หมอยาหวานใจท่านประธาน 298-321

 ตอนที่ 298 เธอชื่อมั่วเสี่ยวชิง


 


 


เขาเองก็ไม่ใช่คนที่จะบีบคนอื่นจนถึงที่สุด พอได้ยินเช่นนี้จึงผายมือ แสดงสีหน้าผิดหวัง “ผมเข้าใจครับ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสร่วมมือกับประธานหลิ่ว”


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นยิ้ม “ที่จริงถ้าคุณซีเหมินอยากร่วมมือกับร้านหยก ในเมืองเอฟยังมีบริษัทแบบผมอีกหลายแห่ง พวกเขามีรากฐานมั่นคงกว่ามาก คุณลองไปเจรจากับพวกเขาได้”


 


 


เขาไม่ใช่คนประเภทที่พอตัวเองไม่ต้องการก็ทำลายทิ้ง ไม่ปล่อยให้คนอื่นได้ไป ถ้าซีเหมินหลงเซี่ยวอยากเข้าสู่วงการเครื่องหยก ที่นี่มีโอกาสมากมาย


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวส่ายหน้า “ประธานหลิ่วอาจเข้าใจเจตนาของผมผิดไป เมื่อครู่ผมบอกแล้ว เพราะได้เห็นสินค้าใหม่ล่าสุดของบริษัทคุณ และเห็นว่ามีโอกาสทางการตลาดสูง ส่วนบริษัทอื่น เวลานี้ผมยังไม่เห็นโอกาสทางการตลาดเลย”


 


 


คุยไปคุยมา ในที่สุดเขาก็พูดถึงเรื่องที่ตนเองอยากรู้ “สินค้าใหม่ คุณหมายถึงแหวนหยกสินะครับ เมื่อคืนเฟยเฟยพูดถึงแล้ว ดูเหมือนคุณซีเหมินจะชอบมาก” ก็แค่แหวนหยกที่ดูย้อนยุคเท่านั้นเอง ที่พิเศษคือรูปแบบที่ดูคล้ายกับแหวนเพชรแบบปัจจุบันเท่านั้น


 


 


พูดตามตรง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาลองทำแหวนหยกแบบนี้ เพราะเขาซื้อแบบร่างมาได้ แหวนหยกของประเทศพวกเขาล้วนเป็นแบบพื้นๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นแบบแหวนน้าว ดูโบราณเกินไป


 


 


“ถูกต้องครับ เป็นแหวนหยก แนวคิดในการออกแบบแหวนหยกวงนี้คล้ายแหวนเพชรมาก เวลานี้ความนิยมแหวนเพชรออกจะเกร่อเกินไป เป็นไปได้ว่าอีกไม่กี่ปีคนจะหันมานิยมใส่แหวนหยกกัน


 


 


ประเทศพวกคุณเชื่อว่าหยกหล่อเลี้ยงคนไม่ใช่เหรอ บังเอิญผมเคยเคยมีหยกโบราณที่ใส่ติดตัวตั้งแต่เล็ก รู้สึกว่าหยกเป็นของที่ดี ก็เลยอยากลองจุดประกายอะไรใหม่ๆ ในธุรกิจด้านนี้ดู”


 


 


คำตอบนี้สมเหตุสมผล ไม่เสียทีที่ซีเหมินหลงเซี่ยวเป็นเจ้าแห่งการค้า พูดจาเป็นเรื่องเป็นราว ทำให้คนแยกแยะไม่ออกว่าเป็นคำพูดจากใจจริงหรือไม่ แม้แต่หลิ่วเฟยอวิ๋นเองก็ถูกกล่อมจนเคลิ้มนิดๆ


 


 


“จะต้องมีโอกาสแน่ครับ ด้วยความสามารถของคุณซีเหมิน ต้องการทำถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลย” คนที่นั่งตรงหน้าเขาตอนนี้คือซีอีโอของไหลย่ากรุ๊ป หลิ่วเฟยอวิ๋นจึงอดชื่นชมไม่ได้


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวยิ้ม “น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถร่วมงานกับประธานหลิ่วได้ แต่ผมยังสนใจคนที่ออกแบบแหวนหยกวงนี้มาก อยากทำความรู้จักสักหน่อย ไม่ทราบว่าประธานหลิ่วจะช่วยแนะนำให้ผมรู้จักได้ไหมครับ”


 


 


ทันทีที่สินค้าที่ออกแบบมีชื่อเสียง ผู้ออกแบบย่อมมีชื่อเสียงไปด้วย หลิ่วเฟยอวิ๋นไม่ได้คิดอะไรมาก รับปากทันที


 


 


“ไม่มีปัญหาครับ ที่จริงตอนที่ผมซื้อแบบร่างมาก็รู้สึกว่าเป็นดีไซน์ที่พิเศษ ดูแล้วสบายตา ส่วนคนออกแบบชื่อมั่วเสี่ยวชิง ผมติดต่อกับเธอทาง XXX หลังจากเซ็นสัญญากันแล้ว เธอก็ส่งแบบร่างมาให้ผม”


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นว่าพลางเปิดมือถือ แล้วให้ซีเหมินหลงเซี่ยวดูแอคเคานต์ของมั่วเสี่ยวชิง พวกเขาติดต่อผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค ไม่ว่าใครก็สามารถส่งแบบร่างของตัวเองได้ ทันทีที่มีคนซื้อก็จะเอาออก ทั้งก่อนหน้านี้ก็แบบร่างก็มีการลงทะเบียนการค้าไว้แล้ว จึงไม่ต้องกลัวว่าจะถูกลอกเลียนอย่างผิดกฎหมาย


 


 


“พวกคุณไม่เคยเจอกันเหรอครับ” ซีเหมินหลงเซี่ยวเอ่ยด้วยความแปลกใจ


 


 


“คนออกแบบบอกว่างานยุ่ง ปลีกตัวไม่ได้ ก็เลยต้องติดต่อด้วยวิธีนี้” ความจริงแล้ว เรื่องการลงนามในสัญญา ถ้าสองฝ่ายอ่านเงื่อนไขในสัญญาแล้วไม่มีปัญหาอะไร ก็ลงนามได้ทันที ไม่ว่าอย่างไรสัญญาก็มีสองฉบับ ถ้าลายเซ็นปลอมก็จะไม่เกิดผล


 


 


“อ้อ ขอบคุณประธานหลิ่วมาก ผมบันทึกไว้แล้ว” ซีเหมินหลงเซี่ยวพยักหน้าหลังจากเหลือบมองบอดี้การ์ดซึ่งถือมือถือในมือ


 


 


“สายมากแล้ว ไม่รบกวนเวลางานของประธานหลิ่วแล้ว เราขอลาก่อน ขอบคุณสำหรับกาแฟครับ” ซีเหมินหลงเซี่ยวยกกาแฟขึ้นดื่มสองสามอึก ยิ้มแล้วบอกลา


 


 


“ผมไปส่งครับ” หลิ่วเฟยอวิ๋นลุกขึ้น เดินมาส่งที่หน้าประตู


 


 


 


 


ตอนที่ 299 ตรวจสอบมั่วเสี่ยวชิง


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นเดินมาส่งซีเหมินหลงเซี่ยวถึงหน้าประตูร้าน แล้วจึงกลับไป ข้อแรกเพราะฐานะของซีเหมินหลงเซี่ยวไม่ธรรมดา ข้อสองอนาคตอาจได้ร่วมมือกัน จะอย่างไรก็ต้องเหลือทางให้ตัวเองบ้าง


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวนั่งอยู่ในรถพยักหน้าให้หลิ่วเฟยอวิ๋น แล้วส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดขับรถออกไป


 


 


พอหลิ่วเฟยอวิ๋นหันหลังกลับไปแล้ว ซีเหมินหลงเซี่ยวก็มองดูภาพอวตารดำๆ ที่ไม่มีการแต่งเติมหรือข้อความใดๆ ของมั่วเสี่ยวชิงบนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค นัยน์ตาเขาเป็นประกายวูบ


 


 


เป็นไปได้มากว่าชื่อมั่วเสี่ยวชิงเป็นแค่นามแฝงเท่านั้น แต่ขอเพียงเคยปรากฏตัว เขาจะต้องมีวิธีหาตัวออกมา คนคนนี้ต้องอยู่ในเมืองเอฟแน่นอน


 


 


“อาเซิง ตรวจสอบว่ามั่วเสี่ยวชิงคนนี้เป็นใคร”


 


 


บอดี้การ์ดที่ขับรถอยู่พยักหน้ารับ “ครับนาย ผมจะมีคำสั่งลงไป” เขาขยับบลูทูธที่หูให้เข้าที่ แล้วใช้โทรศัพท์ในรถโทร.ออกไป


 


 


“นายสั่งมา ตรวจสอบคนชื่อมั่วเสี่ยวชิงใน XXX ได้ข้อมูลยิ่งละเอียดยิ่งดี ขอเร็วด้วย…อืม” พอวางสายแล้วก็จดจ่ออยู่กับการขับรถ


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นเพิ่งกลับเข้ามาในห้องทำงาน ผู้จัดการร้านก็เดินยิ้มแป้นขึ้นมาเก็บถ้วยกาแฟทันที


 


 


“นายครับ ผมขอถามอะไรสักนิดครับ บริษัทเรากำลังจะขยายกิจการหรือครับ” ผู้จัดการเห็นทั้งคู่ออกไปพร้อมกันด้วยสีหน้าชื่นมื่น น่าจะเจรจาสำเร็จ


 


 


เมื่อวานเขาอยู่ข้างๆ หลิ่วเฟยซวง ได้ยินข้อมูลบางอย่างมาอย่างละเอียด เขาอดทนไว้ ไม่พูดเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง หวังว่าถ้าวันนี้ถ้าเรื่องสำเร็จจะบอกให้เพื่อนร่วมงานตื่นเต้นดีใจ


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นเลิกคิ้ว “ใครบอกคุณ ตาข้างไหนของคุณมองว่าคุยธุรกิจสำเร็จ” ใครๆ ก็คิดว่าไหลย่ากรุ๊ปไม่เลวเลย แต่เขาไม่อยากเติบโตโดยอาศัยไม้ใหญ่ต้นนี้


 


 


ร่มไม้ใหญ่ไม่ได้อยู่ให้พึ่งพิงได้ตลอดไป ใครจะรู้ว่าวันหน้าจะเกิดอะไรขึ้น สู้ตัวเองเป็นต้นหญ้าเล็กที่ทนทานไม่ได้ ต่อให้พายุฝนรุนแรงก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ดีกว่าตั้งเป้าสูงเกินไปแล้วถูกวิกฤตเศรษฐกิจเล่นงานเหมือนโดนฟ้าผ่า


 


 


ผู้จัดการอึ้งไป “เจรจาไม่สำเร็จหรอกเหรอ เจ้านายปฏิเสธเหรอครับ” สวรรค์ นี่ไม่ใช่อย่างที่เขาคาดเดาไว้


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นพยักหน้า “ใช่ มีปัญหาเหรอ”


 


 


เจอย้อนถามแบบนี้ ทำเอาผู้จัดการแทบจะร้องไห้ เขานั่งลงตรงข้ามหลิ่วเฟยอวิ๋นเสียดื้อๆ “เจ้านาย โอกาสดีอย่างนี้ ทำไมถึงปฏิเสธล่ะครับ ไหลย่ากรุ๊ปเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีชื่อเสียง แต่เจ้านายกลับ…ไม่ต้องการ”


 


 


สวรรค์ เจ้านายเราคงบ้าไปแล้ว ทำไงดี


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “แล้วจะทำไม ผมมีเป้าหมายของตัวเอง มีเส้นทางที่ผมต้องการเดิน วางใจเถอะ ถึงจะไม่ได้ร่วมมือกับไหลย่ากรุ๊ป แต่ผมยังดูแลพวกคุณเต็มที่”


 


 


“เจ้านาย พูดอย่างนี้เหมือนเห็นผมเป็นคนนอก คุณเป็นเจ้านาย เราทำตามการตัดสินใจของคุณ และเชื่อมั่นในความสามารถของคุณอยู่แล้วครับ” อายุยังน้อยแต่ใช้เวลาแค่หกเดือนบริหารร้านได้ขนาดนี้ เขามั่นใจว่าอนาคตรุ่งแน่นอน


 


 


“ขอบคุณทุกคน แต่ต้องทนลำบากไปพร้อมกับผมนะ ตอนนี้เริ่มงานกันได้แล้ว” หลิ่วเฟยอวิ๋นเลิกคิ้ว น้ำเสียงเจือแววหยอกล้อเล็กน้อย


 


 


“เจ้านาย สั่งมาเลยครับ”


 


 


“พรุ่งนี้จะเริ่มวางจำหน่ายสินค้าใหม่ คุณลงไปสั่งงานหน่อย เปิดประชุม หลังเลิกประชุมให้พนักงานทุกคนจัดเตรียมของสำหรับเปิดร้านพรุ่งนี้ ทำเสร็จแล้วเลิกงานก่อนเวลาได้”


 


 


ผู้จัดการได้ยินก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที “ครับ ผมจะลงไปบอกทุกคนเดี๋ยวนี้” ถือโอกาสตอนเช้าที่ลูกค้ายังไม่มาก เปิดประชุม เตรียมของสมนาคุณให้ลูกค้า พรุ่งนี้เริ่มงานเปิดตัวผลงานสร้างสรรค์ของพวกเขา


 


 


หลิ่วเฟยอวิ๋นมองตามผู้จัดการ พลางหัวเราะเบาๆ ยกถ้วยชาในมือขึ้นจิบเล็กน้อย แล้วเริ่มทำงาน



ตอนที่ 300 เราจะขึ้นราแล้ว


 


 


เดิมตกลงกันว่าเสาร์นี้จะไปช้อปปิ้งเสื้อผ้ากับหลิ่วเฟยซวง พอโทร.ไปหา เธอกลับบอกว่ามีธุระต้องทำ ยกเลิกที่นัดกันไว้ อีลั่วเสวี่ยจึงอยู่บ้าน


 


 


เธอไม่รู้ว่าหลิ่วเฟยซวงนอนไม่หลับเพราะคิดมากเรื่องระหว่างพี่ชายตัวเองกับเธอ เลยยกเลิกการเดินช้อปปิ้ง เอาเวลามานอนชดเชยแทน


 


 


“คุณหนูใหญ่ วันนี้ไม่ออกไปข้างนอกกับเพื่อนเหรอครับ” หลังมื้อเช้า อีลั่วเสวี่ยมานั่งอาบแดดอยู่ในสนาม อาเหมารดน้ำต้นไม้พลางถามด้วยความแปลกใจ ปกติคุณหนูใหญ่มักจะยุ่งมากช่วงสุดสัปดาห์ ไม่ค่อยเห็นเธออยู่บ้าน


 


 


“ไม่ไปแล้ว เฟยเฟยมีธุระกะทันหัน อีกอย่างที่จริงฉันก็ไม่ชอบโลกข้างนอกที่อึกทึกเท่าไหร่” ที่เธอพูดนั้นเป็นความจริง ข้างนอกรถราขวักไขว่ กลิ่นน้ำมันเครื่องควันรถประเภทต่างๆ น่าทรมานจริงๆ


 


 


อีกอย่าง เพราะเธอเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ประสาทรับรู้จึงไวกว่าคนทั่วไป การอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นนานๆ สำหรับเธอแล้ว เหมือนอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกและควันพิษ แม้จะไม่ทำให้บาดเจ็บ แต่ก็ทำให้ร่างกายรู้สึกไม่สบาย


 


 


อาเหมาชะงักเล็กน้อย “ที่จริงอาเหมาก็ไม่อยากให้คุณหนูใหญ่เป็นผู้หญิงที่เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้าน วัยแบบคุณหนูควรจะคบเพื่อน ออกไปทำกิจกรรมมากๆ ไม่งั้นพออายุมากแล้ว จะเสียความเป็นเด็กไป”


 


 


เขาคิดว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้ตัวเองโทร.ตามว่าเธออยู่ไหน ทำให้เธอกลับมาอยู่เฝ้าตาแก่อย่างเขา


 


 


คนฉลาดอย่างอีลั่วเสวี่ยย่อมฟังความหมายในคำพูดของอาเหมาออก “อาเหมา อย่าคิดมาก ฉันไม่ได้กลัวว่าอาเหมาจะเป็นห่วงก็เลยไม่ออกไปข้างนอก แต่เพราะไม่มีธุระอะไรเท่านั้นเอง”


 


 


“คุณหนูนะคุณหนู ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ปิดบังคุณไม่ได้” อาเหมาหัวเราะ แล้วรดน้ำต้นไม้ในสนามอย่างระมัดระวัง แม้จะมีเครื่องฉีดน้ำอัตโนมัติ แต่ก็ใช้กับสนามหญ้าเท่านั้น บางจุด รวมทั้งดอกไม้ ใช้คนรดน้ำเองจะทั่วถึงกว่า


 


 


ห้านาทีต่อมา มือถืออีลั่วเสวี่ยดังขึ้น เธอหยิบมาดู เป็นเบอร์ไม่คุ้นที่ไม่ได้บันทึกไว้ ระบุว่าอยู่ในเมืองเอฟ


 


 


เธอรับสายด้วยความสงสัย “ฮัลโหล?”


 


 


“ฮัลโหล หัวหน้า ผมเอง” เสียงหูปิงดังขึ้นทันทีด้วยความตื่นเต้น


 


 


ตายละ ดูเหมือนเธอจะลืมเขาไปสนิท ก่อนนี้ดูเหมือนเธอจะไม่เคยโทร.ติดต่อกับหูปิงมาก่อน เขาเองก็ไม่เคยโทร.มาหาเธอ นับจากเหตุการณ์ที่โรงประมูลใต้ดินก็ผ่านมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว เธอไม่ได้ติดต่อกับคนกลุ่มนี้อีกเลย


 


 


“อ้อ หูปิงเหรอ มีอะไร” อีลั่วเสวี่ยลุกขึ้น คุยโทรศัพท์พลางเดินเข้าบ้าน


 


 


ที่ปลายสาย หูปิงกับพวกยืนล้อมโทรศัพท์ กดสปีกเกอร์โฟน “หัวหน้า อะไรกัน ฟังหัวหน้าพูดอย่างกับลืมพวกเราไปแล้ว” เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งก่อน เธอจึงบอกให้พวกหูปิงหยุดกิจการร้านคาราโอเกะและบาร์ไว้ก่อน แต่ไม่ได้บอกว่าต่อไปจะให้ทำอะไร


 


 


อีลั่วเสวี่ยรู้สึกละอายเล็กน้อย “ขอโทษที ช่วงนี้ฉันยุ่งนิดหน่อย”


 


 


“เรารู้ คราวก่อนโทร.หา หัวหน้าก็ปิดเครื่อง เราก็เลยรอให้ผ่านไปหลายวันค่อยโทร.มาใหม่ หัวหน้า สั่งหน่อยว่าจะให้เราทำอะไรต่อ พี่น้องว่างจนจะขึ้นราอยู่แล้วครับ”


 


 


“ใช่ครับหัวหน้า ไม่งั้นให้เรากลับไปทำเปิดร้านเถอะ” อย่างมากก็ปิดร้านเร็วขึ้นหน่อย คนพวกนั้นคงไม่มาก่อกวน ถ้าไม่ทำมาหากิน พวกเขาใกล้จะกินดินแทนข้าวอยู่แล้ว ไม่สิ ถึงหัวหน้าจะให้บัตรธนาคารไว้ แต่พวกเขาจะกินข้าวแล้วไม่ทำอะไรได้เหรอ”


 


 


อีลั่วเสวี่ยเดินขึ้นชั้นบนพลางมุ่นคิ้วเล็กน้อย “ทางนั้นอย่าเพิ่งใจร้อนรีบเปิดร้าน พวกนายอยากทำงาน ฉันจะหางานให้ทำ” ร้านคาราโอเกะและบาร์ทำกำไรได้ไม่น้อย แต่สถานที่ที่มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกัน ถ้าไม่มีอิทธิพลหนุนหลัง กำปั้นไม่ใหญ่พอ ก็จะเกิดเรื่องแบบครั้งก่อนอีก


 


 


 


 


ตอนที่ 301 ไปทำงานบริษัทฉัน


 


 


ดังนั้นอีลั่วเสวี่ยจึงต้องการฝึกฝนคนเหล่านี้ ให้มีฐานะที่เหมาะสม สามารถจัดการปัญหาด้วยตนเองได้แล้วค่อยกลับไป ทำอย่างนี้แล้วต่อให้มีใครมาหาเรื่อง ก็สามารถจัดการกับคนพวกนั้นได้


 


 


สำหรับคนของเธอแล้ว จะปล่อยให้เกิดเรื่องอันตรายอย่างครั้งก่อนไม่ได้เด็ดขาด


 


 


“แต่หัวหน้าครับ ค่าเช่าทางนี้ไม่ถูกเลย อยู่ว่างๆ ย่อมสิ้นเปลืองเกินไปครับ!” เสียงอาหม่านดังขึ้น เขารู้สึกร้อนใจ


 


 


มุมปากอีลั่วเสวี่ยกระตุกเล็กน้อย “ตอนนี้พวกนายอยู่ที่ไหน เตรียมตัวหน่อย ฉันจะพาพวกนายไปทำงาน อ้อ แต่งตัวให้เรียบร้อยด้วย ตามนี้นะ ฉันเปลี่ยนชุดแล้วจะออกไป”


 


 


พอวางสายแล้ว หูปิงกับอาหม่านและพวกต่างมองหน้ากันไปมา “เมื่อกี้หัวหน้าว่าไงบ้าง?”


 


 


“หัวหน้าบอกว่าจะพาพวกเราไปทำงาน ที่แท้เธอเตรียมทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว ฮือ ฮือ ซาบซึ้งเหลือเกิน” ดวงตาเสี่ยงเฟิงเป็นประกาย นับจากคราวที่แล้วที่อีลั่วเสวี่ยช่วยดึงตัวเขาออกมาจากเงื้อมมือพญายมโดยไม่ต้องใช้ยาไม่ต้องไปโรงพยาบาล เขาจึงถือเธอเป็นไอดอลของตนเองทันที


 


 


“ไม่เสียทีที่เป็นหัวหน้า!” ดวงตาของจินกวงดูเจิดจ้า ถูมือไปมา


 


 


จากนั้นก็หันมาสบตากับหวังเทา แล้วพูดออกมาพร้อมกัน “อย่าให้หัวหน้าต้องรอนาน รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า!” แล้ววิ่งไปที่ห้องของตัวเองรื้อหาเสื้อผ้า


 


 


เลือกที่สะอาดเรียบร้อย ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นชุดทำงาน ดูค่อนข้างเรียบร้อยก็น่าจะใช้ได้แล้ว พวกเขาเคยทำงานมาก่อน เพียงสิบห้านาทีทุกคนก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ แล้วช่วยกันจัดชุดให้เข้าที่ จากนั้นก็รออยู่ข้างโทรศัพท์


 


 


ติงตัง เสียงใสราวกับน้ำหยดดังขึ้น หูปิงหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูทันที เป็นข้อความที่อีลั่วเสวี่ยส่งมา บอกให้พวกเขาไปที่ถนนXXX ไปรอที่ใต้ตึกของบริษัท EW


 


 


“ไปสิ มัวยืนเซ่ออยู่ได้” หูปิงตะคอก เสี่ยงเฟิง จินกวง อาหม่านและหวังเทารีบเดินตามไปทันที นั่งเบียดกันในรถที่ค่อนข้างกว้างแล่นตรงไปยังเป้าหมาย


 


 


เมื่อพวกเขาจอดรถ การปรากฏตัวกลุ่มคนห้าคนนี้ทำให้ผู้คนที่นี่แปลกใจทันที แม้ว่าพวกเขาจะไม่หล่อเหลาสะดุดตาก็ตาม แต่บนตัวก็มีลักษณะสุขุมน่าเชื่อถือ บวกกับขณะนี้ใส่เสื้อผ้าสะอาดมีระเบียบ จึงกลายเป็นจุดสนใจ


 


 


ทั้งห้ามองดูรอบๆ แต่ยังไม่เห็นอีลั่วเสวี่ย


 


 


“พี่ปิง เรามาเร็วไปไหม หรือลองโทรถามดูว่าหัวหน้ามาหรือยัง?” อุดอู้อยู่แต่ในห้องมานาน แดดตอนนี้แยงตาเกินไป


 


 


“อย่าถามดีกว่า หัวหน้าเป็นผู้หญิง ขับรถเร็วไม่ปลอดภัยหรอก” เสี่ยวเฟิงเพิ่งพูดจบก็มีเสียงเบรครถกะทันหันดังขึ้นไม่ไกลจากตัวเขานัก จากนั้นก็มีหญิงในชุดกระโปรงยาวรัดรูปใส่รองเท้าส้นสูงเดินลงจากรถ


 


 


“หัว หัว…หน้า”


 


 


อีลั่วเสวี่ยขณะนี้ปล่อยผมยาวคลุมไหล่ ผมที่เป็นลอนถูกลมพัดปลิวจนยุ่งเล็กน้อย มือซ้ายถือกระเป๋าใบเล็ก กำลังเดินมายังพวกเขาด้วยท่วงท่าสง่างาม กิริยาท่าทางดูสูงศักดิ์ ท่าทางราวกับดาราที่เดินบนพรมแดง


 


 


“ดูสีหน้าแต่ละคนสิ หรือว่าบนหน้าฉันมีอะไรผิดปกติ?” อีลั่วเสวี่ยขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกใจ


 


 


แววตาเสี่ยวเฟิงดูเคลิบเคลิ้ม แน่นอนว่านี่เป็นแววตาแบบของแฟนคลับ “เปล่า เปล่าครับหัวหน้า ผมรู้สึกว่าหัวหน้าดูมีสง่าราศีและสวยขึ้นกว่าที่เราเห็นคราวก่อน”


 


 


ใบหน้าดูเหมือนจะงามละเอียดกว่าเดิม แต่ไม่ใช่ความงามที่ดูขัดตา ดูเป็นธรรมชาติมาก เป็นความงามที่ดูสูงศักดิ์


 


 


ดวงตาอีลั่วเสวี่ยหลุบลงเล็กน้อย ดูแล้วที่เธอใช้ครีมยาของเจ้าลูกบอลเงินตอนนี้ได้ผลแล้ว ดีมาก


 


 


“พูดน้อยหน่อย ตามฉันเข้าไปเถอะ” อีลั่วเสวี่ยพูดจบก็เดินนำหน้า หูปิงกับพวกเดินตามหลัง


 


 


“จริงสิหัวหน้า หัวหน้าจะพาเราไปบริษัทไหน เถ้าแก่เป็นใครเป็นเพื่อนของหัวหน้าหรือ ทำงานด้วยง่ายไหม?” แฟนคลับขนานแท้อย่างเสี่ยวเฟิง คำถามที่ทุกคนอยากถาม


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้มทันที “บริษัทใครงั้นหรือ? สามารถจัดคนเข้าทำงานตามใจชอบ แน่นอนว่าเป็นบริษัทของฉันเอง หรือพวกนายไม่อยากมาทำงานบริษัทฉันหรือ?”



ตอนที่ 302 บริษัทเราไม่รับคน


 


 


“บริษัทของหัวหน้า เอ๊ะ…หัวหน้ายังเรียนหนังสืออยู่ไม่ใช่หรือครับ ดูเหมือนจะอยู่ปีสาม เหมือนพี่ปิงเลย” ดวงตาเสี่ยวกวงเจิดจ้า สีหน้าชื่นชมอย่างออกนอกหน้า


 


 


อีลั่วเสวี่ยเหลือบมองเสี่ยวเฟิง “แปลกนักหรือไง ใครบอกว่าเรียนหนังสืออยู่แล้วมีบริษัทของตัวเองไม่ได้” บริษัทนี้เธอรับต่อมาจากอีลั่วเยี่ย เธอปลดคนงานเดิมออกหมด ต่อมาหลังจากที่เธอปรึกษากับเฉวียนหมิงแล้ว เขาได้จัดคนของตนหลายคนมาทำหน้าที่รับผิดชอบที่นี่ เธอพอใจมาก ปกติถ้ามีเรื่องที่ต้องให้เธอตัดสินใจเธอจึงจะมา


 


 


เธอเอาอย่างเฉวียนหมิงที่บริหารด้วยการปล่อยมือ ที่จริงไม่เหมือนทีเดียวหรอก เพราะเธอเป็นเถ้าแก่ที่ปล่อยมืออย่างสมบูรณ์ บางครั้งในหนึ่งสัปดาห์ไม่ได้โผล่ที่นี่เลยสักครั้ง


 


 


แต่แหล่งที่มาของเงินสำหรับเธอไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็นลูกบอลเงินซึ่งเป็นร้านค้าระหว่างดวงดาว แม้จะเป็นสินค้าที่ราคาถูกบนโลกนี้ แต่ของเหล่านี้ไม่มีในดาวดวงอื่น ดังนั้นเธอจึงอาศัยลูกบอลเงินขายของเหล่านี้ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทองเลย


 


 


แต่เธอต้องการบริษัทที่มีสถานภาพชัดเจน เมื่อเป็นเช่นนี้เธอจึงจะสามารถใช้เงินได้อย่างมีที่มาที่ไป เพราะถ้าคุณเป็นคนที่ไม่มีงานทำ แต่กลับใช้เงินมือเติบ ย่อมทำให้คนอื่นสงสัย


 


 


อีกประการหนึ่งถ้าอยากยืนอย่างมั่นคงบนโลกนี้ ของนอกกายบางอย่างก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น พูดง่ายๆ ก็คือเงิน ถ้าไม่มีเงิน ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนทำไม่สำเร็จ อย่างแหวนหยกของเธอก็ใช้เงินซื้อกลับมาไม่ใช่หรือ


 


 


“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง เพียงแต่พวกเรารู้สึกแปลกใจครับ” หวังเทากลืนน้ำลาย ได้ยินว่าหัวหน้าของพวกตนเป็นลูกบุญธรรมของบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง บริษัทนั้นยังล้มไปแล้ว คนครอบครัวเธอยังย้ายออกไปจากเมือง F แล้วด้วย


 


 


“มีอะไรต้องแปลกใจหรือ ไปกดลิฟท์ซะ” อีลั่วเสวี่ยไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี ที่จริงเธอก็เดาออกว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงแปลกใจ การเปิดร้านเล็กๆ สักร้าน ดำเนินกิจการที่ลงทุนน้อย คนที่พอมีฝีมือบ้างก็ทำได้


 


 


แต่การเปิดบริษัท ต้องมีทุนจดทะเบียน รับสมัครพนักงาน ไม่ว่าจะเริ่มงานอะไรก็ต้องใช้เงิน ไม่ง่ายอย่างการเปิดร้าน ถ้าบริหารไม่ได้ ระดับความเสียหายสูงกว่าการเปิดร้านมาก อาจเป็นมีหนี้สินพอกพูนจำนวนมาก


 


 


“หัวหน้า ชั้นไหนครับ?” อาคารธุรกิจแห่งนี้ แต่ละชั้นเป็นบริษัทต่างกัน


 


 


อีลั่วเสวี่ยเม้มปาก “ชั้นแปด บริษัท EW”  เป็นชื่อย่อของบริษัทอีหว่าน เดิมไม่อยากใช้ชื่อนี้หรอก แต่อีลั่วเสวี่ยคิดว่าการคิดชื่อใหม่ยุ่งยาก จึงใช้ชื่อเดิม


 


 


เมื่ออีลั่วเสวี่ยพาหูปิงกับพวกเดินเข้าไปในลิฟท์ ในนั้นมีหลายคนขึ้นลิฟท์มาจากลานจอดรถชั้นใต้ดิน พอเห็นพวกเขาซึ่งสวมเสื้อผ้าพื้นๆ ก็ส่งเสียงดูถูกออกมาทางจมูก


 


 


“เอ๊ะ?” เสี่ยวเฟิงกำลังจะกดปุ่ม กลับพบว่ามีคนกดปุ่มชั้นแปดแล้ว จึงเดินไปที่มุม ปล่อยที่ว่างให้อีลั่วเสวี่ยและคนอื่น


 


 


นางปีศาจน้อยคนนี้ แต่งตัวสะอาดสอ้านเป็นระเบียบอย่างนี้ คงจะเป็นเลขานุการของเถ้าแก่สักคน? ไม่ต้องคิด อีลั่วเสวี่ยก็รู้สึกถึงสายตาของคนที่อยู่ด้านหลัง


 


 


หวังเทากับพวกเดิมทำอาชีพอะไรล่ะ ถือว่ากึ่งนักเลงหัวไม้ พอเห็นหัวหน้าพวกตนถูกดูถูก ก็นึกโมโห สีหน้าเครียดขึ้นทันที


 


 


อีลั่วเสวี่ยหันมาถลึงตาใส่ ปรามไม่ให้พวกเขาก่อเรื่อง ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ประมูลใต้ดินที่อาศัยกำปั้นพูดแทน พอเห็นเช่นนี้หวังเทาได้แต่เบ้ปาก แล้งเงียบขรึมลง


 


 


อีลั่วเสวี่ยมองดูผู้หญิงคนนั้นที่ท่าทางมั่นใจในตัวเองสูง ใส่ชุดเรียบร้อยเป็นระเบียบ เหลือบมองป้ายชื่อของเธอ แล้วดวงตาเปลี่ยนเป็นลึกล้ำยิ่งขึ้น


 


 


เมื่อเสียงลิฟท์ดังขึ้น ขณะที่พวกเขาเตรียมเดินออกไป ตรงกลางมีที่ว่าง หญิงสาวที่ดูถูกอีลั่วเสวี่ยจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ แล้วเดินออกไปอย่างเย่อหยิ่ง


 


 


เพิ่งเดินออกจากลิฟท์ เดินไปที่เคาน์เตอร์ ทันใดนั้นหญิงสาวคนนั้นก็หันกลับมา แล้วเห็นอีลั่วเสวี่ยกับพวก สีหน้าไม่พอใจทันที


 


 


“พวกคุณมาหาคนหรือ?”


 


 


 


 


ตอนที่ 303 พวกเขาเป็นเพื่อนฉัน


 


 


หูปิงกับพวกหันมามองอีลั่วเสวี่ยทันที ดูแล้วผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นพนักงานของหัวหน้าพวกเขา จะเป็นเพื่อนร่วมงานในวันหน้าของพวกเขา ถ้าพวกเขาขืนบุ่มบ่ามพูดอะไรไป เกิดทำให้ไม่พอใจย่อมไม่ดี


 


 


จะทำให้หัวหน้าลำบากใจไม่ได้ อยู่นิ่งเฉยจะดีกว่า


 


 


อีลั่วเสวี่ยเชิดมุมปากขึ้น มองดูหญิงสาวคนนี้ด้วยสีหน้าล้อเล่น ดูเหมือนเธอจะจำไม่ได้ว่ามีพนักงานคนนี้ หรือว่าเธอไม่ได้มาครึ่งเดือน เป็นคนที่รับเข้ามาใหม่?


 


 


“เรา เรามาหางานทำ” ก็มางานทำจริงๆ ไม่ใช่หรือ เธอบอกแล้วว่าจะพาหวังเทากับพวกมาทำงาน ยังไงก็ต้องมาที่นี่


 


 


หญิงสาวหัวเราะทันที “ขอโทษด้วย ฉันเป็นคนของบริษัทนี้ เราไม่รับคนงาน หรือพวกคุณมาผิดที่แล้ว?” น้ำเสียงดูแคลนมาก


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้ม “คุณแน่ใจหรือ?”


 


 


“ฉันย่อมจะแน่ใจ หลี่มี่ เธอว่าใช่ไหม เราไม่ได้รับแจ้งจากชั้นเหนือว่ามีการรับพนักงาน” เธอย่อมแน่ใจ เพราะพี่ชายเธอรับผิดชอบด้านงานบุคคล ปกติเขารับผิดชอบด้านการรับคนงานหรืองานต้อนรับ


 


 


เพราะฉะนั้นเธอจึงแน่ใจมากว่าระยะนี้บริษัท EW ไม่เปิดรับพนักงาน เพราะพนักงานที่มีอยู่ยังรองรับงานได้ ไม่จำเป็นต้องเพิ่มคน เป็นการเพิ่มรายจ่ายและต้นทุน


 


 


หลี่มี่เป็นพนักงานที่เคาน์เตอร์ ปกติเธอจะนั่งอยู่ เพราะคนที่จะเข้าบริษัทต้องสแกนลายนิ้วมือเพื่อเข้าไป ถ้าเป็นแขกมาเยือน ต้องมาหาเธอโดยตรง คนที่พูดตอนนี้ชื่อไป๋เสวี่ย เป็นน้องสาวของไป๋อิ๋น ปกติเป็นคนเย่อหยิ่ง หลี่มี่ไม่กล้าผิดใจด้วย จึงไม่อยากยุ่งเกี่ยว


 


 


“เออ? ดูเหมือน…ฉัน…ฉันไม่รู้นะ” พอลุกขึ้นมาอยู่ตรงหน้าอีลั่วเสวี่ย หลี่มี่ถึงกับตาค้าง คุณพระช่วย ที่แท้เป็นเถ้าแก่ ดูแล้วเถ้าแก่คงพาคนมา ตอนแรกคิดว่าคงจะเป็นอย่างที่ไป๋เสวี่ยพูด แต่เธอรีบเปลี่ยนคำพูดทันที


 


 


ทั้งยังเตรียมจะพูดทักทายกับอีลั่วเสวี่ย แต่คิดไม่ถึงว่าอีลั่วเสวี่ยจะส่งสายตาให้ ทำให้เธอพูดไม่ออก


 


 


ไป๋เสวี่ยไม่พอใจทันที “จะไม่รู้ได้หรือ บริษัทเราเพิ่งประชุมเมื่อวานเอง”


 


 


“ดูแล้วคุณไป๋เองก็ไม่แน่ใจ ถ้าเป็นอย่างนี้คุณยังจะขวางพวกเราไว้หรือ?” รอยยิ้มอีลั่วเสวี่ยเย็นชา ขณะที่ท่าทีของเธอเหมือนเป็นการตบหน้าไป๋เสวี่ย


 


 


“คุณรออยู่นี่ ฉันจะไปตรวจสอบก่อน เราเป็นบริษัทที่มีมาตรฐาน ถ้าไม่ใช่พนักงานของบริษัท ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไปในบริษัท เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับรั่วไหล” ขณะที่พูดไป๋เสวี่ยยังกัดฟันกรอด


 


 


อีลั่วเสวี่ยเอามือกอดอก รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป “เอ๊ะ ดูท่าทางคุณไป๋แล้วน่าจะกำลังฝึกงานอยู่ เด็กฝึกงานมีสิทธิ์วางอำนาจแบบนี้หรือไง?”


 


 


“คุณว่าใครวางอำนาจ ตั้งใจมาหาเรื่องใช่ไหม รปภ. ช่วยเชิญเธอคนนี้กับพวกออกไปด้วย” ในใจไป๋เสวี่ยแน่ใจว่าบริษัทไม่ได้เปิดรับพนักงาน แล้วออกคำสั่งไล่แขกกับอีลั่วเสวี่ย


 


 


ส่วนหลี่มี่ที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับยกมือขึ้นกุมปาก พูดอะไรไม่ออก คุณพระช่วย ถึงกับกล้าไล่เถ้าแก่ของเรา ร้ายกาจจริงๆ


 


 


พอรปภ.เดินมา เห็นอีลั่วเสวี่ยก็พากันผงะ


 


 


“ต้องทำยังไง ฉันคิดว่าฉันคงไม่ต้องสั่งนะ พาไป” อีลั่วเสวี่ยขมวดคิ้ว สายตากวาดมาบนร่างไป๋เสวี่ย รปภ.สองคนที่เดินมา คว้าแขนไป๋เสวี่ยคนละข้าง


 


 


“พวกนายทำอะไร ฉันให้พวกนายพาเธอออกไป” ไป๋เสวี่ยโมโหจนแทบจะพูดไม่ออกอยู่แล้ว คนพวกนี้ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง เดี๋ยวเถอะ จะให้พี่ชายไล่สองคนนี้ออก


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้มหยัน “เพื่อนที่ฉันพามา คนทั้งบริษัทยังไม่มีใครกล้าไล่ออกไป ใครให้ความกล้าและอำนาจกับเธอ?”


