ยอดรักชายาอัปลักษณ์ 295-302

 ตอนที่ 295 ส่งเจ้าจากไปในวันมงคล


 


 


เขาทำให้นางต้องเสียบิดาไป ทำให้นางเสียอิสรภาพ ยังจะต้องอยู่ข้างๆ มองดูนางสูญเสียลูกไปด้วยหรือ มู่หรงเหยียนยิ้มอย่างขมขื่น เขาพูดขึ้นด้วยเสียงอันทุ้ม “ไปเชิญหัวหน้าสำนักหมอหลวงมา ต้องให้เขารักษาเด็กไว้ให้ได้!”


 


 


กลางดึก ทุกอย่างมืดสนิท แสงเทียนกว่าครึ่งของตำหนักรัชทายาทถูกดับลงหลอมรวมเข้ากับรัตติกาลอันมืดมิด


 


 


หนิงอวี้ลืมตาขึ้นมองไปยังมุ้ง นางยกมือขึ้นกุมท้องน้อยเอาไว้แน่น น้ำตาไหลออกมาหยดแล้วหยดเล่า แต่ใบหน้านางกลับประดับด้วยรอยยิ้ม รักษาเอาไว้ได้แล้ว ในที่สุดก็รักษาเอาไว้ได้


 


 


แพทย์หลวงกำชับไว้ว่าห้ามให้กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง หนิงอวี้ยกมือขึ้นปาดน้ำตา มุมปากโค้งยิ้มบางๆ เลือนรางจนแทบไม่เห็น


 


 


ครั้งนี้เหตุการณ์รุนแรงแต่มิได้รับอันตราย ในขณะที่หมอได้แต่ส่ายหน้าไม่ขาด สำนักหมอหลวงก็ส่งคนมารักษาพอดิบพอดี ตอนนั้นหนิงอวี้เจ็บปวดจนตาทั้งคู่เลื่อนลอย แต่นางกลับได้ยินอย่างชัดเจนว่ามู่หรงเหยียนเชิญเขามา


 


 


ยุ่งเหยิงไปทั้งหมด หนิงอวี้ยิ้มแหย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงประตูดังเอียดอาด แม้เสียงเบาราวขนนกร่วง แต่เสียงเตือนในใจหนิงอวี้กลับดังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หรือว่าอีกฝ่ายจะยังไม่พอใจ คิดลอบสังหารนางกลางดึกอีก


 


 


หนิงอวี้ค่อยๆ ยกมือขึ้น หมายจะคลำหาถ้วยที่ใส่ยาที่ดื่มเหลืออยู่บนหัวเตียงนั้น จังหวะที่มือสัมผัสโดนถ้วย เงาดำนั้นก็เดินเข้ามา แสงจันทร์ส่องกระทบ ริมฝีปากเรียวบาง คิ้วคมเข้ม มู่หรงเหยียนนั่นเอง


 


 


เงียบงันอยู่พักใหญ่ หนิงอวี้หลับตาทั้งคู่ลงช้าๆ ก็ได้ยินเสียงมู่หรงเหยียนพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ดื่มน้ำไหม”ทันทีที่กล่าวออกมา หนิงอวี้ก็พบว่าเขาได้ดื่มสุรามา กลิ่นโชยแตะจมูก ดูแล้วเขาคงดื่มมาไม่น้อยเลย


 


 


เสียงจอกกระทบดังกังวานขึ้นหนึ่งที ตามด้วยเสียงแตกร้าวดังขึ้น มู่หรงเหยียนในมือถือน้ำชาที่เทเต็มจนแทบล้นจอกหนึ่งขึ้น พูดขึ้นเสียงทุ้ม “ดื่มน้ำสิ”


 


 


หนิงอวี้หันกายเข้าหากำแพงแล้วตอบกลับเสียงทุ้ม “อยู่ให้ห่างข้าหน่อย”


 


 


มู่หรงเหยียนขมวดคิ้ว นั่งโยกไปมาอยู่ครู่จึงมารู้ทีหลังว่าตนดื่มสุราไปมาก แต่สตรีมีครรภ์นั้นห้ามต้องสุรา


 


 


มู่หรงเหยียนวางจอกบนตู้ไม้ที่หัวเตียง ก้าวถอยออกมาสองสามก้าวแล้วพูดเสียงเบา


 


 


“ข้าจะส่งเจ้าไปจากที่นี่…ในคืนวันมงคล”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้า ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด


 


 


“ในวันมงคลนั้น ผู้คนเข้าออกมากมาย ง่ายที่จะไปจากที่นี่”


 


 


มู่หรงเหยียนเห็นนางไม่ตอบ จึงอธิบายด้วยเสียงอันทุ้ม ทว่าในใจเขารู้ดีว่าเป้าหมายในใจตนคืออะไร


 


 


ยิ่งเวลาผ่านไป หนิงอวี้ยิ่งไม่ปลอดภัย แน่นอนว่าในวันมงคลนั้น ผู้คนเข้าออกพลุกพล่านวุ่นวาย แต่เป้าหมายที่แท้จริงในการยื้อเวลาของเขานั้น คือตั้งใจจะร่วมพิธีกับนาง แม้จะไม่ใช่เรื่องจริง ขอแค่ได้เห็นสักครั้งก็ยังดี


 


 


ขอเพียงได้เห็นสักครั้ง เขาก็สามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบสุข สามารถปล่อยนางจากไปอยู่พร้อมหน้ากับเว่ยหยวน ขอแค่ได้เห็นเพียงครั้งเดียว เขาก็จะสามารถเก็บเอาไว้ในความทรงจำ คอยฟังข่าวจากรายงานลับว่านางมีชีวิตอย่างมีความสุขหรือไม่


 


 


เนิ่นนาน หนิงอวี้ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าจึงคิดว่าเขาจากไปแล้ว เมื่อลืมตาขึ้นกลับเห็นเขายืนอยู่ข้างเตียงห่างออกไปราวสามศอก หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว ยื่นมือคว้าผ้าห่มมาพันตัวแน่นแล้วหลับตาทั้งคู่ลง


 


 


——


 


 


ท่ามกลางแสงแวววาวจากคมดาบคมกระบี่ เว่ยหยวนขี่ม้าฝ่าทะลวงการปิดล้อมของทหารฝ่ายข้าศึก ดาบยาวเพียงเล่มหนึ่ง ฟันศีรษะคนนับไม่ถ้วน เว่ยหยวนควบม้าวิ่งควบมุดไปท่ามกลางฝูงชน ดาบยาวในมือไม่หยุดขยับแม้เพียงครู่เดียว


 


 


เขาจะล้มไม่ได้ และจะหยุดไม่ได้ มีเพียงการทำลายป้อมปราการราชวงศ์เหนือให้ราบคาบ ถึงจะบีบพวกเขาให้ยอมส่งตัวหนิงอวี้คืนมาได้ เลือดสดสาดกระเซ็น เว่ยหยวนมองพลทหารฝ่ายศัตรูล้มลงด้วยสีหน้านิ่งเฉย


 


 


ทั้งหมดนี้ ผู้ที่มาขัดขวางการช่วงชิงหนิงอวี้กลับคืนมาล้วนแต่สมควรตาย เว่ยหยวนย่นคิ้วสะบัดแส้ ม้าทะยานพุ่งขึ้น กระโดดข้ามผ่านกำแพงมนุษย์ที่ขวางเอาไว้


 


 


เขาแกว่งดาบพุ่งตรงไปยังหัวหน้าฝ่ายข้าศึก คนผู้นั้นหัวเราะร่า ยื่นมือขึ้นมาลูบเคราหนึ่งทีแล้วพูดด้วยเสียงอันก้องว่า “อายุน้อยกำลังมากนัก” วินาทีถัดมา เขาถือค้อนเหล็กสองด้าม กระโจนขึ้นกลางอากาศ “เด็กเมื่อวานซืนไม่รู้จักชั่วดี”


 


 


นายพลค้อนคู่ราชวงศ์เหนือ ถือกำเนิดมาจากสามัญชน อาศัยค้อนทั้งสองในมือสร้างคุณงามความชอบ จึงหลุดพ้นจากความเป็นทาส ได้รับการละเว้นโทษทัณฑ์ กลายเป็นขุนพลใหญ่ผู้หนึ่งของราชวงศ์เหนือ


 


 


เว่ยหยวนรู้ดีว่าครั้งนี้ทำการบุ่มบ่ามเกินไป แต่จะจับโจรให้จับที่เจ้า หากพิชิตแม่ทัพได้ ก็จะชนะศึกทั้งหมดได้อย่างเป็นผลและรวดเร็ว


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 296 เว่ยหยวนใช้วิธีสกปรก


 


 


ค้อนเหล็กโฉบผ่านใบหน้า เว่ยหยวนบังคับม้าหมุนกลับ หลบการโจมตีได้หนึ่งที เกิดเสียงดังอึ้ง โคลนดินด้านหน้าที่ซึ่งนายพลค้อนเหล็กยืนอยู่ ปรากฏหลุมใหญ่สองหลุม


 


 


เว่ยหยวนขมวดคิ้ว หากดึงดันต่อสู้ซึ่งๆ หน้าคงเป็นไปไม่ได้ ทางเดียวที่จะเอาชนะได้คือการลอบโจมตี เขาบุกเข้าไปอย่างรวดเร็วเพื่อตะลุมบอน นายพลค้อนเหล็กหัวเราะร่า เหวี่ยงหมัดทั้งคู่ทุบไปยังเว่ยหยวน


 


 


เว่ยหยวนใช้กระบี่สกัด กระบี่โก่งงอแล้วดีดกลับ เว่ยหยวนเคลื่อนถอยหลังไปเล็กน้อย


 


 


“ฮ่าๆๆ แค่นี้เองสินะ เดี๋ยวข้าตาเฒ่าผู้นี้จะทุบเจ้าให้แหลกเลย!”


 


 


นายพลค้อนเหล็กเหวี่ยงค้อนทั้งคู่เดินเข้ามาด้านหน้า เว่ยหยวนก้มตัวหลบใช้กระบี่ดีดฝุ่นดินลอยขึ้น เข้าไปในตาทั้งคู่ของเขา


 


 


“เจ้าสุนัขราชวงศ์ใต้ต่ำช้าไร้ยางอาย ช่างกล้าใช้วิธีชั้นต่ำเช่นนี้…โอ๊ย”


 


 


ในตอนที่ฝุ่นดินถูกลมเริ่มสลายตัว เว่ยหยวนลืมตาทั้งคู่ขึ้น ชักกระบี่ออกมาช้าๆ นายพลค้อนเหล็กค่อยๆ ล้มลงกับพื้น บนแผ่นหลังปรากฏรอยแผลใหญ่มีเลือดกลบรอยหนึ่ง


 


 


ทหารราชวงศ์เหนือที่กำลังแพ้ร่นในตอนแรก บัดนี้เริ่มท้อแท้ยิ่งขึ้น พลทหารไม่น้อยหันกายกลับวิ่งหนี เว่ยหยวนผิวปากขึ้นหนึ่งที ม้าก็วิ่งควบเข้ามา


 


 


เว่ยหยวนพลิกกายขึ้นหลังม้า โยนกระบี่ยาวที่แตกร้าวเต็มไปด้วยคราบเลือด กระทบลงบนหลังนายพลค้อนเหล็กพอดี เขาตวัดแส้บังคับม้า วิ่งเข้าไปท่ามกลางเหล่าทหารราชวงศ์ใต้


 


 


“ฝ่าบาท พระองค์ทรงทำเช่นนี้เสี่ยงเกินไปนะเพคะ”


 


 


“มั่วหลี ไปแจ้งพวกราชวงศ์เหนือ หากไม่ส่งหนิงอวี้มา เราจะกำราบพวกมันให้ราบเตียนในทีเดียว”


 


 


พระเนตรของฮ่องเต้ผู้ทรงเด็ดเดี่ยวเปี่ยมด้วยความเ**้ยมโหด มั่วหลีได้กลิ่นคาวเลือดรุนแรงจากกายเขา ก็เกิดความรู้สึกเกรงขามขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว                                                                                              


 


 


“องค์รัชทายาท แจ้งข่าวด่วนกองทัพพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


มู่หรงเหยียนวางเสื้อสีแดงในมือลงแล้วหันกายเดินไปยังประตู เมื่อชำเลืองหางตามองไปมองหนิงอวี้ ก็เห็นว่านางกำลังมีสีหน้าเคร่งเครียดตามคาด


 


 


มือหนิงอวี้พาดลงบนชุดมงคล สายตาจ้องนิ่งไปยังมู่หรงเหยียน เห็นเขาสีหน้าคร่ำเคร่ง รู้ได้ทันทีว่าเว่ยหยวนเอาชนะกองทัพราชวงศ์เหนือได้


 


 


เช่นนี้ โอกาสที่นางจะถูกผลักส่งออกไปยิ่งมากขึ้น แต่หากเว่ยหยวนพ่ายแพ้ เขาก็จะถูกประชาชนชาวราชวงศ์ใต้ประณาม หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว ไม่รู้ว่าจุดจบควรเป็นเช่นไรดี


 


 


ขอเพียง ให้เขาปลอดภัย ก็พอแล้ว หนิงอวี้ยกมุมปากยิ้มแล้ววางมือลงบนท้องน้อยที่นูนป่อง เด็กบ้าเอ๋ย เจ้ารู้หรือเปล่า ว่าพ่อเจ้าไม่เพียงแค่เก่งกาจกาพย์กลอนการวางแผน ยังช่ำชองวรยุทธ์เสียอีกด้วย


 


 


เพียงแต่ หากเทียบกับข้าแม่คนนี้แล้วคงด้อยกว่าเล็กน้อย หนิงอวี้จมอยู่กับความคิด นางยิ้มบางขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เพียงชั่วอึดใจก็ถูกมู่หรงเหยียนรบกวนความคิด


 


 


“เจ้าชอบชุดมงคลหรือไม่”


 


 


หนิงอวี้ชำเลืองขึ้น มุมปากที่ยกยิ้มในตอนแรกก็ตกลง นางพูดตอบเสียงเบา “ก็แค่การจัดฉาก ไยต้องจริงจัง”


 


 


มู่หรงเหยียนพยายามสะกดความโกรธ เขาสะบัดมือแล้วพูด “ชุดมงคลที่ให้เหล่าช่างทอในวังรีบทำ ต้องทำให้แม่นางพึงพอใจแน่นอน”


 


 


“เพคะ”


 


 


กูกู[1]ขานตอบ นางยื่นชุดมงคลให้ ยอบกายคารวะแล้วถอยไป


 


 


ในห้องเหลือเพียงสองคน หนิงอวี้รู้สึกอึดอัดหมายจะหันกายหลบ ก็ได้ยินเสียงมู่หรงเหยียนพูดขึ้นว่า “เจ้าอยากรู้ ข่าวของของเว่ยหยวนหรือไม่”


 


 


“เจ้าจะบอกข้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


มุมปากหนิงอวี้ยกยิ้มน้อยๆ แววตาแฝงด้วยความเย้ยหยัน มู่หรงเหยียนแม้ไม่มองหน้านางก็ได้ยินน้ำเสียงเย้ยหยันในคำพูดของนางได้


 


 


มู่หรงเหยียนก้มหน้าลง มองชุดเจ้าบ่าวสีแดงสด กลางก้นบึ้งหัวใจก็รู้สึกถึงความอ่อนแอสิ้นหวังขึ้นมาทันใดอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่อยากมองสายตาอันเยือกเย็น ไม่อยากฟังคำพูดถากถางของนาง แต่ในความเป็นจริง เขากลับไม่มีสิทธิ์ที่จะตอบนางว่า ‘ไม่’


 


 


“ข้าลองหาทางให้เจ้าได้ใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้ ข้าจะปล่อยเจ้า ส่งเจ้าไปยัง…ข้างกายคนผู้นั้น”


 


 


“อืม”


 


 


“ข้าเคยบอกว่าจะปกป้องเจ้า คือความจริง เสียดายเรื่องบนโลกช่างอนิจจัง พวกเราได้มาไกลถึงจุดนี้เสียแล้ว”


 


 


หนิงอวี้ไม่ตอบ มู่หรงเหยียนเดินเข้าไปสองสามก้าวแล้วคว้ามือนางพร้อมกล่าวขึ้นว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าไม่ขอให้เจ้ารับมันด้วยรอยยิ้ม ขอเจ้าเพียงแค่…”


 


 


ยังไม่ทันกล่าวจบ มู่หรงเหยียนก็ปล่อยมือ เขาส่ายหน้ายิ้มเศร้าเดินจากไป ชุดเจ้าบ่าวเฉียดลงกายเขาแล้วร่วงหล่นลงบนพื้นที่จับเขลอะไปด้วยฝุ่น


 


 


 


 


——


 


 


[1] กูกู ตำแหน่งนางในคล้ายกับหมัวมัว แต่มีอายุน้อยกว่า



ตอนที่ 297 แต่งงานกับมู่หรงเหยียน


 


 


“แย่ที่สุด! ปล่อยให้เด็กนั้นรอดมาได้!”


 


 


ปี้อวี้ใบหน้าบูดเบี้ยวยกเท้าถีบสาวใช้ทั้งสองที่อยู่บนพื้น หนิงลู่กล่อมด้วยเสียงอันเบาว่า “นายหญิง อย่าโกรธไปเลยเพคะ ยังมีอีกวิธีเพคะ”


 


 


ปี้อวี้ชำเลืองขึ้น จ้องอย่างดุดันไปยังหนิงลู่ หนิงลู่พยักหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อเด็กรอดชีวิตมาได้ ก็ปล่อยให้มันมีชีวิตต่อไปเพคะ”


 


 


“หนิงลู่ นี่เจ้าพูดอะไรกัน”


 


 


ซวงหวามุ่นหัวคิ้ว ใช้น้ำเสียงเหมือนตำหนิสั่งสอนพูดขึ้นด้วยความโกรธ หนิงลู่สีหน้าคงเดิมแล้วเอ่ยต่อว่า “ขอเพียงยืนยัน ว่าเด็กนั่นไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขขององค์รัชทายาท ต่อให้มีชีวิตต่อไป ก็หามีความหมายไม่เพคะ”


 


 


สาวใช้ที่อยู่บนพื้นเห็นว่ากำลังจะถูกดึงเข้าสู่บทสนทนาลับอันน่าหวาดกลัว ก็รีบโขกหัวรัวๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยขอทูลลาเพคะ”


 


 


ปี้อวี้ยิ้มเหยียดมองไปยังสาวใช้ปราดหนึ่ง ซวงหวารู้ใจนาง จึงลากตัวสาวใช้เดินออกประตูไป


 


 


“ว่าต่อสิ”


 


 


“เพคะ หนิงอวี้มีครรภ์เกือบสองเดินแล้ว แต่ร่างกายผ่ายผอม หมอจึงอาจวินิจฉัยผิดได้ ได้ยินว่าหนิงอวี้รักใคร่ลึกซึ้งกับฮ่องเต้ราชวงศ์ใต้ จะยินยอมลดตัวมาอยู่กับองค์รัชทายาทได้อย่างไร”


 


 


ประกายแวววับฉายผ่านดวงตาปี้อวี้ปลาบหนึ่ง แต่ปากนางกลับพล่ามคำพูดอันดูดีมีคุณธรรม “หากเจ้ากล่าวเท็จ จะไม่ต้องโทษหนักฐานให้ร้ายพระราชโอรสหรือ”


 


 


“นายหญิงโปรดคิดดูเพคะ หากนางตั้งครรภ์พระโอรสขององค์รัชทายาท องค์รัชทายาทจะมิทรงปลาบปลื้มจนแทบคลั่งหรอกหรือ อีกทั้ง นางตั้งครรภ์มาก็นานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินองค์รัชทายาทรับสั่งยอมรับสักครั้ง แต่เพราะด้วยฮ่องเต้หมายพระทัยใช้นางเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน องค์รัชทายาทจึงได้ยอมรับว่าในครรภ์คือพระราชโอรส”


 


 


ปี้อวี้พยักหน้าอย่างสมใจ นางหลุบสายตาลงมองเล็บแดงเย้ายวนทั้งสิบของตน มุมปากนางยกขึ้นยิ้มออกมาอย่างงดงามเย้ายวน


 


 


“นายหญิงอาจลองเขียนหนังสือถึงท่านขุนพล ขอท่านหาทหารหนีทัพที่เป็นเชลยศึกสักคน มายืนยันว่าหนิงอวี้ท้องตั้งแต่อยู่กลางสนามรบ แล้วเชิญหมออีกคนมา ระบุวันเวลาอีกที”


 


 


__


 


 


แสงไฟโคมสีแดงฉูดฉาดถูกแขวนขึ้น ส่องสะท้อนแสงไปทั่ว ผ้าไหมต่วนหรูหราผูกเป็นดอก มัดติดอยู่บนชายคา ผู้คนต่างรีบเร่งกับหน้าที่ในมือ บรรยากาศดูวุ่นวายอย่างยิ่ง


 


 


หนิงอวี้นั่งอยู่หน้าคันฉ่อง มองโฉมหน้าหญิงสาวในคันฉ่องอย่างพินิจ ผิวขาวราวหิมะ ปากแดงดั่งเลือด ภายใต้เครื่องประดับผมสีทองเหลืองอร่าม คือเรือนผมสลวยดำขลับ


 


 


งามยิ่งนัก นางยังจำวันมงคลวันนั้นได้ บิดายืนด้านหลังนางสองตาแดงก่ำ ที่สุดก็ห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ หนิงอวี้ระคายปลายจมูกเหมือนจะร้องไห้ ฝืนยกมุมปากยิ้ม หญิงสาวในคันฉ่องยิ้มบาง รอยยิ้มกลับดูโศกเศร้า


 


 


ทันใดนั้นหนิงอวี้ก็นึกได้ วันที่มารดาจากไปนั้น สวมชุดมงคลสีแดงสดใสทั้งตัว นางได้สวมชุดมงคลสีแดงสมดั่งใจ แต่กลับเดินไปบนหนทางแห่งผู้วายชนม์


 


 


“ได้ฤกษ์แล้ว”


 


 


หมัวมัวตะโกนขึ้นดัง เสียงประทัดดังขึ้น หนิงอวี้ช้อนสายตาขึ้นแล้วลุกยืนช้าๆ วันนี้นางสวมชุดมงคลทั้งตัวและไปจากที่นี่ เพียงแต่ หนทางที่นางจะไปนั้นมิใช่หนทางที่ไม่อาจรับรู้ แต่เป็นทางกลับคืนสู่บ้าน


 


 


ผ้าคลุมหน้าแดงชาดผืนใหญ่ปิดบังวิสัยทัศน์ หนิงอวี้กุมปิ่นดอกไม้ไหวในมือแน่นซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ เมื่อครู่นางอาศัยว่าเครื่องประดับนั้นมีมากมาย จึงจงใจแอบขโมยมา จะเชื่อมู่หรงเหยียนทั้งหมดไม่ได้ หนิงอวี้ก้มหน้าลง ปล่อยให้หมัวมัวจูงนางเดินออกประตูไป


 


 


ครู่เดียว มือนางก็ถูกอีกคนหนึ่งจูงไว้ มือข้างนั้นห่อหุ้มมือนางไว้อย่างอ่อนโยน บนมือมีรอยหยาบกร้านอย่างเห็นได้ชัด คงเพราะใช้กระบี่อยู่เนื่องนิจจึงเป็นเช่นนี้


 


 


ย่างทีละก้าวๆ ทั้งสองเดินผ่านพรมแดง เมื่อเดินไปถึงขั้นบันได หมัวมัวก็เตือนเสียงเบา “ระวังขั้นบันไดเพคะ”


 


 


ยังไม่ทันสิ้นเสียง มู่หรงเหยียนก็อุ้มนางขึ้นทันที


 


 


ปี้อวี้ที่อยู่ข้างๆ กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางเหลือบหางตามองก็เห็นหนิงลู่ยืนอยู่ที่ประตูกำลังพยักหน้าเบาๆ มายังตน ปี้อวี้เลิกคิ้วน้อยๆ มุมปากยกยิ้ม


 


 


ดีมาก ข้าจะดู ว่าเจ้าจะยิ้มได้ถึงเมื่อใด


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 298 ไม่ถึงกับเสียหน้า


 


 


“หนึ่งคำนับฟ้าดิน”


 


 


“หยุดก่อน! ฝ่าบาทเพคะ ปี้อวี้มีเรื่องจะกราบทูล”


 


 


หนิงอวี้มือพลันชุ่มด้วยเหงื่อ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงฝ่ามืออันใหญ่กำลังกุมมือนางอย่างอ่อนโยน


 


 


หนิงอวี้ย่นคิ้วสะบัดมือข้างนั้นออกก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น ผ้าคลุมหน้าสีแดงบังสายตา เห็นเพียงรองเท้าปักลายผีเสื้อตอมดอกไม้คู่หนึ่งเดินเข้ามา


 


 


“ปี้อวี้มีหมอจะมาขอกราบทูลเพคะ”


 


 


“ปี้อวี้ เพลานี้เป็นเวลาที่องค์รัชทายาทแต่งพระสนม อย่าทำตัวเหลวไหล”


 


 


ปี้อวี้ยิ้มน้อยๆ หนึ่งที ครั้นแล้วก็สะบัดมือ สาวใช้นางหนึ่งเดินออกมาจากมุม ด้านหลังสาวใช้มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินตามมา ใบหน้าเ**่ยวย่น เส้นผมพันเกาะรุงรัง เครื่องแบบทหารบนกายสกปรกอย่างเห็นได้ชัด


 


 


ฮ่องเต้ทรงเลิกพระขนง พลางลูบพระมัสสุแล้วมองไปยังมู่หรงเหยียน มู่หรงเหยียนใบหน้าถอดสีเล็กน้อย แล้วตะคอกตำหนิเสียงเบาว่า “เหลวไหล ใครก็ได้ พาพระชายารองออกไปที”


 


 


ปี้อวี้ถูกมู่หรงเหยียนต่อว่าต่อหน้าผู้คน สีหน้าเปลี่ยนจากขาวซีดเป็นแดง ได้ ข้าให้ท่านปู่ช่วยเหลือเสียหลายเรื่อง เพื่อออกเรือนกับเจ้าโดยไม่ใส่ใจสิ่งอื่นใด คิดไม่ถึง ว่าเจ้าจะกลับมาตำหนิข้าต่อหน้าผู้คนเพื่อนางชั่วผู้นี้


 


 


“ปี้อวี้มีเรื่องกราบทูลเพคะ”


 


 


ปี้อวี้อายจนโกรธ ใบหน้าบิดเบี้ยว ในเมื่อเช่นนี้ข้าก็จะฉีกหน้าเจ้าต่อหน้าธารกำนัล ให้ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ได้รู้ ว่าองค์รัชทายาทมากชู้เพียงใด เพื่อคนที่รักแล้วกลับกล้าสวมเขาให้ข้าอย่างไม่ลังเล


 


 


เสียงประทัดและคำพูดอวยพรเงียบลงโดยพลัน เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงต่างมองหน้ากันไปมา มู่หรงเหยียนสีหน้าเขียวปัด คุกเข่าลงกับพื้น


 


 


“เสด็จพ่อ ขอทรงอภัยที่ดูแลเรื่องภายในตำหนักไม่ดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ทั้งห้องเงียบงัน ฮ่องเต้ทรงสรวลขึ้นมาทันใด เขาชำเลืองขึ้นมองสายตาผู้คนปราดหนึ่งแล้วพูดขึ้นเสียงดังว่า “แค่เรื่องน้อยนิดในครอบครัวของข้าเท่านั้น”


 


 


“ในเมื่อเช่นนั้น กระหม่อมก็ขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ข้าขอลาก่อนเช่นกัน”


 


 


“กระหม่อมร่างกายอ่อนแอ ขอตัวก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เพียงชั่วครู่เดียว ในห้องที่แออัดในตอนแรกก็โล่งขึ้นมา หนิงอวี้ยื่นมือขึ้นเปิดผ้าคลุมหน้า เมื่อหันหลังกลับก็พบพลทหารสภาพสะบักสะบอมนายหนึ่ง ดูคุ้นตานางยิ่งนัก


 


 


นายทหารผู้นั้นเห็นนางหันกลับ ก็ล้มตัวคุกเข่ากับพื้นเสียงดัง โครม หนึ่งที


 


 


“ผู้น้อยคารวะท่านนายพลหนิงขอรับ”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้า ผ้าไหมต่วนหรูหราบนศีรษะร่วงสู่พื้น มู่หรงเหยียนสีหน้าไม่พอใจ หมุนตัวกลับไปมองยังนางปราดหนึ่ง


 


 


“เสด็จพ่อ ลูกคิดว่า แค่ลากขอทานจากที่ไหนก็ได้มาแต่งตัวเป็นทหาร คำพูดคนผู้นี้เชื่อถือมิได้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“คนผู้นี้คือเชลยศึกที่ท่านตาจับกุมมา เขาบอกว่าหนิงอวี้ตั้งครรภ์ตั้งแต่ก่อนรบแพ้แล้ว” ปี้อวี้คุกเข่าลงกับพื้น ชายกระโปรงสีเขียวกางออกราวกับดอกไม้เบ่งบาน “องค์รัชทายาทรักใคร่ผูกพัน จนยอมรับสายเลือดราชวงศ์ใต้เป็นพระโอรสอย่างไม่ลังเล ปี้อวี้รู้สึกชื่นชมและประทับใจนักแลเพคะ”


 


 


ฮ่องเต้ทรงลูบพระมัสสุสีพระพักตร์วุ่นวาย แนวหน้ารายงานด่วนมาว่า เว่ยหยวนบุกรุกรานไม่หยุด หากส่งหนิงอวี้กลับไป แล้วบังคับให้เขายอมสวามิภักดิ์ได้ ก็นับว่าไม่เลว


 


 


พระองค์ทรงเคยวางแผนเช่นนี้มาก่อน แต่สุดด้วยในครรภ์หนิงอวี้มีพระโอรส ทั้งยังได้รับความรักจากเหยียนเอ๋อร์ หากปี้อวี้มิได้กล่าวเท็จ ทั้งยังมีผู้อื่นมายืนยันได้ ก็นับว่าเรื่องดีเรื่องหนึ่ง


 


 


“ปากเสียพูดจาใส่ร้าย” มู่หรงเหยียนโค้งคำนับ “เสด็จพ่อ หมัวมัวบอกแล้วว่าหนิงอวี้อายุครรภ์ยังไม่ถึงสองเดือน สำหรับเรื่องพลทหาร ลูกจะออกไปยังสนามรบด้วยตนเอง เพื่อหาตัวมายืนยันเองพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หนิงอวี้ยืนอยู่กลางคนทั้งสองที่คุกเข่าลง ฟังทั้งสองโต้เถียงกันด้วยสีหน้านิ่งเฉย หากไม่เกิดเรื่องครั้งนี้ นางคงกำลังรออยู่ยังห้องหออย่างร้อนใจแล้ว


 


 


“แม่ทัพหนิง เจ้าจะว่าเช่นใด”


 


 


มุมปากหนิงอวี้ยกยิ้มอย่างฝืนๆ แล้วพูดออกมาเสียงเบาว่า “ลูก เป็นของเว่ยหยวน”


 


 


ยังไม่สิ้นคำ นางก็ล้วงปิ่นดอกไม้ไหวด้ามนั้นออกจากแขนเสื้อแล้วแทงไปยังเขา มู่หรงเหยียนลุกขึ้นยืน แล้วใช้มือข้างหนึ่งขวางลำตัวด้านหน้าของหนิงอวี้ มืออีกข้างคว้าแขนนางเอาไว้


 


 


ปิ่นดอกไม้ไหวแทงทะลุเนื้อ กลางฝ่ามือมู่หรงเหยียนมีเลือดไหลซึมออกมา หนิงอวี้นิ่งอึ้ง แต่นางกลับเห็นมู่หรงเหยียนยิ้มขึ้นอย่างจนใจ นางคลายมือออกแล้วก้าวถอยสองสามก้าว เสียงปิ่นดอกไม้ไหวร่วงกระทบพื้นถูกกลบด้วยเสียงร้องด้วยความโกรธ


 


 


“จับนางไว้!”


 


 


“ชุดมงคลนี้คือชุดที่เหล่าช่างทอรีบทำหามรุ่งหามค่ำ ปักดิ้นเงินดิ้นทอง เลี่ยมด้วยไข่มุกแผ่นหยก หากสวมในวันแต่งงาน ก็ไม่นับว่าเป็นการทำให้ราชวงศ์เหนือต้องเสียหน้าหรอก”



ตอนที่ 299 ถูกกักบริเวณ


 


 


บนผนังห้องเต็มไปด้วยใยแมงมุม หนิงอวี้ก้มหน้าเห็นเพียงหนูวิ่งกันขวักไขว่ โต๊ะเป็นลายพร้อย บนนั้นมีเพียงน้ำเย็นๆ เพียงจอกเดียว


 


 


หนิงอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่สั่นโยกเยกไม่มั่นคง มองเลือดสดบนฝ่ามืออยู่เงียบๆ มันคือเลือดของมู่หรงเหยียน


 


 


นั่งเหม่ออยู่ครู่ใหญ่ ท้องฟ้าดำสลัว หนิงอวี้ลุกขึ้นยืน เท้าทั้งคู่ชาจนไม่อาจเดินตัวตรง หนิงอวี้ยื่นมือไปค้ำผนังที่ขรุขระเป็นหลุมเว้าสลับนูน เดินไปยังนอกห้องช้าๆ


 


 


ท่ามกลางความเงียบสงัดกลางพงหญ้ารกชัฏ หนิงอวี้จู่ๆ เกิดรู้สึกขบขันขึ้นมา ชะตากรรมเดียวกัน นางเองก็ถูกขังไว้ในวังเช่นเดียวกับมารดาในตอนนั้น โศกนาฏกรรมซ้ำรอยรุ่นก่อน กลายเป็นเพียงสินค้า เขียนราคาแปะป้ายขาย


 


 


มุมหนึ่งของเรือนตำหนักมีบึงน้ำเล็กๆ น้ำตื้นไม่เกินตาตุ่ม หนิงอวี้ย่อเข่านั่งลงทำความสะอาดคราบเลือดบนมืออย่างเบามือ ทำไมกัน ทำร้ายนางแล้ว กลับยังปกป้องนางอีก


 


 


คนที่ทำลายอดีตคือเขาแท้ๆ สุดท้ายคนที่คิดตามเก็บเศษเสี้ยวมาปะติดปะต่อใหม่กลับเป็นเขา บนท้องฟ้าปรากฏดวงดาวเป็นจุดเล็กๆ ดูเหมือนว่านาง ไม่เคยมองมู่หรงเหยียนออกเลย


 


 


รอบด้านไร้ผู้คน หนิงอวี้ยื่นมือไปเก็บหญ้าแห้งมาปูรองบนพื้น นางเอนกายลงบนกองหญ้าแห้งมองไปยังดวงดาว เว่ยหยวนอยู่ที่ใด ตอนนี้เขาคงกำลังสะสางงานราชการ ที่นั่นจะมีดวงดาวทั่วท้องฟ้าหรือไม่


 


 


นางไม่อยากเป็นภาระให้กับเขา เกิดเรื่องราวมากมาย นางก็ยังดึงเขามาลำบากอยู่ดี หนิงอวี้ยกมือขึ้นกุมท้องน้อยๆ รู้สึกว่านูนขึ้นเล็กน้อย ตอนแรกนางคิดจะหนีให้พ้นจากวังวนนี้ ต่อมาตัดสินใจที่จะควบคุมมัน จนถึงตอนนี้นางหลงทางอยู่กลางวังวนนี้เสียแล้ว


 


 


หากตายไป ตายอยู่กลางสนามรบ นางก็จะไม่รู้ว่าความจริงที่อยู่เบื้องหลังนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน หรือว่าโชคดีกันนะ หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้วรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น


 


 


บางทีเพื่อห้ามไม่ให้นางฆ่าตัวตาย ทุกสิ่งที่ไม่จำเป็นในตำหนักจึงถูกเก็บกวาดจนเกลี้ยง กำแพง เสาล้วนแต่ติดด้วยกระดาษหลากหลายชนิดจนทั่ว


 


 


หนิงอวี้ลุกขึ้นยืน ค่อยๆ ก้าวทีละก้าวกลับตำหนักนอน นางเอนกายกลับลงบนเตียงเก่าผุๆ หลังนั้น เพียงตะแคงตัวเล็กน้อย ก็เกิดเสียงดังขึ้นเอียดอาด หนิงอวี้โอบกอดตัวเองแล้วผล็อยหลับไป


 


 


——


 


 


รุ่งเช้า ประตูถูกเตะเปิด หนิงอวี้สะดุ้งตื่นทันที นางลุกขึ้นนั่งมองผู้มาเยือน ฮ่องเต้ในฉลองพระองค์มังกร ดูหรูหรายิ่งนัก พระองค์ทรงลูบพระมัสสุ สีพระพักตร์ดูยินดี “เว่ยหยวนตอบรับข้อแลกเปลี่ยนตัวเจ้าแล้ว”


 


 


“สิ่งตอบแทนเล่า”


 


 


“คืนดินแดนทั้งหมดที่ยึดได้ พร้อมยกเมืองห้าแห่งของราชวงศ์ใต้ให้”


 


 


หนิงอวี้ขบฟัน สีหน้าไม่พอใจ ฮ่องเต้ทรงเลิกพระขนง สะบัดพระหัตถ์ หมัวมัวจำนวนนับไม่ถ้วนก็เข้ามาล้อมตัวนางไว้


 


 


“สองสามวันนี้ เจ้าก็พักที่นี่ให้สบายใจเถิด รอได้ฤกษ์ดีๆ ให้เจ้าแต่งองค์ทรงเครื่องเตรียมออกเรือน ทำภารกิจที่แม่เจ้าทำค้างไว้ให้สำเร็จ”


 


 


หนิงอวี้เผยความดุดันออกมา นางลุกขึ้นโผไปยังเขาแต่ถูกหมัวมัวสองสามนางรัดตัวไว้แน่น ฮ่องเต้ทรงสรวลเสียงดัง แล้วหันกลับเสด็จจากไป หนิงอวี้มองแผ่นหลังของเขา แล้วนั่งลงบนเตียงไม้อย่างห่อเ**่ยว


 


 


ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ในห้องถูกทำความสะอาด แต่บนเตียงกลับเต็มไปด้วยหญ้าแห้ง หนิงอวี้ปาผ้าห่มแพรลงพื้น หมัวมัวสองสามนางไม่พูดจาได้แต่เก็บผ้าห่มนวมขึ้นมาเก็บเข้าที่


 


 


เมืองห้าแห่ง เว่ยหยวนคงตอบรับท่ามกลางแรงกดดันจากผู้คน หนิงอวี้เอนกายนอนเหม่ออยู่บนเตียง หากการแลกเปลี่ยนครั้งนี้สำเร็จ เว่ยหยวนคงเสียความรักจากไพร่ฟ้าประชาชน ไม่สิ บางทีวินาทีที่เขาตอบรับก็สูญเสียมันไปแล้ว


 


 


นางเคยเห็น ท่าทางเขาตอนตรวจงานราชการจนดึกดื่น นางเคยเห็น ท่าทางของเขาที่กำลังก้มศีรษะให้คนผู้นั้นอย่างจำใจ เส้นทางที่เขาผ่านมานั้น ต้องฟังคำพูดดูถูกไม่น้อย ถูกหยามหมิ่นมามากเหลือเกิน


 


 


เขาย่ำไปทีละก้าวบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม จนในที่สุดได้นั่งตำแหน่งฮ่องเต้ แล้วนางจะเป็นภาระให้เขาได้อย่างไรกัน


 


 


หนิงอวี้หลับตาทั้งคู่ลง ริมฝีปากซีดขาว ทั้งวันข้าวเม็ดเดียวก็ยังไม่ตกถึงท้อง น้ำหยดเดียวก็ไม่ได้แตะ จนร่างกายนางอ่อนแอลงอย่างมาก หนิงอวี้ลูบไปบนท้องน้อยๆ น้ำตาเอ่อรื้นออกหางตา


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 300 ดูนั่น หนิงอวี้ในชุดเต็มยศแต่มีค่าแค่เพียงสองเหมา[1]


 


 


องค์หญิง ท่านรับอาหารหน่อยเถอะเพคะ”


 


 


หนิงอวี้หันกายเข้าหากำแพง หลับตาทั้งคู่ลง ริมฝีปากแห้งผากอย่างรุนแรง ท้องเองก็ว่างเปล่า


 


 


“นี่จะเอาอย่างไรดี หากท่านเกิดหิวตาย ฮ่องเต้ต้องลงพระอาญาแน่”


 


 


“ไม่ต้องกังวล แต่ไหนแต่ไรก็เป็นผู้ที่ถูกส่งไปแต่งงาน ขอเพียงไม่อดตาย จะทรมานอย่างไรก็แล้วแต่”


 


 


สาวใช้ที่หน้านิ่วคิ้วขมวดได้ยินประโยคนี้ แววตาก็เกิดประกายขึ้นมา “กูกูหมายความว่าอะไรหรือ”


 


 


หมัวมัวร่างใหญ่เทอะทะยิ้มย่องอย่างถือดียื่นมือออกมาถลกแขนเสื้อ แล้วพูด “เจ้าจงดูให้ดี”


 


 


นางยื่นมือออกไปตรึงแขนทั้งสองของหนิงอวี้ไว้ หนิงอวี้ขมวดคิ้วแล้วกลิ้งตัวเข้าไปด้านในของเตียง หมัวมัวรู้สึกเสียหน้า นางขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีแล้วตะคอกออกมาว่า “ได้ ดูสิว่าข้าจะจับเจ้าได้หรือไม่!”


 


 


ทันทีที่สิ้นคำ นางก็ยกเท้าเหยียบริมขอบเตียง ยื่นมือไปคว้าหนิงอวี้ หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว ยื่นมือออกมาปัดป้องแต่กลับถูกคว้าไว้ได้อย่างง่ายดาย


 


 


อาหารสักมื้อนางก็ไม่ได้แตะ ร่างกายอ่อนร้าโรยแรงมาแต่แรกแล้ว หมัวมัวทำงานในวัง ออกแรงจนเคยชิน น้ำแรงย่อมแข็งแรงกว่าสตรีทั่วไป ทันทีที่มือคนทั้งสองเกี่ยวรัดกัน หนิงอวี้ก็ถูกจับเอาไว้แน่นถนัด ไม่มีเรี่ยวแรงจะขัดขืนแม้แต่น้อย


 


 


“เอาถ้วยมา!”


 


 


หมัวมัวใบหน้าประดับยิ้มอย่างสะใจ มัจจุราชหยกอะไรกันเล่า ดูไปแล้ว นางเองก็สามารถออกรบพิชิตศึกทั่วสารทิศได้เช่นกัน


 


 


สาวใช้ที่ยืนดูด้วยความตกใจกลัวนั้นรีบยื่นถ้วยเข้าไป หมัวมัวตรึงแขนหนิงอวี้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างยกถ้วย หนิงอวี้มือทั้งคู่พยายามรวบรวมกำลังอย่างเจ็บปวด ยกเท้าขึ้นถีบไปยังหมัวมัว


 


 


“ไอหยา!”


 


 


หมัวมัวร้องเสียงหลงหนึ่งที ใบหน้าที่กระหยิ่มยิ้มยิ่งกลับกลายเป็นดุดัน นางยื่นมือออกไป คว้าหนิงอวี้เอาไว้อย่างแรง นางดึงอยู่สองสามทีเพื่อเอาสายรัดผมบนศีรษะออกมาแล้วมัดมือหนิงอวี้เอาไว้จนแน่น


 


 


หนิงอวี้ดิ้นรนแต่ก็มิอาจดิ้นหลุด เมื่อครู่หมัวมัวลงมืออย่างแรง ข้อมือนางจึงบวมแดงขึ้นมา เพียงออกแรงเบาๆ ก็เสียดสีกับสายรัดผมจนเจ็บปวดอย่างรุนแรง


 


 


หมัวมัวยกถ้วยข้าวต้มเดินเข้ามา หนิงอวี้ขบลงบนริมฝีปาก ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาแม้แต่น้อย กรามถูกคว้าจนแน่น น้ำข้าวต้มถูกกรอกลงไป หนิงอวี้สำลักไอออกมาไม่หยุด สำลักจนแดงก่ำทั้งใบหน้า


 


 


หมัวมัวกลับยื่นมือขึ้นมาคว้าปากนางเอาไว้แน่น มือหนึ่งคว้าคาง อีกข้างก็ง้างปากนางออก หนิงอวี้รู้สึกแสบที่คออย่างมาก น้ำตาไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ครู่หนึ่ง น้ำข้าวต้มก็ถูกบังคับให้กลืนลงไป


 


 


สามวันให้หลัง หนิงอวี้สวมชุดมงคลตัวนั้นอีกครั้ง มือทั้งคู่ที่ถูกซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้ออันกว้าง ถูกมัดด้วยเชือกป่านแช่น้ำมัน


 


 


ข้อมือเจ็บปวดเกินทน เมื่อเช้าตรู่ตอนที่เปลี่ยนเชือกเส้นใหม่ นางได้ก้มมองดูข้อมือ เห็นว่ายังคงบวมแดงนูนออกมา หนิงอวี้ลองขยับหมุนข้อมือ ท่ามกลางความรู้สึกชานั้นมีความรู้สึกเจ็บปวดแฝงอยู่


 


 


“วันนี้…องค์หญิงอวี้ เพียบพร้อมทั้งกิริยาความสามารถ รูปโฉมงามงด รับบัญชาสวรรค์ อภิเษกกับจักรพรรดิเว่ยแห่งราชวงศ์ใต้…”


 


 


เสียงเล็กแหลมพูดขึ้นเสียงดัง หนิงอวี้ฟังด้วยสีหน้านิ่งเฉย มือทั้งคู่ยังคงบิดไปมาไม่หยุด


 


 


ท่ามกลางฝูงชน ผู้คนกำลังกระซิบกระซาบกัน หนิงอวี้ได้ยินเสียงกระซิบเหล่านั้น ก็มุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาอันร้อนผ่าว หนิงอวี้ช้อนสายตาขึ้นมอง ก็เห็นว่าบนแท่นสูงนั้นคือมู่หรงเหยียน


 


 


เขาเม้มปากขมวดคิ้ว มือซ้ายถูกพันด้วยผ้าขาวเป็นก้อนจนแน่น ดูราวกับลูกบ๊ะจ่าง คงไม่พบกันอีกแล้ว หนิงอวี้หันกลับเดินลงบันไดไป ชายกระโปรงสีแดงสดแผ่ออกราวดอกไม้ผลิบาน ดิ้นเงินดิ้นทองปักลายเป็นเค้าโครงผีเสื้อคู่หนึ่ง


 


 


มู่หรงเหยียนกำหมัดแน่น ทันใดนั้นก็คิดจะพุ่งเข้าไปพาตัวนางไปโดยไม่สนใจสิ่งใด แต่ เขาไม่อาจทำได้ มู่หรงเหยียนสีหน้าบึ้งตึง สะบัดชายเสื้อแล้วเดินจากไป ปี้อวี้ที่อยู่ด้านข้างแค่นเสียงเยาะหนึ่งทีแล้วยกมือขึ้นลูบคิ้ว มองนางเดินลงบันไดด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน


 


 


ลมพัดปอยผมข้างใบหูนาง พัดต้องเครื่องทองระย้าบนมงกุฎหงส์ เครื่องประดับต่างกระทบกัน ส่งเสียงกังวานใส หนิงอวี้ก้มหน้า คราบเลือดบนแขนเสื้อยังไม่ถูกซักออกจับตัวแข็งเป็นสีดำคล้ำ


 


 


 


 


——


 


 


[1] เหมา หน่วยค่าเงินสกุลจีน ปัจจุบันหนึ่งหยวนจะเท่ากับสิบเหมา



ตอนที่ 301 แก้แค้น


 


 


รถม้าวิ่งโคลงเคลง หนิงอวี้หลับตาทั้งคู่ลงอย่างงัวเงีย นางเอนกายพิงตัวรถม้าแล้วหลับไป ขนตานางสั่นระริก ริมฝีปากซีดขาว สองแก้มแดงปลั่ง


 


 


หมัวมัวคิดได้ว่านางไม่ได้ดื่มน้ำมาครึ่งวันแล้วก็เรียกรถม้าให้หยุด เมื่อแหวกม่านขึ้นก็เห็นนางพิงกับตัวรถม้าสลบอยู่ แก้มทั้งสองแดงปลั่งด้วยฤทธิ์ไข้ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หมัวมัวยื่นมือไปตรวจอุณหภูมิบนหน้าผากนาง ร้อนไปทั้งแถบ


 


 


“รีบไปตามหมอมา!”


 


 


หมัวมัวตะโกนเสียงดังหนึ่งทีแล้วยื่นมือไปเลิกแขนเสื้อนางขึ้น เห็นข้อมือนางบวมแดงอย่างที่คิด ข้อมือส่วนใหญ่บวมจนนูนออกมา ส่วนที่ถูกเชือกฟั่นมัดเอาไว้เป็นรอยบุ๋มช้ำเลือด


 


 


นางรู้ดีว่าตนก่อเรื่องเข้าแล้ว จึงรีบแก้เชือกนั้นออกอย่างลนลานแล้วนวดคลึงข้อมือนางเบาๆ


 


 


ครั้นหนิงอวี้ตื่นจากภวังค์ก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยดวงหนึ่ง คิ้วดกเครายาว นั่นคือหมอที่ตำหนักกลางเขาผู้นั้น นางเหลียวมองก็เห็นสาวใช้ประจำตำหนักกลางเขาด้วย


 


 


“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”


 


 


ท่านหมอโค้งคำนับ รถม้าวิ่งโคลงเคลงจนเขาเซไปหนึ่งที เขารีบยกมือขึ้นค้ำผนังรถอย่างร้อนรน


 


 


หนิงอวี้ฝืนปั้นหน้ายิ้ม ฟ้าดินไม่ทอดทิ้งคน ข้อมือหนิงอวี้ปวดบวม หนิงอวี้คิ้วขมวดก้มหน้าก็เห็นว่าอาการเลวร้ายจนแทบไม่อยากมอง ขี้ผึ้งยาสีเขียวทาลงรอยแผลบวมแดง ยิ่งทำให้ข้อมือดูบวมจนน่ากลัว


 


 


“องค์หญิง บ่าวมาช้าไป แต่ได้สั่งลงโทษคนผู้นั้นแล้วเพคะ”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้าอย่างอ่อนแรง สาวใช้ค้อมกายคำนับแล้วยกมือขึ้นปรบเบาๆ รถม้าก็หยุดลง คนผู้หนึ่งถูกผลักเข้ามาบนรถ


 


 


อาจเป็นเพราะเพื่อสำแดงความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์เหนือ รถม้าจึงใหญ่โตหรูหรา มีสี่คนบนรถ กลับไม่รู้สึกเบียดเสียดแม้แต่นิด


 


 


“องค์หญิง โปรดอภัยบ่าวด้วย บ่าวทำเพราะหวังดีต่อท่าน ท่านไม่กินไม่ดื่ม บ่าวจนปัญญาจริงๆ เพคะ”


 


 


หมัวมัวถูกมัดรอบตัว ขยับกายบนรถม้าอย่างลำบาก “แม่นางอวี้หนู ขอร้องท่านนะ อภัยบ่าวด้วย”


 


 


หนิงอวี้เห็นนางน้ำตานองหน้าก็ยกมือขึ้นช้าๆ พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “นี่ก็คือความหวังดีของเจ้าหรือ”


 


 


“บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวผิดไปแล้ว ขอองค์หญิงโปรดอภัยด้วยเถิด”


 


 


หมัวมัวโขกหัวไม่หยุด จนหน้าผากบวมแดงไปทั้งแถบ


 


 


หนิงอวี้พยักหน้า แววตาหมัวมัวเป็นประกายปลาบหนึ่ง แต่ก็ถูกประโยคที่ตามมาทำให้ตกตะลึงจนหน้าซีด


 


 


“จับนางมัด มัดเอาไว้สามวันสามคืน”


 


 


หนิงอวี้ยกมุมปากยิ้ม รอยยิ้มดูอ่อนแรงอย่างที่สุด


 


 


“เจ้ามัดข้าสามวันสี่คืน ข้าตอบแทนเจ้าสามวันสามคืน เจ้าได้กำไรเลยนะ อวี้หนู ลงมือ!”


 


 


อวี้หนูพยักหน้า มือข้างหนึ่งคว้าหมัวมัวที่กำลังร้องไห้โอดครวญ มือข้างหนึ่งเลิกม่านขึ้น เสียงร่ำไห้ค่อยๆ ห่างออกไป หนิงอวี้พูดขึ้นเสียงเบาว่า “พาข้าไปจากที่นี่ได้หรือไม่”


 


 


ท่านหมอพยักหน้า แสร้งเป็นตรวจรอยแผลจึงเดินเข้าไปสองสามก้าวแล้วคุกเข่าลงกับพื้นเบื้องหน้านาง


 


 


“ข้าจะคิดหาวิธีพาท่านไป พรุ่งนี้เมื่อผ่านหุบเขา ให้ท่านแสร้งเป็นปวดท้อง เรียกให้ข้ามาหา”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้าแล้วยื่นมือไปหยิบห่อเข็มฝังบนโต๊ะด้านข้างมาอย่างลำบาก นางดึงเข็มเงินเล่มที่ใหญ่ที่สุดออกมาซ่อนไว้ในแขนเสื้อ


 


 


หนิงอวี้รู้ดีว่าการกระทำครั้งนี้อาจหาญเกินไป นางหัวเราะออกมาอย่างเข้าใจแล้วถามเสียงเบาว่า “เว่ยหยวนช่วงนี้ยังอยู่ดีหรือไม่”


 


 


หมอนิ่งอึ้ง อึดใจเดียวก็ก้มหน้าตอบว่า “…ฝ่าบาททรงสบายดี เพียงแต่…”


 


 


ยังไม่ทันจบความ รถม้าก็หยุดลงทันใด คงเพราะอวี้หนูขึ้นรถม้า


 


 


ท่านหมอลนลาน ยื่นมือไปเก็บข้าวของจัดเก็บทีละชิ้นลงถุงผ้าป่าน เขาโค้งตัวคำนับเล็กน้อยแล้วแหวกม่านขึ้นเดินออกไป


 


 


หนิงอวี้กุมเข็มเงินในมือแน่นแล้วค่อยๆ จิบชิมรสน้ำเย็นนั้น มีบางอย่างผิดปกติ เว่ยหยวนจะสบายดีอยู่ได้อย่างไร นางหายตัวไป แกล้งตาย แต่งงานกับมู่หรงเหยียน จากนิสัยของเขา คงต้องโกรธจนคลุ้มคลั่งเป็นแน่


 


 


หากไม่ใช่ว่าโกรธจนคลุ้มคลั่ง แล้วไยจะดึงดันบุกตีราชวงศ์เหนือ คุกคามไม่หยุดเช่นนี้ หากมิใช่เพราะคิดถึงนางจนเสียสติ แล้วไยจึงเสี่ยงโดนผู้คนทั่วหล้าครหาด่าทอโดยการออกทัพ ซ้ำยังตอบรับเงื่อนไขอันโหดร้ายนี้ได้อย่างไร


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 302 ท่านหมอก็มิใช่คนดี


 


 


“องค์หญิง ขอท่านวางใจ สองสามวันนี้อวี้หนูจะคอยคุ้มครองท่าน ไม่ยอมให้ท่านต้องได้รับบาดเจ็บแน่นอน”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้า นางยื่นมือไปแหวกผ้าแพรบางข้างหน้าต่างขึ้น เห็นภายนอกมีหญ้าขึ้นเขียวชอุ่มทอดยาว


 


 


มือเริ่มหายบวม แต่รอยช้ำเป็นทางยาวยังเหลืออยู่ คงไม่สามารถใช้แรงได้ชั่วขณะหนึ่ง หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว หากเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงเวลาต้องหนีคงยากที่จะป้องกันตัวได้


 


 


 “องค์รัชทายาท ได้สั่งบ่าวไว้ให้บอกท่านว่า แผ่นดินกว้างใหญ่ ต้องระวังให้จงดี” อวี้หนูคุกเข่าลงกับพื้น แล้วล้วงตลับไม้งามประณีตตลับหนึ่งออกมา “แล้วยังมีสิ่งนี้”


 


 


หนิงอวี้ยื่นมือออกไป ตลับไม้หนักราวกับนับพันชั่ง หนิงอวี้ยิ้มเจื่อน นางเลือกเข็มเงินนั้นถูกแล้ว สภาพของนางตอนนี้ ยากที่จะหยิบอาวุธใดขึ้นได้อีก


 


 


อวี้หนูพยักหน้า ยอบกายคำนับแล้วถอย นางแหวกม่านขึ้นแล้วจากไป ในรถม้าเหลือเพียงนางผู้เดียว สีหน้าระวังบนหน้าหนิงอวี้ลดลงคลายลงเล็กน้อย นางก้มหน้าลงเปิดตลับไม้อย่างระวังมือ


 


 


ตลับไม้นี้ทำจากไม้กฤษณา กลิ่นหอมอบอวลไปทั้งตลับ ด้านบนมีพลอยแดงและหยกเขียว ฝังอยู่ในดวงตาพญาหงส์และบนศีรษะ


 


 


เสียงดังขึ้นหนึ่งที ตลับไม้ถูกเปิดออก มีหยกสีขาวบริสุทธิ์อยู่หนึ่งชิ้น ด้านล่างรองด้วยผ้าต่วนสีแดงเข้ม หนิงอวี้ปิดฝาตลับแล้ววางไว้ด้านข้าง


 


 


รถม้าวิ่งโคลงเคลง หนิงอวี้แหวกม่านขึ้นก็เห็นว่าเข้ามายังหุบเขาแล้ว รถม้าวิ่งอยู่กลางทาง ด้านข้างคือพุ่มไม้เตี้ยๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นหน้าผาที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่


 


 


“อวี้หนู ข้าปวด” หนิงอวี้สีหน้านิ่งเฉย ยื่นมือไปกุมท้องน้อย วินาทีถัดมา ม่านรถก็ถูกแหวกขึ้น หนิงอวี้ขมวดคิ้วทำทีเป็นเจ็บปวด


 


 


อวี้หนูก้มตัวเดินเข้าในรถม้าแล้วถามขึ้นเสียงเบา “ปวดท้องหรือเพคะ” หนิงอวี้พยักหน้า ใบหน้าแดงระเรื่อ ดูราวกับเจ็บปวดทรมาน อวี้หนูแสดงสีหน้าลำบาก หันกายเดินออกรถม้าแล้วตะโกนขึ้นดัง “รีบไปเชิญท่านหมอมา”


 


 


ท่านหมอแบกถุงสัมภาระเข้ามาแล้วจัดการตรวจไข้เป็นพัลวัน หนิงอวี้พิงหลังกับตัวรถแล้วก้มหน้า ขมวดคิ้วแสร้งเป็นเจ็บปวดไปพลาง สังเกตสีหน้าท่านหมอไปพลาง ท่านหมอจับสังเกตแววตานางได้ ท่าทียิ่งลนลานยิ่งขึ้น


 


 


“มีโจรมา!”


 


 


เสียงตะโกนนอกรถม้าดังขึ้นหนึ่งเสียง อวี้หนูสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยแล้วรีบเดินออกไปโดยเร็ว ท่านหมอยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากออกแล้วนั่งลงกับพื้น


 


 


“องค์หญิง คนที่มารับมาถึงแล้ว รีบไปกับข้าเถอะ”


 


 


หนิงอวี้พยักหน้า เดินตามหลังเขาลงรถม้าไป ผู้คนภายนอกกำลังเข่นฆ่ากัน โกลาหลไปทั่ว ท่านหมอจูงแขนนางโดยมีแขนเสื้อคั่นกลาง ครั้นแล้วก็รีบเดินเข้าไปกลางพื้นที่ซึ่งต้นไม้ปกคลุมแน่นหนา


 


 


ผิดแล้ว คนเหล่านี้…ทำชั่วไม่คิดชีวิต ลงมืออย่างโหดเ**้ยม เว่ยหยวนไม่มีทางใช้คนแบบนี้เป็นอันขาด ถ้าเป็นเขาต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของนางแน่นอน


 


 


หนิงอวี้สะบัดมือท่านหมอออก นางขมวดคิ้วมองนิ่งไปยังเขาแล้วถามขึ้นเบาๆ ว่า “เจ้าเป็นคนของใครกันแน่” เพียงแค่คำพูดหลอกถามประโยคเดียวก็ทำเอาท่านหมอถึงกับหน้าถอดสี เขาตะโกนขึ้นอย่างลนลานว่า “นางอยู่ที่นี่ รีบมาจับนางเร็ว”


 


 


หนิงอวี้ขบฟันแล้วถีบเขาล้มในครั้งเดียว นางหันกายออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่หมอพูดจบ เหล่าโจรก็วิ่งพุ่งมายังนาง พลทหารเองก็ต่างรีบตามมาเพื่อคุ้มกัน


 


 


ตอนนี้วิธีที่มั่นคงปลอดภัยที่สุด น่าจะเป็นการวิ่งกลับไปอยู่ท่ามกลางการล้อมอารักขาของกองกำลังราชวงศ์เหนือ แต่หากพวกเขากำจัดเหล่าโจรได้ นางก็จะถูกส่งตัวไปแต่งงาน กลับไปไม่ได้ หนิงอวี้ขมวดคิ้ว มือทั้งคู่กุมท้องน้อยแน่นออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว


 


 


หุบเขาแห่งนี้ ปกคลุมด้วยแมกไม้พุ่มหญ้า ภูมิประเทศสลับซับซ้อน หนิงอวี้เอียงกายหลบเข้าไปกลางพุ่มไม้ เพียงครู่เดียว เสียงฝีเท้าที่ตามมาก็ดังขึ้น เสียงต่อสู้ฆ่าฟันดังกึกก้อง


 


 


“หยุดนะ ไปตามหาองค์หญิงก่อน!”


 


 


เสียงอวี้หนูดังขึ้น หนิงอวี้เห็นเบื้องหน้ามีทางสองสาย คิดเพียงชั่วครู่ก็วิ่งไปยังทางเส้นหนึ่ง เสียงฝีเท้าที่ตามมาติดๆ นั้นหยุดลง นางมุดตัวซ่อนกลางพุ่มไม้


 


 


ยื่นมือเก็บใบไม้ที่แห้งเ**่ยวขึ้นมาปกศีรษะ หนิงอวี้หมอบลงกับพื้นกำบังตน เพียงครู่เดียว เสียงฝีเท้าผู้คนก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


 


“นางอยู่ที่ไหน วิ่งมาทางนี้แท้ๆ!”


 


 


“พวกเรารีบตามไป อย่าให้นางหนีไปได้!”


 


 


หนิงอวี้ได้ยินเสียงหัวใจตนเต้นรัว ทหารราชวงศ์เหนือวิ่งตามเข้ามาด้วยความเร็ว


 


 


“ตามพวกมันไป คุ้มครององค์หญิงให้ได้”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม