เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก 297-304
ตอนที่ 297 คุยงานในยามค่ำคืน
ซย่าเสี่ยวมั่ววางตะเกียบจึงจะพบว่าเธอคุยกับเหยียนเค่อสามประโยคแล้วแทะน่องไก่ไปสองน่อง กินหมูนึ่งมะเขือเสียเกลี้ยงจาน จึงอดไม่ได้ที่จะโพสต์เวยปั๋วอีกครั้ง [คุยไปยังไม่ถึงห้าประโยค ฉันก็กินไปเยอะขนาดนี้แล้ว นี่ต้องเป็นสิ่งที่สวรรค์ส่งมาลงโทษฉันแน่เลย]
เหยียนเค่อไม่เห็นโพสต์นี้ของเธอ เขาเพิ่งตื่นก็รีบลุกขึ้นมาดูอีเมล แล้วเตรียมรับมือกับลูกน้องที่กระจายอยู่ในแต่ละเขต
“YAN เพิ่งตื่นเหรอ หน้าตาดูหงุดหงิด” ผู้รับผิดชอบของเขตยุโรปเอ่ยหยอกล้อ เหยียนเค่อเห็นหน้าเขาก็หยุด
“นายเป็นคนจีนก็ช่วยพูดภาษาจีนได้ไหม”
“พูดภาษาอังกฤษทุกคนจะได้เข้าใจ” ผู้รับผิดชอบของเขตทวีปอเมริกาโผล่ออกมา
เหยียนเค่อล่ะยอมใจคนในกลุ่มนี้จริงๆ “เวลาต่างกันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ อีกสองคนล่ะ”
“น่าจะใกล้แล้วล่ะ” ผู้รับผิดชอบของเขตยุโรปที่ค่อนข้างสนิทกับเหยียนเค่อเอ่ยหยอกล้อ “เพิ่งลุกจากเตียงของแม่สาวคนนั้นมาหรือไง ทำไมดูรำคาญพวกเราแบบนั้น”
“ฉันเพิ่งลุกจากเตียงของนายนั่นแหละ ไม่รู้เหรอ” เหยียนเค่อเอามือเท้าศีรษะ อ่านเอกสารไปพลางต่อล้อต่อเถียงกับเขา
ผู้รับผิดชอบของเขตทวีปอเมริกาหัวเราะ “แจ็กสันก็มีวันนี้เหมือนกันเหรอเนี่ย แต่วันนี้ YAN ใส่ชุดลำลอง สไตล์แตกต่างไปจากปกตินะ”
‘แจ็กสัน’ ผู้รับผิดชอบเขตยุโรปเข้ามาแฉความลับของเหยียนเค่อ “เห็น YAN ท่าทางจริงจังอย่างนี้ นี่แหละคือสไตล์ที่แท้จริงของเขา”
เหยียนเค่อเงยหน้าขึ้นมองคนที่พูดขึ้นอย่างสบายๆ ปราดหนึ่งก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ “หลายปีมานี้ฉันให้เซอร์วิสเยอะเกินไปใช่ไหม ถึงทำให้นายปีกกล้าขาแข็งขนาดนี้”
แจ็กสันรีบหุบปากอย่างรู้ตัว เงินเดือนของเขายังอยู่ในกำมือของนายคนนี้อยู่ ถึงจะสนิทกันก็ตาม แต่ก็หลุดพ้นจากชีวิตที่ต้องทำงานให้นายคนนี้ไปไม่ได้
ผู้รับผิดชอบของแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และผู้รับผิดชอบของเขตแอฟริกาต่างก็มาครบหมดแล้ว กำลังคุยสนุกกันก่อนที่การประชุมจะเริ่มอย่างเป็นทางการ
เหยียนเค่อถือว่าเป็นคนที่รวดเร็ว แต่ประเด็นคือจิตใจไม่จดจ่ออยู่กับเอกสาร แนวคิดที่วางแผนไว้เขียนไปได้เจ็แปดสิบเปอร์เซ็นต์ก็ไม่เขียนต่ออีก นั่งฟังพวกนั้นพูดพล่าม
ผู้รับผิดชอบของแอฟริกาก็เป็นคนที่เหยียนเค่อตามตัวเข้ามา ตากแดดอยู่ที่นั่นจนตัวจะเกรียมอยู่แล้ว แถมยังเล่าประสบการณ์แปลกประหลาดของตนให้พวกเขาฟังอย่างออกรสออกชาติ
“นายไปเที่ยวหรือว่าไปทำงานน่ะ” แจ็กสันฟังเขาพูดว่าที่ทุ่งหญ้าในแอฟริกา อยู่ดีๆ อาจจะมีสิงโตหรือไม่ก็ช้างโผล่ออกมาได้ จึงจงใจยุยงให้เหยียนเค่อควบคุมลูกน้องที่มัวแต่ทำอะไรตามใจตัวเองกันสักที
เหยียนเค่อนั่งฟังอย่างเบื่อหน่าย เหลือบตาขึ้นมองเขาทีหนึ่ง “เขากำลังเอาชีวิตไปทำงานอยู่ ถ้านายอิจฉาที่เขาไปอยู่ที่นั่นแล้วสนุกพวกนายสองคนก็สลับกันสิ”
“ช…ช่างเถอะ” แจ็กสันรู้สึกเหมือนยกก้อนหินทับเท้าตัวเอง เปิดเอกสารเตรียมตัวเปิดประชุม
ทุกคนต่างก็เตรียมพร้อมหมดแล้วและนั่งรอเหยียนเค่อเงียบๆ อยู่พักใหญ่ แต่เห็นเหยียนเค่อยังคงพลิกเปิดเอกสารตรงหน้าต่อไปโดยไม่ส่งเสียง
“คือ บอสครับ บอสไม่จัดการองค์ประชุมเหรอครับ”
“พวกนายไปจัดการกันเองเถอะ วันนี้ฉันเหนื่อยนิดหน่อย” เหยียนเค่อรู้สึกมึนหัว จึงตอบกลับไปอย่างเหน็ดเหนื่อยง่วงงุน
แจ็กสันมองเขาราวกับล่วงรู้อะไรบางอย่าง ก่อนจะไปคุยกับคนอื่นๆ ลับหลัง
[บอสโดนสาวสวยจัดหนักหรือเปล่า]
[นายหยุดเลยนะ ถ้าบอสเห็นนายเตรียมตัวร้องไห้ได้เลย]
…
เหยียนเค่อที่ไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรลับหลังตนเอ่ยขึ้น “กำไร, ผลกำไรและขาดทุน, โครงการของไตรมาสต่อไป แล้วมีอะไรอีก เริ่มพูดไปทีละคน”
เมื่อต้องทำงานแจ็กสันก็เป็นคนที่จริงจังเช่นกัน “กำไรมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ห้าเปอร์เซ็นต์ ผลกำไรของธุรกิจหรือว่าของสถานบันเทิงต่างๆ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในไตรมาสนี้ยังสามารถรักษาระดับไว้ได้อยู่ครับ แต่ธุรกิจใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวยังคงขาดทุนอยู่ ไตรมาสต่อไปจะพยายามทำให้ธุรกิจเสื้อผ้าขาดทุนน้อยลงครับ ส่วนโครงการโดยละเอียดจะส่งเข้าไปให้ในอีเมลนะครับบอส”
ตอนที่ 298 ค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วงอันเงียบเหงา
เหยียนเค่อไม่ได้ฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์นัก จึงยกมือขึ้นขัดจังหวะพวกเขา น้ำเสียงเจือความแหบแห้งจากการโต้รุ่ง “มีแต่แบบนี้หมดเลยเหรอ จะไม่เปลี่ยนรูปแบบกันสักหน่อยหรือไง”
คนที่เหลือนิ่งอึ้งไป อะไรคือความหมายของคำว่า ‘มีแต่แบบนี้หมดเลยเหรอ’ ?
“ถ้ามีแต่แบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องประชุมต่อหรอก จบการประชุม ฉันง่วงจะตายอยู่แล้ว” เหยียนเค่อเอามือเท้าศีรษะแล้วโบกมืออย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน เขาง่วงจนปวดหัวไปหมดแล้ว “ส่งเมลมาให้ฉันแล้วไปนอนกันเถอะ”
นอกจากผู้รับผิดชอบของเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ยินประโยคนี้แล้วดีใจนั้น คนที่เหลือก็ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรเลย
“พวกเรายังเป็นตอนกลางวันอยู่เลย”
“ทางนี้พระอาทิตย์เพิ่งจะขึ้นเอง”
“…”
เหยียนเค่อจบการวิดีโออย่างเอาแต่ใจ หลังจากได้รับอีเมลแล้วก็ไปจัดการตัวเองแล้วไปอาบน้ำนอน ออกมาจึงจะเห็นโพสต์ของซย่าเสี่ยวมั่ว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซย่าเสี่ยวมั่วพูดถึงใคร พึมพำในใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนอนแผ่บนเตียงแล้วห่อตัวด้วยผ้าห่ม กะว่าจะหลับสักงีบ
ผู้รับผิดชอบหลายคนยังคงพูดคุยกันในกลุ่มแชตส่วนตัว คาดเดากันว่าบอสใหญ่คิดจะไปทำอะไรกันแน่ถึงทิ้งพวกเขาไว้ในกลุ่มอย่างนั้น
ฉินซื่อหลานเขียนวิทยานิพนธ์ไปได้ครึ่งหนึ่งจึงจะนึกไปถึงเด็กที่ถูกทอดทิ้งอย่างเซ่าหมิงฟ่าน จึงรีบเข้าไปที่บริษัทเพื่อคอยเอาอกเอาใจเขา
เซ่าหมิงฟ่านมีความรับผิดชอบยิ่งกว่าเหยียนเค่อเสียอีก แม้ว่าอีกฝ่ายจะพ่นคำพูดไร้ประโยชน์ออกมาเป็นชุด เขาก็ยังอดกลั้นความรู้สึกอยากจะด่าคนเอาไว้ได้ แล้วนั่งฟังพวกเขาพล่ามต่อไป
ฉินซื่อหลานนั่งเขียนวิทยานิพนธ์ต่ออยู่ที่มุมห้อง ไม่ฟังเสียงรอบข้าง
หลังจากเซ่าหมิงฟ่านทำงานเสร็จก็เอนตัวลงบนโซฟาแล้วหลับตาพักผ่อน “นายมาหาฉันทำไม”
“นายไปพักได้แล้ว ไอ้เหยียนให้ฉันมาดูนายหน่อย” ฉินซื่อหลานเคาะแป้นพิมพ์เร็วขึ้น ไม่ชายตามองเขาสักนิด
“ดูว่าฉันตายหรือยังน่ะเหรอ” เซ่าหมิงฟ่านเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด
ไม่ว่าใครถ้าถูกทิ้งให้ทำงานจนหัวหมุนอยู่ที่นี่ทุกวันเป็นเวลานานเข้าก็คงรู้สึกสงสัยแบบนี้เหมือนกัน
“คงงั้นมั้ง” ฉินซื่อหลานเซฟไฟล์งาน แล้วหันมาคุยเล่นกับเขา “ฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง ฉันไปหลอกถามซย่าเสี่ยวมั่วมา นึกไปถึงว่าเหยียนเค่อจะโดนปฏิเสธแรงขนาดนั้น”
สองหนุ่มไร้คู่นั่งคุยเรื่องก็อซซิปกันในค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิ หัวเราะราวกับคนสติไม่ดี
พอซย่าเสี่ยวมั่วว่างก็เริ่มอยู่ไม่สุข โพสต์เซอร์วิสในเวยปั๋วไปหลายอย่างก่อนจะไปโทรศัพท์หาสวีรั่วชี ส่วนสวีรั่วชีที่กำลังหลับได้ที่เกือบจะฉีกผ้าปูเตียงทิ้งแล้ว
“เธอโทรมาหาฉันทำไมเนี่ย” เธอเอ่ยถามพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ซย่าเสี่ยวมั่วก็เหมือนจะรู้ว่าตัวเองได้ก่อเรื่องใหญ่เอาไว้เสียแล้ว ในใจรู้สึกหวาดกลัว “ยังจำได้ไหมที่เธอบอกว่าจะไปนัดบอดเป็นเพื่อนฉันน่ะ”
“ฉันตกลง ตอนนี้ฉันจะนอนแล้ว บ๊ายบาย!” สวีรั่วชีรู้สึกว่าคบคนปัญญาอ่อนเป็นเพื่อน
ซย่าเสี่ยวมั่วที่โดนวางหูโทรศัพท์ใส่มองดูหน้าจอมืดสนิทแล้วนึกสงสารตัวเอง สวีรั่วชีที่มีแฟนเปลี่ยนไปจริงๆ ด้วย ไม่รักเธอเหมือนแต่ก่อนแล้ว
สมองของเหยียนเค่อก็กำลังคิดถึงเรื่องที่ซย่าเสี่ยวมั่วจะไปนัดบอดเหมือนกัน เขากำลังคิดว่าจะไปปรากฏตัวที่นั่นอย่างไรจึงจะสมเหตุสมผลและไม่ทำให้ซย่าเสี่ยวมั่วสงสัย
เขายังจำได้ว่าครั้งก่อนที่ไปที่นั่นก็คือตอนที่ซย่าเสี่ยวมั่วนัดคุยกับหลี่หมิงฉวี มาการองของที่นั่นก็รสชาติไม่เลว แต่มาการองที่ไหนก็มีขายทั้งนั้น สมองของเขาแล่นช้าๆ อย่างเลอะเลือนก่อนจะค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดดำ ก้อนเมฆแหวกว่ายซ่อนตัวอยู่ความมืด สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเอาใบไม้ที่กองทับถมอยู่บนพื้นให้ลอยปลิวขึ้นอย่างเบาๆ จนแตกกระจายแล้วจึงจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน สั่นสะท้านอยู่ในซอกหลืบของก้อนหินบนพื้นถนน
ในค่ำคืนที่ขาดคนให้กอดคลายหนาว เดียวดายราวกับเส้นด้ายที่พันขดเข้าด้วยกัน คนริมหน้าต่างนั้นโดดเดี่ยวอ้างว้าง แต่กลับเห็นคนที่เหมือนกับเธอในความฝัน และตนได้กลายเป็นตัวเอกในความฝันของเธอคนนั้น ทั้งคู่ซุกตัวเข้าหากันเพื่อหาความอบอุ่น อิงแอบแนบชิดกัน
ตอนที่ 299 กลับไปบริษัทอีกครั้ง
เหยียนเฟิงนั่งอยู่ด้านล่างสักพักหนึ่ง ฟังพ่อแม่ถกเถียงกัน จนสุดท้ายเมื่อทั้งสองคนเถียงกันจนพอใจแล้วจึงกลับไปนอนโดยไม่สนใจกันและกัน
เหยียนเค่อ ดูซิ ตั้งแต่นายกลับบ้านก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย เหยียนเฟิงนั่งอยู่บนโซฟา ลูบถ้วยชาราคาแพงก่อนจะมองตามแผ่นหลังของพ่อกับแม่ที่ห่างออกไปแล้วขบคิดอย่างหนัก
เหยียนเค่อฝันดีตลอดทั้งคืน วันต่อมาจึงตื่นแต่เช้าตรู่ ตอนตื่นนอนยังรู้สึกหนักหัวจนเกือบจะกลิ้งตกเตียงไปเสียแล้ว หลังจากจัดการตัวเองเสร็จก็อาศัยช่วงที่คนทั้งบ้านยังไม่ตื่นออกจากบ้านไปก่อน
เขาถือแวะไปซื้อเกี๊ยวน้ำให้ตัวเองที่ร้านที่เมื่อก่อนซย่าเสี่ยวมั่วไปบ่อยๆ ตอนเช้า ก่อนจะหิ้วไปกินที่บริษัท
อากาศยามเช้ายังคงเย็นเยียบเข้ากระดูก บนทางเท้ามีคนเดินถนนประปราย ในยามเช้าที่ยังมีละอองฝุ่นลอยล่อง ยังมีดวงไฟของบ้านที่ยังติดสว่าง แต่แสงแดดอันอบอุ่นไม่สามารถส่องกระทบดวงตาของคนใต้อาคารได้
เกี๊ยวน้ำที่ถูกวางอยู่บนเบาะนั่งข้างคนขับมีควันร้อนลอยขึ้นปกคลุมกระจกรถ ทำให้บรรยากาศในยามเช้าเช่นนี้อบอุ่นไปด้วย
ฉินซื่อหลานและเซ่าหมิงฟ่านฝืนทนนอนหลับอยู่ในห้องพักตลอดทั้งคืน ถึงแม้ว่าห้องพักผ่อนของเหยียนเค่อจะตบแต่งอย่างดีก็ตาม แต่สภาพก็ไม่ได้ดีเท่าการนอนหลับที่บ้าน เมื่อฉินซื่อหลานตื่นก็เหลือบมองผ้าห่มที่เซ่าหมิงฟ่านแย่งไปแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะเป็นหวัด
“นายทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง” ฉินซื่อหลานฟาดก้นเขา ก่อนจะดึงชายผ้าห่มกลับมาตัวสั่น “นายเอาไปห่มคนเดียวเลย รู้ไหมว่าต้องแบ่งให้เท่าเทียมกันน่ะ!”
เซ่าหมิงฟ่านโดนเสียงเขาปลุกจนตื่น พลิกตัวลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด “นายจะเอายังไง ฉันไม่ได้ลืมบุญคุณใคร หรือว่าได้สาวแล้วทิ้งสักหน่อย”
เหยียนเค่อที่ยืนมองฉากนั้นอยู่หมุนตัวกลับไปนั่งที่โต๊ะของตน ความรู้เรื่องสำนวนของสองคนนั้นสู้เขาไม่ได้เลย…
“ถ้าฉันเป็นหวัดนะ ฉันจะโยนนายลงไปในน้ำเย็นเลยคอยดู” ฉินซื่อหลานออกมารินน้ำร้อนให้ตัวเอง เห็นคนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ แวบแรกยังนึกว่าตัวเองเห็นภาพหลอน ก่อนจะถามขึ้นอย่างแปลกใจ “นายมาได้ยังไงเนี่ย ไม่ไปรออยู่หน้าบ้านซย่าเสี่ยวมั่วเหรอ”
หางตาอันงดงามของเหยียนเค่อตวัดมองเหยียดเล็กน้อย “ทำความสะอาดห้องพักให้เรียบร้อยแล้วก็ไสหัวไปได้แล้ว”
ฉินซื่อหลานเขยิบเข้าไปใกล้จึงจะเห็นว่าตรงหน้าเหยียนเค่อมีเกี๊ยวน้ำที่ยังมีควันลอยล่องวางอยู่
“เฮ้ย มีข้าวเช้าด้วยนี่หว่า” เขายกมือทำท่าจะหยิบไป
เหยียนเค่อยกมือขึ้นปิดปากชามเอาไว้ “นี่มันของฉันคนเดียว ถ้าอยากกินก็ออกไปซื้อเอง”
ฉินซื่อหลานชะงักมือค้างอยู่กับที่ มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “ฉันหนาวจนจะเป็นหวัดอยู่แล้ว แต่นายดันทำแบบนี้กับฉันเนี่ยนะ!”
“อย่ามาเสแสร้งเลย นายไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายสักหน่อย” เซ่าหมิงฟ่านเดินบิดขี้เกียจออกมาแล้วโบกมือให้เหยียนเค่อ “นายมาแล้วงั้นฉันกลับล่ะนะ”
“เอาฉินซื่อหลานไปด้วย” เหยียนเค่อไม่อยากเห็นหน้าใครทั้งนั้น หากุญแจรถบนโต๊ะแล้วโยนให้ไป
เซ่าหมิงฟ่านรับมาก่อนจะมองสัญลักษณ์ด้านบนแล้วโยนมันขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะผิวปาก “คันนี้ของฉันล่ะนะ” ก่อนจะผลักฉินซื่อหลานให้เดินออกไป ส่วนฉินซื่อหลานก็เดินออกไปอย่างจำยอม
ประตูไม่ได้ปิดสนิท ยังได้ยินเสียงฉินซื่อหลานด่าเซ่าหมิงฟ่านอยู่ตรงทางเดินอย่างเลือนราง
“ไม่มีศักดิ์ศรี!”
“ถ้านายมีศักดิ์ศรีมากก็ไปต่อยกับเขาสิ”
“เหอะ” ผ่านไปเนิ่นนานก็ได้ยินเสียงอ่อนแอของฉินซื่อหลาน “รถคันไหนนะ”
…
เหยียนเค่อกินอาหารเช้าเสร็จก็เก็บกวาดโต๊ะจนสะอาดเอี่ยมอ่อง ก่อนจะหันไปมองห้องพักผ่อนที่เละไม่เป็นท่าปราดหนึ่งแล้วเรียกคนเข้ามาจัดการ
เขาไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่เขาเวียนหัวอยู่ตลอด จ้องเพ่งตัวอักษรบนเอกสารก็รู้สึกเหมือนพวกมันลอยอยู่ตรงหน้าเขาทีละตัว ลองกะพริบตาดูแล้วก็ไม่ได้ช่วยทำให้ดีขึ้น จึงใช้มือยันหน้าผากไว้อย่างทรมาน หลับตาแล้วนั่งพักไปทั้งอย่างนั้น
ตอนที่ 300 ตัวร้อนทรมาน
ชวีไหน่ที่เข้ามาส่งเอกสารเห็นว่าประตูปิดไม่สนิทจึงยกมือขึ้นเคาะ รออยู่นานก็ไม่มีเสียงคนตอบกลับมา
ช่วงก่อนหน้านี้เซ่าหมิงฟ่านทำงานหนักจนลืมสิ่งรอบตัว จึงมักจะไม่ได้ยินเสียงเคาะประตู ดังนั้นหากมีธุระอะไรให้พวกเขาเคาะประตูบอกก่อนแล้วเข้าไปได้เลยโดยไม่ต้องรอคำตอบ ถ้าเป็นประธานเหยียนล่ะก็ ถ้าเข้าห้องทำงานโดยไม่ได้รับคำสั่งจากเขาล่ะก็ เขาต้องโมโหแน่นอน
เธอแง้มประตูเปิดอย่างเบามือที่สุด ขณะกำลังจะส่งเสียงก็เห็นคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เสียก่อน ในห้องทำงานไม่มีใครอื่น ชวีไหน่นึกว่าตัวเองตาฝาดจึงลองขยี้ตาดู ลังเลระหว่างก้าวเข้าไปและถอยออกมาอยู่เนิ่นนาน
เหยียนเค่อได้ยินเสียงเคาะประตู ตอนแรกก็ไม่ได้อยากสนใจแต่รู้สึกตัวว่ามีคนเข้ามา ทำได้เพียงลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองคนที่ยืนอยู่ตรงประตู
“ท…ท่านประธาน” ชวีไหน่โดนเขากวาดสายตามองก็ใจกระตุก เอ่ยเรียกเขาตะกุกตะกัก
“พอผมไม่อยู่คุณก็ลืมกฎไปหมดแล้วเหรอครับ” เหยียนเค่อเบนสายตาออกมา ก่อนจะเลื่อนเมาส์บนโต๊ะ
“ขอโทษค่ะ” ชวีไหน่ไม่รู้ว่าเขากลับมาที่บริษัทแล้ว แถมเซ่าหมิงฟ่านก็ยังไม่อยู่ที่นี่เสียด้วย ตนคงต้องรอรับบทลงโทษเสียแล้วล่ะ
เหยียนเค่ออารมณ์ปกติ ไม่อยากถือสาเอาความอะไรกับเธอ และคิดว่าก่อนหน้านี้เซ่าหมิงฟ่านอาจจะตั้งกฎขึ้นมาก็ได้ ทำให้ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ “ครั้งหน้าระวังด้วย มีอะไรครับ”
ชวีไหน่ชินเสียแล้วกับการที่เจ้านายของตนมักจะระเบิดลงอยู่บ่อยๆ จึงยื่นตารางงานสำรองไปให้ “รบกวนท่านช่วยดูหน่อยค่ะ วันนี้มีงานไหนบ้างที่จะปฏิเสธ หรือว่าจะให้คนอื่นไปแทน”
เหยียนเค่อสงสัยว่าตัวเองจะเป็นไข้เสียแล้ว ตอนนี้ต่อให้เป็นแค่งานสังสรรค์เขาก็ไม่อยากจะไป
“เอาไปให้ผู้ช่วงหวัง ให้เขาตัดสินใจเอาเอง วันนี้ผมไม่ว่าง” เขาโบกมือไล่ “คุณออกไปได้แล้วครับ”
“ค่ะ” ชวีไหน่ไม่เคยคาดหวังเกินตัวว่าเหยียนเค่อจะมองมาที่เธอสักหน่อย แต่บางครั้งก็อยากให้เหยียนเค่อปฏิบัติต่อเธอเหมือนที่ปฏิบัติกับผู้หญิงคนหนึ่งบ้าง เหยียนเค่อเอาแต่เมินเธอแบบนี้ ในใจก็รู้สึกแย่เหมือนกัน
เสียงในใจของเหยียนเค่อ ‘ถ้าเห็นเธอเป็นเหมือนผู้หญิงคนหนึ่ง เธอคงไม่ได้เข้ามาที่บริษัทนี้หรอก’
“คุณมัวยืนทำอะไรอยู่ครับ” เหยียนเค่อขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ แต่ไม่ได้กระทบกับใบหน้าหล่อเหลาของเขาเลย
ชวีไหน่ผงกหัวเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
เหยียนเค่อไม่มีเวลามาคาดเดาว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ตอนนี้เขาทรมานจะตายอยู่แล้ว ลูกตาเปียกชื้น แถมยังปวดหัวอีก หลังจากล็อกประตูห้องแล้วก็เข้าไปนอนในห้องพัก
ซย่าเสี่ยวมั่วเลือกชุดที่จะใส่ไปนัดบอดวันเสาร์ตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนจะไปทำงานอย่างอารมณ์ดี
หลังจากเข้าประชุมตอนเช้าแล้ว อันหร่านก็คว้าตัวซย่าเสี่ยวมั่วที่นั่งอยู่ในหลืบมุมเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของเจ้านายเอาไว้
“คนเราเจอเรื่องดีๆ มาก็จะอารมณ์ดี ไปนัดบอดนี่มีความสุขมากนักหรือไง” อันหร่านเองก็สังเกตได้ถึงออร่าความตื่นเต้นที่แผ่ออกมาจากตัวเธอ จึงดึงผมยาวๆ ของซย่าเสี่ยวมั่วไว้
ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้าอย่างซื่อสัตย์ “ตื่นเต้นสิ ตื่นเต้นมาก ฉันตั้งตาคอยมากเลยล่ะ” ตั้งตาคอยดูสีหน้าท่าทางการแสดงออกที่แตกต่างกันของผู้ชายคนนั้น
บอกตามตรง อันหร่านเองก็คาดหวังการนัดบอดของซย่าเสี่ยวมั่วเหมือนกัน แต่ก็ยังสั่งกำชับอย่างมีเหตุผล “เธอไปนัดบอดจะไปแกล้งเขาไม่ได้นะ เขาอาจจะมาเดทกับเธออย่างจริงใจก็ได้”
ซย่าเสี่ยวมั่วกลอกตามองบน ยกมือขึ้นขัดจังหวะการเทศนาของเธอ “ฉันเป็นคนที่ไร้มารยาทขนาดนั้นเลยหรือไง ฉันก็แค่ตั้งตารอดูว่าคราวนี้จะเจอคนประหลาดแบบไหนอีก ถ้าไม่ใช่คนประหลาดทำไมฉันต้องไปแกล้งเขาด้วยล่ะ ก็ต้องเจอกันด้วยดี แล้วก็เลิกรากันด้วยดีสิ”
เธอก็เป็นคนยุติธรรมเหมือนกันนะ จะไปแกล้งคนได้อย่างไรกันเล่า
อันหร่านพยักหน้าแกนๆ แต่ถ้าเป็นคนประหลาดเธอก็คงจะแกล้งเขาจนร้องไห้เลยใช่ไหมล่ะ…
เหยียนเค่อหลับไปนานเท่าไรแล้วไม่รู้ รู้สึกว่าร่างกายร้อนรุ่ม ผ้าม่านปิดสนิทไม่มีแสงสว่างใดเล็ดลอดเข้ามา ทำให้ไม่รู้ว่าฟ้ามืดแล้วหรือว่ายังเป็นตอนบ่ายอยู่ เขาคว้าโทรศัพท์แล้วกดโทรออกด้วยสติที่เลอะเลือน
ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็บึนปากแล้วควักโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าขึ้นมาดู ก่อนจะถลึงตาโต
ทำไมไอ้หมอนี่ถึงยังโทรมาหาเธออยู่อีกเนี่ย! ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ
อันหร่านมองเธอกดเปิดสปีกเกอร์แล้วคำรามตอบกลับด้วยความประหลาดใจ “ไม่ต้องโทรมาหาฉันแล้วนะ! ฉันไม่อยากคุยกับนาย” ไม่ทันรอให้คนทางนั้นตอบอะไรกลับมาก็กดตัดสายทันที
ตอนที่ 301 หาคนปลอบใจ
เหยียนเค่อได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากในโทรศัพท์ว่า ‘สายไม่ว่าง กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งในภายหลัง’ จึงนึกขึ้นได้แล้วลดลงมาดูหน้าจอ เขาโทรหาซย่าเสี่ยวมั่วอีกแล้ว หลังจากวางสายก็อยากโทรหาคนอื่นอีก จึงนอนแน่นิ่งไม่ขยับอยู่บนเตียงอย่างซังกะตายต่อไป
“ใครน่ะ” อันหร่านกลืนน้ำลาย ใครที่ทำให้ซย่าเสี่ยวมั่วโมโหได้ถึงขนาดนี้
“ฉัน…” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนอีก ทำได้เพียงตอบฝืนๆ “เพื่อนที่เมื่อก่อนสนิทกันน่ะ”
อันหร่านตกใจ ฟังคำที่เธอใช้บรรยายนี่สิ คงไม่ใช่เหยียนเค่อหรอกนะ…ยังไม่ทันได้ถามอย่างเจาะลึกเพิ่มเติมก็ได้ยินเสียงซย่าเสี่ยวมั่วร้อง “เอ๊ะ” ขึ้นมา
“อะไรอีกล่ะ”
“เหยียนเค่อโทรมาหาฉันทำไมล่ะเนี่ย” ซย่าเสี่ยวมั่วมองประวัติสายที่ไม่ได้รับอย่างไม่เข้าใจ แถมยังเพิ่งโทรมาด้วย เพียงแต่เธอไม่ได้รับก็เท่านั้น
อันหร่านโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ยังดีที่คนเมื่อกี้ไม่ใช่เหยียนเค่อ อดค่อนแคะขึ้นมาไม่ได้ “เธอทำให้ฉันเดี๋ยวก็ตกใจเดี๋ยวก็โล่งใจแบบนี้ทำฉันตายได้เลยนะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วงุนงง “อะไรคือเดี๋ยวก็ตกใจเดี๋ยวก็โล่งใจ? ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
อันหร่านไม่อยากอธิบาย จึงโบกมือลา “เธอกลับไปคุยโทรศัพท์เถอะ ฉันไปพักก่อน”
“แปลกชะมัด” ซย่าเสี่ยวมั่วมองเธอเดินเข้าห้องไปแล้วบ่นพึมพำ ก่อนจะเปิดประตูห้องทำงานตัวเองแล้วโทรศัพท์กลับไป
เหยียนเค่อนึกว่าเธอจะไม่โทรกลับมา หลังจากกดรับสายแล้วก็วางโทรศัพท์แนบกับหน้าโดยไม่ได้มองหน้าจอก่อน
ซย่าเสี่ยวมั่วรออยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายเสียที จึงนึกว่าตัวเองโทรผิดเบอร์ “นายช่วยส่งเสียงมาหน่อยได้ไหม ที่ไม่พูดเพราะรอให้ฉันพูดก่อนหรือไง”
เหยียนเค่อได้ยินเสียงของซย่าเสี่ยวมั่วก็รู้สึกตัวขึ้นมานิดหน่อย ก่อนจะครางอืมตอบกลับไป
“โทรหาฉันมีอะไร” ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินเสียงของเขาแล้วก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ จึงถามเข้าประเด็นทันที
น้ำเสียงน่าสงสารของเหยียนเค่อดังขึ้น “ฉันป่วย”
ซย่าเสี่ยวมั่วนึกสนุก “ฉันรู้แล้วว่านายป่วยจิต นายเพิ่งรู้เหรอ”
เหยียนเค่อลูบหน้าปากของตนอย่างหน่ายใจ เพราะเขาป่วยจริงๆ ถึงได้พูดแบบนั้นออกไป
“ฉันเป็นไข้”
“อ่อ” ริมฝีปากของซย่าเสี่ยวมั่วยังคงยกยิ้ม “ฉันนึกว่านายจะรู้ตัวแล้วซะอีก”
“เธอช่วยพูดเพราะๆ โอ๋ฉันหน่อยได้ไหม”
“นายเป็นไข้จนบ้าไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย” ซย่าเสี่ยวมั่วรับโหมดนี้ไม่ไหว ไม่อยากแต่งงานด้วยแล้วจะมาหยอดทำไม ผู้ชายคนนี้หยอดเธออีกแล้ว มันจะเกินไปแล้วนะ “ฉันโอ๋นาย นายก็ไม่หายป่วยหรอก รีบไปโรงพยาบาลเถอะ”
“ฉันเป็นไข้ขับรถไม่ได้” เหยียนเค่อใช้เท้าพันผ้าห่มเป็นก้อน ทำให้ซย่าเสี่ยวมั่วลำบากใจไม่หยุด ที่บอกว่าเราสองคนไม่ติดค้างอะไรกันก็เป็นแค่ลมปากพล่อยๆ ที่ก่อนหน้านี้โพล่งออกไปเท่านั้น
ซย่าเสี่ยวมั่วสงสารที่เขาป่วยจึงเรียกรถให้เขาจากแอปพลิเคชันหนึ่ง ก่อนจะกลับไปบอกเหยียนเค่อ “ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน”
“ถนนหางโจวเป่ยลู่ ตึกสำนักงานใหญ่ของ YAN ชั้นยี่สิบสามห้องทำงานในสุด”
“นายกระโดดลงมาเถอะอย่างนั้น” ซย่าเสี่ยวมั่วพูดเล่นๆ แต่ทำร้ายหัวใจที่อ่อนแอเพราะพิษไข้ของเหยียนเค่อเข้าเต็มๆ
“เป็นแฟนกันวันเดียวแต่มีบุญคุณต่อกันร้อยวันเลยนะ” เหยียนเค่อรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มแปลกๆ จึงกระแอมแล้ววกกลับเข้าเรื่องเดิม “ฉันเป็นหวัดไข้ขึ้นต้องกินยาอะไรอะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วบอกชื่อยาเขาไปสองสามอย่างจากประสบการณ์ของคนที่เป็นหวัดทุกฤดูกาลอย่างเธอ สุดท้ายก็สั่งกำชับ “กินน้ำเยอะๆ กินน้ำเข้าไป จะช่วยขับพิษ”
“อืม” เหยียนเค่อตอบรับแต่โดยดี ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเธอ
“ปีนี้นายดวงตกหรือเปล่าเนี่ย เพิ่งออกจากโรงพยาบาลไม่เท่าไรก็ไข้ขึ้นซะแล้ว”
“อืม” ไม่ต้องให้ซย่าเสี่ยวมั่วบอก เหยียนเค่อก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน
ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นเขาน่าสงสารจริงๆ จึงเอ่ยปลอบโยน “น่าจะเพราะช่วงก่อนหน้านี้บาดเจ็บ แล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงผลัดเปลี่ยนฤดู ร่างกายอ่อนแอก็เลยเป็นไข้น่ะ ดูแลตัวเองดีๆ” เธอร่ายประโยคนั้นจบก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว พูดออกไปได้ยังไงกันนะ…
เหยียนเค่อได้ยินเสียงของเธอก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย จึงตอบรับทุกคำพูดของเธอ
ตอนที่ 302 คาราคาซัง
“ตอนนี้นายเดินลงมาได้เลย” ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นในแผนที่ขึ้นแสดงว่ารถที่เรียกมาจอดใต้บริษัทของเขาแล้ว
เหยียนเค่อนึกว่าซย่าเสี่ยวมั่วใช้ทักษะการขับรถแสนห่วยแตกนั่นขับรถมารับตัวเองถึงใต้บริษัท พนักงานบนชั้นยี่สิบสามมองดูเจ้านายของตนวิ่งลงจากตึกไปอย่างอารมณ์ดี แต่กลับไม่ได้สังเกตเลยว่าเจ้านายของพวกเขาลงไปถึงด้านล่างแล้วสีหน้ากลับอึมครึมขึ้นมา
“เจอรถคันนั้นหรือยัง”
“ยังเลย!” เหยียนเค่อเห็นว่ารถคันที่จอดอยู่ด้านหน้าป้ายทะเบียนตรงกับที่ซย่าเสี่ยวมั่วบอกก็ไม่พอใจ “แล้วเธอล่ะ”
“ฉันต้องทำงานนี่ แล้วถ้าให้รถคันนั้นมารับฉันแล้วค่อยไปหานายมันแพงนะ โอเคไหม”
“ไม่โอเคเลย” เหยียนเค่อเริ่มอารมณ์เสีย เขาก็มีคนขับรถเป็นของตัวเอง ทำไมต้องเรียกรถไปโรงพยาบาลด้วย เขาเป็นไข้นะไม่ได้เป็นโรคประสาท!
ซย่าเสี่ยวมั่วก็รู้ว่าเขารักสะอาดขั้นสุด การนั่งรถของคนอื่นถือว่าเป็นการท้าทายสำหรับเขา
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกในใจของเขาได้ “อย่าหงุดหงิดได้ไหม รีบไปโรงพยาบาลซะ ฉันเพิ่งประชุมตอนเช้าเสร็จ ฉันจะบอกให้นะ หลายวันมานี้ฉันหลบเจ้านายอยู่ นายบอกฉันได้ไหมว่าทำยังไงถึงจะหลบได้เนียนๆ โดยที่เขาดูไม่ออกน่ะ”
“หืม?” ถึงตาที่เหยียนเค่อต้องงุนงงบ้างแล้ว ลูกน้องของเขาก็เป็นคนดีกันทุกคนนะ…ซย่าเสี่ยวมั่วอยู่ที่บริษัทของเขาใช่หรือเปล่า…
“ถ้าเจ้านายชอบนายขึ้นมาจะทำยังไง”
“ไม่มีทาง ความเป็นไปได้ที่เจ้านายจะชอบเธอเป็นศูนย์” เหยียนเค่อตอบอย่างมั่นใจ ถึงไข้ขึ้นก็เปลี่ยนแปลงคำตอบของเขาไม่ได้
ซย่าเสี่ยวมั่วโดนเข้าปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าก็รู้สึกเหมือนโดนหยาม “บ๊ายบาย ถึงโรงพยาบาลแล้วบอกฉันด้วย”
เหยียนเค่อยังไม่ทันได้พูดรั้งก็ถูกตัดสายเสียแล้ว รู้สึกว่าไข้ขึ้นหนักกว่าเดิมอีก
“ไอ้หนุ่ม แฟนโทรเรียกรถให้เหรอ” โชเฟอร์ด้านหน้าพูดกับเหยียนเค่อ
เหยียนเค่ออารมณ์ไม่ดี จึงครางตอบเสียงต่ำ ถ้าซย่าเสี่ยวมั่วเป็นแฟนเขา เขายังต้องไปโรงพยาบาลคนเดียวอีกเหรอ…
เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วเห็นว่าถึงที่หมายแล้วก็โทรศัพท์หาคนขับรถ
“ไปส่งถึงที่แล้วใช่ไหมคะ ลงรถหรือยังคะ”
“ถึงแล้วครับ แต่ยังไม่ลงจากรถ”
เหยียนเค่อเริ่มกังวลในความปลอดภัยและชีวิตของตัวเอง ขับรถแล้วยังคุยโทรศัพท์อีก ซย่าเสี่ยวมั่วคงอยากให้เขาไปนอนเล่นในห้องดับจิตสินะ
“งั้นเดี๋ยวฉันโอนเงินให้ตอนนี้เลยนะคะ” เงินยี่สิบหยวนซย่าเสี่ยวมั่วจ่ายไหวอยู่แล้ว ในอนาคตจะได้เอากำไรจากเหยียนเค่อด้วย
“ครับ”
หลังจากเงินเข้าบัญชีแล้ว คนขับรถก็รำพึงรำพันกับเหยียนเค่อ “แฟนไอ้หนุ่มนี่ดีจังเลยนะ ฟังจากเสียงแล้วดูเป็นคนอ่อนโยนมากเลย”
“ครับ…” เป็นผู้หญิงที่มีเปลือกนอกที่อ่อนโยน แต่ใจนักเลงเหมือนเจ๊เก็บค่าเช่าห้องน่ะสิ
หลังจากรถขับไปถึงประตูใหญ่แล้วเหยียนเค่อก็บอกให้เขาหยุดรถ ถ้าฉินซื่อหลานเห็นจะนึกว่าเขาเอารถให้เซ่าหมิงฟ่านไปจนตัวเองไม่มีขับเอาได้
“เท่าไรครับ”
“แฟนคุณจ่ายแล้วครับ” คนขับรถก็เป็นคนซื่อๆ คนหนึ่ง เขาโบกมือลาเหยียนเค่อ “เมื่อกี้แฟนคุณโทรมาหาผม แล้วก็โอนเงินให้ผมแล้วครับ”
เหยียนเค่อเก็บกระเป๋าเงินก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ ตั้งแต่เป็นภูมิแพ้ เขาก็เข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ ครึ่งปีมานี้ไม่ได้หยุดหย่อนเลยจริงๆ
ซย่าเสี่ยวมั่วนั่งว่างๆ อยู่ในห้องทำงาน วาดการ์ตูนไปสองตอนก็คิดไปว่าเหยียนเค่อน่าชังแค่ไหน นอกจากตอนป่วยที่จะน่ารักขึ้นมาหน่อยแล้ว เวลาอื่นนี่มันจิ้งจอกชัดๆ !
เธอประทับรอยนิ้วโป้งสีดำลงบนหน้าของพระเอกในต้นฉบับอย่างขุ่นเคือง แล้วใช้นิ้วถูไปมา หลังจากหายโมโหแล้วจึงเอายางลบมาลบออก สุดท้ายดันลบไม่สะอาดแถมยังทำให้ลายเส้นของใบหน้าหล่อเหลานั่นไม่ชัดเจนอีกต่างหาก
“ภาพฉัน” ซย่าเสี่ยวมั่วเขย่าสมุดวาดรูปของตน ขนาดลงสีแล้วก็ยังปิดบังรอยนิ้วมือบนใบหน้าพระเอกไม่ได้เลย…
เหยียนเค่อนี่มันต้นเหตุของความเฮงซวยชัดๆ
ตอนที่ 303 ตัวซวย
เหยียนเค่อนั่งให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง สำหรับพยาบาลสาวที่เข้ามาดูเขาทุกสิบนาทีแถมยังไม่ซ้ำหน้ากันนั้น จากตอนแรกที่รำคาญต่อมาก็กลายเป็นเมินเฉย แล้วนอนงีบอยู่บนเตียงสักพัก
ฉินซื่อหลานผลัดเวรกลับไปพักผ่อนที่บ้าน เขาจึงไม่ได้โทรไปก่อกวนฉินซื่อหลานอีก
“คุณคะ”
เหยียนเค่อรู้สึกว่ามีคนมาจับแขนเขาจึงเบี่ยงหลบโดยไม่รู้ตัว คิ้วขมวดมุ่นแล้วลืมตาขึ้น ตรงหน้าเป็นพยาบาลสาวที่หน้าตาจัดว่าสะสวยคนหนึ่ง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” โดนคนปลุกให้ตื่นทีไรเขาก็ไม่เคยอารมณ์ดีเลย น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปจึงฟังดูหงุดหงิดเป็นธรรมดา
แต่พยาบาลคนนั้นกลับไม่รู้สึกรู้สาเลยสักนิด ก่อนเอ่ยเตือน “คุณห่มผ้าได้นะคะ เมื่อกี้ฉันเพิ่งเปลี่ยนขวดน้ำเกลือให้ไป”
เหยียนเค่อเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพยาบาลคนนี้เป็นคนที่ฉีดยาให้เขา และหลังจากนั้นก็ไม่ได้เข้ามาอีก
“คุณอย่าให้พยาบาลพวกนั้นเข้าออกบ่อยๆ แบบนี้ได้ไหมครับ” เหยียนเค่อเอ่ยความต้องการของตนขึ้น
พยาบาลคนนั้นมองเหยียนเค่ออย่างกระอักกระอ่วน “นี่เป็นเขตสาธารณะค่ะ ฉันก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน”
เหยียนเค่อมองเธออย่างจริงจัง ขณะกำลังจะคิดวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงหรือไม่อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงกระแอมไอที่ดังขึ้นไม่ถูกเวล่ำเวลา
ทั้งสองคนที่กำลังจ้องตากันอยู่นั้นหันไปมองทางประตูอย่างงุนงง
พยาบาล ‘ใครมาขัดจังหวะฉันกันนะ’
เหยียนเค่อ ‘เทพเจ้าองค์ไหนมาช่วยลูกเอาไว้กันนะ…’
เมื่อหันกลับไปก็เห็นสวีอิ๋งอิ๋งสะพายกระเป๋า สีหน้าท่าทางเหมือนพวกคุณหญิงคุณนายปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา
“โอ้โฮ ประธานเหยียนอารมณ์ดีด้วยแฮะ” สวีอิ๋งอิ๋งมองพยาบาลคนนั้นปราดหนึ่ง ก่อนจะวิจารณ์อย่างไม่ไว้หน้า “หน้าตาบ้านๆ ไม่โดดเด่นแบบนี้สู้ซย่าเสี่ยวมั่วยังไม่ได้เลย คิดไม่ถึงว่าจะถูกใจประธานเหยียนด้วย”
เหยียนเค่อได้ยินชื่อซย่าเสี่ยวมั่วจากปากเธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เธอรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่”
“ก็พี่ชายสุดที่รักของฉันให้ฉันใส่ใจนายไงล่ะ ฉันก็เลยรู้”
ตอนที่สวีอันหรานส่งอีเมลให้เขา เหยียนเค่อบอกว่าตนอยู่โรงพยาบาล มีอะไรไว้คุยกันต่อหน้าพรุ่งนี้ คิดไม่ถึงว่าจะไปเรียกสวีอิ๋งอิ๋งมา
เหยียนเค่อไม่มีอะไรจะพูดกับสวีอิ๋งอิ๋ง “นั่งตามสบาย”
สวีอิ๋งอิ๋งเห็นสีหน้าเขาไม่อยากจะสนใจตนก็แสยะยิ้มในใจ นายหนีไม่พ้นจุดจบที่ต้องแต่งงานกับฉันด้วยซ้ำ จะทำหน้าบูดหน้าบึ้งไปให้ใครดูกันล่ะ
เหยียนเค่อก็แค่อารมณ์ไม่ดี เขานึกว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะมาเยี่ยมตนสักหน่อย สุดท้ายเขาก็แค่คิดมากเกินไป
หรือว่า…ซย่าเสี่ยวมั่วจะตัดความสัมพันธ์กับเขาจริงๆ งั้นเหรอ เมื่อก่อนก็ไม่เห็นว่าเธอจะว่าง่ายขนาดนี้เลยนี่นา
ซย่าเสี่ยวมั่วทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว กลับบริษัทไปทำงานต่ออีกสักพักใหญ่แล้วเอางานไปถวายให้อันหร่าน
พูดกันเสียดิบดีว่าสองคนไม่ติดค้างกันอีก แต่ทำไมเธอต้องเข้าไปตีสนิทกับเขาด้วย
“พระเจ้า เธอฝีมือดีขนาดนี้ยังบอกว่ากับข้าวในร้านอาหารเราอร่อยอีกเหรอ” อันหร่านกินปลาต้มผักดองและกุ้งผัดผักกวางตุ้งแล้วเอ่ยชมไม่หยุดปาก
ซย่าเสี่ยวมั่วเหลือบตามองฟ้าอย่างเอือมระอา “น่าจะเพราะหัวใจมีความรัก อาหารที่ทำก็เลยอร่อยมั้ง”
อันหร่านไม่รับรู้ถึงความหมายที่แฝงไว้ในคำพูดนั้น จึงเอ่ยแซว “เธอคิดถึงสุดหล่อคนนั้นในใจล่ะสิถึงทำออกมาได้อร่อยขนาดนี้”
ซย่าเสี่ยวมั่วเงียบลง อันหร่านจึงจะสังเกตว่าสถานการณ์เริ่มจะแย่ลง…คงไม่ได้คิดถึงผู้ชายคนไหนตอนทำอาหารจริงๆ หรอกนะ
อันหร่านเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยไม่แสดงสีหน้าท่าทางอะไรออกไป คิดอยู่นานจึงเอ่ยขึ้น “วันนี้
เหยียนเค่อโทรมาหาเธอทำไมเหรอ”
“เขาไข้ขึ้น” ซย่าเสี่ยวมั่วมือหนึ่งเท้าศีรษะ อีกมือก็เคาะนิ้วลงบนโต๊ะ
อันหร่านกินข้าวช้าลง ที่เธอกินอยู่คงไม่ใช่อาหารที่ซย่าเสี่ยวมั่วคิดถึงใครบางคนตอนทำแถมอยากจะเอาไปให้เขาด้วยหรอกนะ……
ถ้าให้เหยียนเค่อรู้เข้า ไม่รู้ว่าเธอจะโดนแบนหรือเปล่า…
ซย่าเสี่ยวมั่วดึงสติกลับมาได้เห็นท่าทางเศร้าๆ ของอันหร่านก็งุนงง “เป็นอะไรไป ไม่อร่อยเหรอ”
“อร่อยมากเลย อร่อยจนฉันอยากจะร้องไห้” อันหร่านพูดกลบเกลื่อน เห็นซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้สังเกตว่าเธอเดาทางออกหมดแล้ว จึงก้มหน้ากินข้าวต่อไป เธอจะทำเป็นว่าไม่รับรู้อะไรก็แล้วกัน
ตอนที่ 304 โชว์สวีตให้ดู
สวีอิ๋งอิ๋งสั่งอาหารจากข้างนอกมากินกับเหยียนเค่อ
เหยียนเค่อมองดูน้ำแกงแห้งๆ หน้าตาแสนจืดชืดนั่นแล้วก็จนปัญญา เมื่อก่อนซย่าเสี่ยวมั่วซื้อแกงฟักให้เขาเพราะหวังดียังโดนเขาโมโหใส่ แต่ตอนนี้ดันต้องมานั่งกินซุปเพื่อสุขภาพกับสวีอิ๋งอิ๋ง…
“นายไม่กินเหรอ” สวีอิ๋งอิ๋งดึงตะเกียบออกจากกันแต่เห็นว่าเหยียนเค่อยังไม่ขยับเขยื้อน
เหยียนเค่อส่ายหัว “กินไม่ลง เธอกินเถอะ” เขาบีบนวดขมับของตน ก่อนจะพลิกตัวลงไปนอนบนเตียง กะว่าจะหลับอีกสักตื่น “ถ้าเธอไปแล้วรบกวนปิดประตูให้ฉันด้วยนะ”
การที่สวีอิ๋งอิ๋งมาความจริงก็ยังมีประโยชน์อยู่ อย่างเช่นไม่มีเสียงเดินน่ารำคาญดังขึ้นและไม่โดนก่อกวนอยู่บ่อยๆ แต่แน่นอนว่าก็มีกลิ่นต่างๆ นานาที่ทำให้เขาไม่ชอบเพิ่มเข้ามาแทน
เหยียนเค่อคลุมผ้าห่มจนถึงจมูก ยอมดมกลิ่นยาฆ่าเชื้อดีกว่าดมน้ำหอมกลิ่นต่างๆ ที่ส่งกลิ่นออกมาจากสวีอิ๋งอิ๋ง
สวีอิ๋งอิ๋งเองก็ไม่สนใจเขา หยิบน้ำยาทาเล็บและลิปสติกหลายสีหลายเบอร์ออกจากกระเป๋ามาลองใช้ ราวกับไม่ได้กลิ่นของเครื่องสำอางเหล่านั้นเลย
[สวีอันหราน ฉันว่านายคงไม่อยากแต่งงานแล้วสินะ]
สวีอันหรานได้รับข้อความจากเหยียนเค่อก็ตกตะลึงไม่น้อย ทุกครั้งเหยียนเค่อจะบอกว่าการส่งข้อความเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองเวลา แต่ตอนนี้กลับมีความอดทนขึ้นมาเสียอย่างนั้น เมื่อกดดูแล้วก็พบว่ามันผิดปกติจริงๆ นี่เจ้าหมอนั่นมาข่มขู่เขาหรือเนี่ย
[ฉันไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ร้ายแรงลงไปหรอกใช่ไหม]
[สวีอิ๋งอิ๋ง] เหยียนเค่อพิมพ์สามคำนี้แล้วรู้สึกเหมือนโทรศัพท์ตัวเองใกล้จะพังอย่างไรอย่างนั้น…
เมื่อสวีอันหรานรู้เรื่องที่ตนได้ไปก่อไว้แล้วก็เริ่มเถียงข้างๆ คูๆ [ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ นั่นมันคู่หมั้นนาย ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน]
[ฉันจะไม่ถือสาเลยถ้าคู่หมั้นเป็นสวีรั่วชี]
[ไม่สิ…] ไอ้หมอนี่ทำไมทำตัวไม่มีเหตุผลเลยนะ! สวีรั่วชีที่นั่งอยู่อีกด้านมองสีหน้าสวีอันหรานจากที่สะใจก็ค่อยๆ กลายเป็นความขุ่นเคือง ไม่ต้องคิดก็รู้ทันทีว่ากำลังกระชับความสัมพันธ์กับเหยียนเค่ออยู่
“เหยียนเค่อทำอะไรอีกล่ะ” ลมหายใจบางเบาพ่นรดอยู่หลังใบหูของเขา สวีอันหรานสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ดึงแขนที่โอบรอบคอของสวีรั่วชีไว้ ก่อนจะเอ่ยฟ้องอย่างน้อยอกน้อยใจ “เหยียนเค่อบอกว่าจะแย่งตัวไปน่ะสิ”
สวีรั่วชีฟังแล้วก็เหลือบตามองสวีอันหรานปราดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “กล้าเหรอ!”
สวีอันหรานพึงพอใจ เสี่ยวชีรักเขาจริงๆ ด้วยสินะ จากนั้นก็ได้ยินสวีรั่วชีพูดขึ้นอย่างโมโห “กล้าแย่งผู้ชายของฉันไป ไปแปลงเพศมาก่อนค่อยมาแย่งแล้วกัน!”
“…” เมียครับ เหมือนว่าเราจะคุยกันคนละเรื่องนะ สวีอันหรานไม่กล้าโต้แย้ง เอนตัวพิงโซฟาแล้วพลิกมือโอบรอบคอสวีรั่วชีไว้ ประทับรอยจูบบางเบาบนริมฝีปากสวยได้รูปของสวีรั่วชี
สวีรั่วชีที่เมื่อครู่ยังทำเป็นเก่งอยู่เลย ในตอนนี้ใบหน้าฉาบไปด้วยสีแดง รีบผละจากสวีอันหราน แล้ววิ่งตึงตังขึ้นบ้านไป
ผ่านไปเนิ่นนาน เหยียนเค่อไม่ได้รับข้อความตอบกลับก็เริ่มหงุดหงิด
[นายทำอะไรอยู่]
สวีอันหรานตอบอย่างอารมณ์ดี [ไปจูบเมียมา]
“เฮ้ย” เหยียนเค่อเห็นเขาพูดอวดก็ชิงปิดเครื่องก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้สวีอันหรานพูดหัวข้อสนทนาที่พิสดารอีกมากมาย
เขาไม่เข้าใจสวีอันหรานเลย ตอนนั้นขนาดสวีรั่วชีเอาลูกกวาดที่เหลือมาให้ มันยังต้องบอกเล่าความรู้สึกนั้นให้พวกเขาฟัง หรือว่าตอนนี้จะโชว์สวีตกันยิ่งกว่าเดิมอีกนะ
ซย่าเสี่ยวมั่วก็เคยประสบมาแล้วกับความรู้สึกที่เหยียนเค่อพูดถึง
“เสี่ยวชี ถึงไปทำงานแล้วฉันจะดูว่าง แต่ฉันก็มีงานที่ต้องทำเหมือนกันนะ”
ความคิดจินตนาการของซย่าเสี่ยวมั่วกำลังพรั่งพรู ขณะเขียนบทสนทนาลงบนกระดาษอย่างลื่นไหลอยู่นั้นก็โดนสวีรั่วชีโทรมาขัดจังหวะเสียก่อน
“ตอนนี้ฉันตื่นเต้นมากเลย”
“ฟังไม่ออกเลย” ซย่าเสี่ยวมั่วฟังไม่ออกจริงๆ ว่าเธอตื่นเต้นตรงไหน รู้สึกว่าน้ำเสียงที่พูดนั้นสงบกว่าตอนปกติเสียอีก ยังไม่ทันได้พูดอะไรเพิ่มก็ได้ยินเสียงกรี๊ดที่หาฟังได้ยากของสวีรั่วชีดังขึ้น
“เธอเป็นอะไร” เสียงนั้นฟังแล้วดูลั้นลาเป็นอย่างมาก คงไม่ได้มีอันตรายอันใด
“ตื่นเต้น” คำตอบของสวีรั่วชีทำให้คนหมดแรงจะตอบกลับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น