 


 


พออีลั่วเสวี่ยพูดเช่นนี้ ไป๋เสวี่ยดูเหมือนเกิดรู้สึกว่าเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหนมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออก แต่เธอรู้แล้วว่าวันนี้ดูเหมือนเธอจะก่อเรื่องขึ้นแล้ว


 


 


“ฉัน…”


 


 


“พาเธอไปที่ห้องควบคุม เดี๋ยวไปเรียกไป๋อิ๋นมาพาไป” อีลั่วเสวี่ยพูดจบก็เดินไป



ตอนที่ 304 ทำจากระดับล่างขึ้นไป


 


 


วางฝ่ามือลงบนเครื่องตรวจเบาๆ ประตูเปิดออกอัตโนมัติ หูปิงกับพวกเดินตามหลังเธอติดๆ


 


 


รปภ.มองตามหลังที่ดูสง่างามของอีลั่วเสวี่ยไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วมองดูไป๋เสวี่ย “นี่คุณไป๋ ปกติคุณไม่เห็นหัวพวกเราก็แล้วไปเถอะ เพื่อเห็นแก่หน้าของหัวหน้าไป๋ เราไม่ถือสาคุณได้ แต่คุณกลับจะไล่เถ้าแก่บริษัทเรา คุณคิดจะบริหารแทนท่านงั้นหรือ?”


 


 


ไป๋เสวี่ยตะลึง “ไม่ใช่สิ ไหนบอกว่าบริษัทเราเป็นบริษัทลูกของเฉวียนกรุ๊ปไม่ใช่หรือ ทำไมเถ้าแก่เราถึงเป็นผู้หญิงล่ะ?” เดี๋ยวก่อน ตอนนั้นพี่ชายตัวเองบอกว่าดูเหมือนบริษัทเล็กแห่งนี้มีเฉวียนกรุ๊ปคอยคุ้มครองอยู่ ถ้างั้นเป็นตัวเธอเองที่เข้าใจผิดว่าบริษัท EW เป็นบริษัทลูกของเฉวียนกรุ๊ป พอคิดถึงตรงนี้หน้าผากไป๋เสวี่ยก็มีเหงื่อซึมออกมา


 


 


สองรปภ.เห็นเช่นนี้ก็ปล่อยมือจากตัวเธอ “คุณไป๋ คำสั่งท่านประธาน เราไปดื่มชาที่ห้องชาเถอะ” ข้างห้องควบคุมเป็นห้องชาของพวกเขา ปกติมีเพียงพนักงานทำความสะอาดกับพวกเขารปภ.ใช้ห้องนี้


 


 


ไป๋เสวี่ยเหมือนถูกรุมเล่นงาน เดินไปข้างหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง เดินไปสองสามก้าวจึงหยิบมือถือออกมา โทรหาพี่ชาย เตรียมขอร้องเขา ขณะนี้เธอเข้าไปในบริษัทไม่ได้ ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะกล่าวขอโทษยอมรับผิด


 


 


ไป๋อิ๋นอยู่ในบริษัท มีโทรศัพท์แจ้งมาจากเคาน์เตอร์ด้านหน้า บอกว่าเถ้าแก่มาตรวจงาน เขาปลีกตัวเดินออกมาจากห้องทำงานทันที แต่แล้วมือถือก็ดังขึ้น ขณะเดียวกันเห็นอีลั่วเสวี่ยเดินตรงมาพอดี จึงรีบตัดสายโดยไม่ต้องคิด


 


 


อีลั่วเสวี่ยมองเห็นแล้ว รอยยิ้มที่มุมปากดูเย็นชา “ไป๋อิ๋น”


 


 


“สวัสดีครับท่านประธาน” ไป๋อิ๋นเดินตรงมาหา ท่าทางอ่อนน้อมมาก ชุดสูทไม่มีฝุ่นจับแม้แต่น้อย ดูภูมิฐาน สายตาเขากวาดไปที่ชายห้าคนด้านหลังเธอ รู้สึกแปลกใจมาก


 


 


เถ้าแก่คงอยากหางานให้คนของตนเอง โทรมาบอกก็พอแล้ว ทำไมต้องมาส่งด้วยตัวเอง เขานึกสงสัยแต่ไม่กล้าเอ่ยถาม


 


 


จากนั้นอีลั่วเสวี่ยก็พาทั้งห้าคนเข้ามาในห้องทำงาน ห้องทำงานของเธอใหญ่โตมาก ปกติเธอไม่มาก็จะล็อคห้องไว้ ถ้าเธอไม่อยู่ไม่ชอบให้ใครเข้ามาในพื้นที่ของเธอ


 


 


“หัวหน้าครับ นี่ห้องทำงานของหัวหน้าหรือ เลิศหรูจริงๆ” เสี่ยงเฟิงกับอาหม่านมองสำรวจรอบๆ แววตาตื่นเต้น ยังกว้างใหญ่กว่าบ้านที่พวกเขาอยู่


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้ม “ก็พอใช้ได้ นั่งกันตามสบาย ไปอิ๋น นั่งนี่”


 


 


ไป๋อิ๋นซึ่งเป็นนักธุรกิจมือเก่าสังเกตเห็นท่าทางรำคาญใจของอีลั่วแล้ว น้ำเสียงจึงยิ่งระวังเพิ่มขึ้น “ท่านประธานมาวันนี้ มีเรื่องเร่งด่วนอะไรจะสั่งการครับ” พูดพลางชำเลืองมองหวังเทากับพวก


 


 


ถึงกับเรียกท่านประธานว่าหัวหน้า แปลกจริง


 


 


“ใช่แล้ว คุณจัดงานให้สามตำแหน่ง ไม่ต้องสูงนัก เหมือนรับพนักงานทั่วไป ดูว่าพวกเขาเหมาะที่จะทำอะไร จัดคนเป็นพี่เลี้ยงให้ด้วย ไม่ต้องเห็นแก่หน้าพวกเขา ควรจะทำอะไรก็ให้พวกเขาทำ”


 


 


จากนั้นเธอก็มองมาที่อาหม่าน หวังเทาและจินหวง “แม้จะเป็นฉันพาพวกนายเข้ามา แต่ก็มีโอกาสมากว่าคนอื่นเล็กน้อยเท่านั้น จะไม่มีเงื่อนไขพิเศษให้พวกนาย ตำแหน่งก็เริ่มจากระดับล่างขึ้นไป มีความเห็นอะไรไหม?”


 


 


หวังเทากับพวกผงกหัวหงึกๆ “ไม่มีครับ” หัวหน้าให้พวกเขาทำงาน จะกล้ามีความเห็นหรือ


 


 


“งั้นดีแล้ว เดี๋ยวพวกนายตามหัวหน้าไป๋ไปทำเอกสารเข้าทำงาน เริ่มทำงานตั้งแต่วันนี้ มีเงินเดือนให้ ถือตามพนักงานฝึกงาน” แม้จะเป็นการฝึกงาน แต่บริษัทของพวกเขาจ่ายค่าตอบแทนสูงมาก เพราะจัดว่าเป็นบริษัทระดับแนวหน้า


 


 


หูปิงกับเสี่ยวเฟิงชี้มาที่ตัวเอง “งั้นหัวหน้า เราสองคนล่ะ ให้เราทำอะไรครับ” ดูเหมือนจะไม่ได้จัดงานให้พวกเขา หรือลืมไปแล้ว?


 


 


 


 


ตอนที่ 305 นายสองคนกลับไปเรียนต่อ


 


 


อีลั่วเสวี่ยมองดูสองคนนี้ เลิกคิ้วขึ้นพลางยิ้ม “นายสองคน? นายสองคนกลับไปเรียนต่อ”


 


 


พอเธอพูดเช่นนี้ ทั้งสองต่างงุนงง แล้วพูดขึ้นพร้อมกัน “เพราะอะไร?”


 


 


เสี่ยวเฟิงเบ้ปาก “หัวหน้า ผมเรียนจบแล้วนะ หัวหน้าให้พี่ปิงไปเรียนต่อก็พอครับ”


 


 


“เรียนจบแล้ว? อีลั่วเสวี่ยหรี่ตาลง จะหลอกเธองั้นหรือ เสี่ยวเฟิงเพิ่งอายุสิบเก้า อ่อนกว่าเธอหลายปี ยังเรียนในมหาวิทายาลัยไม่จบ จะบอกว่าเรียนจบได้หรือ


 


 


เสี่ยวเฟิงไม่กล้าสบตากับอีลั่วเสวี่ย เขากลืนน้ำลาย แล้วพูดหน้าตาย “ผม…ผมจบมัธยมปลายแล้วครับ”


 


 


“งั้นก็ถูกแล้ว ไปเรียนให้จบมหาวิทยาลัยก่อน แล้วค่อยว่า บริษัทของเจ๊ต้อนรับนายกลับมาเสมอ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ส่วนนาย หูปิง นายจะเริ่มต้นจากนักศึกษาปีสองไปตลอดชีวิตงั้นหรือ?”


 


 


คำพูดของอีลั่วเสวี่ยทำให้หูปิงละอายใจ เขาลูบศีรษะตัวเอง แล้วพูด “หัวหน้า ฟังผมอธิบายก่อน ผมมีเหตุผลครับ” การเป็นนักศึกษาเป็นวิธีอำพรางตัวเองของหูปิง ส่วนการเรียนไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างไร เพราะเขาแทบจะไม่ไปเรียนเลย


 


 


“ตอนนี้ฉันไม่อยากฟัง ทำตามนี้แหละ ถ้าถือว่าฉันเป็นหัวหน้า ก็ทำตามที่ฉันจัดการ” สุดท้ายทั้งคู่ก็เบ้ปาก ไม่พูดอะไรอีก


 


 


ไป๋อิ๋นนั่งนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ พอเห็นเช่นนี้จึงพูดขึ้น “ท่านประธาน งั้นตอนนี้ผมจะพาพวกเขาไปทำเอกสารจ้างงาน ไปจัดงานให้พวกเขาเลยครับ”


 


 


อีลั่วเสวี่ยสั่นศีรษะ “ไม่ต้องรีบร้อน จัดการเรื่องน้องสาวคุณก่อนแล้วค่อยว่า”


 


 


ไป๋อิ๋นได้ฟังเช่นนี้ก็หน้าซีดเผือดทันที เขากลืนน้ำลายด้วยความเครียด แล้วจับเน็กไทอย่างไม่รู้ตัว “ท่านประธาน ผมกำลังจะรายงานเรื่องนี้กับท่านพอดี น้องสาวผม…”


 


 


“ฉันไม่อยากฟังคำอธิบาย และไม่อยากรู้สาเหตุด้วย จำที่ฉันพูดกับพวกคุณวันแรกได้ไหม ฉันไม่รังเกียจที่พวกคุณจะมีญาติพี่น้องทำงานในบริษัทเดียวกันแผนกเดียวกัน แต่ต้องทำให้ได้ถึงขั้นซื่อตรงเต็มที่ คุณบอกฉันหน่อยว่าจำได้ไหม”


 


 


ไป๋อิ๋นหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้าหนักๆ “จำได้ครับ”


 


 


“งั้นคุณก็คงจำได้ว่าฉันพูดอะไร บริษัทหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใจของหมู่คณะ นิสัยใจคอและการอบรม” อีลั่วเสวี่ยพูดช้ามาก สายตามองที่ไป๋อิ๋นตลอดเวลา


 


 


ไป๋อิ๋นพูด “รวมทั้งท่าทีต่อคนและต่อการงาน ความคิดต้องยืดหยุ่น สายตาต้องยาวไกล” นี่เป็นเป้าหมายที่พนักงานอาวุโสเอ่ยถึงบ่อยๆ ในที่ประชุม ต้องมีวัฒนธรรมของบริษัทที่ดี จึงจะกระตุ้นให้พวกเขาเติบโตได้


 


 


อีลั่วเสวี่ยพยักหน้าอย่างพอใจ “คุณทำได้แล้ว แล้วคนอื่นล่ะ อย่างเช่นน้องสาวคุณ”


 


 


“ผม….ท่านประธาน ผมเข้าใจแล้ว ผมย่อมต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ครับ” เขาไม่รู้ว่าน้องสาวตนทำอะไรไป แต่เขาจะปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนอื่นๆ


 


 


“คุณต้องรับผิดชอบ แต่อย่าลืมหลักการของบริษัทเรา ที่ว่าใครทำคนนั้นต้องรับผิดชอบ  ไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์” ที่ต้องรับผิดชอบเพราะหวังว่าทุกคนจะช่วยเหลือกัน ร่วมมือกัน มีจิตใจที่คำนึงถึงหมู่คณะ


 


 


ไป๋อิ๋นชะงัก แล้วพยักหน้า “ครับ ท่านประธาน”


 


 


“พอแล้ว ไปเถอะ จัดการงานเสร็จแล้วค่อยมาพบฉัน”


 


 


จากนั้นไป๋อิ๋นก็พาอาหม่านกับพวกออกไป เหลือเพียงหูปิงกับเสี่ยวเฟิงที่อยู่ต่อ


 


 


เสี่ยวเฟิงวิ่งมาหา เบ้ปากอย่างเป็นทุกข์ ท่าทางน่าสงสาร “หัวหน้าครับ เรียนหนังสือไม่เห็นจะสนุกตรงไหน ผมไม่เรียนได้ไหมครับ ทิ้งเรื่องเรียนมาสองปีแล้ว ตอนนี้คงตามไม่ทัน อย่าเสียเงินเปล่าเลยครับ”


 


 


อีลั่วเสวี่ยย้อนถาม “ไม่อยากไปเรียน นายเตรียมไปเป็นขอทานหรือ?” แม้คำพูดนี้จะเคร่งครัดไปบ้าง แต่การเรียนรู้อะไรบ้างย่อมมีผลดี


 


 


อีกประการหนึ่งโลกนี้ล้วนต้องการหลักฐานรับรองสักใบ ทั้งเสี่ยวเฟิงก็ยังอายุน้อย ถ้าเรียนจบได้จะมีประโยชน์ต่ออนาคตของเขา ไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างสูญเปล่า เรียนมากหน่อยก็จะลดการทางคดเคี้ยวลงได้บ้าง


ตอนที่ 306 การเลือกของเสี่ยวเฟิง 


 


 


“หัวหน้า อย่าเคร่งครัดนักเลย ผมก็แค่ไม่อยากกลับไปตอนนี้ ผม…ลืมความรู้ไปหมดแล้ว หัวหน้าคิดว่าผมจะทำอะไรได้ ผมเองก็จนปัญญาครับ” เสี่ยวเฟิงขมวดคิ้วแน่น สีหน้าทุกข์ร้อน 


 


 


ต้องบอกว่าเสี่ยวเฟิงแสดงสีหน้าได้เก่งเป็นพิเศษ จะหัวเราะจะตีโพยตีพาย ล้วนสามารถทำให้คุณเห็นเขาในรูปลักษณ์ต่างๆ กัน พูดได้ว่าเหมาะที่จะแสดงละคร 


 


 


“งั้นนายอยากทำอะไร ช่างเถอะ นายอยากเรียนด้านไหน ไปตามทิศทางนั้นก็ได้” ถ้าเสี่ยวเฟิงไม่เต็มใจ ก็ไม่ต้องไปเรียน ขอเพียงไปลงชื่อเป็นนักศึกษาของที่ไหนสักแห่ง ถึงตอนนั้นให้มหาวิทยาลัยนั้นออกปริญญาบัตรให้ก็พอ 


 


 


เสี่ยวเฟิงได้ยินเช่นนั้นจึงคิดตรอง ทันใดนั้นดวงตาก็เจิดจ้าขึ้น “หัวหน้า นักแสดง ผมไปเป็นนักแสดงดีกว่า ตั้งแต่เด็กผมก็ฝันอยากเป็นดารา แฮ่แฮ่ น่าเสียดายที่ยังเป็นจริง” 


 


 


ดูเหมือนจะไม่มีความรู้ด้านนี้ ไม่รู้ว่าหัวหน้าจะเห็นด้วยหรือไม่ ทั้งการจะบ่มเพาะนักแสดงคนหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้เป็นดาวจรัสแสง ต้องใช้เงินทุนไม่น้อย 


 


 


อีลั่วเสวี่ยกลอกตารอบหนึ่ง แล้วยิ้ม “แน่ใจนะ?” ถ้าอยากยึดอาชีพนี้กลับเป็นเรื่องง่าย เธอนึกถึงใครคนหนึ่ง น่าจะช่วยเรื่องนี้ได้ 


 


 


“แน่ใจครับ” เรื่องการแสดงเขาถนัดอยู่แล้ว เขาสามารถเรียนรู้บุคลิกต่างๆ กัน สามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกที่ต่างกัน โดยไม่ต้องกดดันตัวเอง 


 


 


เสี่ยวเฟิงจัดว่าค่อนข้างผอม หน้าตาดี แต่งหน้าแต่งตาสักหน่อย บุคลิกหน้าตาไม่เลวเลย ที่สำคัญคือลักษณะอ่อนโยนอบอุ่นของเขา เหมาะที่จะเป็นหนุ่มรูปหล่อ ถ้ามีฝีมือการแสดง ต้องมีสาวๆ เป็นแฟนคลับไม่น้อยแน่ 


 


 


“แต่หัวหน้าครับ ผมก็พูดไปอย่างนั้นเอง จะเป็นนักแสดงไม่ง่ายอย่างนั้น แต่ผมไม่กลัวความลำบากหรอก จะปลุกปั้นดาราคนหนึ่งขึ้นมา ต้องใช้เงินไม่น้อย บริษัทเราดูเหมือนจะเพิ่งก่อตั้งเพียงครึ่งปี ผมว่าช่างเถอะครับ ผมกลับไปคิดดูอีกทีว่าอาชีพไหนเหมาะกับผม” 


 


 


เสี่ยงเฟิงคิดทบทวนแล้ว จึงเปลี่ยนเรื่อง อีลั่วเสวี่ยเป็นหัวหน้าของพวกเขา ตามหลักแล้วพวกเขาเป็นลูกน้องควรจะทำงานให้เธอ จะให้เธอทำเพื่อพวกเขาได้อย่างไร 


 


 


“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา วิธีที่จะเข้าไปฉันก็หาได้ อีกอย่างการเป็นนักแสดงก็หาเงินได้ ฉันพอช่วยนายได้บ้าง ที่เหลือต้องดูว่านายมีความพยายามพอไหม แน่นอนว่าฉันยังมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง” อีลั่วเสวี่ยกลอกตา แววตามีความหมายลึกซึ้ง 


 


 


ไม่ใข่เธอตระหนี่ แต่เธอต้องการให้เสี่ยวเฟิงรู้ว่าแวดวงบันเทิงไม่ใช่ที่ที่สนุกอะไร ถ้าไม่มีฝีมือในการแสดง อาศัยแค่มีคนหนุนหลังและมีเงินทุนก็ไม่อาจโด่งดังได้ ถ้าไม่ใช่ดาราดังก็เปล่าประโยชน์ และเธอจะไม่ใช้จ่ายเงินเพื่อเรื่องนี้เกินความจำเป็น 


 


 


อีกประการหนึ่ง ถ้าไม่รู้จักอดทนต่อความยากลำบาก จะให้แฟนๆ สนับสนุนและรักคุณได้อย่างไร 


 


 


“เงื่อนไขอะไรครับ ผมไม่กลัวลำบากเลย หัวหน้าพูดมาเลยครับ” 


 


 


“เงื่อนไขก็คือปีนี้ที่นายไปเป็นนักแสดง ต้องเรียนมหาวิทยาลัยให้จบด้วย” จะไปเรียนมหาวิทยาลัยไหน ปัญหานี้ไม่ยาก การจะมอบตำแหน่งให้ใครสักคนนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่เธอต้องการรู้ว่าเสี่ยวเฟิงควรค่าต่อการบ่มเพาะหรือไม่ 


 


 


ดวงตาเสี่ยวเฟิงเจิดจ้าขึ้นทันที “ไม่มีปัญหาครับ หัวหน้า ผมจะพยายามให้หัวหน้าเห็น” สามารถทำให้ความฝันเป็นจริงทั้งยังไม่ทิ้งการเรียนด้วย โอกาสดีอย่างนี้เขาจะพลาดได้อย่างไร 


 


 


เขาไม่อยากอยู่แค่เวทีคาราโอเกะในบาร์ แต่อยากให้คนมากกว่าได้เห็นเขา 


 


 


หูปิงเห็นเสี่ยวเฟิงเจอเป้าหมายของชีวิตแล้ว จึงตบไหล่เขาเบาๆ “สู้นะ!” 


 


 


“ผมสู้แน่ แต่พี่ปิง ผมใช้เวลาหนึ่งปีเรียนจนจบมหาวิทยาลัย ไม่รู้ว่าพี่จะทำได้ไหม?” เสี่ยวเฟิงพูดเล่น พวกเขาล้วนรู้ว่าหูปิงซ้ำชั้นมาสองปีแล้ว 


 


 


หูปิงสีหน้าไม่พอใจ “นี่ ฉันเคยทำอย่างนี้กับนายหรือ ยังเรียกว่าพี่น้องหรือ พูดเยาะเย้ยฉันแบบนี้” 


 


 


“พูดเยาะเย้ย ผมเยาะเย้ยเขาหรือ หัวหน้า ผมกระตุ้นเขาต่างหาก” เขาพูดพลางเลิกคิ้วขึ้น 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 307 ผมยอมไม่รับเงินเดือน 


 


 


“พอแล้ว ต่อไปนี้อยู่ที่บริษัทให้เรียกฉันว่าท่านประธาน เดี่ยวไปบอกอาหม่านกับพวกด้วย จริงสิ อย่าถือว่าเกี่ยวข้องกับฉันแล้วทำอะไรตามอำเภอใจ ส่วนเรื่องทางบาร์นั้น วันไหนนายไปรวบรวมพี่น้องที่เหลือมา ฉันจะจัดการเอง” 


 


 


หูปิงมีสีหน้าแปลกใจ “ครับ ท่านประธาน” 


 


 


“ท่านประธาน” ถึงตอนนี้เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงของไป๋อิ๋น หูปิงและเสี่ยวเฟิงถอยกลับไปนั่งที่โซฟาด้านข้างทันที นั่งนิ่งไม่พูดอะไร 


 


 


จะให้คนอื่นเห็นว่าพวกเขาเหมือนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงต่อท่านประธานไม่ได้ 


 


 


“เข้ามา” 


 


 


ขณะที่เปิดประตู ไป๋เสวี่ยซึ่งก่อนหน้านี้ท่าทางหยิ่งผยองตอนนี้ยืนก้มหน้า เหมือนอายที่จะพบผู้คน 


 


 


อีลั่วเสวี่ยมองมาที่หูปิงและเสี่ยวเฟิงที่โซฟา แล้วโบกมือ “พวกนายออกไปรอข้างนอกก่อน” 


 


 


“ครับ” ก่อนออกไปเสี่ยวเฟิงหันมามองไป๋เสวี่ยแวบหนึ่ง ทำให้ใบหน้าเธอแดงขึ้นทันที ไม่รู้ว่าโมโหหรืออาย 


 


 


ไป๋อิ๋นเอามือดันศอกไป๋เสวี่ย แล้วตัวเองก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก้มหน้าลง “ท่านประธานครับ ผมไม่รู้ว่าไป๋เสวี่ยทำผิดร้ายแรงอย่างนี้ เป็นความรับผิดชอบของผม ผมยินดีลาออก เพื่อรักษาชื่อเสียงของบริษัทครับ” 


 


 


นี่ไม่ใช่การเอาเรื่งลาออกมาขู่อีลั่วเสวี่ย แต่เพราะบริษัทมีระเบียบ ถ้าไม่มีการลงโทษที่มีผลในแง่ปฏิบัติ เกรงว่าวันหน้าจะเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นอีก 


 


 


ไป๋เสวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นทันที มองอีลั่วเสวี่ยด้วยแววตาวิงวอน “ไม่ ไม่นะ โทษพี่ไม่ได้หรอก…โทษหัวหน้าไป๋ไม่ได้ เป็นความผิดของฉันเองค่ะ ท่านประธานคะ ลงโทษฉันเถอะ จะลงโทษอย่างไรก็ได้ โปรดอย่าไล่ฉันหรือหัวหน้าไป๋ออกเลยค่ะ” 


 


 


ลำบากแทบแย่กว่าที่พี่ชายเธอจะได้งานดีอย่างนี้ เป็นเพราะเธออวดดีเอง ทำให้พี่ชายต้องเสี่ยงแบบนี้ ถ้าเธอทำให้พี่ชายตกงาน ถึงตอนนั้นอาการป่วยของย่า… 


 


 


เธอไม่กล้าจินตนาการ ใบหน้าไป๋เสวี่ยขาวซีดทันที แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าอีลั่วเสวี่ย “ท่านประธานคะ เป็นความผิดของฉันเอง ลงโทษฉันเถอะค่ะ ฉันยอมรับการลงโทษทุกอย่าง อย่างนี้ดีไหมคะ ฉันจะไม่รับเงินเดือน อยู่ต่อในบริษัท จะให้ทำงานอะไรก็ได้ค่ะ” 


 


 


ไป๋อิ๋นขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นน้องสาวคุกเข่าลง แล้วออกแรงดึงเธอขึ้นมา “ไป๋เสวี่ย ทำผิดแล้วต้องรับผิดชอบ พี่บอกเธอมาตั้งแต่เล็ก การขอโทษไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยเอากุมหน้าผาก รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย “ที่จริงนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ยังไงที่เธอพูดก็ถูก บริษัทไม่ได้เปิดรับพนักงาน” ที่ผิดแพราะเธอวางอำนาจ ไล่คนอย่างไร้เหตุผล ถ้าเกิดเป็นแขกที่เธอเชิญมา หรือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัทอื่น ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ก็ส่งผลเสียต่อการร่วมมือและทำให้เสียชื่อเสียง เรื่องนี้ถือว่ารุนแรง 


 


 


“ฉันไม่รู้ว่าครึ่งเดือนมานี้เธอทำประโยชน์อะไรให้บริษัทบ้าง ดังนั้นจะอยู่หรือไปให้ทุกคนตัดสินก็แล้วกัน ก่อนมื้อเที่ยงเปิดประชุมเถอะ พวกคุณออกไปก่อน” 


 


 


ต้องบอกว่าไป๋อิ๋นดูแลงานในแผนกได้ดีมาก ปกติเฉวียนหมิงต้องการให้เธอบ่มเพาะคนของตนเองขึ้นมา ที่เขาพาคนระดับบริหารมาสองสามคนนั้น ที่จริงเพียงทำหน้าที่เสนอความเห็นและชี้แนะในเรื่องที่สำคัญเท่านั้น 


 


 


พูดตามตรงแล้วไป๋อิ๋นคือผู้ที่ทำหน้าที่ตัดสินใจของบริษัท หลังจากขอคำชี้แนะจากอีลั่วเสวี่ยแล้วเขาเป็นผู้นำนโยบายไปปฏิบัติและจัดงาน อีลั่วเสวี่ยจึงไม่อยากเสียบุคลากรอย่างเขาไป แต่ก็ไม่อาจเอาใจจนหยิ่งผยอง แล้ววางอำนาจในบริษัท 


 


 


แววตาไป๋อิ๋นมีความหวังขึ้น เขาเองก็ไม่อยากจากบริษัทนี้ไป แต่ก็ไม่อยากให้ในใจเถ้าแก่เกิดปมค้างคาใจเพราะเรื่องนี้  


 


 


“ครับ ท่านประธาน” เขาพูดแล้วพาไป๋เสวี่ยออกไป 


 


 


ไป๋เสวี่ยเห็นโอกาสที่เอาตัวรอดได้ก็เปลี่ยนจากเศร้าเป็นยิ้ม “ขอบคุณค่ะท่านประธาน ขอบคุณจริงๆ ค่ะ” ขอบคุณที่ผู้ใหญ่ไม่นึกแค้นผู้น้อย ขณะนี้ในใจไป๋เสวี่ยทั้งซาบซึ้งและรู้สึกผิด 


 


 


เวลานี้เธอหวนคิดถึงความผิดที่ตนทำไป ถ้าเป็นบริษัทอื่น เธอคงถูกไล่ออกตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว คงไม่จัดการเงียบๆ อย่างนี้เด็ดขาด 



ตอนที่ 308 เห็นความสำคัญของโอกาส 


 


 


ขณะนี้ในใจไป๋เสวี่ยมีความปรารถนาเพียงอย่างเดียว นั่นคือให้พี่ชายตนยังคงอยู่ในบริษัท ส่วนตัวเธอเองนั้น จะลงโทษอย่างไรเธอยอมทั้งสิ้น เธอไม่ควรหยิ่งโอหังเกินไป 


 


 


พี่ชายเก่งกว่าเธอมาก ทำเช่นนี้อาจทำให้เขาพลอยเดือดร้อนไปด้วย น่าเสียดายที่เวลานี้คิดได้ก็สายไปแล้ว เธอไม่รู้ว่าจะแก้ไขได้หรือไม่ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยมองดูสองพี่น้องสกุลไป๋ผละออกไป แล้วเดินมานั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์ 


 


 


แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยดูแลงานรูปธรรมของบริษัท แต่เมื่อมาบริษัทแล้วก็ต้องทำอะไรบ้าง พอดีตรงกับสุดสัปดาห์ เธอเองก็ไม่มีธุระอื่น ควรที่จะทำความเข้าใจสภาพของบริษัทบ้าง 


 


 


ลูกบอลเงิน “แม่คุณ คนโบราณอย่างเจ้าจะเข้าในธุรกิจสมัยใหม่รึ?” น้ำเสียงมันเต็มไปด้วยความกังขาต่ออีลั่วเสวี่ย 


 


 


“แม้วิญญาณข้าจะเป็นคนโบราณ แต่ข้ายังมีความทรงจำของคนเดี๋ยวนี้ อีกอย่าง ข้ามีพรสวรรค์พิเศษ มีสติปัญญาล้ำเลิศ ไม่ได้หรือไง? เรื่องการค้านั้น ส่วนใหญ่ก็คล้ายกัน” 


 


 


การค้าในสมัยโบราณย่อมง่ายกว่าบ้าง ตั้งร้านอย่างถาวรในที่แห่งหนึ่ง ขอบเขตการค้าขายไม่กว้างใหญ่นัก แต่โลกนี้ต่างออกไป วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวหน้า การคมนาคมสะดวก ขอเพียงคนที่พอมีหัวการค้าบ้าง ทำการค้าเล็กๆ ย่อมไม่ขาดทุน 


 


 


“เชอะ พูดยังกะว่าตัวเองเป็นยอดอัฉริยะ รู้จักถ่อมตัวบ้างไหม” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยยกมุมปากขึ้น “ไม่รู้จัก” จากนั้นก็จัองมองที่จอ นิ้วเคาะที่แป้นพิมพ์ ท่ามือคล่องแคล่วมาก 


 


 


“ท่านประธานครับ น้ำชาของท่าน” อาหม่านเดินถือน้ำชามา เคาะประตูห้องอย่างระวัง แล้วถือน้ำชาเข้ามา 


 


 


การเรียกขานเปลี่ยนไปแล้ว ดูท่าพวกเขาจะเข้าสถานการณ์แล้ว หรือไม่ก็เป็นหูปิงกับเสี่ยวเฟิงที่รออยู่ข้างนอก กำชับพวกเขาแล้ว 


 


 


“วางไว้นั่นแหละ มีอะไรที่ไม่เข้าใจก็ถามพวกเขาได้” ก่อนหน้านี้เธอสัมภาษณ์คนเหล่านี้ด้วยตนเอง ทุกคนไว้ใจได้ 


 


 


อาหม่านพยักหน้าอย่างซาบซึ้งใจ “ครับท่านประธาน ผมเข้าใจแล้ว” จากนั้นก็ผละไป ไม่ได้คุยต่อ 


 


 


ไม่นานนักก็ถึงเที่ยง คราวนี้เป็นพนักงานหญิงที่หน้าตาดี ดูคล่องแคล่วเดินมา เธอเป็นเลขานุการของอีลั่วเสวี่ย และเป็นเลขานุการของไป๋อิ๋นด้วย 


 


 


ทั้งนี้เพราะอีลั่วเสวี่ยเป็นเถ้าแก่ที่ปล่อยมือ เรื่องทั่วไปมักจะพูดกับไป๋อิ๋นโดยตรง จากนั้นให้ไป๋อินจัดการ แล้วรายงานให้เธอรู้ 


 


 


“ท่านประธานค่ะ ที่ท่านสั่งให้ประชุมด่วน ทุกคนไปที่ห้องประชุมแล้วค่ะ” 


 


 


อีลั่วสวี่วางงานในมือลง พยักหน้าแล้วลุกขึ้น “ไปกันเถอะ” การประชุมครั้งนี้เป็นการลงโทษพนักงานที่ทำผิดครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 


 


 


เมื่อมาถึงห้องประชุม อาหม่านกับพวกซึ่งเป็นพนักงานใหม่นั่งอยู่แถวหลังสุด ไม่เห็นไป๋อิ๋นและน้องสาว คนที่เหลือรวมทั้งรปภ.มากันหมดแล้ว นอกจากการประชุมเรื่องงานซึ่งพวกเขาไม่เข้าร่วมแล้ว ถ้าเป็นการประชุมที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม ทุกคนในบริษัทจะเข้าร่วม 


 


 


“ท่านประธานอี” พออีลั่วเสวี่ยเดินเข้ามา ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนกล่าวทักทาย 


 


 


“นั่งเถอะ” อีลั่วเสวี่ยโบกมือให้ทุกคนนั่งลง แล้วเธอไปนั่งในที่นั่งแถวหน้าสุด  


 


 


เธอกวาดตามองทุกคน ทั้งหมดมองตรงไปข้างหน้า ดูท่าคงจะรู้แล้วว่าทำไมจึงเปิดการประชุมครั้งนี้ 


 


 


“การประชุมด่วนวันนี้ ฉันคิดว่าทุกคนคงรู้สาเหตุแล้ว จุดมุ่งหมายที่ฉันเรียกทุกคนมาทุกท่านคงรูแล้ว ไป๋เสวี่ยเป็นพนักงานที่หัวหน้าไป๋รับเข้ามา ฉันพูดแล้ว ฉันไม่ถือสาที่พวกเราใช้เส้นสายนำญาติพี่น้องเข้ามาในบริษัท ขอเพียงทุกคนแยกระหว่างส่วนตัวกับส่วนรวมชัดเจน ฉันสามารถใช้เรื่องนี้เป็นสวัสดิการให้ทุกท่าน” 


 


 


พอพูดจบอีลั่วเสวี่ยก็เปลี่ยนเรื่องทันที น้ำเสียงเย็นชาลง “แต่ไม่อนุญาตให้พาเข้ามาโดยที่ไม่แยกแยะดีชั่ว ฉันจ่ายเงินเดือนได้ แต่ก็ต้องมีผลงานตอบแทน” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 309 ฉันทำให้ทุกคนผิดหวัง 


 


 


ทุกคนมองหน้ากันไปมา ไม่พูดอะไร ต่างมองมาที่อีลั่วเสวี่ย ทุกคนซาบซึ้งใจที่เธอใจกว้างและเข้าใจพวกเขา บางคนในนี้มีประสบการณ์การทำงานมาก่อน เมื่อมาอยู่ที่บริษัทนี้ต่างไม่อยากจากไปไหน 


 


 


เข้างานเลิกงานตามเวลาปกติ เงินเดือนและสวัสดิการสูง ทุกคนทำงานร่วมกันอย่างเบิกบาน ไม่มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ทุกคนปรารถนาให้บริษัทนี้ดีขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจะพลอยได้ดีไปด้วย 


 


 


ดังนั้นตั้งแต่เริ่มเปิดบริษัทจนถึงเดี๋ยวนี้ ยังไม่เคยเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น เพราะทุกคนล้วนมีความตั้งใจที่จะทำงานให้ดี และสามารถทำได้จริง 


 


 


“ที่หัวหน้าไป๋ทุ่มเทให้บริษัทเรา ฉันคิดว่าทุกท่านย่อมรู้ดี” อีลั่วเสวี่ยพูดเท่านี้ ที่เหลือรอดูความเห็นจากคนอื่น 


 


 


คนที่เหลือมองหน้ากันไปมา ลังเลเล็กน้อย แล้วมีคนพูดขึ้น “เวลาที่ท่านประธานไม่อยู่ที่บริษัท หัวหน้าไป๋ทำงานรับผิดชอบมาก หวังว่าท่านประธานจะยอมยกโทษให้ครับ” 


 


 


“ผมเห็นด้วย” คนอื่นไม่พูดอะไรมาก แต่สีหน้าทุกคนล้วนหวังเช่นนี้อย่างจริงใจ 


 


 


“ในฐานะเจ้านาย ฉันย่อมเห็นความทุ่มเทของเขา แต่เรื่องครั้งนี้ทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ฉันเองไม่ใช่คนที่ไม่มีรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ฉันจะให้โอกาสเขา แต่การตัดสินใจให้พวกคุณตัดสิน” 


 


 


พออีลั่วเสวี่ยพูดจบก็หรี่ตาลง มองไปที่ประตู พนักงานที่นั่งติดกับประตูเปิดประตูออกทันที ไป๋อิ๋นกับไป๋เสวี่ยยืนอยู่นอกห้อง พอเห็นประตูเปิดออกจึงเดินเข้ามาในห้อง 


 


 


ไป๋เสวี่ยเงียบขรึม สีหน้ารู้สึกผิด ไม่พูดแม้แต่คำเดียว ในเวลาเช่นนี้ถ้าร้องไห้โวยวายจะยิ่งทำให้คนอื่นรำคาญ ความจริงแล้วสีหน้าเธอเช่นนี้ทำให้ทุกคนนึกสงสาร 


 


 


“หัวหน้าไป๋ คุณคงได้ยินที่ทุกคนพูดแล้ว ฉันยังคงใช้คำพูดเดิม เหมือนที่ทำมา ลงคะแนนตัดสิน ที่คุณบกพร่องต่อหน้าที่ครั้งนี้จะลงโทษอย่างไร ให้ทุกคนหารือแล้วลงคะแนน ไป๋เสวี่ยก็เช่นกัน” 


 


 


ประเทศมีกฎหมายบังคับ บริษัทเธอก็มีระเบียบของบริษัท ควรจะทำอย่างไร ต้องยึดถือตามระเบียบ แต่มองอีกด้านหนึ่ง กฎเกณฑ์เป็นสิ่งที่ตายตัว คนต่างหากที่ยืดหยุ่น ที่สำคัญต้องดูผลงานและความสามารถด้วย 


 


 


ดวงตาไป๋อิ๋นฉายแววตื้นตันใจ เขาเดินมาอยู่ด้านข้างอีลั่วเสวี่ย แล้วค้อมคารวะทุกคน 


 


 


“ต้องขอบคุณทุกท่าน แต่ผมทำผิดต่อความไว้วางใจของท่านประธาน ทำผิดต่อการสนับสนุนของทุกคน ดังนั้นผมยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง ก่อนที่ท่านประธานจะหาคนที่เหมาะสมมาทำหน้าที่แทน ผมจะจัดการมอบหมายงานอย่างชัดเจน” 


 


 


นั่นหมายความว่าก่อนที่เขาจะจากไป รอจนกว่าอีลั่วเสวี่ยจะหาคนใหม่มาได้ เขาจะสะสางงานให้เรียบร้อย เป็นการแสดงความรับผิดชอบ ไม่ใช่จากไปอย่างไม่ใส่ใจ แสดงให้เห็นถึงนิสัยใจคอของคนคนหนึ่ง ความจริงแล้วเท่ากับเขาลาออกก่อนที่จะยื่นใบลาออกแล้ว 


 


 


ไป๋เสวี่ยได้ฟังก็ร้อนใจ “ท่านประธานคะ ใครทำความผิดคนนั้นต้องรับผิดชอบ เป็นความผิดของฉันเอง ฉันเสียมารยาทต่อท่านประธาน ยังเย่อหยิ่งวางอำนาจ ทำให้บริษัทเสียชื่อเสียง ฉันยินดีรับผิดชอบค่ะ” 


 


 


พูดจบเธอก็ถอดป้ายพนักงานบริษัทบนหน้าอกออก วางลงบนโต๊ะ แล้วหันมามองทุกคน 


 


 


“ช่วงเวลาที่ผ่านมา ต้องขอบคุณที่ทุกคนช่วยดูแล เป็นเพราะฉันเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ประสีประสา ทำให้ทุกคนพลอยเดือนร้อนไปด้วย ต้องขอโทษด้วยค่ะ แต่หัวหน้าไป๋เป็นผู้บริสุทธิ์ เขาไม่รู้เรื่องรู้ราว ดังนั้นโปรดอย่าโทษเขาเลยค่ะ” 


 


 


ไป๋เสวี่ยพูดจบก็ค้อมคารวะหลายครั้ง 


 


 


การกระทำเช่นนี้ของเธอทำให้คนในห้องประชุมซึ่งมีจำนวนไม่มากนักพากันขมวดคิ้ว แล้วเริ่มพูดหารือกันเบาๆ อีลั่วเสวี่ยไม่พูดอะไร รอดูคำตอบจากทุกคน 


 


 


“เรื่องนี้ผมมีความรับผิดชอบ ผมเป็นหัวหน้าแผนก ควรจะทำตัวเป็นตัวอย่าง!” เดิมไป๋อินยังมีท่าทีที่ไม่มั่นใจ พอเห็นทุกคนแล้วก็ยิ่งตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น 



ตอนที่ 310 ควรจะอยู่ต่อ 


 


 


“พี่!” ไป๋เสวี่ยร้อนใจมาก เลิกคำนึงมากมายแล้ว หันมามองพี่ชายด้วยแววตาวิงวอน เต็มไปด้วยคำขอโทษและรู้สึกผิด 


 


 


อีลั่วเสวี่ยเม้มปาก “ทุกคนช่วยกันออกความเห็น จะตัดสินอย่างไร ฉันในฐานะเถ้าแก่ จะไม่ทำตามใจตัวเองละทิ้งหลักการเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นคนที่ฉันบ่มเพาะขึ้นเองหรือไม่ ทำผิดก็คือผิด ไม่อาจหนีความรับผิดชอบได้” 


 


 


ที่เธอพูดไม่ใช่เพียงพูดให้ไป๋อิ๋นและพนักงานทุกคนฟัง ยิ่งต้องการพูดให้อาหม่าน หวังเทาและจินหวงฟังด้วย แม้สามคนนี้จะเป็นคนของเธอ แต่อยู่ในบริษัทก็ต้องทำตามระเบียบของบริษัท ให้รางวัลหรือลงโทษชัดเจน 


 


 


ในห้องประชุมพนักงานที่อายุค่อนข่างมากคนหนึ่งชูมือขึ้นแล้วพูด “ท่านประธานพูดถูก บริษัทมีระเบียบของบริษัท ทำผิดก็ต้องลงโทษ ไม่ว่าใครก็หนีไม่ได้ แต่ครึ่งปีมานี้ หัวหน้าไป๋ขยันขันแข็ง แม้จะบอกว่าเขาดึงไป๋เสวี่ยเข้ามาทำงาน แต่งานที่เธอรับผิดชอบไม่ใช่ส่วนที่เป็นแกนกลางของบริษัท ยิ่งไม่เกี่ยวพันถึงงานการเงิน และพูดไม่ได้ว่าเป็นการถือประโยชน์ส่วนตัว ดังนั้นหัวหน้าไป๋จึงไม่ควรต้องต้องรับโทษถึงขั้นต้องลาออก” 


 


 


ถัดมาเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างหนักแน่นเป็นคนพูด เธอเป็นคนที่มีครอบครัวแล้วและมีประสบการณ์ในการทำงานสูง ความคิดอ่านจึงมีน้ำหนักมากขึ้น “ท่านประธานคะ ดิฉันเห็นด้วยกับที่อู๋ฮุยพูด แม้ไป๋เสวี่ยจะเย่อหยิ่งเกินไปบ้าง แต่เธออยู่ในบริษัททำตามหน้าที่อย่างไม่เกียจคร้าน” 


 


 


เพียงแต่เธออาศัยว่าพี่ชายตัวเองก็คือหัวหน้าไป๋ ดูโดดเด่น ทำให้คนอื่นรู้สึกขัดใจ ส่งผลต่อการทำงานบ้าง พูดตรงๆ ก็คือคิดว่าตัวเองดีเด่น มักจะอยากให้ตัวเองเป็นที่สนใจ 


 


 


“ไม่รู้จักท่านประธาน ยังไม่ได้รู้ชัดว่าบริษัทรับพนักงานหรือไม่ก็พูดไปเอง ตัดสินใจโดยพลการ ย่อมไม่ถูกต้อง แต่สาเหตุของเรื่องนี้มาจากที่เธอทำงานไม่ละเอียดรอบคอบ บวกกับที่เธอไม่เคยเห็นท่านประธานมาที่บริษัทด้วยค่ะ” หลี่มี่ซึ่งประจำที่เคาน์เตอร์หน้าแสดงความเห็น 


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะไป๋เสวี่ยเองปกติไม่ใช่คนนิสัยแย่ ตอนนี้ยังยอมรับผิด หลี่มี่คงไม่ช่วยพูด อีกประการหนึ่งถ้าหัวหน้าไป๋ลาออกจากบริษัทย่อมเป็นการสูญเสียที่ใหญ่ เพราะเขาเป็นคนที่มีความสามารถมาก 


 


 


ไป๋เสวี่ยได้ยินเช่นนี้ก็ตื้นตันใจจนเกือบร้องไห้ออกมา เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเมื่อดูจากการกระทำที่ผ่านมาของตนเอง เธอคิดว่าทุกคนคงอยากเห็นเธอนึกเสียใจ ที่ทำให้พี่ชายเธอต้องออกจากงาน 


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้มแล้ว “เมื่อเป็นเช่นนี้ดูแล้วจึงไม่ถือว่าเป็นความผิดของหัวหน้าไป๋ คนที่ต้องรับผิดชอบคือไป๋เสวี่ย” 


 


 


ทุกคนผงกหัว “ใช่ครับ ส่วนปัญหาที่ว่าสองคนนี้จะอยู่หรือไป เชิญท่านประธานตัดสินจะเหมาะกว่า” 


 


 


“ฉัน…ฉันยินดีลาออกเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหัวหน้าไปค่ะ” ไป๋เสวี่ยรีบแสดงท่าทีออกมา ไม่อยากให้กระทบไปถึงไป๋อิ๋น เธอไปก็ได้ เปลี่ยนบริษัท จะไม่ทำผิดพลาดอย่างนี้อีก 


 


 


“ลาออก? ก่อนหน้านี้เธอบอกฉันว่ายินดีทำงานโดยไม่รับเงินเดือน เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดครั้งนี้ หรือฉันฟังผิดไป?” อีลั่วเสวี่ยยิ้มที่มุมปาก ท่าทางเหมือนล้อเล่น 


 


 


คนอื่นๆ ต่างแปลกใจ นี่หมายความว่ายังให้ทำงานต่อแต่ถูกตัดเงินเดือนใช่ไหม 


 


 


ไป๋เสวี่ยตะลึงงัน “งั้น…งั้นท่านประธานเห็นด้วยใช่ไหมคะ?” 


 


 


“ใครบอกว่าฉันเห็นด้วย ฝึกงานหกเดือน ไม่มีเงินเดือน ไม่มีวันหยุด ทำงานล่วงเวลาไม่มีค่าโอทีให้ ถึงเวลานั้นให้ทุกคนช่วยกันประเมิน ถ้าการฝึกงานไม่ผ่าน ก็ยังต้องไปจากบริษัท ทุกคนคิดว่าข้อเสนอนี้เป็นอย่างไร?” 


 


 


บริษัทของพวกเขา พนักงานที่อยู่ในระยะฝึกงานได้เงินเดือนไม่น้อยเลย ถ้าฝึกงานโดยไม่ได้เงินเดือนเลย ออกจะแย่ไปหน่อย ทั้งไม่มีใครรู้ว่าจากนี้ไปจะมีคนไม่พอใจหรือไม่ ยังคงอยากให้ไป๋เสวี่ยไปจากที่นี่ 


 


 


ทุกคนเข้าใจดี นี่เป็นการให้โอกาสไป๋เสวี่ย ยังเป็นการทำให้ไป๋อิ๋นยิ่งซาบซึ้งต่ออีลั่วเสวี่ยมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการเตือนพวกเขาว่าไม่ใช่ใครก็จะมีโอกาสแก้ตัวแบบนี้ ทางที่ดีที่สุดคือตั้งใจทำงานอย่าทำผิดพลาด ไม่ใช่เพราะมีเส้นสายแล้วจะไม่ถูกลงโทษ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 311 คนในบริษัทกินอาหารร่วมกัน 


 


 


“ผมเห็นด้วย” 


 


 


“ดิฉันก็เห็นด้วย…” ทุกคนพากันยิ้ม ต่างยินดีให้โอกาสไป๋เสวี่ย ในนี้พูดไม่ได้ว่ามีกี่คนที่จริงใจ แต่พวกเขาล้วนอยากอาศัยเรื่องนี้คบหาเพื่อนที่จริงใจ 


 


 


ทั้งการช่วยพูดให้ไป๋อิ๋น ในการทำงานก็สามารถผ่อนคลายได้บ้าง ถือเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย 


 


 


ไป๋อิ๋นมองดูอีลั่วเสวี่ยด้วยความตื้นตันใจ ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี 


 


 


“ขอบคุณ ขอบคุณครับท่านประธาน” นอกจากคำว่าขอบคุณแล้ว ดูเหมือนเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร สมัยนี้ไม่ใช่หางานได้ง่ายๆ ค่าตอบแทนสูงทั้งเถ้าแก่ยังใจดีก็ยิ่งมีน้อยเหลือเกิน  


 


 


เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจให้บริษัทนี้มาก ย่อมไม่อยากจากไป เมื่อสามารถอยู่ต่อได้จึงดีใจจนบอกไม่ถูก 


 


 


ไป๋เสวี่ยซาบซึ้งใจจนน้ำตาคลอ “ขอบคุณค่ะท่านประธาน ฉันรับรองว่าต่อไปจะตั้งใจทำงาน จะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามไร้สายตาอีกเด็ดขาดค่ะ” 


 


 


จากนี้ไปเธอต้องจดจำข้อมูลของลูกค้าที่มีการติดต่องานกับบริษัทให้ชัดเจน นอกจากนี้เธอยังต้องทำการบ้านเกี่ยวบริษัทที่อาจมีความร่วมมือกัน เลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างวันนี้อีก 


 


 


“หวังว่าเธอจะไม่พูดเพียงปากเปล่า” อีลั่วเสวี่ยยกมุมปากขึ้น น้ำเสียงราบเรียบ 


 


 


ไป๋เสวี่ยหยิบป้ายชื่อขึ้นมากลัดที่อกเสื้อใหม่ “ไม่หรอกค่ะ คราวนี้ฉันจะจำเป็นบทเรียนไม่ทำผิดซ้ำอีกเด็ดขาด” มีคนให้อภัยครั้งแรก แต่ครั้งที่สองไม่แน่ว่าจะโชคดี 


 


 


อีลั่วเสวี่ยกวาดตามองทุกคนรอบหนึ่ง “ทุกท่านมาอยู่กับบริษัทระยะหนึ่งแล้ว ฉันซึ่งเป็นเถ้าแก่ไม่ได้รวมกินอาหารกับทุกคนนานแล้ว ยิ่งไม่เคยเชิญทุกคนกินอาหาร วันนี้ดูแล้วมีงานไม่มาก งั้นให้เลิกงานเลย ไปกินอาหารด้วยกัน” 


 


 


พอเธอพูดเช่นนี้ทุกคนก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่เข้าทำงานในบริษัท อีลั่วเสวี่ยเคยพูดว่าเพราะบริษัทเพิ่งก่อตั้งใหม่ มีงานต้องทำมากมาย จึงจำเป็นต้องทำงานถึงวันเสาร์ ถือว่าเป็นการทำงานล่วงเวลา ไม่เช่นนั้นปกติสุดสัปดาห์ต้องหยุดสองวัน มีเพียงคนที่เข้าเวรเท่านั้น 


 


 


แต่เวลานี้บอกว่าจะเชิญไปร่วมรับประทานอาหาร พวกเขาจึงตื่นเต้นดีใจ เพราะแม้จะไม่ร่วมกินอาหารด้วยกัน เถ้าแก่ก็จัดกิจกรรมต่างๆ ให้พวกเขาเข้าร่วมเสมอ กระทั่งสวัสดิการก็ดีกว่าบริษัทอื่น 


 


 


“ว่าไง ทุกคนไม่ให้เกียรติฉันหรือ?” อีลั่วเสวี่ยขมวดคิ้ว ยิ้มอย่างร่าเริง 


 


 


ทุกคนพากันสั่นศีรษะ “ไม่ ไม่ เราตื่นเต้นเกินไป ฮ่าฮ่า” 


 


 


ในเมื่อเป็นเวลาเลิกงาน งั้นพวกเขาก็ไม่ต้องเคร่งครัดเกินไปแล้ว 


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้ม “อย่าด่วนดีใจเกินไป กลับไปจัดการงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ เสร็จเมือไหร่ก็ไปกันเลย ฉันจะรอพวกคุณอยู่ที่ห้องทำงาน” 


 


 


จากนั้นเธอก็ผละไปจากห้องประชุม ไม่สนใจว่าคนในนั้นดีใจกันเพียงไร 


 


 


พออกจากห้องประชุมก็มองเห็นเสี่ยวเฟิงและหูปิงแต่ไกล ทั้งคู่ไม่มีบันทึกรอยนิ้วมือไว้จึงไม่สามารถเข้ามาได้ เธอเดินไปหาพวกเขา “ไปรอทุกคนในห้องทำงานฉัน ตอนนี้ฉันทำงานเสร็จแล้ว” 


 


 


“รอทุกคน ทำอะไรหรือครับ” เสี่ยวเฟิงมีสีหน้าแปลกใจ เขายิ่งอยากรู้ว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง หรือว่าถึงจะเป็นผู้หญิงก็ไม่ต่างกัน คงจะแย่แน่ๆ 


 


 


“ทายซิ?” อีลั่วเสวี่ยถามโดยไม่หันกลับมา เดินตรงไปที่ห้องทำงาน 


 


 


ชั่วประเดี๋ยวเลขาก็ยกชาสองถ้วยเข้ามา ยังเติมน้ำร้อนลงในถ้วยชาของอีลั่วเสวี่ย 


 


 


หูปิงและเสี่ยวเฟิงต่างงุนงง “แปลกจัง ทำไมพวกเขาดูดีใจขนาดนั้น แต่ละคนทำงานเหมือนได้กินยาบำรุงกำลัง?” หรือว่าหัวหน้าพวกเขามาบริษัท ทำให้มีแรงกระตุ้นขนาดนี้ 


 


 


หรือจะพูดว่าคนพวกนี้ต้องการทำงานอวดต่อหน้าเจ้านาย เป็นการเสแสร้ง? 


 


 


หูปิงที่เกาะหน้าต่างเลิกม่านดูข้างนอกอยู่ผงกหัว มิน่าบริษัทในทีวีถึงชอบประชุม ที่แท้เป็นวิธีกระตุ้นคนนั้นเอง 



ตอนที่ 312 แกก็แค่ตาแก่จนๆ 


 


 


อีฃั่วเสวี่ยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “นายสองคนว่างอย่างนี้ ฉันคิดว่าถ้าเวลาที่ไม่มีชั่วโมงเรียนน่าจะมาช่วยงานที่นี่แบบไม่มีค่าจ้างจะดีกว่า รู้สึกแปลกใจกับการทำงานนักหรือ?” 


 


 


เสี่ยวเฟิงโบกมือทันที “หัวหน้า ไม่สิ ท่านประธาน ไม่ต้องดีกว่า ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้คาดหวัง แต่ตอนนี้ผมเฝ้ารอชีวิตในมหาวิทยาลัยแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นยังไง จริงสิ พวกคุณเล่าให้ผมฟังหน่อย ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นไงบ้าง ชั่วโมงเรียนเยอะไหม การบ้านมากหรือเปล่า? ต้องอ่านหนังสือจนดึกดื่นไหม?” เขาเคยสอบเอนทรานซ์ ทุ่มเทอ่านหนังสืออย่างหนัก ลำบากมาก  


 


 


ต่อมาพอหวนนึกถึง ในความทรงจำมีทั้งเปรี้ยวหวานและขมขื่นรวมทั้งความสะเทือนใจ กลัวว่าหลังจากการสอบเอนทรานซ์แล้ว คงมีความมุมานะแบบนั้นอีกยากแล้ว แน่ละ ยกเว้นเวลาที่เจองานที่ต้องใช้สมองขบคิด 


 


 


“อยากรู้งั้นหรือ รอนายไปก็จะรู้เอง เรียนหนึ่งปีก็จะรู้เอง” หูปิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ใครใช้ให้แกพูดล้อเล่นฉัน ถึงตอนนั้นถึงแกอยากจะร้องไห้ก็ร้องไห้ไม่ออก 


 


 


เสี่ยวเฟิงกะพริบตา “เรื่องนี้ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัว โอกาสไม่ใช่จะหาได้ง่าย” ถ้าไม่ใช่เพราะพบอีลั่วเสวี่ย โอกาสแบบนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด ย่อมไม่ทำให้เธอผิดหวัง 


 


 


ถึงตอนนี้มีเสียงเคาะประตู เป็นเลขา เด็กสาวที่สวยและท่าทางจริงจัง “ท่านประธานคะ ทุกคนฝากมาแจ้งท่านว่าพวกเขาเคลียร์งานเสร็จแล้วค่ะ” 


 


 


เดิมทำงานช่วงบ่ายสักพักก็เสร็จ ทุกคนตั้งใจจะใช้เวลาสุดสัปดาห์เร่งงานให้เสร็จ จากนั้นก็จะผ่อนคลาย ขณะนี้มีแรงกระตุ้น ย่อมทำได้เสร็จเร็วขึ้น 


 


 


“ดี งั้นไปกัน ตามมา” อีลั่วเสวี่ยหยิบกระเป๋า ปิดคอมพิวเตอร์ แล้วเดินไปที่ประตู หลังจากล็อคห้องแล้วก็เห็นทุกคนในห้องทำงานจัดการงานเสร็จแล้ว 


 


 


“จะไปกินอาหารกันที่ไหน ให้พวกคุณตัดสินใจ” 


 


 


“ท่านประธานคะ ฉันรู้ว่าแถวนี้มีร้านอาหารร้านหนึ่งอาหารอร่อยมาก ราคาก็สมเหตุผล เราไปร้านนั้นเถอะ สภาพแวดล้อมดีเยี่ยม เราเดินกันไปได้ ไม่ต้องยุ่งเรื่องหาที่จอดรถค่ะ” 


 


 


พอกินเสร็จ ก็กลับมาบริษัทเอารถขับกลับบ้านได้ สะดวกสองต่อเลย ยังช่วยลดความยุ่งยากให้เถ้าแก่ด้วย เป็นเรื่องที่น่าพอใจ 


 


 


“งั้นยังไม่รีบเดินนำไปอีกหรือ” อีลั่วเสวี่ยยิ้ม ไม่มีท่าทางแบบเถ้าแก่หลงเหลืออยู่ เหมือนเจ๊ใหญ่ที่ใกล้ชิดได้ง่าย เริ่มพูดเล่นกับทุกคนแล้ว 


 


 


เรื่องงานต้องคำไหนคำนั้น แต่เรื่องส่วนตัวต้องสนิทสนมกับพนักงาน ทำเช่นนี้แล้วทุกคนจะมีความรู้สึกร่วมและยอมรับ 


 


 


จากนั้นพนักงานคนหนึ่งก็เดินนำอีลั่วเสวี่ยไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นเหมือนที่เธอบอก สภาพแวดล้อมดีมาก รายการอาหารก็ไม่เลวเลย 


 


 


อาหารมื้อนี้ ทุกคนเลือกสั่งตามที่ตัวเองชอบ กินกันเต็มคราบ ขณะเดียวกันก็พูดคุยกันเต็มที่ ยังดื่มเหล้าด้วย อย่างไรนี่ก็เป็นการร่วมรับประทานอาหารครั้งแรกของบริษัท ยังมีคนใหม่เข้าร่วม ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน 


 


 


เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงบ่าย หลังกินอาหารเสร็จ เสี่ยวเฟิงเสนอให้ทุกคนไปร้องเพลง ในเมื่อสนุกกันแล้วก็สนุกให้เต็มที่ จนฟ้ามืดลงแล้วทุกคนจึงออกจากห้องคาราโอเกะ 


 


 


 เพิ่งเดินกันมา ก็ได้ยินเสียงคนร้องด่าดังแว่วมาแต่ไกล 


 


 


“แกก็แค่ตาแก่จนๆ มาเฉี่ยวรถฉัน มีปัญญาชดใช้ไหม ไม่รู้จักมองทาง มองไม่เห็นหรือว่านี่รถใหม่ ว่าไง จะตกลงกันเองหรือจะให้ฟ้องร้อง!” ชายวัยกลางคนแต่งตัวดีกำลังชี้หน้าต่อว่าลุงคนหนึ่งที่ดูสูงวัยแล้ว 


 


 


อีลั่วเสวี่ยซึ่งเดิมจะผละไป เหลือบมองเห็นชายแก่คนนั้น จึงโบกมือให้ไป๋อิ๋นกับพวก “พวกคุณกลับกันก่อนเถอะ ฉันมีธุระเล็กน้อย ทุกคนระวังความปลอดภัยด้วย พนักงานชายส่งพนักงานหญิงกลับบ้านด้วย อย่าลืมนะ” 


 


 


“งั้นค่อยพบกันใหม่ครับท่านประธาน” ไป๋อิ๋นไม่ได้คิดอะไร โบกมือลาอีลั่วเสวี่ย กลับไปบริษัท พวกเขาอยู่ที่ถนนสายหนึ่งในเขตที่ผู้คนจอแจของเมือง มีร้านค้าต่างๆ ให้บริการอย่างครบถ้วน 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 313 อย่ายุ่งเรื่องคนอื่น 


 


 


“หัวหน้า ดูอะไรอยู่ เรายังไม่ไปหรือครับ?” หูปิงแปลกใจ รถของพวกเขาจอดอยู่ที่บริษัท หรือจะเรียกแท็กซี่กลับ? 


 


 


อาหม่านตาแหลมกว่า เขามองตามสายตาอีลั่วเสวี่ยไป กลอกตาแล้วพูด “หัวหน้า รู้จักสองคนนั้นหรือครับ?” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยพยักหน้า ยกมุมปากขึ้น “ไม่ใช่แค่รู้จัก ยังเคยได้รับความเอื้อเฟือจากเขาด้วย” 


 


 


เอื้อเฟื้อ ถึงกับมีคนให้ความเอื้อเฟื้อต่อหัวหน้าพวกเขา คงไม่ใช่ชายวัยกลางคนที่กำลังหาเรื่องกับชายแก่คนนั้นหรอกนะ หูปิงกับพวกต่างสงสัย แล้วเดินตามอีลั่วเสวี่ยไป ไม่พูดอะไร 


 


 


“พูดสิ เป็นใบ้หรือไง บอกมา แกจะจ่ายค่าเสียหายยังไง ทำให้ฉันเสียเวลา แกรู้ไหมว่าฉันเสียเงินไปมากแค่ไหน!” ชายวัยกลางคนต่อว่าชายแก่เสียงดัง 


 


 


ใบหน้าลุงคนนั้นมีหนวดเครา สีหน้าซูบเซียว รถตู้เล็กข้างหลังแกมีฝุ่นเกาะเต็ม แกคงขับผ่านถนนดินโคลนในชนบทมา เหมือนอาบน้ำโคลนให้รถ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยชำเลืองมองในรถ ของในนั้นใส่ถุงไว้ แต่ยังมองเห็นลางๆ ว่าเป็นมันฝรั่งและผัก ดูแล้วสดมาก คนที่บรรจุมีความตั้งใจมาก 


 


 


“ไม่ใช่ความผิดฉัน ทำไมฉันต้องจ่ายค่าเสียหายด้วย เป็นคุณที่ขับรถเร็วเองจนมาเฉี่ยวชน การรักษาระยะห่างระหว่างรถ เป็นเรื่องที่คนขับรถทุกคนควรรู้ดี คอยสังเกตดูว่ารถข้างหน้าจะชะลอจอดหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องย้ำ” 


 


 


ชายวัยกลางคนได้ฟังก็แสดงสีหน้าไม่พอใจ “ไม่ยอมรับใช่ไหม พวกคุณว่า ใช่ไม่ใช่เพราะแกจอดรถกะทันหัน ทำให้รถผมเชี่ยวชนจนเป็นรอย ผมเพิ่งซื้อรถมาใหม่ๆ” 


 


 


“คุณพี่ขา แกคงไม่ยอมรับแน่ เราไปฟ้องคดีเถอะ” ข้างๆ ชายวัยกลางคนเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวทันสมัยแต่หน้าตาดูแก่ แต่งหน้าเหมือนผี ท่าทางร้ายกาจ มองลุงคนนั้นด้วยสายตาดูถูก  


 


 


พอหล่อนพูดเช่นนี้ ลุงคนนั้นก็ขมวดคิ้วทันที พึมพำว่า “ฟ้องคดี” แกมีเงินไม่มากพอที่จะเป็นคดีความ ดูแล้วคนพวกนี้ย่อมมีวิธีการ ถึงตอนนั้นตัวแกย่อมตกเป็นฝ่ายแพ้คดี หรือต้องยอมแบกรับเรื่องที่ตนเองไม่ได้ทำหรือ 


 


 


ขณะที่ชายแก่กำลังจะพูดก็มีเสียงที่คุ้นหูดังขึ้น 


 


 


“ลุงคะ บังเอิญจริงๆ เกิดเรื่องอะไรหรือ ต้องการให้ฉันช่วยไหม?” อีลั่วเสวี่ยยิ้ม มองดูชายแก่ แกก็คือเจ้าของบ้านไร่ที่อีลั่วเสวี่ยพบตอนไปเที่ยวสวนป่า 


 


 


ก็คือคนเลี้ยงผึ้งที่มอบน้ำผึ้งให้เธอนั่นเอง 


 


 


“แม่หนูนั่นเอง ฉันไม่เป็นไรหรอก เจอเรื่องเดือดร้อนนิดหน่อย” ชายแก่ยิ้มอย่างมีเมตตา แล้วหันไปมองชายวัยกลางคน 


 


 


“ถ้าฉันจอดรถกะทันหันจริง รอยเฉี่ยวนี่ต้องเสียค่าซ่อมเท่าไร คุณบอกมา” 


 


 


ผู้หญิงท่าทางร้ายคนนั้นยิ้มทันที เธอเดินเข้ามาใกล้สามี ใช้รองเท้าส้นสูงเขี่ยขากางเกงเขาเบาๆ “พี่ขา รถเราเป็นรถใหม่ ค่าซ่อมแพง ยังไงก็ต้องแปดพันหรือหมื่นขึ้นไป เพราะสีรถก็เป็นของนำเข้า…” 


 


 


“เจ็ดแปดพัน เป็นไปได้ยังไง!” ชายแกผงะ ตอนนี้แกจึงรู้ว่าสองคนนี้เหมือนสิงโตคอยอ้าปากกว้าง ตั้งใจจะงับเหยื่ออย่างแก แกหน้าเสียทันที 


 


 


“ไม่งั้นก็ไปเจอกันที่ศาล ฟ้องคดี ฉันเอาเรื่องแน่” 


 


 


“ตาแก่ ยังไงดูแล้วลุงก็เป็นคนค้าขายเล็กๆ น้อยๆ คงหาเงินเจ็ดแปดพันไม่ได้ เอาอย่างนี้เถอะ ฉันว่าลุงเองก็คงลำบาก งั้นลดให้สองพัน จ่ายมาหกพัน” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้มทันที ยิ้มอย่างเย็นชามาก “นี่ เห็นชัดๆ ว่าคุณเป็นฝ่ายผิด ยังคิดจะโทษคนอื่น ระวังเถอะ ฉันจะฟ้องว่าคุณหลอกลวง” 


 


 


พอได้ยินในกลุ่มคนที่มุงดูอยู่มีคนช่วยพูดแทนชายแก่ ทุกคนต่างหันมามองอีลั่วเสวี่ย รวมทั้งชายคนนั้นกับเมีย 


 


 


“แม่หนู ไปอ่านหนังสือซะ อย่ายุ่งเรื่องคนอื่น!” 


ตอนที่ 314 ไม่ไปจะรอให้ฉันแจ้งตำรวจหรือ


 


 


คนที่มุงดูอยู่ต่างมองอีลั่วเสวี่ยด้วยความแปลกใจ แต่ก็เข้าใจได้ เมื่อกี้เธอทักทายกับฝ่ายนั้น ดูเหมือนจะรู้จักกัน จึงไม่แปลกที่เธอจะพูด


 


 


“มีเรื่องอะไรก็มาที่ฉัน ไม่ต้องไม่พูดขู่แม่หนูหรอก เก่งนักหรือ” พอแกเห็นอีลั่วเสวี่ยถูกต่อว่า ก็ขมวดคิ้วทันที เสียงดังขึ้น


 


 


ชายวัยกลางคนถูกแกพูดขู่จนผงะ จากนั้นก็โมโหขึ้นมา “ตาแก่ ยังทำเป็นอวดเก่ง ถ้าเก่งนักก็จ่ายค่าเสียหายมา แล้วฉันจะไม่เอาเรื่องเธอ”


 


 


พูดจบก็จ้องมองอีลั่วเสวี่ยด้วยสายตาข่มขู่ ท่าทางเหมือนบอกให้รู้ว่าอย่ายุ่งกับเรื่องคนอื่น ไม่งั้นจะไม่เกรงใจ


 


 


ชายแก่เห็นฝ่ายตรงข้ามท่าทางดุร้าย แล้วมองดูคนที่มุงดูอยู่ มือที่กำแน่นเป็นกำปั้นก็คลายออก หันมายิ้มกับอีลั่วเสวี่ย “แม่หนู อย่ายุ่งกับเรื่องนี้เลย กลับไปก่อนเถอะ ลุงไม่เป็นไรหรอก”


 


 


พูดจบก็มองดูชายคนนั้น “อย่ามากก็ชดใช้ให้คุณห้าร้อย ห้าพันไม่มีทางหรอก ถ้าคุณอยากจะดำเนินการตามกฎหมาย งั้นฉันจะเอาด้วย แต่ขอบอกให้รู้ว่าค่าทนายคงจะสูงมาก ส่วนฉันเองไม่แน่ว่าจะมีเงินจ่ายให้”


 


 


อีลั่วเสวี่ยขมวดคิ้ว กลิ่นไอบนตัวลุงคนนี้เป็นอย่างไรนี่ ดูเหมือนจะ…


 


 


“ห้าร้อย ให้เงินขอทานหรือไง ไม่รู้ละ ตอนนี้ฉันจะให้แกไปคุยกันที่สถานีตำรวจ” พูดจบก็ดึงเสื้อชายแก่ ตั้งใจจะขู่ให้อีกฝ่ายกลัว


 


 


ทั่วไปในสภาพเช่นนี้พอถูกขู่คนที่แข็งกร้าวก็มักจะอ่อนลง


 


 


ถึงตรงนี้หูปิงทนดูไม่ได้แล้ว เขาเดินมา ดึงแขนชายคนนั้น “รังแกคนแก่ ถือว่าเก่งนักหรือ อยากชกต่อย มานี่เลย รับรองว่าไม่ต้องชดใช้เงิน แน่ละ ฉันชกแกก็ไม่ชดใช้เงินให้”


 


 


พูดจบมืออีกข้างของหูปิงก็ชกไปที่จมูกชายคนนั้น


 


 


ชายแก่ตกใจ อยากจะห้าม แต่ไม่ทันกาลแล้ว


 


 


“พอเถอะ!” อีลั่วเสวี่ยร้องออกมา กำปั้นหูปิงหยุดลงห่างจากชายคนนั้นเพียงสองเซนติเมตร เขาชะงัก แล้วดึงมือกลับ


 


 


ชายคนนั้นกลืนน้ำลาย ตะโกนทันที “ช่วยด้วย ทำร้ายคนแล้ว คนพวกนี้ทำรถผมเป็นรอยยังไม่พอ ยังจะทำร้ายคนด้วย บ้านเมืองยังมีกฎหมายไหม”


 


 


เมียเขาเห็นเช่นนั้นก็ร้องไห้ฟูมฟาย โวยวายเสียงดัง “ตำรวจ พวกคุณช่วยเรียกตำรวจหน่อย จะทำร้ายร่างกายแล้ว”


 


 


ชายแก่เห็นเรื่องยุ่งเหยิงมากขึ้น ก็ขมวดคิ้วแน่น หันมาพูดกับอีลั่วเสวี่ย “แม่หนู พวกคุณไปก่อนเถอะ เรื่องที่เหลือเดี๋ยวลุงจัดการเองได้”


 


 


แกรู้ว่าพวกเธอปรารถนาดี แต่แกไม่นึกว่าเรื่องจะซับซ้อนเช่นนี้


 


 


มุมปากอีลั่วเสวี่ยกระตุก “ลุงไม่ต้องกลัวค่ะ ทำไมรถถึงถูกเฉี่ยว ฉันคิดว่าเดี๋ยวก็ได้ข้อสรุปแล้ว จะอาศัยที่ที่เขาพูดไม่ได้ กล้องวงจรปิดจะบอกทุกอย่างได้”


 


 


เธอพูดแล้วชี้ไปที่กล้องวงจรปิดแบบสามร้อยหกสิบองศาที่หน้าร้านคาราโอเกะ รวมทั้งกล้องที่ใต้โคมไฟริมถนนที่พวกเขายืนอยู่ เป็นกล้องขนาดเล็กที่เพิ่งติดตั้งใหม่ ถ้าไม่สังเกตจะมองไม่เห็น


 


 


เนื่องจากบริเวณนี้เป็นเขตสัญญาณไฟจราจร ผู้คนไปมามาก ขอบเขตสายตากว้าง แต่อาจจะเห็นไม่ชัดเพราะรถยนต์บังกันเอง เพื่อป้องกันเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วหาหลักฐานยาก ด้านหลังจึงติดตั้งกล้องเพิ่ม แม้แต่เธอเองก็ไม่ได้สังเกต เป็นเจ้าลูกบอลเงินเตือนเธอ


 


 


เมื่อดูกันอย่างละเอียดแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ สองผัวเมียเจ้าของรถเงียบกริบทันที ส่วนชายแก่พอได้ยินเช่นนี้ก็คลายความวิตก “เดิมคิดว่าไม่อยากยุ่งยาก ถือว่าซื้อบทเรียน ตอนนี้ฉันคงต้องสืบดูใหม่แล้ว จะฟ้องคุณว่าหลอกลวง”


 


 


พอสองผัวเมียได้ฟังก็สะดุ้งเฮือก ใบหน้าขาวซีดทันที เรื่องราวเป็นอย่างไรแน่ ทั้งคู่ย่อมรู้แก่ใจดี


 


 


 


 


ตอนที่ 315 ถือว่าเป็นการตอบแทนสำหรับน้ำผึ้ง


 


 


ชายคนนั้นเลียริมฝีปากที่แห้งผาก สายตาอยู่บนร่างหูปิง สงบเสงี่ยมลงไม่น้อยแล้ว


 


 


“เขา คนคนนี้จะทำร้ายผม เรื่องนี้ไม่จบหรอก พวกคุณต้องจ่ายค่าเสียหายทางจิตใจให้ผม! ผมเป็นโรคหัวใจ ปวดหัวใจเหลือเกิน!” เขาพูดพลางกุมหน้าอกตัวเอง ท่าทางเจ็บปวดมาก


 


 


คนที่มุงดูรีบถอยหลังหลายก้าว ตายจริง ถ้ามาหาเรื่องกับพวกเขาแล้วจะทำยังไงดี พวกเขาดูออกแล้วว่าคนคนนี้เป็นคนเลว คอยใส่ร้ายคนอื่น อย่าไปยุ่งด้วยเด็ดขาด


 


 


หูปิงชี้จมูกตัวเอง โมโหแทบแย่ สีหน้าหมองคล้ำลง โกรธจนอยากชกหน้าคน


 


 


“ดูสิ ทุกคนดู เขายังจะชกผม โอ๊ย ปวดหัวใจเหลือเกิน หายใจไม่ออกแล้ว เมียจ๋า เร็ว ช่วยให้ผมหายใจคล่องหน่อย” ผู้หญิงคนนั้นรีบมาที่ข้างสามี ปลดกระดุมเสื้อที่อกให้เขา


 


 


ดูแล้วสองคนนี้คงทำเรื่องทำนองนี้มาไม่น้อย คนเป็นเมียช่วยอย่างคล่องแคล่ว ดูเหมือนจริงมาก


 


 


อีลั่วเสวี่ยหัวเราะ “โรคหัวใจต้องกินยาบำรุงหัวใจไม่ใช่หรือ แค่ช่วยให้หายใจคล่องจะหายได้ยังไง ส่วนที่คุณบอกว่าเพื่อนฉันทำร้าย จะเป็นไปได้อย่างไร? เห็นชัดๆ ว่าเขาห้ามไม่ให้คุณทำร้ายคน กล้องวงจรปิดก็ถ่ายไว้ ไม่เชื่อ งั้นเราไปศาลกัน?”


 


 


“ถือโอกาสฟ้องคดีหลอกลวง คุณว่าข้อเสนอนี้ดีไหม?”


 


 


ถ้าเจอคนชั่วแบบนี้อย่าตกใจเด็ดขาด จะทำให้ฝ่ายนั้นฉวยโอกาส ทั้งยังต้องยึดกุมเหตุผลและหลักฐาน ทำให้ฝ่ายนั้นรู้ว่าจะหลอกลวงไม่ได้ง่ายๆ


 


 


และแล้วท่าทีสุขุมของอีลั่วเสวี่ยก็ทำให้สองผัวเมียเครียดทันที จากเมื่อครู่ถึงตอนนี้ มีคนใช้มือถือถ่ายคลิปไว้แล้ว นั่นก็คือเสี่ยวเฟิง


 


 


“ต่อเลย ผมจะเขียนสคริปให้พวกคุณ” เสี่ยวเฟิงกะพริบตา ยิ้มอย่างไร้เดียงสา


 


 


สองผัวเมียกลอกตาไม่หยุด ร้องโอดโอยพลางลุกขึ้น ท่าทางล่อกแล่ก ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่


 


 


“พวกคุณยังไม่ไปใช่ไหม หรือต้องให้ฉันโทรเรียกตำรวจ ไปที่สถานีตำรวจกันสักรอบเอาไหม?”


 


 


อีลั่วเสวี่ยเพิ่งพูดจบ สองผัวเมียก็โกยอ้าวไปที่รถของตัวเอง เปิดประตูรถ แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


คนที่มุงดูอยู่เห็นเช่นนั้นก็ชะงักเล็กน้อย จากนั้นจึงปรบมือให้อีลั่วเสวี่ย วันนี้นับว่าพวกเขาได้ดูละครสนุกฉากหนึ่ง


 


 


“แยกย้ายกันแล้ว แยกย้ายกันแล้ว ขอบคุณทุกคน ถ้าเกิดมีคนฟ้องว่าเราทำร้ายคน พวกคุณที่ถ่ายคลิปช่วยมาเป็นพยานให้เราด้วย ฉันขอขอบคุณทุกคนด้วย” คนเหล่านี้รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ก่อนแล้วที่ไม่สามารถช่วยชายแก่ได้ เวลานี้พอได้ยินที่อีลั่วเสวี่ยพูด เกิดรู้สึกผิดและไม่สบายใจ มากกว่านั้นก็คือคิดทบทวนมโนธรรมของตนเอง ถ้าครั้งหน้าเจอเรื่องอย่างนี้อีกจะไม่นิ่งดูดายแล้ว


 


 


ฝ่ายนั้นไปแล้ว ชายแก่จึงคลายความกังวลลง


 


 


“ลุง ทั้งๆ ที่ลุงไม่ผิด ทำไมถึงจะให้เงินคนเลวนั่น ลุงทำอย่างนี้จะทำให้คนพวกนี้ยิ่งเหิมเกริม ไปหลอกลวงคนอื่นมากขึ้น ผมเดาว่ารถคันนั้นเขาก็ได้มาด้วยวิธีที่ไม่สุจริต”


 


 


อาหม่านโกรธแค้นมาก ถ้าที่นี่อยู่ในเขตทางสถานที่ประมูล คงมีคนถูกเล่นงานไปแล้ว ขยะแบบนี้ ควรส่งไปที่พวกเขา ไปดัดสันดาน


 


 


ชายแก่สั่นหัว “ฉันแค่ไม่อยากมีเรื่องยุ่งยาก อีกอย่างฉันอายุปูนนี้แล้ว ไม่มีเพื่อน ถ้าไม่มีคนดูแลร้านจะเดือดร้อน จะยังไงวันนี้ก็ต้องขอบใจพวกคุณ”


 


 


“ขอบใจมาก แม่หนู” ชายแก่มองที่อีลั่วเสวี่ย แววตาตื้นตันใจมาก


 


 


“คุณลุงเกรงใจเกินไปแล้ว เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”


 


 


“ไม่ไม่ เกือบทำให้หนูกับเพื่อนของหนูพลอยวุ่นวายไปด้วย ต้องขอโทษจริงๆ” ชายแก่น้ำเสียงซื่อๆ ดูแล้วพวกเขายังเป็นนักศึกษา ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้จะส่งผลเสียต่อพวกเขา ความรุนแรงทางเน็ตก็น่ากลัวมาก



ตอนที่ 316 เจ้านาย จะทักทายไหม


 


 


โชคดีที่เรื่องในวันนี้พวกเขาเป็นฝ่ายชนะ ไม่เช่นนั้นยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชายแก่คิดแล้วยังกลัวไม่หาย


 


 


“ลุงเกรงใจเกินไปแล้วค่ะ”


 


 


“ไม่ไม่ ลุงต้องขอบใจพวกคุณ ลุง…” ชายแก่พูดแล้วไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาขอบคุณ รู้สึกอึดอัดใจ


 


 


“ลุงคะ ถ้าจะขอบใจล่ะก็ ลุงก็ถือเสียว่าวันนี้ฉันตอบแทนน้ำใจที่ลุงให้น้ำผึ้งฉัน อย่าเก็บไว้ในใจเลยค่ะ”


 


 


ช่างเป็นคนแก่ที่จิตใจบริสุทธิ์มาก คนอายุปูนนี้แล้วยังคอยคำนึงถึงหนุ่มสาวแปลกหน้า หาได้ยากแล้ว เธอเจอคนอายุรุ่นนี้มักจะทำให้คนอื่นรำคาญ


 


 


อย่างผู้ชายคนเมื่อกี้ ถ้าอายุมากขึ้น จนแก่เท่ากับลุงคนนี้ คงจะร้ายกาจยิ่งขึ้น


 


 


ชายแก่ชะงัก “แม่หนูพูดอย่างนี้ ถ้าลุงยังพูดอะไรอีกก็คงไม่เข้าท่า จริงสิ คุณกินน้ำผึ้งหมดหรือยัง ถ้าหมดแล้วไปเอาที่บ้านลุง หรือให้ที่อยู่ลุงไว้ ลุงจะส่งมาให้”


 


 


เป็นเด็กที่น่ารักมาก ชอบน้ำผึ้งของเขาที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง น่าประทับใจจริงๆ


 


 


“ยังมีค่ะ ไม่ได้หมดเร็วอย่างนั้น จริงสิ คุณลุงไปซื้อของมาหรือคะ?” ตลาดสินค้าเกษตรในเมือง F จะไปซื้อสินค้าสะดวกมาก


 


 


แต่รถของลุงดูสภาพเละเทะอย่างนี้ คงไปซื้อสินค้าจากแหล่งที่ไกลมาก


 


 


“ใช่แล้ว ลุงไปที่ชนบทแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีแต่เด็กกับคนแก่อาศัยอยู่ ส่งผักสดออกมาได้ยาก การถนนหนทางไม่สะดวก พ่อค้าส่วนหนึ่งไม่อยากเขาไปรับซื้อ ร้านลุงเลยไปที่นั่นอาทิตย์ละครั้ง ช่วยเขาบ้าง เท่ากับช่วยลุงเองด้วย”


 


 


ผักเหล่านี้ทั้งสดใหม่และปลูกแบบธรรมชาติ สอดคล้องกับชีวิตบ้านไร่แบบแก ยังเป็นสินค้าที่เรียกลูกค้าได้ ไม่หลอกลวงผู้บริโภค


 


 


อีลั่วเสวี่ยเข้าใจทันที เธอนึกนับถือชายแก่ “ที่แท้ที่ลุงอุตส่าห์ลำบากแบบนี้ก็มีเหตุผล คงเหนื่อยแย่”


 


 


“ไม่เหนื่อย ไม่เหนื่อย เอาละ คงต้องเลิกคุยแล้ว ลุงต้องรีบไป สายเกินไปเดี๋ยวจะส่งสินค้าไม่ทัน” พูดจบก็ล่ำลาอีลั่วเสวี่ยกับพวก แล้วขับรถจากไป


 


 


หูปิงและพวกนึกนับถือชายแก่ ในโลกนี้ยังมีคนที่เอาใจใส่คนอื่น ทำดีเงียบๆ ไม่เคยโอ้อวด และไม่สนใจว่าจะมีคนรู้หรือไม่ แม้ว่าคนเหล่านนี้จะมีจำนวนเพียงน้อยนิด แต่เป็นคนดีที่น่ายกย่อง


 


 


เสี่ยวเฟิงเอียงคอ ดึงสายตากลับมา “หัวหน้า เมื่อไหร่พวกเราจะได้ไปเที่ยวบ้านไร่บ้าง ไปอุดหนุนลุงแกบ้าง” สมัยนี้ คนดีมีไม่มากแล้ว


 


 


“ก็ดี ไม่มีปัญหา เงื่อนไขก็คือถัดจากนี่ไปบางทีนายจะไม่มีเวลาแล้ว” ทั้งหมดพูดคุยหัวเราะกัน เดินตรงไปทางบริษัท


 


 


ขณะที่ห่างออกไปจากพวกเชาไม่ไกลนัก มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ คนหนึ่งบนรถจ้องมองที่อีลั่วเสวี่ย


 


 


“เจ้านาย เธอใช่ไหมครับ?” อาเซิงสายตาเฉียบแหลม


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวเอนตัวไปข้างหลัง มีรอยยิ้มที่มุมปาก “ไม่แน่ใจ แต่เธอไม่ใช่คนที่เราเห็นเมื่อสองวันก่อนที่ดูเงียบขรึมไร้เดียงสา กลับมีความคิดแยบยลมาก ไม่เสียทีที่เป็นผู้หญิงของเฉวียนหมิง”


 


 


คนอย่างเฉวียนหมิงไปหายอดหญิงคนนี้มาจากไหน ทั้งจิตใจดีงามและมีสติปัญญา เป็นผู้หญิงเก่งที่หาได้ยาก


 


 


อาเซิงแปลกใจ พูดชมผู้หญิงของคนอื่น อะไรกันนี่


 


 


“เจ้านาย เราจะเข้าไปทักทายเธอไหมครับ อย่างไรก็เคยเจอกันมาก่อน” ในเมื่อเจ้านายตัวเองสนใจอีลั่วเสวี่ย ทั้งยังอยากดึงเฉวียนหมิงมา ทำไมไม่ลงมือจากผู้หญิงคนนี้ล่ะ


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวสั่นหัว “ไม่ จำคำหนึ่งไว้ ใจร้อนจะทำไม่สำเร็จ ทำอะไรอย่าวู่วาม”


 


 


 


 


ตอนที่ 317 พวกบ้าคอยตามอีกคนแล้ว


 


 


จะอย่างไรที่นี่ไม่ใช่เขตอิทธิพลของพวกเขา จะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ พวกเขามาที่นี่ในนามแล้วเป็นการมาทำธุรกิจ เมื่อทำธุรกิจก็ต้องทำตัวให้เหมือนนักธุรกิจ


 


 


อีกประการหนึ่งเฉวียนหมิงคอยระวังตัวเขา ถ้าเขาทำอะไรลงไป อาจถูกเฉวียนหมิงขัดขวาง ถึงตอนนั้นจะทำให้เขาพัฒนางานที่นี่ไม่ได้


 


 


ต้องรู้จักแยกแยะหนักเบาให้ชัดเจน เมื่อดูผู้หญิงคนนี้แล้ว เธอไม่ใช่เจอคนแปลกหน้าไม่กี่ครั้งก็จะพูดคุยด้วยง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ควรปิดทางถอยของตัวเอง


 


 


การล่าเหยื่อ ต้องรู้จักอดทน ไม่เช่นนั้นถ้าเหยื่อตกใจ คิดจะจับอีก ย่อมไม่ง่ายแล้ว


 


 


อาเซิงคิดทบทวน แล้วผงกหัว “ยังเป็นเจ้านายที่คิดรอบคอบกว่า”


 


 


“ฮ่า ฮ่า…” ซีเหมินหลงเซี่ยวหัวเราะ ไม่พูดอะไร แล้วชี้นิ้วไปข้างหน้า คนขับรถเร่งเครื่องทันที ขับรถจากไป


 


 


เขาไม่รู้ตัวว่ามีลูกบอลเล็กๆ อยู่บนกระจกหน้ารถ ฟังที่พูดคุยกันทั้งหมด ยังถ่ายคลิปไว้ด้วย ถ่ายจากมุมที่ชัดที่สุด


 


 


“คริคริ จะแค่ไหนเชียว ลูกบอลอย่างข้าได้ยินหมดแล้ว ยังทำเป็นอวดเก่ง?” ลูกบอลเงินพึมพำกับตัวเองแล้วบินไปหาอีลั่วเสวี่ย


 


 


ขณะนี้อีลั่วเสวี่ยกับหูปิงและพวกมาถึงใต้ตึกบริษัทแล้ว ถอยรถออกมา


 


 


“หัวหน้า ให้เราไปส่งคุณก่อนเถอะ” แม้อีลั่วเสวี่ยจะเป็นหัวหน้าของพวกเขา แต่คนเหล่านี้ยังรู้สึกว่าเธอเป็นเด็กสาวอ่อนแอ ควรจะได้รับปกป้อง


 


 


“ส่งฉัน? อย่าดีกว่า ฉันกลับเองได้ พวกนายกลับไปจัดการตัวเองให้ดี ทำเรื่องของตัวเอง มีอะไรก็โทรหาฉัน ส่วนเรื่องร้านคาราโอเกะกับบาร์ พอฉันมีแผนแล้ว จะบอกให้พวกนายรู้”


 


 


หูปิงกับพวกพากันพยักหน้า “หัวหน้าทำธุรกิจเยี่ยมมากครับ”


 


 


“งั้นไปละ” อีลั่วเสวี่ยนั่งในรถ คาดเข็มขัดนิรภัย หมุนพวงมาลัย แล้วขับรถหรูที่มีเพียงไม่กี่คันออกไป


 


 


แม้จะดูเป็นการอวดตัวไปหน่อย แต่จะเป็นไรไป ในโลกนี้รถยนต์ก็เหมือนสัตว์ปีศาจบินได้ในโลกของเธอ ในเมื่อมี แล้วทำไมจะไม่ใช้ล่ะ


 


 


“ใคร?” อีลั่วเสวี่ยปิดหน้าต่างรถ แล้วชำเลืองมองเจ้าลูกบอลเงินที่เก้าอี้ข้างคนขับ เจ้านี่ไม่มีร่างกาย ยังรู้จักเอาอย่างคนนั่งบนเก้าอี้


 


 


ลูกบอลเงินได้ยินก็กระโดดเหยงๆ บนเก้าอี้ “เจ้าทายดู เป็นคนที่เรารู้จัก แต่เจ้าไม่ชอบขี้หน้าเขา”


 


 


คนที่รู้จัก แต่ไม่ชอบ ยังคอยลอบมองดูเธอ หรือเป็นหนานหลิวเฟิง ไม่น่าใช่ ถ้าหมอนี่มาปรากฏตัว ต้องหาข้ออ้างมาพูดคุยกับเธอแน่นอน


 


 


โดยเฉพาะในสถานที่อย่างวันนี้ เขาต้องออกมาแน่ เป็นการเพิ่มชื่อเสียงของตัวเองให้เป็นที่รู้จัก “หรือเป็นมั่วเฉินเซวียนคนโรคจิตที่ชอบตาม?”


 


 


“โถ…น่าสางสารมั่วเฉินเซวียนจริง ได้รับฉายาแปลกใหม่แบบนี้ แต่ครั้งนี้เจ้าทายผิดแล้ว ไม่ใช่เขา แต่เป็นคนที่เราพบเมื่อวาน”


 


 


เมื่อวาน? อีลั่วเสวี่ยแปลกใจ คนที่เพิ่งเจอครั้งแรก ทำไมต้องมาคอยเฝ้ามอง ต้องการทำอะไรหรือ?


 


 


“เดี๋ยวนะ หรือเป็นซีเหมินหลงเซี่ยว?” คนพิเศษที่เจอเมื่อวานก็คือเขา หรือเขารู้แล้วว่าเธอคือหมอปีศาจ? ไม่ เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าเขารู้ ย่อมต้องเปิดโปงเธอต่อหน้าเฉวียนหมิงจึงจะถูก


 


 


หรือไม่ก็นัดพบเธอตามลำพัง ขู่เอาแหวนหยกวงนั้นจากเธอไป


 


 


“ใช่ เขานี่แหละ ยังมี ข้าจะให้เจ้าดูอะไร เจ้าต้องสนใจแน่” ลูกบอลเงินพูดจบก็ยิงแสงสายหนึ่งออกจากตัว ส่องไปบนกระจกหน้ารถ


 


 


ดวงตาอีลั่วเสวี่ยเป็นประกาย หาที่จอดรถริมถนนชั่วคราว แล้วจอดรถ



ตอนที่ 318 เรื่องนี้ง่าย!


 


 


ลูกบอลเงินถ่ายการสนทนาเมื่อครู่ของซีเหมินหลงเซี่ยวไว้หมด รวมทั้งแววตาและสีหน้าเขาด้วย ไม่พลาดแม้แต่น้อย


 


 


ต่อให้เป็นเทคโนโลยีเวลานี้ก็ไม่อาจทำได้สมบูรณ์แบบเช่นนี้ บางมุมต้องอาศัยกล้องหลายตัวถ่าย แต่ลูกบอลเงินถ่ายตามสบายก็มีประสิทธิภาพดังกล่าว


 


 


ดูแล้วที่เรียกว่าดวงดาวนั้น สติปัญญาของสิ่งมีชีวิตนอกโลกรวมทั้งวิทยศาสตร์และเทคโนโลยีของพวกเขาไม่ธรรมดาเลย


 


 


“ดูท่าเขาคงสงสัยข้าแล้ว” ไม่ว่าใครเห็นคนที่สวมแหวนหยกในสถานที่ขายแหวนหยกล้วนรู้สึกแปลกใจ ทั้งตอนนั้นพวกเธอก็ชวนให้คนอื่นรู้สึกแปลกใจจริงๆ


 


 


ที่จริงตอนนั้นเธอออกแบบภาพร่าง ไม่คิดจะขายให้หลิ่วเฟยอวิ๋น เพราะไม่ต้องการให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่เกี่ยงราคา ยอมจ่ายเงินมัดจำ


 


 


เวลานี้มีกระแสนิยมของย้อนยุคสูงมาก ถ้าผลิตแหวนหยกแบบนี้ออกจำหน่าย ต้องทำกำไรได้แน่นอน คิดดูแล้วจึงมอบโอกาสนี้ให้เขา แต่คาดไม่ถึงว่าขณะนี้กับทำให้ตนเองเดือดร้อน


 


 


“ก็แค่สงสัยเท่านั้น เขาไม่มีหลักฐานอะไรเลย” กล้องวงจรปิดที่ถ่ายรถยนต์ของอีลั่วเสวี่ยใกล้กับสถานที่ประมูลตอนนั้นได้ถูกลูกบอลเงินทำให้เป็นสีดำไปแล้ว สีดำแค่ไม่กี่วินาทีนั่น ย่อมไม่มีใครไปสืบค้น


 


 


ต่อให้ซีเหมินหลงเซี่ยวต้องการตามหานาง ก็ไม่ได้เบาะแสอะไรจากกล้องวงจรปิด อีกทั้งคนที่รู้ว่าอีลั่วเสวี่ยคือหมอปีศาจก็มีเพียงหูปิงคนเดียว ไว้ใจคนผู้นี้ได้ ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะเผยฐานะของเธอออกไป


 


 


ส่วนทางตระกูลเฟิงดูเหมือนเธอจะเคยเอ่ยถึงฐานะหมอปีศาจ ก็ไม่น่าห่วง ซีเหมินหลงเซี่ยวเป็นชาวซีกั๋ว ไม่กล้าวุ่นวายกับคนสำนักบำเพ็ญเพียร


 


 


อีลั่วเสวี่ยเม้มปากเล็กน้อย “ซีเหมินหลงเซี่ยวเป็นศัตรูตัวฉกาจ จะประมาทไม่ได้” คนคนนี้ดูแล้วเหมือนกระต่ายที่ไม่มีพิษภัย แต่ที่จริงเป็นจิ้งจอกที่ซ่อนหางไว้ เจ้าเล่ห์ เหลี่ยมจัดที่สุด


 


 


เขามีความสามารถในการสังเกตที่เฉียบคมมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่สงสัยเธอ แต่อย่างไรก็ไม่มีอะไรให้ตรวจสอบ ทั้งหมดง่ายเกินไป ทั้งยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด


 


 


“วางใจได้ มีข้าอยู่ ขอเพียงเป็นที่ที่เขามาปรากฏตัว ข้าจะเตือนเจ้าทันที” ลูกบอลเงินพูดปลอบ มันเองตรวจพบว่เป็นคนที่รู้จัก จึงไปแอบฟัง


 


 


“ข้าย่อมรู้ความสามารถของเจ้าดี แต่ข้าไม่อยากพึ่งเจ้ามากเกินไป ทำเช่นนี้แล้วจะทำให้ข้าดูเหมือนไร้ค่า” โลกที่ขาดแคลนไอทิพย์ ทำให้ความสามารถของเธอรุดหน้าไปช้ามาก จนเธอขาดความมั่นใจ


 


 


ไม่ได้ จะหย่อนยายการบำเพ็ญเพียรไม่ได้ อำนาจควบคุมภายนอกก็จะขาดไม่ได้ จะอาศัยแค่ความแข็งกร้าวของพลังในตัวเธออย่างเดียวไม่ได้ ถึงตอนนั้นอาจถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นงานได้ เกรงว่าปืนใหญ่นับไม่ถ้วนก็ระเบิดสังหารเธอได้


 


 


“จริงสิ เจ้าลูกบอล ขอถามอะไรหน่อย” เธอนึกอะไรบางอย่าง แล้วคว้าเจ้าลูกบอลเงินที่กำลังกระโดดเหยงๆ มาวางไง้ตรงหน้า


 


 


ดวงตาของลูกบอลเงินกะพริบด้วยความหวาดผวา “เจ้า…มีอะไรจะพูดก็พูดเลย อย่าลงไม้ลงมือ ข้าเองก็เป็นคนที่มีศักดิ์ศรี อ้อไม่ใช่ เป็นเครื่องจักรที่มีศักดิ์ศรี”


 


 


“เครื่องจักรที่มีศักดิ์ศรี บ้าอะไร” อีลั่วเสวี่ยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี บางครั้งเจ้าลูกบอลงานก็ตลกดี


 


 


“เอาละ ข้าไม่ตีเจ้าหรอก ข้าไม่ใช่คนที่รังแกเพื่อนเพื่อความสนุก ข้าอยากถามเจ้าเรื่องหนึ่ง จะสร้างแหวนหยกที่เหมือนแหวนของข้าทุกอย่างได้ไหม ให้ข้างในมีเส้นสีแดงด้วย”


 


 


พูดแล้วก็หยิบแหวนหยกที่ทำเลียนแบบที่เปลี่ยนในห้องทำงานของหลิ่วเฟยอวิ๋นออกมา


 


 


แหวนหยกของเธอต่างกับแหวนหยกคนอื่นตรงที่มีเส้นสีแดงเพิ่มขึ้น ตามหลักแล้ว หยกบริสุทธิ์น้อยมากที่จะมีรอยสีแดง ต่อให้มี ตอนนั้นหลิ่วเฟยอวิ๋นตั้งใจเลือกแหวนให้พวกเธออย่างละเอียด


 


 


ตอนนั้นเธอเอาตัวรอดไปได้ แต่หลังจากนี้ล่ะ ระวังตัวหน่อยจะดีกว่า สัญชาตญาณบอกเธอว่าแหวนหยกทำเลียนแบบวงนี้จะมีประโยชน์มาก นี่คือเหตุผลที่เธอยังเก็บไว้


 


 


 


 


ตอนที่ 319 มีรอยสีแดงเหมือนกันไม่มีผิด


 


 


“เจ้าต้องการให้แหวนหยกวงนี้มีรอยสีแดงสายหนึ่งใช่ไหม?” ดวงตาลูกบอลเงินกลอกไปมา เห็นได้ชัดว่าเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วของปลอมก็จะเป็นของปลอมอย่างแท้จริง


 


 


อีลั่วเสวี่ยพยักหน้า “งั้นเจ้าว่ามา มีวิธีหรือไม่” ถ้าเจ้าลูกบอลเงินไม่มีวิธี เธออาจจะต้องไปหาหินหยกชิ้นหนึ่ง .shคนช่วยลอบทำขึ้น แต่ทำอย่างนั้นอาจถูกเปิดเผยได้ง่าย เธอเองก็ไม่อยากยุ่งยาก


 


 


“ถ้าเจ้าไปหาคนให้ช่วยทำ ไม่แน่ว่าจะหาหยกที่มีเนื้อเดียวกับหยกเดิมได้ อีกอย่างวันหน้าถ้ามีการตรวจสอบก็พบได้ง่ายว่าไม่ได้มาจากหยกก้อนเดียวกัน แต่สำหรับข้าแล้วก็ไม่แน่ ข้าเป็นร้านตลาดมืดปัญญาประดิษฐ์ชั้นสูง ไม่สิ ตอนนี้ข้าไม่ใช่ร้านตลาดมืดแล้ว…”


 


 


มันยังพูดไม่จบก็ถูกอีลั่วเสวี่ยทุบเบาๆ “ไร้สาระน้อยหน่อย ทำได้หรือไม่ได้?”


 


 


“ได้ ทำไมจะทำไม่ได้ เรื่องนี้ง่ายมาก เดี๋ยวกลับไปข้าจะใช้เครื่องมือพิเศษเติมรอยสีเดียวกันลงไปก็ได้แล้ว” จะดูเบาร้านปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงอย่างมันไม่ได้ มันทำอะไรเป็นมากจริงๆ


 


 


พออีลั่วเสวี่ยได้ยินก็เหมือนยกหินก้อนใหญ่ออกจากอก แล้ววางลูกบอลเงินลงบนเก้าอี้ข้างคนขับ


 


 


“ความรู้สึกที่แก้ปัญหาหนักใจเรื่องหนึ่งได้ไม่เลวเลย กลับกันเถอะ” วันนี้กินอาหารกับพวกเขามากมาย บางอย่างยังมีอันตรายต่อสุขภาพ กลับไปต้องเพิ่มการบำเพ็ญเพียร ขับสิ่งแปลกปลอมออกไป


 


 


โลกนี้อะไรก็ดีไปหมด อาหารอร่อยมากมาย มีของกินของเล่นมากเหลือเกิน แต่ขณะเดียวกันของเหล่านี้ไม่ดีต่อสุขภาพ


 


 


เวลานี้เธอรู้บ้างแล้วว่าเพราะเหตุใดคนบนโลกนี้ที่สามารถบำเพ็ญเพียรได้มีน้อยจริงๆ อาหารไม่มีไอทิพย์ กลับมีสิ่งที่เป็นผลเสียต่อสุขภาพเจือปนอยู่ แล้วคนจะบำเพ็ญเพียรได้อย่างไร


 


 


บางทีอาจมีคนที่ในตอนเด็กมีพรสวรรค์ที่จะบำเพ็ญเพียรได้ แต่ไม่มีใครรู้ ภายหลังค่อยๆ สูญเสียความสามารถนี้ไป กลายเป็นคนธรรมดา


 


 


“มีเสียก็มีได้ มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม อาหารรสเลิศ วิทยาการขั้นสูง ที่เสียไปก็คงเป็นรูปแบบชีวิตที่มีจังหวะเชื่องช้า” เธอมองดูรถราข้างหน้าที่แล่ยขวักไขว่ แล้วพูดอย่างสะเทือนใจ


 


 


ในใจเธอซับซ้อน การสืบทอดร่างกายนี้ทั้งยังรับเอาความรู้สึกและวิธีคิดบางอย่างของเจ้าของร่างเดิมไว้ ขณะเดียวกันเธอยังมีนิสัยและความปรารถนาในโลกเก่าของเธอ


 


 


อีกประการหนึ่ง สำหรับโลกที่ทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคย บางครั้งเธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนหนึ่งในนี้ แต่บางครั้งกลับรู้สึกว่าไม่อาจเข้ากันได้ ตัวเธอเป็นแค่คนนอกที่อาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น


 


 


“เฮ้อ ไม่รู้ว่าอาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง ถ้าท่านผู้เฒ่ารู้ว่าข้าระเบิดตัวเอง คงจะผิดหวังมาก” อีลั่วเสวี่ยพึมพำ มีรอยยิ้มอย่างขมขื่นและรู้สึกผิด


 


 


“เจ้านะเจ้า ถ้าคิดถึงท่านละก็ ทุ่มเทบำเพ็ญเพียรสิ รอจนความสามารถเจ้าสูงถึง กฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินของโลกนี้ก็จะเปิดประตูให้เจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าจะกลับไปย่อมง่ายมาก”


 


 


แต่ละโลกจะมีกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินที่ไม่อาจอธิบายให้ชัดเจน บางคนเมื่อบำเพ็ญเพียรถึงขั้นหนึ่ง ไม่เหมาะที่จะอาศัยในโลกนี้ ก็จะมีเส้นทางสำหรับทางเดินต่อไปของพวกเขาปรากฏขึ้น


 


 


เพียงแต่การจากไปและหายตัวไปของพวกเขาไม่ได้ทำให้คนอื่นตื่นตกใจ หรืออาจตกใจบ้าง แต่คนที่รู้ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้ม “ใช่แล้ว แต่ความสามารถของข้าในขณะนี้ยังห่างไกลมาก” ความสามารถเป็นสาเหตุหนึ่ง ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นคือเธอยังไม่อยากจากที่นี่ไป


 


 


พอคิดจะไป ในหัวจะมีภาพใบหน้าหล่อเหลาที่พยายามยิ้มผุดขึ้นทันที รวมทั้งดวงตาที่เปี่ยมด้วยความรักและอ่อนโยน เฉวียนหมิง ถ้าต้องไปจากที่นี่ เธอจะทำใจได้หรือ ทำใจได้หรือไม่


 


 


“รถคันหน้า เจ้าของรถหมายเลขทะเบียนxxxx ถ้าไม่มีเรื่องอะไร อย่าขับแช่บนช่องทางด่วน” ขณะที่อีลั่วเสวี่ยกำลังคิดจนใจลอย มีเสียงแตรรถดังมาจากข้างหลัง คงเป็นเสียงเตือนให้เธอรีบขับออกไป



ตอนที่ 320 มาส่งน้ำแกงไก่ 


 


 


หลังจากที่อีลั่วเสวี่ยตื่นจากภวังค์ ก็โผล่หน้าออกจากหน้าต่างรถ ยิ้มให้คนข้างหลังอย่างขออภัย “ขอโทษด้วย พอดีไม่ค่อยสบายท้อง จะขับออกไปเดี๋ยวนี้” 


 


 


ใบหน้าที่สวยงามดุจเทพธิดา ในชั่วพริบตาแสงไฟส่องมาที่ข้างนาง ราวกับระหว่างฟ้าดินเหลือเพียงเธอคนเดียว 


 


 


ตำรวจจราจรสองนายที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ถึงกับเบิกตาโต ลืมประกาศเตือน ถือเครื่องบอกเตือนไว้ ตะลึงมองอีลั่วเสวี่ย 


 


 


“ตำรวจเซ่อซ่าสองคน ไม่เคยเห็นผู้หญิงหรือไง เชอะ” มนุษย์ผู้หญิงก็หน้าตาคล้ายๆ กัน ไม่เห็นมีอะไรน่าดู แปลกจริงๆ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็ดึงศีรษะกลับมา แล้วยื่นมือออกไปดีดเจ้าลูกบอลเงิน “เจ้าไม่รู้จักชื่นชม ก็ไม่ต้องไปหัวเราะเยาะคนที่เขารู้จักชื่นชม เข้าใจไหม?” 


 


 


“เจ้าบอกว่าข้าไม่รู้จักชื่นชมงั้นหรือ? ข้าไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ข้าเป็นร้านค้าปัญญาประดิษฐ์ชั้นสูง เป็นหุ่นยนต์ที่มีความรู้สึก! อย่าดูถูกข้าเชียว!” ลูกบอลเงินไม่พอใจที่อีลั่วเสวี่ยบอกว่ามันไม่รู้จักชื่นชม 


 


 


อีลั่วเสวี่ยขับรถต่อไปพลางสั่นศีรษะอย่างจนใจ “ช่างเถอะ ข้าไม่โต้เถียงกับหุ่นยนต์หรอก” 


 


 


เพราะเธอบอกอาเหมาไว้ล่วงหน้า พออีลั่วเสวี่ยกลับมาถึงก็เป็นเวลามื้อค่ำพอดี 


 


 


“คุณหนูใหญ่ รู้ว่าคุณกินอาหารจากข้างนอกมา แต่ตอนนั้นพวกคุณกินมื้อเที่ยงกัน คิดดูแล้วพอคุณกลับมาก็อาจจะหิว ก็เลยทำอาหารค่อนข้างจืดหน่อย คุณกินสักหน่อยก็ได้ หรือเก็บไว้ในตู้เย็น กลางคืนถ้าหิวค่อยเอาออกมาอุ่นกิน” 


 


 


เธอเพิ่งเข้ามาในบ้านก็เห็นอาเหมาตั้งอาหารบนโต๊ะ พอเขาเห็นอีลั่วเสวี่ย ก็ยิ้มทันทีแล้วพูดขึ้น 


 


 


อีลั่วเสวี่ยได้กลิ่นอาหารที่ถูกปากก็รู้สึกหิวแล้ว แม้ว่าอาหารที่นี่อาจทำให้เกิดกากขึ้นในร่างกาย แต่ถ้าเธอบำเพ็ญเพียรเป็นประจำก็ไม่ได้รับผลกระทบ 


 


 


“พออาเหมาพูดอย่างนี้ ฉันก็รู้สึกหิวแล้ว” เธอวางกระเป๋าถือไว้ที่ชั้นหน้าประตู กำลังเปลี่ยนรองเท้า มือถือในกระเป๋าถือก็ดังขึ้น 


 


 


“ค่ำอย่างนี้ ใครยังโทรหาฉันนะ?” เธอพึมพำ แล้วเปิดกระเป๋าหยิบมือถือออกมาดู หรือเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา ไม่งั้นก่อนหน้านี้ดึกแล้วเขาไม่เคยโทรหาเธอ 


 


 


“ฮัลโหล โทรหาฉันมีเรื่องอะไรคะ?” 


 


 


เสียงที่มีเสน่ห์ดึงดูดของเฉวียนหมิงดังขึ้นในโทรศัพท์ทันที “ผมเอง คุณกินมื้อเย็นหรือยัง” 


 


 


โทรมาเพื่อถามว่าเธอกินข้าวหรือยังงั้นหรือ หมอนี้ไม่จำเป็นต้องละเอียดรอบคอบอย่างนี้หรอก อีลั่วเสวี่ยนึกในใจ แต่ก็ยังตอบไปตามความจริง “เพิ่งกลับจากการไปเจอกับเพื่อน กำลังเตรียมกินมื้อเย็น มีอะไรหรือ” 


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก ผมอยู่ที่หน้าประตูบ้านคุณ คุณออกมาหน่อยสิ” 


 


 


“อะไรนะ?” อีลั่วเสวี่ยเสียงดังขึ้นทันที ทำให้อาเหมาชำเลืองมอง 


 


 


“คุณหนูใหญ่ เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” 


 


 


“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ฉันออกไปหน่อย” ค่ำอย่างนี้เขายังมาหาเธอ นี่เพิ่งจากกันสองวันเท่านั้นเอง 


 


 


อีลั่วเสวี่ยวางสาย ในใจรู้สึกอายแบบเด็กสาว หยิบมือถือเดินออกไป อาเหมามองตามหลังเธอไปแล้วคิดอะไรในใจ เขาเดินมาที่ประตู เปิดกล้องวงจรปิดดู แล้วยิ้มทันที แล้วไปที่ห้องครัว ค่ำนี้อาจต้องทำอาหารเพิ่ม 


 


 


“ดึกแล้ว คุณมาหาฉัน มีเรื่องสำคัญอะไรหรือ?” อีลั่วเสวี่ยขับรถมาถึงประตูเหล็ก แล้วถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ 


 


 


เฉวียนหมิงเม้มริมฝีปาก เขาเปิดประตูรถ ยกกล่องอาหารเก็บความร้อนใบใหญ่ออกมาจากที่นั่งข้างคนขับ “ผมตุ๋นน้ำแกงไก่ห้าชั่วโมง รสชาติไม่เลวเลย เอามาให้คุณ” 


 


 


ดึกแล้ว เขาขับรถมาไกลจากคฤหาสน์เพื่อเอาน้ำแกงไก่มาให้เธองั้นหรือ? ในใจอีลั่วเสวี่ยรู้สึกสับสนและหวานชื่น เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 321 ผมจะหัดทำ 


 


 


เฉวียนหมิงทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นอีลั่วเสวี่ยนิ่งเงียบไป “คริคริ ผมรู้ว่าคุณชอบกุ้งมังกรเล็ก แต่กินกลางคืนจะย่อยยาก เอาไว้มื้อเที่ยงผมจะทำให้คุณ” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยก็ยังไม่พูด ทำให้เฉวียนหมิงชักหวั่นใจ เขาเหลือบตาขึ้นมองเธอ “หรือคุณไม่ชอบกินน้ำแกงไก่ ถ้างั้นน้ำแกงซี่โครงหมูเป็นไง คราวหน้าเปลี่ยนเป็นน้ำแกงซี่โครงหมู” 


 


 


เฉวียนหมิงพูดแล้วค่อยๆ ดึงมือกลับ เอากล่องอาหารซ่อนไว้ข้างหลัง 


 


 


“ใครว่าฉันไม่ชอบล่ะ” อีลั่วเสวี่ยก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วรับกล่องอาหารเก็บความร้อนไว้ เธอเงยหน้าขึ้น มองดูเฉวียนหมิง แววตาเป็นประกาย 


 


 


“เอ๊ะ?” เฉวียนหมิงงุนงงเล็กน้อย เห็นดวงตาที่เจิดจ้าตรงหน้า ทำให้ลืมคิด 


 


 


ดวงตาอีลั่วเสวี่ยฉายแววยิ้มแย้มออกมา “คนโง่ ฉันไม่ได้ปฏิเสธซะหน่อย คุณเครียดทำไม” 


 


 


“ผมไม่ได้เครียด” เฉวียนหมิงปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด แต่ทำอย่างนี้กลับเป็นการพูดกลบเกลื่อนแล้วยิ่งเผยออกมา สารภาพหมดแล้ว 


 


 


เฉวียนหมิงนึกอะไรขึ้นได้ ดวงตาเจิดจ้าทันที “อาเสวี่ย คุณชอบก็ดีแล้ว” คนที่พูดไม่เก่งอย่างเขา ทางที่ดีคือมีอะไรก็พูดออกมา ความจริงแล้วคนที่ชอบวางอำนาจและเย็นชาอย่างเฉวียนหมิง เมื่อเผชิญหน้ากับอีลั่วเสวี่ย กลับเหลือเพียงความอ่อนโยน 


 


 


ทั้งยังไม่ต่างจากผู้ชายทั่วไป มักจะอารมณ์เปลี่ยนไปตามแฟน แล้วกระสับกระส่าย 


 


 


“ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าไม่ชอบ จะว่าไปแล้ว อะไรที่ฉันชอบคุณก็จำได้หมด ยังกลัวว่าฉันจะไม่ชอบอีกหรือ?” อีลั่วเสวี่ยมือข้างหนึ่งถือกล่องอาหารเก็บความร้อนไว้ อีกข้างกุมมือที่เย็นเฉียบของเฉวียนหมิง 


 


 


เขาคงมาถึงที่นี่ แล้วลังเลก่อนที่จะโทรหาเธอ ท่าทางซื่อๆ แบบนี้ แล้วจะไม่ให้คนรู้สึกดีใจได้อย่างไร 


 


 


เฉวียนหมิงเม้มปาก ดวงตาเปี่ยมด้วยความรัก “บางทีที่ชอบกินก็อาจเปลี่ยนได้ ผมกลัวว่าคุณจะไม่ชอบรสชาติที่ผมทำ อีกอย่างคุณยังไม่เคยชิมน้ำแกงไก่ที่ผมทำเลย” 


 


 


“อยากให้ฉันชิมใช่ไหม ง่ายออก เราเข้าไปกินมื้อเย็นด้วยกันค่ะ” อีลั่วเสวี่ยพูดแล้วดึงเฉวียนหมิงขึ้นรถ ยามเฝ้าประตูเห็นเช่นนั้นก็รีบเปิดประตูเหล็กทันที 


 


 


“ขับรถสิ มัวเหม่ออะไร” มือหนึ่งของอีลั่วเสวี่ยกอดกล่องอาหารเก็บความร้อนไว้ ยังรู้สึกถึงความร้อนบนนั้นได้ พอเห็นรถยังไม่แล่นออกไป จึงเอ่ยขึ้น 


 


 


 เฉวียนหมิงชำเลืองมองมือเธอ “คุณดึงผมไว้ แล้วผมจะขับรถยังไง?” 


 


 


ที่แท้อีลั่วเสวี่ยนั่งลงที่ที่นั่งข้างคนขับแล้ว แต่ไม่ได้เปิดประตูรถให้เขา เธอยิ้มแล้วรีบเปิดประตูรถ 


 


 


“คริคริ” แย่จริงๆ ไอคิวเธอถูกสุนัขกินไปแล้ว ถึงกับทำผิดพลาดโง่ๆ อย่างนี้ 


 


 


แต่เฉวียนหมิงอารมณ์ดีเป็นพิเศษเขาเดินอ้อมรถไปนั่งในที่นั่งคนขับ ขับรถเข้าไปในคฤหาสน์ 


 


 


“อาเสวี่ย มื้อเที่ยงพรุ่งนี้คุณอยากกินอะไร ผมทำให้คุณ ถ้าทำไม่เป็นก็จะหัดทำ” ที่แท้การทำอาหารให้คนที่ตนเองรักกินนั้นเป็นเรื่องที่สนุกและมีความสุขมาก 


 


 


อีลั่วเสวี่ยกอดกล่องอาหารไว้ แล้วหันมามอง “เรื่องนี้…ขอฉันคิดก่อนค่ะ” 


 


 


จากนั้นทั้งสองก็เปิดประตูเดินเข้าไปในคฤหาสน์ พอดีเห็นอาเหมายกผัดผักควันฉุยกลิ่นหอมออกมาสองจาน 


 


 


อาเหมายิ้มอย่างเบิกบานใจเมื่อเห็นทั้งสองคน “คุณชายเฉวียน คุณมาแล้ว เชิญนั่งครับ ผมผักผักที่คุณชอบ มากินด้วยกันเลย” 


 


 


พออาเหมาพูดเช่นนี้ เฉวียนหมิงหันไปมองอีลั่วเสวี่ยทันที ก่อนจะออกจากบ้านเธอไม่ลืมบอกให้อาเหมาทำอาหารที่เขาชอบ ซาบซึ้งใจจริงๆ 


 


 


“ที่จริงไม่…” 


 


 


“ที่จริงขืนชักช้ากับข้าวจะเย็นหมด คุณสองคนอย่ามัวยืนอยู่ รีบมากินข้าว ฉันเองก็หิวแล้ว” อาเหมาพูดพลางตักข้าว 


 


 


“รบกวนอาเหมาแล้ว” เฉวียนหมิงพูด แล้วทำตัวเหมือนอยู่บ้านตัวเอง เปลี่ยนรองเท้า แขวนเสื้อโค้ทไว้ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยเม้มปาก ทำเป็นมองไม่เห็นที่อาเหมากวาดสายตามา ที่จริงไม่จำเป็นต้องให้เฉวียนหมิงเข้าใจว่าเธอเป็นคนสั่งหรอก 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม