ลิขิตฟ้าชะตารัก 299-306

 ตอนที่ 299 ธาตุไฟเข้าแทรก 


 


อวี้อาเหราเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฝีเท้าก็หยุดลง หากนางไปแล้วพวกต้าเว่ยเล่าจะทำอย่างไร? หากพวกเขาหานางไม่เจอคงจะต้องร้อนใจเป็นแน่ แต่นางก็ไม่รู้ว่าชายชราผู้นี้จะพานางไปที่ใด ขณะที่ในใจกำลังสับสนลังเล แต่เพื่อชีวิตของเจาเอ๋อร์แล้วนางก็จำต้องเดินตามหลังอีกฝ่ายไป 


 


 


ส่วนพวกต้าเว่ย เดี๋ยวค่อยว่ากันเถิด… 


 


 


พวกเขาเดินมาจนถึงกลางป่าแห่งหนึ่ง อวี้อาเหราที่แบกเจาเอ๋อร์อยู่บนหลังย่อมเดินได้ช้าเป็นธรรมดา ทว่าชายชราหลังค่อมผู้นั้นกลับเดินได้อย่างรวดเร็วราวกับเหินบิน ทิ้งนางไว้ด้านหลังออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ และเพราะกลัวว่าจะคลาดกัน นางจึงจำต้องพยายามที่จะตามไปให้ทัน หากเป็นหญิงสาวปกติธรรมดา ไหนเลยจะแบกคนคนหนึ่งเอาไว้แล้ววิ่งตามมาได้ 


 


 


และก็มีเพียงคนเช่นนางเท่านั้นถึงทำได้ 


 


 


เมื่อเดินลึกเข้ามาในป่าก็เห็นเรือนไม้อยู่ตรงหน้า มองดูแล้วสะอาดสะอ้านเป็นอย่างมาก เพียงแต่มีบางส่วนที่ชำรุดไปบ้าง 


 


 


หลังจากที่ชายชราเดินเข้ามาด้านในแล้ว อวี้อาเหราเองก็เดินตามเข้ามาด้วย 


 


 


ทว่าเพียงเท้าสัมผัสลงบนพื้นเรือน ก็พบกับเงาร่างที่คุ้นตา  


 


 


เห็นเพียงฉู่ป๋ายนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน หลับตาลงคล้ายกับกำลังเดินลมปราณ บนอาภรณ์สีขาวของเขามีเลือดไหลซึมอยู่ไม่น้อย ช่างโดดเด่นสะดุดตาจนทำให้คนตกตะลึง อดคิดไม่ได้ถึงอาการป่วยของเขาที่กำเริบขึ้นมา สีหน้าดูเหนื่อยล้า ทั้งขาวซีดและดูอ่อนแรง ร่างกายผ่ายผอมลงกว่าเดิมมากทีเดียว 


 


 


นางตื่นตระหนกตกใจ เมื่อกำลังคิดที่จะร้องเรียกก็ถูกชายชราร้องขัดขึ้น “อย่าได้เรียกเขาส่งเดช ตอนนี้เขากำลังเดินลมปราณเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ หากเข้าไปขัดขวางเขาจะมำให้เกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรกได้” 


 


 


“อ้อ ข้าทราบแล้ว” อวี้อาเหราหยุดวาจาลงในทันใด ไม่กล้าที่จะทำอะไรตามอำเภอใจอีก 


 


 


แต่ว่าเหตุใดฉู่ป๋ายถึงมาอยู่ที่นี่ได้? 


 


 


แล้วเหตุใดเขาถึงมาอยู่กับชายชราผู้นี้ นี่ก็ช่างน่าสงสัยยิ่งนัก 


 


 


ช่างเขาก่อนเถิด ก่อนอื่นนางวางเจาเอ๋อร์ที่อยู่บนหลังของตัวเองลงบนเตียง หันหน้ามาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านผู้เฒ่า ภูเขาด้านหลังที่ท่านพูดถึงเมื่อครู่นี้ มันอยู่ที่ใดหรือ” 


 


 


“อยู่ข้างๆ นี่ล่ะ แต่เจ้าจำต้องออกไปจากตลาดมืดเสียก่อน” ชายชรานึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยตอบ 


 


 


“อืม” อวี้อาเหราไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก 


 


 


บรรยากาศรอบด้านเงียบสงบลงไปสักพัก จนกระทั่งฉู่ป๋ายค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อมองเห็นนางแล้ว ในเบื้องลึกของสายตาก็เผยให้เห็นถึงแววประหลาดใจและตกตะลึง ทั้งสองต่างจ้องมองกันอย่างนิ่งอึ้ง เวลาผ่านไปชั่วครู่ อวี้อาเหราถึงค่อยหาเสียงของตัวเองจนเจอ “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” 


 


 


เมื่อพูดขึ้นมาเช่นนี้ก็พลันได้สติขึ้นมาในทันใด นางมองชายชราแล้วหันไปมองเขาอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปาก “เจ้าคงรู้จักเขาตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่ หากเจ้ารู้มาตั้งแต่แรก เหตุใดถึงได้หลอกข้าว่าไม่รู้จักเล่า” 


 


 


“ข้าก็ไม่รู้จักจริงๆ” ฉู่ป๋ายส่ายหน้า มองมาที่นางด้วยความไม่เข้าใจ “ข้าได้ยินหลิงอ๋องกล่าวว่าเจ้าแอบหนีออกมาจากจวน ที่แท้ก็มายังตลาดมืดแห่งนี้นี่เอง เจ้าก็มาเพื่อตามหานักพรตเฒ่าหรือ? แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับท่านผู้เฒ่าตรงไหนกัน” 


 


 


“ไม่ใช่หรือ” อวี้อาเหราตื่นตกใจขึ้นมา 


 


 


นางยังคิดว่าฉู่ป๋ายจงใจจะปิดบังเรื่องราวของนักพรตชรา และเมื่อเห็นว่าเขาอยู่ด้วยกันเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้นางคิดว่าคนทั้งสองเป็นพวกเดียวกัน แต่เมื่อเห็นท่าทีไม่รู้เรื่องรู้ราวของฉู่ป๋ายแล้ว นางก็เชื่อว่าเขาคงจะไม่รู้จักจริงๆ 


 


 


ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าชายชราผู้นี้ก็ไม่ใช่นักพรตเฒ่าหรือ 


 


 


ก่อนหน้านี้ในใจของนางก็รู้สึกสงสัยมาโดยตลอด แต่ว่าเมื่อยิ่งมองดูแล้วท่านผู้เฒ่าผู้นี้ก็ยิ่งดูเหมือนจะไม่ใช่ 


 


 


ฉู่ป๋ายพยักหน้าน้อยๆ “ข้ามาเพื่อหายารักษาโรค แต่เมื่อมาถึงจู่ๆ อาการก็กลับกำเริบขึ้นมาเสียก่อน หลังจากนั้นถึงได้เป็นลมหมดสติไป เมื่อพบกับท่านผู้เฒ่า เขาจึงได้ช่วยพาข้ามาที่นี่” 


 


 


“แล้วหานสือเล่า เหตุใดถึงไม่พบเขาเลย” อวี้อาเหรารู้สึกแปลกใจ ปกติแล้วหานสือมักจะตามติดเขาอยู่แทบจะเป็นเงาตามตัว แทบจะไม่เคยห่างกันเลยแม้แต่น้อย แล้วเหตุใดถึงปล่อยให้เขามาหายาถึงตลาดมืดเช่นนี้ 


 


 


“เขาออกไปหาของกินแล้ว” ฉู่ป๋ายตอบ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 300 เจ้าไม่ไหว 


 


 


 


 


 


“พวกเจ้าสองคนพูดจบแล้วหรือไม่”  


 


 


ในยามนี้ ชายชราก็เอ่ยขึ้นตัดบทสนทนาของคนทั้งสอง ก่อนหยิบถ้วยยาสีดำร้อนๆ ส่งให้กับฉู่ป๋าย เมื่อมองเห็นท่าทีสงสัยของคนทั้งสองแล้ว เขาจึงเอ่ยปากอธิบายไปพลางว่า “นี่เป็นยาระงับอาการป่วยของเจ้าชั่วคราว ยังไม่รับไปอีก กลัวว่าข้าจะใส่ยาพิษลงไปหรืออย่างไร” 


 


 


“ไม่ได้กลัว” ฉู่ป๋ายไม่ลังเล รับยาจากมือของเขามาแล้วดื่มลงไปจนหมดในคำเดียว 


 


 


เมื่อเห็นเขาดื่มจนหมดเกลี้ยงแล้ว สายตาของชายชราก็เต็มไปด้วยความชื่นชม “เจ้านี่ช่างตรงไปตรงมายิ่งนัก ไม่เหมือนแม่นางน้อยนางนี้เลย” 


 


 


“ท่านว่าอะไรนะ” อวี้อาเหราจ้องมองเขาเขม็ง กล้าที่จะทำลายภาพพจน์ของนางต่อหน้าฉู่ป๋ายเช่นนี้ หากหลังจากนี้นางกลับไปยังเฟิ่งเฉิงแล้วจะอยู่ได้อย่างไรกัน นี่ก็ไม่อาจทนได้อีกแล้ว เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น แต่นางก็แอบก่นด่าตาเฒ่านี่ในใจไปหลายยกทีเดียว 


 


 


อะไรที่เรียกว่าแก่กะโหลกกะลาน่ะหรือ ก็คือสิ่งนี้อย่างไรเล่า! 


 


 


“แม่นางน้อย เจ้าอย่าได้เห็นว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้วจะรังแกข้าได้!” ชายชราหลบอยู่ด้านหลังของฉู่ป๋าย มองนางด้วยความหวาดผวาอย่างถึงที่สุด ตกใจเสียจนพูดติดๆ ขัดๆ เรื่องการแสดงนั้นไม่ว่าใครก็ไม่อาจสู้เขาได้จริงๆ 


 


 


แม้แต่อนุรองที่ชอบเล่นบทโศกดูน่าสงสารก็คงจะไม่ใช่คู่มือของเขากระมัง 


 


 


ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด ประโยคนี้ก็กล่าวไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย! 


 


 


อวี้อาเหราพยายามที่จะอดทนอดกลั้นความโกรธของตัวเองเอาไว้ สายตามองไปทางฉู่ป๋าย “เจ้าช่วยข้าตัดสินทีเถิด ว่าเป็นใครรังแกใครกันแน่” 


 


 


“สีหน้าของเจ้าก็ดูน่ากลัวอยู่บ้าง…” ฉู่ป๋ายไตร่ตรองแล้วเลือกใช้คำ 


 


 


เมื่อมองสีหน้าของนางอย่างพินิจ สองคิ้วของนางยกเฉียงขึ้น ดวงตาจ้องตรงมาเขม็ง ท่าทีดุร้าย สีหน้าเช่นนี้ใครเห็นก็ต้องขนลุกสันหลังวาบด้วยกันทั้งนั้น หากกล่าวตามตรงแล้วก็ดูน่ากลัวอยู่บ้างเล็กน้อย เขาก็ไม่ได้พูดผิดไปเสียหน่อย 


 


 


อวี้อาเหราไม่ได้ส่องกระจกจึงไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าตาน่ากลัวเพียงใด เมื่อได้ยินฉู่ป๋ายพูดเช่นนี้แล้วนางก็โกรธเสียจนควันออกหู พยายามสั่งให้ตัวเองสงบจิตสงบใจไว้ เพราะเห็นว่าตอนนี้เขากำลังป่วยอยู่ เมื่อคิดเช่นนี้แล้วนางก็ทำได้แต่เพียงกลืนความโกรธลงท้องไปก็เท่านั้น 


 


 


รอจนความโกรธของนางค่อยๆ บรรเทาลง ชายชราจึงค่อยเดินออกมาจากด้านหลังของฉู่ป๋าย แล้วบ่นพึมพำต่อไปอย่างไม่กลัวตาย “เจ้ายังจะมัวชักช้าอะไรอยู่อีก คิดที่จะช่วยคนจริงๆ หรือไม่ หากยังไม่ไปอีกนางคงได้ตายแน่!” 


 


 


“แน่นอนว่าต้องไปซี” อวี้อาเหราได้สติกลับมา นางมองไปยังฉู่ป๋าย “เจ้าช่วยดูแลเจาเอ๋อร์แทนข้าที อย่าให้ตาเฒ่านี่ก่อเรื่องชั่วร้ายอะไรขึ้นมาอีก ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา” 


 


 


เมื่อพูดจบนางก็หมุนตัวแล้วจากไป ทว่าฉู่ป๋ายกลับลุกยืนขึ้น แล้วเรียกนางเอาไว้ “ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน จะได้ไปเก็บสมุนไพรด้วย อีกอย่างเจ้าก็คงไม่รู้ว่าทางไปภูเขานั้นไม่ค่อยราบเรียบเท่าใดนัก หากเจ้าไปคนเดียวไม่แน่ว่าอาจจะเกิดเรื่องอันตรายได้” 


 


 


น้ำเสียงของเขาที่พูดออกมานั้นไม่ช้าและไม่เร็ว เสียงนั้นกังวานสดใสดังน้ำพุ เมื่อได้ฟังแล้วย่อมอยากฟังอีก สุดท้ายก็เอาแต่หลงใหลอยู่เช่นนั้น นี่ก็คงต้องกล่าวว่า น้ำเสียงของฉู่ป๋ายนั้นน่าฟังเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังใบหน้าที่งดงามเป็นหนึ่ง ในโลกนี้คงไม่มีใครเทียบเคียงเขาได้อีกแล้ว 


 


 


หลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย นางก็ส่ายหน้า “เจ้ายังป่วยอยู่ หากเจ้าไปด้วยข้าก็ต้องดูแลเจ้าอีกน่ะสิ” 


 


 


แม้วาจาจะไม่น่าฟัง แต่คำพูดของนางก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่มาก 


 


 


ฉู่ป๋ายหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าก็คิดว่าข้าทำอะไรไม่เป็นใช่หรือไม่” 


 


 


“อืม” อวี้อาเหราไม่มองใบหน้าที่มืดครึ้มของเขา จากนั้นก็พยักหน้าลง “เจ้าไม่ไหวก็อย่าฝืน” 


 


 


“ข้าไม่ไหวหรือ” ใบหน้าขาวซีดของฉู่ป๋ายยิ่งถมึงทึงเข้าไปอีก 


 


 


“อะแฮ่มๆ” ชายชราฟังจนใบหูแดงเถือกไปหมด มองพวกเขาทั้งสองคนด้วยสายตาสื่อความหมาย “ที่พวกเจ้าว่าเจ้าไม่ไหวข้าไม่ไหวอะไรเนี่ย ตกลงเป็นใครกันแน่ที่ไม่ไหว?”  


ตอนที่ 301 เก็บสมุนไพร 


 


 


 


 


 


“…” ได้ยินดังนั้น อวี้อาเหราและฉู่ป๋ายก็พากันหันหน้ากลัยมามองท่านผู้เฒ่าอย่างพร้อมเพรียง 


 


 


ฝ่ายไหนที่ไม่ไหว? อวี้อาเหรานึกย้อนไปถึงประโยคนี้แล้วก็รู้สึกขบขันยิ่งนัก สายตามองฉู่ป๋ายด้วยความรื่นเริง กลับเห็นเขาทำหน้าเคร่งเครียด ท่าทีเย็นชาเล็กน้อย คำพูดดีๆ กลับถูกตาเฒ่าบิดเบือนไปเสียนี่ ทำให้ความเป็นชายของเขาต้องสงสัยไปเสียได้ 


 


 


เมื่อเห็นนางยิ้มแย้มอย่างครื้นเครง ใบหน้าของฉู่ป๋ายก็ยิ่งเคร่งเครียดและนิ่งงัน 


 


 


บรรยากาศพลันอึมครึมขึ้นมา ชายชราเห็นดังนั้นแล้วก็กระแอมไอออกมาเล็กน้อย “พวกเจ้าบอกว่าจะไปเก็บสมุนไพรกันไม่ใช่หรือ ยังไม่รีบไปอีก ข้าจะคอยดูแม่หนูนางนี้แทนพวกเจ้าเอง” 


 


 


“ท่าน?” อวี้อาเหราไม่วางใจ นางจะปล่อยเนื้อเข้าปากเสือเฒ่าเจ้าเล่ห์เช่นนี้ได้อย่างไร 


 


 


ชายชราเห็นท่าทีสงสัยของนางแล้วก็เต้นขึ้นมาเหมือนเจ้าเข้า “ยายหนูนี่เห็นข้าเป็นคนเช่นไรกัน? หากไม่วางใจเจ้าก็แบกไปเองสิ อย่าหน้าทนทิ้งเอาไว้ที่นี่ คิดว่าข้าจะเป็นคนที่เจ้าจะทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือ!” 


 


 


อวี้อาเหรากลอกตา ตาเฒ่าคนนี้ก็ไม่เห็นเจาเอ๋อร์อยู่ในสายตาเลย 


 


 


ในยามที่คนทั้งสองแทบจะทะเลาะกันขึ้นมานั้น ฉู่ป๋ายก็เอ่ยขัดขึ้น โดยการหันไปพูดกับอวี้อาเหราว่า “เจ้าวางใจปล่อยเจาเอ๋อร์ไว้ให้ท่านผู้เฒ่าดูแลเถิด หากเขาจะทำอะไรก็คงทำไปนานแล้ว” 


 


 


อวี้อาเหราถึงค่อยวางใจลงเล็กน้อย แต่ในใจก็ยังคงวิตกอยู่ 


 


 


“เจ้าไม่เชื่อเขาแล้วก็ยังไม่เชื่อข้าอีกหรือ” ฉู่ป๋ายเลิกคิ้ว 


 


 


“ก็ได้ ครั้งนี้ข้าจะเชื่อเจ้า” อวี้อาเหราเห็นสีหน้าของเจาเอ๋อร์แย่ลงทุกที เช่นนั้นก็ไม่กล้าที่จะถ่วงเวลาไว้อีก มองชายชราด้วยสายตาดุๆ “ท่านดูแลเจ้าเอ๋อร์ให้ดี หากกล้าทำอะไรส่งเดชข้าจะกลับมาคิดบัญชีแน่” 


 


 


“เฮอะ” ชายชราไม่สนใจคำพูดของนางแม้แต่น้อย กลับจ้องมองนางอย่างไม่สบอารมณ์ 


 


 


ทั้งสองเดินออกไปจากเรือนไม้ เดินมุ่งหน้าไปยังภูเขาข้างตลาดมืด 


 


 


ระหว่างทาง อวี้อาเหราก็ปรายตามองฉู่ป๋าย หลังจากที่เขาดื่มยาที่ชายชราผู้นั้นนำมาให้ก็มีสีหน้าดีขึ้นมาก จนทำให้นางรู้สึกแปลกใจไม่ได้ “เจ้าเฒ่านั่นให้เจ้าดื่มยาอะไรกันแน่ ราวกับระงับอาการป่วยไว้ได้หมดเลยเชียว” 


 


 


ไม่แปลกที่นางจะรู้สึกสงสัย เพราะอาการป่วยของฉู่ป๋ายนั้น แม้ว่าจะเป็นหมอเทวดาก็ยังอับจนหนทาง แต่ชายชรากลับใช้เพียงยาถ้วยเดียวก็สามารถระงับอาการได้เสียแล้ว เป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจยิ่งนัก 


 


 


ฉู่ป๋ายส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน คงจะเป็นยาสมุนไพรที่เก็บมาจากบนภูเขากระมัง” 


 


 


“เจ้าคิดว่าผู้เฒ่าคนนั้นจะเป็นคนเดียวกับนักพรตเฒ่าหรือไม่” เงียบไปสักพัก อวี้อาเหราจึงค่อยเอ่ยปากถาม 


 


 


ฉู่ป๋ายชะงัก คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นในฉับพลัน “จนถึงตอนนี้ เจ้าก็ยังสงสัยเขาอยู่อีกหรือ” 


 


 


นางไม่พูดจาโยกโย้อีกต่อไป ทั้งยังพยักหน้าหนักแน่น “ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าพบกับเขาก็รู้สึกสงสัยแล้ว การกระทำของเขากลับเหมือนกับเฒ่าทารกไม่มีผิด แต่บางครั้งกลับทำทีเหมือนรู้อะไรมากมาย อย่างเช่นตอนที่รู้เรื่องสมุนไพรที่จะนำมาช่วยชีวิตเจาเอ๋อร์รวมไปถึงสมุนไพรที่ระงับอาการของเจ้าอีก คนทั่วไปจะรู้เรื่องพวกนี้หรือ” 


 


 


“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่มาก แต่ในโลกนี้ยังมีคนแปลกๆ อีกมากมาย เขาอาจจะไม่ได้เป็นนักพรตเฒ่าก็ได้” ฉู่ป๋ายพยักหน้าอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจาเอ๋อร์ถูกพิษ เหตุใดนางถึงถูกพิษได้?” 


 


 


“พวกเราเจอกับโจรปล้นฆ่าของตลาดมืดเข้า ยามที่ต่อสู้กันนั้น นายหญิงของฝั่งนั้นอยากจะฆ่าข้าเพื่อชิงหยกเลือด แต่ไม่คิดว่าเจาเอ๋อร์จะรับดาบแทนข้า และถูกพัดอาบยาพิษของฝ่ายนั้นโจมตีจนบาดเจ็บ ตอนนี้องครักษ์ของข้ากำลังตามนายหญิงคนนั้นไป หากนำยาถอนพิษกลับมาไม่ได้ก็หวังว่าจะใช้ยาสมุนไพรแก้พิษได้” อวี้อาเหรารีบเดินทาง แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยคร่าวๆ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 302 ทำมิดีมิร้าย 


 


 


 


 


 


ฉู่ป๋ายฟังเข้าใจแล้ว เมื่อรู้ว่านางกำลังร้อนรนก็ไม่ถามอะไรให้มากความอีก 


 


 


ทั้งสองเห็นว่าใกล้จะถึงถนนใหญ่ของตลาดมืดแล้ว อวี้อาเหราจึงหยิบหน้ากากออกมาสองชิ้น แล้วยื่นชิ้นหนึ่งให้ฉู่ป๋าย “นี่เป็นหน้ากากของเจาเอ๋อร์ เจ้าสวมมันเอาไว้เถิด เพราะเพียงเสื้อผ้าที่เจ้าสวมอยู่นี้ก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาได้ พวกเราต้องรีบไปเก็บสมุนไพรแล้ว” 


 


 


“ตกลง” เขาไม่กล่าวอะไรอีก เพียงแต่รับหน้ากกากมาสวม หน้ากากสีดำเย็นเฉียบปิดบังความหล่อเหลาบนใบหน้าของเขาเอาไว้จนมิด 


 


 


อวี้อาเหราได้เพียงแต่กะพริบตามอง จากนั้นก็สวมหน้ากากครอบใบหน้าของตัวเองไว้ ก่อนที่ทั้งสองเดินออกมาจากป่านั้น 


 


 


อาภรณ์ที่ฉู่ป๋ายสวมใส่อยู่นั้นจำต้องกล่าวว่างดงาม รูปร่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติของเขาทำให้เสื้อสีขาวธรรมดานั้นดูสูงส่งมากยิ่งขึ้น ราวกับเสื้อผ้าชุดนี้สร้างมาเพื่อเขา จนทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนท้องถนนต่างก็พากันเมียงมองมาที่เขาด้วยความสนใจเป็นจุดเดียว 


 


 


อวี้อาเหราที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นกลับกลืนหายไปไม่โดดเด่นเลยทีเดียว 


 


 


เมื่อเดินอ้อมตลาดมืดแล้วจึงค่อยมาถึงตีนเขา เมื่อมองเข้าไปภูเขาลูกนี้ก็คล้ายจะเป็นป่าเล็กๆ ไม่ใหญ่โตนัก หากต้องการหาสมุนไพรนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย หลังจากเดินเข้าไปแล้ว อวี้อาเหราก็ค้นหาสมุนไพรที่ชายชราอธิบายคุณลักษณะเอาไว้ไปทั่วบริเวณ 


 


 


แต่เมื่อยามที่ต้องหาจริงๆ กลับไม่ง่ายเหมือนที่นางคิดเอาไว้ แม้ว่าสถานที่จะไม่ใหญ่นัก แต่การจะค้นหาต้นหญ้าเล็กๆ สักต้นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย 


 


 


ค้นหาอยู่นานก็ยังหาไม่พบ ก็อดเสียกำลังใจลงบ้างไม่ได้ นางนั่งก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น “ตาแก่นั่นจงใจหลอกข้าหรือเปล่านะ ที่นี่ไหนเลยจะมีสมุนไพรกัน หามาตั้งนานแล้วก็ยังหาไม่เจอ เจ้านั่นต้องใช้โอกาสนี้ในการทำมิดีมิร้ายเจาเอ๋อร์แน่ๆ” 


 


 


เมื่อคิดดังนี้ นางก็เริ่มคิดว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ เช่นนั้นจึงผุดลุกขึ้นอย่างร้อนรน 


 


 


ทว่ามือกลับถูกคนผู้หนึ่งฉุดรั้งเอาไว้ ฉู่ป๋ายยกยิ้มอย่างอ่อนใจ “เจ้าจะผุดลุกผุดนั่งไปทำไมกัน ที่นี่ยังมีอีกตั้งกว้างที่ยังไม่ได้หา เท่าที่ข้าเห็นท่านผู้เฒ่านั้นก็ไม่ได้เป็นเหมือนเช่นที่เจ้าคิดหรอก เชื่อเขาแล้วตั้งใจหาไปเถิด ไม่แน่ว่าอาจจะหาเจอก็ได้” 


 


 


“ก็ได้” น้ำเสียงของเขาเหมือนมีมนต์สะกด จนทำให้นางที่จิตใจร้อนรุ่มก็สงบลงได้ 


 


 


หลังจากก้มหน้าก้มตาหาเป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็แหวกกอหญ้าไปหาจนพบ ได้ยินจากชายชราว่าสมุนไพรชนิดนี้ชอบที่เย็น ชอบขึ้นอยู่บริเวณที่อับแสง เป็นจริงดังคำว่า ดังนั้นนางจึงดีใจเสียจนกุมมือฉู่ป๋าย “ข้าหาเจอแล้ว!” 


 


 


“ดีมาก” ฉู่ป๋ายพยักหน้ารับเบาๆ สีหน้าไม่เปลี่ยนไปมากนัก 


 


 


หลังจากที่อวี้อาเหราพบสมุนไพรแล้วก็เป็นธรรมดาที่จะรีบร้อนเอากลับไปแก้พิษให้เจาเอ๋อร์ แต่ก็พบว่าฉู่ป๋ายยังหาสมุนไพรที่ตัวเองต้องการไม่พบ เช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เจ้าหาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” 


 


 


“หาไม่พบ คาดว่าคงจะไม่มีกระมัง ข้าเพียงได้ยินมาว่าที่นี่มีสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคของข้าได้ แต่ก็เพียงได้ยินมาเท่านั้น ดูแล้วก็คงจะไม่ช่วยอะไรหรอก” ฉู่ป๋ายพูดออกมาโดยไม่ได้กังวลใจอะไร ราวกับไม่ใช่เรื่องของเขาเอง 


 


 


นางเข้าใจความรู้สึกของเขาที่ความคาดหวังกลับกลายเป็นความสูญเปล่า โรคกระหายเลือดทรมานเขามานานปี ไม่ง่ายเลยที่จะรับรู้ว่ามียาสมุนไพรที่ช่วยได้ แต่ทุกอย่างกลับสูญเปล่า ความรู้สึกเช่นนี้ยากเกินกว่าที่จะรับไหว แต่นางก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี จึงเอ่ยขึ้นด้วยความห่อเ**่ยวว่า “หากหาไม่เจอก็กลับกันก่อนเถิด รอจนเจาเอ๋อร์ฟื้นแล้วข้าจะมาช่วยเจ้าหาเอง ไม่แน่อาจจะมีสมุนไพรเช่นนั้นจริงๆ ก็เป็นได้ เพียงแต่พวกเรายังหาไม่พบก็เท่านั้น” 


 


 


“อืม ไปกันเถิด” เขาไม่ได้ปฏิเสธวาจาของนาง ทำได้แต่เพียงพยักหน้าเล็กน้อย สวมหน้ากากจนมองไม่เห็นใบหน้า ทว่ากลับสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าเสียจนด้านชาของเขา ต่อให้หัวใจดวงนี้จะเข้มแข็งมากกว่านี้อีกสักเพียงใด แต่มันก็มีวันที่สามารถอ่อนแอลงได้อย่างที่ใครคาดไม่ถึง 


ตอนที่ 303 ถอนพิษ 


 


 


 


 


 


หลังจากที่นำยาสมุนไพรกลับมาถึงเรือนไม้แล้ว อวี้อาเหราก็ถอดหน้ากากออก รีบส่งสมุนไพรในมือให้ชายชราทันที “ท่านลองดูว่าใช่อันนี้หรือไม่ หากใช่ก็ไปทำเป็นยาถอนพิษให้เจาเอ๋อร์เถิด” 


 


 


“ได้” ชายชรามีท่าทีจริงจังขึ้นมาทันที หลังจากมองสมุนไพรอย่างพิจารณาแล้วจึงพยักหน้าลง “ไม่ผิดแน่ เจ้าไปดูแลนางก่อนเถิด เวลาล่วงเลยมานานแล้วเกรงว่าพิษคงซึมลึก เจ้าใช้หยกเลือดในมือเจ้าถ่วงเวลาอีกสักหน่อยเถิด” 


 


 


“เข้าใจแล้ว” อวี้อาเหราไม่กล่าวอะไรออกมาอีก นางรีบหันกายเดินไปที่ข้างเตียงในทันที 


 


 


สีหน้าของเจาเอ๋อร์หมองคล้ำลงจนคล้ายจะเป็นสีม่วงปนดำ ดูไม่ได้ยิ่งนัก ริมฝีปากเปลี่ยนสีไปอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่ยามที่นางสลบไปก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย นางก็กลัวว่าเจาเอ๋อร์จะหลับไม่ตื่นยิ่งนัก 


 


 


เมื่อถอนสายตากลับมา อวี้อาเหราก็มองไปยังข้างกาย “เหตุใดหานสือออกไปตั้งนานแล้วยังไม่กลับมาอีกเล่า” 


 


 


“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน” น้ำเสียงทุ้มเย็นหลุดออกมาจากริมฝีปากของเขา 


 


 


หลังจากที่กล่าวจบ ทั่วทั้งห้องก็เงียบลงไปอีกครั้ง 


 


 


อวี้อาเหรานิ่งเงียบสักพัก จากนั้นก็เอ่ยปากขึ้นกล่าวว่า “เจ้ายังคงคิดเรื่องที่หาสมุนไพรเมื่อครู่นี้ไม่พบอยู่อีกหรือ…” 


 


 


“เปล่า” ฉู่ป๋ายส่ายหน้า ใบหน้าหล่อเหลาที่เอาแต่ก้มต่ำเงยขึ้นมา แล้วมองนิ่งไปยังข้อมือของอวี้อาเหรา “เพียงแต่ข้ากำลังคิดว่าโจรปล้นชิงที่ต้องการแย่งหยกเลือดไปจากเจ้านั้น รู้ได้อย่างไรว่าในโลกนี้มีหยกเลือดอยู่จริงๆ” 


 


 


“อ้อ ข้าก็นึกว่าเจ้า…” อวี้อาเหราพลันวางใจลงบ้าง ก่อนจะพูดในเรื่องที่เขากล่าวถึง “ข้าเองก็แปลกใจอยู่เช่นกัน ปกติแล้วหยกเลือดเป็นของมีค่าชั้นสูง แม้แต่คนในเมืองเฟิ่งเฉิงเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่โจรเหล่านั้นแค่มองเท่านั้นก็ยืนยันได้ ดูแล้วคงจะไม่ใช่โจรธรรมดาทั่วไป จริงสิ…” 


 


 


หลังจากชะงักไป นางก็คิดขึ้นมาได้ 


 


 


“ตอนนั้นข้าได้ปิ่นรูปหงส์จากมือของโจรปล้นชิงในราคาสิบห้าตำลึงทอง ดูแล้วเหมือนเป็นของเก่าแก่มีอายุยาวนาน ปิ่นรูปหงส์นั้นก็สวยงามยิ่งนัก แกะสลักได้มีชีวิตชีวาราวกับมีชีวิต ไม่เหมือนของที่คนธรรมดาจะมีเอาไว้ครอบครองได้เลย อีกอย่างวิหคเทพอย่างหงส์นั้นเป็นของที่ฮองเฮาเท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้ แล้วเหตุใดของเช่นนี้จึงมาอยู่ในมือโจรได้เล่า” 


 


 


“ปิ่นรูปหงส์หรือ” ฉู่ป๋ายได้ยินที่นางพูดก็เลิกคิ้วขึ้น 


 


 


อวี้อาเหากะพริบตา “ไม่ผิด เป็นรูปหงส์จริงๆ” 


 


 


“ลักษณะเป็นเช่นไร” เขาถามขึ้นด้วยทีท่าสงบนิ่ง 


 


 


“เป็นรูปหงส์กางปีก โดยปีกพวกนั้นก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงมีประกายระยิบระยับเจ็ดสี สวยงามเป็นอย่างมาก เจ้าเองก็รู้ว่าข้าและเจาเอ๋อร์เป็นคนในจวนหลิงอ๋อง ต่างก็เคยเห็นของพวกนี้มามากจนชินตา เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งสองคนจึงชื่นชมปิ่นชิ้นนี้เป็นอย่างมาก ช่างสวยงามจนเกินบรรยาย” 


 


 


“จริงหรือ” ท่าทีของฉู่ป๋ายชะงักไปเล็กน้อย ดวงตารียาวส่องประกายลึกล้ำ มองไม่ออกว่าในยามนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ดังนั้นนางจึงลองถามขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ 


 


 


“อืม ข้าจะหลอกเจ้าไปทำไม ข้ายังซื้อปิ่นชิ้นนั้นมาด้วยนะ ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดูสิ…” ขณะที่พูดนั้น อวี้อาเหราก็ใช้มือคลำทั่วทั้งตัว จากนั้นจึงคิดได้ว่านางได้นำของสิ่งนั้นไปฝากให้ชิงอวิ๋นเก็บรักษาเอาไว้ก่อนที่จะมีการต่อสู้เกิดขึ้น ตอนนี้จึงไม่ได้อยู่กับนาง 


 


 


เมื่อเห็นดวงตาสงสัยใคร่รู้ของฉู่ป๋าย นางก็ทำได้แต่เพียงอธิบายว่า “ของไม่ได้อยู่กับข้า รอจนชิงอวิ๋นกลับมาก่อนข้าจะให้ดู” 


 


 


“อืม” เขาไม่ได้ว่าอะไร 


 


 


อวี้อาเหราหันกลับไป เห็นว่าเจาเอ๋อร์ก็ยังมีอาการเช่นเดิม ราวกับหยกเลือดนั้นใช้กับนางไม่ได้  


 


 


ผ่านไปไม่นาน ชายชราก็ยกถ้วยยาเข้ามา “ให้แม่นางน้อยดื่มเสียเถิด” 


 


 


อวี้อาเหรารีบรับมาทันที เมื่อเห็นยาที่เต็มถ้วยนั้น นางก็ขมวดคิ้วขึ้นมา  


 


 


 


 


 


ตอนที่ 304 เจ้ามาประคองสิ 


 


 


 


 


 


“เจ้ามาประคองเจาเอ๋อร์ให้ข้าที” หยิบช้อนขึ้นมา อวี้อาเหราก็ไม่รู้ว่าจะป้อนอย่างไร จึงร้องเรียกให้ฉู่ป๋ายมาช่วยเหลือ เขาฟังเข้าใจในความหมายของนางทันที แต่กลับชะงักขึ้นมา “ให้ข้าประคองนาง?” 


 


 


“ก็ต้องเป็นเจ้าน่ะสิ หากให้ตาเฒ่านี่มาประคองข้าก็ไม่วางใจหรอก” แม้ว่าอวี้อาเหราจะไม่ได้มีความรู้ที่ไม่ดีอะไรกับชายชรานัก แต่นางก็ยังตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่าจะต้องไม่ไว้วางใจอยู่บ้าง 


 


 


ฉู่ป๋ายกระแอมไอออกมาเล็กน้อย “แล้วเจ้าไว้ใจข้าหรือ” 


 


 


“ไว้ใจสิ” อวี้อาเหราตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ 


 


 


สำหรับเขา นางจะไม่ไว้ใจได้อย่างไร เขาไม่เหมือนกับชายชราผู้นี้ที่มีท่าทีไม่น่าไว้วางใจเลยแม้แต่น้อย อายุมากถึงเพียงนี้แล้วก็ยังทำตัวเหมือนเฒ่าทารกไม่มีผิด กลับกันนั้นฉู่ปายกลับมีท่าทีสงบเสงี่ยม แน่นอนว่านางก็ต้องเลือกที่จะเชื่อใจเขาเป็นธรรมดา 


 


 


ทว่าในใจของฉู่ป๋ายกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น 


 


 


อวี้อาเหราก็คิดว่าเขานั้นหมดสมรรถภาพทางด้านนั้นไปแล้วหรืออย่างไร? สำหรับชายหนุ่มทั่วไปแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องที่ยากเกินที่จะทานทนยิ่งนัก 


 


 


อวี้อาเหราเห็นเขาเหม่อลอย เช่นนั้นก็ร้องเรียกขึ้นอย่างรำคาญใจ “เจ้ารีบหน่อยสิ หากไม่อยากประคองเจาเอ๋อร์ก็มาป้อนยาแทนข้า ข้าจะประคองนางเอง หากยังชักช้าอยู่อีก นางเป็นอะไรไปข้าจะมาคิดบัญชีกับเจ้า!” 


 


 


ไม่เข้าใจเลยว่าทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายตัวโตๆ แท้ๆ เหตุใดถึงได้พิรี้พิไรเช่นนี้ เจาเอ๋อร์ก็ไม่ใช่ผู้ชายเสียหน่อย อีกทั้งหน้าตายังนับได้ว่าไม่เลว เขาก็ควรจะรีบกุลีกุจอเข้ามาช่วยเหลือมิใช่หรืออย่างไร หากเขาและเจ้าเฒ่าลามกนั้นแบ่งนิสัยกันไปทีละครึ่งก็คงจะดีอยู่หรอก อีกคนก็น่ารำคาญเสียจนน่าตายนัก อีกคนกลับ… 


 


 


ยากเหลือเกินที่จะนิยามออกมา 


 


 


ในที่สุดฉู่ป๋ายก็หยัดร่างกายขึ้น ไม่มีทางเลือก ในห้องนี้มีพวกเขาเพียงสามคนเท่านั้น ในเมื่ออวี้อาเหราไม่ยอมให้ชายชราลงมือ เช่นนั้นก็ต้องเป็นเขาแล้ว เขารับถ้วยยามา ทั้งสองคนก็ขยับตัวสอดคล้องกัน โดยการป้อนยาถ้วยใหญ่ให้ถึงปากของเจาเอ๋อร์ นางที่นอนหลับสลบไสล แน่นอนว่าไม่อาจที่จะกลืนยาได้ เช่นนั้นจึงทำให้ยาจำนวนมากไหลลงมา 


 


 


ยาเหล่านี้มีค่ามากมายนัก อวี้อาเหราเห็นว่าหกเลอะเสียมากมาย ทันใดนั้นก็ออกปากดุว่าฉู่ป๋ายทันที “เจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะ รีบๆ ให้นางกินยาให้หมดเสียสิ เร็วๆ เข้า!” 


 


 


“อ้อ…” การกระทำของฉู่ป๋ายดูยุ่งเหยิงพัลวัน เขาก็ไม่เคยต้องดูแลใครมาก่อน แต่ยามนี้ตัวเขาที่สงบนิ่งมาตลอดกลับร้อนรนจนมือไม้พันกัน ท่าทางดูทำอะไรไม่ถูก แม้แต่การป้อนยาก็ยังดูเงอะงะไม่ได้ความ 


 


 


อวี้อาเหราทนมองต่อไปอีกไม่ได้ นางยื่นมือออกไปแย่งเอาถ้วยยามาแล้วพูดกับชายชราว่า “เจ้ามาประคองนาง!” 


 


 


ฉู่ป๋ายที่ถูกนางมองค้อนเช่นนั้น ก็รู้สึกว่าช่างไม่ยุติธรรมยิ่งนัก เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย เหตุใดจะต้องโกรธกันถึงเพียงนี้? 


 


 


ยังดีที่ชายชราให้ความร่วมมือเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองจึงป้อนยาได้อย่างรวดเร็ว 


 


 


ในยามนี้หานสือก็รีบกลับเข้ามาหา เมื่อเห็นอวี้อาเหราอยู่ด้านในก็ตกใจ “คุณหนูรอง ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันขอรับ” 


 


 


“ข้า…” อวี้อาเหราคิดไม่ออกว่าควรจะตอบอย่างไรดี 


 


 


หานสือเห็นนางมีท่าทีอึกๆ อักๆ ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่กลัวตาย “หรือว่าคุณหนูรองตามซื่อจื่อของข้ามาถึงที่นี่กันขอรับ” 


 


 


“พูดจาไร้สาระ!” อวี้อาเหราจ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง “ข้ามาถึงที่นี่ก่อนแท้ๆ เป็นซื่อจื่อของเจ้าต่างหากที่ตามข้ามา” 


 


 


“เอ่อ…” หานสือลังเลอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าหลังจากที่ซื่อจื่อของเขารู้ข่าวคุณหนูรองแล้ว เขาก็รีบควบม้ามาถึงที่นี่โดยไม่หยุดพักทั้งที่ยังป่วยหนัก หลายวันมานี้เขายังกลัวว่าอาการจะทรุดหนักลง แม้ว่าซื่อจื่อของเขาจะบอกว่ามาหายาสมุนไพรอะไรก็ตามที แต่ก็คงไม่ใช่เหตุผลง่ายๆ เพียงแค่นั้นแน่… 


 


 


ในยามนี้ฉู่ป๋ายกวาดตามองเขาด้วยสายตาเย็นเฉียบ หานสือจึงรีบหยุดพูดในทันที 


 


 


ใบหน้าของอวี้อาเหราแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองอย่างสุดกำลัง เพื่อให้อารมณ์ของนางสงบดังเดิม แล้วมองไปยังร่างของเจาเอ๋อร์ 


ตอนที่ 305 ตาเฒ่าหนังเหนียว 


 


 


 


 


 


หลังจากที่ดื่มยาไปแล้ว ร่างกายของเจาเอ๋อร์ก็ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างทันตาเห็น สีหน้าหมองคล้ำจางหายไป เห็นได้ชัดว่ายาถอนพิษนั้นใช้ได้ผลจริง จึงรู้สึกนับถือในความสามารถของชายชรามากขึ้น นางยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ตาเฒ่าหนังเหนียว ครั้งนี้ก็ถือว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้า เช่นนั้นข้าจะไม่ถือสาหาความเรื่องที่แล้วมา” 


 


 


“เจ้าว่าใครเป็นตาเฒ่าหนังเหนียว?” ชายชราโกรธเสียจนจ้องมองนางตาถลน ร้องด่าออกมาคำหนึ่ง “ช่างขาดการอบรมยิ่งนัก! ข้าช่วยชีวิตคนของเจ้า แต่เจ้ากลับด่าข้าว่าเป็นตาเฒ่าหนังเหนียว สวรรค์ช่างไม่มีตา หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ข้าคงจะไม่ช่วยแล้ว!” 


 


 


“โธ่ ท่านอย่าได้ขี้น้อยใจไปหน่อยเลย” อวี้อาเหราว่าเสียงอ่อนลงอย่างจริงจัง “เป็นเพราะข้าพูดผิดไป เพราะเห็นเจาเอ๋อร์เพิ่งฟื้นเลยดีใจไปหน่อย หากท่านไม่พอใจ หานสือผู้นี้ทำอาหารได้อร่อยยิ่งนัก อีกประเดี๋ยวข้าจะให้เขาทำอาหารให้ท่านได้ทานเสียสองสามอย่าง แล้วจะให้ไปซื้อเหล้ามาเพื่อขอขมาท่านด้วย ดีหรือไม่” 


 


 


“อืม ยังดีที่แม่นางเช่นเจ้าพอจะฉลาดอยู่บ้าง” เมื่อได้ยินนางกล่าวถึงอาหารและเหล้าสุรา ชายชราก็ลืมความโกรธเคืองก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น กลับยกยอปอปั้นนางเสียอีก 


 


 


หานสือที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินเข้าก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ราวกับตัวเขาเองยังไม่ได้ตอบรับว่าจะทำอาหารเลยมิใช่หรือ แล้วเหตุใดคุณหนูรองจึงตัดสินใจแทนเขาเช่นนี้เล่า เมื่อคิดเช่นนี้เขาก็มองไปยังซื่อจื่อของตัวเอง แต่เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายก็รู้ว่าเขาไม่ได้สนใจตัวเองเลยแม้แต่น้อย กลับมีท่าทีไม่ไยดีอะไรเลยทั้งสิ้น 


 


 


หานสือรู้ดี ดูท่าเขาคงจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของคุณหนูรองเสียแล้ว 


 


 


ในยามที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทันใดนั้นเจาเอ๋อร์ก็ผุดลุกขึ้นนั่ง กระอักเลือดดำๆ ออกมาจากปาก จากนั้นก็เอนกายลงนอนต่อไปอย่างเงียบๆ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา และเจาเอ๋อร์ทำทีเหมือนไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ 


 


 


แต่อวี้อาเหรากลับไม่ได้มีทีท่าใส่ใจนัก คนที่ต้องพิษเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่จะต้องอาเจียนออกมาเป็นเลือดเสียอยู่แล้ว 


 


 


ทว่าในเวลาต่อมา สีหน้าของเจาเอ๋อร์ก็กลับกลายเป็นแย่ลง ใบหน้าของนางขาวซีดราวกับกระดาษ อวี้อาเหราตื่นตระหนก รีบใช้มืออังเข้าที่จมูกนางทันที เช่นนั้นจึงรู้ได้ว่าอ่อนแรงยิ่งนัก หันไปมองชายชราด้วยสีหน้าทนทุกข์ “ท่านรีบมาดูเร็วเข้าว่านางเป็นอะไร ดูเหมือนจะใกล้หมดลมหายใจไปเสียแล้ว!” 


 


 


ท่าทีเป็นทุกข์เป็นร้อนของนางแผ่ขยายไปถึงคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ทันใดนั้นชายชราก็หุบรอบยิ้มบนใบหน้า แล้วรีบเข้ามาตรวจอาการ สุดท้ายก็ส่ายหน้าแล้วถอนใจ สีหน้ายากจะคาดเดา แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา 


 


 


เห็นเช่นนั้นอวี้อาเหราก็รู้สึกกังวลใจ “ท่านมีอะไรก็พูดมาเถิด” 


 


 


“เดิมทีหลังจากที่แม่หนูผู้นี้ดื่มยาไปแล้วก็ปลอดภัยไร้อันตราย แต่เป็นเพราะพิษซึมลึกจนเกินไป จนแทบจะแทรกซึมเข้าไปในลือดอยู่แล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ อีกสักครู่คงจะต้องสิ้นใจตายแน่ หากไม่ใช่เพราะเมื่อครู่เจ้าใช้หยกเลือดเพื่อช่วยชีวิตนาง ตอนนี้นางก็คงไม่หายใจแล้ว” 


 


 


ชายชราลังเลและนิ่งไปอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงค่อยพูดความจริงออกมา  


 


 


“ถ้าเช่นนั้นจะต้องทำอย่างไรเล่า” หานสือมองเจาเอ๋อร์ที่นอนอยู่บนเตียง คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย รีบถามชายชราทันที ในใจก็อดไม่ได้ที่จะใคร่ครวญ เหตุใดนางถึงได้ต้องพิษเช่นนี้ 


 


 


แน่นอนว่าเดิมทีเขาก็ไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น 


 


 


“ท่านผู้เฒ่า ท่านมีวิธีใดที่พอจะช่วยได้ก็ขอให้บอกมาเถิด” ราวกับมองความสนใจของชายชราออก จึงออกปากขึ้นมาในยามที่ทุกคนกำลังเงียบงันกันอยู่ 


 


 


อวี้อาเหราเกาะชายเสื้อผ้าป่านเก่าขาดของเขาราวกับกำลังเกาะฟางเส้นสุดท้าย “หากท่านมีวิธี ก็อย่ามัวชักช้าอยู่เลย ไมรู้หรือว่าการช่วยคนเป็นเรื่องเร่งด่วน?” 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้วว่าข้าต้องรู้!” ชายชราดึงเสื้อของตัวเองกลับมาอย่างคนอารมณ์ไม่ดี 


 


 


ฉู่ป๋ายมองอวี้อาเหราด้วยยสายตาตำหนิ “แน่นอนว่าท่านผู้เฒ่าจะต้องมีวิธีแน่ เจ้าอย่าได้รีบร้อนไป” 


 


 


“อืม” อวี้อาเหราไม่กล้าเร่งรัดอีก ทำเพียงจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆ เท่านั้น 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 306 อย่างไรเสียก็ต้องตาย 


 


 


 


 


 


ชายชรานั่งอยู่ข้างเตียง บางครั้งก็ยกมือขึ้นลูบเคราขาวของตัวเอง แม้แต่ยามนั่งหลังของเขาก็ยังคงงองุ้มเล็กน้อย หลังจากนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เขาถึงค่อยเอ่ยปากขึ้นว่า “เจ้าเอาหยกเลือดมาช่วยชีวิตนางก่อนเถิดแล้วค่อยว่ากัน ต่อไปคงต้องใช้ยาที่ใช้ถอนพิษนี้โดยเฉพาะเท่านั้นถึงจะแก้พิษได้ จากนั้นก็คงต้องให้ผู้ที่มีลมปราณกล้าแกร่งช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายของนางและถอนพิษที่อยู่ในร่างกายของนางออกจนหมด สองจุดนี้เป็นเรื่องที่ยากนัก หากทำไม่ได้นางก็คงไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้แน่” 


 


 


“แต่พวกต้าเว่ยยังเอายาถอนพิษกลับมาไม่ได้…” อวี้อาเหราขมวดคิ้ว พวกต้าเว่ยและชิงอวิ๋นไปตั้งนานแล้วเหตุใดยังเอายาถอนพิษกลับมาไม่ได้อีกนะ 


 


 


อีกอย่างคนที่มีลมปราณกล้าแกร่งก็มีอยู่ นอกจากฉู่ป๋ายแล้ว ก็คงจะไม่มีใครที่มีลมปราณกล้าแกร่งเท่าเขาอีก  


 


 


ฉู่ป๋ายและหานสือขมวดคิ้วมุ่นอย่างเงียบงัน 


 


 


คนทั้งหมดต่างพากันเป็นกังวล 


 


 


ครั้งนี้ เจาเอ๋อร์จะเป็นหรือตายนั้นก็คงต้องดูลิขิตฟ้าแล้ว… 


 


 


อวี้อาเหราสูดลมหายใจลึก “หานสือ ตอนนี้เจ้ารีบออกไปตามหาตัวเหล่าองครักษ์ของข้าที พวกเขากำลังตามจับตัวผู้ที่วางยาพิษนี้อยู่” 


 


 


“ขอรับ” หานสือกุมกระบี่ เพียงไม่นาน เงาร่างของเขาก็หายลับไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


นางหลุบสายตาลง กุมมือของเจาเอ๋อร์เอาไว้ พยายามใช้หยกเลือดเพื่อหน่วงเหนี่ยวชีวิตของนางเอาไว้อย่างสุดความสามารถ 


 


 


นายบ่าวทั้งสองอยู่ด้วยกันมานาน เจาอ๋อร์นั้นมีความซื่อสัตย์ต่อนางหรือแม้แต่เจ้าของร่างคนก่อนเป็นอย่างมาก และครั้งนี้ก็เป็นเพราะอยากจะช่วยเหลือนางถึงได้ต้องพิษ หากช่วยชีวิตไม่ได้นางคงไม่อาจข่มตานอนหลับลง ฉู่ป๋ายเห็นนางเงียบไป ก็เม้มปากแน่นจ้องมองอยู่เช่นนั้น ส่วนชายชราไม่บ่นว่าอะไรอีก ทำเพียงนั่งมองคนทั้งสอง 


 


 


ราวกับเวลาจะหยุดนิ่งลงเช่นนั้น  


 


 


ทันใดนั้นเอง ด้านนอกก็บังเกิดเสียงสวบสาบของใบไม้ ฉู่ป๋ายเป็นคนแรกที่สังเกต เขาจึงมองออกไปด้านนอก “ใครอยู่ด้านนอก?” 


 


 


น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบ จนทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกเหมือนย่ำลงบนก่อนน้ำแข็งก็ไม่ปาน ไม่ง่ายเลยที่จะได้ยินเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นพวกทำอะไรตามใจตัวเองอยู่เสมอ 


 


 


ตอนนี้หานสือไม่อยู่ และคนที่อยู่ข้างนอกก็ไม่เหมือนกับคนที่คุ้นเคยเลยแม้แต่ย้อย หากว่าเป็นศัตรู พวกเขาในตอนนี้ที่นี่มีแต่คนชราและสตรี ร่างกายของเขาเองในตอนนี้เองก็ยังไร้ซึ่งพลัง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็คงเป็นเรื่องร้ายแรงยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงต้องระแวดระวังเอาไว้เป็นอย่างมาก  


 


 


สายตาอวี้อาเหรามองไปที่ประตู 


 


 


ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ทางเข้าประตูนั้น ก่อนจะร้องเรียกมาทางอวี้อาเหรา “คุณหนู ข้าเองเจ้าค่ะ” 


 


 


“เมี่ยวอวี้?” อวี้อาเหราตกตะลึง เพราะคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเมี่ยวอวี้ได้ 


 


 


นางสวมชุดรัดกุมสีดำ ในมือถือกระบี่ ทั้งผมก็ยังรวบไปข้างหลังอย่างเรียบร้อยผิดกับตอนที่เป็นสาวใช้อยู่ในจวนหลิงอ๋องที่ใช้ปิ่นหยกตรึงเอาไว้ ใบหน้าแดงเล็กน้อย ขณะที่พูดก็ยังมีอาการหอบหายใจ ในมือมีขวดทำจากหยก แล้วเดินมาข้างหน้า 


 


 


แต่เหตุใดเมี่ยวอวี้แห่งจวนหลิงอ๋องถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า? 


 


 


“บ่าวคารวะคุณหนูเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้โค้งกายลงคำนับ 


 


 


“ลุกขึ้นเถิด ตอนนี้อยู่ข้างนอก ไม่ต้องมากพิธี” อวี้อาเหราถามขึ้นอย่างแปลกใจ สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย “เจ้าก็ควรจะอยู่ที่จวนหลิงอ๋องมิใช่หรือ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า แล้วเจ้าหาที่นี่พบได้อย่างไร” 


 


 


“คุณหนู ท่านอย่าเพิ่งถามอะไรเลยเจ้าค่ะ รีบเอายาถอนพิษในขวดนี้ให้เจาเอ๋อร์ทานเสียเถิด” เมี่ยวอวี้รีบส่งขวดหยกให้อวี้อาเหราทันที นางมีท่าทีเหมือนรีบเดินทางมาจากที่ไกลๆ ท่าทางดูร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


“ยาถอนพิษ?” อวี้อาเหราตกใจ “เหตุใดเจ้าถึงมียาถอนพิษได้” 


 


 


“ประเดี๋ยวบ่าวจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ตอนนี้เรื่องช่วยเจาเอ๋อร์สำคัญกว่านะเจ้าคะ” เมี่ยวอวี้พูดย้ำเตือนขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


อวี้อาเหราไม่กล้าที่จะรับเอามาง่ายๆ แต่ในขณะที่นางกำลังลังเลอยู่นั้น ชายชราก็สบถออกมา แล้วหยิบขวดยามาไว้เสียเอง “เจ้าจะยืนเฉยอยู่ทำไมกัน อย่างไรเสียก็ตายอยู่ดี มิสู้ลองดูก็ไม่ดีกว่าหรือ” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม