บุปผาเคียงบัลลังก์ 294-301

 ตอนที่ 294 อาจารย์ 


 


 


เซียงฉือได้ยินแล้วก็ผินหน้ากลับรู้สึกผิดหวัง แต่เพียงครู่เดียวก็หันกลับมาอีก หรงจิงเห็นดวงตานางที่กลิ้งกลอกนั้นดูเจ้าเล่ห์ ทำให้ต้องตื่นตัวขึ้น 


 


 


คลุกคลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่ง เขาจึงรู้จักเซียงฉือขึ้นอีกมาก 


 


 


เจ้าเด็กนี่ดูเหมือนทึมทื่อ แต่ความเป็นจริงกระล่อนอย่างกับอะไรดี ไม่รู้ว่าจะแผลงฤทธิ์ขึ้นมาตอนไหน แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องเสียหาย ทั้งยังร่วมมือกับเขาต่อกรกับภายนอกอีกด้วย 


 


 


หรงจิงชื่นชมและชมชอบนางมากขึ้น แต่เห็นท่าทางนางในขณะนี้แล้ว ต้องเตรียมรับมือไว้ก่อน 


 


 


แต่เซียงฉือพูดออกมาอย่างใจเย็น 


 


 


“ฝ่าบาททรงจำได้ย่อมดีที่สุดแล้วเพคะ เช่นนั้นแล้วฝ่าบาทโปรดทรงรับการคารวะจากหม่อมฉันด้วยเพคะ” 


 


 


เซียงฉือลุกขึ้นไปคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าหรงจิง แล้วกราบคารวะอย่างนอบน้อมสามครั้ง หรงจิงไม่เข้าใจแต่ไม่ได้ห้าม กลับเต็มไปด้วยความสนใจว่านางคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ 


 


 


“เจ้าคนนี้คิดจะวุ่นวายอะไรอีกนี่ อย่าได้คิดหวังจะได้พิณล้ำค่านี่เป็นอันขาด ข้าไม่มีวันยกให้เจ้าแน่” 


 


 


เซียงฉือยิ้มแล้วลุกขึ้นพูดว่า 


 


 


“ฝ่าบาทยังทรงจำเรื่องในวันนั้นได้แน่หรือเพคะ หรือว่ามีเหตุการณ์ใดที่ทรงหลงลืมไปแล้ว วันนั้นฝ่าบาทเสวยน้ำจัณฑ์ไปไม่น้อย แต่น่าจะทรงจำได้นะเพคะหม่อมฉันเทิดพระองค์เป็นพระประมุข เรื่องที่ตรัสจึงถือเป็นพระราชโองการเพคะ” 


 


 


“เมื่อครู่นี้หม่อมฉันทำพิธีกราบอาจารย์แล้วนะเพคะ ฝ่าบาทจะทรงสอนหม่อนฉันดีดพิณ เมื่อตรัสแล้วย่อมมิอาจคืนคำ ไม่อาจตรัสแล้วไม่ถือเป็นจริงจังได้นะเพคะ” 


 


 


เซียงฉือยังคงเก็บความคิดหวังของตนไว้ไม่ลืม ส่วนหรงจิงก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอย่างไร เขายื่นนิ้วออกไปนิ้วหนึ่งแล้วจิ้มแรงๆ ไปบนหน้าผากเซียงฉือ พูดว่า 


 


 


“เจ้าเด็กผีนี่ ที่แท้ก็อยากจะเรียนพิณนี่เอง เรื่องนี้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าข้าต้องดื่มให้เมาก่อนจึงจะดีดพิณได้ ต้องแบบนั้นถึงจะได้ดีเลิศตามแบบฉบับครูอาจารย์รุ่นก่อน” 


 


 


หรงจิงไม่ได้ปฏิเสธ เซียงฉือเห็นเขาตอบรับแล้วก็ดีใจ พิณนี้ยากที่จะได้พบเห็น นางมีวาสนาได้มาเห็นอีกทั้งกำลังจะมีโอกาสได้รับฟัง จึงได้ดีใจเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


เพราะมัวแต่ดีใจ จึงไม่ได้เห็นว่าตอนนี้หรงจิงได้คลายปลดเสื้อผ้าออก 


 


 


คงเหลือเพียงชุดบางด้านในและยืนหันหลังให้เซียงฉือ 


 


 


เซียงฉือเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเขาปลดเครื่องแต่งกายบนร่าง ใบหน้าจึงแดงเรื่อขึ้น ไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรจึงอุทานอย่างหวั่นเกรงขึ้นเบาๆ รีบหันกายกลับไป 


 


 


หรงจิงถึงจะหันหลังให้นางแต่ได้ยินเสียงอุทานของนาง ถึงเสียงจะไม่ดัง แต่ก็เพียงพอสำหรับความสามารถในการได้ยินที่สูงล้ำเกินใครของหรงจิง 


 


 


เขาหัวเราะเบาๆ พูดว่า 


 


 


“เจ้าเด็กต๊อง ที่นี่คือหอทิงเฟิง สถานที่ดีสุดยอด บริเวณนี้มีน้ำแร่ร้อนอยู่ตาหนึ่ง อุ่นร้อนคงที่ดุจหยก เสียงลมครวญเสนาะหู เสียงฝนดังซู่ๆ ทั้งยังกรุ่นความหอมเย็นสบาย ดอกท้อปลิวไสวเป็นภาพที่งดงามที่สุด หากได้แช่น้ำแร่ที่นี่สักครั้ง ก็จะรู้ว่าแดนสวรรค์บนโลกมนุษย์เป็นเช่นนี้เอง” 


 


 


หรงจิงหมุนกายกลับมา เห็นเซียงฉืออายหน้าแดงหมุนตัวกลับไปก็ไม่โกรธ พูดจบแล้วก็เดินออกไปเพียงลำพัง 


 


 


เซียงฉือได้ยินเสียงเขาออกไปแล้วจึงได้หันหน้ากลับมา มองลอดง่ามนิ้วเห็นหรงจิงหายไปจากที่เดิมแล้ว 


 


 


นางถอนหายใจอย่างแรงนั่งยองอยู่กับที่ ร่างกายราวถูกสูบน้ำออกไปจนแห้ง กอดเข่าทั้งคู่ไว้แล้วขมวดคิ้วแน่น 


 


 


ฝ่าบาททำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าจะให้นางถวายงานบรรทม แต่หากเป็นเช่นนี้เหตุใดต้องพานางมาที่นี่เพื่อแช่น้ำแร่ด้วย ชายหนุ่มหญิงสาวอยู่ในห้องเดียวกันนี้ไม่ถูกระเบียบเอาเสียเลย 


 


 


นางนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ฟังเสียงร้องคลอเบาๆ อย่างสบายใจของหรงจิงหลังฉากบังลม ในใจเหมือนดั่งมีมดเป็นหมื่นกำลังไต่ไปมา นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่ากลัวกว่าที่นางคาดคิดไว้เสียอีก 


 


 


แต่ว่าเรื่องจะเป็นไปอย่างที่นางคาดคิดจริงหรือ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 295 สระน้ำพุร้อน 


 


 


หรงจิงแช่อยู่ในสระน้ำโดยไม่รู้สึกแปลก เขาเคยท่องเที่ยวทางแดนเหนือซึ่งเป็นสถานที่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำแร่ร้อน เขาไปอาบน้ำแร่ที่นั่นจึงได้รู้ว่าเป็นบ่ออาบน้ำรวมชายหญิง 


 


 


ผู้ชายและผู้หญิงต่างมองกันไปมา พวกเขาอาบน้ำแร่โดยสวมเสื้อผ้าสำหรับอาบเหมือนหรงจิงในตอนนี้ การมาเรียกเหงื่อที่นี่ทำให้รู้สึกสบายตัว 


 


 


เขาพบตาน้ำแร่แห่งหนึ่งในสถานที่นี้ จึงได้สร้างเลียนแบบห้องอาบน้ำแร่เหมือนกับทางแดนเหนือขึ้นที่นี่ 


 


 


เขาเลียนแบบมาแต่มีการดัดแปลง บนตาน้ำแห่งเดียวสร้างเป็นสระอาบน้ำที่มีขนาดไล่เลี่ยกันสองสระ หรงจิงชอบใช้สระหยกขาวที่มีขนาดใหญ่กว่า ส่วนสระหยกมรกตด้านข้างที่เล็กกว่าเขาสร้างไว้เผื่อฮองเฮาของเขา 


 


 


แต่จนถึงบัดนี้เขาก็ยังไม่ได้สถาปนาฮองเฮา สระนี้จึงยังว่างอยู่ หลายวันนี้เขาเห็นเซียงฉือมีสีหน้าเหนื่อยล้าจึงพานางมาที่นี่ แต่ไม่คิดว่านางจะเข้าใจผิดเช่นนี้ 


 


 


เซียงฉือลังเลอยู่นานที่ด้านนอกจนหรงจิงทนไม่ไหว 


 


 


เมื่อเงี่ยหูฟังก็ไม่ได้ยินเสียงของนางที่ด้านนอกแม้แต่น้อย คิดว่าคงยังตะลึงอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน 


 


 


เขาคิดถึงท่าทางนางที่ถูกทำให้ตกใจแล้วมุมปากก็ขยับขึ้นและผุดความคิดชั่วร้ายพูดออกไปว่า 


 


 


“อวิ๋นเซียงฉือ เข้ามารับใช้ในนี้!” 


 


 


เซียงฉือยังคงนั่งศีรษะซุกสองเข่าอยู่กับที่ ตอนนี้ได้ยินหรงจิงเรียกนางเข้าไปรับใช้ นางตกตะลึงหน้าแดงขึ้นทันที ใบหน้าแดงราวเปลวไฟ 


 


 


นางลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า อืดๆ อาดๆ ไม่เดินเข้าไป ใจของนางตีกันอุตลุต แต่รับสั่งของฮ่องเต้ นางไม่กล้าขัดขืน แต่ไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


หรือว่าทุกสิ่งที่นางสู้อดทนยืนหยัดตลอดมาจะถูกชิงไปง่ายดายเช่นนี้ นางไม่ยินยอม แต่ว่า ฝ่าบาท… 


 


 


เซียงฉือลังเลอยู่ชั่วขณะ ดวงตาแน่วแน่ ค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัวความตาย 


 


 


แต่พอไปถึงหน้าฉากบังลมนางเกิดลังเลขึ้นอีก หมุนกายแล้วทำตัวเป็นเหมือนดั่งนกกระจอกเทศ ซุกศีรษะลงระหว่างเข่า 


 


 


กลับเป็นหรงจิงที่คร้านจะเรียกนาง คลุมผ้าแล้วเดินเข้ามา เมื่อเห็นนางนั่งยองอยู่กับพื้นราวก้อนเนื้อก้อนหนึ่งก็ไม่สนใจอะไรเข้าไปอุ้มนางขึ้น 


 


 


“ว้าย อย่าเพคะฝ่าบาท!” 


 


 


น้ำเสียงเซียงฉือเจือสะอื้น หรงจิงไม่สนใจ อุ้มนางแล้วเดินเข้าด้านใน สองมือเซียงฉืออังใบหน้าร้อนผ่าว ร่างของนางแนบอยู่กับแผ่นอกแข็งแรงของหรงจิง ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นตึกตักอยู่ด้านใน 


 


 


อวิ๋นเซียงฉือในตอนนี้ราวกำลังเข้าสู่แดนประหาร รู้สึกได้รับความอยุติธรรมอย่างยิ่ง 


 


 


น้ำแร่ร้อนเปียกชุ่มบนตัวนางในทันที นางรู้สึกแต่เพียงถูกโยนอย่างแรงราวกับลอยเคว้งอยู่ 


 


 


จากนั้นร่างก็ร่วงลงไปในสระน้ำแร่อย่างไม่อาจควบคุมได้ 


 


 


ถูกน้ำแร่ทำให้เปียกปอนไปทั้งตัว เซียงฉือรู้สึกตัวลอย น้ำข้างๆ ซึมซับเข้าไปตลอดร่างนาง ทำให้ทุกอณูเดือดพล่านขึ้น 


 


 


นางทะลึ่งยืนขึ้นในน้ำแร่ น้ำอยู่เพียงระดับเอวนางเท่านั้น แต่พอโผล่ขึ้นมาแล้วรู้สึกสบายไปทั้งตัว 


 


 


นางลืมตา ปาดน้ำบนใบหน้าทิ้ง สบเข้ากับหรงจิงที่นั่งยองมองอยู่บนฝั่ง เขาคลุมกายด้วยเสื้อตัวนอกสีฟ้าอ่อน เส้นผมสลวยเปียกปอนน้ำหยดติ๋งๆ ความรู้สึกนั้นทำให้เซียงฉือต้องกลืนน้ำลายลงคอ 


 


 


หรงจิงเพียงนั่งยองอยู่บนฝั่งจนเห็นนางผุดศีรษะโผล่ขึ้นมาจึงได้หันกายออกไปถอดเสื้อตัวนอกที่ด้านข้าง แล้วผลุบลงน้ำไปใหม่ราวกับปลาสีขาวตัวหนึ่ง ลอยอยู่ในน้ำแร่อย่างพึงพอใจ 


ตอนที่ 296 ในสระน้ำแร่


 


 


หรงจิงแช่อยู่ในสระน้ำแร่ที่อยู่ข้างกัน ด้านข้างตั้งป้านหยกขาวอยู่ป้านหนึ่ง ต่ำลงมามีจอกหยกขาวอยู่หนึ่งใบ ด้านในมีสุราสีชมพูชั้นดีรินอยู่เต็ม


 


 


เซียงฉือยังคงซุ่มอยู่ในน้ำแร่ที่มีกลีบดอกไม้ลอยอยู่เต็ม รออยู่สักพักก็ไม่เห็นหรงจิงมีปฏิกิริยาอะไร จึงรู้สึกว่าทั้งหมดนั้นตนเองคิดมากเกินไป


 


 


นางจึงแลบลิ้นหน้าแดงขึ้นมา นางเป็นผู้หญิงวันๆ เอาแต่คิดเรื่องพวกนี้ ช่างน่าอายนัก


 


 


ยังดีที่เมื่อครู่นางไม่ได้ร้องตกใจออกมาเสียงดัง มิเช่นนั้นตอนนี้หรงจิงคงต้องหัวเราะเยาะนางแน่


 


 


แล้วเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นจุดด่างพร้อยจุดใหญ่ในชีวิตราชการของนาง


 


 


เซียงฉือเห็นหรงจิงพักสายตาโดยยึดแขนข้างหนึ่งกับขอบตลิ่งดูสุขสงบ พลันนางนึกถึงคำพูดหรงจิงเมื่อครู่ จึงทำดังที่เขาว่า คอยฟังเสียงลมพัดแผ่วๆ ในที่นี้ เมื่อตั้งชื่อว่าหอทิงเฟิง[1] คิดว่าคงมีความเป็นมาที่น่าสนใจ


 


 


นางรู้ว่าหรงจิงไม่มีความประสงค์จะให้นางถวายงานบรรทมจึงวางใจ แล้วหลับตาลงฟังเสียงลมจากด้านนอก อีกทั้งไอน้ำแร่ร้อนจากในนี้ลอยขึ้นไปปะทะกับภูเขาหินด้านบนกลายเป็นหยดน้ำร่วงหล่นลงติ๋งๆ ส่งเสียงแตกต่างตามระยะห่างใกล้และความสูงของพื้นที่ ที่ด้านล่างเหมือนจะมีภาชนะรองรับอยู่ ถึงแม้หยดน้ำร่วงลงไม่อาจควบคุมได้ แต่วิธีนี้ก็เป็นไปตามกลไกธรรมชาติ ดูน่าสนใจไม่น้อย


 


 


เซียงฉือฟังด้วยความชอบใจจึงได้ฮัมเพลงขึ้นเบาๆ ตามเสียงของหยดน้ำ


 


 


หรงจิงซึ่งฟังอยู่เช่นกันจึงสะดุดเสียงฮัมเพลงของเซียงฉือเข้า แล้วลืมตาขึ้นทันใด


 


 


“เจ้าร้องเพลงอะไรอยู่หรือ”


 


 


หรงจิงได้ยินเซียงฉือฮัมเพลงเบาๆ จึงเอ่ยปากถาม เซียงฉือหรี่ตาทาบกายอิงสระอยู่ได้ยินหรงจิงจู่ๆ พูดขึ้น ก็รีบมุดลงน้ำไป


 


 


สักครู่หนึ่งจึงได้ยืนขึ้นมา หมอบอยู่ในที่เดิมตอบกลับไป


 


 


“เป็นเพลงพื้นบ้านเพลงหนึ่งของเมืองหลานโจวเพคะ ตอนหม่อมฉันยังเล็กอยู่ท่านแม่ได้ร้องกล่อมให้นอน แต่ท่วงทำนองกับเสียงน้ำหยดเมื่อครู่ฟังคล้ายคลึงกันจึงทำให้นึกขึ้นมาได้เพคะ”


 


 


เซียงฉือตอบคำถามหรงจิง ได้ฟังเพียงเสียงจึงไม่รู้ว่าเขาพอใจหรือไม่จึงถามต่อด้วยใจตุ๊มต่อม


 


 


“หม่อมฉันก่อความระคายเบื้องพระยุคลบาทกระมังเพคะ”


 


 


หรงจิงถอนสายตายกสุราที่ข้างกายขึ้น แหงนหน้าดื่มลงไปจอกหนึ่ง สุราสีชมพูค้างอยู่ในลำคอครู่หนึ่งก่อนจะลงสู่กระเพาะ


 


 


ร่างกายที่ร้อนอยู่แล้วพอดื่มสุรานี้ลงไป หรงจิงรู้สึกราวกับภายในอกและท้องมีกองไฟสุมอยู่ แผดเผาลุกโชน แต่เขากลับรู้สึกว่าแบบนี้จึงจะสะใจ


 


 


สุราดอกท้อของหรงจิงนั้นเขาเป็นผู้หมักกลั่นเอง ด้วยการนำดอกไม้ในเดือนหกบรรจุลงในไหปิดผนึกไว้สามเดือน จากนั้นใส่เข้าไปในข้าวหมากที่เตรียมไว้แล้วหมักบ่มหนึ่งปี น้ำที่ใช้ล้วนเป็นน้ำค้างยามอรุณ ทั้งยังเป็นน้ำค้างบนกลีบดอกท้ออีกด้วย  ใหม่สดปิดผนึกไว้สำหรับดื่มในปีถัดไป


 


 


สุราที่หรงจิงหมักเองนี้มีฤทธิ์แรงมากเพราะเขานิยมความร้อนแรง จึงชอบดื่มมันเสมอ ถึงจะมีชื่อที่นุ่มนวลแต่ไม่คิดว่าจะมีความร้อนแรงเช่นนี้


 


 


เซียงฉือเห็นที่ข้างกายตนก็มีสุราป้านหนึ่ง นางยังจำที่หรงจิงบอกได้ว่าเป็นสุราดอกท้อ จึงคิดว่าน่าจะอ่อนจางเหมือนดอกท้อ นางที่ยังไม่เคยลิ้มลองมาก่อนจึงได้กรอกสุราทั้งจอกลงไป ไม่คิดว่าจะร้อนผ่าวไปทั่วตั้งแต่ลำคอลงไปถึงท้อง


 


 


เซียงฉืออ้าปากน้อยๆ ความแสบร้อนที่เข้าปากทำให้ใบหน้านางแดงก่ำ ถึงกับน้ำตาไหลออกมา


 


 


หรงจิงได้ยินเสียงจึงหันไปมอง เห็นท่าทางนางแล้วก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้ข้ามไปแล้วหยิบเฉ่าเหมย[2]จากในจานใส่เข้าปากนางไปลูกหนึ่ง


 


 


 


 


[1] หอทิงเฟิง หรือ หอสดับวายุ มีความหมายว่าฟังเสียงลมพัด


 


 


[2] เฉ่าเหมาย หรือ สตรอว์เบอร์รี่


 


 


 


 


ตอนที่ 297 คุยเล่น


 


 


“ช่างไม่รู้จักสุราเอาเสียเลย ต๊องจริงๆ แล้วก็ไม่รู้จักถามดื่มลงไปรวดเดียวแบบนั้นได้”


 


 


เซียงฉือกินเฉ่าเหมยเข้าไปลูกหนึ่ง ความหวานหอมกรุ่นอยู่ในปากเด่นชัด รสชาติแบบนั้นนางไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่


 


 


เมื่อดื่มสุราเข้าไปจอกหนึ่งแล้ว เซียงฉือจึงใจกล้าขึ้น นางยกป้านสุราหมายรินดื่มอีกจอกหนึ่ง แต่หรงจิงยื่นมือออกขวางไว้แล้วขมวดคิ้วพูดขึ้น


 


 


“เจ้าเด็กต๊อง แช่น้ำแร่ร้อนแบบนี้ไม่อาจดื่มมากได้ รออีกสักครู่แล้วข้าจะดื่มเป็นเพื่อนเจ้าเอง”


 


 


เซียงฉือถูกเขาจ้องเช่นนั้นก็คับข้องใจ แต่ก็วางลงแต่โดยดี นางเกาะขอบสระใช้เท้าเตะน้ำเบาๆ ตอนนี้นางได้คลายเสื้อตัวนอกออกเช่นเดียวกับหรงจิง คงสวมเพียงเสื้อผ้าชิ้นในแช่อยู่ในน้ำ เรือนร่างอรชรงดงาม


 


 


นางเกาะอยู่ในสระมองดูหรงจิง ดวงตาแย้มยิ้มเป็นโค้งราวพระจันทร์เสี้ยวสองดวง น่ารักอย่างยิ่ง


 


 


หรงจิงเห็นนางยิ้มซื่อๆ เช่นนั้นก็อ่อนใจ ผ่านไปครู่หนึ่งเซียงฉือจึงชวนคุยขึ้นก่อน


 


 


“ฝ่าบาท เหตุใดวันนี้จึงได้ทรงพาหม่อมฉันมาที่นี่เพคะ”


 


 


เซียงฉือสงสัยมาแต่ต้น ถึงแม้ตอนแรกจะยังไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ถึงหรงจิงจะไม่บอกอะไร แต่นางเห็นจากท่าทีของซูกงกง แล้วรู้ถึงความผิดปกติ ทว่านางมีสติและปัญญาพอที่จะไม่โพล่งออกไปในตอนนั้น แต่ตอนนี้นางดื่มสุราเข้าไปแล้วใจกล้าขึ้นจึงได้ถามออกมา


 


 


หรงจิงฟังคำพูดนางแล้วก็ไม่รู้สึกไม่พอใจอะไร เพียงพิงอยู่ด้านข้างอย่างเกียจคร้าน น้ำเสียงยิ่งเอื่อยเฉื่อย แต่ก็ตอบอย่างมีความอดทน


 


 


“ข้าเป็นโอรสสวรรค์ คิดจะทำอะไรก็ทำ แช่น้ำแร่อยู่คนเดียวออกจะน่าเบื่อ ปกติเหลียนชินอ๋องมักจะมาแช่เป็นเพื่อนข้า แต่ระยะนี้เขามีภารกิจและไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ข้าเห็นเจ้าทึ่มอย่างเจ้าไม่น่ารังเกียจนัก ทั้งช่วงนี้ติดตามข้ามาอย่างเหนื่อยยาก เลยคิดว่าเป็นการให้รางวัลเจ้าก็แล้วกัน”


 


 


เซียงฉือได้ยินแล้วแอบเบ้ปาก มีด้วยหรือรางวัลแบบนี้ กับการจับหญิงสาวที่งดงามปานบุปผาเช่นนางไปโยนลงในน้ำน่ะ


 


 


ถึงนางจะคิดเช่นนั้นแต่ไม่กล้าพูดออกมา เพียงยิ้มอายๆ ตอบว่า


 


 


“หม่อมฉันสำนึกในพระมหากรุณาเพคะ แต่หม่อมฉันยังสงสัยว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงได้ทรงสดับเสียงน้ำหยดต่างเสียงดนตรี เสียงดนตรีจากธรรมชาติเช่นนี้ ช่างเป็นสิ่งแปลกใหม่ ทำให้หม่อมฉันได้เปิดหูเปิดตาขึ้นเพคะ”


 


 


เซียงฉือสนใจในเสียงลมเสียงฝนอย่างยิ่ง ม่านฝนที่นี่ราวไข่มุก ฟังราวดนตรีสวรรค์ แต่กลับไม่เรียกหอพิรุณแล้วเรียกเป็นหอวายุเช่นนี้ ทำให้นางเกิดความสงสัยนางเอ่ยปากเยินยอหรงจิง หวังจะให้เขาดีใจ จะได้เผยความลับในที่นี้ออกมาบ้าง


 


 


หรงจิงฟังแล้วเหยียดมุมปากขึ้นน้อยๆ ยื่นมือออกไปเคาะจานและพูดขึ้น


 


 


“ตอนนี้เจ้ารู้จักความวิเศษของหอทิงเฟิงเพียงผิวเผินเท่านั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะสงสัยว่าเหตุใดไม่เรียกที่นี่ว่าหอพิรุณแต่เรียกเป็นวายุแทน”


 


 


“แต่ข้าจะไม่บอก เจ้าคอยฟังเอาเองก็แล้วกัน”


 


 


หรงจิงเจตนาให้นางรออย่างกระวนกระวายไม่ยอมให้นางรู้ทีเดียวทั้งหมด ดังนั้นจึงได้ยั่วความอยากรู้นาง เพื่อให้นางใจจดใจจ่อ


 


 


เซียงฉือทำปากยื่น ถึงจะไม่ได้คำตอบที่ต้องการ แต่เพียงเท่านี้นางก็พอใจแล้วจึงหลับตาคอยฟัง


 


 


หรงจิงเห็นนางเช่นนั้นจึงว่ายจากไป


 


 


เซียงฉือฟังอยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่ได้ยินเสียงลมจึงหันไปมองหรงจิง เห็นเขายังทำท่าแบบเจ้าจงฟังไปก็แล้วกันเช่นนั้น ในใจจึงผุดความสงสัย


 


 


นางแช่ในน้ำแร่อยู่พักหนึ่งก็ยังคงไม่ได้ยินเสียงลมที่ว่า ความลังเลสงสัยยังคงมีอยู่ เมื่อหันกลับไปก็เห็นหรงจิงกำลังยิ้มมองดูนาง


ตอนที่ 298 ป่าสุขสราญ


 


 


เซียงฉือชะงักแล้วรีบหันกายกลับ ลมด้านนอกพัดขึ้นแล้ว ที่ตรงนี้มีสภาพต่ำ ลมจากรอบทิศพัดผ่านชายคาบ้างภูเขาจำลองโชยมา เซียงฉือรู้สึกถึงลมที่โชยมาปะทะใบหน้า ตามด้วยกลีบดอกไม้มากมายพรั่งพรูร่วงลงมาจึงลืมตาขึ้น


 


 


เห็นกลีบดอกท้อลอยละลิ่วร่วงพรูลงมาราวหิมะ ยามลมจากด้านล่างพัดขึ้นไป พาให้กลีบดอกไม้ม้วนตัวเป็นวงพลิ้วลอยสูงและห่างออกไปยิ่งขึ้น


 


 


เซียงฉือมองดูภาพนั้นจนตกตะลึงลาน นี่คือสิ่งใดกัน


 


 


นางมองต้นท้อที่ด้านหลัง ตรงนั้นมีต้นท้อที่สะพรั่งอยู่ต้นหนึ่งออกดอกเต็มไปทั่ว เมื่อลมพัดมันสั่นไหวขึ้นเบาๆ มีเพียงกลีบดอกร่วงลงมาไม่มาก แต่เหตุการณ์เมื่อครู่เห็นชัดเจนว่าเป็นดั่งม่านฝนดอกท้อ


 


 


แล้วกลีบดอกท้อเต็มท้องฟ้าเช่นนั้นมาจากที่ไหน


 


 


เซียงฉือคิดถึงสายตาลึกล้ำของหรงจิงที่มองไปเบื้องหน้าเมื่อครู่ได้ นางจึงหมุนกายแล้วว่ายไปที่ข้างๆ จากนั้นมองขึ้นเบื้องบนจึงได้เห็นอีกมุมหนึ่งของต้นท้อนั้น


 


 


ที่แท้ด้านหลังภูเขาจำลองเป็นป่าต้นท้อผืนหนึ่ง เมื่อลมพัดผ่านจะมีกลีบดอกท้อร่วงจากด้านบนลงมา


 


 


หอทิงเฟิง ความหมายของการฟังเสียงลม คือฟังเสียงลมผ่านดอกท้อ พวกนางได้เห็นลักษณะของลมตามการขึ้นๆ ลงๆ  ลอยไปลอยมาของดอกท้อ


 


 


เซียงฉือคิดเช่นนี้ นางมองหรงจิงด้วยสายตาแวววาวยิ่งขึ้น หรงจิงจึงรู้ว่าเซียงฉือล่วงรู้ความหมายที่แท้จริงของหอทิงเฟิงนี้แล้วก็หัวเราะเบาๆ


 


 


เจ้าเด็กคนนี้ฉลาดทีเดียว สติปัญญาไม่ใช่ย่อย


 


 


หรงจิงยิ้มแล้วดื่มสุราไปอีกจอกหนึ่ง วันนี้เขารู้สึกสบายใจกว่าวันเวลาอื่นๆ


 


 


เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของเซียงฉือดังไม่หยุด เขารู้สึกเสียงนี้คล้ายดั่งเสียงเพลงจากพิณล้ำค่า อีกทั้งเสียงจากธรรมชาติ พาให้เพลิดเพลิน


 


 


หรงจิงแช่น้ำจนรู้สึกสบายตัวเป็นอย่างยิ่ง แล้วสวมเสื้อตัวนอกอีกครั้ง ยกป้านสุราเดินไปทางด้านหลังภูเขา


 


 


เซียงฉือคิดและมองดูเสื้อผ้าแห้งที่ด้านข้างจึงนำขึ้นคลุมตัวแล้วตามเขาไป


 


 


เมื่อเดินไปถึงหลังเขาเป็นความใกล้ชิดอีกแบบหนึ่ง มีต้นท้อดาษดื่นขึ้นไปทั่ว ท่ามกลางกลีบดอกที่ร่วงกราวดูราวกับผืนพรมอ่อนนุ่มทอดยาว หากล้มตัวลงบนนั้นคงจะสบายเป็นอย่างยิ่ง


 


 


เซียงฉือก้าวเดินเร็วจนตามหรงจิงทัน หรงจิงไปถึงใต้ต้นท้อต้นหนึ่ง ตรงนั้นมีชุดโต๊ะเก้าอี้ตั้งไว้แล้ว ท่าทางเขาสบายๆ ไม่เหมือนหรงจิงยามปกติที่นิยมความสะอาดเรียบร้อยเป็นสง่า


 


 


นางรู้สึกว่าวันนี้ได้เห็นฮ่องเต้ที่ไม่เหมือนเดิม หรงจิงที่แตกต่างไป เช่นบนเก้าอี้นั่งเล่นเวลานี้ หรงจิงถือป้านสุราทิ้งกายเอกเขนกอยู่บนนั้นอย่างปล่อยตัวปล่อยใจ


 


 


เส้นผมปล่อยสยายลงมา ปลิวละลิ่วเบาๆ ตามสายลมเอื่อย


 


 


เซียงฉือมองดูจนเหม่อลอยอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเขาถอดชุดฮ่องเต้ออกก็กลายสภาพมาเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนคุณชายมีตระกูลรูปงาม ใช้ชีวิตอย่างสมถะราวไม่ต้องการไม่ปรารถนาสิ่งใด สุขสบายเฉกเช่นเทพยดา


 


 


“ที่นี่ข้ายังไม่ได้ตั้งชื่อให้มันเลย ใต้เท้าอวิ๋นจะไม่ลองช่วยข้าคิดสักหน่อยหรือ”


 


 


หรงจิงหรี่ตากำมือแล้ววางไว้บนหน้าผาก ส่วนมืออีกข้างลูบกลีบดอกท้อดอกหนึ่งที่ร่วงลงบนตัวเขาเบาๆ ถามขึ้นราวกับไม่ใส่ใจ


 


 


เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป แต่เมื่อคิดได้จึงดีใจหนักหนา


 


 


ถึงจะบอกว่าเป็นการช่วยฮ่องเต้คิด แต่เจตนานี้ทำให้เซียงฉือประหลาดใจที่ได้รับการโปรดปรานอย่างไม่คาดฝัน


 


 


นางจึงไม่กล้าชักช้า ใช้มือข้างหนึ่งแตะหัวคิ้วใช้ความคิดหนัก ผ่านไปครู่หนึ่งดวงตาทั้งคู่จึงสว่างวาบ ร้องออกมาอย่างตื่นเต้นยินดี


 


 


“เรียกมันว่าป่าสุขสราญ เป็นอย่างไรเพคะ”


 


 


หรงจิงเผยอเปลือกตาขึ้นเมื่อได้ยิน แล้วทบทวนชื่อนี้ขึ้นมาด้วยความสนใจ


 


 


“ป่าสุขสราญ ไม่เลวเหมือนกัน เข้ากับสภาพได้ดี ตอนนี้ข้าก็สุขสราญราวกับเทพยดาจริงๆ”


 


 


“ใครๆ ก็บอกว่าเป็นฮ่องเต้เป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในโลก แต่ข้ารู้สึกว่าการเป็นฮ่องเต้นั้นเป็นงานที่ยากลำบากจริงๆ”


 


 


“เจ้าเด็กต๊อง ข้าชอบชื่อที่เจ้าตั้ง ดีล่ะ งั้นก็เรียกมันว่าป่าสุขสราญก็แล้วกัน”


 


 


 


 


ตอนที่ 299 ฟังพิณ


 


 


ยามนี้อวิ๋นเซียงฉือเต็มตื้นไปด้วยความดีใจ หรงจิงเห็นแล้วก็ยินดีปรีดาไปด้วย เวลานี้ทั้งคู่จมอยู่ในโลกเล็กๆ ของกันและกันอย่างมีความสุข


 


 


นั่งอยู่ในที่นั้นสักครู่ หรงจิงรู้สึกว่าความร้อนจากการแช่น้ำแร่เมื่อครู่ถูกลมโชยพัด ทำให้สดชื่นสบายไปทั้งตัว


 


 


ถึงจะเป็นฤดูร้อนแต่ตอนนี้ย่างเข้าปลายเดือนแปดแล้ว เมืองหลวงที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือนี้นับเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด หากไม่ใช่เพราะต้นท้อที่ตระหง่านบังแดดอยู่เหนือศีรษะแล้ว ทั้งสองคงจะถูกแสงแดดแผดเผาจนสุดจะทนทานไหว


 


 


เพียงครู่เดียวเสื้อผ้าบนกายก็แห้งลง ที่ตรงนั้นเริ่มร้อนระอุขึ้น หรงจิงทนความร้อนไม่ได้จึงสะบัดมือพูดว่า


 


 


“ไปหาที่ร่มเย็นหน่อยดีกว่า ที่นี่ยิ่งร้อนขึ้นทุกทีแล้ว”


 


 


พูดจบก็ลุกขึ้น เซียงฉือจึงติดตามไป


 


 


ทั้งคู่เดินตามกันเข้าไปในห้อง หรงจิงเดินไปแล้วหยุดลงกะทันหัน เซียงฉือที่ก้มหน้าเดินตามเขาจึงชนเข้ากับแผ่นหลังของเขาจังๆ


 


 


กล้ามเนื้อบนร่างของหรงจิงแน่นอย่างยิ่ง เมื่อเซียงฉือชนเข้าไปไม่ต่างอะไรกับชนภูเขาทั้งลูก นางชะงักแล้วถอยหลังคลึงจมูกตนเอง ทำปากจู๋แต่ไม่ส่งเสียงร้อง


 


 


หรงจิงยิ้มแล้วยืนนิ่ง เพียงหันกลับไปมองเซียงฉือ ลูบเส้นผมนุ่มสลวยของนางพูดเสียงเบาว่า


 


 


“ได้เวลานอนกลางวันแล้ว เจ้าเด็กต๊องง่วงแล้วกระมัง”


 


 


ระยะนี้เซียงฉือกับหรงจิงมีเวลาพักตรงกัน พอถึงเวลาก็จะนอนกลางวัน ดังนั้นเมื่อแช่น้ำแร่แล้วในตอนนี้จึงสะลึมสะลือง่วงนอน มิเช่นนั้นคงไม่ชนเข้ากับแผ่นหลังของหรงจิงเข้า


 


 


เซียงฉือไม่พูดอะไร เพียงผงกศีรษะที่อยู่ใต้ฝ่ามือหรงจิงอย่างว่าง่าย


 


 


“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกออกก่อน ตรงนั้นมีเสื้อผ้าแห้งอยู่ เปลี่ยนเสร็จแล้วค่อยกลับมานี่”


 


 


เซียงฉือฝืนความง่วง เป่าลมออกจากปากหลายครั้งขณะเดินไปยังห้องด้านข้าง ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป หรงจิงเห็นนางไปแล้วก็ถอดเสื้อตัวนอกออก เปลี่ยนเป็นชุดแห้งเรียบง่ายแล้วเดินไปข้างพิณปี้หวง นั่งลงเบาๆ


 


 


เขาวางเบาะกำมะหยี่ไว้ข้างกายแล้วนั่งถัดลงไปข้างๆ กระทั่งเสียงประตูที่เซียงฉือเปิดออกดังขึ้น หรงจิงจึงหันไปตามเสียง


 


 


เขาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า


 


 


“รีบมานี่”


 


 


เซียงฉือได้ยินเสียงก็รีบเข้าไป หรงจิงตบเบาะที่ข้างกายเบาๆ เซียงฉือจึงนั่งลงอย่างเชื่อฟัง


 


 


หรงจิงยิ้ม


 


 


“ข้าจะเล่นพิณให้เจ้าฟัง”


 


 


เซียงฉือตกใจ ถึงจะเข้าใจความหมายของหรงจิง แต่เพราะเขาพูดออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อมสักนิด หรงจิงได้ยินแล้วหัวเราะเสียงดัง


 


 


“เจ้าเด็กคนนี้คิดอะไรอยู่ นั่นไม่ใช่หมอนหรอกหรือ”


 


 


หรงจิงชี้นิ้วไป เซียงฉือจึงเห็นหมอนใบเล็กที่ถูกชุดของเขาคลุมไว้ใบหน้าจึงแดงก่ำขึ้นทันที ไม่กล้าพูดอะไรที่จะทำให้เขาขำอีก รีบล้มกายลงนอนข้างกายหรงจิงทันที


 


 


แต่ใบหน้านั้นแดงเรื่อขึ้นมา


 


 


หรงจิงเห็นนางเช่นนั้นจึงหุบยิ้ม เขายื่นแขนทาบบนสายพิณ นานมากแล้วที่ไม่ได้ดีดพิณรู้สึกห่างเหินอยู่บ้าง แต่เมื่อมือสัมผัสกับความเย็นเยียบบนนั้น ความคุ้นเคยจึงกลับมาอีกครั้ง


 


 


“อยากฟังอะไร”


 


 


เซียงฉือปิดหน้านอนอยู่ข้างกายหรงจิง เมื่อได้ยินคำพูดนี้ดังขึ้นที่เหนือศีรษะจึงวางแขนลง หันหน้าไปมองฝ่ายตรงข้าม ดวงตาสั่นไหวน้อยๆ


ตอนที่ 300 นอนกลางวัน


 


 


หรงจิงถามเซียงฉือแต่นางยังไม่ได้ตอบ เสียงพิณของหรงจิงก็ดังขึ้นมา


 


 


ดุจดั่งเสียงน้ำหยดลงไหเมื่อครู่ หนักและทุ้มเอื่อย เสียงนั้นทำให้ใจคนสั่นไหว เซียงฉือหลับตาเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ


 


 


แผ่วเบาและเอื่อยช้า ราวลมวสันต์พัดผ่านต้นหลิว กบกระโดดอยู่บนผิวน้ำ ในความเงียบสงบมีระลอกคลื่นกระเพื่อมเบาๆ เป็นชั้นๆ ดอกท้อสีอ่อนดอกหนึ่งถูกลมพัดร่วงหล่นจากยอดกิ่ง ลอยละลิ่วพลิ้วช้าๆ อยู่ในสายลม ค่อยๆ ลงสู่ผิวน้ำที่กระเพื่อมน้อยๆ


 


 


ผิวน้ำที่เพิ่งสงบนิ่งกระเซ็นขึ้นอีกครั้ง ดอกท้อคล้ายดั่งไม่รู้ว่าร่วงหล่นลงมาแล้ว ยังคงลอยไปมาอยู่ในน้ำตามกระแสลม


 


 


แล้วสายลมก็สงบลง กลีบดอกไม้หยุดหมุนวน ทุกสิ่งกลับสู่ความเงียบสงบอย่างช้าๆ


 


 


เซียงฉือฟังจนลงสู่ภวังค์อย่างช้าๆ นางง่วงอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ในตอนนี้จึงหลับไป


 


 


หรงจิงบรรเลงจบลงหนึ่งเพลง เขาก้มลงหมายจะถามเซียงฉือว่าเพลงนี้เป็นอย่างไรบ้าง แต่เห็นเซียงฉือกอดหมอนหลับสนิทไปแล้ว


 


 


หรงจิงก็รู้สึกง่วง ในเวลาหลังเที่ยงโดยเฉพาะในฤดูร้อนเช่นนี้ ยากนักที่จะอำพรางความอ่อนเพลีย จึงไม่ฝืนอีกต่อไป หาหมอนได้ใบหนึ่งก็ล้มตัวลงนอนข้างเซียงฉือ


 


 


เขาไม่เคยฝืนตนเองกับเรื่องเช่นนี้จึงหลับสนิทไปอย่างสบาย


 


 


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ทั้งสองคนจึงได้ตื่นขึ้นมา เซียงฉือบีบหมอนที่นุ่มปนแข็งใต้ศีรษะ เกิดความรู้สึกผิดปกติ


 


 


แต่นางยังคงไม่ได้ลืมตา เพิ่งแช่น้ำแร่มาทั้งยังดื่มสุราเล็กน้อยจึงมีอาการง่วงงุน ตอนนี้ตื่นเพราะถูกเสียงนกร้องปลุกขึ้นมาจึงคิดจะพลิกกายแล้วนอนต่อ


 


 


นางคิดจะเปลี่ยนท่านอนจากเดิมที่เมื่อยแล้วจึงดึงหมอนข้างใต้ศีรษะ แต่แล้วรู้สึกว่าสัมผัสนุ่มนวลแต่เดิมนั้นจู่ๆ กลับกลายเป็นแข็งขึ้นมา ทั้งหมอนก็ยังเคลื่อนที่เองได้อีกด้วย


 


 


เซียงฉือลืมตาขึ้นอย่างหวาดหวั่นแต่ไม่ขยับกาย เพียงหลุบตามองลงไป ที่หนุนอยู่ใต้ศีรษะไม่ใช่หมอนใบเดิมของนาง หมอนเดิมที่นางหนุนอยู่ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว


 


 


เซียงฉือคิดจะลุกขึ้นอย่างเงียบๆ นางพอจะเดาได้ว่าศีรษะของตนเองหนุนอะไรอยู่ พอนางค่อยๆ ลุกขึ้น ‘หมอน’ นั้นก็ขยับเล็กน้อย นางตกใจรีบแกล้งนอน ไม่กล้าขยับอีก


 


 


หรงจิงตื่นแล้วเช่นกัน เขารู้สึกว่าขาตนเองเมื่อยและชา แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงลืมตาขึ้นมองดูขาตนเอง แล้วก็เห็นเซียงฉือกำลังหนุนหลับสนิทอยู่บนนั้น


 


 


เขาลุกขึ้นนั่งมองดูเซียงฉือที่นอนหลับสนิทหันหลังให้เขา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่ได้ปลุกนาง ค่อยๆ ยื่นศีรษะลงไป สายตามองเห็นเซียงฉือที่กำลังหลับอย่างสบาย เขาหยิบปอยผมที่ปิดหน้านางปัดออกเบาๆ เมื่อเห็นที่ข้างมือมีดอกท้อตกอยู่ดอกหนึ่ง ขณะหนึ่งเกิดนึกสนุกขึ้นมาจึงนำดอกท้อนั้นต่างปิ่น เสียบลงไปบนเส้นผมดำสนิทของนาง


 


 


เซียงฉือรับรู้ถึงการกระทำของหรงจิง ได้แต่เพียงแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


 


หรงจิงจัดการเสร็จก็มองดูเซียงฉืออีกครั้ง นางที่กำลังหลับใบหน้าแดงระเรื่อ ยิ่งแลดูงดงามสะกดใจ


 


 


พลันเขาพบว่าขณะที่นิ้วมือเขาเคลื่อนผ่านข้างแก้มนางนั้น เซียงฉือหายใจแรงขึ้น


 


 


นางกำลังแกล้งหลับ?


 


 


หรงจิงรับรู้ได้อย่างเฉียบไวว่าเซียงฉือกำลังแกล้งหลับอยู่


 


 


 


 


ตอนที่ 301 แกล้งหลับ


 


 


เมื่อหรงจิงรู้ว่าอวิ๋นเซียงฉือแกล้งหลับก็นึกขำอยู่ในใจ เจ้าเด็กต๊องคนนี้ คงจะกลัวถูกล้อถึงต้องแกล้งหลับต่อ เขาเองก็ใช่ว่าเป็นคนแล้งน้ำใจ


 


 


ถึงจะรู้ว่านางแกล้งหลับแต่ก็ไม่คิดจะเปิดโปงนางจึงนำหมอนของตนมาแล้วยกศีรษะนางวางลงบนนั้น จากนั้นจึงค่อยดึงขาตนเองออกมา


 


 


เคลื่อนขาออกข้างๆ นวดเบาๆ ตรงบริเวณที่เมื่อยชา เมื่อเห็นเซียงฉือยังคงแกล้งหลับอยู่จึงเกิดนึกสนุก มุมปากผุดรอยยิ้ม แววตาสั่นไหวน้อยๆ


 


 


ถ้าหากในที่นี้เป็นเหลียนชินอ๋อง แน่นอนว่าเขาจะต้องระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น เพราะตอนนี้หรงจิงจะต้องซ่อนเรื่องชั่วร้ายไว้ในหัวเป็นแน่


 


 


แต่ว่าเซียงฉือไม่รู้ ยังคงปิดตาแกล้งหลับ ไม่รับรู้ทุกสิ่งที่ด้านหลังตนเองแม้แต่น้อย


 


 


หรงจิงหุบยิ้มกลับสู่สภาพยามปกติ เขาบิดขี้เกียจแล้วขยับร่างที่นอนจนแข็งตึง เมื่อเสร็จสรรพแล้วจึงลุกเดินออกนอกห้องไปอย่างไม่รีรอ


 


 


เขาหยิบป้านและจอกสุราบนโต๊ะติดมือไปด้วย เซียงฉือยังคงรั้งรอ กลั้นลมหายใจเงี่ยหูฟังเสียงอย่างถี่ถ้วน และเมื่อนางได้ยินเสียงเขาลงน้ำไปแล้วจึงลืมตาขึ้น


 


 


ลุกขึ้นนั่งอย่างแคล่วคล่องแล้วถอนหายใจยาวโล่งอก แต่ทว่ายังไม่ทันที่ลมหายใจจะกลับมาสม่ำเสมอ พลันได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นจากด้านหลัง


 


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า…”


 


 


เซียงฉือหันหน้าไปเห็นหรงจิงยืนพิงฉากบังลมชี้นิ้วมาทางนางหัวเราะอย่างเบิกบานใจ นางตกตะลึงฟุบลงพลัน ซุกหน้าลงกับหมอนราวกับนกกระจอกเทศ


 


 


หรงจิงไม่ยอมปล่อยนางง่ายๆ จึงเดินเข้าไป บีบหูนาง หัวเราะเยาะราวกับเด็กที่แผนชั่วร้ายบรรลุผล พูดว่า


 


 


“เจ้าแกล้งหลับจริงๆ ด้วย ถูกข้าจับได้แล้วหากยังไม่ลุกขึ้นอีก ข้าจะตั้งข้อหาเจ้าฐานหลอกลวงฮ่องเต้”


 


 


เซียงฉือได้ยินแล้วกลับฝังหน้าลึกลงกว่าเดิม แต่หรงจิงไม่ยอมปล่อยนางไว้เช่นนั้นจึงดึงนางขึ้นมาจากหมอน แต่นางยังคงกอดหมอนไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย


 


 


ราวกับมันเป็นยันต์ป้องกันชีวิตของนางจึงกอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ หรงจิงมองดูใบหน้าแดงก่ำของนางแล้วก็ยิ่งหัวเราะอย่างได้ใจและชั่วร้าย


 


 


เซียงฉือถูกเขาหัวเราะหนักเข้าจนเลิกกลัว นางเปิดตาข้างหนึ่งมองดูฝ่ายตรงข้าม เห็นหรงจิงหัวเราะน้ำตาคลอ ใบหน้านั้นดูดีจนทำให้เซียงฉือรู้สึกแปลกใหม่เพราะหรงจิงยังไม่เคยหัวเราะมากเช่นนี้มาก่อนเลย


 


 


เมื่อถูกมอง หรงจิงจึงหยุดหัวเราะและเลิกตอแยนาง เขาหันหน้ากลับอย่างรู้สึกไม่บังควร


 


 


เซียงฉือวางหมอนในมือลงมองดูหรงจิงอย่างสงสัย ยื่นตัวออกไปหมายจะเห็นให้ชัด แต่หรงจิงกลับหันหน้าไปในทิศตรงกันข้ามอย่างขัดเขิน หลบหน้านาง


 


 


เซียงฉือเมื่อเห็นเขาขวยอายเช่นนั้นยิ่งบังเกิดความกล้าจึงพูดล้อเขา


 


 


“ฝ่าบาทไม่เคยสรวลเสียงดังเช่นนี้มาก่อนเลย หากว่าตอนเช้าได้ยินฮ่องเต้สรวลแล้วต้องตายลงในตอนเย็น วันนี้หม่อมฉันได้ยินเสียงพระสรวลของฝ่าบาทแล้วแม้ตายก็ไม่เสียดายแล้วเพคะ”


 


 


หรงจิงฟังคำพูดนี้แล้วก็หัวเราะขึ้นอีก หันกลับไปเคาะศีรษะนางเบาๆ


 


 


“หากปราชญ์ได้ยินคำพูดเจ้าเข้าต้องว่าเจ้าศึกษาคัมภีร์ปราชญ์ไม่ถ่องแท้ ถูกเด็กต๊องอย่างเจ้าเอามาใช้ผิดที่ผิดทาง ผิดหลักเหตุผล เสียเปล่าไปอย่างน่าเสียดาย”


 


 


เซียงฉือได้ยินเช่นนั้นไม่รู้สึกหวั่นเกรงแม้แต่น้อย


 


 


ซ้ำยังยืดกายตรงบอกว่าปราชญ์ยังพูดอีกว่า


 


 


“สตรีไร้ความรู้ความสามารถจึงประเสริฐ หม่อมฉันไร้ความสามารถเช่นนี้มิใช่คุณธรรมความดีหรอกหรือเพคะ เป็นพระกรุณาที่ฝ่าบาทตรัสชมหม่อมฉันเพคะ”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม