ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 297-304

 ตอนที่ 297 ถ้าสองคนนี้สามารถอยู่ได้กันได้ก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว 


 


เรื่องวุ่นวายที่เฉินยางก่อขึ้น ทำให้ระดับความน่าเชื่อถือในการอ้างว่าป่วยของเฝิงเยี่ยไป๋นั้นยิ่งชัดเจน เขาได้กินยาที่อิ๋งโจวปรุงให้เขา และยังกำชับเฉาเต๋อหลุน ให้เขานำเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปเปิดเผยให้ฮ่องเต้ทรงทราบว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะสิ่งชั่วร้ายที่เข้ามารังควาน แล้วค่อยไปเชิญพระอาจารย์มาทำพิธีที่จวน 


 


 


เฉาเต๋อหลุนทำตามที่บอก บอกต้นสายปลายเหตุพร้อมใส่สีตีไข่ ให้ฮ่องเต้ได้มีเวลาทำใจก่อน พอถึงเวลานั้นแล้วค่อยส่งตัวหมอหลวงมา เขากินยาของอิ๋งโจว นอกจากจะไข้สูงไม่ลดแล้วก็ดูอาการอื่นไม่ออกเลย พอถึงเวลาไม่ว่าใครมาดูก็มองว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายที่เข้ามารังควาน แต่สำหรับเวลาไหนเหมาะนั้นยังไม่ได้กำหนด 


 


 


พอป่วยก็ป่วยทีเดียวสองคน ข่าวคราวได้ยินไปถึงหูเว่ยหมิ่น นางจะนั่งติดที่ได้อย่างไร เหมือนดั่งไฟกำลังเผาก้นอยากจะวิ่งไปที่จวนอ๋องเดี๋ยวนี้เลย เหลียงอู๋เย่ว์ก็ประหลาดใจ อยู่ดีๆ ทำไมแม้แต่เฝิงเยี่ยเป๋ก็ป่วยไปด้วยได้ 


 


 


เว่ยหมิ่นบอกให้คนไปเอาโสมแก่กับบัวหิมะที่ห้องเก็บของ นี่เป็นของที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานแก่นาง บอกว่าเป็นเครื่องบรรณาการที่ทางเขตตะวันตกส่งมาให้ เป็นยาวิเศษที่มีอยู่มาร้อยกว่าปี สามารถชุบชีวิตได้ 


 


 


เหลียงอู่เย่ว์ไม่กล้าบอกว่านาง ในโลกนี้มียาวิเศษที่สามารถชุบชีวิตคนได้ที่ไหนกัน ยาสองอย่างนี้ใช้เป็นยาบำรุงร่างกายธรรมดาๆ นี่เอง 


 


 


ทั้งสองคนไปอย่างรีบร้อน พอถึงครึ่งทางรถม้าได้ชนกับคนเข้า ชิวเหลียนที่อยู่ข้างกายเว่ยหมิ่นเป็นตัวละครที่ร้ายกาจคนหนึ่ง คนที่อยู่ตรงข้ามยังไม่โผล่ออกมา นางเอามือเท้าเอวแล้วด่าออกไป ”บังอาจ! ทางเดินของท่านหญิงพวกเจ้าถึงกับกล้าขวางทาง ยังชนรถม้าของท่านหญิงด้วย ยังไม่ออกมายอมรับโทษอีก!“ 


 


 


รถม้าคันที่อยู่ตรงหน้าได้มีผู้หญิงคนหนึ่งออกมา รองเท้าคู่หนึ่งที่มีลายดอกไม้จางๆ และมีกระดิ่งเดินลงมาจากรถ ท่าทางเหมือนเดินร่ายรำ เอวเหมือนต้นหลิวที่อ่อนแอโต้ลม เดินไปที่หน้ารถม้าของเว่ยหมิ่น แล้วค่อยๆ นั่งลงแล้วพูดว่า “ข้าน้อยน่าอวี้ ไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินท่านหญิง ขอให้ท่านหญิงโปรดให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ” 


 


 


ในหัวเว่ยหมิ่นมีไฟสุมอยู่เต็มจวนเจียนจะระเบิดออก ได้ยินคนที่อยู่ด้านนอกเอ่ยว่าคือน่าอวี้ พอคิดได้ว่ามิใช่ครั้งก่อนเจอที่อวี้เฉวียนซานจวงหรือ ผู้หญิงคนนี้ ทั้งสองคนเคยทักทายกัน ไม่ได้เป็นคนไร้มารยาทอะไร ครั้นเปิดผ้าม่านออกมาดู ช่างบังเอิญนัก เป็นนางจริงๆ ด้วย นางจึงกระแอมคราหนึ่งแล้วพูดกับชิวเหลียนว่า “ห้ามเสียมารยาท” แล้วลงไปพยุงนางขึ้นด้วยตัวเอง ”ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมาก คนของข้าไม่รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณี ขอท่านอย่าเก็บไปคิดเลย” 


 


 


น่าอวี้อมยิ้มแล้วพูดว่า ”เดิมทีข้ากลับบ้านทางนี้จะใกล้หน่อย คิดไม่ถึงว่าจะล่วงเกินท่านหญิง ข้าผิดเอง ท่านหญิงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรใช่หรือไม่” 


 


 


เว่ยหมิ่นจัดทรงผมพูดว่า ”ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แล้วเจ้า ครั้งก่อนได้พูดกับเจ้าเพียงไม่กี่ประโยคเจ้าก็บอกว่าจะกลับไปกินยา ช่วงนี้ร่างกายดีขึ้นบ้างหรือยัง ที่ข้ายังมีเห็ดหลิงจืออยู่บ้าง พอกลับไปแล้วประเดี๋ยวจะให้คนนำไปส่งให้เจ้า” 


 


 


น่าอวี้ตอบกลับว่าไม่กล้า บอกว่าดีขึ้นมากแล้ว แล้วถามกลับท่านหญิงว่าจะไปไหน 


 


 


เว่ยหมิ่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไปจวนท่านอ๋อง เมื่อวานท่านอ๋องกับพระชายาล้มป่วย ฮ่องเต้ส่งหมอหลวงไปดูแล้ว ข้าต้องไปดูสักหน่อย” 


 


 


ป่วยหรือ? เมื่อวานนางอยู่ที่วัดนอกเมืองตลอด ยังไม่ทันได้กลับจวนเลย จึงยังไม่ได้ยินข่าวนี้ แต่ว่าดูท่าทางรีบร้อนของท่านหญิงเว่ยหมิ่นแล้ว เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องเล็ก โอกาสอยู่แค่เอื้อม นางผ่อนคลายใบหน้าเครียดขึ้งแล้วพูดขึ้นว่า “พระชายาก็ป่วยหรือ ถ้าอย่างนั้น…ข้าขอไปดูกับท่านหญิงด้วยแล้วกัน” 


 


 


ก่อนหน้านี้เคยเจอกัน ก็นับได้ว่าคุยกันได้ ครั้งนี้บอกว่าจะไปดูหน่อย ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องไม่น่าคาดคิดอะไร 


 


 


เว่ยหมิ่นครุ่นคิด ก็ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม พูดเสร็จทั้งสองคนก็ไปจวนอ๋องด้วยกัน 


 


 


เหลียงอู๋เย่ว์เปิดผ้าม่านรถม้ามองน่าอวี้สักครู่ ผู้หญิงคนนี้สวยเพียบพร้อมไปทั้งตัว มองไม่ออกถึงความไม่เหมาะสมแม้แต่น้อย เพียงแค่ไม่รู้ว่ารู้จักเว่ยหมิ่นได้อย่างไร คนหนึ่งที่สวยอ่อนโยนกับอีกคนที่หยาบคายเกรี้ยวกราด ทั้งสองคนสามารถเดินไปด้วยกันได้ช่างน่าประหลาดใจนัก 


 


 


 


 


 


——- 


 


 


ตอนที่ 298 สามารถรักษาได้หรือไม่ 


 


 


 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋เห็นความรู้สึกที่ฉายบนใบหน้าอิ๋งโจวเพียงแวบเดียวก็หายไปได้อย่างชัดเจน เจ็บปวดใจใช่หรือไม่ เสียใจใช่หรือไม่ แต่เป็นอย่างนั้นแล้วอย่างไร เฉินยางเป็นภรรยาของเขา คนข้างๆ แม้ว่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาก็ทำได้เพียงดู ไม่สามารถทำอะไรได้ ยิ่งไม่สามารถคิดอะไรได้ 


 


 


ผู้หญิงกับผู้ชายมีความแตกต่าง เขายังคุ้นชินกับการที่ใช้ผ้ามาวางรองระหว่างจับชีพจร สามนิ้วกดลงบนเส้นชีพจรตรงข้อมือของนางเบาๆ สภาพของชีพจรค่อนข้างอ่อน แค่กดจุดคงไม่พอ กลับเป็นเพราะตกใจจนเกินไป เขาจึงประสานมือคำนับพร้อมพูดว่า “ดูจากสภาพชีพจรของพระชายาแล้ว ทั้งอ่อนกำลังทั้งเล็ก น่าจะเป็นเพราะประทะกับสิ่งชั่วร้ายภายนอกทำให้ได้รับความกระทบกระเทือนอะไรสักอย่าง” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ค่อยรู้ทางด้านการแพทย์ สิ่งที่อิ๋งโจวพูดออกมานั้นเขาฟังไม่ออกสักคำ อดไม่ได้เลยขัดขึ้น ถามแค่ว่า “รักษาได้หรือไม่” 


 


 


อิ๋งโจวตอบ “แค่สั่งยาบำรุงม้ามสักหลายเทียบ และยาที่ปรับเลือดลมให้นิ่งก็พอ เพียงแต่ว่า…” 


 


 


เสียงพูดของเขา ประโยคที่ว่า ‘แต่ว่า’ ทำให้หัวใจของเฝิงเยี่ยไป๋เต้นแรงขึ้นมาอีก “การป่วยทางจิตใจยังต้องการหมอและยาทางใจ ขอถามท่านอ๋องหน่อย พระชายาถูกอะไรทำให้ตกใจได้ขนาดนี้” 


 


 


เรื่องนี้ยังคงต้องปิดบังคนอื่นอยู่ ไม่สามารถพูดออกไปได้ เรื่องวุ่นวายข้างตัวคลี่คลายไปแล้ว แต่อย่างไรระวังไว้จะเป็นการดีกว่า เขาส่งสายตาให้เฉาเต๋อหลุน เฉาเต๋อหลุนก็เข้าใจ ก้าวขึ้นหน้าไปพูดว่า ”ข้าไปเอายากับท่านหมอแล้วกัน ท่านหมอเชิญทางนี้…” 


 


 


เขาไม่พูด แต่อิ๋งโจวก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถูกทำให้ตกใจจนเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เจอผี ก็เป็น… เจอคนถูกฆ่าตาย เจอผีกลางวันแสกๆ ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ว่าเจอคนที่ดูฆ่าก็น่าจะไม่ยาก จะมีขุนนางสักกี่คนที่มือไม่เคยเปื้อนเลือดมาก่อน? เฝิงเยี่ยไป๋ให้ตนจัดยาให้เขาแกล้งป่วย จะต้องมีคนคิดจะทำร้ายเขาเป็นแน่ มิเช่นนั้นตอนนี้ชีวิตเขากำลังติดลมบน ไยต้องอ้างว่าป่วยเพื่อบอกปัดลาภยศที่หล่นลงมาจากฟ้าด้วยเล่า  


 


 


เพียงแต่เขาไม่ค่อยวางใจกับเฉินยาง ก็ไม่รู้ว่านางไปเห็ฯภาพที่น่ากลัวมากเพียงใดกันแน่ ผู้หญิงดีๆ คนหนึ่ง ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลนับเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่กลับมาคลุกคลีอยู่กับเฝิงเยี่ยไป๋ ก็ไม่ได้จะบอกว่าเฝิงเยี่ยไป๋ไม่ดี เขาไม่ใช่ว่ารักนางมากหรอกหรือ แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้ทรมานนางจนกลายเป็นเช่นนี้เสียได้ บนแขนนางมีรอยเขียวช้ำ มองแล้วเหมือนรอยนิ้วมือคนจับ ทว่าเมื่อเฝิงเยี่ยไป๋อยู่เขาจึงไม่กล้าถามอะไรมาก แค่ในใจคาดเดาไปต่างๆ นานา ไม่ใช่ว่านางถูกตีมาหรอกนะ 


 


 


หลังจากอิ๋งโจวจากไป เฉินยางพลิกตัวกลับมา หน้ามองไปด้านในเตียง นางไม่กล้าหลับตา หลับตาลงแล้วก็มีเลือดสีแดงเต็มไปหมด จะสลัดทิ้งอย่างไรก็ไม่ไป 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋อยู่ข้างกายนาง ถามนาง “เจ้าออกมาได้อย่างไร ทำไมถึงวิ่งไปที่นั่นได้” 


 


 


เฉินยางน้ำตาไหลออกมา ที่จริงแล้วไม่มีอะไรที่น่าร้องไห้ แต่น้ำตาไหลออกมาจากตาเอง นางสูดจมูก ลูบหน้า พูดฟ้องขึ้นว่า “ท่านมีสิทธิ์อะไรถึงมาขังข้าไว้ไม่ให้ข้าออกไป” 


 


 


คำถามนี้ถามจี้จุดเขาอย่างจัง คำพูดที่อยู่ภายในใจไม่สามารถพูดออกมาข้างนอกได้ จะบอกว่าเพราะกลัวนางกับอิ๋งโจวจะหนีตามกันไปก็ไม่ได้กระมัง ด้วยกลัวทำให้นางต้องเสียใจอีก เขาอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย 


 


 


นางไม่ได้ถามอะไรต่อ ตัดบทสนทนาพูดขึ้นว่า ”ที่นี่คือที่ไหน” 


 


 


 “ห้องของข้าเอง” 


 


 


นางร้องอ้อ “วันนี้ข้าทุบข้าวของไปมากมาย ห้องเละเทะไปหมด ตอนซั่งเหมยกับซั่งเซียงกำลังเก็บกวาดห้องข้าก็เลยออกมา เดิมทีข้าอยากจะถามท่านว่าเพราะอะไรถึงขังข้าไว้ นึกไม่ถึงว่าจะไปเห็น…” 


 


 


ยังไม่ทันพูดจบ นางอึ้งไป ขดตัวกอดตัวเองไว้ 


 


 


 “พรุ่งนี้ข้าจะให้เว่ยหมิ่นมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่” 


 


 


 “แล้วท่านเล่า” 


 


 


 “ข้าก็ยังอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเช่นกัน พรุ่งนี้ข้าไม่เข้าประชุมราชสำนัก ช่วงนี้จะไม่ไปสักระยะ” 


ตอนที่ 299 หมอไร้วิชา 


 


 


 


 


 


เมื่อคืนฮ่องเต้ก็ทราบเรื่องของเฝิงเยี่ยไป๋กับภรรยาโง่ของเขานั้นแล้ว จะว่าไปก็บังเอิญเสียจริง พระองค์เพิ่งจะมอบตราทหารให้เขา เขาก็ป่วยเสียแล้ว ความฉลาดของเข้านั้นช่างทำเอาแค้นใจยิ่งนัก เขากลัวว่าพระองค์จะส่งเขาไปสู้รบกับซู่อ๋อง สุดท้ายถึงกับคิดวิธีนี้ขึ้นมา ประโยคนั้นว่าอย่างไรบ้างนะ? บนมีคำสั่งล่างมีวิธีรับมือ เขานอนป่วยอยู่บนเตียง พระองค์เป็นถึงฮ่องเต้ที่ไร้ความสามารถเพียงใดก็ไม่อาจให้คนป่วยขึ้นสนามรบฆ่าศัตรูได้ 


 


 


พระองค์เคยถามสำนักหมอหลวง บอกว่าจวนท่านอ๋องไม่ได้ส่งคนมาหาหมอหลวง ในพระทัยฮ่องเต้กริ้วนัก คงจะวางแผนเอาไว้แล้ว กำลังรอพระองค์อยู่เลย จะไม่ถามก็ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องส่งหมอหลวงไปสืบ 


 


 


หมอหลวงมาถึงจวนท่านอ๋อง เฉาเต๋อหลุนเชิญเขาเข้าไป พอก้าวข้ามธรณีประตู มองครั้งแรกยังนึกว่าตัวเองอยู่ในสรวงสวรรค์เสียแล้ว ควันไอล้อมรอบ กลิ่นไม้จันทน์โชยเข้ามาในจมูก ในห้องติดยันต์อยู่ทั่ว นักพรตคนหนึ่งที่สวมชุดขาดๆ ในมือถือกระบี่ไม้ท้อ ปากก็พูดพึมพำบางอย่าง เห็นเขาเข้ามา ก็ติดยันต์ใบหนึ่งบนตัวเขา 


 


 


หมอหลวงตกใจกับสิ่งที่เห็นเอามาก ในห้องมืดนัก เขาคลำไปถึงข้างเตียง เห็นใบหน้าที่ขาวซีดของเฝิงเยี่ยไป๋ เพียงแต่หน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา เขาเรียก ‘ท่านอ๋อง’ เฝิงเยี่ยไป๋เหมือนดั่งไม่ได้ยินเช่นนั้น สองคิ้วขมวดแน่น ท่าทางดูแล้วทรมาน 


 


 


นักพรตคนนี้ก็คือขู่เจ่า ถูกเฝิงเยี่ยไป๋มาแสดงละคร หมอหลวงคลำชีพจรให้เฝิงเยี่ยไป๋ จู่ๆ นักพรตก็ชูกระบี่กลางอากาศ ปากก็พูดว่า “บังอาจ! ท่านเซียนอยู่ที่นี่ ยังกล้าทำก่อเรื่องอีก” 


 


 


หมอหลวงตกใจ มองไปข้างหลัง มีใครเสียที่ใด เขายื่นมือคลำยันต์ที่แปะอยู่ข้างหลังตัวเอง สถานที่นี้รีบไปเสียจะดีกว่า 


 


 


หลังจากออกไป เฉาเต๋อหลุนก็รั้งหมอหลวงไว้ถามว่าเป็นโรคใดหรือ หมอหลวงปาดเหงื่อบนหน้าผาก พูดด้วยความหวาดระแวงว่า “นี่… ดูจากชีพจรแล้ว เพียงแค่ร่างกายอ่อนแอร้อนรุ่ม เพียงแต่… เพียงแต่ร่างกายกลับเย็นดั่งน้ำแข็ง ข้าไม่เคยเจอโรคนี้มาก่อน เกรงว่าข้าต้องกลับไปคุยกับใต้เท้าในสำนักหมอหลวงถึงจะได้ผลออกมา” 


 


 


เฉาเต๋อหลุนกล่าว “ลำบากใต้เท้าแล้ว ข้าจะส่งใต้เท้าออกไป” 


 


 


หมอไร้วิชานี้ เกรงว่าคงตกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ข้างใน เพียงแค่ยาไม่กี่ตัว ผลของยาขัดแย้งกันเองเท่านั้น มาถึงที่เขานี้ ยังต้องกลับไปถกกันเสียอีกถึงจะรู้ผล 


 


 


เฉาเต๋อหลุนกลั้นหัวเราะไปส่งหมอหลวงตลอดทาง ยามที่กลับไปนั้น สิ่งที่แสดงอยู่นั้นล้วนถอดหมดแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋ดื่มยาคลายร้อนที่อิ๋งโจวส่งมาได้ตื่นขึ้นมาแล้ว เขาบีบจมูกไล่กลิ่นฉุนที่อยู่ในห้อง เห็นเขากลับมาก็ถามว่า “เขาว่าเช่นไรบ้าง” 


 


 


“เรียนท่านอ๋อง หมอไร้วิชานั้นบอกว่าโรคของท่านไม่เคยพบมาก่อน ต้องกลับไปคุยกับเหล่าใต้เท้าที่อยู่สำนักหมอหลวงถึงจะได้ผลออกมา ตามที่บ่าวว่า คงจะตกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ข้างในเมื่อครู่นี้” 


 


 


ขู่เจ่าเก็บกระบี่ไม้ท้อกลับ ขยับเข้าไปหาเฝิงเยี่ยไป๋เหมือนดั่งขอรางวัลเช่นนั้น “เป็นเช่นไรบ้าง พิธีที่ข้าทำเจ้าไม่เลวกระมัง เจ้าไปสืบในเมืองหลวงดูได้ หานักพรตที่มีวิชาเก่งกล้ากว่าข้าไม่ได้อีกแล้ว” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ตอบ เฉาเต๋อหลุนก็ให้หน้า คนเขายอตัวเองเช่นนั้นแล้ว ก็เอาใจเสียหน่อย “เป็นเช่นนั้นเลย ท่านอยู่ที่นี่เป็นสิ่งนี้” เขาชูนิ้วโป้ง ประโยคเดียวก็ชมเอาเขาดีใจมากแล้ว 


 


 


“ท่านหญิงมาแล้วหรือไม่” ที่เฉินยางนั้นขาดคนไม่ได้ เมื่อคืนดื่มยาของอิ๋งโจวไป เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดฉากละคร ยังไม่ทันได้ไปเยี่ยมนางเลย 


 


 


 


 


 


 —— 


 


 


ตอนที่ 300 ผู้ชายจะทนเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร 


 


 


  


 


 


จวนอ๋องก็ไม่ได้คึกคักดั่งวันนี้มานานหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ก็ส่งหมอหลวงมาตรวจโรคให้เฝิงเยี่ยไป๋ จากนั้นก็เรียกหลี่เต๋อจิ่งเอาเห็ดหลิงจือชั้นดีมาให้เขา พอเลิกประชุมราชกิจตอนเช้า ใต้เท้าทั้งสามคนที่พลาดท่าที่ ‘ฉื่อเจียนฝูเซิง’ ก็คิดจะให้โอกาสนี้มาแสดงความภักดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าคนที่คิดจะฉวยโอกาสเข้ามาตีสนิทอีก ตั้งแต่เช้ามาจนถึงเที่ยงก็มีคนมาไม่ขาดสาย เพียงแต่ล้วนกลัวจะได้รับโชคไม่ดีกลับไป จึงวางของลงแล้วถามไถ่กับเฉาเต๋อหลุนสองสามประโยคก็จากไป ใช้เวลาเพียงแค่ไม่นาน 


 


 


และในที่สุดก็เงียบสงบลง เว่ยหมิ่นและเหลียงอู๋เย่ว์ก็มา มาก็มาเถิด แถมยังพาแขกที่ไม่รู้จักมาอีก เฉาเต๋อหลุนไม่เคยเจอน่าอวี้ จึงไม่เชื่อคนแปลกหน้าด้วยสัญชาตญาณ จึงเรียกเพียงเว่ยหมิ่นเข้าไป แล้วให้นางนั่งรออยู่ที่โถงหน้า 


 


 


เว่ยหมิ่นรู้ว่าเฝิงเยี่ยไป๋แกล้งป่วย วันนี้ที่มาก็ไม่เพียงจะมาเยี่ยมเขา เรื่องแย่ๆ ที่เขาทำนั้นนางก็รู้แล้ว อย่าว่าแต่เฉินยางเลย แม้แต่นางเองก็ยังไม่เคยเจอภาพเช่นนั้นมาก่อน เฉินยางไม่ตกใจจนเป็นลม ณ ตอนนั้นก็ถือว่าดีแล้ว 


 


 


ระหว่างทางที่มาเหลียงอู๋เย่ว์ก็ได้ยินเว่ยหมิ่นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เขาฟังมาพอประมาณแล้ว พอมาถึงที่นี่ก็เริ่มแกล้งหงุดหงิด “เฝิงเยี่ยไป๋ เจ้าเก่งเสียจริงๆ ตกลงเจ้ายังคิดว่าข้าเป็นพี่น้องหรือไม่ เรื่องใหญ่เช่นนี้เจ้าไม่บอกข้าหรือ” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ขมวดคิ้วมองเขา “บอกเจ้าทำไม ให้เจ้าเป็นห่วงไปอีกคนหรือ” 


 


 


เขาทำให้เหลียงอู๋เย่ว์ลำบากมามากแล้ว จะให้เขาลำบากกว่านี้ไม่ได้อีก บอกเขาไม่ได้ หนึ่งคือกลัวจะทำให้เขาลำบาก สองคือเขาคิดว่าตัวเองมีความสามารถที่จะจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ เรื่องที่เขาทำเองได้ ไฉนถึงต้องทำให้อีกคนหนึ่งลำบากไปอีก! 


 


 


“น่าอวี้ก็มาแล้ว น่าอวี้เจ้าน่าจะรู้จักอยู่กระมัง ลูกสาวของเจี่ยงเหว่ย ก่อนหน้านี้ข้าและเฉินยางเคยเจอนางที่อวี้เฉวียนซานจวง วันนี้เจอนางระหว่างทางพอดี ข้าจึงพานางมาด้วยกัน ไม่แน่อาจจะทำให้นางดีขึ้นได้” 


 


 


แม่นางคนนี้เขาก็เจออยู่หลายครั้ง ย่อมรู้จักอย่างแน่นอน คนมีมารยาท ไม่ร้อนรน ทั้งตัวไม่มีนิสัยคุณหนู การพูดจาและการกระทำก็มีกาลเทศะ ที่สำคัญคือนางแผ่บรรยากาศที่อ่อนโยน ให้นางไปเยี่ยมเฉินยาง ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร 


 


 


“ที่ข้านี้ไม่ต้องใช้คนแล้ว พวกเจ้าไปดูเฉินยางก่อนเถิด” 


 


 


เหลียงอู๋เย่ว์ขยับสะโพกเปลี่ยนที่นั่งแต่ไม่ได้ไป “ที่ภรรยาของเจ้านั้นข้าก็ไม่ไปแล้ว ล้วนมีครอบครัวกันแล้ว ไม่เหมาะสม” 


 


 


เขายังรู้ว่าไม่เหมาะสมเขียนอย่างไร เฝิงเยี่ยไป๋ยิ้ม แล้วให้เขานั่งลงคุยต่อ 


 


 


คนในห้องไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงเขาและเหลียงอู๋เย่ว์ เป็นพี่น้องกัน ใส่กางเกงตัวเดียวโตมาด้วยกันจะพูดอะไรก็ไม่ต้องปิดบัง เหลียงอู๋เย่ว์ถามเขาว่าเฉินยางตกใจได้อย่างไร เฝิงเยี่ยไป๋ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง พูดจบก็ถอนหายใจ รู้สึกผิดและโทษตัวเองที่ไม่ดูนางให้ดีๆ 


 


 


เหลียงอู๋เย่ว์ทำเสียงอุบเบาๆ แล้วถามเขาว่า “พวกเจ้า ‘ทำเรื่องนั้น’ แล้ว?” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ยังไม่รู้สึกตัว “เรื่องใด” 


 


 


“ก็คือเรื่องนั้น…” เหลียงอู๋เย่ว์ชี้ไม้ชี้มือ “ก็คือเรื่องนั้น… ร่วมหอ!” 


 


 


ผู้ชายคุยเรื่องนี้ไม่อาย เขาก็ยอมรับอย่างเปิดเผย “ก็คืนก่อน ข้ากลับมาจากหอนางโลม… จะว่าไปเจ้าเด็กนี่ก็ไม่รู้เรื่องเลยเสียจริง บอกว่าตัวข้าหอม ข้าบอกนางว่าข้ากลับมาจากหอนางโลม นางกลับไม่โกรธแม้แต่น้อย ล้มตัวก็นอนเสีย เจ้าก็รู้ ผู้ชายทนเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าจึงได้ลงมือ นางไม่พอใจ เพียงแต่ข้าโกรธถึงหัวแล้ว จะสนเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร สุดท้ายก็ทำเอานางเจ็บไปทั้งตัว เมื่อวานยังกระฟัดกระเฟียดกับข้าบอกจะขอหนังสือหย่า ข้าโมโหนัก จึงขังนางเอาไว้ นึกไม่ถึงว่า…” 


ตอนที่ 301 ไฉนถึงยังไม่เห็นท้อง 


 


 


 


 


 


ยามที่ใกล้สิ้นสุดเดือนหก ยังไม่ทันได้ทำอะไรเพียงแค่ขยับร่างกายเล็กน้อยก็มีเหงื่อเต็มตัว เพียงแต่เฉินยางนั่งอยู่ กลับตัวสั่นไม่หยุด 


 


 


ในห้องมี ‘หลิงอิน’[1] ใช้ทำให้รู้สึกเย็น ข้างในใส่น้ำแข็งเอาไว้แผ่ความเย็นออกมา คลายร้อนกำลังพอดี แต่หากจะให้รู้สึกหนาวนั้นก็ยังไม่พอ ซั่งเหมยซั่งเซียงรู้สึกว่านางตกใจหนัก ยามนี้แม้แต่สีแดงก็มองไม่ได้ พอหลับตาก็รู้สึกว่ามีคนจะทำร้ายนาง แม้ว่าจะกินยาของอิ๋งโจวไปแล้ว เพียงแต่ก็ได้ชั่วคราวเท่านั้น อิ๋งโจวบอกนี่คือไข้ใจ กินยาเพียงอย่างเดียวรักษาไม่หาย 


 


 


ยามที่เว่ยหมิ่นมานั้น เฉินยางกำลังกอดเข่าเหม่อลอย สองตาจ้องถลนดั่งระฆัง กลางวันเช่นนี้ ดูแล้วก็น่ากลัวอยู่บ้าง 


 


 


ซั่งเหมยซั่งเซียงคำนับเว่ยหมิ่นตามระเบียบ แล้วโค้งตัวไปเรียกเฉินยางเบาๆ “นายหญิง ท่านหญิงมาเยี่ยมท่านแล้ว” 


 


 


“เวรกรรมจริงๆ คนดีๆ คนหนึ่ง กลับตกใจจนเป็นเช่นนี้แล้ว” เว่ยหมิ่นนั่งอยู่ที่ขอบเตียงกุมมือเฉินยาง นางกะพริบตา น้ำตาเกือบร่วงลงมา “เฉินยาง ข้าคือเว่ยหมิ่น เจ้ายังจำได้หรือไม่ พวกเรายังไปแช่บ่อด้วยกันมาเลย เจ้าจะลืมข้าไม่ได้นะ!” 


 


 


เฉินยางเชิดมุมปากเล็กน้อย พูดด้วยความจนใจว่า “ข้าตกใจ แต่ไม่ได้กลับไปโง่เหมือนเดิม เจ้าเป็นท่านหญิงข้าจะไม่รู้จักเจ้าได้อย่างไร” นางเหลือบมองข้างหลัง “ยังมีน่าอวี้… ข้าก็จำได้ ซั่งเซียง เอาเก้าอี้ให้แม่นางเจี่ยง ช่างลำบากพวกเจ้าเสียจริง ไม่รังเกียจว่าข้าโชคร้ายนัก ยังมาเยี่ยมข้าอีก” 


 


 


ซั่งเซียงยกเก้าอี้กลมไม้สักแปดขาเชิยน่าอวี้นั่งลง น่าอวี้กล่าวขอบคุณ ก็เริ่มบรรเทาอาการของนาง “เจ้าเป็นหญิงแกร่งจริงเชียว ภาพเช่นนั้น หากเป็นข้า คงจะตกใจจนเป็นลมไปเลย โชคร้ายหรือก็ไม่ถึงกับเป็นเช่นนั้น พวกเราเป็นคนซื่อตรง ภูตผีปีศาจก็ไม่กลัว หากยังไม่ไหวอีก พรุ่งนี้ข้าให้กระบี่ไม้ท้อ[2]เล่มหนึ่ง แขวนอยู่บนหัวเตียงทุกวัน ดูว่ามีผีที่ไม่รู้เรื่องใดกล้ามา ให้มันมาแล้วกลับไม่ได้เลย” 


 


 


เฉินยางป้องปากหัวเราะ “เช่นนั้นก็ดี กลับไปข้าจะเชิญจงขุย[3]แขวนไว้บนประตู นี่เรียกว่าไม่พลาดแน่ๆ” 


 


 


ยังเป็นเหล่าผู้หญิงที่คุยกันอยู่ด้วยกันได้ เมื่อครู่ในห้องยังมืดมนไร้ชีวิตชีวาอยู่เลย ยามนี้กลับเหมือนดั่งเวทีที่มีละครแสดงอยู่ คึกคักยิ่งนัก และล้วนเป็นผู้หญิง จะพูดอะไรก็ไม่ต้องเกรงใจ ยังไม่ถึงสองสามประโยคก็พูดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว 


 


 


เว่ยหมิ่นอยากรู้ จึงไม่สนว่าเหล่าสาวใช้ยังอยู่ อ้าปากก็คือความสุขในห้องนอน “เจ้ากับเฝิงเยี่ยไป๋แต่งงานมานานเช่นนี้แล้ว ไฉนถึงยังไม่เห็นท้องเสียทีล่ะ” 


 


 


ซั่งเหมยซั่งเซียงกลั้นหัวเราะไว้ หน้าของเฉินยางแดงขึ้นมาทันที สองแก้มแดงก่ำเหมือนดั่งเพิ่งเอาออกจากกองไฟ จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืน ก็โมโหขึ้นมา “เจ้าอย่าว่าข้า ตอนนี้เหลียงอู๋เย่ว์ก็เป็นจวิ้นหม่าแล้ว ข้ายังไม่ได้ถามท้องเจ้าเลยว่าไฉนถึงยังไม่มีวี่แวว เจ้ากลับมาถามข้าก่อน” 


 


 


เว่ยหมิ่นเอามือเท้าเอว พูดมีเหตุผลว่า “ไม่เหมือนกัน เจ้าและเฝิงเยี่ยไป๋แต่งงานตั้งแต่อยู่ที่เมืองหรู่หนานแล้ว ข้าและเหลียงอู๋เย่ว์เพิ่งจะแต่งงานมานานเท่าใดกัน หากจะมีวี่แวว ก็ควรจะเป็นพวกเจ้าสองคนก่อน” 


 


 


น่าอวี้เป็นแม่นางที่ยังไม่ได้แต่งงานฟังเรื่องเหล่านี้ก็ไม่เหมาะสมนัก เฉินยางเห็นแล้ว จึงยื่นมือไปอุดปากเว่ยหมิ่น “ไฉนเจ้าถึงพูดจาไม่คิดเช่นนี้ ยังมีคนอยู่เลย อย่าได้พูดเลย ไม่อายหรือ” 


 


 


ช่วงฤดูร้อนนั้นเสื้อผ้าก็บางเป็นปกติ รวมๆ ไปแล้วก็เพียงสองสามชั้น แถมยังเป็นผ้าไหมชั้นดี จับแล้วลื่นนัก ใส่แล้วก็เย็นสบาย เพียงยกแขนก็ลื่นมาอยู่ที่ไหล่ได้ นางยกมือไม่ได้คิดอะไร กลับทำเอาเว่ยหมิ่นเห็นแล้วตกใจยิ่งนัก 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] หลิงอิน อ่างใส่น้ำแข็ง 


 


 


[2] กระบี่ไม้ท้อ เป็นกระบี่ที่ใช้ปราบผีหรือปีศาจในลัทธิเต๋า โดยทำจากกิ่งท้อ 


 


 


[3] จงขุย เทพในลัทธิเต๋า เป็นผู้ปราบผี 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 302 ไฉนเขาถึงทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ได้ 


 


 


 


 


 


ผู้หญิงเทียบกับผู้ชายแล้วนั้นก็มีความแตกต่างตามธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่สามารถเสริมในภายหลังได้ เขาดึงเจ้าเล็กน้อย หากไม่ใช่แรงก็ช่างเสียเถิด หากใช้แรงเข้าให้ แถมยังกระชากอีก ไม่ใช้เจ้าจะดิ้นหลุดได้ง่ายๆ นัก 


 


 


เฉินยางพยายามที่จะปกปิดแผลที่มีอยู่เต็มตัวของตนเอง เรื่องในมุ้งของนางและเฝิงเยี่ยไป๋นั้น นางไม่ยอมพูดและก็ไม่อยากพูด เมื่อครู่สองตายังเปล่งประกายอยู่เลย ตอนนี้กลับเหมือนดั่งเมฆหนาบดบังแสงจันทร์ ขุ่นมัวยิ่งนัก กลับเป็นไร้ชีวิตชีวาอีกครั้ง 


 


 


เว่ยหมิ่นไม่ค่อยเชื่อ คางแทบร่วงลงพื้นเช่นนั้น สุดท้ายก็ยังถามด้วยความไม่อยากเชื่อว่า “เป็นเฝิงเยี่ยไป๋ที่ทำหรือ” 


 


 


นอกจากเขาแล้วยังมีใครได้อีก น่าอวี้บิดผ้า ในใจก็รู้สึกตกใจเช่นกัน บนหน้ากลับไม่แสดงอาการ เพียงแสดงความสงสารอยู่หว่างคิ้ว ที่แสดงออกมาไม่มากไม่น้อย ทั้งไม่ทำให้รู้สึกไร้ความเมตตานัก และก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดูหมิ่น ช่างทำได้ดีเสียยิ่งนัก 


 


 


เพียงแขนก็เป็นเช่นนี้แล้ว บนตัวยังจะดูได้อีกหรือ เว่ยหมิ่นเหมือนถูกคนเอาขวานฟาดเข้าให้ ในหัวดังโครม แม้แต่จะพูดก็ลำบากขึ้นมา “ไม่ใช่…เจ้าอย่า…เขา…ไฉนเฝิงเยี่ยไป๋ถึงทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ได้ เขานี่เก่งนัก ลงมือกับผู้หญิง ช่างเก่งเหลือเกิน ตอนนี้ยิ่งนั่งยิ่งสูง วิธีของเมื่อก่อนไม่สมฐานะของเขาแล้ว ล้วนเอาวิธีใหม่ๆ มาเล่น!” 


 


 


เฉินยางถูกนางพูดจนหน้าขาวบ้างแดงบ้าง นางไม่ได้รู้สึกสบายใจเช่นนั้น เรื่องเช่นนี้ถูกพูดออกมาจะไม่รู้สึกก็คงโกหก แม้ว่าเว่ยหมิ่นที่เกรี้ยวกราดเช่นนี้ก็เพราะรักนาง เพียงแต่อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก ในห้องมีคนยืนอยู่มากมายเช่นนี้อีก ปากของสาวใช้เชื่อไม่ได้เป็นที่สุด หากแพร่ออกไปแล้ว นางยังจะมีชีวิตได้อีกหรือไม่ 


 


 


น่าอวี้รู้ใจคนอื่น นางตบหลังมือเว่ยหมิ่นเบาๆ สองที พูดเปลี่ยนเรื่องว่า “ถือว่าข้าขอร้องพวกเจ้าเถิด นายหญิงน้อยทั้งสอง สงสารข้าเสียหน่อยเถิด โรคที่เป็นมาตั้งแต่เกิด ตลอดทั้งปีก็ดื่มยาไม่เคยขาด แม้แต่สาวใช้ที่อยู่ข้างตัวข้าก็ยังบอกว่าข้าเป็นคนที่ทำมาจากยาเลย ดูข้านี่สิ จะกลายเป็นสาวแก่อยู่แล้ว ไม่มีบ้านใดกล้ามาขอแต่งงาน กลัวความโชคร้ายของข้านี้ทำให้บ้านนั้นลำบาก ดูสภาพเช่นนี้ ข้าคงจะต้องโดดเดี่ยวเดียวดายไปทั้งชีวิตแล้ว” 


 


 


ขณะที่พูดอยู่นั้นนางยิ้มอยู่ตลอด เยาะเย้ยตัวเองแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “ข้ายังคิดไว้เลย หากไม่มีใครเอา ก็จะออกบวชเป็นแม่ชี” 


 


 


เว่ยหมิ่นจะไม่รู้ความตั้งใจของน่าอวี้ได้อย่างไร นางพูดแทงใจเฉินยาง นางกำลังกังวลว่าจะพูดอย่างไรต่อดีอยู่เลย น่าอวี้ก็ได้พูดคลายสถานการณ์ให้นาง ช่างเป็นแม่นางที่ดีเสียจริงๆ นางจึงพูดไปตามน่าอวี้ เลี่ยงเรื่องที่คุยก่อนหน้า แล้วพูดเรื่องอื่นต่อ 


 


 


เฉินยางพอถูกพวกนางสองคนก่อกวนเช่นนี้ คิ้วก็คลายลงแล้ว พูดคุยสนุกสนาน ครึ่งวันนี้ก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เว่ยหมิ่นและน่าอวี้ลุกขึ้นเตรียมจะจากไป เฉินยางอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก เฉินยางลงจากเตียงไปส่งพวกนาง เฉินยางส่งไปถึงประตู เว่ยหมิ่นโทษสาวใช้ว่าทำงานไม่เป็น ข้างนอกร้อนนัก เป็นบ่าวรับใช้ไฉนถึงไม่รู้จักดูแลเจ้านาย ร้อนเย็นสลับกันจะเป็นโรคเอาได้ พวกนางลาจากกันที่ทางเดิน เว่ยหมิ่นกล่อมให้นางกลับไป “พรุ่งนี้พวกเราก็มาอีก เจ้าก็อย่าส่งเลย” นางลังเลอยู่พักใหญ่ก็พูดอีกว่า “เจ้าก็อย่าได้คิดเรื่องไม่ดีเหล่านั้นเลย หากวันหลังเฝิงเยี่ยไป๋กล้ารังแกเจ้าอีก เจ้าก็มาหาข้า ข้าจะสั่งสอนเขา…ตอนแรกเห็นเจ้าเป็นแม่นางดี ข้าถึงได้ตัดใจยอมให้เขากับเจ้าไป ข้ายังคิดว่าเขาจะดีกับเจ้าได้เพียงใด ที่แท้ก็รักใหม่ทิ้งเก่า เจ้าก็ไม่ต้องกลัว คนเหล่านั้นเจ้าไม่ได้เป็นคนฆ่า จะแก้แค้นก็ไม่ถึงเจ้า เฝิงเยี่ยไป๋เองก็ไม่ได้พูดอะไร พวกเราก็ต้องทำใจให้สงบให้ได้” 


ตอนที่ 303 มีลูกผู้ชายที่ไหนปักดอกไม้ 


 


 


 


 


 


มาถึงกลางคืนตอนที่ผู้คนกลับกันหมดแล้ว อาการป่วยไข้ของเฝิงเยี่ยไป๋ก็ดีขึ้นแล้ว เขาให้คนวางอาหารไว้ที่ห้องของเฉินยาง ตอนที่เข้าไปนั้น เห็นนางนั่งอยู่กับซั่งเหมยกำลังปักดอกไม้ใต้แสงไฟ 


 


 


เปลวเทียนไหววูบไปมา ใบหน้าของนางครึ่งหนึ่งสว่าง ครึ่งหนึ่งมืด มือของนางใหญ่ไม่ถึงครึ่งของเขา มือที่ถือเข็มอยู่ร้อยไปมาอยู่บนผ้าปักกลับรู้สึกคล่องแคล่วนัก คิ้วทั้งสองขมวดและคลายเป็นบางครั้งเป็นไปตามความตั้งใจบนใบหน้า หากนับดูดีแล้วตั้งแต่ที่แต่งงานกับนางมา สีหน้านี้นอกจากเรื่องกิน นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ใช้กับเรื่องอื่น คิ้วที่อ่อนโยนนั้น เหมือนดั่งทั้งตัวเคลือบไปด้วยแสง ทำเอามองแล้วรู้สึกสบายใจยิ่งนัก 


 


 


ซั่งเซียงถือชาเข้ามา เห็นเฝิงเยี่ยไป๋ ก็ย่อตัวแล้วพูดว่า “คารวะท่านอ๋อง” 


 


 


สาวใช้คนนี้ช่างไม่รู้เรื่องนัก ไม่เห็นแววตาที่ลึกซึ้งของท่านอ๋อง ส่งเสียงเหมือนดั่งฟ้าผ่ากลางวันเช่นนั้น ทำเอาบรรยากาศดีๆ เสียหมดเพราะนาง 


 


 


สีหน้าเฝิงเยี่ยไป๋ไม่พอใจนัก เขาถลึงตาใส่ซั่งเซียง โกรธที่นางไม่รู้เรื่อง 


 


 


เฉินยางได้ยินเสียงก็หันหัวมองไปข้างนอก เห็นเขายืนอยู่ข้างหลังม่านลูกปัดที่อยู่ห้องด้านใน นางขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ไม่ใช่บอกว่าป่วยหนักจนลุกไม่ขึ้นหรือ ไฉนถึงยังยืนอยู่ที่นี่ได้อีก 


 


 


ซั่งเหมยเปิดม่านลูกปัดโค้งตัวคำนับ และถอยออกไปข้างนอกกับซั่งเซียงยืนรอคำสั่ง 


 


 


เขาไม่ได้สวมชุดทางการ กระดุมที่อยู่บนเสื้อนั้นไม่ได้ติดอยู่หลายเม็ด ดูเหมือนเพิ่งจะตื่นเมื่อครู่ ทั้งตัวเผยความรู้สึกเกียจคร้าน เขานั่งขัดสมาธิลงข้างๆ นาง แล้วพิงร่างกายไปตามธรรมชาติ ริมฝีปากแตะผ่านหูนาง แล้วถามแนบชิดกับแก้มนางว่า “ปักอะไรหรือ” 


 


 


เฉินยางขยับเข้าไปด้านใน พูดด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียดเล็กน้อยว่า “ปักมั่วๆ” พูดจบก็เอาผ้าปักวางไว้บนโต๊ะ หันหลังเตรียมจะลงไป 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ไปหยิบผ้าปักที่อยู่บนโต๊ะ มือก็ขวางนางไว้พอดี “ให้ข้าดูหน่อย…” 


 


 


เฉินยางยื่นมือไปแย่ง “อยากดูก็ปักเอง” 


 


 


“เหลวไหลสิ้นดี!” เขายื่นมือไปแตะปลายจมูกนาง “มีลูกผู้ชายที่ไหนถือผ้าปักลายดอกไม้บ้าง” 


 


 


แม้แต่แป้งกับชาดเขายังเคยทาเลย ยังจะมีอะไรที่ทำไม่ได้อีก เฉินยางชี้เขาแล้วพูดว่า “ท่านไง! ได้เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์พอดี ชื่อเสียงสืบทอดร้อยปี ไม่แน่อาจจะถูกคนแต่งเป็นละครอีก” 


 


 


ดีเสียเหลือเกิน ขายหน้าขายไปถึงร้อยปีเลย ก็มีเพียงนางที่สามารถทำได้ทุกอย่างต่อหน้าเขา คิดจะพูดอะไรก็พูดสิ่งนั้น หากลองเป็นคนอื่น มีสิบปากก็ไม่พอเย็บ 


 


 


“เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะขายหน้าด้วยกันกับข้าใช่หรือไม่ พวกเราตายแล้วต้องฝังอยู่ด้วยกัน ข้ารอดไปได้เจ้าก็ไม่รอด” 


 


 


เฉินยางบุ้ยปากเถียงกลับ “ท่านโตกว่าข้าตั้งเยอะ จะตายก็เป็นท่านตายก่อน ข้าไม่ตายด้วยกันกับท่านหรอก” 


 


 


เขาได้ยินคำพูดอกตัญญูเช่นนี้จนชิน ตอนนี้กลับไม่รู้สึกโมโห เขาขยับใบหน้าถูที่ใบหน้าของนาง น้ำเสียงมีความเศร้าแฝงอยู่ “ก็ใช่ ข้าจะต้องจากไปก่อนเจ้าอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นข้าไปแล้ว พอหมดลมหายใจ เรื่องบนโลกต่างๆ ก็ไม่รับรู้แล้ว แม้แต่เจ้าข้าก็ดูแลไม่ได้แล้ว เจ้าว่าถึงยามนั้นเหลือเจ้าคนเดียวเจ้าจะทำอย่างไร ข้าไม่วางใจ ถึงตายก็ไม่วางใจ ข้าเห็นแก่ตัวในเรื่องนี้นัก เจ้าจะรักข้ามากกว่าข้ารักเจ้าไม่ได้ ดังนั้นข้าคิดจะตายก่อนเจ้า คนที่ไปก่อนกลับเป็นการหลุดพ้น ให้ข้าเห็นเจ้าตาย ข้าทำไม่ได้ เพียงแต่จะให้ข้าเห็นเจ้าใช้ชีวิตโดยไร้ที่พึ่งพิง ข้าก็ทำไม่ได้เช่นกัน เฉินยาง…พวกเรามีลูกกันเถิด มีลูกแล้ว ข้าตายไป เขาก็จะได้คอยดูแลเจ้า” 


 


 


ไฉนถึงได้พูดถึงเรื่องความตายไปได้ นางได้ยินคนใช้บอกว่าเขาป่วยแล้ว คงไม่ใช่โรคที่ถึงชีวิตกระมัง! 


 


 


  


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 304 ผู้ชายมีความลำบากที่พูดไม่ได้ 


 


 


 


 


 


เฉินยางมีความรู้สึกเศร้าใจที่บอกไม่ถูกนัก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้น้ำเสียงที่ ‘น่าตกใจ’ พูดกับนาง ทำเหมือนดั่งจะตายจากกันเช่นนั้น จู่ๆ นางก็ร้อนรนขึ้นมา นางคว้ามือเขาเอาไว้ ไม่รู้อะไรแต่กลับคลำชีพจรเขาด้วยสัญชาตญาณ “พวกเขาบอกว่าท่านป่วยแล้ว ตกลงป่วยที่ใดหรือ ฮ่องเต้ก็ส่งหมอหลวงมาดูท่านแล้วไม่ใช่หรือ หมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง” 


 


 


นางเป็นห่วงเขา ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าในใจเขาดีใจเพียงใด ไม่รู้ว่าปากไม่ตรงกับใจนี้ไปเรียนกับใครมา มีเรื่องอะไรล้วนเก็บซ่อนเอาไว้ เพียงแค่บอกว่าเป็นห่วงเขามันยากขนาดนั้นเลยหรือ เพียงแต่เขาก็ไม่กล้าหวังอะไรมากมายเช่นนั้น ตอนแรกคิดจะจงใจไม่พูด ปล่อยให้นางเดา แต่ก็กลัวนางเป็นห่วง จึงพูดปลอบว่า “อย่างไรคนก็ต้องตาย เพียงแต่เจ้าวางใจได้ ข้าไม่เป็นไร ยังดีๆ อยู่ ที่บอกว่าป่วยนั้นคือโกหก เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนัก” 


 


 


เฉินยางได้ยินก็โยนมือเขาทิ้งทันที “เช่นนั้นแล้วท่านยังพูดเรื่องความเป็นความตายอะไรนั่นอีก กลางคืนเช่นนี้ไม่กลัวจะโชคร้ายหรือ” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ตบอกพูดว่า “ข้าแข็งแกร่งนัก ไม่กลัวภูตผีปีศาจเหล่านั้น หากเจ้ากลัว เช่นนั้นข้านอนเป็นเพื่อนเจ้า” 


 


 


คำพูดนี้พูดออกมาช่างทำเอาตกใจยิ่งนัก เรื่องครั้งก่อนยังไม่จบเลย คราวนี้ยังจะมาอีก เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ยอม นั่งตัวตรงแล้วเริ่มผลักเขา “ไม่ต้อง ข้ามีซั่งเหมยกับซั่งเซียง ไม่ต้องให้ท่านอยู่เป็นเพื่อน” 


 


 


“ได้ๆๆ ไม่ต้องการข้า” เขาปล่อยนางด้วยความจนใจ “พวกเรากินข้าวก่อน ตาเฒ่าพวกนั้นวุ่นวายนัก จนยามนี้แล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ไม่มีความสามารถอื่นใด เพียงแต่เรื่องการเอาใจผู้หญิงนั้นก็ยังใช้ได้อยู่ บางทีที่เขาพูดอาจจะไม่ผิด ใจคนล้วนเป็นเนื้อ ไม่มีใครที่ไม่ใจอ่อน ด่วนเอาแต่ได้มักจะได้ความสุขมาชั่วคราว เพียงแต่พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน ล้มลุกคลุกคลานก็ดี สุขสำราญก็ดี ล้วนต้องใช้ชีวิตด้วยกัน ชีวิตหลังจากนี้ยังอีกยาวไกล ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ เปลี่ยนใจนาง นางไม่ใช่คนตาบอดเสียหน่อย ใครดีกับนางนางจะยังดูไม่ออกอีกเชียวหรือ 


 


 


….. 


 


 


“เขาก็สำนึกผิดในเรื่องชั่วร้ายที่ตัวเองทำแล้ว ตอนนี้เศร้าเสียใจยิ่งนัก” เหลียงอู๋เย่ว์รู้ว่าเว่ยหมิ่นไปดูเฉินยาง เรื่องนี้นางก็ต้องรู้แน่ๆ นางเป็นผู้หญิง นางไม่รู้ว่าผู้ชายหากอดทนถึงขั้นนั้นจนทรมานเช่นไร ไฟราคะในร่างกายระบายไม่ออกก็จะลามขึ้นมาที่หัว เผาจนสติหายไปหมดสิ้น 


 


 


เว่ยหมิ่น “หืม” ออกมา “เจ้าไม่เห็นแผลบนร่างกายของเฉินยางสักหน่อย พอข้าได้เห็นครั้งแรก ยังนึกว่านางถูกเฝิงเยี่ยไป๋ตีเสียอีก เจ้าก็ช่วยเขาพูดให้ดูดีสินะ หากวันใดเขาลงมือกับเฉินยางจริงๆ เจ้าก็คงช่วยเขากระมัง!” 


 


 


เหลียงอู๋เย่ว์ตบอกรับรอง “เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ อย่างอื่นข้าไม่กล้ารับปาก แต่ความรักที่เฝิงเยี่ยไป๋มีต่อเฉินยางนั้น ใต้ฟ้าเจ้าหาคนที่สองไม่ได้อีกแล้ว เว่ยเฉินยางเป็นชีวิตของเขา ไม่มีชีวิตแล้ว เจ้าว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือ” 


 


 


“พอได้แล้วกระมัง หากเขาเห็นเฉินยางเป็นชีวิตตัวเองจริงๆ จะลงมือได้เ**้ยมโหดเช่นนี้หรือ” 


 


 


เหลียงอู๋เย่ว์หัวเราะที่นางไม่เข้าใจ “รอให้วันใดเจ้าเป็นผู้ชายก็จะรู้เอง ผู้ชายมีความลำบากที่พูดไม่ได้ โดยเฉพาะ… ในเรื่องนั้น” 


 


 


เว่ยหมิ่นมองเขาขึ้นๆ ลงๆ หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วหยิกหูเขา “เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นหรือ ตอนที่ข้าอยู่หรู่หนานก็ได้ยินเรื่องเจ้าชู้ของเจ้าไม่น้อยเหมือนกัน ใช้ได้เลยนะเหลียงอู๋เย่ว์ เที่ยวได้สนุกนัก แถมยังกอดซ้ายกอดขวา เอะอะก็นอนอยู่ที่หอนางโลม ไฉนแม่นางเหล่านั้นถึงไม่ได้รีดเจ้าจนว่างเปล่าเล่า หรือว่าเจ้า…ใช้การไม่ได้หรือ” 


 


 


เหลียงอู๋เย่ว์ถูกจี้จุด เขาดีดตัวขึ้นมาทันที “คำพูดนี้พูดมั่วไม่ได้ โดยเฉพาะกับผู้ชาย เจ้าก็… เจ้าก็ไม่เคยลองเหมือนกัน ไฉนถึงรู้ว่าข้าใช้การไม่ได้” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม