วาสนาบันดาลรัก 293-299

ตอนที่ 293 โกรธแค้น

 

“แขวนคอตาย? ช่วยทันหรือไม่?”


 


 


ไป่หลิงเห็นแววตาของเจินเมี่ยวแปลกไปก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา แต่ยังคงพูดตามความจริงว่า “ไม่เจ้าค่ะ ตอนที่พบนั้นศพก็แข็งทื่อไปแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวพลันตัวเย็นเฉียบขึ้นมาทันใด ใบหน้าขาวซีดอย่างที่สุด ต่อมาจึงหน้าแดงก่ำขึ้น


 


 


ในใจนางนั้นทั้งโมโหทั้งแค้นเคือง ทั้งมีความเสียใจอย่างยากจะบรรยาย


 


 


เจินเมี่ยวโกรธที่เวินยาฉีมิเคยคิดถึงผู้อื่นเลยสักนิด นางตายไปเช่นนี้ย่อมต้องเกิดสถานการณ์อันยากลำบากขึ้นแน่ ที่เสียใจคืออย่างไรนางก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบห้าปีเท่านั้น ดั่งเช่นคนที่เรามิชอบหน้า ย่อมไม่อยากพูดจา ไม่อยากพบหน้ากระทั่งไม่อยากคบค้ากับเขา แต่หากบอกว่าอยากให้เขาตาย นั้นย่อมมิใช่


 


 


“ไปจวนเจี้ยนอานปั๋ว!” เจินเมี่ยวเก็บจดหมายที่อ่านยังมิทันจบนั้นยัดเข้าไปในแขนเสื้อแล้วรีบเดินทาง


 


 


ครั้นถึงเรือนหน้าก็ร้องบอกปั้นซย่าว่า “ปั้นซย่า เจ้าไปที่ศาลาว่าการบอกกับซื่อจื่อว่า คุณหนูเวินจวนเจี้ยนอานปั๋วสิ้นแล้ว”


 


 


“ขอรับ” ปั้นซย่ารีบจูงม้าออกไปทันที


 


 


เจินเมี่ยวขึ้นรถม้าอีกครา จื่อซูและชิงไต้คอยติดตามอยู่ซ้ายขวา


 


 


“ต้าไหน่ไหน่ ท่านทำใจให้สบาย ทุกอย่างรอถึงจวนปั๋วค่อยว่ากล่าวเถิด” จื่อซูเอ่ยเตือนขึ้นเมื่อเห็นมือสองข้างของเจินเมี่ยวจิกลงไปยังเบาะรองนั่งอย่างไม่รู้ตัว เส้นโลหิตหลังมือต่างปูดโปนขึ้นมา


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มขืน “ข้าห่วงท่านแม่มากกว่า”


 


 


นางไม่กล้าคิดด้วยซ้ำว่าตอนนี้นางเวินจะเป็นเช่นไรบ้าง


 


 


ไม่ว่าใครก็ตามที่หลานสาวตระกูลมารดามาพักอาศัยจวนตนแต่สุดท้ายกลับแขวนคอตาย ต่อให้มิชิดเชื้อกับตระกูลมารดาสักเท่าใดก็ย่อมต้องรู้สึกอับอายอย่างที่สุดจนมิกล้าพบหน้าผู้คนได้ ยิ่งมิต้องพูดถึงนางเวินที่รักเอ็นดูเวินยาฉีด้วยใจจริงเลย


 


 


เจินเมี่ยวแหวกผ้าม่านออกแล้วเอ่ยเร่ง “เร็วกว่านี้อีกหน่อย”


 


 


ครั้นผู้บังคับรถม้าได้ยินก็ยกแส้ขึ้นหวดบนร่างอาชา รถม้าจึงทะยานพุ่งไปข้างหน้าอย่างเร็วรี่


 


 


ไม่ไกลออกไปนักมีคนสองคนที่กำลังควบอาชาอยู่นั้นพลันกระตุกเชือกหยุดอาชาตนทันใด


 


 


บุรุษหนุ่มผู้สวมชุดน้ำตาลแดงมีสีหน้าไม่พอใจ “ตระกูลใดกันถึงได้เหิมเกริมเช่นนี้ ขับรถม้าเร็วเช่นนี้ไม่กลัวจะชนคนบาดเจ็บหรือไร ทั้งยังต้องให้ท่าน…องค์ชายหกหลีกทางให้อีก”


 


 


แววขบคิดล้ำลึกปรากฏวูบขึ้นในดวงตาขององค์ชายหก


 


 


โดยทั่วไปแล้วบุรุษเดินทางมักขี่ม้า หากนั่งรถม้ามักเป็นสตรี


 


 


สัญลักษณ์บนรถม้านั้นเขาเห็นผ่านตาไปครู่หนึ่งคล้ายจะเป็นของจวนกั๋วกง เหตุใดจึงเร่งรีบไปยังทิศทางนั้นเล่า


 


 


ชื่อเสียงขององค์ชายหกในเรื่องกระทำการตามใจไร้กฎเกณฑ์นั้นกระฉ่อนไปทั่ว แต่ความจริงกลับเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องยิ่ง เมื่อเห็นรถม้ามุ่งไปทิศทางนั้นก็คิดเชื่อมโยงไปถึงสตรีจวนกั๋วกงคนใดที่จะมุ่งหน้าไปทางนั้นได้ ฉับพลันก็คาดเดาได้ทันทีว่าผู้ใดที่นั่งอยู่ในรถม้า


 


 


ที่แท้ก็เป็นเจียหมิง นางรีบกลับจวนตระกูลมารดาไปไยกัน?


 


 


องค์ชายหกในยามนี้ย่อมไม่ทราบว่าคุณหนูซึ่งเป็นญาติของจวนปั๋วนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่กลับเกิดความคิดอยากจะไปสืบเสาะต้นเหตุขึ้นมาเสียอย่างนั้น


 


 


“ไม่เป็นไร เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปจวนเจี้ยนอานปั๋วสักครา”


 


 


“จวนเจี้ยนอานปั๋ว?” เซียวอู๋ซังคุณชายผู้สืบทอดจวนหย่วนเวยโหวพลันคิดอันใดขึ้นมาได้จึงเผยยิ้มยียวนอย่างที่สุดออกมา “องค์ชายหก พระองค์คิดถึงพี่สะใภ้น้อยแล้วใช่หรือไม่?”


 


 


จวนหย่วนเวยโหวมีความดีความชอบยิ่ง บรรดาศักดิ์ที่มีมิได้ด้อยไปกว่าจวนเจิ้นกั๋วกงเลย กล่าวกันตามจริงแล้ว องค์ชายที่ไร้ที่พึ่งพิงนั้นยังไม่มีศักดิ์ศรีเท่ากับคุณชายผู้สืบทอดจวนโหวด้วยซ้ำ


 


 


แต่ก็มิทราบด้วยเหตุใด เซียวอู๋ซังกลับถูกชะตากับองค์ชายหกมาตั้งแต่เยาว์วัยแล้วจึงประกาศตนเป็นสหายเล่าเรียนของเขา ไม่ทราบว่าทำให้องค์ชายหลายพระองค์และคนอื่นๆ ต้องทอดถอนใจด้วยความเสียดายมากมายเท่าใด


 


 


และด้วยเหตุนี้เององค์ชายหกจึงมิได้เห็นเซียวอู๋ซังเป็นเพียงสหายเล่าเรียนเท่านั้น แต่คนทั้งสองยังปฏิบัติต่อกันอย่างสหายรู้ใจ


 


 


เจินจิ้งเป็นอนุที่กลับไปดูแลบำรุงครรภ์ที่จวนบิดาตน หลังจากที่เซียวอู๋ซังทราบก็ลอบยิ้มกับตนเองอยู่นาน ในใจก็กล่าวว่าองค์ชายหกใส่ใจสตรีผู้หนึ่งถึงเพียงนี้ ดูท่าคงมิได้แค่ชมชอบธรรมดาเสียแล้ว มิน่าเล่าตอนไปที่เป่ยเหอจึงได้พานางไปด้วย


 


 


ได้ยินวาจาหยอกล้อของเซียวอู๋ซัง องค์ชายหกก็ยิ้มพลางเอ่ยดุว่า “พูดจาเหลวไหล!”


 


 


“พูดจาเหลวไหล? เหลวไหลหรือ?” เซียวอู๋ซังเหล่ตาจ้อง “องค์ชายหก พระองค์ก็ต้องระวังไว้บ้างเช่นกัน อย่าได้ให้ขุนนางหลวงคนได้รู้เข้าเล่า”


 


 


แม้นองค์ชายหกจะยังไม่มีพระชายาแต่หากโปรดปรานอนุคนหนึ่งอย่างออกหน้าออกตาเกินไป ในสายตาของขุนนางหลวงคร่ำครึย่อมมีแต่คำตำหนิด่าว่าเท่านั้นแล้ว


 


 


องค์ชายหกยกแส้หวดม้าฟาดใส่เซียวอู๋ซังเบาๆ คราหนึ่ง แล้วเอ่ยด่าว่า “เจ้านั้นแลที่นับวันยิ่งกำเริบเสิบสาน”


 


 


ตามด้วยการตบหลังม้าคราหนึ่ง “เอาล่ะ ข้าไปก่อนแล้ว เจ้าก็ระวังปากตนให้ดีแล้วกัน”


 


 


แม้นองค์ชายหกจะเอ่ยเช่นนั้นแต่ในใจกลับมิได้ไยดีอันใด


 


 


ในวังที่อันตรายมากด้วยเล่ห์กล หากเขามิทำตัวไม่ได้ความ องค์ชายที่ไม่มีมารดาคอยปกป้องเช่นเขา เกรงว่าต้นหญ้าในสุสานตนคงสูงท่วมหัวไปแล้ว ไหนเลยจะอยู่มาจนเติบใหญ่อย่างเช่นทุกวันนี้ได้


 


 


ครั้นเห็นองค์ชายหกควบม้าฝุ่นตลบจากไป เซียวอู๋ซังก็ส่ายหน้า แล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เฮ้อ ผู้กล้ามิอาจผ่านด่านหญิงงามได้จริงๆ เหตุใดหญิงงามที่ทำให้ข้ามิอาจผ่านด่านไปได้นั้น ถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่ปรากฏตัวอีกเล่า?”


 


 


เมื่อรถม้าหยุดที่หน้าประตูจวนเจี้ยนอานปั๋ว เจินเมี่ยวก็ยกกระโปรงกระโดดลงทันทีโดยมิรอให้ผู้ใดมาประคอง


 


 


ขณะกำลังจะเดินเข้าไป พลันได้ยินเสียงฝีเท้ามาดังลอยมา นางจึงหันหลังกลับไปมอง หลัวเทียนเฉิงก็ได้มาหยุดตรงหน้านางแล้ว


 


 


เขากระโดดลงจากหลังม้า เดินเข้ามาหานางอย่างรวดเร็วแล้วดึงเจินเมี่ยวเข้ามากอดก่อนตบหลังนางแผ่วเบาคราหนึ่งโดยมิสนใจสายตาผู้ใด “ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ทั้งคน”


 


 


ชั่วขณะนั้นเองที่ขอบตาเจินเมี่ยวพลันแดงเรื่อขึ้นมา จึงมิกล้าเงยหน้าขึ้นได้แต่พยักหน้าหงึกหงักคราหนึ่ง


 


 


คนทั้งสองไปที่เรือนหนิงโซ่วก่อน


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วดูซูบลงไปหลายส่วน เจินเมี่ยวเห็นแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงจึงร้องเรียกท่านย่าคำหนึ่ง


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า “ไปดูมารดาเจ้าเถิด คราแรกที่ทราบเรื่องก็หมดสติไป ครู่ใหญ่จึงฟื้นขึ้นมา พี่รองของเจ้าอายุครรภ์มากแล้วจึงมิได้ส่งสารไปแจ้งนาง”


 


 


กล่าวจบก็หลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย ในใจก็เกิดความรู้สึกไม่พอใจต่อนางเวินขึ้นมาหลายส่วน


 


 


หากเรื่องการตายของคุณหนูผู้เป็นญาติที่มาพักอาศัยที่จวนแพร่ออกไป จวนปั๋วย่อมไม่มีชื่อเสียงใดๆ ให้นับหน้าถือตาอีกแล้ว อย่างอื่นนั้นก็ช่างเถิด แต่ที่น่าสงสารคือปิงเอ๋อร์กับอวี้เอ๋อร์ ขออย่าให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ กับงานมงคลของพวกนางเลย


 


 


“ท่านย่า เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่สบายใจเช่นกัน เจินเมี่ยวก็ยื่นมือออกไปกุมมือฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเขย่าเบาๆ “ท่านย่า รอข้าไปเยี่ยมท่านแม่ก่อนแล้วจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนท่านเจ้าค่ะ”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าตบหลังมือเจินเมี่ยวคราหนึ่ง “ไปเถิด เด็กดี”


 


 


ครั้นเจินเมี่ยวถึงสวนเหอเฟิงก็เห็นนางเวินนอนพิงหมอนข้างด้วยใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ท่าทีเหม่อลอย คิดไม่ถึงว่าจากกันแค่เพียงครู่เดียวมารดากลับดูแก่ขึ้นไปนับสิบปี


 


 


แต่ที่ยากจะพบเห็นได้นั้นกลับมีนายท่านสามสกุลเจินนั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย


 


 


เจินเมี่ยวรีบเดินเข้าไปนั่งลงแอบอิงตรงเข่าของนางเวินแล้วเงยหน้าขึ้น “ท่านแม่ ลูกกลับมาแล้ว”


 


 


นัยน์ตานางเวินเคลื่อนลงมองเจินเมี่ยวแต่กลับไม่มีความรู้สึกใดๆ อยู่ในนั้น นางเพียงพึมพำว่า “ข้ากลัวว่านางเกิดเรื่องจึงส่งคนไปคอยเฝ้าไว้ นางบอกว่าจะไปห้องอาบน้ำ แค่เพียงครู่เดียว แค่ครู่เดียวเท่านั้น นางก็แขวนคอ…อยู่ในห้องอาบน้ำแล้ว”


 


 


นางเวินพูดประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา เจินเมี่ยวยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นใจ นางมองนายท่านสามสกุลเจิน “ท่านพ่อ ท่านแม่เป็นเช่นนี้มาตลอดเลยหรือ?”


 


 


นายท่านสามสกุลเจินพยักหน้า “ตั้งแต่เห็นศพญาติผู้น้องของเจ้า แม่เจ้าก็เป็นเช่นนี้แล้ว ท่านหมอบอกว่านางสะเทือนใจมาก”


 


 


เจินเมี่ยวถอนหายใจออกมา


 


 


หลัวเทียนเฉิงบีบมือนางไว้ “อย่าร้อนใจไปเลย หมอหลวงอู๋เชี่ยวชาญเรื่องนี้ยิ่ง ข้าจะไปเชิญเขามาเอง”


 


 


ความจริงแล้วหากผู้ใดมีสิทธิ์เชิญหมอหลวงก็แค่ให้ผู้ดูแลจวนที่เชื่อถือได้ไปเชิญมาก็พอ แต่วันนี้หมอหลวงอู๋ไปเข้าเวรในวังหลวง หากคิดจะเชิญเขาออกมาจากวังนั้นจึงมิใช่เรื่องง่ายนัก


 


 


แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมมิจำเป็นต้องนำมาสาธยายแล้ว


 


 


ยามนี้เจินเมี่ยวจิตใจสับสนวุ่นวายยิ่งย่อมมิคิดอันใดให้มากความก็พยักหน้ารับทันที


 


 


หลัวเทียนเฉิงยกมือขึ้นประกบกันเป็นการแสดงความเคารพนายท่านสามสกุลเจิน “ท่านพ่อตา ข้าขอตัวก่อนแล้ว”


 


 


นายท่านสามสกุลเจินรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่ได้รับการใส่ใจเช่นนี้ จึงเอ่ยออกไปว่า “อืมๆ รีบไปเถิด”


 


 


ที่ผ่านมาบุตรเขยคนนี้เย็นชาต่อเขาอยู่เสมอ แม้นจะมิเคยเสียมารยาทกับเขา แต่หากมิใช่คนโง่ก็ย่อมรับรู้ได้


 


 


ทำอย่างไรในเมื่อบุตรเคยผู้นี้ช่างสูงศักดิ์นัก เขาเองก็ไร้หนทางทำอันใดได้


 


 


หลัวเทียนเฉิงเห็นเช่นนั้นมุมปากก็หยักยกขึ้นเล็กน้อย


 


 


พ่อตาท่านนี้ทำตัวเหลวไหลมาแต่ไหนแต่ไรทำให้แม่ยายเขาต้องทุกข์ใจ เจี๋ยวเจี่ยวก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย เขาจึงคร้านจะปั้นหน้ากับพ่อตาผู้นี้เป็นธรรมดา แค่มิทำให้เจี๋ยวเจี่ยวต้องอับอายขายหน้าก็พอแล้ว


 


 


วันนี้เห็นเขามาเฝ้าท่านแม่ยายอยู่ในห้องนี้ด้วย นับว่ามีจิตสำนึกอยู่บ้าง วันนี้จึงเก็บท่าทีเฉยเมยที่มักแสดงออกไว้


 


 


หลังจากที่หลัวเทียนเฉิงจากไปได้ไม่นาน สตรีผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง ในมือยกถาดใบหนึ่งมาด้วย


 


 


เจินเมี่ยวเหลือบสายตาขึ้นมอง ที่แท้ก็เป็นลี่อี๋เหนียง เบื้องลึกนัยน์ตาเผยแววหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดานั้นเฉยชาต่อกันมาตลอด เวลาส่วนใหญ่ของนายท่านสามสกุลเจินมักพักผ่อนอยู่กับลี่อี๋เหนียง หรือไม่ก็ห้องตำรา ทั้งที่นางเวินเพิ่งจะอายุสามสิบกว่าเท่านั้น


 


 


“เจ้ามาได้อย่างไร?” นายท่านสามสกุลเจินเอ่ยถาม


 


 


“ข้าต้มโจ๊กมาให้ไท่ไท่เจ้าค่ะ”


 


 


“ไท่ไท่ไม่ค่อยสบาย เจ้ากลับไปก่อนเถิด”


 


 


ลี่อี๋เหนียงกัดริมฝีปากตนเอ่ยรับคำด้วยเสียงอ่อนโยน แต่สายตากลับมองนายท่านสามสกุลเจินอย่างอาลัยอาวรณ์แล้วจึงจากไป


 


 


ไม่ทราบเพราะอยู่ต่อหน้าบุตรสาวหรือไม่ นายท่านสามสกุลเจินถึงไม่มองลี่อี๋เหนียงแม้เพียงสักนิด แต่กลับลูบจมูกตนด้วยท่าทีประหม่า แล้วเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าเมื่อใดบุตรเขยจึงจะเชิญหมอหลวงออกมาได้”


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจยิ่ง แต่สีหน้ากลับอ่อนโยนขึ้นมาก “น่าจะใกล้แล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ครั้นเห็นสายตาที่นายท่านสกุลสามมองนางเวินนั้นมีความห่วงใหญ่อยู่หลายส่วน เจินเมี่ยวจึงคิดบางอย่างขึ้นได้ นางลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อท่านอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ก่อน ข้าจะไปถามท่านป้าว่าต้องจัดการเรื่องของญาติผู้น้องเช่นใดบ้าง”


 


 


ท่านแม่พบกับเรื่องสะเทือนใจเช่นนี้ หากท่านพ่อเกิดสงสารเห็นใจ ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นโอกาสอันดีที่พวกเขาจะกลับมาคืนดีกันอีกครา ซึ่งนางก็มิได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องขัดตาอันใด


 


 


เมื่อเจินเมี่ยวเดินออกไปก็เรียกจิ่นผิงสาวใช้ใหญ่คนสนิทของนางเวินมาสอบถามเรื่องของเวินยาฉีอย่างละเอียด


 


 


จิ่นผิงบอกว่า “ไท่ไท่กลัวว่าจะเกิดเรื่องกับคุณหนูเวิน จึงสั่งให้พวกเราตามติดทุกฝีก้าว กระทั่ง…”


 


 


“ถึงขั้นนี้แล้ว มีอันใดก็พูดมาเถิด”


 


 


“คุณหนูเวินเอาแต่ตำหนิต่อว่ากูไหน่ไหน่สาม กระทั่งด่าว่าสาปแช่งไม่เหลือชิ้นดี” จิ่นผิงมองหน้าเจินเมี่ยว ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ผ่านไปไม่นานเรือนเซี่ยเยียนก็ให้คนนำผ้าปักที่ปักเสร็จเพียงครึ่งหนึ่งมามอบให้ทั้งนำวาจาของกูไหน่ไหน่สามมาด้วย”


 


 


“วาจาอันใด?” เจินเมี่ยวกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว


 


 


“กูไหน่ไหน่สามบอกว่า…คิดว่าต่อไปคุณหนูเวินคงมิไปเย็บปักกับนางแล้ว ของพวกนี้ก็เก็บไว้เองเถิด”


 


 


“หลังจากนั้นเล่า?”


 


 


“แล้วคุณหนูเวินก็หยุดด่าว่านางแต่เปลี่ยนเป็นนิ่งเงียบแทน พวกเราคิดว่าคุณหนูเวินคิดได้แล้ว ภายหลังคุณหนูเวินบอกว่าอยากไปอาบน้ำ พวกเราบ่าวไพร่จึงมิสะดวกตามไป แต่เมื่อเข้าไปอยู่พักใหญ่ก็มิเห็นคุณหนูเวินออกมา พวกบ่าวรู้สึกไม่ชอบกลจึงบุกเข้าไปด้านใน สุดท้ายพบคุณหนูเวินห้อยอยู่บนขื่อ เมื่อเอาคนลงมาก็พบว่าสิ้นใจแล้ว”


 


 


“เจินจิ้ง”


 


 


เจินเมี่ยวกัดฟันพึมพำสองคำนี้ออกมา โทสะลูกหนึ่งปะทุขึ้นบนศีรษะ


 


 


คนหัวใจอสรพิษก็เป็นเช่นนี้กระมัง


 


 


เจินเมี่ยวมิพูดอันใดให้มากความอีก นางพาจื่อซูและชิงไต้ไปที่เรือนเซี่ยเยียนทันที จิ่นผิงเห็นท่าทีมิชอบกลจึงรีบไปรายงานฮูหยินใหญ่สกุลเจี่ยง


 


 


นางเจี่ยงได้ฟังก็ลอบเอ่ยในใจว่าแย่แล้ว เกิดเรื่องย่ำแย่ขึ้นในจวนเช่นนี้เกรงว่าคงเป็นฝีมือการชักนำของเจินจิ้งสตรีเลวทรามนั้นแล้ว แต่อย่างไรนางก็กำลังตั้งครรภ์พระราชนัดดาอยู่ หากนางเป็นอันใดขึ้นมาคงร้ายแรงถึงชีวิตเป็นแน่!


 


 


นางเจี่ยงจึงพาคนติดตามไปด้วยตนเอง 

 

 


ตอนที่ 294 ลำเอียง

 

นางเจี่ยงเพิ่งจะพาคนออกไปจากสวนหมิงหวา เตียวหลานสาวใช้ใหญ่ที่คอยเฝ้าอยู่ที่เรือนก็ตามออกมา


 


 


“มีอันใดจึงรีบร้อนเพียงนี้?” เกิดเรื่องมากมายขึ้นเช่นนี้ นางเจี่ยงยิ่งทนไม่ได้ที่เห็นผู้คนเป็นเช่นนี้ หากมิรู้จักสุขุม ภายในจวนก็จะยิ่งวุ่นวายมากขึ้นไปอีก


 


 


“ฮู…ฮูหยิน นายท่านมากับองค์ชายหก ตอนนี้กำลังรอท่าอยู่ที่ห้องโถงเจ้าค่ะ”


 


 


“หา?” นางเจี่ยงที่มีความสุขุมเสมอมานั้นถึงกลับเปลี่ยนสีหน้า


 


 


องค์ชายหกมาจวนในยามนี้เพื่อมาเยี่ยมเจ้าสามหรือ?


 


 


เจ้าสามสำคัญกับองค์ชายหกถึงเพียงนี้เชียวหรือ?


 


 


ครั้นคิดถึงเจินเมี่ยวที่ไปยังเรือนเซี่ยเยียน นางเจี่ยงก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมากกว่าเดิม


 


 


นางจึงรีบย้อนกลับไปทันที องค์ชายหกกำลังนั่งสนทนาอยู่กับนายท่านใหญ่สกุลเจินอยู่จริงๆ


 


 


นางเจี่ยงรีบถวายพระพรทันที


 


 


องค์ชายหกเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าแค่ว่างจึงมาเยี่ยมเท่านั้น มิทราบจิ้งเหนียงพักอยู่ที่ใดหรือ?”


 


 


นางเจี่ยงมีสีหน้าประหลาดใจ


 


 


ในใจก็กล่าวว่า ท่านมาหาอนุของตนถึงจวนด้วยสีหน้าชื่นมื่นเช่นนี้ เหมาะสมแล้วจริงๆ หรือ?


 


 


“จิ้งเหนียงพักอยู่ที่เรือนเซี่ยเยียนเพคะ”


 


 


“เอ๊ะ ข้าเหมือนจะเห็นรถม้าของจวนเจิ้นกั๋วกง เจียหมิงกลับมาที่จวนหรือ? ว่าไปแล้ว เราพี่น้องก็มิได้พบหน้ากันนานแล้ว”


 


 


มิได้พบกันนานแล้ว?


 


 


นางเจี่ยงบิดเบ้ริมฝีปากตน


 


 


เหลือเกินจริงๆ เมี่ยวเอ๋อร์เพิ่งจะขว้างน่องไก่ใส่มือสังหารในงานเลี้ยงฉลองวันตรุษ ผู้คนต่างรู้ไปทั่วทั้งเมืองหลวง องค์ชายหก อย่าบอกว่าพระองค์ไม่ทราบ!


 


 


แล้วพี่น้องอันใดกัน พูดออกมาอย่างคล่องปากทั้งที่อยู่ในจวนบิดาเมี่ยวเอ๋อร์เช่นนี้มันดีแล้วจริงๆ หรือ?


 


 


“ทูลองค์ชายโดยมิปิดบังว่าเกิดเรื่องขึ้นที่จวนเรานิดหน่อย ดังนั้นเซี่ยนจู่จึงได้กลับมาเพคะ”


 


 


ความอยากรู้วูบผ่านเข้ามาในดวงตาองค์ชายหก “เช่นนั้นข้าก็มาได้ไม่ถูกเวลาจริงๆ”


 


 


นางเจี่ยงลอบผ่อนลมหายใจอยู่ในอก


 


 


ดูท่าองค์ชายหกก็พอจะทราบว่าอันใดเหมาะสมหรือไม่อยู่บ้าง เกิดเรื่องขึ้นที่จวนก็ควรกลับไปได้แล้วกระมัง หากให้เขารู้ว่าเวลานี้อนุน้อยของตนกำลังทะเลาะกันอยู่กับเมี่ยวเอ๋อร์ นั้นคงไม่ดีแน่


 


 


องค์ชายหกจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงใจว่า “เกิดอันใดขึ้นหรือ? หากมีอันใดให้ข้าช่วย ฮูหยินก็บอกมาได้เลย”


 


 


นางเจี่ยงที่มีความสุขุมรอบคอบอยู่เสมอถึงกลับอดยกมือขึ้นกุมหน้าผากมิได้


 


 


องค์ชายหกลูบจมูกตน “โอ๊ะ ดูท่าข้าคงจะคิดมากเกินไป”


 


 


เขาลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก ปากก็เอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าเจียหมิงอยู่ที่ใดหรือ?”


 


 


นางเจี่ยงถึงกลับเซถลาจนเกือบหกล้มเพราะชายกระโปรงตนเสียแล้ว


 


 


นางจักต้องฟังผิดอย่างแน่นอน องค์ชายหกมาถึงจวนมิได้มาเยี่ยมเจ้าสามหรอกหรือ?


 


 


องค์ชายหกหันหน้ากลับมาเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้านว่า “เป็นเพราะเจียหมิงแท้ๆ ทำให้ข้ารอดพ้นอันตรายจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงครั้งนั้น ข้ายังมิได้เอ่ยขอบคุณนางอย่างเป็นทางการเลยสักครา”


 


 


“เซี่ยนจู่…” นางเจี่ยงลังเลขึ้นมา


 


 


หากพูดความจริงไปจะไม่มีปัญหาอันใดจริงๆ หรือ?


 


 


ในขณะที่นางลังเลอยู่นั้นก็พลันเห็นองค์ชายหกหุบยิ้มลงจึงหวาดหวั่นขึ้นมา


 


 


นางลืมไปได้อย่างไรกันว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้านางนี้คือองค์ชาย!


 


 


นางเจี่ยงไม่กล้าลังเลอีก นางรีบเอ่ยขึ้นว่า “เวลานี้เซี่ยนจู่นางจะอยู่ที่เรือนเซี่ยเยียนเพคะ”


 


 


“เช่นนั้นหรือ” ดวงตาเรียวเล็กคู่นั้นขององค์ชายหกพลันหรี่ลง เผยรอยยิ้มอันเจิดจ้าขึ้น “เช่นนั้นก็ถือโอกาสไปเยี่ยมจิ้งเหนียงด้วยเสียเลย”


 


 


นางเจี่ยงจึงนำทางไปอย่างมึนงง นางรู้สึกอยู่เสมอว่าคล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง!


 


 


นายท่านใหญ่สกุลเจินเองก็นั่งลูบเคราครุ่นคิดอยู่ในห้องโถงด้วยความมึนงง เขารู้สึกเหมือนมีปัญหาเกิดขึ้นที่ตรงใดสักแห่ง!


 


 


ณ เรือนเซี่ยเยียนที่กำลังเกิดการวิวาทยกดาบโก่งคันศรใส่กันอยู่นั้น


 


 


“น้องสี่มาได้อย่างไรกัน?” เจินจิ้งมองเจินเมี่ยวอย่างพิจารณาด้วยท่าทีเคร่งขรึมไม่ร้อนรนใดๆ


 


 


“ญาติผู้น้องของข้าตายแล้ว” ครั้นเห็นท่าทีสบายอกสบายใจของเจินจิ้งแล้ว โทสะในใจเจินเมี่ยวก็ยิ่งทวีเพิ่มขึ้น แต่ใบหน้ากับเรียบนิ่งจนทำให้คนหวั่นใจ


 


 


เจินจิ้งถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ นางหยุดแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ ข้าก็ได้ยินมาเช่นนั้น น้องสี่อย่าเศร้าใจไปเลย เจ้าต้องดูแลอาสะใภ้สามอีก”


 


 


เจินเมี่ยวก็คลี่ยิ้มออกมาเช่นกัน “วางใจเถิด ข้าไม่มีทางอ่อนแอเช่นมารดาข้าแน่ เจินจิ้ง ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเด็กสาวที่อายุเพิ่งจะสิบห้าผู้หนึ่งต้องตายไปเช่นนั้น ใจของเข้าไม่รู้สึกอันใดบ้างเลยหรือ? มิกลัวกรรมตามสนองบ้างหรือไร?”


 


 


“กรรมตามสนอง?” เจินจิ้งหัวเราะหึๆ ออกมา “น้องสี่วาจานี้ช่างถามได้ดีนัก ข้าก็อยากถามเจ้าเช่นกัน ตอนนั้นที่งานมงคลของข้าต้องล่มไปเพราะเจ้า เจ้าเคยกลัวกรรมตามสนองบ้างหรือไม่?”


 


 


เจินเมี่ยวหรี่ตาลง “ข้าไม่กลัว ต่อให้เคยทำผิดต่อเจ้าจริง แต่เจ้าก็เอาคืนไปหลายคราแล้ว เจินจิ้ง คงไม่เพราะเจ้าดวงซวย ทั้งแผนการเอาคืนยังไม่สำเร็จ จึงรู้สึกว่าตนมิเคยทำอันใดมาก่อนกระมัง?”


 


 


“ใครดวงซวย?” หน้ากากอันงามสง่าของเจินจิ้งค่อยๆ แตกร้าวออกมา นางเอ่ยย้อนถามด้วยท่าทีแค้นเคือง


 


 


เจินเมี่ยวเองก็โกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว หากแข่งเรื่องพูดจาเฉือนใจคน นางเคยกลัวผู้ใดที่ไหน จึงแค่นเสียงหึคราหนึ่งด้วยท่าทีเย็นชางามสง่า “แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าที่ดวงซวย มิเช่นนั้นคุณหนูเต็มจวนเหตุใดจึงมีแค่เจ้าที่เกิดกับอนุเล่า?”


 


 


เมื่อเห็นเจินจิ้งสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เจินเมี่ยวก็ยิ่งเอ่ยวาจาร้ายกาจกว่าเดิม “เจ้าก็ยังไปเป็นอนุเช่นกันอีก ภายหน้าหากคลอดบุตรสาวออกมา พวกเจ้าสองแม่ลูกก็คงกลายเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของอี๋เหนียงเจ้าแล้วกระมัง!”


 


 


“เจ้า เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! ” เจินจิ้งผลักสาวใช้ตน แล้วเดินขึ้นหน้าไป “เจินเมี่ยว เจ้ายังกล้าเอ่ยถึงอี๋เหนียงของข้าอีกหรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวแคะหูตนคราหนึ่ง “ข้าได้ยินมิผิดกระมัง นั้นเป็นอี๋เหนียง มิใช่ท่านแม่เสียหน่อย เหตุใดจึงเอ่ยถึงมิได้เล่า?”


 


 


เส้นโลหิตบนขมับของเจินจิ้งปูดโปนขึ้นมาทันใด มือสั่นเทิ้ม นางสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสะกดกลั้นโทสะนั้นไว้ แล้วฟื้นคืนท่าทีนิ่งขรึมดังเดิม “เจินเมี่ยว ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร ตอนนี้ญาติผู้น้องของเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าแม่เจ้ายังคงเลอะเลือนไม่ได้สติ เจ้าไม่กลับไปปรนนิบัติดูแลแต่กลับมาที่นี่เพื่ออันใด?”


 


 


พูดพลางลูกท้องน้อยตนเบาๆ และเอ่ยขึ้นอีกว่า “ข้าก็จะบอกเจ้าอย่างไม่ปิดบังเช่นกันว่าข้าเองก็ไม่กลัวกรรมตามสนองดอก เพราะการตายของญาติผู้น้องเจ้าไม่เกี่ยวอันใดกับข้า หากเจ้ายังไร้เหตุผลอยู่เช่นนี้ก็เป็นแค่การก่อเรื่องให้เสื่อมเกียรติตนเท่านั้น แล้วมันก็จะค่อยๆ กัดกินตำแหน่งฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดของเจ้าให้หมดสิ้นไป ”


 


 


“ไร้เหตุผลงั้นหรือ?” เจินเมี่ยวชำเลืองมองเจินจิ้งด้วยรอยยิ้มตาหยี พลันยกมือขึ้นฟาดลงไปที่ข้างแก้มของนางอย่างแรงและเร็วกว่าฟ้าแลบเสียอีก


 


 


เสียงเพี๊ยะดังกังวานขึ้นพาให้ทุกคนตื่นตกใจไปหมด รวมทั้งเจินจิ้งด้วย นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า            เจินเมี่ยวจะกล้าตบนางที่กำลังตั้งครรภ์อยู่!


 


 


เจินเมี่ยวมองข้ามความตระหนกของคนทั้งหลายแล้วเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “เห็นหรือไม่ แม้แต่การทำเช่นนี้ก็ยังมินับว่าไร้เหตุผล ก่อนหน้านี้ข้าเพียงพูดจาเท่านั้น เหตุใดจึงกลายเป็นก่อเรื่องอย่างไร้เหตุผลแล้วเล่า? เจินจิ้ง ข้าจะบอกเจ้าให้ หากเจ้ามิได้ตั้งครรภ์อยู่ ทารกเป็นผู้ไร้ความผิด ข้าคงกระทืบเจ้าจนกลายเป็นสุกรตัวหนึ่งไปแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าจะเข้าใจเองว่าอันใดคือการก่อเรื่องอย่างไร้เหตุผล!”


 


 


เจินจิ้งโกรธจนตัวสั่น พลันก็มองเห็นเงาร่างหนึ่ง นางขมวดคิ้วขึ้นทันใด แล้วกุมท้องตนนั่งลงกับพื้น เอ่ยด้วยเสียงหายใจเหนื่อยหอบว่า “บ่าวไพร่เช่นพวกเจ้าตายไปแล้วหรือไร ถึงปล่อยให้นางรังแกข้า? หรือเห็นว่านางเป็นเซี่ยนจู่ ข้าเป็นเพียงอนุที่ไม่มียศศักดิ์ใด…”


 


 


สาวใช้และแม่นมที่ติดตามมาจากตำหนักองค์ชายต่างก็หน้าเปลี่ยนสีไป ด้านหนึ่งก็เข้าไปประคองเจินจิ้ง อีกด้านก็จ้องเจินเมี่ยวด้วยความระแวดระวัง หางตาจึงหัดไปเห็นเงาตรงหน้าตนแล้วคุกเข่าลงแทบไม่ทัน “องค์ชายหก”


 


 


เจินจิ้งถูกประคองให้ยืนขึ้นด้วยใบหน้าขาวซีด นางกุมท้องตนแล้วมองไปยังทิศทางนั้น พลันน้ำตาก็ไหลออกมา ขนตาสั่นระริก แล้วร้องเรียกขึ้นด้วยท่าทีอ่อนแอ “องค์ชาย หม่อมฉันมิได้ดูแลบุตรของพระองค์ให้ดี…”


 


 


เจินเมี่ยวหันกลับไปมองก็เห็นใบหน้าหล่อเหล่าขององค์ชายหกกำลังเหม่อลอยอยู่ เห็นชัดว่ากำลังอึ้งงันกับวาจาด่ากราดของนางนั้นเอง


 


 


ไม่ทราบด้วยเหตุใดจึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาอย่างที่สุด


 


 


บุรุษของนางยังไม่กลับมาสักหน่อย เหตุใดบุรุษของเจินจิ้งกลับโผล่เข้ามาอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ จะมาหาเรื่องนางเพราะต้องการปกป้องอนุตนงั้นหรือ?


 


 


เมื่อได้ยินวาจาอันน่าสะอิดสะเอียนของเจินจิ้ง เจินเมี่ยวก็ไม่รู้สึกเสียใจกับการกระทำเมื่อครู่ของตนเลยสักนิด


 


 


ตบตีคนต้องรีบลงมือจริงๆ หากองค์ชายหกมาเร็วกว่านี้อีกก้าว นางคงไม่มีโอกาสนี้แล้ว


 


 


สายตาจ้องมองความภาคภูมิใจที่ซ่อนอยู่นั้นของเจินจิ้ง เจินเมี่ยวจึงอาศัยจังหวะที่คนเหล่านั้นคุกเข่าลงบนพื้นไม่มีผู้ใดคอยปกป้องเจินจิ้ง กระทำเรื่องอันน่าตกตะลึง


 


 


นางเปิดกระโปรงของเจินจิ้งขึ้นด้วยความรวดเร็วแล้วหันหน้าวิ่งไปหาองค์ชายหก น้ำตาคลอเอ่อเต็มนัยน์ตาทั้งสองข้าง “เสด็จพี่ นางใส่ร้ายข้า ไม่มีโลหิตสักหยด เห็นชัดว่าเด็กน้อยยังคงอยู่ในท้องนางอย่างปลอดภัย”


 


 


เขามองใบหน้าที่คุ้นเคยหน้าที่สุดนั้นแล้วแม้นจะรู้ว่ามิใช่คนเดียวกัน แต่น้ำตาขอนางก็ยังคงทำให้เขาเจ็บปวดใจขึ้นมาอย่างมิอาจห้ามได้ ทว่าท่าทีดั่งเด็กน้อยที่กำลังโมโหนั้นกลับทำให้เขารู้สึกขบขันอย่างที่สุดเช่นกัน


 


 


“ผู้ใดกล้าใส่ร้ายเจียหมิงหรือ พูดมาสิ เสด็จพี่จะทวงความเป็นธรรมให้เจ้าเอง”


 


 


หากไม่พูดยามนี้แล้วจะรอเมื่อใดกัน


 


 


เจินเมี่ยวพูดออกมาจนหมดดั่งกระบอกไม้ไผ่ที่ถูกเทคว่ำ สุดท้ายจึงสรุปว่า “ทุกอย่างก็เป็นเช่นนี้แล นางบีบบังคับให้ญาติผู้น้องของข้าต้องตาย ทั้งยังบอกว่าข้าก่อเรื่องอย่างไร้เหตุผล ข้าทนไม่ไหวจึงตบนางไปฉาดหนึ่ง ข้าตบหน้านางแต่นางกลับกุมท้องไว้ ทั้งยังบอกว่ามิได้ดูแลบุตรไว้ให้ดี เสด็จพี่หก ข้าเป็นสตรีเช่นกัน ข้าจะโหดร้ายขนาดทำลายบุตรที่อยู่ในครรภ์ของผู้อื่นเชียวหรือ? หากเรื่องนี้แพร่ออกไปข้าจะมีหน้าไปมองผู้คนได้เช่นไร?”


 


 


พูดพลางกัดริมฝีปากเอ่ยอีกว่า “เห็นชัดว่านางคิดการใหญ่ไปเรื่อย หลังจากบีบบังคับจนญาติผู้น้องข้าตายแล้วก็คิดจะบีบให้ข้าตายตามไปด้วย!”


 


 


เจินเมี่ยวแค่นยิ้มเย็นอยู่ในใจ


 


 


เจินจิ้งลืมไปแล้วจริงว่ายามนี้นางคือเจียหมิงเซี่ยนจู่ องค์ชายหกก็คือญาติผู้พี่ของนางอย่างถูกต้องตามหลักทุกประการ


 


 


นางก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า องค์ชายหกจะปกป้องน้องสาวหรือปกป้องอนุเล็กๆ กันแน่!


 


 


หาก หากปกป้องอนุ ฮึ นางก็ยังมีซื่อจื่อมิใช่หรือ ซื่อจื่อเป็นคนของนาง อย่างไรก็ต้องปกป้องนางอยู่แล้ว


 


 


ครั้นคิดได้เช่นนี้ เจินเมี่ยวก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยที่เมื่อครู่ตบนางแค่ครั้งเดียว!


 


 


แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็คิดว่าช่างเถิด อย่างไรเสียนางก็ตั้งครรภ์อยู่ หากทำให้เด็กแท้งออกมาจริงๆ นางเองก็ทำไม่ลง


 


 


เจินจิ้งโกรธจนแทบบ้าไปแล้ว คิดไม่ถึงว่านางจะกล้ากล่าวฟ้องเช่นนี้ นางมีสิทธิ์อันใด?


 


 


เจินจิ้งรีบวิ่งเข้าไปหยุดตรงหน้าองค์ชาย น้ำตาเกาเต็มแพขนตา ท่าทางน่าสงสาร “องค์ชาย ตั้งแต่หม่อมฉันมาอยู่ที่จวนปั๋วก็มิได้ออกไปไหนเลยแม้แต่นอกเรือนตน เหตุใดจะทำให้ญาติผู้น้องไปร่วมงานเทศกาลโคมไฟได้ ทั้งยังไปสัญญารักกับบุรุษหนุ่มอีกด้วย? น้องสี่พูดเช่นนี้เห็นชัดว่าต้องการสาดน้ำสกปรกใส่หม่อมฉัน หม่อมฉันฐานะต่ำต้อย ชื่อเสียงไม่ดีก็ช่างเถิด แต่ทารกในครรภ์ต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะหม่อมฉันเป็นต้นเหตุ หม่อมฉันไหนเลยจะมีหน้าไปพบพระองค์ได้”


 


 


เจินเมี่ยวกระโดดข้ามหน้าสตรีที่ร่ำไห้ดุจดอกหลีต้องพิรุณเข้าไปหาองค์ชายหกแล้วเอ่ยว่า “เสด็จพี่ท่านดูเอาเถิด ข้าพูดไม่ผิดกระมัง นางปวดท้องแต่ยังวิ่งเร็วถึงเพียงนี้ ที่แท้แล้วผู้ใดกันแน่ที่สาดน้ำสกปรกใส่ผู้อื่น แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว”


 


 


เจินจิ้งทราบดีว่าหากโต้แย้งอันใดในยามนี้ย่อมไม่ดีแน่ จึงทำเพียงมององค์ชายหกด้วยความอ่อนโยนและเสียใจ แม้นมิได้พูดอันใดแต่สายตาที่สื่อออกไปกลับบอกสิ้นถึงทุกความรู้สึก


 


 


องค์ชายหกกลับถูกคำเรียกว่า ‘เสด็จพี่’ ของเจินเมี่ยวทำให้หวั่นไหว นางเรียกว่าเสด็จพี่มิใช่เสด็จพี่หก


 


 


ครั้นมองท่าทีงดงามอ่อนโยนของเจินเมี่ยวแล้วหันไปมองใบหน้าโกรธขึ้งของเจินเมี่ยว หัวใจดวงนั้นก็ลำเอียงขึ้นมาอย่างที่สุด นางยกมุมปากขึ้นเอ่ยว่า “จิ้งเหนียง หากรู้สึกว่ายากที่จะเผชิญหน้ากับข้าได้ก็ทำแท้งไปเสียเถิด”


 


 


เจินจิ้งกับเจิ้นเมี่ยวเบิกตากว้างอ้าปากค้างขึ้นพร้อมกัน


 


 


“องค์ชาย!” ครานี้เจินจิ้งรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาที่หัวใจจริงๆ กระทั่งลามไปถึงท้องน้อย ร่างของนางเซถลาจนแทบจะล้มลงไปแต่แม่นมที่อยู่ด้านหลังก็มือไวจึงพยุงนาไว้ได้ทัน


 


 


เจินเมี่ยวยังคงมีสีหน้ามึนงง ในใจกลับร้องคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง


 


 


องค์ชายหก ท่านช่างชั่วช้านัก บรรดาสตรีที่เรือนหลังทราบเรื่องนี้บ้างหรือไม่?

 

 

 


ตอนที่ 295 เส้นทางที่มืดมิดกลับมีแสงส...

 

เจินจิ้งมององค์ชายหกอย่างไม่อยากเชื่อ แสงตรงหน้าค่อยๆ มืดลง อารมณ์อันคุกรุ่นนั้นทำให้รู้สึกปวดหน่วงที่ท้องน้อยเป็นระยะๆ และเริ่มปวดหนักขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ต้องไม่เป็นเช่นนี้ๆ นางจักต้องฟังผิดไปแน่!


 


 


นางพลันคิดถึงสตรีมากมายที่อยู่ในตำหนักองค์ชายหก แต่องค์ชายหกกลับมาหาแค่นาง ช่วงเวลาที่มาพักเรือนนางนั้นมากกว่าผู้ใด ทุกคราที่อยู่ด้วยกันก็อ่อนโยนและร้อนแรงเสมอ


 


 


นางมิใช่คนโง่ บุรุษผู้หนึ่งเย็นชาหรือเสน่ห์หาต่อสตรีนางมีหรือจะแยกแยะไม่ออก


 


 


และเพราะเหตุนี้เอง ไม่ว่าจะเป็นตัวนางหรือบ่าวไพร่ในตำหนักล้วนทราบดีว่าองค์ชายหกนั้นปรนนิบัติต่อนางพิเศษกว่าผู้ใด ไม่ว่าอาหาร เสื้อผ้า เครื่องประทินผิวและอื่นๆ ที่ส่งมาเรือนนางในทุกวันล้วนเป็นของชั้นดี


 


 


นาง นางต้องฟังผิดไปแน่ๆ!


 


 


“องค์…องค์ชาย พระองค์ตรัสว่าอันใดหรือ?” เจินจิ้งหน้ามืดจนมองอันใดไม่ชัดแล้วแต่กลับยังคงฝืนมองบุรุษรูปงามที่ยืนอยู่ใกล้เพียงคืบผู้นั้น


 


 


เสียงที่ดังขึ้นของบุรุษยังคงอ่อนโยน “จิ้งเหนียง ข้าหมายความว่าหากเจ้ารู้สึกว่ายากที่จะต้องเผชิญหน้ากับข้าก็เอาออกเสีย อย่าได้ทำให้ตนเองต้องลำบาก”


 


 


“องค์ชาย พระองค์…พระองค์ไม่ต้องการเด็กคนนี้หรือ?”


 


 


องค์ชายหกหุบยิ้มทันที “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าแค่เคารพต่อสิ่งที่จิ้งเหนียงเลือก ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องรู้สึกไม่ดีเท่านั้นเอง”


 


 


เจินจิ้งรู้สึกปวดที่ท้องน้อยมากขึ้นทุกทีจนทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ


 


 


แม้นยามนี้นางจะเป็นสตรีที่มีฐานะสูงที่สุดในตำหนักองค์ชาย แต่อย่างไรก็เป็นเพียงอนุ การมีบุตรเท่านั้นจึงสามารถทำให้นางก้าวขึ้นมาอีกขั้น นางไม่มีทางยอมสูญเสียเด็กคนนี้ไปเด็ดขาด!


 


 


ในเวลาเช่นนี้มีหรือที่นางจะไปครุ่นคิดท่าทีแปลกประหลาดขององค์ชายหกอย่างละเอียดได้ นางมิอาจไยดีต่อศักดิ์ศรีใดๆ เพียงยื่นมือเรียวยาวของตนออกมาปาดน้ำตาแล้วเอ่ยว่า “องค์ชาย หม่อมฉันพูดผิดไปแล้ว หม่อมฉันมิอาจสูญเสียบุตรของเราไปได้ มิเช่นนั้น มิเช่นนั้นหม่อมฉันยอมตายเสียดีกว่า…”


 


 


เจินเมี่ยวลอบมององค์ชายหก


 


 


นางรู้สึกสังหรณ์ใจจริงๆว่าองค์ชายหกผู้มิอาจเชื่อถืออันใดได้อาจเอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปตายเสีย” หรืออันใดเทือกนั้น


 


 


เคราะห์ดีที่เจินจิ้งนั้นหมดสติไปก่อนที่องค์ชายหกจะเอ่ยอันใดออกมา


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างฉลาดนัก


 


 


เมื่อองค์ชายหกเห็นเจินจิ้งหมดสติไปเช่นนี้แล้วก็มิได้พูดอันใดที่ทำให้คนตกตะลึงขึ้นอีก เพียงชำเลืองมองสาวใช้และแม่นมเหล่านั้นด้วยสายตาเฉยชา “รีบพาคนเข้าไปด้านใน หากควรเชิญหมอก็ไปเชิญมาตรวจดู”


 


 


บ่าวไพร่เหล่านั้นไม่แน่ใจในท่าทีขององค์ชายหกแต่ก็มิกล้าสะเพร่าจึงรีบพาคนเข้าไปด้านใน ควรต้องทราบว่าองค์ชายหกนั้นขึ้นชื่อเรื่องการกระทำตัวอย่างไร้กฎเกณฑ์ที่สุด ยามนี้พระองค์อาจจะดูมิใคร่ใส่ใจนัก แต่หากนายหญิงเจินจิ้งเป็นอันใดไปขึ้นมา เกรงว่าอาจหันมาฆ่าฟันพวกนางก็เป็นได้


 


 


อย่างไรนายหญิงก็ตั้งครรภ์พระราชนัดดาอยู่ สายโลหิตของจักรพรรดิล้วนล้ำค่าดุจทองคำ มิได้เป็นเช่นตระกูลธรรมดาทั่วไปที่หากภรรยาเอกยังมิแต่งเข้าเรือน บรรดาอนุมีครรภ์ก็จำต้องทำแท้ง


 


 


บรรดาบ่าวไพร่รีบเข้าไปดูแลปรนนิบัตินางทันที บรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมาทันใด


 


 


แต่องค์ชายหกกลับมีสีหน้าเรียบเฉยยิ่ง เขากันไปเอ่ยกับฮูหยินใหญ่สกุลเจี่ยงที่นิ่งอึ้งดุจระกาไม้ “ทำให้ฮูหยินต้องขบขันแล้ว”


 


 


“ไม่ ไม่เลยสักนิดเพคะ” นางเจี่ยงรีบส่ายหน้าโดยพลัน นางผู้น่าสงสารแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนควรเอ่ยสิ่งใดดี


 


 


องค์ชายหกหันไปหาเจินเมี่ยว “เจียหมิง เช่นนั้นเราไปนั่งเล่นที่ห้องโถงเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวขมวดคิ้วขึ้นทันที “นางปวดท้อง ข้าจะรอไปกัน? มารดาข้ากำลังไม่สบายจึงขอตัวก่อนแล้ว เสด็จพี่หกอยู่เป็นเพื่อนนางเถิด”


 


 


“ฮูหยินสามไม่สบายหรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวแค่นยิ้ม “ก็มิใช่เพราะเจินจิ้งหรอกหรือ!”


 


 


ความจริงเรื่องที่เจินจิ้งทำ แม้นผู้คนทั้งหลายจะรู้อยู่แก่ใจดีแต่กลับไม่มีหลักฐาน เจินเมี่ยวกล้าเอ่ยเช่นนี้มิใช่เพราะโมโหจนขาดสติ แต่เพราะเห็นว่าเจินจิ้งมิได้สำคัญกับองค์ชายหกมากมายถึงเพียงนั้นต่างหาก


 


 


“มารดาของเจียหมิงไม่สบาย เช่นนั้นช้าก็ควรไปเยี่ยมสักหน่อย” องค์ชายหกเอ่ยวาจานี้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง แล้วเอ่ยกับนางเจี่ยงว่า “เช่นนั้นที่นี่ก็คงต้องรบกวนฮูหยินช่วยดูแลแล้ว”


 


 


“ไปเถิด เจียหมิง” องค์ชายหกเดินนำหน้าไป ครั้นเดินไปสองสามก้าวก็หยุดฝีเท้าลง “ไปทางใดหรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวจำต้องนำทางไปด้วยจนใจ เมื่อเดินออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ก็อดหันกลับมามองคราหนึ่งมิได้


 


 


เมื่อมองผ่านรูกำแพงเข้าไปก็สามารถมองเห็นดอกชาที่กำลังบานสะพรั่งแต่ละต้นนั้นได้ถนัดตา ทว่าเรือนเซี่ยนเยียนตั้งอยู่ในที่ห่างไกลเรือนอื่น ทั้งไม่มีคนอยู่มานาน ในฤดูที่วสันต์ยังมิทันมาถึงเช่นนี้กลับทำให้ต้นไม้เหล่านั้นดูเงียบเหงาโดดเดี่ยวขึ้นมาหลายส่วน


 


 


เจินเมี่ยวแค่นยิ้มเย็นในใจ


 


 


แต่แม้นจะเป็นสถานที่เช่นนี้แต่การยกให้ปีศาจที่ชอบก่อเรื่องพักอาศัยก็เป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุอยู่ดี!


 


 


นางกำลังคิดเรื่องราวในใจ สีหน้าที่แสดงออกจึงดูนิ่งขรึมเป็นพิเศษ นางหันหน้าเผชิญกับแสงแดดอันอบอุ่นในวันอากาศเหน็บหนาวสะท้อน ลำแสงเจิดจ้านั้นกระทบเข้ากับใบหน้าขาวนวลขับให้ใบหน้าสว่างใสดุจหยกแวววาวก็มิปาน


 


 


องค์ชายหกชำเลืองมองคราหนึ่งแล้วอดกระแอมไอออกมามิได้


 


 


เจินเมี่ยวพลันตื่นจากภวังค์แล้วฝืนยิ้มออกไปคราหนึ่ง “เสด็จพี่หก มีอันใดหรือ?”


 


 


องค์ชายหกเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจียหมิง วันนี้เจ้าดูแปลกไปนะ”


 


 


เจินเมี่ยวพลันหุบยิ้มนั้นทันที นางเม้มริมฝีปากพลางสบตากับองค์ชายหกโดยมิเอ่ยสิ่งใด


 


 


เมื่อเห็นท่าทีดื้อดึงเช่นนั้นของนางก็ทำให้องค์ชายหกคันไม้คันมือขึ้นมาจึงเกิดอยากจะดีดหน้าผากนางสักคราหนึ่งขึ้นมา เขาขยับมือขึ้นแต่สุดท้ายก็ปล่อยมือลง


 


 


การทำเช่นนั้นออกจะไม่เหมาะสมสักเท่าใด


 


 


“โทสะเจียหมิงพุ่งทะยานขึ้นมาอีกแล้วหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวเกิดประหวั่นใจขึ้นมา


 


 


ไม่ว่าอย่างไร ผู้ที่ตรงหน้านางนี้ก็คือองค์ชายมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนนางนั้นเป็นแค่เซี่ยนจู่ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นเท่านั้น แม้นเจินจิ้งจะเป็นอนุขององค์ชายหก แต่อย่างไรก็เป็นคุณหนูจวนเจี้ยนอานปั๋ว ท่าทีเช่นนี้ของนางออกจะพาลพาโลไปสักหน่อย ทั้งยังพาลโมโหอย่างไร้เหตุผลอีกด้วย


 


 


นางยิ่งคิดก็ยิ่งหน้าแดงเรื่อขึ้นด้วยอับอาย


 


 


อาจเพราะทุกครั้งที่พบกับคนผู้นี้ก็ล้วนมีแต่เรื่องน่าอับอาย ทั้งยังมีบุญคุณที่มิทราบว่าเขายอมรับหรือไม่นั้นอีก นานวันเข้าก็เผลอไผลลืมปิดบังอารมณ์วู่วามของตนดุจขวดน้ำที่แตกละเอียดอันใดเทือกนั้น


 


 


เมื่อสำนึกได้ว่าตนกระทำตัวไม่เหมาะสม เจินเมี่ยวจึงปรับสีหน้าแล้วย่อกายเอ่ยว่า “หากเจียหมิงกระทำการใดไม่เหมาะสม ขอเสด็จพี่หกโปรดชี้แนะด้วย”


 


 


มุมปากองค์ชายหกหยักโค้งขึ้น “เรื่องชี้แนะนั้นมิเอ่ยถึงแล้ว แต่ว่าเจียหมิง…เรื่องเปิดกระโปรงสตรีนั้นต่อไปอย่าได้ทำอีกเลยจะดีกว่า”


 


 


เจินเมี่ยว “….”


 


 


องค์ชายหกลูบคางตนไปมาอย่างเกียจคร้าน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “หากเจียหมิงอยากดูจริงๆ ก็ให้ข้าทำแทนแล้วกัน!”


 


 


เจินเมี่ยวถึงกับเซถลาจนเกือบสะดุดล้มลงพื้น


 


 


เหลือเกินจริงๆ เลย!


 


 


นางยกมุมปากขึ้นคราหนึ่งแล้วเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น


 


 


คนทั้งสองเดินผ่านป่าเหมย ผ่านหุบเขาจำลองที่มีแม่น้ำและก้อนหินกองโตไปก็ถึงสวนเหอเฟิง


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับมาแล้ว เขากำลังยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน มองออกไปแสนไกล


 


 


เจินเมี่ยวยกชายกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปหา “จิ่นหมิง หมอหลวงอู๋มาถึงแล้วหรือ?”


 


 


สายตาหลัวเทียนเฉิงร่วงตกไปบนใบหน้าของเจินเมี่ยว เขายื่นมือออกมาปัดกลีบดอกเหมยบนไหล่ออกให้นางทันที แล้วเดินหน้าไปอีกสองสามก้าวเพื่อถวายบังคมต่อองค์ชายหก


 


 


“คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าผู้บัญชาการหลัวก็อยู่ที่นี่ด้วย”


 


 


ความสัมพันธ์ส่วนตัวของคนทั้งสองนั้นไม่เป็นที่รับรู้ของคนทั่วไป แม้นจะอยู่ต่อหน้า             เจินเมี่ยวก็ยังคงต้องรักษาระยะห่างไว้เช่นเดิม


 


 


“หัวหน้าผู้บัญชาการหลัวถึงกับเชิญหมอหลวงอู๋มาเชียวหรือ ฮูหยินสามเป็นอย่างไรบ้าง?” องค์ชายหกเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม


 


 


วันนี้หมอหลวงอู๋เข้าเวรในวัง เขาย่อมทราบดี แต่คิดไม่ถึงว่าหลัวเทียนเฉิงกลับเชิญมาได้


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยว่า “เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้หมอหลวงอู๋กำลังตรวจอาการให้ท่านแม่ยายอยู่”


 


 


องค์ชายหกนึกบางอย่างขึ้นมาได้


 


 


ระยะนี้สถานการณ์ช่างอัศจรรย์นัก บรรดาองค์ชายเช่นพวกเขาต่างมิได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิมาหลายวันแล้ว ทุกคนต่างคาดเดาอาการประชวรของพระองค์ไปต่างๆ นานาองค์ชายพระองค์อื่นถึงกับกระทำเรื่องโง่เขลามากมายเพื่อสืบข่าวการประชวรของฝ่าบาท แต่เขากลับอดกลั้นไว้มิเคลื่อนไหวใดๆ มาตลอด เพราะมั่นใจว่าหากเกิดความผิดปรกติใด หลัวเทียนเฉิงผู้เป็นขุนนางที่ใกล้ชิดที่สุดจักต้องส่งสัญญาณบางอย่างให้เขาแน่


 


 


คิดไม่ถึงว่าเขากลับได้ทราบข่าวที่ตนต้องการในเวลานี้


 


 


หลัวเทียนเฉิงเชิญหมอหลวงอู๋ออกมาจากวัง ในเมื่อเสด็จพอทรงทราบเรื่องก็แสดงว่าอาการประชวรมิได้หนักหนาถึงขั้นมิอาจรักษาได้ อย่างน้อยก็มิได้ร้ายแรงอย่างที่บรรดาพี่น้องทั้งหลายคิด


 


 


ครั้นองค์ชายหกคิดถึงการกระทำที่บรรดาองค์ชายทั้งหลายลอบลงมือ อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาทันที


 


 


“จิ่นหมิง เสด็จพี่หก ข้าขอเข้าไปดูท่านแม่ก่อนแล้ว” เจินเมี่ยวเอ่ยจบก็ย่อกายลงแล้วพาจื่อซูและชิงไต้เดินมุ่งหน้าไปตามระเบียงทางเดินอันทอดยาวนั้น ครั้นนางเลี้ยวเข้ามุม เงาร่างของนางก็หายวับไปทันที


 


 


องค์ชายหกกับหลัวเทียนเฉิงต่างนิ่งเงียบไม่พูดจากกันอยู่ครู่หนึ่ง


 


 


หลัวเทียนเฉิงจ้องมองกลีบดอกเหมยบนรัดเกล้าขององค์ชายหกอย่างเหม่อลอย


 


 


เขาไม่รู้จริงๆ ว่าองค์ชายหกจะมีใจให้กับพี่สามของเจี๋ยวเจี่ยวถึงเพียงนี้


 


 


หากเป็นเช่นนี้จริงคงไม่ดีแน่


 


 


ด้วยตำแหน่งยามนี้ของเขา หากเอ่ยอย่างไม่เกรงใจสักหน่อยก็คือบรรดาองค์ชายทั้งหลายย่อมต้องปฏิบัติตนอย่างดีกับเขา เช่นองค์ชายสามเป็นต้น ยามนี้บุตรชายคนเดียวของพระองค์พักอาศัยอยู่ที่จวนเขาชั่วคราว แม้นบอกว่าเด็กน้อยได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจจึงมิอาจอยู่ห่างจากเจี๋ยวเจี่ยว แต่จริงๆ ก็เป็นเพียงข้ออ้างอย่างหนึ่งเท่านั้น


 


 


แต่กับองค์ชายหกนั้นไม่เหมือนกัน ไม่มีผู้ใดรู้ดีเท่าเขาอีกแล้ว ผู้ที่จะขึ้นครองราชย์ต่อไปก็คือบุคคลที่อยู่ตรงหน้านี้นั้นเอง


 


 


ยามนี้เขายังสามารถใช้ตำแหน่งพิเศษนี้ของตนเพื่อให้องค์ชายหกยอมถอยร่นไป แต่ภายหน้าเล่า?


 


 


หากคิดในทางกลับกัน หากผู้ใดคิดแตะต้องเจี๋ยวเจี่ยวของเขา เขาก็จะสู้ตายกับคนผู้นั้นเช่นกัน


 


 


หากจักรพรรดิผู้หนึ่งมีความแค้นฝังอยู่ในใจ นั้นย่อมเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวอย่างที่สุด เขาจึงกลัวว่าเจี๋ยวเจี่ยวจักต้องลำบากในภายหน้าเพราะเรื่องนี้


 


 


“จิ่นหมิง เจ้าคิดอันใดหรือ?” เมื่อไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วย องค์ชายหกจึงเอ่ยสนทนาตามอัธยาศัย


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยตามตรงว่า “คิดไม่ถึงว่าจะพบองค์ชายหกที่นี่”


 


 


“แค่กๆ ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ข้าว่างอยู่พอดีจึงมาเยี่ยมจิ้งเหนียงสักหน่อย”


 


 


เขาไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าเห็นรถม้าของเจียหมิงจึงตามมาเพราะเกิดสงสัย มิเช่นนั้นเจ้าหนุ่มผู้นี้คงได้เอาเรื่องกับเขาแน่


 


 


หลัวเทียนเฉิงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยแต่ในใจกลับแค่นยิ้มเย็น


 


 


คิดแล้วต้องเป็นเช่นนี้!


 


 


เจินจิ้งมีความแค้นฝังใจต่อเจี๋ยวเจี่ยว หากเป็นเช่นนี้ย่อมมิอาจเก็บนางไว้ได้อีกต่อไป


 


 


แต่ยามนี้นางพักอาศัยในจวนปั๋ว หากเกิดเรื่องขึ้นคงต้องทำให้ตระกูลมารดาเจี๋ยวเจี่ยวลำบากไปด้วยแน่ แต่ถ้ารอให้นางกลับตำหนักองค์ชายนั้นยิ่งไร้หนทางลงมือได้


 


 


เวลานี้เองหลัวเทียนเฉิงที่รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจนสามารถก้าวหน้าขึ้นมาอย่างราบรื่นพลันรู้สึกมิรู้จะลงมืออย่างไรขึ้นมา


 


 


ยอดฝีมือที่องค์ชายหกลอบเลี้ยงไว้นั้นมีไม่น้อยเลย หากคนที่เขารักเกิดเรื่องขึ้น ย่อมไมต้องสืบจนรู้เบาะแสเป็นแน่


 


 


องค์ชายหกรู้สึกว่าวันนี้หลัวเทียนเฉิงออกจะเฉยชาอยู่เล็กน้อย ในใจก็เอ่ยว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้สงสัยในเจตนาอันแท้จริงที่ทำให้เขามาที่จวนปั๋วเสียแล้ว?


 


 


ระยะนี้เขาไปพบไท่เฟยอยู่หลายครา แต่ไท่เฟยกลับหลบหน้า เขายอมรับว่าหลังจากเห็นรถม้าของเจียหมิงก็มิอาจห้าความคิดที่จะมาพบหน้านางสักครา หากกล่าวว่าเขาเห็นเจียหมิงเป็นตัวแทนของไท่เฟยหรือ? คล้ายว่ามิใช่เช่นนั้น ทุกคราที่เขาได้พูดคุยกับเจียหมิง เขาก็ยิ่งรู้แจ้งแก่ใจว่านางกับไท่เฟยนั้นมิเหมือนกันอย่างยิ่ง


 


 


 องค์ชายหกพลันรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยจึงถอนหายใจยาวกลบเกลื่อนแล้วเอ่ยว่า “จิ้งเหนียงกำลังตั้งครรภ์ ร่างกายมิใคร่แข็งแรงข้าจึงมาเยี่ยมนางสักหน่อย”


 


 


จริงดังคาด…


 


 


หลัวเทียนเฉิงฟังแล้วก็ยิ่งไม่สบายใจ


 


 


การปรากฏตัวของเจินเมี่ยวจึงช่วยจบการสนทนาอันกระอักกระอ่วนนี้ของคนทั้งสอง


 


 


“จิ่นหมิง หมอหลวงอู๋ช่วยรักษาท่านแม่แล้ว ทั้งบอกว่าต้องกินยาสักสองสามเทียบแล้วค่อยเฝ้าดูอาการอีกที ระยะนี้ข้าคงไม่กลับจวน กั๋วกงอยากจะคอยดูแลเฝ้าอาการท่านแม่อยู่ที่จวนปั๋วก่อน”


 


 


เมื่อพ้นวันที่ยี่สิบไปก็จะเป็นวันทำพิธีฝังศพของพระชายาในองค์ชายสามทำให้หลัวเทียนเฉิงมิอยากให้เจินเมี่ยวปรากฏตัวอยู่ในงานเลี้ยงฉลองที่จะจัดขึ้นในจวนสักเท่าใด อีกอย่างพระราชนัดดาก็ยังอยู่ในจวนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่างๆ ขึ้นได้ นี้จึงเป็นโอกาสหลีกเลี่ยงที่ดีที่สุดแล้ว


 


 


“เช่นนั้นเจ้าก็พักอยู่ที่นี่เถิด หากมีเวลาว่างข้าจะแวะมาหา” หลัวเทียนเฉิงเอ่ย


 


 


องค์ชายหกก็พยักหน้าตามอยู่ด้านข้าง


 


 


เจินเมี่ยวมองเขาด้วยความสงสัยคราหนึ่ง


 


 


องค์ชายถึงกับหายใจสะดุดขึ้นมา


 


 


“แหะๆ ไม่รู้ว่าจิ้งเหนียงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” 

 

 


ตอนที่ 296 ขนมก้นหอย

 

หลังจากที่องค์ชายหกจากไปแล้วนั้น หลัวเทียนเฉิงก็กลับมานั่งเป็นเพื่อนเจินเมี่ยว


 


 


ยามนี้เองนางจึงเวลาหยิบจดหมายที่พับเก็บไว้นั้นขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด


 


 


ในกระดาษบันทึกเรื่องราวน้อยใหญ่ของตระกูลร้านโลงศพฉังถิงไว้อย่างละเอียด


 


 


เมื่ออ่านจบแล้วเจินเมี่ยวก็กดกระดาษแผ่นนั้นลงบนกระโปรงตน นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาอยู่นาน


 


 


ตระกูลร้านขายโลงศพฉังถิงนั้นอพยพมาจากเมืองอื่น พื้นเพเป็นคนธรรมดาแต่เพราะมีฝีมือด้านศิลปะ จึงสามารถแกะสลักโลงศพได้งดงามยิ่ง ส่วนภรรยาก็เก่งงานฝีมือ นางทำรถม้า ม้ากระดาษ ภูเขาเงิน ภูเขาทองได้งดงามเสมือนจริงยิ่งทำให้การค้าเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา


 


 


รายได้สิบตำลึงต่อเดือนที่คุณชายรองผู้นั้นภูมิใจหนักหนา กล่าวกันตามจริงแล้วก็เป็นรายจ่ายทั้งปีของครอบครัวปุถุชนคนทั่วไป


 


 


บุคคลเช่นนี้ย่อมมิต้องกังวลเรื่องการหาภรรยาแต่ดวงตาของคุณชายรองนั้นมีปัญหาเล็กน้อยทั้งยังช่างเลือก ประเดี๋ยวนั้นประเดี๋ยวสุดท้ายเวลาจึงล่วงเลยมาจนป่านนี้


 


 


ในคืนเทศกาลโคมไฟที่ได้พบกับเวินยาฉีนั้น มีท่านอาหญิงผู้หนึ่งที่อาศัยในละแวกนั้นมาบอกถึงเรือนว่านางนับนิ้วดูพบว่าพรหมลิขิตของคุณชายรองได้มาถึงแล้ว เขาจะได้พบกับสตรีเช่นใดในงานเทศกาลโคมไฟ จากการแนะนำอันดูลึกลับของนางทำให้เกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ขึ้น


 


 


“นี่เป็นคำบอกกล่าวจากอาหญิงท่านนั้น ครั้นถามนางว่าผู้ใดเป็นคนบอกมา นางก็บอกว่าไม่แน่ใจ นางเล่าว่าวันนั้นนางตื่นขึ้นก็เห็นห่อผ้าห่อหนึ่งถูกยัดเข้ามาในประตูใหญ่ ในนั้นมีเงินห้าสิบตำลึงและกระดาษหนึ่งใบเป็นการเตือนว่าหากมิทำตาม สิ่งที่ถูกยัดเข้ามาครั้งต่อไปจะมิใช่เงินทองแล้ว นางเห็นว่าในเมื่อมีเงินให้ตนใช้ทั้งหากมิทำตามก็กลัวเป็นอันตรายถึงชีวิตจึงยอมทำตามอย่างว่าง่าย” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอธิบาย


 


 


เจินเมี่ยวก้มหน้าจ้องมองดอกเหมยขาวบนกระโปรงสีดำเหลือบเขียว แล้วเอ่ยถามว่า “ไม่มีหลักฐานว่านางทำหรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงยื่นมือออกไปจับเส้นผมดำของนาง “เด็กโง่ มีหลักฐานแล้วอย่างไร เรารู้แจ้งแก่ใจก็พอแล้ว”


 


 


เจินเมี่ยวพลันเงยหน้าขึ้น “หากมีหลักฐานก็สามารถมอบให้…”


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของหลัวเทียนเฉิง นางจึงมิอาจเอ่ยวาจาต่อไปอีกได้


 


 


ใช่ มีหลักฐานแล้วอย่างไร จะมอบให้องค์ชายหกหรือ เกรงว่าคงไม่สู้การตำหนิต่อว่าอย่างเหิมเกริมของนางก่อนที่จะเอาหลักฐานมายืนยันเสียอีก


 


 


อย่างว่าแต่องค์ชายเลย ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ย่อมต้องมิพอใจที่มีคนไปสืบเสาะเรื่องของตนเป็นแน่


 


 


กล่องสีแดงใบหน้าถูกแกว่งไปแกว่งมาต่อหน้าตน


 


 


“นี่คือ…”


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มพลางเปิดมันออก ข้างในเป็นขนมทรงก้นหอยสีเหลืองทองวางเรียงรายเต็มไปหมด เขาหยิบมันส่งให้เจินเมี่ยวชิ้นหนึ่ง “เป็นขนมก้นหอยที่เพิ่งทำออกมาใหม่ของร้านอู่เว่ยไจ”


 


 


เจินเมี่ยวรับมากินคำหนึ่ง รสชาติอร่อยทั้งสดใหม่ แค่เข้าปากก็ละลาย เป็นความอร่อยที่ยากจะพานพบจริงๆ


 


 


ดวงตาเจินเมี่ยวพลันส่องประกายขึ้นมา “ข้าเคยให้ชิงเกอไปซื้ออยู่หลายคราแต่ก็ไม่ทันสักที ได้ยินว่าเดือนหนึ่งทำแค่ไม่กี่กล่อง เป็นของหายากเลยทีเดียว”


 


 


“เจ้าชอบกิน เหตุใดจึงมิบอกข้าเล่า?”


 


 


เจินเมี่ยวกินไปอีกชิ้นหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “กลับไปจะลองศึกษาสักหน่อยว่าทำเช่นไร”


 


 


ขนมก้นหอยที่ว่าเป็นของอัศจรรย์หายาก ผู้คนต่างอยากลิ้มลอง ความจริงเป็นเพราะผู้ที่รู้วิธีทำหรู่เล่า[1] ในต้าโจวนั้นมีไม่มาก น้อยนักที่จะนำหรู่เล่ามาทำขนม แต่สำหรับเจินเมี่ยวนั้นกลับมิใช่เรื่องยากอันใด


 


 


นางหยิบขึ้นมาอีกชิ้นแล้วส่งให้หลัวเทียนเฉิง “ท่านก็กินด้วย”


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองขนมที่ส่งกลิ่นหอมนั้นแล้วจับมือเจินเมี่ยวไว้ก้มลงกัดกินคำหนึ่ง


 


 


“ไม่เลว” แม้นเขาจะเอ่ยเช่นนี้แต่ก็กินเพียงชิ้นแล้วก็มิได้แตะต้องมันอีก


 


 


เจินเมี่ยวจึงถามว่า “ไปซื้อมาตั้งแต่เมื่อใด?”


 


 


“ตอนที่เชิญหมอหลวงอู๋มา ระหว่างทางผ่านร้านอู่เว่ยไจ ที่นั่นมีคนต่อแถวกันยาวเหยียด คิดว่าเจ้าคงยังมิได้กินอันใดเป็นแน่จึงเข้าไปหยิบมากล่องหนึ่ง”


 


 


“ไปหยิบมา? นางได้ยินชิงเกอบ่นว่ามีครั้งหนึ่งที่นางไปต่อแถวแล้วถูกเบียดจนรองเท้าขาดก็ยังซื้อไม่ได้”


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงก้มหน้าผลิยิ้ม “ข้ามิได้ต่อแถว แค่เดินไปหาเถ้าแก่ เขาก็ให้ข้ามาหนึ่งกล่องโดยไม่แม้แต่จะรับเงิน”


 


 


เจินเมี่ยวเบิกตาขึ้นทันที


 


 


“ผู้อยู่เบื้องหลังเถ้าแก่ร้านอู่เว่ยไจก็คือเจาอวิ๋นจั่งกงจู่”


 


 


“ท่านทราบเรื่องนี้ด้วยหรือ” เมื่อเอ่ยถึงเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ เจินเมี่ยวก็เกิดความรู้สึกอันยากจะบรรยายขึ้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงอธิบายต่อว่า “ตอนข้ายังเด็กเคยไปเล่นที่ถนนเส้นนั้น แต่มิได้นำอันใดติดตัวไปเลย พอท้องหิวก็ยื่นเหม่ออยู่หน้าร้านอู่เว่ยไจ บังเอิญเห็นเจาอวิ๋นจั่งกงจู่เดินออกมาพอดีจึงพาข้าเข้าไปข้าวข้างใน ข้าจึงรู้เรื่องนี้”


 


 


“จิ่นหมิง”


 


 


“หืม?”


 


 


เจินเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกมาตลอดว่าจั่งกงจู่นั้นปฏิบัติต่อท่านอย่างมิธรรมดา”


 


 


หลัวเทียนเฉิงพลันใจเต้นขึ้นมา เขามองเจินเมี่ยวอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง น้ำเสียงแปลกแปร่งไปเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้นเล่า?”


 


 


จั่งกงจู่ปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่ธรรมดานั้น เขาเองก็เริ่มมาสงสัยตอนที่ทราบว่าคนที่ให้เคล็ดลับการฝึกยุทธกับเขาเป็นคนของจั่งกงจู่นั้นแล แต่คิดไม่ถึงว่าเจี๋ยวเจี่ยวก็รู้สึกเช่นเดียวกับเขา


 


 


เจินเมี่ยวส่ายหน้า “ไม่มีเหตุผลอันใดเลย แค่รู้สึกว่าทุกครั้งที่พบกับจั่งกงจู่ พระองค์มักปฏิบัติต่อข้าอย่างดีเสมอ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงหลุดหัวเราะออกมา “ไม่แน่ว่าพระองค์อาจจะต้องชะตากับเจ้าก็ได้”


 


 


เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขา แล้วหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก


 


 


หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นยืน “เจี๋ยวเจี่ยว ข้ากลับก่อนแล้ว เดี๋ยวจะให้หลัวเป้าอยู่กับเจ้า หากมีเรื่องใดก็ให้เขาไปหาข้าที่ศาลาว่าการได้”


 


 


เจินเมี่ยวกวาดตามองจื่อซูที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักคราหนึ่งแล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม


 


 


นางพักอาศัยอยู่ที่จวนเจี้ยนอานปั๋วอย่างสบายใจ ทุกวันจะคอยปรนนิบัติดูแลนางเวินอยู่ไม่ห่างในสวนเหอเฟิง เพียงระยะเวลาสั้นๆ คนก็ผ่ายผอมลงไป แต่ในที่สุดนางเวินก็เริ่มมีอาการดีขึ้น


 


 


เจินเมี่ยวจึงโล่งอกลงได้ นางเข้าไปในห้องครัวเล็กใช้เห็ดหอม เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ เต้าหู้และส่วนผสมอื่นๆ คลุกเข้าด้วยกัน นางนึ่งลูกชิ้นเนื้อเต้าหู้หนึ่งอย่าง และหั่นไส้กรอกเป็นลูกเต๋าคลุกเคล้ากับหัวหอมสดและผักอื่นๆ เพื่อทำแผ่นแป้งจากหัวไชเท้า กินคู่กับน้ำแกงลูกชิ้นเนื้อแพะที่มีขนาดเท่าเม็ดไข่มุกที่โรยด้วยต้นหอมซอยละเอียดสีเขียวซึ่งลอยอยู่บนน้ำแกงสีเหลืองอ่อน นางยกทั้งหมดนี้เข้าไปในห้องนางเวิน


 


 


“ท่านแม่ ลุกขึ้นมากินอันใดสักหน่อยเถิด” นางจัดวางหมอนอิงสีเหลืองเข้มให้เข้าที่แล้วประคองนางเวินขึ้นนั่ง


 


 


นัยน์ตานางเวินกลอกหมุนไปมา ท่าทีดูรับรู้อันใดขึ้นมาบ้างแล้ว นางรับน้ำแกงที่เจินเมี่ยวส่งให้ขึ้นมาดื่ม


 


 


เจินฮ่วนที่พานางอวี๋มาเยี่ยมจึงพบกับภาพนี้เข้าพอดีก็อดตกตะลึงมิได้


 


 


ความละอายใจปรากฏขึ้นเต็มหน้านางอวี๋ “น้องสี่ ข้ามาช้าแล้ว”


 


 


นางนับวันยิ่งซูบผอมลงไปยิ่ง แก้มสองข้างซูบตอบดูชราลงไม่น้อยมิได้ดูสดใสดั่งเช่นกาลก่อน


 


 


การที่มิให้นางอวี๋อยู่ปรนนิบัติดูแลนางเวินนั้นเป็นเพราะเจินฮ่วนเองที่เอ่ยปากกับเจินเมี่ยวเป็นการส่วนตัว


 


 


เจินเมี่ยวทราบว่านางอวี๋สุขภาพไม่แข็งแรงมาตลอด หากต้องมาดูแลคนป่วยอย่างที่นางทำ คาดว่าไม่เกินสองวันคงได้มีคนป่วยเพิ่มขึ้นอีกแน่ นางจึงเข้าใจความห่วงใยของเจินฮ่วนดี เจินเมี่ยวยิ้มพลางเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ต้องดูแลเหลยเกอมิใช่หรือ”


 


 


“น้องสี่ ให้ข้าป้อนท่านแม่เถิด เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด” นางอวี๋รับถ้วยน้ำแกงมา


 


 


จินเมี่ยวก็มิได้บ่ายเบี่ยง “รบกวนพี่สะใภ้แล้ว”


 


 


เมื่อเห็นเจินฮ่วนลอบส่งสายตามาให้นางก็ลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก


 


 


เมื่อถึงระเบียงทางเดินก็หยุดลงแล้วมองเจินฮ่วนพลางเอ่ยว่า “พี่ใหญ่เรียกข้าออกมามีเรื่องใดหรือ?”


 


 


“น้องสี่หลายวันมานี้เจ้าผ่ายผอมลงไปมาก” เจินฮ่วนรู้สึกไม่กล้ามองหน้าน้องสาวตน เมื่อคิดถึงวาจาที่ตนกล่าวกับน้องสาวในวันนั้นแล้วก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา


 


 


หากวาจาแพร่ออกไปว่าเขามิอาจทำใจให้ภรรยาไปดูแลปรนนิบัติมารดาที่ป่วย เขาคงไม่มีหน้าไปพบผู้คนเป็นแน่


 


 


เขาลอบสำรวจเจินเมี่ยวคราหนึ่ง เห็นความเหนื่อยล้าที่มิอาจซ่อนเอาไว้ในบนใบหน้านางก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่น้อย


 


 


พวกเขาพี่น้องมิใคร่สนิทสนมกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่อย่างไรสายเลือดก็ย่อมข้นกว่าน้ำ เมื่อเห็นน้องสาวตนนับวันยิ่งรู้ความ เขาไหนเลยจะไม่รักไม่ห่วงได้


 


 


“ต่อไปพี่ใหญ่จะมาดูแลท่านแม่ในช่วงกลางวันเอง พี่ทำเรื่องลาไปที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนแล้ว”


 


 


สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนกับศาลาว่าการนั้นต่างเริ่มเปิดทำการเมื่อวันที่ยี่สิบเช่นเดียวกัน


 


 


“อย่างไรพี่ใหญ่ก็เป็นบุรุษ การปรนนิบัติท่านแม่นั้นให้ข้าทำจะสะดวกกว่า อีกอย่างท่านแม่ก็มีอาการดีขึ้นไม่น้อยแล้ว”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เจินฮ่วนก็พยักหน้าคราหนึ่ง “ใช่ เป็นเพราะเจ้าดูแลอย่างดีแท้ๆ”


 


 


ครั้นเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้แล้วสีหน้ากลับดูเคร่งขรึมขึ้นมาอีกหลายส่วน


 


 


เจินเมี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น “พี่ใหญ่มีเรื่องอื่นอีกใช่หรือไม่?”


 


 


เจินฮ่วนถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยว่า “ผู้ดูแลจวนได้เดินทางไปรับพวกเขาที่ท่าเรือแล้ว คาดว่าไม่นานป้าสะใภ้รองกับมั่วเหยียนคงมาถึงจวน”


 


 


เจินเมี่ยวได้ฟังก็เริ่มครุ่นคิดขึ้นมาทันที


 


 


ศพของเวินยาฉียังอยู่ที่นี่ นางฆ่าตัวตายทั้งยังไม่บรรลุนิภาวะจึงมิอาจจัดงานศพ แต่จะฝังอย่างไร ฝังที่ไหนนั้นย่อมต้องรอคนจากไฮ่ติ้งมาถึงเสียก่อนจึงจะจัดการได้


 


 


เจินเมี่ยวกลัวว่าหากนางเวินเห็นป้ารองและคนอื่นๆ แล้วอาการป่วยอาจจะทรุดลงไปอีก


 


 


“พี่ใหญ่ หากป้าสะใภ้รองกับญาติผู้พี่มาถึงแล้ว เราไปพบพวกเขาก่อนเถิด ส่วนท่านแม่ก็ให้พักไปอีกสักระยะก่อน”


 


 


เจินฮ่วนพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนี้ วันนี้ให้พี่สะใภ้เจ้าเฝ้าท่านแม่เถิด เจ้าตามข้าไปพบพวกเขาก่อน”


 


 


“พี่สะใภ้จะไหวหรือไม่?” เจินเมี่ยวรู้สึกไม่วางใจเท่าใดนัก


 


 


“แค่วันเดียว ครึ่งวันนางพอไหว”


 


 


เจินฮ่วนหน้านิ่วคิ้วขมวด ท่าทีดูกังวลไม่น้อย


 


 


เจินเมี่ยวหลุบม่านตาลง “ข้าได้ยินว่า พี่สะใภ้ยกสาวใช้คนสนิทให้ท่าน…”


 


 


เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับ ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงเหลือบสายตาขึ้นก็เห็นใบหน้าอันแดงก่ำของเจินฮ่วน เขาจึงเอ่ยด้วยท่าทีประหม่าว่า “น้องสี่ เรื่องนี้ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง…”


 


 


เจินเมี่ยวไม่คิดว่าพี่ชายใหญ่ของนางจะเขินอายเช่นนี้


 


 


นางแค่คิดถึงความรักที่พี่ใหญ่และนางอวี๋มีให้กัน ทั้งยามนี้นางอวี๋ก็มาล้มป่วย แล้วพี่ใหญ่ก็มีคนใหม่มาแทน นางจึงรู้สึกเสียดายก็เท่านั้น


 


 


เจินฮ่วนทราบว่าเจินเมี่ยวกำลังคิดสิ่งใด สาวใช้ที่ถูกยกให้เขานั้น เขาก็ไปหาแค่เพียงเวลาที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนผู้ที่อยู่ในใจเขาเสมอมานั้นก็มีแค่นางอวี๋ แต่วาจาเช่นนี้เขามิอาจเอ่ยกับน้องสาวแท้ๆ ตนได้


 


 


“พี่ใหญ่รู้ว่าต้องทำเช่นใดก็พอแล้ว” เจินเมี่ยวพูดแล้วก็เรียกชิงไต้มาหากแล้วสั่งให้นางเอาลูกชิ้นเต้าหู้กับแผ่นแป้งที่ทำจากหัวไชเท้าใส่ตะกร้าอาหาร


 


 


“พี่ใหญ่ ข้าทำของกินไว้หลายอย่าง ท่านให้คนเอากลับไปให้เหลยเกอกินด้วยเถิด”


 


 


เจินฮ่วนมิได้ปฏิเสธ เพียงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบใจน้องสี่มาก”


 


 


เวลานี้เองจื่อซูก็เดินเข้ามาจากด้านนอก ในมือถือกล่องดำเหลือบแดงใบหนึ่งไว้ “ต้าไหน่ไหน่ ซื่อจื่อส่งขนมก้นหอยมาให้อีกแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ปกติจื่อซูมักคงไว้ซึ่งใบหน้าเรียบเฉย แต่วันนี้กลับมีสีระเรื่ออยู่เล็กน้อย


 


 


เจินเมี่ยวรู้ว่าขนมก้นหอยนี้จักต้องเป็นส่งมาถึงมือหลัวเป้าก่อนเป็นแน่แล้วค่อยผ่านมาถึงจื่อซู พวกเขาสองคนนับว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันแล้ว หลัวเป้าก็อาจจะพูดหยอกล้ออันใดต่อนางกระมัง


 


 


เจินเมี่ยวจึงมิสนใจเรื่องนั้น นางเปิดกล่องออกดู ด้านในมีขนมวางเรียงกันถึงสองชั้น ทั้งหมดสามสิบสองชิ้น นางจึงแบ่งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าแปดชิ้น ตนเองเก็บไว้สี่ชิ้น และส่งไปที่สวนหมิงหวากับสวนฟางเฟยเรือนละหกชิ้น ที่เหลือก็มอบให้เหลยเกอ


 


 


ครั้นอาทิตย์คล้อยลงทิศตะวันตก คนของตระกูลเวินก็มาถึงจวนพอดี เจินเมี่ยวและเจินฮ่วนออกไปต้อนรับด้วยตนเองจึงเห็นดวงตาบวมเป่งดุจลูกเหอถาวของป้าสะใภ้รอง ที่ขณะนี้หญิงสาวผู้หนึ่งคอยประคองไว้


 


 


เวินมั่วเหยียนมีสีหน้าเย็นชา ครั้นเห็นเจินฮ่วนก็เดินเข้าไปยกกำปั้นชกหน้าเขาทันที


 


 


 


 


——


 


 


[1] หรู่เล่า หมายถึงชีส 

 

 


ตอนที่ 297 ญาติผู้พี่...มั่วเหยียน

 

เจินฮ่วนเป็นบัณฑิต ไหนเลยจะเคยพบเจอการจู่โจมเช่นนี้ ในเวลารวดเร็วเช่นนั้นจึงลืมเบี่ยงหลบ กำปั้นที่รวดเร็วดุจพายุจึงพุ่งเข้าใส่เขาทันที


 


 


ท่อนแขนกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้นกลับถูกสองมือเรียวยาวดุจหยกคว้าจับไว้ เจินเมี่ยวรีบตะโกนออกไปว่าญาติผู้พี่


 


 


เวินมั่วเหยียนผู้มีคิ้วเข้ม ดวงตาโตที่ยามปกติใบหน้าจะห้อยแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอนั้น ในยามนี้กลับดูเย็นชาจนทำให้ผู้คนหวาดกลัว เขากัดฟันเอ่ยว่า “ญาติผู้น้อง เจ้าปล่อยข้า”


 


 


“ปล่อยท่านก็ได้ แต่ท่านมิอาจชกต่อยผู้อื่น”


 


 


เวินมั่วเหยียนมิเอ่ยคำ แต่หากลากถูกันอยู่เช่นนี้ก็ไม่เหมาะสม เจินเมี่ยวจึงยอมปล่อยมือเขา


 


 


ผู้ใดจะทราบว่าเมื่อนางปล่อยมือ เวินมั่วเหยียนก็ชกหมัดออกมาทันทีจึงชกโดนบ่าของ เจินฮ่วน


 


 


“ญาติผู้พี่!” เจินเมี่ยวโกรธแทบตาย นางถลึงตาดุดันใส่เขาทันที


 


 


เวินมั่วเหยียนก็ถลึงตากลับอย่างดื้อดึง เขาเอ่ยออกมาด้วยโทสะว่า “ญาติผู้น้อง ปีก่อนยาฉียังสบายดีอยู่แท้ๆ พริบตาคนกลับไม่ตายไป เจ้าห่วงพี่ชายเจ้าแต่ก็ไม่ควรไร้เหตุผลเช่นนี้!”


 


 


เจินเมี่ยวรู้ว่าญาติผู้พี่ของนางเป็นคนอุปนิสัยตรงไปตรงมา เรื่องที่เวินยาฉีปีนป่ายขึ้นเตียงพี่ชายตนนั้น ทุกคนต่างมิได้บอกเขา คิดว่าพี่ใหญ่ส่งจดหมายไปแจ้งข่าวครานี้คงรู้สึกว่ามีหลายเรื่องที่มิอาจพูดให้ชัดเจนในจดหมายได้ ดังนั้นเมื่อป้าสะใภ้รองและญาติผู้พี่ได้รับจดหมายก็ทราบเพียงว่าบุตรสาวคนหนึ่งจู่ๆ ก็ตายไปโดยไร้สาเหตุ คงเดินทางมาที่นี่ด้วยใจที่อัดแน่นไปด้วยโทสะอย่างแน่นอน


 


 


ครั้นอยู่ต่อหน้าบ่าวไพร่มากมายเช่นนี้ เจินเมี่ยวย่อมมิพูดอันใดมากได้ จึงเดินเข้าไปหานางเจียวโดยไม่สนใจมั่วเหยียน นางหยุดทำย่อกายคารวะแล้วเอ่ยว่า “ท่านป้าสะใภ้รอง ยามนี้ผู้คนมากมายต่างคอยมองอยู่ มีอันใดก็รอให้ถึงห้องโถงก่อนแล้วหลานจะเล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียด”


 


 


นางเจียวดูชราลงกว่าเมื่อคราก่อนมาก นางเพียงเกล้าผมอย่างง่ายๆ และปักปิ่นเงินลายดอกเหมยไว้เท่านั้น


 


 


นางมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง น้ำตาพลันไหลออกมา แต่กลับมิได้มีท่าทีวู่วามอย่าง               เวินมั่วเหยียน นางเม้มปากแล้วพยักหน้า แต่ยังไม่ลืมเอ่ยแนะนำด้วยเสียงอันแหบพร่า “นี่คือนางสิง เป็นภรรยาของเจ้ารอง แต่งเข้ามาเมื่อต้นปีนี้เอง”


 


 


นางเจียวมีบุตรชายสองคน คนหนึ่งนับเป็นลำดับที่สอง อีกคนนับเป็นลำดับที่สี่


 


 


เจินเมี่ยวทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “พี่สะใภ้รอง”


 


 


นางลอบพิจารณาอย่างแนบเนียนคราหนึ่ง


 


 


นางสิงรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้ายาว ดวงตาเรียวยาว หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย รูปโฉมงดงามไม่เบา แววตายามที่ดูไม่ไยดีสิ่งใดนั้นแฝงไปด้วยความแหลมคม มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่สตรีที่คล้อยตามผู้ใดโดยง่าย


 


 


“ญาติผู้น้องเกรงใจเกินไปแล้ว รีบพาท่านแม่เข้าเรือนก่อนเถิด” นางสิงเบี่ยงกายเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติว่า “ไม่ทราบว่าท่านอาหญิงอยู่ที่ใดหรือ?”


 


 


การสนทนาของสตรี เจินฮ่วนมิอาจสอดปากได้ แต่เมื่อได้ยินนางเอ่ยถึงนางเวิน สีหน้ากลับเย็นชาขึ้นมาหลายส่วน


 


 


พี่สะใภ้ท่านนี้ช่างร้ายกาจจริงๆ เพิ่งมาถึงก็เริ่มจับผิดผู้อื่นแล้ว ป้าสะใภ้รองเป็นพี่สะใภ้ของท่านแม่ ทั้งเดินทางไกลมา ตามหลังแล้วท่านแม่ควรมารับด้วยตนเอง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อคนมิได้มานั้นย่อมต้องมีสาเหตุ แต่กลับเอ่ยถามขึ้นมาให้ได้ซึ่งนั้นเป็นการง่ายต่อการทำลายความรู้สึกของกันและกัน ไม่รู้ว่าน้องสาวจะรับมือได้หรือไม่


 


 


เจินฮ่วนมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง


 


 


“เพราะเรื่องของญาติผู้น้องทำให้ท่านแม่ล้มป่วย ตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่ ข้าจะพาป้าสะใภ้รองไปพบท่านย่าก่อน แล้วค่อยไปหาท่านแม่เจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวด้วยท่าทีสงบนิ่ง


 


 


นางเจียวเสียใจอย่างยิ่ง ในใจคิดแต่จะไปถามนางเวินให้ชัดเจน จึงมิทันได้สังเกตอันใด เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พียงพยักหน้ารับ ปล่อยให้เจินเมี่ยวประคองแขนข้างหนึ่งของนางเดินเข้าไปด้านใน แต่นางสิงกลับใจหายวาบขึ้นมา


 


 


จากวาจาที่นางเอ่ยนั้น หรือความผิดพลาดทุกอย่างจะเกิดเพราะตัวเวินยาฉีเอง?


 


 


ญาติผู้น้องสิ้นใจอยู่ในจวนตนเช่นนี้ นางก็มิควรนิ่งขรึมเช่นนี้กระมัง


 


 


เมื่อเริ่มคาดการณ์บางอย่างได้แล้ว นางสิงก็สงบอารมณ์ลงได้หลายส่วน


 


 


สำหรับน้องสามีที่ชีวิตสั้นผู้นั้นนางมิได้มีความรู้สึกใดๆ ด้วยสักนิด แต่เพราะนางตายอย่างมีเงื่อนงำ ไม่แน่ว่าจวนปั๋วอาจจะรู้สึกผิดและให้ค่าทำขวัญสักหลายส่วน สามีนางมามิได้ แต่หากนางมิตามมาอีก น้องสามีผู้นี้ของตนคงได้ประโยชน์ไปเพียงผู้เดียวแน่


 


 


นางสิงประคองนางเจียนเข้าไปด้านใน ถนนที่ปูลาดด้วยหินสีเขียวครึ้มสะอาดตายิ่ง บรรดาบ่าวไพร่ที่เดินกวักไก่วไปมาต่างเดินย่างอย่างเบาไม้เบามือ ครั้นเห็นเจินเมี่ยวก็ย่อกายคารวะ เมื่อมองไปกระเบื้องสีดำอิฐกำแพงสีแดง ต้นไม้เขียว บุปผาสีชาดก็ทำให้รู้สึกว่าดวงตาคู่นี้ของนางนั้นมีไม่มากพอให้ใช้งานเสียแล้ว


 


 


นางเจี่ยงยืนอยู่บนบันไดพอดี เมื่อเห็นคนเดินเข้ามาใกล้ก็เดินลงจากบันไดเข้ามาต้อนรับ “เจียวไท่ไท่ คงเดินทางมาเหนื่อยแย่แล้ว ข้ากำลังจะไปรับที่ประตูรองแต่คนกลับมาถึงที่นี่ก่อนเสียแล้ว”


 


 


คนทั้งหลายเดินเข้าไปในเรือนหลักของเรือนหนิงโซ่ว ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังนั่งรออยู่บนเก้าอี้ ไท่ซือ


 


 


“ฮูหยินผู้เฒ่า” ใจของนางเจียวนั้นว้าวุ่นไปหมด นางจึงมิอาจเอ่ยคำอื่นใดได้ เพียงย่อกายแสดงความเคารพเท่านั้น


 


 


“เจียวไท่ไท่มิต้องเกรงใจ” ฮูหยินผู้เฒ่าลอบสังเกตว่ามีคนมากี่คนด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วกำชับสาวใช้ให้ยกน้ำชามา


 


 


ในแก้วใบใสโปร่งแสงนั้นมีใบชาลอยละล่องอยู่ทั้งบนและล่าง ไอร้อนแผ่กระจายออกมาไม่หยุด


 


 


น้อยนักจะได้พบเห็นแก้วเช่นนี้ นางสิงจึงยกขึ้นพิจารณาอยู่หลายครา


 


 


นางเจียวกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อย นางวางถ้วยชาไว้บนโต๊ะเล็กด้านข้าง แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า บุตรสาวของข้า ไม่ทราบจากไปด้วยเหตุอันใดหรือ…”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่เงียบงัน


 


 


เวลานี้เองก็มีเสียงหนึ่งดังลอยมา “ฮูหยินผู้เฒ่า สะใภ้มาสายเสียแล้ว”


 


 


นางหลี่เดินเข้ามาพอดี


 


 


นางสวมเสื้อตุ้ยจิ้นสีม่วงดอกหลัวหลานปักลายเหริ่นตงเหวินและกระโปรงสีเหลืองอ่อนห้อยพู่ระย้า มวยผมปักด้วยปิ่นทองหางหงส์ห้อยระย้า ยามเดินบนทางก็กวัดแกว่งไปมาล่อสายตาผู้คน


 


 


นางเจียวเห็นเช่นนั้น โทสะที่อดกลั้นไว้ในใจตนก็พลันพุ่งทะยานขึ้น สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันใด


 


 


บุตรสาวของนางเพิ่งสิ้นไป แต่คนผู้นี้กลับแต่งกายเสียเต็มยศ มองแล้วช่างเสียดแทงหัวใจจริง!


 


 


เมื่อเห็นว่านางเจียวไม่พอใจ นางหลี่ก็รู้สึกเบิกบานขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


ไม่ผิด นางเจตนาที่จะแต่งกายเช่นนี้เอง!


 


 


เพราะอะไร เด็กสารเลวนั่นตายไป ผู้อื่นมิเป็นไร แต่บุตรสาวของนางกลับต้องมาซวยไปด้วย!


 


 


การหมั้นหมายของอวี้เอ๋อร์กับขุนนางตระกูลหวังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงอันใด แต่ปิงเอ๋อร์ต่างหากที่โชคร้าย ก่อนหน้านี้นางลำบากลำบนยิ่งกว่าจะหาตระกูลที่เหมาะสมได้ คิดว่าห่างพ้นเดือนนี้ไปจะจัดการให้เรียบร้อย แต่เพราะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น อีกฝ่ายจึงตอบปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมกลับมา!


 


 


ครั้นคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หากเวินยาฉียังมีชีวิตอยู่ นางหลี่คงฉีกเนื้อหนังนางมากัดกินด้วยความแค้นเคืองเป็นแน่ ยามนี้คนตายไปแล้วนางจึงทำได้เพียงยั่วโทสะมารดาเวินยาฉีสักหน่อยเท่านั้น


 


 


นางหลี่ลูบผมตนแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สะใภ้กินขนมก้นหอยที่เมี่ยวเอ๋อร์ส่งไปให้ก็ลบเครื่องประทินผิวแล้วเผลอหลับไป ผู้ใดจะคิดว่าเจียวไท่ไท่จะมาถึงแล้ว ข้ามาช้าไปก้าวเดียวหวังว่าท่านจะให้อภัย”


 


 


นางเจียวกัดฟันเค้นเอ่ยออกมาได้สองคำว่า “มิกล้า”


 


 


นางหลี่ยิ้มออกมาแต่มิได้เอ่ยสิ่งใด


 


 


เวินมั่วเหยียนอดทนไม่ได้อีกต่อไป “ฮูหยินผู้เฒ่า หวังว่าท่านจะบอกเราได้ว่าเหตุใดน้องสาวข้าจึงคิดสั้น!”


 


 


“โอ๊ะโอ๋ คุณชายเวิน เจ้าเอ่ยเสียงดังเอะอะเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าของเราคงรับไม่ได้แน่ คำวิพากษ์วิจารณ์ในช่วงหลายวันมานี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าของเราทุกข์ใจไม่น้อยแล้ว” นางหลี่แค่นยิ้มออกมา


 


 


เจินเมี่ยวไม่อยากให้สถานการณ์ย่ำแย่ไปกว่านี้จึงลุกขึ้นเอ่ยว่า “ท่านย่า ข้าจะพาป้าสะใภ้ไปพบท่านแม่ที่เรือนก่อนเจ้าค่ะ”


 


 


พูดพลางหันไปสบตากับเวินมั่วเหยียน “พี่สี่ จะมีผู้ใดทราบเรื่องราวทุกอย่างดีเท่ากับพวกเราอีก ท่านมิต้องไปสอบถามเอาความกับท่านย่าแล้ว”


 


 


แววตาอันกระจ่างใสนั้นแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าและกลัดกลุ้มคล้ายน้ำพุที่ใสเย็นคอยปลอบประโลมความร้อนรุ่มในใจผู้คน โทสะที่เกือบจะควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ของเวินมั่วเหยียนจึงพลันมอดลงไปหลายส่วน เขาฝืนพยักหน้ารับ


 


 


เจินเมี่ยวและเจินฮ่วนพาพวกเขาไปที่สวนเหอเฟิงโดยมิเอ่ยสิ่งใด เมื่อถึงที่นั่นกลับมิได้พาเข้าไปที่เรือนหลักแต่พาไปที่เรือนฝั่งตะวันออกแทน


 


 


แม้นแต่นางเจียวที่ถูกความทุกข์ใจกดข่มสติปัญญาไว้จนสิ้นยังรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงเอ่ยถามเจินเมี่ยวว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ เหตุใดจึงไม่เห็นมารดาเจ้าเล่า?”


 


 


“ป้าสะใภ้รองนั่งลงก่อนเถิด” เจินเมี่ยวนั่งลงบนเตียงคั่งในเรือนฝั่งตะวันออก


 


 


สาวใช้หลายคนยกน้ำชาเข้ามาและรีบออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จื่อซูจะออกไปก็หันมาปิดประตูจนแนบสนิท


 


 


เจินเมี่ยวจึงเริ่มเอ่ยปากขึ้น “หลังจากที่ญาติผู้น้องแขวนคอตาย ท่านแม่ก็สะเทือนใจยิ่ง ตอนนี้ยังคงเหม่อลอยไม่ได้สตินัก ยามนี้นางมิอาจได้รับการกระทบจิตใจใดๆ ดี หวังว่าท่านป้าจะมิตำหนิ”


 


 


นางเจียวได้ฟังถึงกับอึ้งงันไป


 


 


นางสิงกลับมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างรวดเร็วยิ่ง นางปาดน้ำตาเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าท่านอาหญิงจะเสียใจถึงเพียงนี้ ท่านแม่เสียใจยิ่ง สะใภ้เข้าใจดี แต่อย่างไรก็ขอให้ญาติผู้น้องบอกแก่เราตามตรงเถิดว่าเหตุใดน้องเวินยาฉีจึงคิดสั้นเช่นนี้?”


 


 


เจินฮ่วนพลันลุกขึ้น “ป้าสะใภ้ หลานจะไปเรียกนางอวี๋มาคารวะท่านสักหน่อย” พูดจบก็เดินออกไปอย่างเร็วรี่


 


 


เมื่อเขาจากไปเช่นนี้ สถานการณ์ก็ยิ่งกระอักกระอ่วนมากขึ้นไปอีก


 


 


นางสิงขึ้นคิดในใจทันทีว่า หรือการตายของน้องสามีนางจะเกี่ยวกับญาติผู้น้องคนนี้?


 


 


เวินมั่วเหยี่ยนเองก็มิใช่คนโง่ เขาก้าวเท้าตามไปทันที แต่เจินเมี่ยวก็เข้าไปขวางเขาไว้ได้ทัน


 


 


เวินมั่วเหยียนคิดจะผลักนางออกแต่ก็กลัวนางบาดเจ็บ จึงได้แต่โกรธหน้าดำหน้าแดง “ญาติผู้น้องเจ้าหลบไป”


 


 


เขาชี้ไปทางประตูแล้วเอ่ยด้วยโทสะว่า “การตายของยาฉีเกี่ยวข้องกับพี่ฮ่วนใช่หรือไม่? เขาทำผิดแล้วกลัวคนจับได้ใช่หรือไม่?”


 


 


“ผู้ใดทำผิดแล้วกลัวถูกจับได้กัน พี่มั่วเหยียน หากท่านไม่รอให้ข้าพูดทุกอย่างให้กระจ่างก็โวยวายไร้เหตุผล ข้าจะ จ้าจะ…”


 


 


“เจ้าจะทำอันใด? จะไปฟ้องท่านปู่ท่านย่าเจ้างั้นหรือ?”


 


 


ตอนที่นางยังเล็ก ทุกคราที่ไปพักที่ติ้งไฮ่ก็มักจะฟ้องเรื่องของเขาเสมอ ทำให้เขาต้องถอดกางเกงลงหวายทุกครั้งไป


 


 


เมื่อเห็นเขาทำหน้าบึ้งตึงเช่นนั้น เจินเมี่ยวก็กระทืบเข้าที่เท้าเขาด้วยโทสะคราหนึ่ง “ข้าก็จะไม่บอกเรื่องของญาติผู้น้องกับท่านอย่างไรเล่า!”


 


 


เวินมั่วเหยียนพลันว่าง่ายขึ้นมาทันที เขานั่งลงทันใด “ข้าไม่โวยวายแล้ว ญาติผู้น้องเจ้าว่ามาเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวมองนางเจียวและนางสิงคราหนึ่ง แล้วทอดถอนใจอยู่ในอก นางรู้ว่าหากมิพูดเรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มแรก นางเวินกับตระกูลเวินคงยากจะคงความสัมพันธ์เอาไว้ได้อีก เมื่อครู่ที่พี่ใหญ่ปลีกตัวออกไป เพราะรู้ดีว่ามิอาจปิดบังเรื่องทั้งหมดได้อีกต่อไป


 


 


“ปีนั้นพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าคลอดก่อนกำหนด ร่างกายอ่อนแอจึงให้สาวใช้ที่ติดตามมาไปคอยปรนนิบัติพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ดื่มสุรามากเกินไป วันต่อมาจึงพบว่าสาวใช้ผู้นั้นกลับกลายเป็นญาติผู้น้องไปเสียแล้ว”


 


 


เสียงสูดปากอย่างไม่อยากจะเชื่อดังขึ้นพร้อมกันอยู่ภายในห้อง


 


 


เจินเมี่ยวไม่อยากถูกเอ่ยตัดบทจึงรีบเอ่ยต่อว่า “ภายหลังข้ากับพี่ยาหันไปถามนางจึงทราบว่านางอยากจะเป็นอนุของพี่ใหญ่ข้า รอวันที่พี่สะใภ้ข้าไม่ไหวแล้วขึ้นเป็นภรรยาเอกแทน”


 


 


นางบอกเล่าถึงสิ่งที่คิดออกมาเป็นขั้นเป็นตอน


 


 


“เป็นไปไม่ได้!” เวินมั่วเหยียนหน้าดำคล้ำดุจเหล็ก เส้นโลหิตตรงขมับปูดโปนขึ้นมา


 


 


เจินเมี่ยวแค่ยิ้มเย็น “ตอนนั้นพี่ยาหันจะให้นางแขวนคอตายด้วยซ้ำ หากท่านไม่เชื่อก็เขียนจดหมายไปถามพี่ยาหันได้ หากข้าพูดจาเหลวไหลแม้เพียงคำขอให้ฟ้าผ่าได้เลย!”


 


 


เวินมั่วเหยียนโกรธจนผุดลุกขึ้นยืน “เจ้า เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด!”


 


 


เจินเมี่ยวเองก็โมโหเช่นกัน นางยืดลำคอขึ้นเอ่ยว่า “ข้ามิได้พูดเหลวไหล หากพูดเหลวไหลขอให้ฟ้าผ่า…”


 


 


นางยังมิทันเอ่ยจบก็ถูกเวินมั่วเหยียนปิดปากไว้เสียก่อน


 


 


การกระทำนี้ของเขาทำให้ทุกคนต่างตะลึงงันกันไปหมดรวมถึงตัวเขาเองด้วย


 


 


เขาอึ้งงันไปครู่หนึ่งจึงปล่อยมือแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ข้าเสียน้องสาวไปคนหนึ่งแล้ว ไม่อยากให้มีน้องสาวคนใดเกิดเรื่องร้ายขึ้นอีก!”


 


 


เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ ความอบอุ่นพลันก่อเกิดขึ้นในใจอีกหลายส่วน


 


 


ความทรงจำอันเนิ่นนานนั้นพลันแล่นวูบเข้ามาในหัว ทุกคราที่ญาติผู้พี่คนนี้ถูกตีเพราะร่างเดิม แต่ทุกคราที่พบกันเขาก็ยังคงมอบยิ้มสดใสเจิดจ้าให้นางอยู่เช่นเดิม


 


 


คนเช่นเขานั้นมิเคยคิดแค้นใครได้จริงๆ กระมัง สำหรับเขาแล้ว ความโกรธแค้นคงสิ้นเปลืองพลังงานมากกว่ารอยยิ้มมากมายนัก


 


 


เวลานี้เองที่เจินเมี่ยวพลันรู้สึกยากยิ่งที่จะเอ่ยเรื่องราวต่อจากนี้ไปออกมา

 

 

 


ตอนที่ 298 ความเจ็บปวดของการสูญเสียน้...

 

 


 


นางมิอาจทนไหวแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องเล่าออกไป เจินเมี่ยวจึงกัดฟันฝืนเล่าทุกอย่างจนจบ นางมองท่าทางหวาดหวั่นอึ้งงันของนางเจียวและเวินมั่วเหยียนแล้วจิตใจก็สับสนขึ้นมาจึงหลุบม่านตาลงจ้องลายบุปผาสีเขียวเข้มบนกระโปรงตนโดยไม่พูดจาใดๆ


 


 


เวินมั่วเหยียนพลันลุกขึ้น ลำขายาวสองข้างนั้นหมุนกายแล้วก้าวออกไปด้านนอกทันที


 


 


“ญาติผู้พี่ ท่านจะไปไหน?” เจินเมี่ยวตามออกมาขวางเขาอยู่ที่หน้าประตู


 


 


เวินมั่วเหยียนจ้องเจินเมี่ยว ขนยายาวดั่งพัดที่ทำจากขนอีกาดำขับให้ดวงตาคู่นั้นทั้งใหญ่และเจิดจ้า เพลิงโทสะที่ลุกไหม้อยู่ในนั้นทำให้คนไม่กล้าสบตา


 


 


“ญาติผู้น้อง คนร้ายที่ทำให้ยาฉีต้องตายยังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะขวางข้าทำไม?”


 


 


เจินเมี่ยวเม้มปากไว้ไม่พูดจา แต่กลับมิขยับฝีเท้าไปแม้เพียงสักนิด


 


 


ดวงตาอันเจิดจ้าของเวินมั่วเหยียนค่อยๆ อับแสงลง ความเสียใจ ความโกรธแค้น ความดื้อดึง ทุกความรู้สึกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่ในดวงตาของเขา กระทั่งน้ำเสียงที่เอ่ยก็ยังขรึมต่ำลงไปหลายส่วน “ญาติผู้น้อง เจ้าจะขวางข้าจริงๆ หรือ?”


 


 


ท่าทางของเขามิได้ดูโกรธแค้นร้อนรนถึงเพียงนั้นแล้วแต่กลับคล้ายสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ได้รับบาดเจ็บ สิ้นหวังทั้งอดกลั้น


 


 


กระทั่งเจินเมี่ยวยังคิดว่าเขาอาจจะร้องไห้โฮออกมาดั่งเด็กตัวน้อยๆ


 


 


ความจริงเวินมั่วเหยียนก็อายุมากกว่านางแค่ปีเดียวเท่านั้น เขาอายุแค่สิบเจ็ดปี


 


 


“ต่อให้ภายหน้าท่านจะโกรธเกลียดข้า ข้าก็ยังจะขวางท่านไว้” เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงเรียบ


 


 


“เจ้า เจ้า…” เวินมั่วเหยียนกัดริมฝีปากล่างไว้โดยแรง โลหิตพลันไหลซึมออกมาทันใด แต่เขากลับหาได้ใส่ใจไม่ “เจ้ารู้ว่าข้าคงทำอันใดเจ้าไม่ได้ใช่หรือไม่? หากเจ้าเป็นน้องชาย ข้าคง….”


 


 


เจินเมี่ยวหน้าขรึมขึ้นมาทันที “พี่สี่จะถือว่าข้าเป็นน้องชายก็ได้”


 


 


พูดพลางแอ่นหน้าอกแล้วเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ส่งสายตายียวนให้เขา


 


 


ท่าทีที่แสดงออกนั้นชัดเจนยิ่ง นางกำลังบอกว่าต่อยข้าสิ


 


 


เวินมั่วเหยียนเบนสายตาหลบไปด้วยความประหม่า


 


 


“มั่วเหยียน หยุดโวยวายได้แล้ว!” นางเจียวเอ่ยปากขึ้นในที่สุด


 


 


“ท่านแม่…”


 


 


นางเจียวถูมือที่แห้งกร้านของตนไปมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขมขื่น “มั่วเหยียน ยาฉีเป็นเช่นนี้เพราะแม่มิได้สั่งสอนนางให้ดี แล้วจะไปโกรธเคืองผู้อื่นได้อย่างไร”


 


 


“ท่านแม่ ต่อให้น้องจะผิดอย่างไร โทษก็ไม่ร้ายแรงถึงตายเสียหน่อย!” เวินมั่วเหยียนกำหมัดตนแน่น


 


 


นี่เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ที่สุด น้องสาวเขาเพิ่งจะสิบห้าปี เป็นช่วงอายุที่สดใสดุจบุปผา แค่มิได้เจอเพียงเดือนกว่าๆ บุปผากลับสิ้นกลิ่นหอม หยกงามกลับแตกเป็นเสี่ยงๆ


 


 


ศพของนางมิอาจนำไปฝังในสานของตระกูล อาจจะต้องนำนางไปฝั่งไว้เพียงลำพังในที่ใดที่หนึ่ง เมื่อคิดถึงสถานที่อันเหน็บหนาวเยือกเย็นเช่นนั้นแล้วก็รู้สึกใจจะขาดขึ้นมาให้ได้


 


 


ต่อให้นางเอาแต่ใจ เต็มไปด้วยข้อเสียมากมายแต่นางก็เป็นน้องสาวของเขา แม้นชั่วชีวิตนี้จะมิได้ออกเรือน เขาก็เลี้ยงนางได้


 


 


นางเจียวหลับตาลง น้ำตาไหลรินลงมา “เป็นเพราะแม่มิได้สั่งสอนให้ยาฉีระมัดระวังตน มั่นคงและเข้มแข็ง หากนางทำเช่นนั้นได้ คงไม่มีวันนี้ วันที่หัวหงอกต้องมาส่งหัวดำเป็นแน่”


 


 


เจินเมี่ยวเห็นท่าทีทุกข์ตรมของนางเจียนแล้วก็พลอยปวดใจไปด้วย


 


 


ใช่ หากเวินยาฉีรู้จักคิดให้รอบคอบย่อมมิต้องเสียความบริสุทธิ์ หากนางมีจิตใจที่มั่นคงพอ แม้นจะเสียตัวไปแล้ว แต่ญาติพี่น้องทุกคนก็ย่อมต้องสรรหาคนดีๆ มาให้นาง หากนางเข้มแข็ง ต่อให้พบเจอกับเรื่องเลวร้ายเพียงใดก็จะไม่มีทางแขวนคอตายเพื่อหลีกหนีเรื่องราวทุกอย่างเป็นแน่


 


 


“เป็นความผิดข้าเอง ตอนที่ยาฉีเพิ่งจะรู้ความ ตระกูลของเราก็ค่อยๆ ตกต่ำลง แม่มัวแต่ยุ่งกับการพยุงกิจการของตระกูลจึงมิได้ดูแลนาง ต่อมาบิดาเจ้าก็ตาบอดไปข้างหนึ่ง ภาระที่แบกไว้ก็ยิ่งหนักอึ้งทำให้ข้าละเลยในการอบรมนาง กล่าวไปแล้วก็เป็นเพราะแม่มิได้ทำหน้าที่แม่อย่างเต็มที่จึงทำให้นางมีจุดจบเช่นนี้ ทำให้แม่ต้องรับโทษทัณฑ์เช่นนี้” นางเจียวทนไม่ไหวอีกต่อไป นางจึงร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด


 


 


“ท่านแม่ ท่านอย่าได้เสียใจเกินไปเลย ท่านยังมีท่านพ่อ และพวกเราลูกหลานที่ต้องดูแลอีก” นางสิงประคองนางเจียวไว้พลางเอ่ยเตือนสติ


 


 


น้องสามีผู้นี้ช่างทำให้คนตกตะลึงได้จริงๆ ถึงกับทำเรื่องอันน่าละอายเช่นนั้นออกมาได้ ตอนนี้แม้แต่ตนยังดูออกว่าท่านอาหญิงในจวนแห่งนี้ของนางนั้นดีต่อนางอย่างที่สุด มิเช่นนั้นหากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นที่จวนอื่นก็คงส่งสตรีที่ไม่รู้ความผู้นี้กลับบ้านเกิดไปเสียนานแล้ว


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็มิจำเป็นต้องหาเหตุก่อเรื่องอันใดอีกแล้ว หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น อาหญิงผู้นั้นคงรู้สึกผิดกับตระกูลมารดาตนยิ่ง


 


 


ครั้นคิดได้เช่นนี้นางจึงเอ่ยเตือนสติอีกว่า “ท่านแม่ ท่านอาหญิงมิใช่กำลังป่วยอยู่หรือ ท่านยังต้อพาสะใภ้กับน้องมั่วเหยียนไปเยี่ยมอาการอีกนะเจ้าคะ”


 


 


นางเจียวพยักหน้าเบาๆ นางลืมตาขึ้นมองเวินมั่วเหยียน “มั่วเหยียน แม้นแม่มิใช่คนมีประสบการณ์อันใดมากมาย แต่ก็รู้ว่าการจับขโมยต้องมีหลักฐาน เมี่ยวเอ๋อร์ก็บอกแล้วมิใช่หรือว่า กูไหน่ไหน่ผู้นั้นแค่เอ่ยจูงใจน้องสาวเจ้าเท่านั้น อาศัยแค่วาจานี้ เจ้ามีสิทธิ์อันใดไปหาเรื่องผู้อื่นเล่า? ยาฉีมาเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังจะก่อเรื่องให้ผู้คนขบขันซ้ำเติมตระกูลเราอีกหรือ? เจ้าจะให้ข้ามีหน้าอันใดไปพบอาหญิงเจ้าเล่า?”


 


 


นางเจียวบอกว่าตนไร้ประสบการณ์ใดๆ นั้นกลับเป็นการถ่อมตนเกินไปแล้ว ตอนที่ตระกูลเวินยังมิทันได้ตกต่ำ การแต่งสะใภ้คนที่สามเข้าตระกูลแม้นมินับเป็นคุณหนูสูงศักดิ์แต่ก็เป็นสตรีผู้งดงามและเพียบพร้อมด้วยความสามารถ แต่เมื่อต้องผ่านคืนวันอันยากลำบากจึงทำให้คนดูหมองไปดุจหญิงสาวชาวนาก็มิปาน


 


 


เวินมั่วเหยียนยืนโง่งมอยู่เช่นนั้นเป็นนาน ฉับพลันก็ออกหมัดซัดเข้าใส่กำแพงโดยแรงคราหนึ่ง


 


 


เจ้าหนุ่มผู้นี้พลังเหลือเฟือนัก แค่เพียงหมัดเดียวก็ทำให้กำแพงสีขาวนั้นแตกร้าวดุจใยแมงมุม เขาถึงกับแข็งทื่อเป็นระกาไม้ไปโดยปริยาย เมื่อนึกขึ้นได้ก็หันไมองเจินเมี่ยวด้วยท่าทีดั่งคนที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้เหมือนสมัยยังเยาว์ไว้ไม่มีผิด


 


 


เจินเมี่ยวเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็วแล้วยื่นมืออกไป


 


 


เวินมั่วเหยียนถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ


 


 


เจินเมี่ยวหลุดหัวเราะออกมา


 


 


คนผู้นี้กลัวว่านางจะตีเขางั้นหรือ? นางมิใช่บิดาเขาเสียหน่อย


 


 


นางล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวทรงสี่เหลี่ยมออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดใส่มือเขา “มือท่านเลือกออกแล้วรีบเอาไปพันแผลก่อน”


 


 


หลังจากนั้นก็เปิดประตูร้องเรียกจื่อซูให้เข้ามา “จื่อซู เจ้าพาคุณชายไปพันแผลที”


 


 


เวินมั่วเหยียนยังคิดจะผลักไสแต่เห็นเจินเมี่ยวทำหน้าตึงจึงยอมตามจื่อซูไปแต่โดยดี


 


 


นางเจียวลุกขึ้นยืน “เมี่ยวเอ๋อร์ พาข้าไปหาท่านแม่เจ้าที”


 


 


เจินเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า “ท่านป้าสะใภ้รองตามข้ามาทางนี้เจ้าค่ะ แต่หมอหลวงบอกว่าท่านแม่มิอาจได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอีก มิฉะนั้นอาการป่วยจะกลับมาเป็นซ้ำ”


 


 


“ข้าเข้าใจแล้ว” นางเจียวตบหลังมือเจินเมี่ยวเบาๆ คราหนึ่ง


 


 


สองมืออันหยาบกร้านดั่งเปลือกไม้ของนางนั้นทำให้คนรู้สึกเจ็บแปลบที่ผิวขึ้นมา


 


 


เจินเมี่ยวจึงคิดถึงวาจาของนางเวินที่เคยบอกไว้


 


 


ช่วงที่ตระกูลมารดาลำบากที่สุดนั้นมิกล้าจ้างแม้กระทั่งสาวใช้ เสื้อผ้าอาภรณ์นั้นฮูหยินทั้งหลายต่างซักกันเอง


 


 


ชั่วขณะนี้เองทำให้เจินเมี่ยวเข้าใจความขมขื่นของนางเวิน


 


 


ไม่ว่าผู้ใดหากตระกูลมารดาต้องพบเจอความลำบากเช่นนี้แต่ตนเองกลับอาศัยอยู่ในกองเงินกองทอง ย่อมต้องรู้สึกมิอาจสงบใจได้ทั้งสิ้น


 


 


เมื่อเดินพ้นประตูเรือนฝั่งตะวันตกออกมา นางก็เดินไปตามระเบียงทางเดิน ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ดวงอาทิตย์แขวนต่ำอยู่ทางทิศตะวันตกสาดย้อมเมฆขาวให้กลายเป็นสีแดง ดูหนักอึ้งจนมิอาจทานทนต่อไปแล้วกระนั้น แต่มันกลับช่วยบดบังความกลัดกลุ้มของคนผู้หนึ่งเอาไว้ได้ ต้นไม้ที่อยู่ตรงมุมกำแพงนั้นกำลังผลิบานชูช่อเล็กๆ สีขาวขึ้นต้อนรับสายลม คล้ายมันกำลังภาคภูมิใจหนักหนาก็มิปาน


 


 


“ป้าสะใภ้รอง เชิญด้านนี้เจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวยืนอยู่ด้านหลังเพื่อบังลมให้นาง


 


 


นางเจียวเดินทางไกลมาอย่างยากลำบากพร้อมกับความเสียใจเข้ากระดูก หากถูกลมโกรกจนล้มป่วยไปอีกคนจะยิ่งทำให้นางปวดศีรษะมากขึ้นเท่านั้น


 


 


นางรู้สึกว่าตนนั้นมีกำลังไม่มากพออย่างที่ใจอยาก นางมิได้เชี่ยวชาญในการจัดการเรื่องต่างๆ เหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เวลานี้นางอยากจะให้เจินเหยียนอยู่ด้วยมากที่สุด อยากให้นางคอยชี้แนะตนเหมือนตอนที่ยังมิได้ออกเรือน


 


 


ทว่ามิอาจทำได้ ตอนนี้เจินเหยียนใกล้จะคลอดแล้วทั้งยังเป็นคนรักพี่น้อง หากนางทราบเรื่องนี้เข้าอาจกระทบกระเทือนกับบุตรในครรภ์ได้


 


 


เจินเมี่ยวยืดหลังตนขึ้นตรงแล้วประคองนางเจียวเข้าไปด้านใน


 


 


ไม่เชี่ยวชาญ เช่นนั้นก็ตั้งใจเรียนรู้ให้ดี อย่างไรก็ย่อมต้องมีทางออกเสมอ


 


 


นางเจียวพบหน้ากับนางเวินแล้ว


 


 


นางเจียวเป็นผู้รู้จักเก็บอาการยิ่ง ทั้งที่นางเพิ่งผ่านความเสียใจที่ต้องสูญเสียบุตรสาวแต่ยังคงปลอบประโลมนางเวินอย่างใจเย็น นางเวินกอดนางเจียวร้องไห้โฮออกมาเหมือนเด็กน้อยผู้หนึ่งไม่มีผิด


 


 


เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


 


 


ความทุกข์ในใจเมื่อร้องไห้ออกมาแล้วก็ย่อมดีขึ้นมากโข


 


 


เวินมั่วเหยียนเดินตามจื่อซูมาถึงที่นี่ เมื่อเห็นเหตุการณ์ภายในห้องก็หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูไม่เดินเข้าไป


 


 


เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นจึงเดินออกมา


 


 


“ข้ารออีกสักประเดี๋ยวค่อยเข้าไปคารวะท่านอาหญิงแล้วกัน” เวินมั่วเหยียนพูดพลางมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าอันอ่อนโยนของนางจึงเอ่ยขึ้นว่า “น้องรอง ข้าอยาก…ไปดูยาฉีสักหน่อย”


 


 


เจินเมี่ยวนิ่งเงียบอยู่นานจึงพยักหน้า “อืม”


 


 


เวินยาฉีถูกบรรจุไว้ใน**บศพเรียบร้อยแล้ว โลงของนางถูกเก็บไว้ที่ห้องด้านหลังของสวนเหอเฟิง


 


 


เจินเมี่ยวพาเวินมั่วเหยียนไปที่นั่น เมื่อเปิดประตูออก ไอเย็นเยียบสายหนึ่งก็พุ่งออกมา


 


 


เวินมั่วเหยียนบังเจินเมี่ยวไว้ด้านหลังตนแล้วหันหน้ากลับไปเอ่ยว่า “น้องรอง เจ้ารออยู่ข้างนอกเถิด ข้าเข้าไปดูครู่เดียวก็ออกมาแล้ว”


 


 


ความจริงเจินเมี่ยวนั้นใจกล้ายิ่ง นางกลัวแค่เพียงห่านเท่านั้น แต่การดูศพคนตายก็มิใช่สิ่งที่นางสนใจนักจึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วยืนรอเขาอยู่ด้านนอก


 


 


เวินมั่วเหยียนเดินเข้าไป เขาจ้องมองคันฉ่องทองแดงที่ตกเข้ากับโลงศพนั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยๆ เปิดฝาโลงออก


 


 


เวินยาฉีนอนอยู่ในนั้น ใบหน้าเขียวคล้ำ ดูโดดเดี่ยว ว่างเปล่า รอบกายไร้สิ่งของใด


 


 


ด้วยเพราะธรรมเนียมในยุคนั้น หากสตรีที่ยังมิออกเรือนสิ้นชีวิตลง อย่าว่าแต่เข้าไปอยู่ในสุสานของตระกูลเลย แม้นสิ่งของที่ฝังไปกับศพยังมิอนุญาตให้มี


 


 


เมื่อคิดถึงคราวที่น้องสาวยังมีชีวิตอยู่ นางชมชอบเครื่องประดับและเสื้อผ้าที่สวยงาม แต่ยามนี้กลับต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เวินมั่วเหยียนรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในอกอย่างยากจะบรรยาย น้ำตาเขาค่อยๆ ไหลรินออกมาจากหางตา


 


 


เขารีบถอยหลังทันทีด้วยกลัวว่าน้ำตาจะร่วงหล่นลงบนไม้โลงศพ เมื่อถอยไปได้ประมาณครึ่งจั้ง เขาก็นั่งลงร้องไห้ด้วยเสียงแผ่วต่ำอย่างที่สุด


 


 


เจินเมี่ยวที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงจึงอดเดินเข้ามามิได้ “พี่สี่…”


 


 


น้ำเสียงของนางพลันหยุดชะงักลงทันที สายตาจ้องมองไปบนใบหน้าอันเขียวคล้ำของเวินยาฉีที่อยู่ในโลงอย่างอึ้งงัน


 


 


เวินมั่วเหยียนลุกขึ้นทันที สีหน้าก็ปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว เขาเข้าไปยืนบดบังครรลองสายตาของเจินเมี่ยวไว้แล้วผลักนางออกไป เขากลับมาที่เดิมแล้วปิดฝาโลงลง เมื่อเดินออกไปก็เอ่ยถามด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “จู่ๆ เจ้าวิ่งเข้าไปทำอันใดเล่า?”


 


 


เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากไว้มิเอ่ยวาจา


 


 


‘เพราะได้ยินท่านร้องไห้จึงคิดจะเข้าไปปลอบ’ วาจาทำนองนี้มิสู้ไม่เอ่ยถึงจะดีกว่า นางคิดว่าคงไม่มีบุรุษใดอยากจะฟังคำตอบเช่นนี้แน่


 


 


“เจ้าตกใจมากหรือไม่?” เวินมั่วเหยียนอดถามขึ้นมาไม่ได้


 


 


เจินเมี่ยวส่ายหน้า “ไม่”


 


 


นางมิได้ตกใจจริงๆ


 


 


แต่น่าเสียดายที่เวินมั่วเหยียนไม่เชื่อ เขาเดินหน้าขรึมกลับไปพร้อมนาง ครั้นใกล้ถึงเรือนหลักก็เอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “น้องสี่ หากเจ้ากลัวก็ให้น้องเขยมาอยู่เป็นเพื่อนนะ เรื่องวันนี้ข้าขอโทษจริงๆ”


 


 


ยามนี้เขารู้สึกเสียใจจริงๆ หากอยากจะไปดูหน้าน้องสาวเป็นครั้งสุดท้ายก็แค่ให้สาวใช้สักคนนำทางไปก็ได้ เหตุใดต้องให้ญาติผู้น้องพาไปด้วย เด็กสาวย่อมต้องขี้กลัวเป็นธรรมดา หากนางตกใจจนเกิดล้มป่วยไปอีกคนเขาจะทำเช่นไรเล่า


 


 


“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ” เจินเมี่ยวคลี่มุมปากขึ้นยิ้ม


 


 


เห็นได้ชัดว่าเวินมั่วเหยียนไม่เชื่อนาง เขายังคงมีท่าทีกังวลใจอยู่เช่นเดิม


 


 


สายตาเจินเมี่ยวร่วงตกไปบนฝ่ามือที่ได้พันแผลไว้เรียบร้อยแล้วนั้นของเขาจึงคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาโดยไร้ท่าทีเอียงอายอย่างสตรีทั่วไปว่า “พี่สี่ ผ้าเช็ดหน้าข้าเล่า? กลับไปอย่าลืมซักด้วยเล่า ข้ายังต้องใช้มันอีก”


 


 


ผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดเช่นนั้นนางย่อมมิเอากลับมาใช้แน่นอน แม้นจะเป็นเพียงผ้าเช็ดหน้าธรรมดาทั้งมิได้มีสัญลักษณ์พิเศษอันใด แต่อย่างไรก็เป็นของที่นางเคยใช้ หากเก็บไว้กับเวินมั่วเหยียนคงไม่ค่อยเหมาะสมนัก


 


 


เวินมั่วเหยียนยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อคราหนึ่งแล้วอึ้งงันไป “น่าจะทำตกไว้ที่ห้องทำแผล”


 


 


“เช่นนั้นก็ช่างเถิด”


 


 


รอจนเวินมั่วเหยียนเข้าไปคารวะนางเวิน เจินเมี่ยวก็เรียกจื่อซูเข้าไปหาอย่างไม่กระโตกกระตาก ครั้นได้ยินนางบอกว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเปื่อยยุ่ยไม่เหลือชิ้นดีแล้วก็วางใจ 

 

 


ตอนที่ 299 ในยามวิกาล

 

ครั้นพลบค่ำ เจินเมี่ยวก็พักอาศัยอยู่ที่ห้องฝั่งตะวันตกของสวนเหอเฟิงจะได้สะดวกในการดูแลนางเวิน


 


 


อาจเพราะร้องไห้หนักมากออกมาคราหนึ่งทำให้นางเวินมีสติขึ้นมาก ค่ำคืนนี้ดูเงียบสงบเป็นพิเศษ เจินเมี่ยวมิจำเป็นต้องคอยลุกไปดูมารดากลางดึกอีกแล้ว ตามหลักนางก็ควรนอนหลับอย่างสบายใจ ทว่านางกลับนอนไม่หลับ


 


 


นางลืมตาขึ้นจ้องมองจันทรานวลที่ค่อยๆ เคลื่อนคล้อยขึ้นเหนือหลังคาเรือนด้วยท่าทีเหม่อลอย ในหัวพลันปรากฏใบหน้าเขียวคล้ำของเวินยาฉีโผล่เข้ามาโดยมิได้ตั้งใจ


 


 


เจินเมี่ยวพลิกกายตนทันที นางถอนหายใจออกมา


 


 


นางคิดว่าเวินมั่วเหยียนพูดถูก นางมิได้แกร่งกล้าอย่างที่ตนคิดเลย คุณหนูน้อยที่มีชีวิตอยู่อย่างสดใสพลันกลายเป็นศพที่มีใบหน้าเหยเก ต่อให้ผู้ใดพบเห็นก็ยากจะสงบใจได้


 


 


นางพลิกตัวอีกครา ยังคงไม่รู้สึกง่วงสักนิดจึงผุดลุกขึ้น สวมเสื้อตัวนอกสีขาวงาช้างแสนเรียบง่ายทับไว้หนึ่งชั้นแล้วเดินไปนั่งลงบนโต๊ะไม้หลี รินน้ำขึ้นดื่มจอกหนึ่ง


 


 


เมื่อวางถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวนั้นลง เจินเมี่ยวก็เดินไปที่หน้าต่าง นางผลักมันเปิดออก แล้วนั่งนับดาวเป็นการฆ่าเวลา


 


 


จันทร์กระจ่างดาวพร่างพราว มองดูแล้วช่างเหมือนอยู่แสนไกลยิ่ง นางยกมือขึ้นเท้าคาง นั่งชมทัศนียภาพยามค่ำคืนด้วยท่าทีเบื่อหน่ายและเกียจคร้าน


 


 


สายลมหอบพัดมาในยามค่ำคืน ไม่มีเสียงนกหรือแมลงร้อง เงียบจนได้ยินเพียงเสียงเสียดสีกันของกิ่งไม้ใบไม้ยามเมื่อลมโชยมา นางรู้สึกในหัวโปร่งโล่งขึ้นมาก ภาพอันน่าสยดสยองที่พบเห็นในยามกลางวันนั้นค่อยๆ สลายหายไป


 


 


เจินเมี่ยวลุกขึ้นยื่นมือไปคิดจะปิดหน้าต่าง กลับเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยเคลื่อนไหวไปตามระเบียงทางเดินอย่างรวดเร็ว มือนั้นของนางพลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ


 


 


นางสามารถมองจดจำคนผู้นั้นได้ด้วยอาศัยแสงจันทร์ที่ส่องสะท้อนลงมา เขาคือเวินมั่วเหยียนนั้นเอง


 


 


เจินเมี่ยวเกิดความคิดบางอย่างขึ้นจึงรีบเดินออกไป นางสะกิดชิงไต้ที่นอนอยู่ด้านนอกคราหนึ่ง


 


 


ความจริงชิงไต้มิได้หลับลึกอันใด


 


 


นางนั้นมีวรยุทธ์อยู่แต่เดิมแล้ว ทั้งต้องเฝ้าเวรดึก ทุกคราที่เจินเมี่ยวพลิกตัวนางต่างก็รับรู้ได้ เพียงแต่นายไม่เรียก นางจึงมิได้ส่งเสียงใด นางทำให้ตนตกอยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นเช่นนี้เสมอ เช่นนี้ก็สามารถพักผ่อนไปด้วยทั้งลุกขึ้นมาได้ทุกเมื่อเช่นกัน


 


 


“ชิงไต้ เจ้าตามข้ามา” เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงแผ่ว นางครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยอีกว่า “มิต้องตามติดประชิดข้ามาก เจ้าต้องซ่อนตัวให้มิดชิดที่สุด”


 


 


นางคิดว่าหากเวินมั่วเหยียนมีเรื่องอันใด เมื่อพบว่าเป็นนางในสถานการณ์เช่นนี้ก็อาจเอ่ยบอกเรื่องราวในใจออกมา ทว่าหากมีชิงไต้ตามไปด้วยเขาก็อาจจะไม่พูดก็เป็นได้


 


 


นายบ่ายทั้งสองค่อยๆ ออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ


 


 


เจินเมี่ยวรีบจนลืมสวมเสื้อคลุมออกไปด้วย นางจึงรู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อย ทว่ามิได้มีเวลามากพอให้กลับไปเอาเสื้อคลุมแล้ว นางเร่งฝีเท้าตามเวินมั่วเหยียนไป ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกสงสัย


 


 


กระทั่งเวินมั่วเหยียนไปหยุดอยู่ที่ห้องด้านหลังของสวนเหอเฟิง เจินเมี่ยวก็ต้องหวาดผวาขึ้นมา


 


 


นี่มันเป็นที่เก็บศพของเวินยาฉีมิใช่หรือ ตอนกลางวันพวกเขาก็เพิ่งมา แล้วพี่สี่จะมาทำอันใดในเวลาเช่นนี้เล่า?


 


 


นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ทั้งแปลกและน่าตกใจ ความสงสัยในใจจึงเพิ่มทวีขึ้น


 


 


ประตูมิได้ลงกลอน เวินมั่วเหยียนยืนอยู่ตรงหน้าประตูครู่หนึ่งจึงยื่นมือออกไปผลักประตูออก


 


 


เสียงแอ๊ดดังขึ้น ประตูห้องค่อยๆ เปิดออก เสียงนี้ช่างบาดแก้วหูยิ่งเมื่อมันดังขึ้นในค่ำคืนอันเงียบสงบเช่นนี้


 


 


เวินมั่วเหยียนเหลียวหลังไปมองตามสัญชาตญาณคราหนึ่งทำให้เจินเมี่ยวที่ซ่อนตัวอยู่ในซอกมุมหนึ่งถึงกับตกใจจนเหงื่อเย็นไหลซึมทั่วกาย


 


 


เขามิเห็นนางจึงก้าวเท้าเข้าไปด้านใน


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเดินตามไปอย่างเงียบๆ


 


 


นางไม่กล้ายืนอยู่ตรงหน้าประตู เพียงยื่นแอบอยู่ข้างผนังแล้วยื่นศีรษะเข้าไปดู พลันสีหน้าก็แข็งค้างไป


 


 


นางเห็นเวินมั่วเหยียนยื่นมือออกมาลูบไล้ฝาโลง แล้ววางตะเกียงลงด้านข้าง เขาค่อยๆ ยกฝาโลงเปิดออก หลังจากนั้นก็อุ้มเอาเวินยาฉีที่นอนอยู่ในโลงขึ้นมา ศีรษะค่อยๆ ก้มต่ำลง


 


 


เจินเมี่ยวเกือบจะร้องออกมาด้วยความตกใจแต่ก็เอามือปิดปากตนไว้แน่น


 


 


พี่สี่ทำอันใดกัน?


 


 


เหตุใดท่าทางจึงดูคล้ายว่าเขา…เขากำลังจูบคนที่อยู่ในอกเช่นนั้นเล่า?


 


 


เจินเมี่ยวใจเต้นตึกตักๆ อย่างบ้าคลั่ง นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอย่างคนที่ลืมว่าตนกำลังแอบดูอยู่


 


 


ทั้งหมดที่นางเห็นได้ทำลายทุกความเข้าใจทั้งหมดที่นางมี


 


 


พี่มั่วเหยียนผู้ชอบยิ้มชอบหยอกล้อนั้นรักชอบกับศพ ทั้งยังเป็นศพของน้องสาวแท้ๆ ของตนอีกงั้นหรือ?


 


 


เมื่อคิดว่าเวินมั่วเหยียนก็อายุสิบเจ็ดปีแล้ว ทั้งมีครั้งหนึ่งที่นางเวินมาบ่นว่ากับนางว่าตนเอ่ยเรื่องหมั้นหมายกับเขาเมื่อใด เขาก็ทำทีดั่งมิสนใจกระนั้น ครั้นถามว่าชอบสตรีเช่นใด เขาก็ไม่พูด ความรู้สึกย่ำแย่กระจายไปที่ร่างเจินเมี่ยวทันที


 


 


แย่แล้ว นางพบกับความลับอันใหญ่หลวงเช่นนี้หากพี่มั่วเหยียนทราบเข้าคงฆ่านางตายแน่!


 


 


แม้นมีชิงไต้คอยคุ้มครอง แต่ต่อไปคนทั้งสองคงมิอาจพูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุขได้อีกแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวอยากจะร้องไห้แต่กลับไร้น้ำตา นางยกกระโปรงขึ้นหมุนตัวกลับด้วยคิดจะรีบกลับเรือนตน


 


 


ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ปิ่นปักผมที่นางเสียบยึดมวยผมตนก่อนนอนนั้น นางใช้เพียงเสียบยึดไว้เพียงหลวมๆ เท่านั้น เมื่อนางนอนพลิกตัวอยู่บนเตียงไปมาหลายครามันก็ยิ่งหลวมขึ้นไปอีก ครั้งนี้นางหมุนตัวอย่างกะทันหันก็เป็นธรรมดาที่ปิ่นนั้นจะถูกสะบัดออก มันหมุนโค้งเป็นวงสวยงามก่อนจะร่วงตกลงพื้น


 


 


เสียงชิ้งดังขึ้นแผ่วเบา


 


 


เจินเมี่ยวจ้องมองปิ่นหยกที่หักเป็นสองท่อนนั้นอย่างตกตะลึง แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น นางยืนหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูคล้ายคนถูกสกัดจุด สายตาสบเข้ากับเวินมั่วเหยียนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่งซึ่งคล้ายว่ามันได้ผ่านไปนานแสนนานนับพันนับหมื่นปีกระนั้น เจินเมี่ยวได้ยินเสียงหนึ่งร้องเรียกนาง “น้องรอง…”


 


 


นางจึงมีสติกลับมาแล้วรีบหมุนกายวิ่งซ่อนเร้นเข้าไปในม่านราตรี


 


 


เวินมั่วเหยียนวิ่งตามไปอย่างไม่ลังเลสักนิด


 


 


เขาเป็นบุรุษ รูปร่างสูงใหญ่ แขนขายาว ทั้งมิใช่บัณฑิตร่างกายอ่อนแอ แค่วิ่งสองสามก้าวก็ตามทันเจินเมี่ยวแล้ว


 


 


เดิมห้องหลังสวนเหอเฟิงนั้นเป็นที่พักของบรรดาสาวใช้ แต่เพราะห้องนี้ถูกจัดเป็นห้องเก็บศพ ผู้ที่พักอยู่ด้านข้างถัดไปอีกสองห้องต่างก็ย้ายไปพักห้องอื่นแล้ว แต่หากเอะอะเสียงดังก็ไม่แน่ว่าจะมิทำให้พวกนางแตกตื่น


 


 


เวินมั่วเหยียนไม่กล้าตะโกนเสียงดัง แต่เพราะความร้อนใจจึงคว้ามือข้างหนึ่งของเจินเมี่ยวไว้


 


 


แรงของเขานั้นมากยิ่ง เขาดึงนางเพียงครั้ง เจินเมี่ยวก็เซถลาเข้าสู่อ้อมอกเข้าทันที


 


 


ชิงไต้ที่กำลังเก็บปิ่นหยกอยู่ด้านหลังกำลังจะพุ่งเข้ามาช่วยแต่กลับชะงักฝีเท้าไว้


 


 


สถานการณ์เช่นนี้หากนางปรากฏตัวขึ้นคิดว่าต้าไหน่ไหน่คงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย


 


 


นางตัดสินใจสังเกตสถานการณ์ก่อนค่อยลงมือ อย่างไรเสียด้วยฝีมือของนาง คุณชายเวินก็ทำอันตรายต้าไหน่ไหน่มิได้แน่


 


 


เวินมั่วเหยียนรู้สึกเพียงว่าร่างที่อยู่ในอกนั้นทั้งหอมและนุ่ม กลิ่นหอมนั้นมิใช่กลิ่นหอมของดอกไม้ที่พบเห็นได้ทั่วไปแต่เป็นกลิ่นที่แปลกประหลาดยิ่งคล้ายจะเป็นกลิ่นหอมของผลไม้ผสมกับกลิ่นนม ทำให้ประสาทสัมผัสรับกลิ่นของเขาเริ่มทำงาน


 


 


หัวใจของเวินมั่วเหยียนพลันเต้นระรัวขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุม เขากลืนน้ำลายลงคอไปโดยไม่รู้ตัว


 


 


กลิ่นนี้คล้ายกับหมานโถวกลิ่นนมสอดไส้ผลไม้ที่เคยได้กินตอนเด็กอย่างไรอย่างนั้น หมานโถวกลิ่นนมอันหอมหวานขนาดใหญ่เท่ากำปั้น เขากลับกินมันไปถึงห้าลูกในแต่ละครั้ง!


 


 


ครั้นคิดถึงอาหารเลิศรสที่ตนเคยกิน เขาก็ลืมที่จะปล่อยมือไปชั่วขณะ


 


 


นี้เองที่ทำให้เจินเมี่ยวตกใจจนอึ้งงันไป นางไม่กล้าร้องโวยวายด้วยเพราะจะทำให้ผู้อื่นแตกตื่น จึงกัดฟันเอ่ยเสียงต่ำเอ่ยเตือนเขาอย่างตะกุกตะกัก “ญาติ…ญาติผู้พี่ ข้าเป็นแค่ญาติผู้น้องเท่านั้น แหะๆ เป็นเพียงญาติผู้น้องเท่านั้น”


 


 


นางมิใช่เวินยาฉีจริงๆ นะ!


 


 


เวินมั่วเหยียนจึงมีสติคืนมา พลันหน้าก็แดงก่ำขึ้น เขารีบปล่อยมือด้วยความลนลานแล้วถอยหลังไปสองก้าว


 


 


“น้องรอ เจ้า เจ้าเห็นหมดแล้วหรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้าหนักๆ คราหนึ่ง “ข้าเห็นหมดแล้ว”


 


 


พี่สี่ผู้สดใสเจิดจรัสดั่งดวงอาทิตย์ของนาง มีรสนิยมดุดันถึงเพียงนี้เชียวหรือ ฮือๆๆ อยากจะร้องไห้จนสลบอยู่ในห้องเก็บศพเหลือเกิน!


 


 


เวินมั่วเหยียนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนทันที เขามองนางด้วยท่าทีลุกลน คล้ายเด็กที่ทำความผิดบางอย่างมากระนั้น


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาในก้นบึ้งของหัวใจ


 


 


แย่แล้ว จากท่าทีของพี่สี่ทำให้ความหวังอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ของนางหมดสิ้นลง ที่แท้สิ่งที่นางเห็นเมื่อครู่มิได้ตาฝาดไป!


 


 


“น้องรอ พวกเราไปนั่งคุยกันตรงนั้นเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นท่าทีกังวลใจของเวินมั่วเหยียนจึงพยักหน้ารับ


 


 


คนทั้งสองไปนั่งคุยกันที่ม้านั่งแห่งหนึ่ง


 


 


เวินมั่วเหยียนก้มหน้าลงอย่างยอมรับผิด “น้องรอง ข้าขอโทษจริงๆ เจ้าจะโกรธข้าหรือไม่?”


 


 


“อันใดหรือ?” เจินเมี่ยวค่อยๆ กำกระโปรงตนแน่น แต่เมื่อเห็นสายตาที่มองมาของมีทั้งความอบอุ่นและกระจ่างใส และเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด นางก็ต้องชะงักไป แล้วพึมพำขึ้นว่า “ข้าย่อมมิโกรธท่านแน่นอน เพียงแค่ตกใจมากเท่านั้น อีกอย่าง พี่สี่มิจำเป็นต้องขอโทษข้าเลย หัวไชเท้า…กับผักกาดเขียวต่างมีความชอบของตนมิใช่หรือ แม้นข้าจะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ว่า แต่ว่า… ”


 


 


‘แต่ว่า’ อยู่นาน นางก็มิอาจพูดคำใดออกมาได้อีก เรื่องนี้คนธรรมดาย่อมมิอาจเข้าใจได้ นางเองก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง อย่าได้ทำให้นางลำบากใจเลยได้หรือไม่!


 


 


เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเจินเมี่ยว เวินมั่วเหยียนก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา


 


 


เขามีเจตนาปิดบังทำให้ญาติผู้น้องต้องเสียงใจใช่หรือไม่ หากอาหญิงทราบเข้า เกรงว่าคงจะตำหนิเขามากกว่านี้แน่


 


 


เขาก้มหน้าลง ท่าทีเศร้าสร้อยไม่น้อย “ข้าผิดเอง วันนี้นอนอย่างไรก็ไม่หลับ คิดถึงแต่เรื่องของยาฉี เหตุใดข้าจึงคิดว่ายาฉีไม่มีทางฆ่าตัวตาย น้องรองเจ้าไม่รู้หรอกว่า ยาฉีนั้นทั้งหยิ่งยโสทั้งกลัวเจ็บ นางอายุสิบกว่าปีแล้วแท้ๆ แต่แค่กระดาษปาดมือนางยังเจ็บจนร้องไห้ออกมา เจ้าว่าคนเช่นนี้จะกล้าแขวนคอตายหรือ มันต้องเจ็บมากเลยว่าหรือไม่?”


 


 


เจินเมี่ยวเผยอปากขึ้น น้ำเสียงแปลกแปร่ง “ดังนั้นพี่สี่ ความหมายของท่านคือ…”


 


 


คล้ายว่ามีเรื่องราวบางอย่างที่เข้าใจผิดกันเกิดขึ้นแล้ว


 


 


“ข้าไม่อยากเชื่อจริงๆ จึงอยากมาดูยาฉีให้เห็นกับตาอีกสักครั้ง” เวินมั่วเหยียนเกาศีรษะตนคราหนึ่ง “เมื่อกลางวันตอนที่เจ้าเดินเข้ามา ข้ากลัวเจ้าตกใจจึงมิได้อยู่ตรวจดูให้ละเอียด”


 


 


“แล้วที่ท่านอุ้มยาฉีลงมาก็เพราะ…”


 


 


“อ้อ ข้ารู้จักสหายอยู่ผู้หนึ่ง เขาเก่งเรื่องตรวจศพยิ่ง เขาบอกว่าคนที่แขวนคอตายกับถูกรัดคอตายนั้นร่องรอยที่คอจะต่างกัน ในห้องนั้นมันมืดเกินไป ตะเกียงก็สว่างไม่พอ ข้าจึงอุ้มนางลงมาดูให้ชัดๆ ”


 


 


ครั้นเห็นสีหน้าประหลาดใจของเจินเมี่ยวเขาก็หัวเราะเยาะหยันตนทันที “ข้ารู้ว่าเจ้าคงตำหนิข้าอยู่ในใจ หากข้ามีความสงสัยใดก็ควรพูดกับเจ้าตามตรง ไม่ควรแอบมาดูเช่นนี้ แต่เพราะข้ากลัวว่าเจ้ากับท่านอาหญิงจะคิดมาก คิดว่าข้าระแวงสงสัยคนในจวนปั๋วส่งเดช จึงได้กระทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้ออกมา”


 


 


แม้นเวินมั่วเหยียนจะเอ่ยเช่นนี้ แต่ความจริงแล้วหากย้อนเวลากลับไปได้ เกรงว่าเขาก็คงจะเลือกลักลอบมาดูเช่นนี้เหมือนเดิม


 


 


น้องสาวแท้ๆ ของเขาตายอยู่ในจวนญาติตน ทุกคนต่างบอกว่านางคิดสั้น แต่เขาไม่เชื่อ ทั้งยังแอบไปตรวจสอบอีก นั้นมิใช่บ่งบอกว่ามิเชื่อใจตระกูลอาหญิงตนหรือ? เช่นนั้นก็ยากจะหลีกเลี่ยงการทำร้ายจิตใจของญาติพี่น้องได้


 


 


“หากญาติผู้น้องยังโกรธอยู่ก็ตีข้าเถิด แต่เจ้าอย่าบอกอาหญิงเลย หากทำให้อาหญิงต้องเสียใจขึ้นมาอีก ข้าคงมีความผิดมหันต์ยิ่งแล้ว” เวินมั่วเหยียนก้มหน้าลงด้วยความเศร้าสร้อยแล้วยื่นมือออกมาให้เจินเมี่ยวตี


 


 


เจินเมี่ยวย่อมไม่ตีเขาแน่นอน


 


 


อารมณ์ของนางพลิกคว่ำไปมาจนตอนนี้ตับไตแทบจะทนรับไม่ไหวแล้ว


 


 


สวรรค์มีตาแท้ๆ ญาติผู้พี่ของมิได้วิปริตผิดแปลกอันใด!


 


 


“ข้าบอกแล้วว่ามิได้โกรธ พี่สี่กับยาฉีเป็นพี่น้องกัน ท่านไม่เชื่อว่านางจะจากไปเช่นนี้นั้นย่อมเป็นเรื่องปกติ เมื่อครู่เป็นเพราะข้าไปรบกวนท่านทำให้คงยังตรวจดูไม่แน่ชัด เช่นนั้นเรากลับไปตรวจดูกันอีกรอบเถิด”


 


 


เวินมั่วเหยียนพลันยืนขึ้นทันใด “ใช่แล้ว ตะเกียงข้าก็ยังอยู่ที่นั่น”


 


 


คนทั้งสองเดินเคียงกันไปในความมืดมุ่งหน้าไปยังห้องหลังสวนเหอเฟิง


 


 


เมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง เวินมั่วเหยียนก็พลันนึกอันใดขึ้นมาได้ เขาเกาศีรษะพลางเอ่ยถามว่า “น้องสี่ เมื่อครู่ที่เจ้าบอกว่า ‘หัวไชเท้ากับผักกาดเขียวต่างมีความชอบของตน’ หมายความว่าอย่างไรหรือ?” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม