สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด บทที่ 3 ตอนที่ 1-10

 บทที่ 3 ตอนที่ 1

 

“เชิญเข้ามาได้”


หลังจากเยี่ยเหยียนกลับไปได้สองวัน วันนี้ลั่วชิวก็กลับมาที่มหาวิทยาลัย


คนที่มาต้อนรับเขา ยังคงเป็นอาจารย์หวังลั่วในครั้งที่แล้ว


ลั่วชิวมาอยู่ตรงหน้าของหวังลั่ว เธอสังเกตดูอยู่พักหนึ่ง ก็จำได้ทันทีว่าเป็นนักเรียนของศาสตราจารย์ฉินฟาง แล้วก็นึกถึงเรื่องจัดการอาจารย์ให้นักเรียนสองคนของห้องนี้ได้


ด้วยเหตุนี้หวังลั่วจึงยิ้มเล็กน้อยพร้อมพูดว่า “ฉันจำได้ว่าเธอคือ…นักศึกษาลั่วชิวสินะ เป็นยังไงบ้าง คิดดีแล้วหรือยัง? ย้ายห้องหรือรออาจารย์คนใหม่?”


เธอพูดต่อ “แต่เกรงว่าทางฝั่งนี้จะมีข่าวร้ายมาอีกแล้ว อาจารย์ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะสาขานี้มีนักเรียนน้อยมากหรือเปล่า ทางมหาวิทยาลัยก็เลยพูดกันเรื่องยุบสาขานี้ เรื่องรับสมัครอาจารย์เองก็กำลังดำเนินการอยู่ แต่ว่า…ผลที่ได้ไม่ดีเอาซะเลย”


“ไม่เป็นไรครับ” ลั่วชิวพูดเสียงเรียบเฉย “ครั้งนี้ผมมาเพื่อทำเรื่องลาออกครับ”


“ลาออกเหรอ?”


หวังลั่วคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตอบมาแบบนี้ จึงตะลึงงันไปเล็กน้อย พลางตอบอย่างประหลาดใจมาก “นักศึกษาลั่วชิว เธอไม่พอใจการจัดการของทางมหาวิทยาลัยตรงไหนไหม? ถ้ามีก็ลองพูดออกมาได้นะ พวกเราเคารพความคิดเห็นของนักศึกษาทุกคน”


ด้วยหวังลั่วเป็นบุคลากรของมหาวิทยาลัย เธอจึงมีหน้าที่เหนี่ยวรั้งนักศึกษาในสถานการณ์เช่นนี้ ยังไงปัญหาก็ไม่ได้เกิดจากนักศึกษา แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากฝ่ายศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย หวังลั่วไม่รู้แน่ชัดว่านักศึกษาคนนี้เป็นคนยังไง ถ้าเขาออกจากมหาวิทยาลัยแล้ว ไปพูดถึงมหา’ลัยแบบเสียๆ หายๆ งั้นก็คงต้องลำบากแล้วแหละ


“ไม่ครับ เป็นแค่เหตุผลส่วนตัวของผม” ลั่วชิวพูดอย่างสุภาพ “อาจารย์วางใจเถอะครับ ผมจะไม่เอาเรื่องอะไรกับทางมหา’ลัย ถ้าอาจารย์ไม่วางใจล่ะก็ พวกเราเซ็นหนังสือข้อตกลงกันก็ได้นะครับ”


“เอ่อ…” หวังลั่วคิดอยู่สักพัก “งั้นเธอช่วยรออาจารย์ก่อนแป๊บหนึ่งนะ อาจารย์ขอโทรศัพท์หน่อย”


ลั่วชิวพยักหน้า


ไม่นานหวังลั่วก็ออกไปจากห้องทำงาน แล้วยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ด้านนอกระเบียงทางเดิน หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เดินกลับมาอย่างเร่งรีบ “ได้แล้ว หัวหน้าบอกไม่มีปัญหา แต่ว่ายังทำเรื่องวันนี้ไม่ได้…อืม”


หวังลั่วที่ยังพูดไม่จบ ก็รีบปิดปากของตัวเองทันที ขมวดคิ้ว เผยให้เห็นอาการคลื่นไส้


“ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”


หวังลั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายที แล้วดื่มน้ำอึกหนึ่ง ถึงได้ส่ายหัว เธอก้มหน้ายื่นมือมาลูบท้องของตัวเอง พร้อมทั้งรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร หลายวันมานี้ เริ่มชินบ้างแล้วล่ะ”


ลั่วชิวยิ้มพร้อมพูดว่า “ยินดีด้วยครับ”


หวังลั่วถอนหายใจพลางพูดว่า “อาจารย์น่ะ ไม่เคยคิดอยากมีลูกมาก่อนเลย แต่สุดท้ายกลับพบว่าตัวเองตั้งท้อง เฮ้อ แอบตกใจเหมือนกันนะ แต่ว่า…”


เธอกำลังเหม่อลอยมองไปนอกหน้าต่าง


นั่นคือตำแหน่งของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เป้นต้นที่โค่นลงหลังจากลมพายุพัดผ่านไปก่อนหน้านี้ไม่นาน เธอที่กำลังลูบท้องตัวเองเบาๆ เริ่มเผยให้เห็นรอยยิ้มมีความสุข “ฉันคิดมาตลอดว่า เด็กคนนี้น่าจะเป็นผู้หญิงล่ะมั้ง”


ลั่วชิวพยักหน้า ยิ้มพร้อมพูดว่า “อืม ผมคิดว่าต้องเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักมากคนหนึ่งแน่ๆ”


“ขอบใจนะ”




ในขณะที่รองบรรณาธิการเริ่นกำลังตามหาข้อมูลข่าวบนถนน เธอก็แหงนหน้ามองพระอาทิตย์อันร้อนแรง พลางพูดกับผู้ช่วยสาวข้างๆ ว่า “หลีจื่อ ไปซื้อชานมกลับมาสองแก้วสิ! ฉันเลี้ยงเอง~”


“พี่เริ่น มือของพี่บาดเจ็บไม่ใช่เหรอ? ต้องงดอาหารบางอย่างไม่ใช่เหรอคะ?” ผู้ช่วยสาวกลอกตามองพร้อมกับพูดว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ชานมแคลอรีเยอะนะคะ”


ผู้ช่วยสาวลูบพุงของตัวเองที่ยื่นออกมาเล็กน้อยพลางพูดว่า “ฉันไม่เหมือนพี่นี่ กินยังไงก็ไม่อ้วน”


จู่ๆ เริ่นจื่อหลิงก็หมดสนุก กำลังมองดูคนบนถนนเดินผ่านไปผ่านมาอย่างเบื่อหน่าย ทันใดนั้นก็พูดว่า “คือว่านะ ทำไมวันนี้นักเรียนถึงมาเดินเล่นอยู่บนถนนเยอะเลยล่ะ? ไม่ต้องเข้าเรียนกันเหรอ?”


หลีจื่อยิ้มแล้วพูดว่า “ถึงช่วงปิดเทอมฤดูร้อนแล้วค่ะ พี่เริ่นไม่รู้เหรอคะ?”


เริ่นจื่อหลิงใช้มือบังพระอาทิตย์ มองดูท้องฟ้าสีครามสด พลางพูดอย่างทอดถอนใจว่า “ปิดเทอมฤดูร้อนแล้วเหรอ…ปิดเทอมฤดูร้อน ปิดเทอมฤดูร้อน ปิดเทอมฤดูร้อน?”


รองบรรณาธิการเริ่นจับมือของผู้ช่วยสาวขึ้นมาทันที หรี่ตาลงพร้อมพูดว่า “หลีจื่อ อาทิตย์ที่แล้วมีบ้านพักตากอากาศเชิญพวกเราไปทำข่าวไม่ใช่เหรอ? ข้อมูลล่ะ?”


“หา? พี่เริ่นบอกว่าไม่สนใจไม่ใช่เหรอคะ? ฉันบอกปัดไปตั้งแต่วันนั้นแล้วล่ะค่ะ”


“…เร็ว!! ไปหาคืนมาให้ฉัน บอกว่าฉันสนใจ! ค่าโฆษณาครึ่งหนึ่งก็ได้! ”


“…พี่เริ่น ลดราคาแบบนี้เดียวหัวหน้าก็ระเบิดลงหรอกค่ะ!”


“ไม่เป็นไร ถ้าเขาอยากระเบิด ฉันจะส่งผ้าอนามัยไปให้ที่บ้านเขาเอง! ประสิทธิภาพในการห้ามเลือดดีสุดๆ ไปเลย!”


หลีจื่อในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ช่วย มองเห็นความกล้าหาญชาญชัยของ ‘จอมยุทธ์หญิง’ คนนี้มาหลายครั้งแล้ว…ตอนนี้คิดก่อนดีกว่า ว่าอีกเดี๋ยวจะไปคุยราคากับผู้รับผิดชอบบ้านพักยังไงดี


แม้เริ่นจื่อหลิงจะพูดเต็มปากเต็มคำว่าให้ลดครึ่งราคา แต่เธอก็ไม่ได้อยากทำตามอำเภอใจ…รู้สึกว่าลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็น่ากลัวแล้ว


เฮ้อ



ในสมาคม เจ้าของสมาคมลั่วกำลังอ่านนิตยสารสบายๆ ตามปกติ เขาเพิ่งซื้อมาจากข้างทาง เป็นนิตยสารท่องเที่ยวรัสเซีย


ก่อนหน้านี้นานทีเดียว เขาเคยรับปากโยวเย่เรื่องไปเที่ยวรัสเซีย ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดเรื่องนี้จากปาก แต่เห็นได้ชัดว่าลั่วชิวมีแผนพาไปอยู่ตลอด


ฉับพลันโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอมองดูแวบหนึ่งก็เห็นว่าเป็นเริ่นจื่อหลิง


ลั่วชิวเริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยังคงรับสาย


เสียงอบอุ่นผิดปกติของเธอชวนให้เขาขนลุกขนพอง… ลั่วชิวถึงขนาดจินตนาการได้ว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องกำลังหรี่ตาอยู่แน่ๆ


“ลูกรักจ๊ะ ได้ยินมาว่าปิดเทอมฤดูร้อนแล้วนี่!”


“…แล้วไงครับ?”


“อย่าบอกฉันนะว่า เธอปิดเทอมฤดูร้อนแล้วยังต้องติวหนังสือต่อน่ะ”


“…อืม ติวต่อครับ”


“ไม่เป็นไร! ถ้าเธอเกรงใจล่ะก็ เธอเอาเบอร์ผู้ดูแลนักเรียนมาให้ฉัน ฉันจะลองช่วยพูดให้เอง!”


“…พูดมาเถอะ คุณมีเรื่องเดือดร้อนอะไรมาให้ผมอีก?”


“ลูกรักจ๊ะ! พวกเราไปทะเลกันเถอะ! แสงแดดและหาดทราย นี่ถึงจะเป็นหน้าร้อนนะ! ใช่แล้ว! เธอพาแฟนมาด้วยสิ! กว่าฉันจะขอคูปองที่พักมาได้ก็ไม่ง่าย ไม่ใช้ให้หมดๆ ไปก็น่าเสียดายแย่สิ!”


ลั่วชิวพยายามนึกย้อนเล็กน้อย แล้วอดพูดไม่ได้ว่า “ว่าไปแล้ว ผมทำให้คุณเข้าใจผิดว่ามีแฟนแล้วตอนไหน?”


“เอาแบบนี้นั่นแหละ!” เริ่นจื่อหลิงกลับเหมือนไทเฮาที่ว่าราชการหลังม่าน “พรุ่งนี้ออกเดินทาง! เธอจะต้องพาแฟนของเธอมาให้ฉันรู้จักด้วย! ถ้าเธอไม่พามา หรือไม่ยอมไป ก็รอดูนรกนัดดูตัวตลอดหน้าร้อนนี้ได้เลย! พูดแบบนี้ตกลงแล้วนะ! ฉันยังมีธุระ ตอนกลางคืนค่อยคุยรายละเอียดกัน!”


ตื๊ด!


กระสับกระส่ายร้อนรน


…ลั่วชิวหุบนิตยสารท่องเที่ยวในมือลง แล้ววางโทรศัพท์มือถือไว้บนหน้าปกนิตยสารท่องเที่ยว ก่อนเคาะนิ้วมือลงบนโต๊ะ


ตกลงว่า ความเข้าใจผิดเรื่องแฟนนี้ เกิดขึ้นมาตอนไหนกันแน่นะ?


ภายในสมาคมที่มีอากาศเย็นสบาย ตอนนี้สาวใช้ก็เดินออกมาจากด้านหลังห้องโถง พร้อมกับชาแดงเลม่อนส่งกลิ่นหอมชวนให้คนหลงใหลอยู่


เธอวางจานลงมาก่อน จากนั้นก็เป็นแก้วชา ต่อมาก็จานน้ำตาล “นายท่านคะ วันนี้อยากได้น้ำตาลกี่ก้อนคะ?”


ลั่วชิวมองโยวเย่ หรี่ตาพร้อมพูดว่า “ใช่แล้ว เธอมีชุดว่ายน้ำไหม?”


คุณสาวใช้ก็หรี่ตาเช่นกัน เธอไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก

 

 

 


บทที่ 3 ตอนที่ 2

 

หลีจื่อมองคนที่นั่งเบาะหน้าทั้งสองจากเบาะหลัง


คนที่บริษัทต่างก็รู้ว่าพี่เริ่นมีลูกชายวัยรุ่นแล้วคนหนึ่ง ดูเหมือนว่ามีเพียงคนเก่าแก่ของบริษัทจำนวนน้อยไม่กี่คนที่เคยเห็น อย่างไรนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอเห็น


อืม รู้สึกยังไงน่ะเหรอ?


น่าจะเป็นคนที่เงียบมากๆ คนหนึ่ง…และผิวก็ขาวมากๆ ไม่เหมือนคนที่ออกกำลังกายกลางแจ้งเป็นประจำเลย


อายุประมาณนี้น่าจะยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยล่ะมั้ง?


ด้วยยังอยู่บนรถพี่เริ่น เธอกับลั่วชิวก็มีความสัมพันธ์จำกัดอยู่ในขอบเขตแค่เคยแนะนำตัวกันเท่านั้น


ดูเหมือนหาเรื่องคุยด้วยยากแฮะ…หลีจื่อเริ่มเลื่อนรายชื่อเพื่อนในโทรศัพท์ ในนั้นมีข่าวบางอย่างที่ส่งมา “เอ๊ะ พี่เริ่น พยากรณ์อากาศบอกว่าเหมือนจะมีพายุไต้ฝุ่นมาอีกแล้ว!”


“เกิดพายุไต้ฝุ่นแล้วมีปัญหาอะไรเหรอ?” เริ่นจื่อหลิงกำลังซิ่งรอบภูเขาด้วยความเร็วสูง ดูเหมือนว่าความเร็วที่ร้อยสี่สิบห้ากิโลเมตรต่อชั่วโมงยังทำให้เธอพอใจไม่ได้ “นี่มันหน้าร้อนแล้ว ไม่มีพายุไต้ฝุ่นสิแปลก”


หลีจื่อรู้สึกว่าวันนี้พี่เริ่นตื่นเต้นเป็นพิเศษ ก็แค่ไปชายหาดเท่านั้นเอง ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นขนาดนั้น?


“นี่ๆ เหมือนว่าแถวบ้านพักตากอากาศแห่งนี้จะมีตำนานเรื่องหนึ่งด้วยนะคะ” หลีจื่อราวกับได้ค้นพบแผ่นดินใหม่ เธอดูโทรศัพท์ไปพลางพูดด้วยความตื่นเต้นอย่างที่สุด


“ตำนานอะไร?” น่าจะด้วยความเคยชินในสายอาชีพ เริ่นจื่อหลิงจึงเผลอหันหน้ามา แต่เธอเพิ่งจะหันหัวมา ลั่วชิวที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับผลักหน้าเธอให้หันกลับมาอย่างไม่เกรงใจสักนิดเดียว


“ขับรถ”


นี่น่าจะเป็นประโยคแรกที่หลีจื่อได้ยินลั่วชิวพูดหลังจากขึ้นรถมา


“รู้แล้วน่า!”


นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่จื่อเห็นราชินีเริ่นผู้ปกครองกองบรรณาธิการเป็นเหมือนเด็กว่านอนสอนง่าย…ลบล้างสิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับราชินีเริ่นไปหมดเกลี้ยงเลย


“ตำนานเล่าว่า…” หลีจื่อพูดต่อว่า “ทุกปีเมื่อถึงเวลานี้ ในสถานที่หนึ่งบนอ่าวนี้จะได้ยินเสียงร้องเพลงค่ะ”


ลั่วชิวขมวดคิ้ว


แต่เริ่นจื่อหลิงกลับพูดเหยียดว่า “ตำนานอะไรกันล่ะ เป็นเสียงตอนที่ลมทะเลพัดผ่านพวกหินโสโครก ผาหิน หรือถ้ำอะไรพวกนี้แล้วเกิดเสียงมากกว่ามั้ง? ฉันว่านะ นี่เป็นแค่เรื่องที่นักธุรกิจในแหล่งท่องเที่ยวพวกนั้นตั้งใจปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อดึงดูดลูกค้าน่ะสิ! นี่เป็นเรื่องเห็นได้บ่อย หลีจื่อ พวกเราทำงานด้านสื่อสารมวลชนนะ”


หลีจื่อส่ายหน้าตอบ “ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ เป็นเสียงเพลงจริงๆ นะคะ จากที่เล่ามายังเป็นภาษาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน…อ๋อ คนที่เขียนกระทู้นี้บันทึกเสียงไว้ช่วงหนึ่งด้วยค่ะ ฉันเปิดให้พวกคุณลองฟังดูนะคะ?”


เธอเพิ่มระดับเสียงในโทรศัพท์ให้ดังสุด พอจะได้ยินเสียงบางอย่างดังแว่วๆ แต่การขับด้วยความเร็วสูง เสียงลมที่อัดเข้ามาในรถดังมากไปหน่อย เริ่นจื่อหลิงก็จำต้องลดความเร็วลงอย่างเลี่ยงไม่ได้


เห็นระดับความเร็วของรถนี่ลดลงไปแล้ว ลั่วชิวก็สบายใจแล้ว…เขาหลับตาลง ให้ตนเองพอจะฟังเสียงบันทึกนั่นที่ดังมาจากโทรศัพท์มือถือได้ดีขึ้น


เสียงร้องแผ่วเบาและนุ่มนวลต่ำๆ ราวกับเสียงร้องของนกนางแอ่น…ลั่วชิวก็จนปัญญาแยกแยะว่าเป็นเสียงอะไรกันแน่เช่นกัน ในตอนนี้แค่พอจะฟังออกว่าเสียงนี้ไพเราะและกังวานอย่างมาก


น่าจะเป็นเสียงของผู้หญิง


ฉับพลันลั่วชิวก็หวั่นใจ ตอนที่คิดจะลองอ่านบทความในกระทู้นี้ให้ดีๆ สักหน่อยกลับพบว่าเริ่นจื่อหลิงกับหลีจื่อเหมือนใจลอยไปแล้ว


เขาขมวดคิ้ว แล้ววางมือไปบนพวงมาลัย…ข้างหน้าก็คือทางเลี้ยวโค้ง แต่รถกลับไม่เลี้ยวเลย


วินาทีที่พวงมาลัยหักเลี้ยว ลั่วชิวก็บีบแตรไป เสียงแตรที่ดังแสบหูทำให้เริ่นจื่อหลิงสะดุ้งขึ้นมาทันที สองมือรีบร้อนจับพวงมาลัยแน่น


“แม่-เอ๊ย…ทำฉันตกใจแทบตายเลย!” เริ่นจื่อหลิงยังมีท่าทางนึกกลัวอยู่ มือข้างหนึ่งก็ตบที่หน้าอกของตัวเอง


หลีจื่อที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก


รถจอดลงตรงข้างทาง ข้างล่างก็เป็นจุดที่มองเห็นทะเลได้แล้ว เริ่นจื่อหลิงถอนหายใจเฮือกหนึ่งยาวๆ “เพลงนี้มีอาถรรพ์นะ! ฟังไปก็ใจลอยเลย!”


หลีจื่อพยักหน้าพูด “ใช่ค่ะ…กับคนที่โพสต์ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน พวกเขาบอกว่า ฟังไปฟังมาก็ราวกับลืมตัวไปอย่างนั้น ตอนแรกฉันก็ไม่ค่อยเชื่อ ตอนนี้พอเจอด้วยตัวเองจริงๆ แล้ว แน่นอนว่า ฉันไม่คิดอยากจะลองเรื่องแบบนี้อีกแน่ ยังดีที่ลั่วชิวได้สติกลับมา ไม่อย่างนั้นละก็…เหอะๆ”


หลีจื่อทำหน้าผี แลบลิ้นออกมาเหมือนผีสาวตนหนึ่ง


แล้วเริ่นจื่อหลิงถ่มน้ำลายออกมา แต่กลับเห็นลั่วชิวเหมือนไม่ได้ยินอะไร แค่มองไปนอกหน้าต่าง


“สรุปว่า…สรุปว่าไปถึงบ้านที่พักก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ” เริ่นจื่อหลิงตั้งสติได้แล้ว ก็สตาร์ทรถใหม่อีกครั้ง


แล้วหลีจื่อก็ไม่ได้พูดเรื่องตำนานนี้อีก




“ในที่สุดก็มาถึงแล้ว”


ขับรถตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลากลางวันแล้ว ตอนที่ลงรถ รองบรรณาธิการเริ่นก็ยืดเส้นยืดสายตัวเองแป๊บหนึ่ง


หากมองจากไกลๆ …ก็ดูจะมีรูปร่างดึงดูดสายตามากเลย


หลีจื่อมองแวบหนึ่งด้วยความอิจฉาอย่างมาก หลังจากนั้นก็เผลอมองตนเอง…รู้สึกว่าตนเองไม่ควรยืดตัวบิดเอวน่าจะดีกว่า


จริงที่ว่าไม่เปรียบเทียบก็ไม่เจ็บปวด


“นี่…ฉันยกเองก็ได้”


กลับเห็นลั่วชิวเดินตรงไปที่ท้ายรถแล้วเริ่มยกกระเป๋าสัมภาระ


“ไม่เป็นไรครับ ไม่หนัก”


ไม่หนักจริงๆ เหรอ…หลีจื่อนิ่งตะลึง เด็กหนุ่มคนนี้ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนออกกำลังกายยบ่อยๆ แต่กลับยกกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ๆ สามใบในมือราวกับไม่ได้ออกแรงอะไรมาก


เริ่นจื่อหลิงกลับไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ เธอเดินมาข้างๆ ลั่วชิว แล้วยื่นมือแตะไปบนบ่าของเขา ก่อนหันหน้ามาพูดเสียงเล็กเสียงน้อย ฉีกยิ้มตาหยี ชวนให้น่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก “เด็กดี ไหนเมื่อคืนนี้บอกว่าแฟนจะมาเองไง อย่าได้คิดโกหก อีกเดี๋ยวถ้าฉันไม่เห็นล่ะก็ คืนนี้เธอก็นอนห้องเดียวกับหลีจื่อแล้วกัน ฉันจะช่วยมอมเหล้าเธอเอง”


เจ้าของร้านลั่วอยากเขวี้ยงกระเป๋าสัมภาระในมือกระแทกตัวผู้หญิงคนนี้จริงๆ


เขาลอบถอนหายใจเงียบๆ


ด้วยรู้จักนิสัยแย่สุดๆ ของผู้หญิงคนนี้ดี เขาถึงได้เลือกให้โยวเย่มาเอง ถ้าอยู่บนรถล่ะก็ น่าจะ…เป็นเส้นทางที่เรียกได้ว่าค่อนข้างยากลำบากทีเดียว


“ไม่ต้องหรอกครับ” ลั่วชิวส่ายหน้า มองไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “เธอมาถึงแล้ว”


“ถึงแล้ว อยู่ไหน…” เริ่นจื่อหลิงมองตามลั่วชิวไปข้างหน้า พอมองก็ละสายตาของตัวเองไปไม่ได้ “ฉันไป…”


เด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงข้างทางเข้าบ้านพักตากอากาศ


ชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์ สวมหมวกปีกกว้างบังแดดทรงกลมสีเหลืองนวล ในขณะเดียวกันสายลมก็พัดชุดกระโปรงของเธอปลิวขึ้นเบาๆ และพัดเส้นผมของเธอปลิวสยาย


มือข้างหนึ่งของเด็กสาวเหน็บเส้นผมไว้ที่ข้างหู และกำลังมองมาทางนี้


วินาทีที่รอยยิ้มเธอปรากฏ สายน้ำและภูเขาที่กว้างใหญ่แห่งนี้ก็สูญเสียสีสันเดิมที่มีไปทันที


เวลาผ่านไปพอประมาณ รองบรรณาธิการเริ่นถึงได้สติกลับคืนมา เธอถอนหายใจเฮ้อยาวๆ แล้วพูดเรื่องน่าระอาอีกว่า “ฉันตัดสินใจแล้ว ลูกชาย! คืนนี้ฉันจะช่วยมอมเหล้าเธอเอง!”


“…”



ฉันไม่ควรให้โยวเย่มาเลยใช่ไหม…

 

 

 


บทที่ 3 ตอนที่ 3

 

เจ้าของที่เปิดกิจการบ้านพักตากอากาศคือสามีภรรยาคู่หนึ่ง และยังมีลูกสาวอีกหนึ่งคน ชายเจ้าของบ้านพักตากอากาศชื่อหลี่ว์ไห่ และภรรยาของเขา หลัวอ้ายอวี้


ส่วนลูกสาวก็คือ หลี่ว์อีอวิ๋น เพราะเพิ่งเสร็จจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนี้จึงถือโอกาสช่วงปิดเทอมหน้าร้อนมาช่วยงานในบ้านพักตากอากาศที่ครอบครัวตนเองเปิดกิจการ


ชายเจ้าของบ้านพักตากอากาศรับผิดชอบเรื่องอาหาร ความจริงแล้วก็คือเชฟ ส่วนภรรยาและลูกสาวก็รับผิดชอบเรื่องต้อนรับแขก


อีกทั้งยังมีพนักงานอีกคนหนึ่ง น้าผู้หญิงที่อายุสี่สิบกว่าปี รับผิดชอบงานทำความสะอาดเบ็ดเตล็ดทั่วไป


นี่ไม่ใช่บ้านพักตากอากาศขนาดใหญ่อะไร แม้ว่าบริเวณรอบๆ ก็มีบ้านพักตากอากาศขนาดใหญ่เหมือนกัน แต่ตำแหน่งที่บ้านพักตากอากาศแห่งนี้ตั้งอยู่ดูเหมือนจะห่างออกไปลับตาคนอยู่บ้าง รอบๆ ทั้งสี่ทิศโดดเดี่ยววังเวง นอกจากทะเลแล้วก็เป็นหน้าผา


นับว่าเป็นบ้านพักตากอากาศรูปแบบกิจการในครัวเรือนเล็กๆ เลย ในส่วนบ้านที่ไว้ใช้ลงทะเบียนเข้าพักน่าจะดัดแปลงจากบ้านพักสมัยก่อน หลังจากนั้นก็สร้างบ้านพักที่มีสามชั้นสามหลังตั้งห่างๆ กันไว้ด้านหลัง ระหว่างบ้านพักมีสวนย่อมเล็กๆ แห่งหนึ่ง นับว่าดูแลได้สะอาดทีเดียว


ลมทะเลมีกลิ่นเค็มจางๆ พัดโชยขึ้นมาในบริเวณสวน พอจะพัดโชยกลิ่นดอกดาวสีฟ้าเล็กๆ ที่ปลูกไว้ในสวนเล็กลอยโชยมาตามลม


ลานบ้านที่เต็มไปด้วยดอกดาวสีฟ้ากระจายเป็นหย่อมๆ สีเขียวสีฟ้าตัดกัน ดูราวกับทะเล


“บ้านพักทางฝั่งนี้มองเห็นทะเลได้ด้วย ทุกท่านพอใจไหมคะ?” เถ้าแก่เนี้ยหลัวอ้ายอวี้กำลังนำพวกลั่วชิวมาถึงสถานที่พักแรม


ถือว่ากระตือรือร้นพอสมควร


ส่วนเจ้าของบ้านพักตากอากาศหลี่ว์ไห่กลับค่อนข้างนิ่งเงียบไปบ้าง แต่ก็รักษามารยาทพื้นฐานไว้อยู่ ได้ยินหลีจื่อเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เชิญแขกจนการติดต่อพูดคุยกับลูกค้าเป็นเถ้าแก่เนี้ยทำเองทั้งหมด


หลัวอ้ายอวี้เห็นดังนั้นก็รีบฉีกยิ้มพูดว่า “ทุกท่านอย่าถือสาเลยนะคะ นิสัยตานี่ก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ แต่อาหารที่เขาทำอร่อยมากเลย แถวนี้ไม่มีใครเทียบได้หรอกค่ะ”


ตอนผ่านหมู่บ้านแถวๆ นี้ ลั่วชิวเคยเห็นป้ายป้ายหนึ่ง เขียนตัวอักษรไว้ไม่กี่ตัวว่า ‘หมู่บ้านตระกูลหลี่ว์’ แต่เถ้าแก่เนี้ยแซ่หลัว ลองคิดดูแล้วคงแต่งงานย้ายเข้ามาที่นี่ล่ะมั้ง


บ้านพักบ้านพักตากอากาศหลังนี้ตั้งอยู่ห่างไกลจากสถานที่พักตากอากาศอื่นๆ อันที่จริงสภาพแวดล้อมก็ไม่ได้นับว่าดีอะไรมากมาย แล้วที่บอกว่ามองเห็นทะเลได้ ที่จริงก็ถูกหน้าผาข้างหน้าบังวิวไปแล้ว


ถ้าจะบอกว่ามีอะไรพิเศษก็น่าจะเป็นความเงียบสงบกำลังดี


“อีอวิ๋น ลูกต้อนรับแขกอยู่ที่นี่นะ แม่จะไปชงชามาสักหน่อย”


สาวน้อยพยักหน้าอย่างว่าง่าย เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กๆ เรียนหนังสือก็เรียนอยู่ที่เมืองเล็กใกล้ๆ นี้ ปกติปิดเทอมแล้วก็จะกลับมาช่วยงานที่บ้าน อย่างน้อยๆ ก็อยู่ใกล้เมืองใหญ่ๆ แต่กลับพบเจอคนในเมืองใหญ่ได้น้อยกว่า


ที่เธอเคยพบเจอล้วนเป็นลูกค้าที่มาจากเมืองเล็กๆ ไม่กี่เมืองใกล้ๆ นี้ และส่วนมากเป็นวัยกลางคนและคนสูงวัยทั้งนั้น ปกติคนหนุ่มสาวจะไม่เลือกมาที่นี่…เพราะไม่มีความบันเทิงอะไรเลย


แต่นี่จู่ๆ พวกคนสวยแบบนี้ก็โผล่มา


สาวน้อยอดระมัดระวังตัวขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้


เริ่นจื่อหลิงไม่ได้คิดจะเขียนบทความให้ที่นี่จริงๆ หรอก เพียงแต่ในฐานะที่เธอมีชื่อเสียงในสายอาชีพนี้ เธอจะมาทำเป็นเล่นกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด คิดแล้วก็รีบทำงานให้เสร็จโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากนั้นรองบรรณาธิการเริ่นก็คิดแผนการเล็กๆ ในใจต่อไปเป็นขั้นๆ แล้วถือโอกาสดึงตัวสาวน้อยมาถามสักหน่อย


“ปกติที่นี่มีแขกเยอะไหม?”


หลี่ว์อีอวิ๋นส่ายหน้า แล้วถอนหายใจตอบว่า “ไม่เยอะเลยค่ะ ถึงแม้จะเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว อย่างมากที่สุดเดือนหนึ่งก็รับนักท่องเที่ยวได้สิบกว่าคน ช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ในหนึ่งเดือนมีนักท่องเที่ยวมาสองคนก็นับว่าดีแล้วค่ะ”


เริ่นจื่อหลิงก้มหน้ากำลังจดบันทึกลงสมุดเล่มเล็ก แล้วเงยหน้าขึ้นมาถาม “ทำไมไม่เปิดบ้านพักตากอากาศทางฝั่งนู้นล่ะ? ทำไมถึงเลือกอยู่ที่นี่?”


หลี่ว์อีอวิ๋นลังเลไปเล็กน้อย สาวน้อยคงไม่รู้ว่าควรจะพูดความในใจของตนเองออกมายังไง อันที่จริงดูจากสีหน้าของเธอก็เดาออกได้ไม่ยาก เธอมองประตูทางเข้าแวบหนึ่ง ราวกับว่ากำลังกังวลบางเรื่อง


เริ่นจื่อหลิงแววตาสั่นไหว แล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่สะดวกไม่ต้องบอกก็ได้นะ”


หลี่ว์อีอวิ๋นพยักหน้า หลังจากนั้นก็ตอบ “แม่บอกว่าพวกคุณต้องการห้องเตียงคู่สองห้อง อีกเดี๋ยวฉันไปปูที่นอนเพิ่มให้อีกที่หนึ่งดีไหมคะ? ถ้าปูต่อกัน สามคนนอนด้วยกันก็ไม่มีปัญหาค่ะ”


“ต่อเตียง?” เริ่นจื่อหลิงยิ้มตาหยีและพูดทันทีว่า “ไม่ต้องหรอก!”


รองบรรณาธิการเริ่นยิ้มตาหยีชี้นิ้วไปที่ลั่วชิว แล้วก็ชี้ไปที่โยวเย่อีก ทำเสียงอย่างกับแม่เล้า “สองคนนี้ ห้องเดียวกัน”


“ครับ พวกเราห้องเดียวกัน”


ไม่นึกว่าลั่วชิวกลับพยักหน้าทันที


เริ่นจื่อหลิงนิ่งอึ้ง อ้าปากค้าง…อย่างกับเห็นผีเลย! เธอนึกว่าตอนนี้ลั่วชิวต้องปฏิเสธแน่นอนเสียอีก


คิดไม่ถึงว่าจะรับปากทันทีแบบนี้? คงไม่ใช่ว่า…ไปตั้งนานแล้วหรอกนะ อย่างที่คิดไว้เลย เด็กสมัยนี้รวดเร็วจริงๆ


หนังในหัวของรองบรรณาธิการเริ่นเริ่มฉายอีกครั้ง มันคือฉากในโปรแกรมหนังพิเศษหลังเที่ยงคืน


เธอมองโยวเย่…เด็กสาวคนนี้งดงามสมบูรณ์แบบจริงๆ แม้ว่าเป็นคนเงียบขรึม แต่ในความคิดของเริ่นจื่อหลิงแล้ว เด็กสาวที่เงียบขนาดนี้ราวกับฟ้าลิขิตให้เกิดมาคู่กับลั่วชิวโดยแท้


ลั่วชิวตอบอย่างไม่ลังเลและไม่เก้อเขินเลย ท่าทางพูดจาอย่างสง่าเปิดเผย เป็นแบบคู่สามีภรรยาที่คุ้นเคยกันโดยแท้


“ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นพวกคุณตามฉันมาเลยค่ะ”


แต่สาวน้อยดูเหมือนยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องแบบนี้ จึงได้แต่ก้มหน้ารีบเดินออกจากห้องนี้ไป


พอเห็นโยวเย่ยิ้มน้อยๆ เดินตามหลังลั่วชิวไปด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู เริ่นจื่อหลิงก็ลูบคางแล้วพูดพึมพำกับตัวเอง “คิดผิดแล้ว คิดผิดแล้ว!”


“พี่เริ่น พี่คิดอะไรผิดเหรอ?”


เริ่นจื่อหลิงทำหน้าไม่พอใจตอบ “ฉันนึกว่าฉันเข้าใจลูกชายคนนี้ดีแล้วซะอีก! คนที่เหมือนท่อนไม้ขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่า…น้ำนิ่งไหลลึกจริงๆ สองคนนี้คงไม่ได้นอนด้วยกันมาหลายครั้งแล้วใช่ไหม?”


“…พี่เริ่น พี่อย่าพูดแบบนี้สิ ฉันยังเป็นเด็กอยู่นะ”


“ไปๆ ๆ” เริ่นจื่อหลิงมองค้อนหลีจื่อแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “จริงสิ เธอแนบหูกับกำแพงฟังเสียงห้องนี้ดูสักหน่อยได้ไหม”


“ทำไมเหรอคะ?”


“เธอนี่โง่จริง! ถ้าคืนนี้ดุเดือดเกินไป เธอจิตแข็งพอไหมล่ะ?” แล้วเริ่นจื่อหลิงก็พูดเชิงหยอกล้อ “หรือว่า เธอคิดจะทำเรื่องน่าอายกับฉันล่ะ?”


หลีจื่อเห็นเริ่นจื่อหลิงกางฝ่ามือออก สิบนิ้วทำท่าจะโผเข้าจับ เธอก็รีบถอยชิดกำแพงทันที แล้วพูดอย่างตื่นกลัวว่า “พี่เริ่น…ฉัน ฉันยังเป็นแค่เด็กนะคะ พี่…พี่อย่าทำบ้าๆ นะ”


“หึๆ”


หมับ!




“แขกทั้งสองท่าน พอใจห้องนี้ไหมคะ?” หลี่ว์อีอวิ๋นสูดหายใจเข้าลึกๆ


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเข้าใจผิดหรือเปล่า เธอรู้สึกว่าต้อนรับสองคนนี้ตามลำพังกดดันกว่าต้อนรับแขกสี่คนเมื่อครู่อยู่บ้าง


“ถ้าไม่พอใจ ยังมีชั้นข้างบนอีกนะคะ”


ลั่วชิวส่ายหน้า


เขาเดินมาถึงหน้าหน้าต่างที่กว้างจรดพื้นของห้อง ก่อนเปิดบานประตูออกแล้วเดินไปถึงระเบียงกลางแจ้งด้านนอกห้อง มองดูหน้าผากับทะเลทางฝั่งนู้น


อันที่จริงด้านนอกเป็นสนามหญ้า บริเวณขอบสนามใช้ก้อนหินและดินเหนียวก่อเป็นกำแพงหินง่ายๆ …ที่จริงแล้วบ้านพักตากอากาศแห่งนี้สร้างอยู่ระหว่างไหล่เขา


“คนนั้นใครเหรอ?”


จู่ๆ ลั่วชิวก็ชี้ไปที่นอกสนามหญ้า ตรงนั้นมีคนแก่คนหนึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งยาว


คนแก่ดูอายุมากคนนั้นกำลังประคองกระดานวาดรูปอันหนึ่ง ลักษณะกำลังเหม่อมองไปยังที่ไกลแสนไกล


“อ๋อ นั่นปู่ของฉันเองค่ะ” หลี่ว์อีอวิ๋นยิ้มอธิบาย “ไม่ใช่คนแปลกหน้าหรอกค่ะ คุณทั้งสองสบายใจได้ค่ะ”


ลั่วชิวพยักหน้า แล้วเดินลงไปตามบันไดไม้เล็กๆ ด้านข้างระเบียงกลางแจ้ง ราวกับว่ากำลังมุ่งหน้าเดินไปหาชายชราคนนั้น


“นี่คุณลูกค้า…” หลี่ว์อีอวิ๋นงุนงง


ตอนนี้คุณสาวใช้กลับยิ้มน้อยๆ ตอบ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เขาแค่เดินเล่นน่ะ จริงสิ น้องสาวช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม?”


“ว่ามาเลยค่ะ!”


“พาฉันไปห้องครัวหน่อยได้ไหม? ฉันอยากเตรียมอาหารด้วยตัวเอง”


สาวน้อยนิ่งอึ้ง…เธอไม่เคยเจอคำขอแบบนี้มาก่อนเลย



ลั่วชิวกำลังพิจารณาคนสูงวัยคนนี้ เหมือนอายุหกสิบกว่าเจ็บสิบกว่าปี สวมหมวกนั่งอยู่บนม้านั่งยาวใกล้ริมหน้าผา ราวกับว่าเขานั่งตรงนี้มานานแล้ว


ดินสอที่ใช้วาดภาพหยุดนิ่งบนกระดาษวาดรูปมาโดยตลอด ราวกับว่าไม่เคยขยับเลยสักนิด


บนกระดาษวาดรูปมีภาพที่ร่างดินสอไว้บางๆ พอมองออกว่าเป็นภาพร่างของคน


ชายชราไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนเดินเข้ามา หรือบางทีรู้ว่ามีคนเดินมาแต่ไม่ได้สนใจ แค่มองไปทางทะเลตรงหน้าเงียบๆ เท่านั้น


ตอนที่ลมทะเลพัดมา ก็พัดให้ดอกดาวสีฟ้าที่ปลูกไว้ด้านหลังกำแพงหินพลิ้วไหว ลั่วชิวนั่งลงอีกข้างของม้านั่งยาวแล้วล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพวิวในช่วงเวลานี้


เขาก้มหน้าลง จัดการรูปภาพบนโทรศัพท์มือถือ ทันใดนั้นก็พูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ทำไมไม่วาดให้เสร็จหรือครับ?”


ชายชราคล้ายไม่ได้ยินเสียงของเขา


จนกระทั่งลมทะเลพัดมารอบที่สอง


เขาถึงได้พูดขึ้นช้าๆ ว่า “ฉัน…นึกไม่ออกแล้ว ลืมไปแล้ว…ลืมไปแล้ว”


เขากำดินสอในมือแน่น เริ่มตวัดดินสอไปมาบนกระดาษวาดรูปอย่างรวดเร็ว เส้นที่ตัดสลับกันกลับเป็นแค่เส้นร่างไม่มีความหมายสำคัญอะไร


ภาพร่างรางๆ นั่นพลันถูกเส้นวาดขยุกขยิกไปมาพวกนี้ปกคลุมอย่างรวดเร็ว มองเค้าเดิมไม่ออกอีกแล้ว


“ฉันลืมไปแล้ว!”


ยามนี้ทะเลและท้องฟ้ากลืนเป็นสีเดียวกัน ไกลออกไปนั้นมีเมฆดำโผล่มาเป็นแถบ ฝนใกล้จะตกแล้วสินะ และคงเป็นพายุฝนด้วย


บทที่ 4 ครอบครัว

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลัวอ้ายอวี้เป็นคนรู้จักพูดคนหนึ่ง


ในความคิดของเริ่นจื่อหลิง เธอน่าจะเป็นอย่างที่ตนเข้าใจ


“ฮ่าๆ ๆ คุณเริ่นสวยขนาดนี้ หน้าที่การงานก็ประสบความสำเร็จ ยังไงผู้หญิงก็ต้องน่านับถือถึงจะดี”


เธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เคยนิยมเมื่อหลายปีก่อน ผมก็น่าจะทำที่ร้านทำผมแถวๆ นี้ ซึ่งไม่ถึงกับดี แต่จะว่าไม่ดีก็ไม่ใช่ เธอดูจะแต่งตัวเรียบร้อย แต่กลับมีบางอย่างที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เข้ากัน


“อืม…ยืนตรงนี้ได้หรือเปล่าคะ? แบบนี้น่าจะดูผอมหน่อย” หลัวอ้ายอวี้จัดทรงผมตัวเองไปพลางๆ “จริงสิ คุณเริ่นคะ ฉันอยากให้คุณช่วยใช้ส่วนที่ดีที่สุดของบ้านพักตากอากาศแห่งนี้หน่อยค่ะ เพราะฉันจ่ายค่าตกแต่งและปรับปรุงใหม่ไปไม่น้อยเลยล่ะค่ะ ไม่ให้ใครเห็นก็น่าเสียดายแย่เลย”


บ้านพักตากอากาศแห่งนี้มีอยู่จริงๆ เหรอ? แม้ว่าแถวๆ ละแวกนี้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่เริ่นจื่อหลิงก็ยังรู้สึกเหมือนหลงกลเข้าซะแล้ว


ไม่น่าโลภเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ นี้แล้วรับปากเลยจริงๆ ถ้าตัวเองออกค่าใช้จ่ายเองไปวางแผนท่องเที่ยวที่บ้านพักตากอากาศฝั่งนั้น เกรงว่าคงจะสบายใจมากกว่านี้อีก


“เถ้าแก่เนี้ยยืนมาทางนี้หน่อยนะคะ ใช่ค่ะ ตรงนี้แหละค่ะ ดีมาก ดีมากค่ะ”


อืม แบบนี้ก็ไม่บังวิวทะเลข้างนอกแล้ว ส่วนคน…ไม่ถ่ายติดอยู่แล้ว อยากยืนตรงไหนก็ยืนไปเถอะ


“หลีจื่อ เอาเลนส์ 70-200MM ให้ฉันที”


“ได้เลยค่ะ!”


เถ้าแก่เนี้ยดูพอใจมาก มองดูคุณเริ่นที่มาจากเมืองใหญ่ผู้นี้ติดตั้งเลนส์กล้องยาวในทันที รู้สึกว่าเป็นมืออาชีพมากเลยจริงๆ แม้จะเสียดายเงินที่จ่ายไป แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า!


คิดไม่ถึงว่าเริ่นจื่อหลิงกลับหยุดชะงัก มองไปยังจุดที่เลนส์กล้องตนเองส่องไป “เจ้าเด็กนี่ เผ่นไปทำอะไรที่นั่นแล้ว?”


หลัวอ้ายอวี้นิ่งอึ้ง เผลอหันกลับไปมองแวบหนึ่งอย่างลืมตัว เธอเห็นม้านั่งยาวตัวนั้นบนสนามหญ้า ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที พลางพูดอย่างรีบร้อน “ขอโทษนะคะ คุณเริ่น ฉันจะไปดูสักหน่อย”


เธอก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แล้วรีบเดินออกไปทันที


“พี่เริ่น เราจะตามไปดูสักหน่อยไหมคะ?” หลีจื่อถาม


เริ่นจื่อหลิงส่ายหน้าตอบ “ไม่ต้องหรอก เราไปเดินเล่นถ่ายภาพให้ทั่วสักหน่อยดีกว่า ฉันจะดูว่าคืนนี้จะเร่งทำต้นฉบับเสร็จหรือเปล่า เวลาที่เหลือก็จะได้เล่นไง!”


“ดีเลยค่ะ!”



การวาดอย่างลวกๆ ทำให้บนกระดาษวาดภาพเต็มไปด้วยลายเส้นแบบต่างๆ ที่ไม่มีแบบแผน จนกระทั่งกลายเป็นวังน้ำวนขนาดใหญ่ในที่สุด


ชายชรากำลังวาดวงกลมไม่หยุด ‘จำไม่ได้แล้ว’ คำพูดแบบนี้ พึมพำติดอยู่ที่ริมฝีปากเข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุด


“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ!”


และก็ในตอนนั้นเอง เถ้าแก่เนี้ยของบ้านพักตากอากาศก็ก้าวเท้าเร็วๆ เดินมาอยู่ข้างลั่วชิว หลัวอ้ายอวี้รีบถามอย่างร้อนรน “ลูกค้าท่านนี้ นี่…ผู้เฒ่าผู้แก่ในครอบครัวฉันไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหมคะ?”


“เขาจะทำอะไรผมเหรอครับ?” ลั่วชิวมองหลัวอ้ายอวี้ พลางถามอย่างคาดไม่ถึง


หลัวอ้ายอวี้มองชายชราแวบหนึ่ง เห็นเขาแค่วาดภาพลวกๆ บนกระดาษ ก็ดูราวกับเบาใจขึ้นมาบ้าง แล้วถึงได้ยิ้มตอบ “ไม่หรอกค่ะ ไม่หรอก! เขาเป็นแค่คนเฒ่าคนแก่ สติเลอะเลือนไปบ้าง บางครั้งจะจำผู้คนไม่ได้เท่านั้นเอง แต่ไม่ทำร้ายใครเด็ดขาดค่ะ!”


“โรคอัลไซเมอร์เหรอครับ?”


หลัวอ้ายอวี้นิ่งอึ้ง…ที่เจ้าหมอนี่พูดถึงคืออะไร?


ลั่วชิวพูดด้วยเสียงแผ่วเบาตามมา “ที่ผมพูดถึงคือโรคความจำเสื่อมในคนชราน่ะครับ”


หลัวอ้ายอวี้พยักหน้า ถอนหายใจ แล้วพูดอย่างระทมทุกข์ “เฮ้อ นานหลายปีแล้ว นับวันก็ยิ่งอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ เพื่อดูแลเขาแล้วเนี่ย ฉันกังวลสุดๆ เลยจริงๆ นะ! คุณว่าฉันสุขสบายไหมล่ะ? ฉันแต่งงานเข้ามาในที่บ้าๆ นี่ ดูแลผู้ใหญ่ ยังต้องดูแลคนแก่กับเด็ก แล้วไหนจะบ้านพักตากอากาศแห่งนี้อีก…เฮ้อ ที่เชิญพวกคุณมาครั้งนี้ก็คิดจะลองดูว่าจะทำให้ที่นี้กลับมามีชีวิตชีวาได้อีกไหม ไม่อย่างนั้นนะ เกรงว่าพอผ่านปีนี้ไปแล้ว ครอบครัวฉันทั้งหมดต้องกินรำข้าวแล้วล่ะ! ต้องขอให้พวกคุณช่วยเหลือให้มากๆ นะคะ…”


ลั่วชิวไม่ได้สนใจฟังเถ้าแก่เนี้ยพูดคุยเรื่อยเปื่อยเรื่องพวกนี้ที่นี่ เขารู้สึกได้ถึงความขัดแย้งกันของท่าทีเฉยชาของเถ้าแก่และความกระตือรือร้นของเถ้าแก่เนี้ยแล้ว


“ตรงนี้ลมแรง” ลั่วชิวลุกขึ้นยืน ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “พาคุณปู่ท่านนี้กลับไปเถอะครับ…ที่จริง ที่นี่ก็ไม่ได้แย่อะไร อย่างน้อยผมก็ชอบความเงียบสงบของที่นี่ครับ”


“อ้อ…ได้ค่ะ”


หลัวอ้ายอวี้พยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว


ควรจะว่ายังไงดีล่ะ?


ไม่รู้จักคนใหญ่คนโตอะไร และก็ไม่มีญาติพี่น้องที่มีอิทธิพลอะไร เคยเห็นข้าราชการที่ใหญ่โตที่สุดก็คือเลขาพรรคในหมู่บ้านข้างล่าง แต่เจ้าคนหนุ่มคนนี้กลับทำให้เธอกดดันมากว่าเจอเลขาพรรคคนนั้นเสียอีก


เธอจึงเผลอทำตามคำพูดของอีกฝ่าย


ลั่วชิวเดินไปไกลแล้ว


แต่พอได้ยินเสียงที่อยู่ข้างหลังได้รางๆ


“ลุกขึ้นได้แล้ว! ตาแก่หนังเหนียว! อย่ามาทำให้แขกของหนูตกใจนะคะ! ไม่อย่างนั้นพ่อได้เจอดีแน่…ตาแก่หนังเหนียวนี่! ไม่คิดว่าจะมาฉี่ราดที่นี่ซะแล้ว? สวรรค์! ฉันทำบาปกรรมอะไรไว้กันแน่! ถึงต้องมาเจอตาแก่หนังเหนียวนี่ ลุกขึ้น ลุกขึ้น! วาดบ้าอะไร พ่อยิ่งแก่ก็ยิ่งสติไม่ดี วันนั้นน่าจะปล่อยให้ปีศาจในทะเลกินพ่อไปเลยคงจะดี! ลุกขึ้น ลุกขึ้น…”



“เสียงเพลง ตำนาน…” ลั่วชิวกลับมาถึงบ้านพัก ปิดหน้าต่างเรียบร้อย เขานั่งลงบนเก้าอี้นอนริมหน้าต่าง ค่อยๆ มองท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาขาว


หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบ


สิ่งที่ส่งมาคือ…บทเพลงแปลกๆ เพลงนั้นที่หลีจื่อเคยเปิดให้ฟังบนรถ


เปรี้ยง!


ในทะเลมีฟ้าผ่าลงมา




“อีอวิ๋น อีอวิ๋น!”


หลังจากหลัวอ้ายอวี้ลากพ่อจากสนามหญ้ามาถึงบ้านพักตากอากาศแล้ว ก็เริ่มตะโกนเรียกลูกสาวตนเอง


แต่ว่าเธอเพิ่งจะกลับมาเมื่อครู่ กลับเห็นสามีของตนเองนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์หน้าประตู กำลังดื่มเหล้าคนเดียวกลางวันแสกๆ ทำหน้าตาปั้นปึ่ง


ลูกสาวได้ยินเสียงเรียก เลยรีบร้อนวิ่งออกมา “มีอะไรเหรอคะ แม่?”


หลัวอ้ายอวี้ดึงลูกสาวของตนเองไปอีกทางหนึ่ง และแอบถามว่า “พ่อของลูกทำอะไรน่ะ? ไม่ต้องทำงานเหรอ? ฟ้ายังไม่ทันมืดเลย ดื่มเหล้าอะไรกัน?”


หลี่ว์อีอวิ๋นเหลือบมองพ่อของตนเองแวบหนึ่ง ถึงพูดอึกอักว่า “เมื่อกี้นี้ ลูกค้าสาวที่สวยที่สุดในนั้นบอกให้หนูพาเธอไปที่ห้องครัว หลังจากนั้น…”


“ของพวกเราน่ะเหรอ?” หลัวอ้ายอวี้ขมวดคิ้วถาม “กลัวครัวพวกเราไม่สะอาดหรือไง?”


หลี่ว์อีอวิ๋นพูดเสียงเล็กเสียงน้อย “ไม่ใช่หรอก คุณผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเธอมาเตรียมของกิน ไม่ต้องให้พ่อลงมือเอง แล้วพ่อก็เลยโกรธ ทะเลาะกับคุณผู้หญิงคนนั้นเล็กน้อย ผล ผล…ผลคือหลังจากคุณผู้หญิงคนนั้นก็โชว์ฝีมือใช้มีดทำอาหารแล้ว พ่อก็ออกมาดื่มเหล้าแก้เซ็งโดยไม่พูดอะไรสักคำ”


หลัวอ้ายอวี้นิ่งอึ้ง แม้ว่าสามีคนนี้จะเก็บบ้านพักตากอากาศแห่งนี้ไว้ แต่ใช้หาเงินไม่ได้จนคับอกคับใจ ทว่าต้องบอกว่าละแวกหาคนมีฝีมือการทำอาหารแบบนี้ไม่ได้เลย


ตอนนั้นถ้าไม่เห็นว่าเขามีฝีมือทำอาหาร และคิดว่าเขาคงลืมตาอ้าปากได้ เธอก็คงไม่แต่งงานย้ายจากเมืองข้างๆ มาสถานที่บ้าๆ แบบนี้หรอก


หลายปีมานี้ตานี่เอาแต่ทำนิสัยแย่ๆ เพิ่งจะเคยเห็นเขาหงอยครั้งแรกเพราะเห็นฝีมือทำอาหารของผู้หญิงคนนั้นนี่แหละ


“คุณปู่เป็นอะไรไปคะ?” หลี่ว์อีอวิ๋นกำลังมองคุณปู่ของตนเอง


หลัวอ้ายอวี้หันกลับมา มองดูชายชรา กลับเห็นเขากำลังถอดกางเกงออกตรงนี้ จึงรีบพูดอย่างตื่นตกใจทันที “ตาแก่หนังเหนียว! หนูให้พ่อกลับไปที่ห้องก่อนค่อยเปลี่ยนกางเกง ไม่ใช่ให้พ่อมาถอดตรงนี้!! หนูทำกรรมอะไรไว้กันแน่เนี่ย ถึงต้องมาเจอตาแก่หนังเหนียวอย่างพ่อแบบนี้! แถมยังแต่งงานกับคนไม่เอาไหนอีก!”


“พอได้แล้ว! เอะอะโวยวาย! ทั้งวันนอกจากโวยวายแล้ว เธอยังทำอย่างอื่นเป็นอีกไหม?” หลี่ว์ไห่ลุกขึ้นฉับพลัน


“แน่จริง คุณก็เข้าห้องครัวไปสิ! ไล่ให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นออกมา คุณกล้าทำไหมล่ะ?” หลัวอ้ายอวี้พูดเยาะเย้ย


หลี่ว์ไห่จุกพูดไม่ออก หน้าแดงก่ำ ทำเสียงสบถในลำคอ


“ฉันซวยมานานหลายปีดีดักแล้วจริงๆ ต้องมาเจอพวกแปลกๆ อย่างพวกคุณเนี่ย! ยังดีที่เหลือแค่พ่อสามีหนังเหนียวตายยากคนเดียว ถ้ามีแม่สามีตายยากมาอีกล่ะก็ ฉันได้หงุดหงิดตายแน่!”


“อย่าพูดถึงแม่ฉัน!” หลี่ว์ไห่สองตาจ้องเขม็ง ขู่ขวัญอย่างดุดัน แล้วเขวี้ยงขวดเหล้าในมือไปที่พื้นอย่างแรง “เธอลองพูดอีกครั้งสิ!!”


“ทำไม? คิดจะทำร้ายฉันเหรอ? เอาสิ! แน่จริงคุณก็ทำเลย!”


หลี่ว์ไห่ชูมือขึ้น พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วชักมือกลับมา แต่ไม่ได้หันหน้ากลับมา ก่อนปิดประตูแล้วเดินออกไปเลย “มื้อเย็นไม่ต้องรอฉัน!”


ฟังเสียงพูดที่ดังมาแต่ไกลของหลี่ว์ไห่ ทำให้หลี่ว์อีอวิ๋นตาแดงก่ำทันที ทว่ากลับได้แต่ดึงแม่ตัวเองไว้ พูดเสียงแหบแห้ง “แม่ แม่ใจเย็นหน่อยค่ะ ยังมีลูกค้าอยู่นะคะ อย่าทะเลาะกับพ่อเลยนะ”


“ฉันก็ไม่สนแล้ว!” หลัวอ้ายอวี้สะบัดมือแล้วก็เดินเข้าไป


หลี่ว์อีอวิ๋นได้แต่มองปู่ของตนเองเงียบๆ …ปู่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยล่ะสินะ?


สาวน้อยถอนหายใจ



บทที่ 5 รุ่นพี่ โปรดอย่าเพิ่งไป!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ช่วงใกล้เวลาพลบค่ำ เมฆดำที่ทะเลก็ได้แผ่ขยายมาถึงฝั่งนี้แล้ว จากนั้นพายุฝนก็มา


ถึงเวลาอาหารค่ำ ทุกคนก็ล้อมวงกันอยู่ในห้องอาหารที่ปรับปรุงมาจากห้องรับแขกเก่า


ในนั้นมีแค่โต๊ะกลมเพียงสามตัว จากนั้นก็ใช้ฉากบังลมเล็กๆ กั้นเอาไว้ ห้องอาหารที่ทาสีขาวเทาไว้ดูลวกๆ แต่ว่าอาหารที่หลี่ว์อีอวิ๋นยกออกมากลับน่ากินจนอุดปากของเริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อเอาไว้ได้สนิท


เพียงแต่ความจริงแล้ว ไม่ว่าอาหารชั้นเลิศมากขนาดไหน ก็อุดปากของรองบรรณาธิการเริ่นได้โดยสิ้นเชิง…เพราะว่าโยวเย่ไม่อยู่ที่นี่


ตั้งแต่มาถึงเริ่นจื่อหลิงยังไม่ได้พูดคุยให้ดีๆ เลย จึงคิดจะถือโอกาสทำความเข้าใจกันบนโต๊ะกินข้าวนี้ให้เต็มที่สักหน่อย!


“เธอไม่สบาย พักผ่อนอยู่ในห้อง” ลั่วชิวตอบง่ายๆ


“ไม่สบาย?” เริ่นจื่อหลิงตะลึงงัน กำลังมองดูลั่วชิวอย่างระแวง แต่กลับพูดอย่างเป็นห่วงเป็นใย “คงไม่ได้เป็นไข้แดดไปแล้วหรอกนะ? เป็นหนักหรือเปล่า? ต้องไปดูเธอหน่อยไหม?”


“ไม่ต้องครับ ให้เธอหลับแป๊บหนึ่งก็พอแล้ว” ลั่วชิวส่ายหน้า


แทนที่จะพูดว่าโยวเย่ไม่ต้องกินอาหาร ไม่สู้พูดว่าไม่มีระบบนี้ดีกว่า ต่อให้อาหารชั้นเลิศขนาดไหนเข้าไปในปากเธอ…ก็ดูจะล้างออกลำบากทั้งนั้น


หลี่ว์อีอวิ๋นที่กำลังยกอาหารจานสุดท้ายออกมาได้ยินเข้าพอดี เลยเผลอพูดว่า “ไม่ใช่ว่าคุณผู้หญิงคนนั้นกำลังเหนื่อยอยู่เหรอคะ? ยังไงก็ทำอาหารมาตั้งมากมายแบบนี้รวดเดียวเลย”


มีเท่าไร?


ทะเลเป็นแหล่งที่หาอาหารทะเลนี้ได้ง่ายมาก ซาชิมิที่อยู่เต็มโต๊ะ ซุปทะเล กุ้ง ปลานึ่ง หอย นอกจากนี้ยังมีอาหารทะเลชั้นเลิศทอดอย่างพิถีพิถัน แล้วยังจัดวางจานอย่างตั้งใจอีก


อาหารรสเลิศราวกับหลุดมาจากภัตตาคารมิชลินสตาร์ ได้มาวางอยู่ในห้องอาหารที่เรียบง่ายของตัวเองแล้ว จนถึงตอนนี้หลี่ว์อีอวิ๋นยังรู้สึกเหมือนฝันไป


เธอพอเข้าใจความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงของพ่อตัวเองแล้ว


“หา? นี่เป็นของที่โยวเย่ทำเหรอ?” เริ่นจื่อหลิงอ้าปากค้าง ท่าทางตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด!


ตอนนี้สาวน้อยถึงได้ยิ้มกล่าว “ใช่ค่ะ! จริงๆ ไม่ควรให้ลูกค้ามาทำเรื่องพวกนี้เอง แต่คุณผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ต้องลงมือทำให้พวกคุณกินเองเท่านั้นค่ะ”


เริ่นจื่อหลิงดวงตาคล้ายมีประกายแสงวิบวับ จับตะเกียบคีบซาชิมิใส่เข้าไปในปากชิ้นหนึ่ง แม้ว่าไม่ได้จิ้มโชยุ และไม่ได้มีเครื่องปรุงอย่างวาซาบิ แต่ก็ใช้หัวไช้เท้าฝนมาแทนได้เป็นอย่างดี


ชั้นไขมันของซาชิมิและเนื้อปลาเหมือนผ่านการคิดคำนวณมาแล้ว แต่ละชั้นสลับกัน สัมผัสไขมันปลาที่มีความหอมหวานและเนื้อปลาสดหวานบนปุ่มแยกรสชาติ พร้อมกับความเย็นและเผ็ดร้อนเล็กๆ ที่มากับหัวไช้เท้า พอรวมเข้าด้วยกัน ก็รู้สึกราวกับน้ำแข็งหิมะกำลังละลายช้าๆ


เริ่นจื่อหลิงหลับตาพริ้ม เผยให้เห็นสีหน้าเคลิบเคลิ้ม


เธอเบิกตาโพลงพูดว่า “ลูกสะใภ้คนนี้ ฉันจะต้องให้แต่งเข้ามาให้ได้…ไม่ใช่สิ เป็นลูกที่ต้องรับมา!”


แค่อาหารโต๊ะเดียวก็ติดสินบนได้โดยสิ้นเชิงแล้วเหรอ?


ลั่วชิวมองเริ่นจื่อหลิงเหมือนมองคนที่สมองมีปัญหา แต่กลับเอากุ้งที่แกะเปลือกเอาไว้ตัวหนึ่งวางลงไปในชามของเริ่นจื่อหลิง


เริ่นจื่อหลิงเจอแบบนี้จนชินมานานแล้ว ก็มองค้อนพร้อมกับพูดว่า “เธออยากจะปิดปากฉันเหรอ?”


ลั่วชิวทำเป็นไม่ได้ยิน แต่กลับมองหลี่ว์อีอวิ๋นพลางพูดขึ้น “เถ้าแก่กับเถ้าแก่เนี้ยไม่ออกมากินด้วยกันเหรอ? อาหารตรงนี้พวกเรากินไม่หมดหรอก ถ้ากินด้วยกัน ก็คงครึกครื้นขึ้นมาหน่อย…แล้วยังมีคุณปู่คนนั้นอีก”


หลี่ว์อีอวิ๋นส่ายหน้า “พ่อของฉันออกไปแล้ว…ส่วนแม่บอกว่าเหนื่อยนิดหน่อยค่ะ ตอนนี้พักผ่อนอยู่ในห้อง ส่วนคุณปู่ของฉัน เขาไม่ค่อยชินกับการกินข้าวกับคนแปลกหน้าค่ะ”


พูดไม่ได้เด็ดขาดว่าครอบครัวของตัวเองพึ่งจะทะเลาะกันไป สาวน้อยลอบถอนหายใจ ไหนเลยเธอจะไม่หวังให้ทั้งครอบครัวรวมตัวกันกินข้าวดื่มชาอย่างสงบสุขเต็มที่สักมื้อ


“มีใครอยู่ไหม? มีใครอยู่ไหมครับ?”


ทันใดนั้นข้างนอกก็มีเสียงเรียกที่ดังมา



ที่เข้ามาเป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง ท่าทางอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี เสื้อผ้าบนร่างกายของเขาเปียกโชก อีกทั้งยังถือกล่องหนังสีดำมาใบหนึ่ง


ท่าทางรีบร้อน


“เฮ้อ แถวนี้ข้างหน้าก็มองไม่เห็นร้านค้า ข้างหลังก็มองไม่เห็นหมู่บ้าน ยังดีที่หาโรงแรมแบบนี้ได้”


หลี่ว์อีอวิ๋นพาวัยรุ่นไปที่ห้องอาหาร ให้เขานั่งลงโต๊ะข้างๆ น่าจะด้วยกลัวจะต้อนรับไม่ดี เพราะคุณน้าที่อยู่ช่วยงานกลับบ้านไปก่อนฝนตกแล้ว


“คุณผู้ชาย ที่นี่เป็นบ้านพักตากอากาศ ไม่ใช่โรงแรมค่ะ” หลี่ว์อีอวิ๋นพูดอย่างฉะฉาน


วัยรุ่นคนนั้นย้อมผมสีทองทั้งหัว ใส่เสื้อกล้ามตัวเล็ก แขนซ้ายมีรอยสักรูปกิเลนตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง นอกจากนั้นยังใส่ต่างหูอีกหนึ่งอัน


การแต่งตัวแบบนี้สำหรับสาวน้อยที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่เงียบสงบเช่นนี้แล้ว บางทีอาจจะน่าตกใจอยู่บ้าง หลี่ว์อีอวิ๋นจึงไม่ได้เข้าไปใกล้เกินไป


วัยรุ่นคนนั้นโบกมือไม่คิดมากพลางพูดว่า “อะไรก็ได้ คืนนี้ฉันจะนอนพักที่นี่ เธอไปเตรียมของกินให้ฉันกินหน่อยแล้วกัน…โอ้ อาหารบนโต๊ะนั้นดูดีมาก เอาแบบเดียวกันมาให้ฉันสักชุดแล้วกัน!”


วัยรุ่นคนนั้นหรี่ตามองมาทางโต๊ะของลั่วชิว


สาวน้อยพลันพูดอย่างลำบากใจว่า “อ๊า…คุณผู้ชายท่านนี้ อาหารพวกนั้นเป็นของที่แขกโต๊ะนั้นทำเอง ที่พักของพวกเรา…ไม่ ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ”


“นี่มันที่ห่วยแตกอะไรกัน? ของกินยังต้องให้ลูกค้าทำเองเหรอ?” ชายวัยรุ่นขมวดคิ้วพลางพูดขึ้น


“ที่นี่พวกเราเป็น…นี่คือ…” หลี่ว์อีอวิ๋นไปต่อไม่ถูกทันที


ชายวัยรุ่นพูดอย่างไม่พอใจ “งั้นพวกเธอมีอะไรบ้าง?”


หลี่ว์อีอวิ๋นทำได้แค่พูดว่า “พ่อของฉันออกไปแล้วค่ะ เขาคุมห้องครัว…ถ้าหากคุณไม่รังเกียจ ฉัน ฉันทำอาหารได้หลายอย่าง…”


สาวน้อยก้มหน้าลง คาดว่าคงไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเองเท่าไร


วัยรุ่นคนนั้นหันไปทางโต๊ะลั่วชิว ก่อนสับขาเดินเข้าไป พร้อมทั้งดึงเก้าอี้มานั่งโดยไม่ถามสักคำ


สองมือของเขาวางไว้บนโต๊ะ หรี่ตายิ้มพลางพูดว่า “ทุกท่าน มาร่วมโต๊ะกันสักหน่อยเป็นยังไง? ผมว่า ของบนโต๊ะนี้พวกคุณกินกันไม่หมดหรอก แล้วผมก็หิวมากจริงๆ ถ้าไม่ติดอะไรผมจ่ายเงินให้ก็ได้ แล้วพวกเราก็แบ่งกัน?”


เริ่นจื่อหลิงกลับไม่สนใจ กินเนื้อกุ้งในชามให้หมดอย่างอ้อยส้อยก่อน ถึงได้เช็ดปาก ยิ้มให้กับชายวัยรุ่นคนนั้นเล็กน้อย


ชายวัยรุ่นคิดว่ามีความหวังแล้ว ก็เลยยิ้มตาม ขณะจะลงมือหยิบชามและตะเกียบขึ้นมา เริ่นจื่อหลิงกลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “ไม่ขาย”


ขายอะไรกัน?


นี่เป็นสิ่งที่ว่าที่ลูกสะใภ้ทำด้วยความยากลำบาก เพื่อแสดงความกตัญญูต่อแม่สามีในอนาคตของเธอคนนี้นะ! รองบรรณาธิการเริ่นทำใจเอาของสิ่งนี้มาต้อนรับคนแปลกหน้าแบบนี้ไม่ได้หรอก!


ใครว่าข้ากินไม่หมดล่ะ? ถึงข้าจะตายเพราะกินมากเกินไปก็ต้องกินให้หมด!


ดวงตาวัยรุ่นคนนั้นหรี่เล็กลงกว่าเดิมเล็กน้อย ฉับพลันก็หัวเราะพูดว่า “ผมว่าอาหารทะเลโต๊ะนี้ทำได้เข้าท่าดี…ห้าพัน ถ้าคุณให้ผมกินหนึ่งชุดล่ะก็ ผมจะให้พวกคุณห้าพัน!”


“ห้าพัน…เยอะจังเลยนะ!” เริ่นจื่อหลิงตอบรับอย่างประหลาดใจ จากนั้นได้พูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “ไม่ขาย อีกอย่างถ้าไม่มีธุระล่ะก็ คุณหลบไปได้ไหม? อย่ามาเกะกะพวกเรากินข้าว”


วัยรุ่นยักไหล่ ทันใดนั้นก็ยืนขึ้นมา


เขายืนขึ้น กำลังมองลั่วชิว เริ่นจื่อหลิง และยังมีหลีจื่อทั้งสามคนที่อยู่บนโต๊ะนี้จากบนลงล่างทีละคน ก่อนผิวปากเล็กน้อย หัวเราะเบาๆ พลางพูดว่า “เสียดายอาหารดีๆ บนโต๊ะนี้จริงๆ ไม่กินก็ไม่กิน”


ฉับพลันนั้นก็ก้มหน้าลง “งั้นก็ไม่ต้องกินมันทุกคนนี่แหละ!”


วัยรุ่นลงมือราวสายฟ้าแลบ มือทั้งสองจับโต๊ะไว้ เหมือนอันธพาลที่คิดจะคว่ำโต๊ะอย่างไร้เหตุผล


คิดไม่ถึงว่าวัยรุ่นคนนี้ออกแรงจนหน้าแดงก่ำ แต่กลับคว่ำโต๊ะไม่ได้แม้แต่น้อย


สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นตกใจทันที…กำลังมองคนทั้งสามอย่างตื่นตะลึง ผู้หญิงสองคนถือชามไว้อยู่ กำลังมองมาทางเขาอย่างสงสัย


มีเพียงวัยรุ่นที่ไม่ปริปากส่งเสียงคนเดียวที่กดฝ่ามือข้างเดียวลงไปบนโต๊ะคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ


ตอนนี้มือทั้งสองของชายวัยรุ่นราวกับถูกของอะไรแทงเข้าให้เล็กน้อย เลยหุบมือกลับมาอย่างรวดเร็ว


พอดีกับตอนที่เขาตกใจชะงักไป ลั่วชิวกลับใช้ชามตะเกียบคีบอาหารบางอย่าง


“หิวก็กินอะไรหน่อยสิ” เขาส่งชามที่ใส่อาหารเอาไว้เต็มออกมาช้าๆ “แล้วก็ไม่ต้องจ่ายเงินด้วย”


ชายวัยรุ่นแอบกลืนน้ำลาย คิดอย่างเผลอไผลว่าอยากจะยกชามใบนี้ขึ้นมา แต่กลับไม่คิดว่าตอนที่เขาเอามือยกชาม กลับสัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่น่ากลัวอย่างประหลาดของชามใบนี้!


ไม่ว่าเขาจะใช้พละกำลังมากเพียงใด ก็เหมือนกับไม่มีทางยกชามใบนี้ขึ้นมาได้เลย


ชายวัยรุ่นที่มีสถานะพิเศษรู้สึกเหมือนพบกับผู้สูงส่งเข้าให้แล้ว จึงตกใจจนหลังมีเหงื่อไหลพลั่ก


“ทำไม ไม่กินเหรอ?” ลั่วชิวมองอยู่แวบหนึ่ง ยิ้มเล็กน้อยพร้อมพูดว่า “รสชาติอร่อยเลยนะ”


ชายวัยรุ่นอกสั่นขวัญแขวนทันที เขากำลังมองลั่วชิว หัวใจพลันเต้นแรง…ถ้าฉันยกขึ้นมาได้ ก็คงยกขึ้นมาตั้งนานแล้วนะพี่ชาย!


“ขอ ขอโทษ ผมหิวมากเกินไปเลยระเบิดอารมณ์ออกมา”


เขากลืนน้ำลาย ถอยหลังไปสองก้าว กำลังโบกไม้โบกมือพร้อมพูดว่า “ผมกินของที่สาวน้อยคนนั้นทำก็ได้ครับ…ขอโทษ ขอโทษจริงๆ ครับ!”


มองดูวัยรุ่นหัวทอง สักข้อมือ สวมต่างหู ท่าทางเหมือนอันธพาลขอโทษอย่างน่าตลกขบขัน เริ่นจื่อหลิงก็อ้าปากค้างพูดเสียงเบาๆ อย่างงุนงงว่า “เจ้านี่…สมองมีปัญหาเหรอ?”


หลีจื่อกลับพูดราวกับคิดอะไรบางอย่างได้ “พี่เริ่น ฉันว่านะ เป็นเพราะท่าทางนิ่งเฉยของลั่วชิว ที่ทำให้เจ้าอันธพาลตกใจหนีไป พี่ดูสิ คนธรรมดาที่ไหนเจอเข้าก็ขวัญหนีดีฝ่อเหมือนกัน เขาคงคิดว่าลัวชิวมาจากครอบครัวที่มีอำนาจ ก็เลยรีบร้อนออกไปล่ะมั้ง!”


“อืม…ก็มีเหตุผลอยู่บ้าง” เริ่นจื่อหลิงกำลังมองดูลั่วชิว พินิจพิจารณา “เจ้าเด็กคนนี้ ท่าทางปกติตอนไม่พูดก็น่าตกใจมากจริงๆ”


เป็นประเภทที่มองดูแล้วเข้าหายากล่ะมั้ง? หลีจื่อเพิ่มอีกหนึ่งประโยคเงียบๆ ในใจ…ความจริงเธอก็ไม่กล้ามองลั่วชิวตรงๆ เลยเหมือนกัน


ลั่วชิวพูดขึ้น “รีบกินเถอะครับ รออีกเดี๋ยวผมจะเอาที่เหลือกลับห้อง วันนี้เหนื่อยแล้ว ทุกคนนอนไวๆ นะครับ”


“ฉันยังต้องเร่งทำต้นฉบับอีกนะ” เริ่นจื่อหลิงพูดขวานผ่าซาก “วันนี้เธอไม่สบาย ลูกก็อย่านอนพลิกตัวไปพลิกตัวมาแล้วกัน!”


“…”


รู้งี้น่าจะให้เจ้านั่นคว่ำโต๊ะไปเลยจะดีกว่าล่ะมั้ง?


เริ่นจื่อหลิงเสริมอีกว่า “ตอนกลางคืนระวังหน่อย พวกเราก็ล็อกประตูให้ดี…เจ้าคนเมื่อกี้นี้ ดูไม่น่าใช่คนดี จำไว้ว่าถ้าเกิดเรื่องให้ตะโกนดังๆ นะ”


หลีจื่อพยักหน้า




ไม่นานนัก เริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อก็กลับไปที่ห้องก่อน ลั่วชิวแกล้งทำท่าทำทางห่ออาหาร


สักพักสาวน้อยหลี่ว์อีอวิ๋นก็วิ่งเข้ามาในห้องครัวแล้วไม่กล้าออกมาอีก


ตอนนี้จู่ๆ วัยรุ่นคนนั้นก็มองมา หลังจากลังเลอยู่สักพัก ถึงพูดอย่างระแวดระวังว่า “รุ่นพี่ท่านนี้…เมื่อสักครู่รุ่นน้องทำล่วงเกินไปแล้ว”


“ในความเป็นจริงแล้วคุณไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่เป็นไร” ลั่วชิวพูดเสียงเรียบเฉย


วัยรุ่นหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้งพลางพูดว่า “เป็นเพราะผมสัมผัสได้ถึงไอปีศาจจางๆ อย่างหนึ่งลอยออกมา ก็เลยคิดจะลงมือหยั่งเชิงดู…คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีผู้สูงส่งอย่างรุ่นพี่อยู่ สอนจระเข้ว่ายน้ำจริงๆ ขายหน้าคนในสายอาชีพเดียวกัน”


ลั่วชิวไม่ได้ตอบกลับ…ที่ยกชามและโต๊ะขึ้นไม่ได้เพราะใช้พลังที่ต่างกันสองสายมาค้านไว้


ที่จริงแล้วมีทั้งหมดสี่สาย


สองสายแรกเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองสร้างออกมา ส่วนอีกสองสายที่ส่งออกมากลับเป็น…หลีจื่อ


เธอทำให้โต๊ะอยู่นิ่งก่อน ต่อมาถึงได้เป็นพลังของ ลั่วชิว


อาหารชามนั้นก็เหมือนกัน…พลังสองสายที่ต่างกัน หนึ่งในนั้นยังคงมาจากเจ้าของสมาคม ไม่เช่นนั้นวัยรุ่นคนนี้คงไม่จนตรอกลับหลังอยู่แบบนี้


วัยรุ่นคนนั้นมองเห็นลั่วชิวไม่ได้พูด ก็รู้ว่าผู้มีญาณสูงบางคนมักจะมีท่าทางแบบนี้ ดังนั้นจึงได้แต่พูดว่า “ตอนนี้คิดดูแล้ว ปีศาจน้อยข้างกายรุ่นพี่คนนั้น…คงจะเป็นคนใช้ของรุ่นพี่ล่ะสิ”


ลั่วชิวไม่อยากพูดกับอีกฝ่าย อีกทั้งยังโปรยสายตา ‘คุณน่ารำคาญมาก’ ไปให้


วัยรุ่นราวกับสัมผัสไม่ได้ ฉับพลันก็พูดเสียงกระซิบกระซาบว่า “รุ่นพี่มาที่นี่ ก็เพราะตำนานนั้น…ใช่ไหม?”


“ตำนานอะไร” ลั่วชิวหยุดมือลง


วัยรุ่นยิ้มแล้วพูดว่า “รุ่นพี่ พวกเราคนซื่อสัตย์ไม่พูดจาลับหลัง ก่อนหน้าหลายสิบปีละแวกนี้มีปีศาจทะเลปรากฏตัวขึ้นมา หลายปีมานี้พลิกแพลงไปตามสถานการณ์อยู่ตลอด แต่ช่วงนี้กลับมีเค้าว่าจะปรากฏตัวออกมาอีกครั้งไม่ใช่เหรอ?”


พูดไปพลาง วัยรุ่นคนนี้ก็ยันตัวขึ้นมา ยกมือขึ้นประกบกัน แล้วเคารพช้าๆ พลางพูดว่า “พูดแบบไม่ปิดบังความจริง รุ่นน้องมาครั้งนี้ก็เพื่อเสาะหาร่องรอยของปีศาจทะเลตนนั้น หวังว่ารุ่นพี่จะร่วมมือรวมพลังกำจัดปีศาจที่มาจากทะเลลึกตนนี้!”


“ไม่สนใจ” ลั่วชิวพูดเสียงเรียบเฉย “ผมไม่ได้มาเพราะสิ่งนี้”


“โอ๊ย? รุ่นพี่! รุ่นพี่! รุ่นพี่หยุดก่อน!” วัยรุ่นรีบร้องเรียก “รุ่นน้องมั่วมั่วผู้สืบทอดเขาพยัคฆ์มังกรรุ่นปัจจุบัน ต้องการคำแนะนำ! รุ่น…”


ลั่วชิวเดินออกไปนอกห้องอาหารแล้ว


มั่วมั่วขมวดคิ้ว นั่งลงมาใหม่อีกครั้ง พูดพึมพำกับตัวเอง “ได้ยินว่าที่นี่เป็นเขตแดนของสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรม…หรือว่าจะเป็นผู้สืบทอดของสำนักลึกลับนี้? ไม่ได้มาเพื่อสิ่งนี้…งั้นมาเพื่ออะไรกันล่ะ?”


นิ้วมือของมั่วมั่วกำลังเคาะโต๊ะเบาๆ แล้วเกิดความขัดแย้งในใจ ‘อาจารย์บอกว่า ฉันมีประสาทการรับรู้ล้ำเลิศกว่าใคร ตอนนี้วิชาได้ก้าวไปไกลกว่าตอนยังเป็นเด็ก…ตลอดทางที่ลงเขามาท่องเที่ยวนี้ ก็ไม่เคยได้พบคู่ต่อสู้ ยากนักที่จะได้พบยอดฝีมือสักคน จะลองดูดีไหม? เมื่อกี้นี้ไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อม ถึงได้ลำบากแบบนี้…ไม่อาจทำให้ชื่อเสียงอันสูงส่งของหุบเขาพยัคฆ์มังกรตกต่ำลงแบบนี้’


“ลูก ลูกค้า…ของกินคุณ…”


ในตอนนี้หลี่ว์อีอวิ๋นกำลังยกจานมา เดินออกมาอย่างระมัดระวัง


มั่วมั่วยิ้มๆ


เขาลูบผมที่เปียกน้ำฝนลูบไปไว้ข้างหลัง แล้วใช้ทั้งสองมือรับจานจากมือของหลี่ว์อีอวิ๋น พร้อมพูดเสียงเบาๆ ว่า “สาวน้อย ขอโทษด้วย เมื่อกี้นี้คงไม่ได้ทำให้เธอตกใจหรอกนะ”


มองดูสีหน้าของมั่วมั่วที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง หลี่ว์อีอวิ๋นพลันตะลึงงัน…ผู้ชายคนนี้ เหมือนจะหน้าตาดีมากๆ เลย


“ไม่ ไม่เป็นไร…”




บทที่ 6 ที่ต้องมีก็คือท่าทางนักเลงแบบนี้แหละ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

น้ำแข็งในแก้วน้ำกระทบกันเป็นเสียงเบาๆ ขณะนี้เจ้าของสมาคมกำลังเอนตัวอยู่บนเก้าอี้นอนริมหน้าต่างกระจกยาว ฟังเสียงพายุฝนเงียบๆ


พายุฝนที่ชายหาดกับในเมืองไม่เหมือนกัน


“เขาพยัคฆ์มังกร?”


โยวเย่ยืนข้างๆ ลั่วชิว กำลังตอบคำถามของเจ้านาย “ฉันแทบไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสังคมนักพรตตะวันออกเลย จึงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเขตแดนบนแผ่นดินใหญ่ผืนนี้นักค่ะ แต่ก็เคยได้ยินชื่อเขาพยัคฆ์มังกรบ้าง อาจจะนับได้ว่าเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงทีเดียว”


ลั่วชิวเขย่าน้ำแข็งในแก้ว พลางพูดด้วยเสียงเบาๆ “ตอนเด็กๆ ได้ยินชื่อเขาพยัคฆ์มังกรก็ไม่บ่อย ที่เล่าลือกันทั่วไปก็มีแต่เรื่องไล่ล่ากำจัดผีปีศาจ น่าจะมีชื่อว่าปรมาจารย์เขาพยัคฆ์มังกรล่ะมั้ง”


โยวเย่ดูไม่ได้สนใจอะไรมาก พูดอย่างเฉยเมยว่า “ขอเพียงมั่วมั่วคนนี้ไม่ทำเรื่องไร้สาระ ก็ไม่มีอะไรค่ะ”


คุณสาวใช้พูดถึงตรงนี้ ก็หยิบโทรศัพท์มือถือของลั่วชิวขึ้นมา ก่อนหน้านี้โทรศัพท์เครื่องนี้ได้เล่นเพลงแปลกๆ เพลงนั้นซ้ำไปซ้ำมาตลอด


เธอพูดเสียงแผ่วเบา “ถึงแม้จะเป็นเพียงเสียงบันทึกไว้ แต่กลับดูราวกับซึมซับเข้าไปในจิตใจได้ เหมือนว่าจะใช้จิตวิญญาณร้องเพลง…ปีศาจทะเล ไม่รู้ว่าเป็นชนิดไหน ในตำนานตะวันตก ปีศาจทะเลซึ่งมีเสียงร้องไพเราะงดงามก็มีอยู่พวกหนึ่งค่ะ”


ลั่วชิวพูดอย่างแปลกใจ “เธอเคยเจอปีศาจทะเลเหรอ?”


โยวเย่ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดขึ้น “หากเป็นทางฝั่งทะเลแบเร็นตส์นั่นก็เคยพบไซเรนอยู่ตัวหนึ่งค่ะ เพียงแต่ปีศาจชนิดนี้ก็แทบจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว…ถ้าไซเรนตัวนั้นยังมีชีวิตอยู่ บางทีน่าจะแก่มากแล้วค่ะ”


ลั่วชิวถาม “เสียงเพลงนี้เหมือนไซเรนไหม?”


โยวเย่ส่ายหน้าตอบ “ปกติไซเรนจะไม่ร้องเพลงเศร้าแบบนี้ค่ะ…”


เธอหลับตาลง ใช้หัวใจสัมผัสความหมายแฝงในบทเพลงนั้น ฉับพลันนั้นก็พูดขึ้นว่า “แต่ถ้ากำลังจดจ่อกับบางอย่าง ก็อาจจะร้องเพลงนี้นะคะ”


คุณสาวถือคติ ‘ตอบคำถามของนายท่าน’ เป็นอันดับแรก “สภาพอากาศแบบนี้ สำหรับปีศาจทะเลแล้วเป็นช่วงเวลาที่ดีในการออกมาสูดอากาศ นายท่านคะ โยวเย่จะลองไปดูที่ชายฝั่งทะเลสักหน่อย บางทีอาจจะพบอะไรก็ได้นะคะ”


ลั่วชิววางแก้วน้ำ มือหยุดค้างกลางอากาศราวกับกำลังใคร่ครวญอะไรอยู่ แล้วถึงได้โบกมือ “ไม่ต้อง…ให้มันโชว์ต่อหน้าพวกเราเองเถอะ ไม่อย่างนั้นการค้นหาก็หมดสนุกน่ะสิ”


สำหรับลั่วชิวในเวลานี้แล้ว เขาไม่อยากใช้อายุขัยไปแลกความสามารถด้านข้อมูลถ้าไม่จำเป็น


เจ้าของสมาคมคว้ามือของคุณสาวใช้ขึ้นมา แล้วเปลี่ยนเพลงในมือถือเป็นเพลงที่ค่อนข้างเบาและนุ่มนวล แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ในเมื่อมาแล้วก็ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวสักครั้ง พักผ่อนให้เต็มที่กันเถอะ”


โยวเย่หัวเราะน้อยๆ


สายตาของเธอกวาดมองไปตรงประตูบ้านพักเงียบๆ และไม่ได้ตกใจกับดวงตาที่กำลังสอดแนมคู่หนึ่งซึ่งแอบซ่อนอยู่ด้านนอกตรงซอกของประตู


ดวงตาที่สอดส่องอยู่นั้นเป็นของรองบรรณาธิการเริ่น


เธอกำลังมองดูสองคนขยับในบ้านพักนั้นตามเสียงเพลง เริ่นจื่อหลิงดูเหมือนจะสบายใจแล้ว ก็เขย่งเท้าย่องถอยหลังไปเงียบๆ


“เจ้าเด็กนี่ โรแมนติกจริงๆ …โอ๊ย! รีบร่างต้นฉบับ รีบร่างต้นฉบับ!”




พายุฝนริมทะเลมาเร็วและไปเร็ว ตื่นขึ้นมาในวันถัดมา ก็ได้เห็นน้ำทะเลสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาภายใต้ท้องฟ้าปลอดโปร่งแล้ว


ได้ยินหลี่ว์อีอวิ๋นบอกว่า ลูกค้าเมื่อคืนวานคนนั้นค้างแค่คืนเดียว พอรุ่งเช้าก็เช็กเอาท์จากไปแล้ว


สาวน้อยไม่ได้ดีใจกับการทำธุรกิจชั่วคราวแบบนี้ และยามนี้สีหน้าก็ดูกังวลอยู่บ้าง


เพราะหลังจากที่เถ้าแก่หลี่ว์ไห่ออกไปเมื่อวานตอนบ่าย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้กลับมาเลย


สาวน้อยลองโทรศัพท์ไปหา แต่กลับปิดเครื่องตลอด


“พ่อแกโกรธกระฟัดกระเฟียดทีไรก็หนีหายไปแบบนี้ตลอด เห๊อะ! คนไม่เอาถ่านนั่น ไม่ต้องกลับมาก็ดี! ฉันจะได้ไม่หงุดหงิดอีก!” หลัวอ้ายอวี้ยังด่าต่ออีกชุดราวกับว่ายังไม่หายโกรธ…ขณะเดียวกันพวกลั่วชิวที่เพิ่งออกมาจากบ้านพักรวมก็ได้ยินเข้าพอดี


เห็น ‘แขกพิเศษ’ สามสี่คนตื่นขึ้นมา เถ้าแก่เนี้ยก็รีบปั้นหน้ายิ้มทันที “คุณเริ่น พวกคุณตื่นแล้ว! ฉันจะรีบไปเตรียมอาหารเช้าให้พวกคุณสักหน่อยนะคะ”


เริ่นจื่อหลิงพูด “ไม่ต้องหรอกค่ะ พวกเราว่าจะไปที่อื่นดูสักหน่อย”


หลัวอ้ายอวี้พูดราวกับไม่ค่อยพอใจ “คุณเริ่น นี่…ไม่ใช่ว่าจะช่วยบ้านพักตากอากาศของฉัน…”


ไม่ทันพูดจบ เริ่นจื่อหลิงก็พูดอย่างคุ้นเคยและเข้าใจดีว่า “เถ้าแก่เนี้ย คุณอยากให้คนมาเที่ยวทางฝั่งนี้ก็ต้องให้คนอื่นรู้ว่าที่นี่นอกจากสถานที่พักแล้วยังมีอะไรพอเที่ยวเล่น หรือเที่ยวชมได้อีกบ้างใช่ไหม? ถ้าไม่แนะนำสถานที่บางแห่งที่อยู่รอบๆละก็ นักท่องเที่ยวเขาจะมาทำไม ไม่สู้พักโรงแรมอื่นดีกว่าเหรอ?”


หลัวอ้ายอวี้รีบพูดขึ้นทันที “ก็จริงค่ะๆ คุณเริ่นพูดถูกแล้ว…เอาอย่างนี้ไหมคะ? ฉันให้สาวน้อยของฉันคนนี้นำทางพวกคุณแล้วกัน! พวกคุณไม่คุ้นเคยแถวนี้ มีสักคนตามไปด้วยดีกว่า”


เริ่นจื่อหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า


หลัวอ้ายอวี้ดึงลูกสาวตนเองมาอีกด้านหนึ่ง แล้วพูดกำชับอย่างระมัดระวัง “จับตาดูคนพวกนี้ไว้ให้ดีนะ ถ้าพวกเขาแค่เที่ยวเล่นเรื่อยเปื่อยเฉยๆ ไม่ได้ทำงานอย่างที่พูดไว้ดิบดี ก็ให้รีบบอกแม่นะ…ค่าโฆษณานี้ เราจะเสียไปเปล่าๆ ไม่ได้!”


ควรจะพูดว่ายังไงดีล่ะ?


เด็กสาวได้แต่พยักหน้าเงียบๆ ฟังแม่พูดจนจบ…ถึงแม้หลัวอ้ายอวี้ทำหน้าทำตาแบบนี้ตลอด แต่ตั้งแต่ต้นจนจบสาวน้อยก็ไม่ได้เอาแม่กับแม่หลิวยายเว่ย*ในบทความที่เคยอ่านในหนังสือเรียนมาปนกัน


“งั้นแม่ หนูออกไปแล้วนะคะ แล้วก็ปู่ยังไม่ได้กินข้าวเช้า…”


“ได้ๆ แม่จัดการได้ เขาไม่หิวตายหรอก” หลัวอ้ายอวี้กลับโบกไม้โบกมือพูดขัดอย่างรำคาญ


แม้ว่าน้ำเสียงพูดไม่ดี แต่ก็ผ่านมาหลายปีมาขนาดนี้แล้ว สาวน้อยเองก็คุ้นชินแล้วล่ะ



สำหรับสาวน้อยแล้ว เธอมีกจะรู้สึกกดดันเวลาอยู่กับพวกคนเมืองสามสี่คนนี้…โดยเฉพาะในบรรดาคนพวกนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ฝีมือทำอาหารดีมาก และยังสวยมากกว่าดาราดังในทีวีหลายเท่า


หลี่ว์อีอวิ๋นรู้สึกว่าตนเองเหมือนลูกเป็ดขี้เหร่ไปเลย


“โถ่เอ๊ย ลำบากเธอจริงๆ แม่เธอน่ะ ส่งเธอมาจับตาดูพวกเราไว้ ว่าพวกเรามาเที่ยวเล่นหรือเปล่าสินะ?”


เริ่นจื่อหลิงที่กำลังขับรถอยู่พลันพูดอย่างตรงไปตรงมา


หลี่ว์อีอวิ๋นที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ตอนนี้ก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะอ้าปากยังไงแล้ว “ไม่ใช่นะคะๆ แม่แค่กลัวว่าพวกคุณไม่รู้จักทางแล้วจะเจอเรื่องยุ่งยาก ดังนั้นก็เลย…”


“เอาล่ะๆ” เริ่นจื่อหลิงส่ายหน้า “ฉันรับเงินของพวกเธอมาแล้ว ก็ต้องตั้งใจทำงานแน่ๆ ฉันไม่ยกยอพวกเธอ และก็ไม่มีเจตนาจะให้ร้ายพวกเธอ ควรจะเขียนยังไงก็จะเขียนอย่างนั้น”


“ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ! คุณเริ่น!”


ไม่ใช่คู่ปรับของเริ่นจื่อหลิงสักนิดเลยนะ…สาวน้อยใสซื่อแบบนี้ น่าจะเป็นพวกที่ถูกคนอื่นรังแกได้ง่ายมากเลยสินะ?


ลั่วชิวไม่ยอมให้สาวน้อยอึดอัดแบบนี้จึงเอ่ยปากถาม “ฝั่งนี้มีจุดชมวิวอะไรบ้างไหมครับ?”


หลี่ว์อีอวิ๋นพูดด้วยท่าทางกระตือรือร้นทันที “ถ้าเป็นฝั่งนี้จุดชมวิวหลักๆ ที่จริงก็ไม่มีอะไรค่ะ เพียงแต่สถานที่เล็กๆ ก็มีอยู่บ้างหลายแห่งค่ะ…เอ้อ! ข้างหน้าก็มีผาฟังเสียงทะเล ฉันพาพวกคุณไปที่นั่นแล้วกันค่ะ!”



มั่วมั่วผมสีทองทั้งหัวแต่งตัวทันสมัย กำลังเดินอยู่ในหมู่บ้านตระกูลหลี่ว์เป็นที่สะดุดตาอย่างยิ่ง


แต่ก็ไม่อาจเทียบกับแบบสมาร์ตที่เคยนิยมที่นี่เมื่อหลายปีก่อนได้ ดังนั้นแม้ว่าคนในหมู่บ้านจะชำเลืองตามอง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่ทำให้คนไม่พอใจ


ถ้าพูดอีกอย่างหากเป็นนักท่องเที่ยวล่ะ?


ทั่วทั้งหมู่บ้านหลี่ว์ต่างก็ทำธุรกิจบ้านพักตากอากาศ


“คุณผู้ชายครับ พักค้างแรมไหมครับ พวกเรามีบริการครบครัน! ก็อย่างที่คุณรู้!”


“คุณเป็นเจ้าของที่นี่? คนท้องถิ่น?”


“ใช่น่ะสิครับ! คุณวางใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย! ที่ผมปลอดภัยแน่นอน” เถ้าแก่นักธุรกิจวัยกลางคนแต่งตัวฟู่ฟ่า รอยยิ้มเจิดจ้า…เพราะว่าฟันเหลืองเต็มปาก


มั่วมั่วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบ “งั้นก็ได้ คุณช่วยผมหาคนแก่คนหนึ่งมาให้ผม”


“คน…คนแก่?” เถ้าแก่นักธุรกิจวัยกลางคนนิ่งตะลึง แล้วก็สังเกตมั่วมั่วอย่างแปลกใจตั้งแต่หัวจรดเท้า…หลังจากนั้นเขาถึงถามขึ้นด้วยความลังเล “ลูกค้าท่านนี้ คุณต้องการหาคนแก่จริงๆ เหรอครับ? น่าจะอายุประมาณเท่าไร? ถ้าแก่เกินไป ผมเกรงว่าจะหาให้ไม่ได้นะครับ”


มั่วมั่วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “แน่นอนว่ายิ่งแก่ยิ่งดี คุณหาคนอายุมากที่สุดคนไหนมาให้ผมก็ได้ ขอแค่พูดจารู้เรื่อง ความจำดี ไม่เลอะเลือนก็พอ”


เถ้าแก่นักธุรกิจวัยกลางคนกลืนน้ำลายแล้วพูดขึ้น “นี่…หญิงชราที่อายุมากที่สุดของพวกเรา มีคนหนึ่งอายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว ผมก็ไม่ทราบว่าเธอจะยินยอมหรือเปล่านะ?”


มั่วมั่วขมวดคิ้ว สะบัดมือไปมา ก่อนเหวี่ยงธนบัตรฟ่อนหนึ่งออกไป ยิ้มพูดอย่างสง่างาม “ไม่มีปัญหา เรียบร้อยแล้ว จะให้รางวัลอย่างงาม”


กล้าได้กล้าเสียแบบนี้ เขาเรียนรู้จากตอนที่ลงจากเขามา


ที่ต้องมีก็คือท่าทางนักเลงแบบนี้แหละ!


*แม่หลิว ยายเว่ย ตัวละครสองตัวในผลงานเรื่อง ‘อวยพร’ ของหลู่ซิ่น



บทที่ 7 ตำนาน (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

มั่วมั่วสงสัยประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าของกิจการนี้อย่างแรง…ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ แล้ว คาดไม่ถึงว่ายังหาคนมาไม่ได้


ตัวคนสร้างคุณงามความดีเดินโลดแล่นอยู่ในเมือง แหล่งที่มาของเงินสำหรับเขาแล้วไม่ได้ลำบากเลย ผู้สืบทอดคนปัจจุบันแห่งเขาพยัคฆ์มังกรผู้ซึ่งมีความฝันอยากเป็นนักเลง บางครั้งถึงขั้นปล้นคนรวยช่วยคนจนโดยไม่เผยนามอีกด้วย


แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าเวลาเป็นเงินเป็นทอง เขาจึงหมดความอดทนที่จะรอต่อไปแล้ว


ในตอนที่เขาคิดจะจากไป เถ้าแก่นักธุรกิจวัยกลางคนคนนั้นก็ปั้นหน้ายิ้มน่าเกลียดเดินเข้ามา


“คุณผู้ชายๆ ผมหาคนที่คุณต้องการมาให้แล้วครับ!” เถ้าแก่นวดหน้าผากแรงๆ ครู่หนึ่ง “คุณไม่รู้หรอกว่าผมพาป้าคนนี้มายากแค่ไหน ครั้งนี้ผมเกือบจะต้องคุกเข่าอยู่กับพื้นแล้ว ถึงได้เชิญป้าเขามาได้! แต่ว่าคุณวางใจได้ ป้าคนนี้เนี่ย เมื่อก่อนมีชื่อเสียง…เหอๆ จะบอกความจริงกับคุณไว้เลยนะ ตอนที่ผมยังเป็นหนุ่มน้อย ก็เคยได้ลิ้มลองแล้วล่ะ!”


เจ้าหมอนี่พูดอะไรอีกเนี่ย? มั่วมั่วมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง แต่เขาก็แค่อยากหาคนแก่คนหนึ่ง ในเมื่อนำตัวเธอมาได้แล้ว ก็ไม่ต้องไปใส่ใจกับคำพูดของเจ้าหมอนี่ “พอแล้ว เรียกเข้ามาเถอะ!”


เถ้าแก่นักธุรกิจหัวเราะฮาๆ แล้วพูด “วางใจได้ คุณต้องพอใจแน่นอน! ป้าแกไม่ได้เจอใครมานานแล้ว แต่งตัวช้าไปบ้างก็ปกติ มาๆ ๆ ป้าจินฮวา!”


มั่วมั่วกำลังดูเถ้าแก่นักธุรกิจคนนั้นจูงมือป้าคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาเกือบสะดุ้งโหยงตั้งแต่เห็นแวบแรก


ใบหน้าราวกับเปลือกต้นไม้ใหญ่ ปัดบรัชออนสีแดงวงกว้างสองข้างซ้ายขวา และบนริมฝีปากเหี่ยวแห้งก็ทาลิปสติกสีแดงสด ผมสีขาวดอกเลารวบขึ้นมา ประดับด้วยดอกไม้เล็กๆ สีเหลือง…น่าจะเป็นดอกที่เพิ่งเด็ดมา


ป้าสวมชุดกี่เพ้าแบบโบราณทั้งชุด แต่กลับปกปิดเรือนร่างอ้วนฉุไว้ไม่ได้…ป้าคนนี้ถือผ้าเช็ดหน้า เดินนวยนาดเข้ามา


เถ้าแก่นักธุรกิจหัวเราะฮาๆ เอามือปิดประตู “ขอให้มีความสุขนะครับ…สบายใจได้! จะไม่มีคนมารบกวนพวกคุณแน่นอนครับ”


มั่วมั่วขยับริมฝีปาก


ที่จริงทักษะการได้ยินของเขานั้นดีมากๆ แม้ว่านักธุรกิจวัยกลางคนคนนั้นปิดประตูจากไปแล้ว เขายังคงพอจะได้ยินเสียงพูดพึมพำของเจ้าหมอนี่แว่วๆ


“ไม่เข้าใจคนในเมืองพวกนี้เอาซะเลย…กินรสชาติฝืดคอแบบนั้นลงไปได้ คงเพราะกินของชั้นดีมาเยอะแล้ว บางครั้งก็อยากเคี้ยวหนังหมูบ้าง??”



ป้าคนนี้เป็นฝ่ายรุกเข้ามาแตะเนื้อแตะตัวของเขา แถมยังโปรยสายตาทำลายล้างอย่างใหญ่หลวง ทั้งยังใช้เรือนร่างทำท่าทางจะเบียดชนตัวเขาเบาๆ มั่วมั่วซึ่งมีความฝันอยากเป็นนักเลงเต็มอกกำลังขัดเกลาตนเองให้มีสัจจะจิตใจห้าวหาญ พยายามฝืนทำนิ่งเย็นชา


เขารู้แล้วว่าเถ้าแก่นักธุรกิจคนนั้นเข้าใจผิดเรื่องอะไรกันแน่


ตอนนี้ดวงตาทั้งคู่ของป้าส่องประกายจับไปที่มือของมั่วมั่ว พูดหัวเราะคิกๆ “หนุ่มน้อย อายุเท่าไรแล้วล่ะ?”


“ปีศาจร้ายจากที่ไหน!! ฉันจะจัดการแก!!”


มั่วมั่วผู้สืบทอดปรมาจารย์แห่งเขาพยัคฆ์มังกรคนปัจจุบัน พละกำลังวิ่งพลุกพล่านอยู่ในตัว เคร่งขรึมเปี่ยมอำนาจน่าเกรงขาม!


ราวกับเสียงพายุฟ้าฟาดดังมาแว่วๆ กลางอากาศ


แต่ป้าคนนี้ได้ถูกกาลเวลากัดกร่อนมาตั้งนานแล้ว ด้วยเป็นไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกทีทำให้หูสองข้างของเธอไม่ได้ดีเหมือนตอนสาวๆ ไม่รู้ว่าตัวเธอเองกำลังตกอยู่ในคลื่นพายุอันตราย


ป้าลุกขึ้นยืนยิ้มตาหยี ปากเล็กๆ ที่เหลือแค่เหงือกเปิดอ้าออก “หนุ่มน้อย เสียเวลามานานแล้ว พวกเรารีบมาสนุกกันเถอะ! ตอนที่ได้ฉัน ต้องเบาๆ หน่อยนะ”


มั่วมั่วสูดลมหายใจลึกๆ ใกล้จะถึงจุดที่สติจะแตกแล้ว เขายื่นมือจิ้มลงไปบนหน้าผากของป้าคนนี้อย่างแรง ปากพึมพำคาถาหนึ่งขึ้นมา


ป้าคนนี้ถึงได้สงบลง


มั่วมั่วทำสมาธิจดจ่อ ไม่ว่อกแว่ก ฉับพลันนั้นทั้งตัวเขาก็มีรัศมีอันน่าเกรงขามราวรูปปั้นหินบูชาในวัดเก่าแก่ก็แผ่ออกมา ดวงตาทั้งคู่ทอประกายสายฟ้าสีทอง ส่องสว่างลงไปทั้งตัว


ป้าคนนั้นตัวสั่นเทิ้ม ตกใจหวาดผวา ตอนนี้ถึงได้มองมั่วมั่วด้วยความเคารพยำเกรง


“ฟังนะ! ฉันคือผู้สืบทอดปรมาจารย์แห่งเขาพยัคฆ์มังกรคนปัจจุบัน ครั้งนี้เดินทางมายังที่แห่งนี้แค่ต้องการกำจัดปีศาจร้ายที่มาระรานมนุษย์ที่นี่เท่านั้น! ผมมาหาป้า แค่อยากสืบข่าวเรื่องปีศาจในทะเล ป้าช่วยให้ความเคารพผมหน่อย!”


ฉับพลันนั้นป้าก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มองสีหน้าเคร่งขรึมของมั่วมั่วอีกครั้งแล้วคุกเข่าลงทันที ตลอดชีวิตนี้ไม่รู้จักว่าอะไรคืออารยชนผู้สูงส่ง ด้วยพบเจอเรื่องลี้ลับมามากมายตั้งแต่เด็กๆ เธอซึ่งไม่ได้เกิดวันที่สิบห้าเดือนอ้ายตามปฏิทินจันทรคติ*ย่อมเคารพศรัทธาเทพอยู่แล้ว ก็คิดว่าตนเองได้พบเจอกับเซียนตัวเป็นๆ


“อา ท่านเซียน ท่านเซียน ป้าไม่รู้ว่าเป็นท่านเซียน มีความผิดใหญ่หลวง มีความผิดใหญ่หลวง!”


มั่วมั่วนั่งลงมือจับกระบี่ราวกับนั่งลงบนหลังม้าถือทวน ชี้พลางพูดขึ้น “ผมมาถามป้า ป้ารู้หรือไม่ว่า หลายสิบปีก่อนมีเรื่องปีศาจทะเลอยู่แถวๆ นี้?”


ป้ารีบพยักหน้าพูด “รู้ๆ เรื่องในตอนนั้น ชีวิตนี้ป้าไม่มีทางลืมได้เลย!”


“ป้าเล่ามาให้ผมฟังอย่างละเอียดด้วย!” มั่วมั่วพูดเสียงเข้มขึ้นมาอีก ใช้วิชาลี้ลับมหัศจรรย์ของลัทธิเต๋าข่มขวัญจิตใจของอีกฝ่าย “อย่าได้ปิดบังสิ่งใด มิเช่นนั้นคงได้เสียเลือดเสียเนื้อ”


“เข้าใจแล้ว! เข้าใจแล้ว!” ป้าตัวสั่นเทา ไม่สนใจลุกขึ้นมา ก้มหน้าพลางตอบ “นั่น นั่นเป็นเรื่องเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนแล้ว”


เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ในหมู่บ้านหลี่ว์เคยเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้นเรื่องหนึ่ง


นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั่วทั้งหมู่บ้านหลี่ว์ก็เดือดร้อนวุ่นวายไปทั่ว ผู้คนต่างหวาดกลัวตื่นตระหนก เอาแต่หลบซ่อนอยู่แต่ในบ้านตัวเอง


ป้าถอนหายใจพลางพูด “ป้ายังจำได้ว่าวันนั้นก็เหมือนกับคืนนี้ พายุฝนตกลงมากะทันหัน เรือเล็กริมฝั่งพลิกคว่ำ ท้องฟ้าพลันมีเสียงฟ้าผ่าคำรามดังลั่น ดีนะที่ผ่าลงบนก้อนหินใหญ่ตรงผาฟังเสียงคลื่นพอดี แล้วมันก็กลิ้งตกทะเลไป…”




“ที่นี่ก็คือผาฟังเสียงคลื่น”


หลี่ว์อีอวิ๋นกำลังชี้ไปที่หน้าผาตรงหน้า ตรงนั้นมีเสียงคล้ายนกขมิ้น แต่งแต้มด้วยความสดใสที่มีเฉพาะสาวแรกรุ่นล่องลอยมาตามสายลม “เมื่อสิบปีก่อนเพิ่งมีการสร้างเส้นทางบนภูเขาเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวค่ะ สมัยฉันยังเป็นเด็ก จะปีนขึ้นเขาทีก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ครึ่งวันเลยค่ะ”


รถขับขึ้นไปตามทางสายเล็กๆ ที่สร้างทอดตัวยาวตามภูเขา ลั่วชิวกำลังมองดูความงดงามของสองข้างทาง พลางถามขึ้นด้วยสนใจ “ทำไมผาแห่งนี้เหมือนขาดแหว่งไปมุมหนึ่ง?”


หลี่ว์อีอวิ๋นตอบ “ได้ยินว่า เมื่อนานมาแล้วที่นี่มีฟ้าผ่าใส่ค่ะ”


“ฟ้าผ่า?” เริ่นจื่อหลิงนิ่งอึ้ง


หลี่ว์อีอวิ๋นพยักหน้า


แล้วหลีจื่อก็ร้องตกใจทันที “พวกคุณดูนั่นสิคะ บนยอดผานั่นมีใครยืนอยู่หรือเปล่า?”


ทุกคนมองไปพร้อมกัน หลี่ว์อีอวิ๋นรีบร้องตกใจทันที “คุณพ่อ!!”


*เกิดวันที่สิบห้าเดือนอ้ายตามปฏิทินจันทรคติ เป็นความเชื่อคนในชนบท ลูกชายที่เกิดเดือนอ้ายขัดขวางความเจริญพ่อแม่และลูกสาวที่เกิดวันที่สิบห้าเดือนอ้าย (ตรงกับเทศกาลหยวนเซียว) จะชอบเที่ยวเล่นสนุกไปทั่ว ไม่เป็นมงคล



บทที่ 8 ตำนาน (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

สี่สิบกว่าปีก่อน ที่หมู่บ้านหลี่ว์เคยเกิดเรื่องน่ากลัวเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่เรื่องที่ผาฟังเสียงคลื่นถูกฟ้าผ่า ทว่าสำหรับคนหมู่บ้านหลี่ว์ นั่นอาจจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นหนึ่ง


หลังจากนั้นมา โรคประหลาดบางอย่างก็เริ่มลุกลามในหมู่บ้านประมงที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนี้ เริ่มตั้งแต่คนแก่ที่ใช้ชีวิตลำพัง วัยรุ่นที่แข็งแรง ไปจนถึงเด็กเล็ก


“โรคประหลาด? โรคแบบไหนกัน?”


มั่วมั่วขมวดคิ้วมุ่น


แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแล้ว แต่พอคุณป้าคนนี้นึกถึง บนใบหน้าก็ฉายแววความหวาดกลัว เธอพูดเสียงสั่นเครือว่า “นั่นไม่ใช่โรคประหลาด! นั่นคือคำสาปของผีปีศาจ! ใช่! เป็นคำสาป! ฉันเห็นกับตาตัวเองมาแล้ว! พี่ของฉัน! น่ากลัวมากเลย! น่ากลัวมากๆ!! พวกมัน…พวกมันไม่ใช่คน! พวกมันเป็นปีศาจ!”


“เงียบ!” มั่วมั่วตะคอกเสียงต่ำคำหนึ่ง บนปลายนิ้วมีแสงสีทองแวบผ่านไป แล้วกดที่ระหว่างคิ้วของคุณป้าอีกครั้ง


คุณป้าคนนั้นถึงได้สงบลงมาเล็กน้อย แต่บนใบหน้ายังมีท่าทางตกใจกลัวปรากฏให้เห็น เธอเบิกตาโตพลางพูดว่า “ตอนแรกเป็นมือสองข้าง จากนั้นก็เป็นขาสองข้าง! บางสิ่งที่มีรูเยอะๆ แข็งเหมือนเขากวางงอกออกมา จนสุดท้ายมือและขาทั้งสองข้างก็กลายเป็นบางสิ่งที่คล้ายกับปะการังก้นทะเล!”


พอป้าหันหน้ากลับมา ก็ยื่นนิ้วมือที่กำลังสั่นเทิ้มชี้ไปที่มุมหนึ่งของห้อง “วันนั้น ฉันเข้ามา ฉันก็มองเห็น! หลบอยู่ที่นี่! เธอหลบอยู่ที่ข้างหลังประตู งอตัวลงมา…เธอมองดูฉัน ทั้งน่าตกใจทั้งน่าหวาดกลัว ฉันตกใจแทบขาอ่อน…แล้วฉันก็วิ่งหนีออกไป”


มั่วมั่วไม่พูดไม่จา หลังจากป้าคนนั้นสงบลงแล้วถึงได้พูดต่อ “เป็นการลงโทษของเทพใต้ทะเล! หวงเหล่าเซียนกูกล่าวเอาไว้ เป็นพวกเราที่ไม่เคารพเทพทะเล ดังนั้นถึงได้ให้บทลงโทษแบบนี้กับพวกเรา!”


“หวงเหล่าเซียนกูนี่ใครกันอีกล่ะ?” มั่วมั่วถามทันที


คุณป้าตอบ “เป็นร่างทรงชรา เธอแม่นมาก สามารถเสี่ยงทายได้ สามารถเชิญคนตายขึ้นมาได้! เด็กเล็กๆ ในหมู่บ้านเพิ่งครบเดือน ถ้าถูกทำให้ตกใจกลัวแล้ว ก็จะขอให้หญิงชราอย่างเธอ ‘ร้องเรียกขวัญ’ ”


มั่วมั่วกลับแสยะยิ้มอยู่ในใจ หวงเหล่าเซียนกูเหรอ? หวงเหล่าเซียนกูลวงโลกน่ะสิ? หลายสิบปีก่อน


แผนชั่วที่แกล้งทำผีหลอกลวงในหมู่บ้านล้าหลังที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ใช่สิ่งที่สืบทอดกันต่อมาจากลัทธิเต๋าแต่ละสำนัก บางอย่างเป็นความรู้ผิวเผินที่ไม่รู้ว่าเรียนมาจากที่ไหน บางอย่างก็เป็นการแสดงปาหี่ที่เอาไว้หลอกลวงผู้คน


“ต่อจากนั้นล่ะ?”


คุณป้ามองมั่วมั่วอยู่แวบหนึ่งด้วยสีหน้าสงสัยเต็มเปี่ยม แต่ว่าดวงตาทั้งสองที่เด็ดขาดยุติธรรมของเขา ทำให้เธอไม่กล้าปิดบัง จึงพูดด้วยเสียงต่ำๆ “หวงเหล่าเซียนกูบอกว่า อยากให้ความโกรธของเทพทะเลสงบลงมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือมอบภรรยาที่เทพทะเลถูกใจ ไม่อย่างนั้นทั้งหมู่บ้านหลี่ว์ของพวกเราจะถูกคำสาปครอบงำ สุดท้ายก็จะกลายเป็นหินปะการังขยับเขยื้อนไม่ได้ทีละคนทีละคน!”


“ภรรยาของเทพทะเลนี่มันเรื่องอะไรกันอีก?” มั่วมั่วพูดอย่างไม่เข้าใจ


คุณป้าตอบ “ตั้งแต่โบราณมา คนหมู่บ้านหลี่ว์ของพวกเราจะไม่แต่งงานกับคนนอก…แต่หลายปีก่อนที่เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น คนตกปลาในหมู่บ้านคนหนึ่งแต่งผู้หญิงข้างนอกเข้ามา ที่มาที่ไปของผู้หญิงคนนั้นก็บอกได้ไม่แน่ชัด ได้ยินมาว่าคนตกปลาช่วยขึ้นมาจากริมทะเล”


คุณป้าหยุดไปพักหนึ่งแล้วพูดขึ้น “หวงเหล่าเซียนกูบอกว่า เดิมผู้หญิงคนนั้นจะแต่งงานไปสู่ก้นทะเล แต่ว่าเวลาผ่านเลยไปก็ไปไม่ถึงสักที ที่แท้ถูกคนพากลับบ้านไป แล้วยังแต่งเป็นภรรยาให้กำเนิดลูก เทพทะเลรู้เข้าถึงได้โมโหยกใหญ่! จึงคาดโทษหมู่บ้านหลี่ว์ของพวกเรา!”


“ต่อมาพวกคุณก็เซ่นไหว้ผู้หญิงคนนั้นให้เทพทะเลไปแล้วจริงๆเหรอ?” มั่วมั่วลูบคิ้ว


คุณป้าพยักหน้า พูดเสียงเบา “ก็ตรงผาฟังเสียงคลื่นส่วนที่เคยถูกฟ้าผ่านั่นแหละ…วันนั้นคนทั้งหมู่บ้านมากันหมดเลย พวกเรา พวกเรา…มัดผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ หลังจากทำพิธีไปแล้วรอบหนึ่ง ก็โยนคน…ลงไป”


“คนเลว! เหลวไหลไร้สาระ!!”


ฝ่ามือของมั่วมั่วตบลงบนโต๊ะอย่างแรง พูดสบถว่า “คนอย่างพวกคุณนี่เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา!”


เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง กำลังมองดูคุณป้าที่ไม่กล้าพูดต่อ ก่อนพูดเสียดสีว่า “แล้วยังไงต่อ? คนในหมู่บ้านก็อยู่กันดี?”


คุณป้าถึงได้พูดเห็นด้วยว่า “ต่อมาสาวกของหวงเหล่าเซียนกูก็เอาคนที่ถูกสาปพวกนั้นมารวมตัวกัน แล้วส่งลงไปในทะเลเพื่อเป็นสินเดิมของฝ่ายหญิง…แต่ว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมา คนในหมู่บ้านก็ไม่เคยเจอปัญหาแบบนี้อีกเลย! ทุกอย่างดีขึ้นแล้ว!”


มั่วมั่วหรี่ตา หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักถึงได้ถามว่า “แล้วต่อมาร่างทรงชราคนนั้นล่ะ?”


คุณป้าตอบ “ต่อมา มีทหารจำนวนหนึ่งมาในหมู่บ้าน แล้วจับเธอไป บอกว่าจะทำลายผนึก ความลุ่มหลง ความศรัทธา หรือทำลายพวกวัฒนธรรมเก่าๆ ทั้งสี่อะไรนี่แหละ…”


“โง่เขลา เบาปัญญา เลอะเลือน!” มั่วมั่วส่งเสียงสบถ


แล้วจึงยื่นมือไปตบหน้าผากของคุณป้าคนนั้นเล็กน้อย หลังจากป้าสลบไปถึงได้ถอนหายใจอย่างแรง ก่อนออกจากที่แห่งนี้ไป




หลายปีมานี้ เลขาหมู่บ้านคนใหม่ที่ส่งมาจากข้างนอกเริ่มพัฒนาหมู่บ้านหลี่ว์ให้เป็นสถานที่พักตากอากาศ ผาฟังเสียงคลื่นก็ถูกพัฒนาให้เป็นจุดชมวิวท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังสร้างรั้วป้องกันเอาไว้ที่นี่ แล้วตั้งป้ายหินสลักตำนานที่ผาฟังเสียงคลื่นเคยถูกฟ้าผ่าเอาไว้


หลี่ว์ไห่ที่หลีจื่อกำลังนั่งอยู่บนรั้วกั้นของริมหน้าผาด้วยตัวสั่นเทิ้ม อาจจะร่วงลงไปได้ตลอดเวลา


ตอนนี้หลี่ว์อีอวิ๋นย่อมมีสีหน้าตกใจเป็นธรรมดา


เริ่นจื่อหลิงก็ขับมาอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานนักมินิคลับแมนคันสีแดงก็มาถึงยอดหน้าผา หลี่ว์อีอวิ๋นวิ่งพุ่งลงไปจากรถทันที


ตรงที่หลี่ว์ไห่นั่งยังมีกระป๋องเบียร์กระจัดกระจายเต็มไปหมด


และมีรถจักรยานคันหนึ่งล้มอยู่ข้างๆ คิดดูแล้วคงถูกพายุพัดล้มลงมา


“พ่อ! พ่ออย่าทำเรื่องโง่ๆ นะ!”


หลี่ว์อีอวิ๋นตาแดงก่ำ เธอวิ่งไปอยู่ข้างๆ หลี่ว์ไห่แล้วจับข้อมือข้างหนึ่งของเขาเอาไว้


ยังดีที่หลี่ว์ไห่เหมือนไม่ได้คิดจะต่อต้าน ดวงตาของเขาสะลึมสะลือ ท่าทางกึ่งเมากึ่งมีสติ กำลังมองดูหลี่ว์อีอวิ๋น ผ่านไปสักพักถึงได้สติ “อีอวิ๋น ลูกมาแล้ว…ฮ่าๆ …มาๆ ดื่มเป็นเพื่อนพ่อสักหน่อยสิ ฮ่าๆ …”


“พ่อ พ่อ พ่อลงมาก่อน!”


“ลงมาทำอะไร…ตรงนี้ดีออก ลูกดูวิวนี้สิ สวยมากเลย! ลูกดูทะเลนี่สิ…ลูกลองดูนี่สิ ลมกำลังสบายเลย…”


เกรงว่าหลี่ว์ไห่คงอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งตัวจึงเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน จนตอนนี้ก็ยังไม่แห้งดี เกรงว่าเขาคงทนหนาวมาทั้งคืน ริมฝีปากจึงซีดเผือดไปหมด


ตอนนี้เริ่นจื่อหลิงส่งสายตาให้ลั่วชิวแวบหนึ่งเป็นนัย


ลั่วชิวก็พยักหน้าตอบ แล้วทั้งสองคนก็ย่องไปที่ด้านหลังของหลี่ว์ไห่ พร้อมกับออกแรงจับไหล่ของเขาเอาไว้ แล้วฉุดตัวคนลงมาจากบนรั้วกั้นทันที


หลี่ว์ไห่ที่ถูกกดลงบนพื้นยังมีท่าทางเลอะเลือน


คลานบนพื้นอยู่หลายตลบ ก่อนยื่นมือคิดจะคว้ากระป๋องเบียร์บนพื้นใบหนึ่งเอาไว้


ทันใดนั้น หลี่ว์ไห่ก็หันตัวมาราวกับเป็นบ้าไป เอาแต่ส่ายหัวไปมา พร้อมกับปัดป่ายมือไปทั่ว คำรามเสียงดังว่า “พวกคุณคิดจะทำอะไร! พวกคุณ! พวกคุณมันปีศาจ!! พวกคุณคิดจะทำอะไร!! พวกคุณโยนแม่ของผมลงไปยังไม่พอเหรอ? มาสิ!! โยนพวกเราลงไปด้วยสิ!! พวกคุณมันสัตว์เดรัจฉาน!! มาสิ!! มาเลย…”


เขาร้องไห้โฮยกใหญ่


“มาเลยสิ…”



บทที่ 9 ข้อห้าม

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลี่ว์ไห่เมาอาละวาด หลังจากนั้นไม่ทันไรก็ล้มลงกับพื้น คล้ายกับหลับไปแล้ว


เริ่นจื่อหลิงจึงลองยื่นมือไปแตะบนหน้าผากของเขาดู แต่กลับต้องขมวดคิ้วพูดว่า “ไข้ขึ้นสูงเลย คงตากฝนมาทั้งคืนสินะ…สาวน้อย โรงพยาบาลในหมู่บ้านพวกเธออยู่ที่ไหน?”


หลี่ว์อีอวิ๋นรีบตอบทันที “ไม่มีโรงพยาบาลค่ะ แต่มีคลินิกเล็กๆ ที่นึงค่ะ!”


“อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ”


เริ่นจื่อหลิงจัดการอย่างร้อนรนพลางพูดว่า “ลูกชาย ตอนนี้เธอกับโยวเย่รออยู่ที่นี่ เดี๋ยวฉันพาคนไปส่งคลินิกแล้วจะกลับมารับพวกเธอนะ!”


ลั่วชิวกลับบอกว่า “ไม่ต้องหรอกครับ พวกเราเดินกลับแล้วกัน ทางก็ไม่ได้ไกลมาก”


เริ่นจื่อหลิงไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงพยักหน้าตอบว่า “งั้นก็ได้ อีกเดี๋ยวโทรฯ หานะ”


ลั่วชิวมองส่งรถที่ขับจากไป


ตอนนี้บนผาฟังเสียงคลื่นไม่เหลือใครแล้ว ตอนนี้เป็นเช้าสดใส หากไม่มีเรื่องเมื่อครู่แล้ว น่าจะช่วยให้จิตใจเบิกบานได้บ้าง ลั่วชิวขยับนิ้วมือเล็กน้อย แล้วกระป๋องเบียร์ที่ตกกระจายอยู่บนพื้นก็รวมเป็นกอง แล้วลอยลงไปในถังขยะใกล้ๆ ที่อยู่ข้างศาลาพักผ่อนของนักท่องเที่ยว


ลั่วชิวเดินมาตรงหน้าป้ายหินที่เขียนประวัติความเป็นมาของผาฟังเสียงคลื่นไว้ อ่านบันทึกบนนั้นอย่างละเอียด ก่อนพูดขึ้นว่า “ฟ้าผ่าจริงๆ ด้วยนะ?”


โยวเย่มองดูสภาพแวดล้อมบนยอดหน้าผา จับผมของตัวเองที่พลิ้วตามแรงลม พูดเสียงเรียบเฉยว่า “เกรงว่าที่นี่จะอยู่ตรงตำแหน่งช่องลมพอดี กระแสลมริมทะเลตรงนี้ถึงแรงมาก หินผาบนยอดหน้าผานี้โดนลมโดนฝนมานานหลายปีจนสึกกร่อนไปนานแล้วค่ะ”


คุณสาวใช้ชี้ไปที่หน้าผาพลางพูดขึ้น “ปกติฟ้าผ่ามาพร้อมกับลมพายุฝนกระหน่ำ คิดดูแล้วก่อนหน้านี้หินก้อนนั้นคงเจอฟ้าผ่าจนถล่มลงมาเองค่ะ”


ลั่วชิวพยักหน้า เขาก็คิดแบบนี้เหมือนกัน


ตอนนี้เขาเดินไปที่ริมรั้วราวกั้น ยื่นหัวไปมองข้างล่าง ด้านล่างหน้าผาที่ทอดตัวลงไปก็คือคลื่นทะเลซัดกระหน่ำรุนแรง ยังมีกองหินโสโครกระเกะระกะ ถ้าคนตกลงไปจากตรงนี้คงไม่รอดแน่นอน


มิน่าล่ะ หลี่ว์อีอวิ๋นถึงดูตกใจกลัวแบบนั้น


“เมื่อกี้เขาบอกว่าแม่ของเขาถูกโยนลงจากตรงนี้เหรอ?” ลั่วชิวขมวดคิ้ว


โยวเย่พยักหน้าตอบ “ค่ะ เขาพูดแบบนั้นจริงๆค่ะ…ดูแล้วคงไม่ใช่คำพูดเหลวไหลจากฤทธิ์เหล้าด้วย ความโกรธแค้นแบบนั้นคงพบเจอมากับตัวมั้งคะ”


แล้วลั่วชิวก็พูดขึ้นว่า “ฉันอยากไปดูหมู่บ้านทางนั้นสักหน่อย”




คลินิกเล็กๆ ในหมู่บ้านเปิดกิจการเมื่อยี่สิบปีก่อน เป็นของวัยรุ่นที่กลับมาเปิดหลังจากจบแพทย์ในเมือง


อุปกรณ์การรักษาย่อมเก่าแก่ตามไปด้วย ถึงขนาดมีบางอย่างเป็นชุดที่ตกรุ่นไปบ้างแล้ว แต่เห็นชัดว่ารักษาสภาพไว้ได้ดี ดูออกว่าหมอคนนี้รักและทะนุถนอมสิ่งของพวกนี้อย่างมาก


หมอมีอายุแบบนี้ถึงทำให้รู้สึกสบายใจได้


เขามองหลี่ว์อีอวิ๋นพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่ให้น้ำเกลือแล้วกินยารอไข้ลดสักหน่อย สองสามวันก็หายแล้ว พ่อของเธอร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว ไม่นานอาการก็จะดีขึ้น แต่ยังไงก็ดื่มเหล้าให้น้อยลงนะ พวกเธอดูแลเขาอยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวฉันขอออกไปตรวจคนอื่นก่อน”


“ขอบคุณค่ะ คุณหมอ” หลี่ว์อีอวิ๋นพูดอย่างซาบซึ้งใจ


พอเห็นหลี่ว์ไห่ไม่ได้เป็นอะไรมาก เริ่นจื่อหลิงกับหลีจื่อก็สบายใจ สาวน้อยเองก็มีสีหน้าดีขึ้นมากแล้ว


ต่อมอยากรู้เรื่องชาวบ้านของรองบรรณาธิการเริ่นร้องเรียกอีกแล้ว


เธอมองดูสาวน้อย หรี่ตาพลางถาม “จริงสิ เมื่อกี้พ่อเธอบอกว่าโยนคนลงไป เรื่องอะไรกันเหรอ?”


หลี่ว์อีอวิ๋นนิ่งอึ้ง ส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ฉันว่าพ่อเมาจนพูดเหลวไหลมากกว่าค่ะ”


แววตาของเริ่นจื่อหลิงเปลี่ยนไป ถามขึ้นอีกว่า “เมื่อกี้ที่พ่อเธอตะโกนว่าแม่….งั้นก็เป็นย่าของเธอสินะ? จริงสิ ฉันยังไม่เห็นย่าของเธอเลย?”


หลี่ว์อีอวิ๋นตอบ “ฉันก็ไม่เคยเห็นค่ะ ได้ยินคุณพ่อบอกว่าย่าเสียไปตั้งแต่พ่อยังเด็กๆ แล้ว ฉันก็เคยถามตั้งหลายครั้ง แต่พ่อไม่ค่อยพูดถึงเท่าไร ปู่ก็เหมือนกัน…แต่แม่ฉันเคยพูดถึงนะคะ”


เธอแอบมองด้านนอกประตูห้องผู้ป่วย ราวกับกลัวคนแอบฟัง


ก่อนพูดอย่างระมัดระวังว่า “บอกว่า…บอกว่าถูกคนในหมู่บ้านทำร้ายจนตายค่ะ”


สาวน้อยรวบรวมความกล้าได้ กัดฟันพูดว่า “พี่เริ่น ที่จริงฉันก็อยากรู้มาตลอด ว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณย่า แต่ฉันก็สืบถามไม่ได้เลย ฉันเคยถามพวกเพื่อนนักศึกษาบางคน พวกเขากลับบ้านไปก็เคยถามเหมือนกัน แต่คนในครอบครัวไม่ยอมบอก…ฉัน ฉันก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ”


เริ่นจื่อหลิงถาม “เธอขอให้ฉันช่วยเธอสืบเหรอ?”


สาวน้อยพยักหน้าตอบอย่างจริงจัง “ใช่ค่ะ!


พวกพี่เริ่นเป็นนักข่าว จะต้องมีวิธีมากกว่าฉันแน่…ฉัน ฉันพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ประมาณหนึ่งพันกว่า…”


“ไม่ได้” เริ่นจื่อหลิงส่ายหน้าปฏิเสธ


สาวน้อยพูดอย่างผิดหวัง “น้อยเกินไปจริงๆ สินะคะ…”


เริ่นจื่อหลิงหัวเราะทันที ก่อนยื่นมือออกไปลูบหัวสาวน้อยแล้วพูดว่า “ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะสืบอะไรได้ ขนาดเธอสืบข่าวมาหลายปียังไม่เจออะไรเลย แต่ถ้าฉันสืบได้ เธอต้องเลี้ยงอาหารทะเลมื้อใหญ่ให้ฉันตอนขากลับด้วย!”


“หา! จริงๆ เหรอคะ!” สาวน้อยร้องดีใจ


เริ่นจื่อหลิงพยักหน้าพลางพูด “ฉันไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย อีกสักพักจะกลับมาดูว่าพ่อเธอตื่นหรือยัง ถ้าไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันขับรถไปส่งพวกเธอกลับเอง”


“ได้ค่ะ!”



แทนที่จะบอกว่าเป็นหมู่บ้าน ไม่สู้บอกว่ามีแนวโน้มจะพัฒนาเป็นตำบลดีกว่า


ที่นี่พอเห็นตึกเล็กๆ ที่สร้างเองสองชั้นสามชั้นประปราย จากหมู่บ้านชาวประมงในสมัยก่อนได้เปลี่ยนแปลงจนเห็นร้านอาหารทะเลเล็กๆ ให้กินเต็มท้องถนนแล้ว โรงแรมเล็กๆ ก็มีเยอะด้วยเช่นกัน


เมื่อกี้นี้ลั่วชิวยังได้เห็นสถานที่เหมือนบาร์แห่งหนึ่งด้วย เพียงแต่ยังไม่เปิดร้าน


ฝั่งนี้ไม่เงียบเหงาเหมือนบ้านพักตากอากาศของหลี่ว์ไห่เลย บนถนนยังพอพบเจอกับนักท่องเที่ยวต่างถิ่นประปราย น่าจะเพิ่งมาพักร้อน คนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งเริ่มวางแผนออกจากที่นี่ไปดื่มด่ำกับหน้าร้อนกันแล้ว


เจ้าของร้านลั่วเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ที่แผงลอยริมถนน


“พ่อหนุ่มคนนี้ ต้องการพักค้างแรมไหม? โรงแรมของเราปลอดภัยมากเลยนะ บริการเรื่องเดียว! อย่างที่คุณรู้นั่นแหละ!”


เถ้าแก่นักธุรกิจวัยกลางคนฟันเหลืองเต็มปากยิ้มแฉ่งพลางร้องเรียก


ลั่วชิวมองพิจารณาสถานที่ด้านหลังของเขาแวบหนึ่ง…ที่นี่เป็นโรงแรมปรับปรุงใหม่ขนาดกลาง


“ผมบอกคุณเลยนะ บริการของพวกเราอย่างเด็ด! หนุ่มน้อยที่มาเมื่อกี้ยังยิ้มปริ่มเลย!”


ลั่วชิวยิ้มถาม “งั้นเหรอครับ? ทำไมล่ะครับ?”


เถ้าแก่เดินเข้ามาหาเงียบๆ หัวเราะคิกคักพลางพูดกระซิบเสียงเบาข้างหูลั่วชิว “พ่อหนุ่ม ผมจะบอกให้ฟังนะ คุณอย่าบอกว่าผมพูดให้คุณฟังนะ ฮิๆ หนุ่มน้อยคนเมื่อกี้นี้ถามหาป้าแก่ๆ ฟันร่วงหมดปาก! คึกคักมีความสุขเชียวล่ะ!”


เจ้าของสมาคมที่เจอคนมามากก็คิดไตร่ตรอง ก่อนนิ่งอึ้งไป ลอบคิดว่าความปรารถนาของมนุษย์….ต่างคนก็ต่างกัน


เขาส่ายหัว แล้วหมดความสนใจไป


“ขอโทษนะครับ ผมแค่มาเดินเล่นเฉยๆ” ลั่วชิวตอบ


พอเห็นเขาจะเดินไปแล้ว เถ้าแก่ก็ร้อนใจทันที รีบดึงมือเอาไว้พลางพูดขึ้น “เดี๋ยว พ่อหนุ่ม! อย่าเข้าใจผิดนะ โรงแรมของพวกเราไม่ใช่แบบนั้น! แต่เป็นคำขอพิเศษของลูกค้าคนนั้น ผมแค่อยากบอกคุณว่า ผมหาให้ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าคุณต้องการแบบไหนก็ตาม!”


“มีเรื่องอะไรหรือคะ?”


พอเห็นเจ้านายของตนเองถูกคนทางนี้ดึงรั้งตัวไว้


คุณสาวใช้ที่กำลังดูเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยของท้องถิ่นอยู่บนแผงลอยเล็กๆ ก็เดินเข้ามาหา


พอเถ้าแก่เห็นปุ๊บก็ไม่อาจละสายตาไปได้…ในใจคิดว่านี่เป็นผู้หญิงจากไหน แบบนี้ไม่มีทางหาได้ที่หมู่บ้านหลี่ว์แน่นอน!


“ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ” ลั่วชิวส่ายหน้า


โยวเย่พยักหน้า แล้วเดินมาข้างๆ ลั่วชิว


เถ้าแก่โรงแรมก็ไม่ได้โกรธอะไรเลย ก็จริงนี่ ถ้าข้างกายเขามีผู้หญิงแบบนี้สักคน คงไม่สนใจผู้หญิงที่ไหนแล้วจริงๆ


เขายอมแพ้แล้ว!


และในตอนนั้นเอง โรงแรมนี้ก็มีป้าคนหนึ่งแต่งตัวงดงามไม่เข้ากับอายุออกมา มือข้างหนึ่งดึงหูเถ้าแก่คนนี้ไว้ พูดตวาด “เจ้าตัวแสบนี่ แกคิดจะให้ฉันเสียเวลามาใช่ไหม? ลูกค้าอะไรของแก! เป็นพวกหลอกลวงต้มตุ๋น ทำฉันตกใจหมด!! คนหนีไปแล้ว!”


“อะไรนะ? ป้า? คนหนีไปแล้ว?” เถ้าแก่นิ่งอึ้ง


ป้าออกแรงดึงหูของเถ้าแก่คนนี้พลางพูดขึ้นว่า “ก็ใช่น่ะสิ ฉันหลับปุ๋ยเลย! ไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มนั่นทำอะไรฉันบ้าง! เอาแต่ยิงคำถามใส่ ฉันก็เบลอๆ ไม่รู้ว่าพูดอะไรไปบ้าง! ไม่ใช่ว่าแกเจอพวกต้มตุ๋นหรอกเหรอ!”


เถ้าแก่บอก “ไม่หรอกมั้ง! เขาจ่ายเงินแล้วเห็นๆ นะ!”


พูดไปพูดมา เถ้าแก่คนนี้ก็เปิดกระเป๋าคาดเอวของตนเอง ก่อนควานล้วงไปพลางพูดว่า “คนนั้นมันตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่เลยนะ…บ้าเอ๊ย อะไรวะเนี่ย! ตอนนั้นก็เห็นชัดๆ ว่า…”


ธนบัตรสีแดงๆ หายไปแล้ว เหลือแค่ใบไม้ปึกหนึ่งเท่านั้น


แล้วป้านั่นก็ทำเสียงแหลมพร้อมพูดว่า “ฉันว่าแล้ว หมอนั่นเป็นพวกต้มตุ๋นแน่นอน! ไม่รู้ว่าใช้ยาอะไรป้ายให้มึนงงหรือเปล่า! ตอนนี้ฉันยังมึนไม่หายเลย! แกถูกหลอกแล้วล่ะ!”


“ไม่ใช่หรอกมั้ง?” ทางเถ้าแก่รีบถามต่อ “ป้า เขาทำอะไรป้าหรือเปล่า? ถามอะไรบ้างล่ะ?”


“ลืมแล้ว เหมือนเล่าเรื่องของหวงเหล่าเซียนกูไปละมั้ง” ป้ากุมขมับพลางพูดขึ้น


“อะไรนะ? พูดเรื่องนั้นไปแล้ว”


เถ้าแก่วัยกลางคนชะงักทันที


เขามองเห็นพ่อหนุ่มที่รั้งไว้เมื่อกี้กับหญิงสาวที่ยังยืนนิ่งๆ และกำลังมองดูพวกตนสองคนคุยกันมาโดยตลอด จึงรีบก้มหน้าลง ก่อนผลักป้าเข้าไปในโรงแรมแล้วปิดประตูทันที



ลั่วชิวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หลังจากมองโรงแรมแห่งนี้อีกแวบหนึ่ง ถึงได้หันไปมองพวกร้านหาบเร่ที่ตะโกนเรียกลูกค้าบนทางยาวสายนี้ แล้วก็เหมือนคิดอะไรออก


เขาเดินไปข้างหน้าตรงแผงลอยเล็กๆ ที่หนึ่งทันที แล้วพิจารณาอย่างแปลกใจ


“พ่อหนุ่ม อยากซื้อบอลไหมพรมไหม? ซื้อบอลไหมพรมให้หญิงที่ชอบสักลูก พวกเธอก็จะมีบุพเพสันนิวาสต่อกัน!”


ที่นั่งอยู่ตรงแผงลอยคือยายแก่คนหนึ่ง ตอนนี้ยังถักบอลไหมพรมลูกใหม่


ลั่วชิวนั่งยองๆ ลง หยิบขึ้นมาดูลูกหนึ่งอย่างสนใจ พร้อมกับถามว่า “คุณยายครับ บอลไหมพรมขายยังไงครับ?”


“ลูกเล็กห้าหยวน ลูกใหญ่ยี่สิบหยวน ถูกมากเลยนะ!”


“ผมเอาลูกเล็กลูกหนึ่งครับ” ลั่วชิวพูดยิ้มๆ


“จริงสิครับ ผมขอถามคุณป้าสักเรื่อง”


“อ่ะ…อ๋อ ได้สิ ถามมาเลย” พอเห็นว่าขายได้แล้ว คุณยายก็ยิ้มแป้นรับปาก


ลั่วชิวถาม “คุณป้ารู้จักหวงเหล่าเซียนกูไหมครับ?”


นึกไม่ถึงว่าพอคุณยายได้ยินชื่อนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เธอไม่พูดอะไรสักคำ กลับคว้าบอลไหมพรมในมือลั่วชิวกลับมาทันที “ฉันไม่ขายให้เธอแล้ว เธอไปซะ เธอไปซะ!”


“ผู้อาวุโส?”


แต่คุณยายคนนี้กลับเก็บแผงลอยขายของอย่างคล่องแคล่ว ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปในซอยเล็กๆ ทันที


ก่อนไปก็หันกลับมามองอย่างตึงเครียดแวบหนึ่ง


“นายท่าน?”


ลั่วชิวพูดพึมพำ “เธอไปสืบดูให้หน่อยสิ หวงเหล่าเซียนกูนี่เป็นใครมาจากไหนกันแน่”


“ทราบแล้วค่ะ”



บทที่ 10 ของที่ห่อเอาไว้ใต้ธงพื้นขาววงกลมสีแดง

โดย

Ink Stone_Fantasy

บอกว่าจะไปเดินเล่นข้างนอกหน่อย ทว่าเริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อกลับไม่ได้ออกจากคลินิกเล็กๆ แห่งนี้ไปเลย แต่แอบมายังห้องที่หมอตรวจคนไข้


รองบรรณาธิการเริ่นเป็นคนประสาทสัมผัสว่องไวมาก


เธอติดใจบางเรื่องจากที่หลี่ว์อีอวิ๋นเล่า เหมือนว่าคนในหมู่บ้างหลี่ว์จะหลีกเลี่ยงเรื่องการตายของคุณย่าเธอ


ขนาดเด็กที่เกิดและเติบโตอยู่ที่นี่เจ็ดแปดปีแล้ว แต่กลับสืบสาวเรื่องราวไม่ได้ แล้วคนนอกอย่างเธอจะสืบในระยะเวลาอันสั้นได้ง่ายดายเหรอ นอกจากนี้หมู่บ้านปิดที่เพิ่งพัฒนาไม่นานแบบนี้ เกรงว่าคงจะมีความเคยชินและประเพณีนิยมเหลือไว้ค่อนข้างมาก


ถ้าคนในหมู่บ้านช่วยกันปิดเรื่องนี้ อย่างนั้นก็หาคนที่เข้าหาได้ง่าย ความคิดค่อนข้างเปิดกว้างถามดูสักหน่อย


ด้วยแพทย์ประจำคลินิกเคยไปเรียนการแพทย์แผนตะวันตกนอกเมืองสมัยเป็นวัยรุ่น เริ่นจื่อหลิงจึงเชื่อว่าแพทย์ประจำคลินิกคนนี้เป็นคนคิดนอกกรอบ อีกทั้งยังเชื่อในหลักวิทยาศาสตร์มากกว่าประเพณีนิยม


“แม่ของหลี่ว์ไห่ตายไปเพราะอะไร?”


ด้วยผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่านักข่าวคนนี้ถามคำถามนี้อย่างฉุกละหุก แพทย์ประจำคลินิก…หลี่ว์เฉาเซิงจึงประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด


หลี่ว์เฉาเซิงขมวดคิ้วพูด “คุณผู้หญิงครับ คุณถามไปทำอะไรครับ? นั่นคือคนที่ตายไปแล้ว ถ้าคุณอยากจะเขียนบทความของเธอ ก็น่าจะไม่จำเป็นแล้ว นี่ถือว่าไม่เคารพผู้ตายนะครับ คุณไม่คิดว่ามันผิดเหรอครับ?”


เริ่นจื่อหลิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “คุณหมอหลี่ว์ คุณเรียนการแพทย์ตะวันตก หรือว่าเชื่อสิ่งลี้ลับแบบนี้ด้วยเหมือนกัน?”


หลี่ว์เฉาเซิงส่ายหน้า “เรื่องให้เกียรติเป็นเพียงแค่การบ่ายเบี่ยงเท่านั้น ความหมายของผมก็คือมันเป็นเรื่องของศีลธรรม”


เริ่นจื่อหลิงกลับตอบว่า “อย่างนั้นพวกคุณปิดบังเด็กสาวคนหนึ่งด้วยวิธีร้อยแปดประการ ไม่ให้เธอรู้ความจริงของการตายของญาติสนิท ก็ถือว่ามีศีลธรรมเหรอ?”


หลี่ว์เฉาเซิงพูดสิ่งที่คิดเอาไว้แล้วว่า “เจ้าเด็กอีอวิ๋นคนนั้นให้พวกคุณมาถามล่ะสิ”


เริ่นจื่อหลิงพยักหน้าตอบ “ดูแล้วคุณหมอหลี่ว์เป็นคนเข้าใจอะไรง่ายดีนี่คะ”


หลี่ว์เฉาเซิงถอนหายใจพลางพูดว่า “ความจริง พวกคุณไม่ใช่คนแรกที่มาหาผมหรอก เด็กคนนั้นเองก็แอบมาถามผมหลายครั้งแล้ว”


เขาส่ายหน้าพลางพูดว่า “เด็กคนนั้นเพิ่งจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย…อืม ตอนนี้ก็โตแล้ว ความจริง ความจริง ก็มีสิทธิ์รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนั้นได้แล้ว”


หลี่ว์เฉาเซิงสูดหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่ง “เอาเถอะ ผมจะบอกพวกคุณก็แล้วกัน แต่ว่าขอให้พวกคุณใจเย็นๆ หน่อย ยังไงเรื่องนี้ก็เป็นผ่านไปแล้ว”


หลี่ว์เฉาเซิงเดินไปหน้าตู้ที่อยู่ข้างๆ ย่อตัวลงพร้อมกับเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุด หยิบของที่ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ออกมา


เขาเปิดของที่อยู่ข้างในออกช้าๆ ต่อหน้าเริ่นจื่อหลิง ถอนหายใจพลางพูดว่า “พูดไปแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเมื่อสี่สิบห้าปีก่อนหน้านี้”


เริ่นจื่อหลิงสายตาเป็นประกายทันที เธอรู้ว่าตัวเองโจมตีครั้งแรกก็โดนเป้าแล้ว!




นี่คือซากหลังจากที่ตึกถูกเผามอดไปแล้ว


ท่อนไม้สีดำที่ถูกไฟมหาศาลเผาไหม้ ได้มอดไหม้กลายเป็นสารอาหารที่ให้พืชพันธุ์เติบโต อิฐที่ล้มลงมากระจัดกระจายกันออกไป ทำให้ที่นี่ไม่เหลือเค้าเดิมมาตั้งนานแล้ว


เพียงแต่คาดคะเนจากร่องรอยและเค้าโครงบางอย่างของพวกมัน เมื่อหลายสิบปีก่อนตึกนี้คงจะถือได้ว่าร่ำรวยมีเกียรติทีเดียว


ลั่วชิวหยิบอิฐที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำบนพื้นขึ้นมาก้อนหนึ่ง


โยวเย่ที่ข้างกายเจ้านายพลันพูดอย่างแผ่วเบา “ได้ยินมาว่าหลังจากหวงเหล่าเซียนกูคนนั้นถูกทหารพาตัวไปแล้ว ทหารรักษาการณ์พวกนั้นก็จุดไฟเผาที่นี่ราบเป็นหน้ากลอง”


“อืม…” ลั่วชิวโยนอิฐในมือทิ้งไป ปัดฝุ่นที่อยู่บนมือ แล้วจึงเดินเข้าไปในซากที่ถูกไฟเผา พร้อมกับพูดว่า “ผู้หญิงที่ถูกส่งไปบูชา คงจะเป็นแม่ของหลี่ว์ไห่ล่ะมั้ง”


โยวเย่พยักหน้า “ได้ยินว่าเป็นผู้หญิงที่มีที่มาที่ไปไม่แน่ชัด หมู่บ้านหลี่ว์แต่ไหนแต่ไรก็ไม่แต่งงานกับคนภายนอก ฉันว่าร่างทรงชราคนนั้นคงจะมองเห็นจุดนี้ ดังนั้นถึงได้ใช้เหตุผลข้อนี้มาทำเรื่องนี้ล่ะมั้งคะ”


ลั่วชิวชะงักไป พูดอย่างประหลาดใจว่า “ถ้าหมู่บ้านหลี่ว์ไม่ต้อนรับคนข้างนอก แล้วทำไมหวงเหล่าเซียนกูคนนี้ถึง…”


โยวเย่เหมือนกับคิดไว้แต่เนิ่นแล้วว่าเจ้านายจะถามแบบนี้ เธอจึงพูดตอบเสียงเบาๆ “คืออย่างนี้นะคะ หวงเหล่าเซียนกูคนนี้เป็นคนของหมู่บ้านหลี่ว์อยู่แล้ว เดิมก็แซ่หลี่ว์ ต่อมาเธอก็เปลี่ยนเป็นแซ่หวง บอกว่ามีเทพเข้าฝันเธอ บอกว่าชาติก่อนเธอเป็นลูกของเทพเซียนจริงๆ เพราะว่าละเมิดกฎสวรรค์ถึงได้ตกลงมาบนโลกมนุษย์ ทำให้เธอมาประสบเคราะห์กรรมบนโลกมนุษย์ มีเพียงให้วิบากกรรมผ่านไปถึงกลับสวรรค์ได้ ต่อมาก็เป็นการแสดงละครปาหี่”


ลั่วชิวพยักหน้า แล้วสายตาของเขาก็หันไปมองที่ตำแหน่งหนึ่งทันที


นั่นเป็นกำแพงด้านหนึ่งที่ยังไม่ถล่มลงมาทั้งหมด


โยวเย่มองกำแพงนั้น พร้อมพูดเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อยว่า “ใครแอบอยู่ตรงนั้น?”


ปลายนิ้วของคุณสาวใช้มีเปลวไฟสีดำเล็กๆ ออกมาอย่างเงียบเชียบ


แต่ทว่าหลังกำแพงนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังออกมา “รุ่นพี่อย่ากังวลไป รุ่นน้องเอง!”


ใบหน้าหลังกำแพงโผล่ออกมา ที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือผู้สืบทอดปรมาจารย์เขาพยัคฆ์มังกร


ลั่วชิวตกตะลึง


เขาเผลอพูดว่า “อ้อ ที่โรงแรมนั้น…อืม คนที่หาป้าแก่ๆ เป็นคุณจริงๆ ด้วยสินะ”


พอมั่วมั่วที่หนีออกมาได้ยินเข้า ก็รู้สึกหน้าแตกยับเยินทันที เขารีบโบกมือสองข้างอย่างตกใจ “รุ่นพี่! พี่ฟังผมอธิบายก่อน! เรื่องมันไม่ได้เป็นแบบที่พี่คิด!!”


มั่วมั่วกลุ้มใจมากจริงๆ เลย!


ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป แล้วส่งต่อไปถึงดินแดนฝึกตนของสวรรค์ จนกระทั่งไปถึงหูของอาจารย์ที่ฝึกตนตัดขาดจากโลกภายนอกบนภูเขา อย่างนั้นชื่อเสียงตลอดชีวิตนี้ผู้สืบทอดปรมาจารย์เขาพยัคฆ์มังกรคงได้หายไปหมดพอดี?!


พอเห็นลั่วชิวดูไม่ค่อยเชื่อเขาเท่าไร มั่วมั่วจึงคอตก พูดคล้ายจะร้องไห้ “จริงๆ …ไม่เหมือนกับที่พวกรุ่นพี่คิดไว้จริงๆ นะ!”


เจ้านี่…ดูบ้าๆ บอๆ แฮะ


เจ้าของร้านลั่วกำลังแอบคิดอยู่…เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ถึงแม้ว่าคุณจะมีงานอดิเรกอะไรเป็นพิเศษ ผมก็ไม่สนใจอยากรู้ แล้วก็ไม่คิดจะบอกคนอื่น”


“…ไม่ใช่แบบที่พี่คิดจริงๆ นะ รุ่นพี่!”



ถ้าบอกว่ามั่วมั่วรู้สึกถึงความน่าเคารพยำเกรงของรุ่นพี่ อย่างนั้นผู้หญิงที่เจอหน้ากันเป็นครั้งแรกคนนี้ กลับทำให้เขารู้สึกราวกับว่าจิตอันบริสุทธิ์จะพังทลายได้ทุกเมื่อ


แต่ผู้หญิงคนนี้…เหมือนจะเชื่อฟังรุ่นพี่คนนี้เป็นหลักนะ


เหมือนกับคนรับใช้อย่างนั้น


มั่วมั่วยิ่งไม่แน่ใจเรื่องที่มาที่ไปของรุ่นพี่ท่านนี้…หรือว่าจะเป็นคนแก่ที่มีวิชาคืนวัยเยาว์อะไรแบบนั้น?


ถึงแม้จะได้ยินอาจารย์เคยพูดเอาไว้ ตอนนี้เทียบไม่ได้กับยุคโบราณ พรรคมากมายสูญสลายไปแล้วในสายธารแห่งประวัติศาสตร์ สุดยอดเคล็ดวิชาจำนวนไม่น้อยก็สูญหายไปแล้ว แต่ดินแดนที่กว้างใหญ่สมบูรณ์ของสวรรค์ อาจจะมีคนที่ถ่ายทอดการบำเพ็ญเพียรอยู่ก็ได้


เขายังคิดว่าอยากจะประลองฝีมือกับรุ่นพี่คนนี้ให้เต็มที่สักรอบ พิสูจน์ความสามารถของตัวเองแบบเงียบๆ แต่ตอนนี้ได้เก็บความคิดนี้ไว้ในใจก่อน “รุ่นพี่ พี่ก็มาสืบสาวราวเรื่องของคุณยายร่างทรงชราคนนี้เหมือนกันล่ะสิ”


ในเมื่อไม่อาจหาอะไรมาแก้ตัวได้ งั้นก็…เปลี่ยนเรื่องพูดไปเลยเป็นไง?


“มาดูเพราะอยากรู้น่ะ” ลั่วชิวพยักหน้า


มั่วมั่วยิ้ม แล้วถึงได้กระโดดออกมาจากหลังกำแพงนั้น “ผมก็คิดว่าใช่ พูดตรงๆ เลยนะ เมื่อกี้ผมยังคิดอยู่เลย ว่าถ้าเป็นรุ่นพี่คงหาที่แห่งนี้เจอได้อย่างรวดเร็ว”


ลั่วชิวกำลังมองดูมั่วมั่วที่มาถึงก่อนตัวเอง พลันฉุกคิดบางอย่างได้ จึงพูดว่า “คุณเจออะไรบ้างหรือเปล่า?”


ในตอนนี้มั่วมั่วหัวเราะแหะๆ พลางพูดว่า “ครับ ผมเจอบางอย่างแล้ว รุ่นพี่เชิญตามผมมา!”


มั่วมั่วนำทางทั้งสองคนมาที่ด้านหลังกำแพงนั้น เขากำลังมองดูพื้นที่ว่างที่ถูกมั่วมั่วจัดการไปก่อนหน้านี้ไม่นาน


พื้นที่ว่างที่เพิ่งจะถูกจัดการไปมีดินเป็นสีดำเกรียม แล้วมั่วมั่วก็หัวเราะเบาๆ “ได้ยินมาว่าที่นี่ในปีนั้นเคยถูกทหารทำลายไป ของทุกอย่างก็ถูกเอาไปแล้ว…แต่ว่าใต้ดินนี้เหมือนจะฝังของที่ยังไม่ถูกค้นพบเอาไว้”


ลั่วชิวไม่ได้ถามมั่วมั่วว่ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง เพียงแค่ดูการกระทำต่อมาของมั่วมั่วอย่างเงียบๆ


มั่วมั่วจับข้อมือขวาด้วยมือซ้าย แล้วเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางของมือขวามาชิดกันเป็นรูปร่างของดาบ จากนั้นก็แตะไปตรงหว่างคิ้วของตัวเอง


แสงสีทองแสงหนึ่งสว่างวาบและหายไปที่ปลายนิ้วของเขา จากนั้นมั่วมั่วก็ใช้นิ้วมือชี้ไปที่พื้นที่ว่างด้านหน้าอย่างรวดเร็ว “ห้าภูตเคลื่อนย้าย!”


เขาพยัคฆ์มังกรจับภูตผีปราบปีศาจ เหมือนจะมีวิธีเลี้ยงผีรับใช้ด้วย


ที่เรียกว่าห้าภูต…ลั่วชิวกลับมองไม่เห็นว่ามีภูตผีห้าตัว แต่เห็นแค่หมอกดำกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากถุงผ้าตรงเอวของมั่วมั่วอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าไปในกลางพื้นดินโคลนนี้


หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีอะไรบางอย่าง กระแทกขึ้นมาจากด้านในดินโคลนช้าๆ แล้วก็ทะลุโผล่ขึ้นมา


นั่นคือกล่องใบหนึ่ง


มั่วมั่วโบกนิ้วมือเล็กน้อยอีกครั้ง ตัวล็อกกล่องใบนั้นก็เด้งเปิดโดยอัตโนมัติ แล้วหมอกดำกลุ่มนั้นก็ไปหมุนอยู่ที่ข้างบนกล่อง จากนั้นกล่องก็เปิดออกมา


ถึงแม้ว่าจะสู้พลังจิตของลั่วชิวไม่ได้ แต่ก็ค่อนข้างสะดวกดี


หมอกดำหมุนอยู่กลางอากาศอีกหนึ่งรอบ แล้วก็ม้วนเข้าไปในถุงผ้าตรงเอวของมั่วมั่ว


มั่วมั่วเลิกคิ้วต่อหน้าของลั่วชิวอย่างพึงพอใจ ราวกับเด็กบ้าเห่อคนหนึ่งไม่มีผิด


ลั่วชิวกลับไม่สนใจความพอใจเล็กๆ น้อยๆ ของมั่วมั่ว เพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น


หลังจากกล่องใบนี้เปิดออก สิ่งที่เห็นก็คือลวดลายบนผ้าผืนหนึ่ง…พื้นหลังสีขาว วงกลมสีแดง


นี่เกรงว่าจะเป็นธงของประเทศที่เป็นเกาะบางแห่งซึ่งเห็นได้บ่อยล่ะมั้ง?


มั่วมั่วสังเกตเห็นผ้าผืนนี้ เขาเลิกคิ้วพลางพูดว่า “นี่…ร่างทรงชราคนนี้นี่มันยังไงกันแน่ ทำไมในกล่องที่ฝังในบ้านถึงได้มีของแบบนี้?”


“ข้างล่างยังคลุมของเอาไว้อีก” ลั่วชิวพูด “ดูหน่อยสิว่าเป็นอะไร”


สาวใช้เข้าใจ จึงรีบเดินไปข้างหน้ากล่อง ก่อนยื่นมือไปเลิกผ้าผืนนี้ออก เห็นแค่ในกล่องใบนี้สร้างช่องกว่าสิบช่องผสมปนเปกันอย่างซับซ้อน


ตรงกลางช่องพวกนี้ มีแค่ช่องเดียวในแถวบนสุดที่ว่างเปล่า และในช่องที่เหลืออยู่ ยังมีหลอดทดลองทางเคมี วางไว้เป็นหลอดๆ


โยวเย่หยิบหลอดทดลองหลอดหนึ่งในนั้นออกมาอย่างสนอกสนใจ สังเกตดูโดยวางเอาไว้ใต้แสงอาทิตย์


ที่ใส่ไว้ในหลอดทดลองกว่าครึ่งหลอดเป็นสารสีฟ้าเขียว เกรงว่าจะเป็นเพราะสาเหตุที่ว่าวางทิ้งไว้นานเกิน ส่วนก้นของหลอดทดลองจึงเข้มข้นจนตกตะกอนเป็นอนุภาคเล็กจำนวนหนึ่ง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม