และกำลังรวมตัวกันเป็นพายุที่มองไม่เห็น


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ไม่รู้สึกถึงสิ่งนี้ แต่กับผู้บำเพ็ญเซียนสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หวังลู่แล้วนั้น พวกเขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวงยิ่งนัก


“พี่หวังลู่ นี่มัน…!?”


เรื่องการบำเพ็ญเซียน เหวินเป่าเองก็ถือว่ายอดเยี่ยม ทว่าเรื่องการดูดซับเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าไปนั้น พลังปราณรอบตัวที่เขาสามารถดึงเข้าร่างได้ไกลสุดก็เพียงห้าวาเท่านั้น อีกทั้งแรงต้านของพลังปราณก็มีมหาศาล ในระยะห้าวานี้ หากเขาสามารถสูดเอาพลังปราณวิญญาณฟ้าดินเข้ามาได้หนึ่งส่วน ก็ถือว่าดีมากแล้ว


ทว่าที่หวังลู่เพิ่งสูดหายใจเข้าไปกระทบถึงพลังปราณวิญญาณฟ้าดินในระยะนับร้อยๆ วา ทำให้เหวินเป่านึกไปถึงปรมาจารย์ขั้นสร้างแกนที่อยู่ในสมาธิขั้นลึกของสำนัก


ตบะของหวังลู่อยู่เพียงขั้นฝึกปราณระดับต่ำ เหตุใดการสูดเอาพลังปราณวิญญาณฟ้าดินของเขาจึงรุนแรงยิ่งนัก!?


ทว่าในสายตาของหวังเสี่ยวหู ผู้ฝึกเซียนอีกคนหนึ่งนั้น ภาพที่เห็นยิ่งทำให้ตื่นตะลึงจนทำให้จิตใจแทบกระเจิง


พอได้พึ่งพาหกประสานและโอสถเพาะรากวิญญาณ เมื่อสองปีก่อนหวังเสี่ยวหูจึงได้เข้าไปเป็นศิษย์สำนักชั้นนอกของสำนักเจ็ดดารา และจากการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของผู้เป็นบิดา เขาก็ได้ฝึกบำเพ็ญตบะอย่างหนักหน่วงมากกว่าสองปีจนในที่สุดก็สำเร็จตบะขั้นฝึกปราณระดับเก้าและได้เรียนรู้วิธีหายใจเพื่อดึงพลังปราณฟ้าดิน ในการฝึกฝน เขาสามารถสูดลมหายใจหนึ่งเฮือกเพื่อดึงพลังปราณเข้าร่างได้เพียงหยดเล็กๆ แต่ก็ถือว่าดีไม่น้อยแล้วตามคำพูดของอาจารย์ และหากเขาพากเพียรฝึก ชั่วชีวิตนี้เขาก็อาจไปถึงขั้นสร้างฐานก็เป็นได้…


ทว่าสิ่งที่เขาอุตสาหะบำเพ็ญตบะมาตลอดสองปีนั้นยังมิอาจเทียบได้กับปริมาณของพลังปราณวิญญาณฟ้าดินที่หวังลู่เพิ่งสูดเข้าไปเมื่อครู่นี้เลย! หรือว่า…นี่ถึงเรียกว่าผู้ฝึกเซียนที่แท้จริง หากนี่เรียกว่าผู้ฝึกเซียนที่แท้จริง แล้วที่เขายากลำบากมาตลอดสองปีนี่…ก็ถือว่าเสียเปล่าโดยแท้!


ความเศร้าโศกเอ่อท่วมหัวใจชายหนุ่มอยู่ชั่วขณะหนึ่ง


ทว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหวังลู่ เขาไม่ได้ตั้งใจสูดเอาพลังปราณวิญญาณฟ้าดินเพื่ออวดอ้างคุณความดีของรากวิญญาณนภา ความจริงแล้วสำหรับเขา สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องตลกร้ายอย่างแท้จริง เพราะแม้เขาจะสูดเอาพลังปราณเข้าไปได้จำนวนมหาศาล แต่มีเพียงส่วนเดียวเท่านั้นที่เหลือรอดอยู่ภายใน


ครั้งนี้เขาสูดหายใจเพื่อหาบางอย่างต่างหาก


รากวิญญาณนภาย่อมตอบสนองได้ไว ดังนั้นในตอนที่พลังปราณยังเอ่อล้นอยู่ หวังลู่ก็จับร่องรอยการเคลื่อนไหวจางๆ ได้


“เจอตัวแล้ว ตามข้ามา”


……………………………………………………..


ตอนที่ 2 แกะรอยสัมผัสสิบแปด (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะเดียวกัน ณ ที่ซ่อนตัวภายในหุบเขา ภายใต้แสงจันทร์สว่างเจิดจ้าที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก เหวยเหวินชิงที่กำลังบำเพ็ญเซียนด้วยวิชาของสำนักก็ลืมตาขึ้น


“…แปลก ข้ารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าพลังปราณวิญญาณฟ้าดินมีการเปลี่ยนแปลง”


สำหรับผู้ฝึกเซียนที่ใช้รากวิญญาณเทียม โดยเฉพาะพวกที่ครอบครองของไร้ราคาอย่างรากวิญญาณหกประสาน ยากยิ่งที่พวกเขาจะล่วงรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณวิญญาณฟ้าดินได้ การรับรู้ถึงพลังปราณก็เหมือนนิทานเรื่องชายตาบอดกับช้าง ส่วนใหญ่คือขึ้นอยู่กับการคาดเดาของคนผู้นั้น แต่ครั้งนี้เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณนั้นรุนแรงมาก กระทั่งที่ว่าแม้การรับรู้ของเขาจะทึ่มทื่อเพียงใด เขาก็ยังสามารถรู้สึกได้


เหวยเหวินชิงครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ตัดสินใจไม่เสี่ยงและหยุดการบำเพ็ญตบะลงชั่วคราว ตามความคิดของศิษย์สำนักชั้นนอกอย่างเขา แม้เขาจะบำเพ็ญตบะล่าช้าไปสักวันหนึ่งก็คงไม่ต่างอะไร


ดังนั้นเมื่อไม่ได้บำเพ็ญเซียน…ภารกิจจับตาดูในครั้งนี้จึงน่าเบื่อยิ่งนัก


ในฐานะศิษย์ระดับสองดาว เขาจึงไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับหมู่บ้านตระกูลหวังมากนัก ทว่าเขารู้ได้เลาๆ ว่าสถานที่นี้อุดมไปด้วยพลังปราณวิญญาณฟ้าดิน หลังจากที่สำนักค้นพบที่นี่โดยบังเอิญ พวกเขาจึงวางแผนที่จะพุ่งเป้าพัฒนาสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นแหล่งที่มั่นทางกลยุทธ์ในอนาคต ทว่าไม่นานมานี้กลับเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ เขาไม่รู้รายละเอียดของเหตุการณ์นัก แต่ได้ยินมาว่ามีคนตายมากกว่าหนึ่ง… หรือคนของสำนักที่ตายไปจะกลายเป็นวิญญาณกลับมาสิงสู่ที่นี่ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณวิญญาณฟ้าดิน


เมื่อได้สัมผัสแสงจันทร์นวลกระจ่าง เหวยเหวินชิงก็ยิ้มหยันตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียน เหตุใดจึงต้องหลอกให้ตัวเองกลัวด้วยเล่า ภูติผีจิ๊บจ๊อยที่เขาอาจต้องเผชิญหน้าถึงอย่างไรก็ไม่ครนามือเขาแน่!


ทว่าการรอคอยอยู่เฉยๆ ช่างน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก หรือเขาควรฉวยโอกาสในตอนกลางคืนเช่นนี้บุกเข้าไปในบ้านของชาวบ้านดี ตอนกลางวันเขามองเห็นหมู่บ้านได้จากระยะไกล และพบว่ามีสาวชาวบ้านหน้าตางดงามอยู่บ้าง เขาไม่คิดมาก่อนว่าหมู่บ้านหลังเขาเช่นนี้จะมีผลิตผลที่ดีเลิศไม่น้อย… คงน่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วสาวงามพวกนี้ต้องตกอยู่ในกำมือของพวกชาวบ้านหยาบช้า ดังนั้นคงเป็นการดีไม่น้อยที่เขาจะได้ลิ้มลองโฉมของพวกนาง…และอาจคิดหาวิธีฝึกบำเพ็ญตบะคู่ไปพร้อมกันด้วยก็ได้! เมื่อคิดเรื่องนี้ เหวยเหวินชิงก็เริ่มถูกตัณหาเข้าครอบงำ


ทว่าอึดใจถัดมา กระบี่หน้าตาเรียบๆ ก็มาจออยู่ที่คอของเขา เมื่อรู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร เหงื่อเย็นๆ ก็เริ่มหลั่งไหลลงมาท่วมตัว


ทันใดนั้นน้ำเสียงเยียบเย็นก็ดังมาจากด้านหลัง “หึ! ข้าเจอปลาจรจัดตัวหนึ่ง”


สิ่งต่อมาที่เหวยเหวินชิงรู้สึกก็คือ ใครบางคนเตะเขา มัดเขา ทรมานเขา พูดสั้นๆ คือ เขาอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชเหลือทน


จากการเค้นเหวยเหวินชิง ความจริงหลายประการก็ปรากฏออกมา


สำนักเจ็ดดาราลังเลที่จะปล่อยมือจากหมู่บ้านตระกูลหวัง สำหรับสำนักชั้นสวะแล้ว สถานที่ที่อุดมไปด้วยพลังปราณวิญญาณฟ้าดินเช่นหมู่บ้านตระกูลหวังเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ในฝันของพวกเขา มันช่างประเมินค่าไม่ได้ จึงเป็นการยากที่พวกเขาจะตัดใจ แต่เพราะเมื่อหลายวันก่อนหวังลู่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวด้วยการฆ่าคนของสำนัก พวกเขาจึงระงับการกระทำที่มุทะลุลง


และเมื่อได้ข่าวว่าหวังลู่ออกจากหมู่บ้านไปเมื่อสองสามวันก่อน ความละโมบของสำนักก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง ผู้อาวุโสของสำนักคนหนึ่งที่ลงแรงกับแผนการครั้งนี้มากที่สุดได้ส่งศิษย์ระดับสองดาวมาลาดตระเวนแถวๆ หมู่บ้านตระกูลหวังเพื่อดูสถานการณ์


โชคร้ายที่การกระทำครั้งนี้เป็นการเดินหมากผิดตา เหล่าลิ่วล้อที่ได้รับภารกิจให้สอดแนมไม่เพียงล้มเหลวในการรายงานข่าวให้สำนักเจ็ดดาราได้รับรู้ หนึ่งในนั้นยังถูกหวังลู่จับตัวไว้ได้และคายเบาะแสให้ศัตรูได้รู้ด้วยซ้ำ


“พูดมา ฐานที่มั่นหลักของสำนักเจ็ดดาราอยู่ที่ใด”


เมื่อถูกมัดราวกับเป็นปาท่องโก๋เกลียว ใบหน้าของเหวยเหวินชิงจึงคั่งไปด้วยเลือด นัยน์ตากึ่งหวาดผวากึ่งงุนงง พอได้ยินคำถามของหวังลู่ เขาก็แหกปากโหยหวนอยู่เนิ่นนานจนเสียงเริ่มจะแตกพร่า


ทว่าหวังลู่ยังจับความได้


“อ้อ เจ้าบอกว่าเจ้าไม่แน่ใจ ศิษย์ระดับสองดาวไม่มีคุณสมบัติพอจะล่วงรู้ที่ตั้งของสำนัก แถมเจ้าแค่ทำตามคำสั่งของทูตระดับสี่ดาวเท่านั้น… ระยำแท้ สำนักไก่กาของเจ้านี่ช่างซับซ้อนยิ่งนัก งั้นบอกมาก็ได้ว่าทูตระดับสี่ดาวของเจ้าอยู่ที่ไหน”


เหวยเหวินชิงโหยหวนอีกพักใหญ่จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหวังลู่ด้วยสายตาหมดอาลัยปนมีความหวัง


“…อำเภออู่โหวกระมัง?”


——


“ไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าจะมีความสุขที่ได้ทำเช่นนี้”


ภายใต้แสงจันทร์สลัว เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจอย่างขุ่นข้องขณะมองไปที่ร่างเย็นเยียบไม่ไหวติงที่อยู่บนพื้น


“ข้านึกว่าอย่างน้อยเจ้าจะไว้ชีวิตเขาเสียอีก”


หวังลู่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ความจริงข้าก็อยากจะไว้ชีวิตเขาหรอกนะ ปล่อยให้เขานอนสลบอยู่ตรงนี้สักสี่ห้าวัน จากนั้นพอตอนที่เขาตื่นขึ้นมาเรื่องทุกอย่างก็คงจบสิ้นไปแล้ว เพราะแมลงวันอย่างเขาไม่อาจกลับไปยังทะเลที่บ้าคลั่งได้หรอก”


เถ้าแก่เนี้ยถามกลับด้วยความสงสัย “งั้นทำไมเจ้า…”


“ตอนที่ข้าลังเลอยู่ ข้าไม่ทันรู้ตัวว่าออกแรงเกินไปหน่อย ใครใช้ให้เขามีร่างกายบอบบางเช่นนี้เล่า” หวังลู่สะบัดข้อมือพลางถอนใจอย่างเศร้าสร้อย


เถ้าแก่เนี้ยนิ่งอึ้งไปอึดใจใหญ่ “…หมอนี่ตายอย่างอยุติธรรมโดยแท้ แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน หากเจ้าปล่อยเขาไป ไม่แน่ว่าเขาอาจวิ่งโร่ไปฟ้องทูตอะไรนั่น จากนั้นพวกเขาอาจตอบโต้ด้วยการลงแส้หมู่บ้านตระกูลหวังก็ได้”


แต่หวังลู่กลับพูดเยาะออกมา “หึ หากพวกเขากล้าหาญถึงเพียงนั้นล่ะก็ ข้าจะฆ่าทุกคนที่ถูกส่งมาให้สิ้นซากเลยทีเดียว แล้วยิ่ง…หากพวกเขาลงมือฆ่าคนในหมู่บ้าน นั่นก็นับว่าดี พวกชาวบ้านโง่เง่าสมควรโดนแล้ว หากไม่เห็นโลงศพก็คงจะไม่หลั่งน้ำตา งั้นก็ให้พวกเขาได้เห็นโลงศพเสียเถอะ น่าเสียดายที่ข้าลงมือเองไม่ได้”


เถ้าแก่เนี้ยเสียวสันหลังวาบในทันที “เจ้าโหดเหี้ยมต่อคนในหมู่บ้านตระกูลหวังของเจ้าเกินไปแล้ว”


หวังลู่พูดหยันเสียงเย็น “ข้าเคยเป็นเหมือนท่าน เป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่สุภาพและเป็นมิตร จนกระทั่งถูกธนูปักที่หัวเข่า… พวกชาวบ้านที่โง่เขลาหาเรื่องใส่ตัวโดยแท้ ข้าอดทนกับพวกเขาจนถึงขีดสุดแล้ว”


เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจเบาๆ “เรื่องมันไม่แย่ถึงขนาดที่เจ้าคิดหรอก หวังลู่ ข้าว่าเจ้าทำเกินไปหน่อย…”


“เกินไป? เกินไปสิยิ่งดี จุดประสงค์หนึ่งของการเดินทางเรียนรู้ประสบการณ์ในครั้งนี้คือตัดขาดจากโลกปุถุชน หากข้าไม่ทำเกินไป แล้วข้าจะตัดขาดได้อย่างไร”


“เจ้าตีความผิดแล้ว!”


หวังลู่หงุดหงิดใจกับวาจาโต้เถียงของเถ้าแก่เนี้ย ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง “เหวินเป่า เจ้าอธิบายให้นางฟังที”


เมื่อได้รับภารกิจแสนยิ่งใหญ่ เหวินเป่าก็สำเริงสำราญใจอย่างที่สุด เขาก้าวเท้ามาหานางและอธิบายอย่างกระตือรือร้น “พี่หญิงหลิง ครั้งนี้ท่านผิดแล้ว เห็นได้ชัดว่าความโง่เขลาของชาวบ้านปุถุชนนั้นมีมาแต่กำเนิด มันติดแน่นอยู่ในตัวไม่อาจลบล้างได้ การจะจัดการกับคนโง่เช่นนี้ เราควรต้องอำมหิตราวแม่ทัพผู้มากประสบการณ์ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะลากเราลงไปที่ระดับเดียวกันแล้วใช้ประสบการณ์ชีวิตแสนโชกโชนจัดการเราเสีย ดังนั้นเราจึงไม่ควรปฏิบัติกับเขาเช่นมนุษย์ทั่วไป พวกเขาไม่คู่ควรเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ควรเกิดมาเป็นหมู สุนัข หรือแมลงเสียมากกว่า เหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่า สวรรค์ไร้ความปรานี จึงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ต่างจากสุนัขชั้นต่ำ กล่าวอีกนัยก็คือ…”


เหวินเป่าพล่ามไม่หยุดปาก แต่ทันทีที่เขาหันไปเห็นสายตาเย็นชาของเถ้าแก่เนี้ย เสียงของเขาก็มลายไปถึงเก้าส่วน


“กล่าวอีกนัยก็คือ เราควรขจัดความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อกลุ่มคนผู้โง่เขลาทิ้ง และปฏิบัติต่อพวกเขาเสมือนเป็นเครื่องมือที่จะนำพาไปสู่เป้าหมาย เพื่อที่ว่าชีวิตที่ไร้ความสำคัญของพวกเขาจะมีคุณค่าขึ้นมาอีกนิด…”


เมื่อถูกสายตาเย็นชาของเถ้าแก่เนี้ยทิ่มแทง เสียงของเหวินเป่าก็ค่อยๆ เบาลงทีละนิด จนในที่สุด เสียงของเขาก็แผ่วเสียจนแทบไม่ได้ยินไม่ต่างไปจากเสียงของแมลงภูเขา


โชคร้ายที่แม้สายตาของเถ้าแก่เนี้ยจะหยุดปากของเหวินเป่าได้ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจของหวังลู่ได้ หากเขาอารมณ์ดี ชายหนุ่มผู้นี้นั้นแสนร่าเริงและเป็นคู่สนทนาที่ดี แต่หากเขาโกรธขึ้นมาล่ะก็ เขาจะดื้อด้านอย่างหนักเลยทีเดียว… ทว่าก็ไม่แปลกที่หวังลู่จะโกรธ เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากของเขา นางก็รู้ได้ว่าเขาต้องทนทุกข์ต่อความอยุติธรรมในหมู่บ้านของตัวเองมากเพียงไร หากการเหมารวมของเหตุการณ์ฉ้อฉลและการกระทำของชาวบ้านผู้โง่เขลาเกิดขึ้นกับบุคคลอื่น มันก็อาจเป็นเพียงเรื่องขบขัน แต่หากเกิดกับพวกของตนเอง นั่นถือว่าเป็นโศกนาฏกรรมโดยแท้


ดังนั้นตอนนี้นางจึงทำได้เพียงทีละขั้นเท่านั้น หากดูท่าแล้วว่าหวังลู่จะทำการอะไรที่อุกอาจ นางก็แค่ต้องชกเขาให้สลบแล้วลากกลับหุบเขากระบี่วิญญาณก็เท่านั้น


————————————————


ตอนที่ 3 หวังลู่เข้าสู่อำเภออู่โหว เหวินเป่าเผชิญบททดสอบแรกในฉากเสพสังวาส (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เช้าตรู่วันถัดมา ทั้งสามคนก็รีบเร่งไปที่อำเภออู่โหว


อำเภออู่โหวเป็นอำเภอเล็กๆ ไม่สลักสำคัญที่อยู่ในจังหวัดตงเต้าของประเทศต้าหมิง ทว่าพลเมืองของอำเภอนี้ก็มีนับพันคน อีกทั้งนานมาแล้วที่นี่ยังเคยเป็นสนามรบที่พันธมิตรหมื่นเซียนใช้ต่อสู้กับเหล่าสัตว์ประหลาด ดังนั้นพลังปราณวิญญาณฟ้าดินของที่นี่จึงยุ่งเหยิงและขุ่นมัว ในสถานที่เช่นนี้การจะหาคนที่ติดต่อกับเหวยเหวินชิงก็ไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร


โชคดีที่สวรรค์ไม่เคยขวางทางใคร หวังลู่พบหนทางอื่นอย่างรวดเร็ว


“ประทานโทษ ท่านรู้ไหมว่าอาจารย์เซียนของสำนักเจ็ดดาราพำนักอยู่ที่ใด”


ณ ถนนการค้าหลักของอำเภออู่โหว หวังลู่หยุดผู้อพยพคนหนึ่งไว้ หยิบยื่นเงินให้สองสามตำลึง และก็ได้คำตอบที่น่าพึงพอใจกลับมา


“อ้อ อาจารย์เซียนงั้นหรือ เขาพักอยู่ที่จวนรับรองแขกน่ะ ถือเป็นแขกพิเศษของผู้พิพากษาเชียวนะ”


คำตอบที่ได้เกินกว่าที่คาดคิดไว้


หลังจากส่งตัวผู้อพยพแล้ว หวังลู่ก็พยักหน้าด้วยความยินดี “ไม่เลว ดูเหมือนว่าชาวบ้านในอำเภออู่โหวนี้มีความรู้ไม่น้อย”


เถ้าแก่เนี้ยถามกลับ “ความรู้อะไร”


“ท่านไม่ได้สังเกตหรือ พวกทูตระดับสี่ดาวน่ะ ชาวบ้านแห่งหมู่บ้านตระกูลหวังเรียกพวกเขาว่าเทพเซียน แต่ที่นี่ผู้คนเรียกเขาว่าอาจารย์เซียนเท่านั้น แถมเขายังเป็นเพียงแขกของผู้พิพากษาในอำเภอ เห็นได้ชัดว่าผู้บำเพ็ญเซียนไม่ถือว่าเป็นบุคคลพิเศษสำหรับที่นี่ ข้าถึงได้บอกว่า อย่างน้อยผู้คนที่นี่ก็มีความรู้อย่างไรเล่า”


เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้าเห็นด้วย “ที่นี่เคยเป็นสนามรบเก่าแก่ คงมีตำนานเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญเซียนมากมาย ดังนั้นคนที่นี่จึงไม่เห็นว่าผู้บำเพ็ญเซียนเป็นเรื่องแปลก… แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป จะตรงดิ่งไปที่นั่นแล้วใช้กำลังทำให้เขาสารภาพงั้นหรือ”


หวังลู่งุนงง “นี่ท่านไปเอาความคิดโง่เง่านี่มาจากไหน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมอนั่นชื่ออะไร มีสหายมาด้วยหรือไม่ เรารู้แค่ว่าเขาเป็นทูตระดับสี่ดาว หากบุ่มบ่ามบุกเข้าไป มีหวังเสียแผนหมดพอดี! ท่านนี่ช่างมุทะลุเสียจริงๆ”


“…คนบ้าอย่างเจ้ากล้าดียังไงมาหาว่าข้ามุทะลุ”


แม้ปากจะพูดไปเช่นนั้น แต่เถ้าแก่เนี้ยก็เห็นด้วยกับความคิดของหวังลู่


นั่นเพราะตอนนี้เห็นได้ชัดว่าหวังลู่อยู่ในวิถีนักผจญภัยมืออาชีพเต็มขั้น มีวิสัยทัศน์ชัดแจ้งอีกทั้งจิตใจก็นิ่งสงบ เมื่ออยู่ห่างจากหมู่บ้านตระกูลหวัง สถานที่ซึ่งความรู้สึกที่มีต่อคนในหมู่บ้านครอบงำการตัดสินใจของเขา อารมณ์ขุ่นมัวของเขาก็ค่อยๆ บรรเทาลง ความคิดและการกระทำกลับไปเหมือนเมื่อครั้งที่เขาอยู่ที่หุบเขากระบี่วิญญาณ ซึ่งหวังลู่ผู้นี้นั้นเชื่อถือได้เป็นอย่างยิ่ง


“เจ้าจะบอกว่า เราควรหยั่งเชิงก่อนหรือ”


“ถูกต้อง เราได้เปรียบที่อยู่ในที่มืด ส่วนศัตรูนั้นอยู่ในที่แจ้ง หากไม่ฉวยโอกาสนี้สืบหาสถานการณ์ที่แท้จริง ก็ถือว่าเสียเปล่าแท้ๆ… เหวินเป่า คราวนี้ข้าอยากให้เจ้าออกหน้า”


เหวินเป่าที่เพิ่งกลับมาจากการซื้อซาลาเปานึ่งสองลูกจากพ่อค้าริมทางมองอย่างประหลาดใจ “ข้า?”


“ใช่ เจ้า ข้าอยากให้เจ้าไปที่นั่น บอกพวกเขาว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนพเนจร เจ้าบังเอิญผ่านมาทางนี้แล้วกำลังมองหาที่พักชั่วคราว เมื่อพวกเขาให้เจ้าเข้าไป เจ้าต้องไปคารวะผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเจ็ดดาราผู้นั้น แล้วใช้โอกาสนี้สืบมาให้ได้ว่าสถานการณ์ทางฝั่งนั้นเป็นอย่างไร”


เหวินเป่ารู้สึกว่าซาลาเปานึ่งหน้าตาชวนกินในปากของตนนั้นช่างกระด้างจนยากที่จะกลืนลงคอได้ลง “ศิษย์พี่หวังลู่ ภารกิจนี้ไม่ยากไปหน่อยหรือ”


“ระยำเอ๊ย! ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงศิษย์สำนักในของห้าวิเศษแห่งพันธมิตรหมื่นเซียน แค่ไปเจรจากับคนจากสำนักสวะๆ มันจะยากสักเท่าไหร่กัน ตอนนี้สถานะของข้าถูกเปิดเผยแล้ว แถมพี่หญิงหลิงก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเซียน จะทำทีว่าใช่ก็คงไม่ได้ หากไม่ใช่เจ้า แล้วใครจะทำ”


เมื่อเห็นว่าเหวินเป่ายังดูลังเลใจ หวังลู่จึงใช้ท่าไม้ตายจู่โจม


“ศิษย์น้องเยว่ นาง…”


“ก็ได้ศิษย์พี่หวังลู่ ข้าเข้าใจแล้ว จะไปเดี๋ยวนี้ละ!”


หลังจากที่กลืนซาลาเปานึ่งลงไปสองลูกพร้อมกัน เจ้าอ้วนเหวินเป่าพร้อมจิตวิญญาณของการ ‘เห็นความตายเหมือนเห็นบ้านเกิด’ ก็ออกไปยังจวนรับรองแขกของผู้พิพากษาอำเภอในทันที


——


“หยุดนะ! กล้าดีอย่างไร…”


ก่อนที่ผู้คุ้มกันรูปร่างสูงใหญ่สองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูจะพูดจบ พวกเขาก็กลืนคำพูดที่เหลือลงไปในทันที


ตรงหน้าพวกเขาคือชายร่างอ้วนส่วนสูงมาตรฐาน ที่ปลายนิ้วของเขาปรากฏเปลวไฟดวงน้อย สีของมันเปลี่ยนจากแดงเป็นน้ำเงิน และจากน้ำเงินเป็นขาว…แม้สิ่งนี้จะเป็นทักษะที่เห็นได้ทั่วไป แต่ก็แสดงให้เห็นสถานะที่แท้จริงของชายผู้นี้


ผู้บำเพ็ญเซียน


อำเภออู่โหวนั้นต่างจากหมู่บ้านตระกูลหวังที่ไม่เคยเห็นโลกกว้าง ร้อยปีก่อน สถานที่แห่งนี้เป็นสนามรบระหว่างพันธมิตรหมื่นเซียนกับสัตว์ประหลาดจอมวายร้าย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะได้พบเห็นสมาชิกของโลกบำเพ็ญเซียนบ้าง บางครั้งบางคราวพวกเขาก็อาจได้พบเทพเซียนเดินทางผ่านมา ทว่า…ผู้บำเพ็ญเซียนก็คือผู้บำเพ็ญเซียนวันยังค่ำ ผู้คุ้มกันทั้งสองจึงไม่อาจล่วงเกินได้


“ขอประทานโทษ ขอทราบจุดประสงค์ที่ท่านต้องการพบนายท่านของข้าด้วย”


ชายอ้วนกำมือของตนเพื่อดับพลังวิเศษ ในใจก็อดรู้สึกดีไม่ได้ แม้ศิษย์คนอื่นๆ ในสำนักกระบี่วิญญาณจะคิดว่าอาคมนี้ช่างไร้ประโยชน์ และแม้เขาจะเลือกวิถีแห่งกระบี่โดยมุ่งเน้นฝึกหนึ่งกระบี่ทำลายทุกอาคม ทว่าอาคมนี้ซึ่งผู้บำเพ็ญเซียนสายร่ายอาคมสามารถเรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย ก็ยังสามารถใช้ลวงผู้คนในโลกมนุษย์ได้


ที่สำคัญกว่านั้นคือเขารู้ว่าทักษะนี้ศิษย์พี่หวังลู่ไม่สามารถใช้ได้ เส้นทางของหวังลู่นั้นสุดโต่งยิ่งกว่าเขาเสียอีก เพราะแม้สำเร็จตบะขั้นฝึกปราณระดับเจ็ดแล้ว หวังลู่ก็ยังมิอาจร่ายอาคมใดๆ ของโลกบำเพ็ญเซียนได้เลยสักอาคมเดียว


“ข้าไม่ได้มาพบนายท่านของเจ้า แต่มาพบอาจารย์เซียนจากสำนักเจ็ดดาราต่างหาก”


เจ้าอ้วนพยายามกดน้ำเสียงของตนให้ทุ้มต่ำ เพื่อแสดงตัวว่าเป็นคนที่มีทักษะสูง ตามที่ศิษย์พี่หวังลู่กล่าวไว้ ขั้นตบะของทูตสำนักเจ็ดดาราเต็มที่ก็อยู่แค่ขั้นฝึกปราณระดับสูง ซึ่งแม้ระดับจะต่างจากเขามากพอควร แต่หากสู้กันในระยะประชิดตัว กระบี่เหล็กนิลดำของเขาย่อมสามารถตัดร่างทูตผู้นี้ออกเป็นสองส่วนได้แน่


ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ต้องเกรงกลัว


ผู้คุ้มกันทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นคนที่ยืนอยู่ทางขวาก็พยักหน้า “โปรดตามข้ามา”


ในจวนรับรองแขกของผู้พิพากษาในตอนนี้ มีผู้บำเพ็ญเซียนเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักเจ็ดดารา ที่เหลือคือเหล่าคนใช้และผู้คุ้มกัน ผู้คุ้มกันคนดังกล่าวพาเหวินเป่าเดินมาถึงโถงหลัก ทว่าก่อนที่จะถึงหน้าประตูเสียงหนึ่งก็ดังมาจากข้างใน


“หยวนซาน ข้าไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าหากไม่ใช่เรื่องสำคัญห้ามรบกวน”


เหงื่อเย็นๆ ไหลท่วมหน้าผากของผู้คุ้มกันนามว่าหยวนซานในทันที เขารีบคุกเข่าลง “ทะ ท่านอาจารย์เซียน มีผู้บำเพ็ญเซียนผ่านมาผู้หนึ่ง และเขาต้องการพบท่าน ดังนั้น…”


“โอ้ ผู้บำเพ็ญเซียนผ่านทางมางั้นหรือ เช่นนั้นพาเขาเข้ามา”


หยวนซานรีบลุกขึ้น สืบเท้าไปข้างหน้าอย่างงกๆ เงิ่นๆ โดยไม่กล้าหันมามองเหวินเป่า จากนั้นก็ยืนก้มหัวต่ำอยู่ที่หน้าประตู ไม่เขยื้อนกายแม้เพียงสักชุ่นหนึ่ง


หน้าของเหวินเป่าซีดลงเพราะรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเสียงของชายผู้นี้จะมีพลังวิเศษที่สั่นสะท้านจิตใจของผู้คนได้… ซึ่งน่าแปลก เพราะเท่าที่เขารู้ ไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับสูงคนไหนที่มีความสามารถเช่นนี้


ทว่าแม้เขาจะมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วก็ตาม แต่ตัวตนของฝ่ายตรงข้ามก็ยังเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าคนผู้นี้ยังห่างไกลจากความเก่งกาจมากนัก


เหวินเป่าก้าวเท้าเข้าไปในห้องด้วยความหวั่นวิตกเล็กน้อย


จากนั้นดวงตาของเขาก็พร่าบอดไป


ภายในห้องมีผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเจ็ดดาราอยู่จริงๆ ผมและเคราสีดอกเลาของเขาแตกต่างจากที่เหวินเป่าจินตนาการไว้ ทั้งยังมีหญิงสาวแต่งตัววับๆ แวมๆ สามถึงห้าคนห้อมล้อมผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นอยู่ พวกนางต่างร้องครวญคราง ดวงตาเต็มไปด้วยไฟราคะ แถมบางคนเกือบเปลือยเสียด้วยซ้ำ ฝ่ามือทั้งสองของผู้บำเพ็ญเซียนเคล้าคลึงผิวนุ่มลื่นและจุดสงวนของหญิงสาวเหล่านั้นไปทั่ว ที่น่าตื่นตะลึงยิ่งกว่าก็คือ มีหญิงสาวทรงเสน่ห์คนหนึ่งนั่งอยู่บนตักของผู้บำเพ็ญเซียนผู้นั้น ส่วนล่างของพวกเขาทั้งคู่แนบชิดกัน นางขยับสะโพกขึ้นลงซึ่งทำให้เกิดเสียงที่ชวนให้ผู้ฟังวาบหวาม… อีกทั้งนางยังไม่เกรงกลัวที่จะถูกพบเห็นแม้สักนิดเดียว!


……………………………………………………….


ตอนที่ 3 หวังลู่เข้าสู่อำเภออู่โหว เหวินเป่าเผชิญบททดสอบแรกในฉากเสพสังวาส (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อได้เห็นฉากร่วมสังวาสเช่นนี้ ใบหน้าของเหวินเป่าก็เห่อร้อนขึ้นมา และในที่สุด กิริยาท่าทางภูมิฐานโออ่าที่กว่าจะปั้นแต่งขึ้นมาได้อย่างยากลำบากก็มลายหายไปราวกับหิมะในทะเลทราย


เหวินเป่าเชื่อเต็มอกว่าหากแม้ศิษย์พี่หวังลู่มาอยู่ที่นี่ ดวงตาของเขาก็จะต้องมืดบอดไปกับภาพตรงหน้าเช่นกัน! ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเจ็ดดาราผู้นี้เป็นบ้าหรืออย่างไรกัน เขากล้าทำตัวลามกอนาจารกลางวันแสกๆ ต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ได้อย่างไร!


“โอ้ ขออภัยด้วย ข้าลืมไปเลยว่ามีแขก”


ผู้ฝึกเซียนผู้นี้หัวเราะออกมา ผลักหญิงสาวทรงเสน่ห์ที่อยู่บนตักออก โบกมือไล่นางและหญิงสาวคนอื่นๆ ให้ถอยไป จากนั้นก็ค่อยๆ ใส่อาภรณ์และถามขึ้นมาอย่างสงสัย “สหาย มีอะไรให้ข้าช่วยงั้นหรือ”


เหวินเป่ารวบรวมความคิด กระแอมไอให้ลำคอโล่งและกำลังจะเปิดปาก แต่กลับตะลึงงันขึ้นมาอีกครา เพราะเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าชุดคลุมของผู้บำเพ็ญเซียนสำนักเจ็ดดาราผู้นี้ปักดาวหกดวงอย่างประณีตงดงาม!


…ผู้อาวุโสระดับหกดาวงั้นหรือ ไหนว่าทูตระดับสี่ดาวไงเล่า!? ขั้นตบะของเขาอยู่เพียงขั้นฝึกปราณระดับต่ำ หนึ่งกระบี่ของข้าจะฟันเขาเป็นสองส่วนได้หรือ!?


ผู้อาวุโสระดับหกดาวคนนี้ตบะอยู่ในขั้นสร้างฐานหรือไม่นะ หนำซ้ำเป็นไปได้ว่าชายผู้นี้จะมีตบะอยู่ในขั้นสร้างฐานระดับกลาง แค่คนผู้นี้เพียงคนเดียว ต่อให้ศิษย์พี่หวังลู่มาด้วยก็เถอะ เขาก็เกรงว่าคนผู้นี้ยังเหนือชั้นกว่าพวกเขามากอยู่ดี!แล้วนี่เขาควรจะทำอย่างไรดีเล่า!?


เหงื่อเย็นๆ เริ่มไหลออกมาทั่วตัว ทว่าอย่างไรเสียเหวินเป่าก็ได้รับการศึกษาอย่างดีจากสำนักกระบี่วิญญาณถึงสองปี เขาจึงกดชีพจรที่เต้นเร็วรัวให้สงบลงแล้วกล่าวถ้อยคำทักทายตามพิธีรีตองที่ควรจะกล่าว “ข้าชื่อเหวินเป่า เป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่บังเอิญผ่านมา และเพราะจำต้องฝึกตบะ จึงต้องการอาศัยอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง เมื่อได้ยินว่ามีอาจารย์เซียนของสำนักเจ็ดดาราพำนักอยู่ที่นี่ ข้าจึงตั้งใจแวะมาเยี่ยมเยียนเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดกัน”


“อ้อ…”


ผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดาราฮึมฮัมอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เพ่งสายตาไปที่เจ้าอ้วน ไม่นานนักก็โบกไม้โบกมือ “ข้าเข้าใจ เจ้าชื่อเหวินเป่าใช่ไหม อายุยังน้อยอยู่แต่ก็มีตบะขั้นฝึกปราณระดับต่ำแล้ว ถือว่าไม่เลวเลยจริงๆ เยี่ยงนี้ข้าว่าเจ้าน่าจะไม่ใช่ผู้ฝึกเซียนไร้สำนักธรรมดาๆ เสียแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไร สำนักเจ็ดดาราของเราก็ชอบผูกมิตรอยู่แล้ว ดังนั้นตราบเท่าที่เจ้าไม่สร้างปัญหา เจ้าก็สามารถอยู่ที่นี่ได้นานเท่าที่ต้องการ… แน่นอนว่ามีกฎบางประการที่ต้องทำตาม เพื่อที่จะอยู่กันได้อย่างราบรื่น”


จากนั้นเขาก็โบกมือ เหวินเป่าเห็นเป็นภาพพร่าเลือนอยู่เบื้องหน้า แล้วกระดาษเหลืองที่เขียนกฎพื้นฐานเอาไว้ก็ปรากฏอยู่ในมือของผู้บำเพ็ญเซียน


ส่วนแรกเป็นข้อปฏิบัติทั่วไป เช่น เจ้าบ้านและแขก หรือทั้งสองฝ่ายต้องเคารพซึ่งกันและกัน หากเกิดความขัดแย้งและไม่ลงรอยกัน ต้องแก้ปัญหาด้วยการประนีประนอม โดยหลีกเลี่ยงการปะทะให้ได้มากที่สุด


จากนั้นก็คือธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อจัดการกับกรณีต่างๆ เช่น หากแขกพบเจอสิ่งของวิเศษในท้องถิ่น แขกต้องไม่ซุกซ่อนสิ่งของวิเศษนั้น และต้องแจ้งให้เจ้าบ้านทราบโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นได้ และเจ้าบ้านมีสิทธิ์ซื้อสิ่งของวิเศษนั้นเป็นคนแรก หากแขกต้องการสิ่งของวิเศษนั้น แขกต้องเสนอราคาขึ้นมาก่อน จากนั้นแขกและเจ้าบ้านต้องแข่งกันประมูลสิ่งของวิเศษนั้น…


นี่คือกฎที่พันธมิตรหมื่นเซียนสร้างขึ้นตั้งแต่แรกที่มีการรวมกลุ่มกัน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทระหว่างสำนัก และตอนนี้ก็ได้รับการพัฒนาให้เป็นกฎและข้อบังคับที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทว่าในการนำมาใช้จริง กฎมักถูกล้มด้วยหมัดอยู่เสมอ ไม่มีใครรู้ว่าสำนักเจ็ดดาราได้สำเนาของกฎเหล่านี้มาได้อย่างไร ถึงได้เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว


เหวินเป่ากวาดตามองที่กฎเหล่านี้คร่าวๆ และรับปากจะยึดมั่นอย่างเคร่งครัด เมื่อเขาสังเกตปฏิกิริยาฝ่ายตรงข้าม เขาพบว่าผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ดูหงุดหงิดไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ติดใจสงสัยตัวตนของเขา…ดูเหมือนว่าเหวินเป่าจะหวาดระแวงเกินไปหน่อย สำนักสวะเช่นนี้ไม่มีทางมีผู้ที่เก่งกล้าที่ถึงขนาดมองเขาได้ทะลุปรุโปร่งอย่างแน่นอน แต่หากฝ่ายตรงข้ามเป็นขั้นสร้างฐานจากสำนักเซิ่งจิงล่ะก็ เป็นไปได้สูงว่าแค่ปรายตามองคนผู้นั้นก็จะรู้ได้ทันทีว่าเหวินเป่ามาจากสำนักกระบี่วิญญาณ


เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว เหวินเป่าก็เริ่มผ่อนคลายและเดินออกไปจากห้องอย่างสุขุม ทว่าก่อนที่เขาจะพ้นประตูไป ผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดาราก็หันไปส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยราคะให้เหล่าหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อยพวกนั้นเสียแล้ว ——


ไม่นานนัก เจ้าอ้วนก็กลับไปยังจุดนัดพบที่ตกลงกันไว้


ก่อนที่หวังลู่และเสี่ยวหลิงเอ๋อร์จะทันเอ่ยปาก เหวินเป่าก็บ่นออกมาทันที


“ศิษย์พี่หวังลู่ ท่านผิดแล้ว มีผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเจ็ดดารามากกว่าหนึ่งคนในอำเภอนี้ แถมอีกคนนึงก็ไม่ได้เป็นเพียงทูตระดับสี่ดาว แต่เป็นถึงผู้อาวุโสระดับหกดาว!”


“ระยำ! เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!? เล่ามาเร็วเข้า!?”


หลังจากที่เจ้าอ้วนดื่มน้ำเย็นและกินอาหารแล้ว เขาก็สงบลงมากพอที่จะเล่าถึงรายละเอียดต่างๆ ที่เพิ่งประสบมา ท้ายที่สุดหวังลู่และเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็มองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างคิดว่าเรื่องในครั้งนี้ช่างระยำจริงๆ


“สี่ดาวกลายเป็นหกดาว แบบนี้มันไม่มากไปหน่อยหรือ”


ครั้งนี้แม้แต่เถ้าแก่เนี้ยซึ่งไร้ชะตาเซียนยังรู้สึกได้ว่าเรื่องในครั้งนี้ยุ่งยากไม่น้อย เพราะเมื่อผู้บำเพ็ญเซียนสำเร็จถึงตบะขั้นสร้างฐาน พลังอิทธิฤทธิ์ของเขาจะไหลเวียนทั้งภายในและภายนอก ร่างกายจะแข็งแกร่งขึ้นมาก และความสามารถในการเอาตัวรอดจะพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ยากมากที่จะใช้เพียงวิทยายุทธ์ของโลกมนุษย์ในการเอาชนะ แม้ฝีมือนางจะเชื่อถือได้ก็ตาม


หวังลู่ก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะ “นี่ก็ไม่กี่วันเอง แต่จำนวนดาวของเขากลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว… หรือหมอนี่จะมาจากพรรคที่ก่อกบฏ”


“หือ”


“ช่างเถอะ… เอาเป็นว่าการสืบข้อมูลในครั้งนี้สำคัญยิ่ง ดีที่ข้ามองการณ์ไกลเลยให้เหวินเป่าไปตรวจสอบสถานการณ์จริงๆ มาก่อน ไม่เช่นนั้น หากเราผลุนผลันบุกเข้าไป ผลลัพธ์คงยากที่จะคาดเดาแน่ๆ”


เถ้าแก่เนี้ยถอนใจอย่างสิ้นหวัง “แม้กระทั่งตอนนี้ เจ้าก็ยังไม่ลืมที่จะยอตัวเองนะ”


“เหวินเป่า เล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เจ้าเห็นให้ข้าฟังอีกรอบ ห้ามเล่าข้ามแม้แต่นิดเดียวนะ”


หวังลู่มีคุณสมบัติที่จะหลงตัวเอง เพราะดวงตาทั้งสองข้างของเขาลุกโชน เป็นสัญญาณให้รู้ว่าเขาปลดปล่อยความเป็นนักผจญภัยมืออาชีพอย่างเต็มตัวแล้ว


เห็นดังนั้น เถ้าแก่เนี้ยจึงรู้ว่าไม่ควรรบกวนเขา นางจึงรออยู่เงียบๆ ทางด้านข้าง


หลังจากที่สงบอารมณ์ลงแล้ว การบรรยายถึงสิ่งที่เผชิญในรอบที่สองก็ดูเป็นระบบระเบียบมากขึ้น เขาบรรยายแม้กระทั่งฉากที่พบระหว่างประตูทางเข้าจนถึงโถงหลักด้วยซ้ำ


แม้เจ้าอ้วนจะทึ่มทื่อไปบ้าง แต่หลังจากฝึกบำเพ็ญเซียนมานานกว่าสองปี ร่างกายของเขาก็สามารถสูดหายใจเอาพลังปราณวิญญาณฟ้าดินเข้าไปได้ ทั้งยังเรียนรู้พื้นฐานการฝึกจิตมาแล้วด้วย ดังนั้นแม้ระดับสติปัญญาจะไม่พัฒนามากนัก แต่ประสาทสัมผัส หูที่เฉียบคม และดวงตาที่เฉียบแหลมก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว


เพราะตระหนักได้ว่าสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต เหวินเป่าจึงไม่กล้าปิดบังแม้รายละเอียดเพียงเล็กน้อย เขาบรรยายแม้ถึงฉากเสพสังวาสกลางแจ้งของผู้อาวุโส ทำให้เถ้าแก่เนี้ยต้องถอยหลังไปเงียบๆ สองสามก้าว


ครั้งนี้การบรรยายของเขายาวนานกว่าคราวก่อน แต่หวังลู่ก็ไม่ได้พูดขัด เมื่อเหวินเป่าเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย เขาจึงกล่าวเสียงนิ่มว่า “เล่าฉากร่วมสังวาสให้ข้าฟังอีกครั้งซิ”


เหวินเป่าอดจะมองหน้าหวังลู่อย่างตะลึงงันไม่ได้ ส่วนเถ้าแก่เนี้ยก็เอ็ดขึ้นมาในทันที “นี่เจ้าอยู่ในช่วงกระสันหรืออย่างไร เหตุใดถึงอยากฟังเรื่องน่ารังเกียจนั่นซ้ำสองด้วย!?”


หวังลู่ขมวดคิ้ว “ท่านต่างหากที่จิตใจสกปรก ไม่แปลกที่อายุสามสิบแล้วยัง…”


พูดไม่ทันจบ หมัดเบาะๆ ก็เหวี่ยงเขาคว่ำในทันที


………………………………………..


ตอนที่ 4 เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ของบ้านเราไม่เคยน่ารักเท่านี้มาก่อน

โดย

Ink Stone_Fantasy

หวังลู่ลุกขึ้นยืน ส่ายศีรษะไปมาแล้วพูดกับเหวินเป่า “เล่ารายละเอียดของฉากนั้นให้ข้าฟังเร็วเข้า มันมีข้อมูลมีค่าอยู่ในนั้น”


ทันทีที่ได้ยิน เถ้าแก่เนี้ยก็ตัวแข็งทื่อจากนั้นก็ส่งเสียงฮึออกมา เมื่อตระหนักได้ว่านางอาจเข้าใจอีกฝ่ายผิด จึงไม่คิดจะห้ามเขาอีก


เมื่อไม่มีความคิดเห็นอื่น เหวินเป่าจึงเล่าฉากร่วมสังวาสอีกรอบ


หวังลู่เดาะลิ้น “ตาแก่นี่นกเขายังขันได้อยู่… และจากที่เจ้าเห็น หญิงสาวคนเดียวที่เสพสังวาสกับเขาคือคนที่นั่งอยู่บนตัก ส่วนหญิงสาวคนอื่นแค่เปลือยอกเท่านั้น เจ้าจำได้ไหมว่ามีร่องรอยใดบ้างที่บ่งบอกว่าหญิงสาวคนอื่นก็เสพสังวาสกับเขาเช่นเดียวกัน”


เหวินเป่าทำหน้าแตกตื่น “เอ่อ…ขอข้าคิดก่อน”


ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็ส่ายศีรษะ “ดูเหมือนจะไม่มีร่องรอยที่ว่าเลย”


“…ถ้าเช่นนั้น ข้าก็น่าจะอธิบายได้ว่าเหตุใดทูตระดับสี่ดาวจึงกลายเป็นผู้อาวุโสระดับหกดาวไปได้”


เถ้าแก่เนี้ยถามด้วยความสงสัย “อธิบายเร็วเข้า”


“เจ้าปลาเน่าที่หุบเขาหูสุนัขไม่ได้โกหกเรา คนที่เขาติดต่อคือทูตระดับสี่ดาวจริงๆ และทูตระดับสี่ดาวไม่อาจกลายเป็นผู้อาวุโสระดับหกดาวได้ในชั่วข้ามคืน… ความจริงก็คือ ผู้อาวุโสระดับหกดาวที่เจ้าอ้วนเห็นเป็นอีกคนหนึ่ง”


เถ้าแก่เนี้ยเบิกตาโพลง “เป็นอีกคนหนึ่ง? งั้นทูตระดับสี่ดาวเล่าอยู่ที่ไหนกัน”


หวังลู่ยิ้ม “ใครจะคาดคิดว่าคนผู้นั้นจะอยู่บนตัวของผู้อาวุโสระดับหกดาวกันเล่า”


“อยู่บนตัว?” เถ้าแก่เนี้ยนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นสองแก้มของนางก็ขึ้นสีแดงก่ำ นางพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “นี่เจ้าจะบอกว่าสองคนนั้น…”


“อาจจะเป็นประเภทบำเพ็ญตบะคู่กระมัง สำนักสวะเช่นนี้ชอบที่จะฝึกตนด้วยวิธีน่ารังเกียจเช่นนี้มิใช่หรือ ไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น วิธีนี้จะช่วยเพิ่มพลังอิทธิฤทธิ์ให้พวกเขาอย่างมาก แม้ไม่อาจเลี่ยงผลข้างเคียงได้ แต่ข้าว่าพวกเขาคงไม่สนใจเท่าไหร่หรอก”


เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้าเห็นด้วย แต่แล้วก็ขมวดคิ้ว “หากสองคนนี้บำเพ็ญตบะคู่…แล้วพวกหญิงสาวที่เหลือทำอะไรเล่า”


หวังลู่รำพึง “ตอนท่านร้องเพลง เป็นไปได้ที่จะมีนักเต้นจำนวนไม่น้อยเต้นอยู่ด้านหลังมิใช่หรือ”


“… แค่เพื่อความสนุกงั้นหรือ เหอะ ช่างเป็นคู่ที่เลวทรามอะไรเช่นนี้!” เถ้าแก่เนี้ยขบฟันอย่างขุ่นข้อง


“หึ ตอนพวกเขาบำเพ็ญตบะคู่ จิตใจก็ยิ่งเสื่อมทรามได้ง่าย ทว่าแบบนี้ถือว่าดีแล้ว อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ไปคว้าหญิงสาวมาจากข้างถนน เบื้องหลังประตูพวกเขาคิดจะทำสิ่งใดก็ย่อมได้ ตราบเท่าที่ไม่ไปวุ่นวายกับคนภายนอก และนี่ก็ถือเป็นรายละเอียดที่สำคัญมากทีเดียว”


“หา?”


“คิดดูให้ดีสิ สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เป็นผลดีกับเรา ศัตรูของเราไม่ใช่เพียงทูตระดับสี่ดาว แต่เป็นถึงผู้อาวุโสระดับหกดาว และเพราะพวกเขาเป็นคู่บำเพ็ญเซียน ไม่แน่ว่าเขาอาจแสดงแสนยานุภาพของ ‘ความรักแข็งแกร่งกว่าทองคำ’ ออกมาก็เป็นได้ แถมตอนนี้อาวุธที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดของข้าก็อยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหวัง เพราะฉะนั้นแล้ว เราไม่ได้เปรียบในการปะทะครั้งนี้เลย”


เถ้าแก่เนี้ยเห็นด้วยกับดุลพินิจของเขา “แล้วอย่างไรต่อ”


“แต่เรายังมีข้อได้เปรียบขนานใหญ่อยู่ นั่นคือเราอยู่ในที่มืด ส่วนศัตรูอยู่ในที่แจ้ง ตราบใดที่เรายังยึดข้อได้เปรียบนี้อยู่ เราก็อาจจะแก้ปัญหาในครั้งนี้ได้โดยง่ายก็เป็นได้”


“เจ้าอยากวางแผนลอบจู่โจมไหมเล่า แต่ข้าก็เกรงว่ามันอาจจะไม่ง่ายนัก เพราะสองคนนั้นดูท่าจะเสพติดการบำเพ็ญเซียนคู่ พวกเขาคงไม่ค่อยออกไปไหนมาไหน หากพวกเขาเอาแต่อยู่ในห้องแล้วจะลอบโจมตีได้อย่างไร”


เพราะไม่ได้ยึดคุณธรรมมากมายนัก เถ้าแก่เนี้ยจึงไม่ได้ต่อต้านวิธีลอบโจมตี แต่กลับยกตัวอย่างแผนที่อาจทำตามได้ยากขึ้นมา


สำหรับเรื่องนี้ หวังลู่มีแผนในใจแล้ว “ง่ายมาก หากพวกเขาไม่ออกมา งั้นเราก็เข้าไปข้างในแทน”


เถ้าแก่เนี้ยพยายามกลั้นขำแต่ก็หลุดหัวเราะออกมา “พวกเขาอยู่ในที่ของตัวเอง ทั้งยังมีการคุ้มกันหนาแน่น แถมเจ้ากับเหวินเป่าก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนสายบู๊ที่ห่วยแตกด้านร่ายอาคม แล้วเจ้าจะแอบย่องเข้าไปข้างในได้อย่างไร”


“ทำไมเราจะต้องย่องเข้าไปด้วย เราจะเดินเข้าไปโต้งๆ นี่ล่ะ”


“…นี่เจ้าบ้าหรือเปล่า แผนการอะไรของเจ้าให้เดินเข้าไปแบบโต้งๆ”


หวังลู่ถอนหายใจ “ไม่แปลกเลยโรงเตี๊ยมห่วยแตกของท่านจะเจ๊งภายในเร็ววันนี้ เพราะท่านในฐานะเถ้าแก่ดันมีมันสมองที่น่ากังวลแบบนี้ไง”


“บิดาเจ้าสิ! โรงเตี๊ยมของตระกูลข้ามีเงินหมุนเวียนรายวันเป็นหมื่นๆ ตำลึง ยังห่างไกลจากคำว่าเจ๊งอยู่โขย่ะ!”


“งั้นอีกหนึ่งร้อยปีให้หลัง เงินหมุนเวียนอาจจะเหลือเพียงร้อยเดียวก็ได้”


“งั้นอีกร้อยปีข้างหน้าค่อยมาว่ากันเถอะ! หยุดพล่ามเรื่องข้าได้แล้ว ไหนบอกซิเจ้าจะใช้มันสมองของนักผจญภัยมืออาชีพแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร”


หวังลู่พยักหน้าเห็นด้วย “ทางออกของปัญหาน่ะแจ่มชัดอยู่แล้ว ผู้อาวุโสระดับหกดาวนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นพวกตาแก่วิตถาร หากเราไม่จู่โจมจุดอ่อนที่แจ่มแจ้งแดงแจ๋ของหมอนั่น จิตวิญญาณนักผจญภัยมืออาชีพของข้าต้องร่ำไห้เป็นแน่”


“เจ้าคิดจะฉวยโอกาสจากความบ้าตัณหาของตาแก่นั่นเนี่ยนะ” เถ้าแก่เนี้ยยังคงไม่เข้าใจนัก แต่นางรู้สึกสังหรณ์อยู่รางๆ


จากนั้นนางก็พบว่าสายตาที่จริงจังของทั้งหวังลู่และเหวินเป่าจ้องมองมาที่ตัวเองอย่างคาดหวัง เถ้าแก่เนี้ยจึงเข้าใจแผนการของหวังลู่ในทันที “อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะ!”


“ฮ่าๆๆๆ พี่หญิงหลิง อย่าเขินอายไปหน่อยเลย ท่านคือดาวมฤตยูของเหล่าผู้บำเพ็ญเซียน ตราบเท่าที่ท่านจู่โจมฉับพลันได้ แม้คู่ต่อสู้จะอยู่ในขั้นกำเนิดใหม่ ท่านก็สามารถจัดการพวกเขาจนปางตายได้ นับประสาอะไรกับปลาตัวเล็กๆ ในขั้นสร้างฐานกัน ดังนั้นท่านจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในแผนการครั้งนี้แล้ว!”


“เฮอะ” เถ่าแก่เนี้ยสบถเสียงเย็น


“อีกอย่างพี่หญิงหลิง ท่านงดงามราวกับดอกไม้แย้มบาน… ไม่สิ ท่านงามยิ่งกว่าดอกไม้ทั้งมวลเสียอีก! ข้าเกรงว่าแค่ได้เห็นท่าน ตาแก่วิตถารนั่นอาจหลงท่านหัวปักหัวปำ เขาอาจพ่ายแพ้โดยที่เรายังไม่ต้องลงแรงด้วยซ้ำ! เพราะงั้นหากไม่เป็นท่านแล้วจะใครกัน!?”


“หึๆ เจ้านี่ตาถึงดีจริงๆ… ผิดแล้ว!” เถ้าแก่เนี้ยที่ดูผ่อนคลายไปเมื่อชั่วครู่กลับจริงจังขึ้นมาทันที “แล้วเจ้าโง่ตัวไหนที่เพิ่งบอกว่าข้าทั้งหยาบช้า โหดเหี้ยม ไม่เป็นอิสตรีแม้แต่น้อยกัน”


หวังลู่หันไปหาเหวินเป่าอย่างไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย “เจ้าพูดหรือ”


เหวินเป่ากลัวตาลีตาลาน “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะเนี่ย!?”


หวังลู่ส่ายศีรษะอย่างเศร้าสร้อย “พี่หญิงหลิง ดูเหมือนว่าตอนนี้เราจะตามล่าคนที่พูดจาดูหมิ่นท่านได้ยากแล้ว เพราะฉะนั้นข้าขอให้ท่านวางเรื่องขัดแย้งที่ไม่สลักสำคัญนี้ลงเสียก่อน แล้วมาใช้ความงามจนตาพร่าของท่าน…”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์เหยียดยิ้มแล้วพูดขัดขึ้น “โอ้โลมเจ้าแพะแก่นั่นน่ะนะ!? หวังลู่ เจ้ากล้ามากนะที่ขออะไรเช่นนี้ออกมาได้!”


เมื่อได้ยินดังนั้น หวังลู่ก็อดแตกตื่นไม่ได้ ความจริงแล้ว แม้ว่าพี่หญิงหลิงจะไม่ต่างจากสาวชาวบ้านทั่วๆ ไป แต่นางก็เป็นถึงบุตรีของเจ้าสำนัก เป็นรุ่นที่สองอย่างถูกต้อง การขอให้นางไปทำอะไรเช่นนี้ความจริงแล้วค่อนข้างจะ…


ค่อนข้างจะน่าตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย! ฮ่าๆๆ!


“พี่หญิงหลิง ข้ารู้ว่าในฐานะหญิงสาว ท่านมีข้อจำกัดในการกระทำเรื่องดังกล่าว นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่ตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เงินคือพระเจ้า หากหย่อนข้อจำกัดลงบ้างผู้หญิงก็จะสามารถไล่ตามความสุขได้อย่างเปิดเผยขึ้น หญิงสาวคนอื่นๆ ถอดโซ่ตรวนเพื่อสิ่งนี้แล้ว เหลือเพียงท่านเท่านั้น พวกนางมีอิสระที่จะฉกฉวยโอกาสแห่งความสุข ทิ้งให้ท่านอยู่กับของเหลือเดน! ลองคิดดูสิ…”


ก่อนที่จะได้พูดต่อ เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็พูดขัดเสียงเย็น “นี่เจ้าคิดจะลวงข้าเหมือนเจ้าของหอนางโลมล่อลวงเด็กสาวอ่อนต่อโลกงั้นหรือ”


หวังลู่นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง “ขอโทษที ข้าเข้าผิดช่องไปหน่อย ขอลองอีกทีได้ไหม”


“ลองอีกทีบิดาเจ้าสิ! ข้าจะบอกให้นะ เจ้าลืมเล่ห์สกปรกในหัวของเจ้าไปได้เลย!”


เมื่อถูกปฏิเสธเสียงแข็ง หวังลู่ก็ผงะไปแต่แล้วเขาก็เหยียดยิ้มออกมา “หึ พี่หญิงหลิง ว่ามาตามตรงเถอะ ท่านไม่มั่นใจในตัวเองถูกไหม”


“หน็อย! อย่าพยายามยั่วยุข้าหน่อยเลย!”


“ข้ายอมรับว่าหากมองภายนอก ในฐานะสตรี ท่านก็ถือว่างดงามครบเครื่องอย่างแท้จริง”


เถ้าแก่เนี้ยเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย พยายามอย่างหนักที่จะไม่ทำท่าพึงพอใจ


ทว่าประโยคต่อมาของหวังลู่กลับทำให้นางโกรธขึ้งขึ้นมา


“แต่ความงามของสตรีมิพึงมีเพียงภายนอก สิ่งสำคัญอยู่ที่นิสัย ซึ่งเทียบเท่ากับกำลังภายในของจอมยุทธ์หรือจิตเซียนของผู้บำเพ็ญเซียน ข้าไม่ได้จะดูหมิ่นท่านหรอกนะพี่หญิงหลิง แต่ในฐานะผู้หญิงแล้วนั้น นิสัยท่านนับว่าเลยร้ายสุดๆ”


“หึๆ”


“พูดตามตรง หากมีตัวเลือกอื่น ข้าก็ไม่อยากให้พี่หญิงหลิงต้องมาเสี่ยงด้วยหรอก เพราะความเป็นไปที่จะล้มเหลวนั้นสูงมาก และมันอาจทำให้จิตใจของท่านเป็นแผลขึ้นมาได้… แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว ข้ากับเจ้าอ้วนคงต้องไปที่หอนางโลม จับจ่ายเงินเล็กน้อยเพื่อแลกกับนางโลมสักสองสามคนก็น่าจะได้”


เถ้าแก้เนี้ยโมโห “นี่เจ้าหมายความว่าข้ามีค่าเท่ากับนางโลมสองสามคนเองงั้นรึ!?”


หวังลู่ส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่กล้าหรอก มันก็แค่ในวงการนี้เน้นที่คุณภาพของอิสตรี แต่ว่าท่าน พี่หญิงหลิง…”


“พอที!”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์คำรามลั่น ลมปราณของนางแตกซ่าน ทำให้ทั้งตรอกสั่นสะเทือนจนฝุ่นสองข้างทางร่วงหล่นลงมา


เมื่อเห็นเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ปลดปล่อยความเดือดดาลผ่านเสียงคำราม หวังลู่ก็อดแตกตื่นมิได้ เขาไม่เคยเห็นนางโกรธเพียงนี้มาก่อน หรือครั้งนี้เขาจะทำเกินไปนะ


พอหวังลู่และเหวินเป่ามองหน้ากัน ทั้งคู่ก็รู้สึกว่าพวกตนเล่นลูกไม้เกินไป หากพวกเขายั่วยุ ‘ท่านป้า’ ผู้นี้มากเกิน นางอาจจะผลุนผลันกลับเมืองธาราวิญญาณไปด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ได้ และหากเป็นเช่นนั้น พวกเขาสองคนก็จะหมดโอกาสเอาชนะเจ้าสำนักเจ็ดดาราที่มีตบะขั้นพิสุทธิ์ได้ ไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์หรอก แค่คนในสำนักระดับสี่ดาวกับหกดาว พวกเขายังทำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ


ทันใดนั้น…ความคิดหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามาในหัวของเหวินเป่า เขาแอบขยิบตาให้หวังลู่จากนั้นก็ใช้สัญลักษณ์ลับๆ ที่ตกลงร่วมกันก่อนหน้านั้นบอกให้รู้ถึงแผนอันชาญฉลาดที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้


คุกเข่าคำนับ! ศิษย์พี่หวังลู่ คุกเข่าคำนับเร็วเข้า!


หากจะต่อรองกับพี่หญิงหลิง วิธีนี้มีโอกาสสำเร็จถึงสิบส่วน!


ทว่าวิธีที่เหวินเป่าคิดได้ มีหรือหวังลู่จะคิดไม่ได้ ขณะที่เขากำลังยิ้มย่องอยู่ในใจและเตรียมพร้อมจะเรียกนางว่าอาจารย์อีกครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ดังขึ้นมา


“หวังลู่ คิดจะยั่วยุให้ข้าตกหลุมพรางงั้นหรือ…ข้าไม่ใช่พวกโง่เง่านะ”


หวังลู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พี่หญิงหลิง ท่านเป็นยอดจอมยุทธ์ที่แสนปราดเปรื่อง ใครจะกล้าดูหมิ่นท่านเป็นคนโง่กัน”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์เมินเฉยต่อคำเยินยอเสแสร้ง “ข้าว่าเจ้าได้เผยความคิดส่วนลึกในประโยคก่อนหน้านี้ออกมาแล้ว หึ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะคิดกับข้าเยี่ยงนี้”


รอยยิ้มของเถ้าแก่เนี้ยเย็นชาขึ้นทุกที แม้ปฏิกิริยาของนางจะไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ แต่หวังลู่ก็อดตื่นตะลึงมิได้


“เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ คือ…”


“อย่าคิดพูดแก้ตัว ในเมื่อถูกต้อนขนาดนี้แล้ว แม้ว่าข้าจะกล้าหรือไม่ก็ตาม ข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะก้าวไปเผชิญหน้ากับมัน”


เมื่อได้ยินดังนี้ หวังลู่ก็ประหลาดใจและอึ้งไปพักใหญ่ จากนั้นสีหน้าก็สดใสขึ้น “อ้า พี่หญิงหลิง แน่นอนว่าท่านช่างเที่ยงธรรมนัก เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเราทั้งสองเหลือเกิน!”


เสี่ยวหลิงเอ๋อร์เหยียดยิ้ม “อย่าเพิ่งดีใจไปหน่อยเลย! เรื่องครั้งนี้อาจจะไม่ง่ายขนาดนั้น เจ้าคิดว่าข้าจะยอมขายตัวเองเพียงเพราะคำพูดของเจ้างั้นหรือ ทำไมช่างดูต่ำค่ายิ่งนัก”


“เอ่อ พี่หญิงหลิง นี่ท่านจะคิดเงินงั้นหรือ”


“ระยำเอ๊ย! หากข้าคิดเงิน ข้าจะกลายเป็นอะไรกันเล่า!? ข้าจะเดิมพันกับเจ้าต่างหาก…หากข้าตกลงทำ งั้นเรื่องคุณภาพความเป็นอิสตรีอะไรที่เจ้าพูดถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระ”


หวังลู่รีบเอาใจนางในทันที “มันก็ไร้สาระมาตั้งแต่แรกแล้ว ท่านอย่าถือเป็นจริงเป็นจังเลยนะ พี่หญิงหลิง!”


“งั้นข้าอยากให้เจ้าขอโทษ”


“ข้าขออภัยต่อท่าน!”


“หืม ขอโทษสั่วๆ เช่นนี้จะมีความหมายอะไร”


“งั้นท่านอยากให้ข้าทำอะไร”


“…ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก ถือซะว่าเจ้าติดค้างข้าอยู่แล้วกัน” เมื่อพูดจบ เถ้าแก่เนี้ยก็เงยหน้าขึ้นมองหวังลู่ นัยน์ตากลอกไปมา ส่วนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ลึกซึ้ง


“แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง อย่าคิดว่าจะหนีจากข้าไปได้ง่ายๆ เชียว!”


“เอ่อ…” เมื่อถูกดวงตาวับวาวทั้งสองข้างจ้องมองมาพร้อมรอยยิ้มระเรื่อ หวังลู่ก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นอย่างบอกไม่ถูก


ทว่าเขาก็สลัดมันทิ้งไปแล้วตอบกลับเสียงดัง


“วางใจเถอะ ใบหน้าที่สวยสดและจิตใจที่งดงามของพี่หญิงหลิงจะประทับอยู่ในหัวใจของข้าอย่างแน่นอน! ข้าจะนึกถือมันทุกค่ำคืนก่อนจะเข้านอน!”


“หึ ระวังอย่าเสียน้ำเกินขนาดจนขาดใจตายไปซะก่อนเล่า”


“ไม่มีทาง ตราบใดที่ข้านึกถึงท่าน ข้าก็จะผงาดดั่งมังกรทั้งยังดุร้ายดั่งเสือ”


“ระยำ! ข้าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้กับเจ้าอีกเป็นอันขาด! แล้วนี่เราจะคุยกันต่อได้หรือยัง เจ้ามีแผนในใจแล้วหรือไม่ ข้าต้องแต่งองค์ทรงเครื่องหรือเปล่า”


จิตวิญญาณของหวังลู่สั่นไหว เขาตอบทันควัน “ข้ามีแผนแล้ว แต่ข้าไม่เห็นว่าท่านจะต้องแต่งองค์อะไร ความงามของพี่หญิงหลิงเปรียบได้กับหยดน้ำบริสุทธิ์ที่อยู่บนยอดของดอกบัว เป็นงานศิลปะที่แสนวิจิตร! ท่านแต่งเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว!”


“อืม ที่จริงข้าก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน…”


…………………………………………..


ตอนที่ 5 เจ้าตายแน่! ไม่มีใครหน้าไหนจะช่วยเจ้าได้ทั้งนั้น! (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด หากได้รับการร่วมมือเต็มขั้นจากเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ ขั้นต่อไปของพวกเขาก็จะราบรื่นอย่างดี


หลักทั่วไปของแผนในครั้งนี้นั้นง่ายมาก นั่นคือให้เสี่ยวหลิงเอ๋อร์เข้าหาผู้อาวุโสหกดาวโดยอาศัยนิสัยบ้าตัณหาของเขา จากนั้นก็จัดการเขาในระยะประชิด


ด้วยอำนาจพิเศษของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ที่สามารถต้านทานพลังเซียนได้ทุกรูปแบบ เมื่อนางเข้าใกล้ผู้บำเพ็ญเซียนในระยะประชิด ผู้บำเพ็ญเซียนทั่วไปจึงไม่อาจตั้งรับได้ทัน และตราบที่เสี่ยวหลิงเอ๋อร์สยบผู้อาวุโสคนนั้นได้ ฝ่ายตรงข้ามก็มิอาจสำแดงพลังขั้นสูงสุดออกมาได้ ส่วนทูตระดับสี่ดาวนั้น…พวกเขาจะปล่อยนางไป!


ปัญหาเดียวก็คือทำอย่างไรถึงจะให้เถ้าแก่เนี้ยผู้งดงามราวดอกไม้ได้เจอะเจอหน้าตาแก่ตัณหากลับหกดาวนั่น


“เรื่องนี้ง่ายมาก ตอนที่เจ้าอ้วนเข้าไปในจวนนั่น ก็เห็นว่ามีหญิงรับใช้ตั้งหลายคนมิใช่หรือ พี่หญิงหลิง ท่านก็ใช้วิธีนี้นั่นแหละ หากไม่มีข้อผิดพลาดล่ะก็ มันต้องเป็นไปด้วยดีแน่”


“ยังไง”


หวังลู่อธิบาย “ก็จากที่เจ้าอ้วนเล่ารายละเอียดให้ฟัง หญิงสาวพวกนั้นสมัครใจทำเรื่องลามกนี่เองโดยไม่ได้ดูเหมือนถูกบังคับด้วยซ้ำ จริงอยู่ที่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานมีความสามารถในการควบคุมจิตผู้อื่น แต่การทำเช่นนั้นย่อมทิ้งร่องรอยที่เด่นชัดไว้ ซึ่งเจ้าอ้วนไม่มีทางมองข้ามแน่นอน อีกอย่างในเมื่อพวกเขาอยู่อย่างสุขสบายในอำเภออู่โหวแห่งนี้ ย่อมต้องมีข้อตกลงที่ได้รับความเห็นชอบจากผู้พิพากษาและคนของเขาอย่างแน่นอน”


เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้าเห็นด้วย “แล้วจากนั้นเล่า”


“แต่ในรายละเอียดเดียวกัน เราจะเห็นได้ว่า ท่ามกลางหมู่สาวรับใช้พวกนี้ มีทั้งพวกที่เป็นมืออาชีพ ซึ่งคือพวกนางโลมที่มีทักษะในเรื่องนี้อยู่แล้ว กับพวกมือใหม่ ซึ่งก็คือเด็กสาวที่ถูกสภาพแวดล้อมกดดันให้ขายเรือนร่างแลกเงินทอง และด้วยนิสัยและสถานะของผู้อาวุโสคนนั้น ข้าว่าหากว่ากันตามกฎของโลกปุถุชน คนผู้นี้ต้องร่ำรวยมหาศาลทีเดียว”


“แล้วยังไง”


“ทว่าสำหรับตาแก่มากตัณหาเช่นเขา การจัดเตรียมหญิงสาวอย่างน้อยย่อมต้องมีปัญหา จำนวนประชากรในอำเภอเล็กๆ เช่นนี้มีไม่กี่พันคน ไม่เพียงพอที่จะให้กำเนิดหญิงงามจำนวนมากแน่ อีกอย่างไม่ใช่ว่าสาวงามทุกคนจะยินยอมขายตัวเอง พนันได้ว่าผู้อาวุโสหกดาวนั่นเพิ่งมาถึงอำเภอนี้ได้ไม่นาน เขาจึงยังสามารถควานหาหญิงงามจำนวนมากพอที่จะสนองความบ้ากามของตัวเองได้ แต่ข้าว่าจำนวนของหญิงงามคงจะตึงมือไม่น้อยแล้ว และสำหรับชายตัณหากลับเช่นนั้น ไม่ช้าเขาย่อมเบื่อเหล่าหญิงงามที่อยู่ในมือแน่นอน เพราะส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีคุณภาพอะไร ย่อมเรียกร้องความสนใจเขาได้ไม่นานพอ ดังนั้นเขาย่อมต้องออกไปล่าหญิงงามใหม่ๆ มาอีกแน่นอน!”


เถ้าแก่เนี้ยเบ้ปากอย่างรังเกียจ “หึ น่าสะอิดสะเอียนชะมัด”


หวังลู่ยักไหล่ “เป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ต้องการแพร่เผ่าพันธุ์ มีเพียงท่านที่ยืนอยู่เหนือมนุษยชาติทั้งปวงจึงสามารถเห็นปัญหาได้อย่างแจ่มชัด”


เถ้าแก่เนี้ยยกนิ้วกลางให้เขาไปทีหนึ่ง


“พูดสั้นๆ ก็คือ ข้าว่าอีกไม่นานผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นคงจะบอกให้คนในจวนไปเฟ้นหาสาวงามคนใหม่ๆ แน่ คราวนี้หากพี่หญิงหลิงสามารถไปปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาโดยไม่มีข้อแคลงใจ พวกเขาต้องพาท่านไปพบผู้อาวุโสคนนั้นอย่างแน่นอน”


“…ที่เจ้าพูดว่าไม่มีข้อแคลงใจน่ะหมายความว่าอย่างไร”


หวังลู่นิ่งคิดสักพักก่อนจะกระซิบใส่นาง “ก็เช่น…”


ผ่านไปพักใหญ่ หลังจากได้ฟังแผนการโดยสรุปของหวังลู่แล้ว เถ้าแก่เนี้ยก็ถอนหายใจออกมา “ข้าคิดมาตลอดเลยว่าเจ้าตั้งใจหาเรื่องมาให้ข้า”


“ข้าสาบานเลยว่าไม่เคยตั้งใจเช่นนั้น แม้วิธีจะชั่วร้ายไปหน่อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิธีชั่วร้ายมักสัมฤทธิ์ผลมากกว่า นอกจากนั้นในอำเภออู่โหวที่ห่างไกลเช่นนี้ การทำให้ชาวบ้านเชื่อใจก็ไม่น่ายากเย็นอะไร… อีกอย่างต่อให้ท่านทำให้ชาวบ้านเชื่อใจไม่ได้แล้วอย่างไร ตราบเท่าที่พี่หญิงหลิงอวดเรือนร่างชวนตื่นตะลึงของท่านให้พวกนั้นเห็น แม้ว่าพวกนั้นจะสงสัยตัวตนของท่าน แต่ก็ต้องยอมมองข้ามไปอย่างแน่นอน”


“…เอาล่ะ ข้าจะทำตามแผนเจ้าก็ได้ แต่อย่าลืมเสียล่ะ”


หวังลู่ตอบกลับทันใด “ข้ารู้ ข้าติดหนี้ท่านครั้งใหญ่”


“หึ ดีที่เจ้ารู้” ——


เพื่อไม่ให้ชักช้ามากกว่านี้ เย็นวันนั้นเอง ทั้งสามคนก็ดำเนินการตามแผนที่วางไว้


พูดให้ถูกก็คือ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ลงแรงในแผนการครั้งนี้


หนึ่งคือเถ้าแก่เนี้ย อีกหนึ่งคือเหวินเป่า ส่วนหวังลู่น่ะหรือ ในฐานะผู้กำกับ เขาจึงเลือกยืนมองอยู่ไกลๆ


การแสดงพิเศษของพวกเขาเป็นไปตามนี้


ฉากแรก : บนถนนหลักของอำเภออู่โหว ตัวละคร : เถ้าแก่เนี้ยและเหวินเป่า


เถ้าแก่เนี้ยกับเหวินเป่าเดินอยู่ข้างๆ กัน พวกเขาทั้งคู่สวมเสื้อผ้ามอมแมม ขาดรุ่งริ่ง ชาวบ้านสามารถมองออกได้ทันทีว่าคนทั้งคู่ยากจน เหวินเป่าเดินโซเซตัวงอ ไอออกมาเป็นระยะราวกับว่าเจ็บป่วยแสนสาหัส


เถ้าแก่เนี้ย : “เสี่ยวเป่า เจ้าไหวไหม”


เหวินเป่า : “พี่หญิงใหญ่ ข้าไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องเป็นห่วงไป”


“จะไม่ให้ข้าห่วงได้อย่างไร! อาการป่วยของเจ้า…ท่านหมอบอกว่า หากเจ้ากินยาตรงตามเวลา เจ้าจะต้องหายดีแน่! หมู่บ้านเรายากจน ข้าจึงพาเจ้าเข้ามาในอำเภอเพื่อหาซื้อตัวยา!”


“แต่พี่หญิงใหญ่ แม้ร้านสมุนไพรจะมีตัวยาที่ว่านั่น แต่ก็ต้องใช้เงินแลกมา”


“โธ่เอ๋ย หากท่านพ่อไม่ขายไร่นาไปเสียหมด กะอีแค่ซื้อตัวยาให้กับเจ้า…”


“พี่หญิงใหญ่ ท่านอย่าโกหกเลย อาการป่วยข้า… ต้องใช้ส่วนผสมของตัวยาที่มีราคาแพง ต่อให้ไร่นาของเรายังอยู่ครบ ก็ยังไม่พอจ่ายค่ายาของข้าจนหายขาด เพราะงั้นพี่หญิงใหญ่ ท่านไม่ต้องใส่ใจข้าก็ได้”


“…วางใจเถอะ ไหนๆ ข้าก็พาเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว ต้องมีหนทางหาเงินเพื่อซื้อตัวยารักษาเจ้าสิ!”


“หนทางหาเงิน? พี่หญิงใหญ่ ท่านจะหาเงินมาได้อย่างไร”


“ได้ก็แล้วกัน! พี่ของเจ้าจะปักผ้า ทอผ้า ทำอาหาร ทำโน่นนั่นนี่ ที่นี่เป็นอำเภอใหญ่ งานที่เงินดีๆ ต้องมีเยอะแยะแน่”


“แต่…”


“ไม่มีแต่ ท่านลุงหวังจากหมู่บ้านทางตะวันออกบอกข้าว่าแค่ผ้าเช็ดหน้าที่ข้าปักลาย ก็ขายในอำเภอนี้ได้เงินมากโขแล้ว… พูดสั้นๆ คือ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องนี้เลย!”


ฉากสอง : หน้าประตูทางเข้าจวนรับรองของผู้พิพากษาอำเภอ ตัวละคร : เถ้าแก่เนี้ย


“โธ่ ข้ากับเสี่ยวเป่า ข้ากับเสี่ยวเป่ามีกันแค่สองพี่น้องเท่านั้น จะปล่อยให้เขาป่วยตายไม่ได้ แม้จะต้อง… เอาล่ะ ข้าต้องหาเงินมาให้ได้!”


จากนั้นหญิงสาวที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็ก้าวยาวๆ ไปยังประตูทางเข้าแล้วเอ่ยปากถามผู้คุ้มกันที่ยืนอยู่ด้านหน้า


นางกุมมือเข้าด้วยกัน รวบรวมความกล้าแล้วพูดเสียงตะกุกตะกักว่า “ขะ ขอประทานอภัย ไม่ทราบว่าที่นี่รับคนงานหรือไม่”


ผู้คุ้มกันคนหนึ่งโบกมือไล่นางโดยไม่ปรายตามองด้วยซ้ำ “ไปให้พ้น หากจะมาขออาหาร ก็ไปขอที่อื่น!”


ทว่าผู้คุ้มกันอีกคนกลับมีสายตาแหลมคม เพียงแค่ปรายตามองหญิงสาว นัยน์ตาของเขาก็ลุกโชนขึ้นมาในทันใด เขารีบตบบ่าเพื่อน “นี่ นี่ เจ้าดูนางก่อน!”


ชายอีกคนหันหน้ามามองอย่างใคร่รู้ ผ่านไปอึดใจหนึ่งก็ตระหนักได้เช่นกัน จึงรีบพูดกับหญิงสาวว่า “เจ้ารอตรงนี้ ข้าจะเรียกพ่อบ้านมาคุยกับเจ้า”


พักต่อมา บุคคลที่ดูเหมือนจะเป็นพ่อบ้านก็เดินออกมาจากจวน เมื่อสำรวจดูหญิงสาวเขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ตามข้ามา มาคุยกันข้างในดีกว่า”


………………………………………..

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม