เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 292-299

 ตอนที่ 292 โน้มน้าว


 


 


           คุณนายเฉียวโบกมือไปมา “จะแต่งงานอยู่แล้วก็อย่าเอาแต่หนีมาอยู่ที่นี่ เดี๋ยวคนอื่นเขาจะนินทาเอาได้ รู้หรือเปล่า?”


 


 


           “แต่ว่า…” เฉียวซือมู่กระวนกระวาย ยังไม่รู้เลยว่าสองวันที่ผ่านมาคุณแม่หายตัวไปไหน แล้วนี่ท่านจะไล่เธอกลับแล้วหรือ?


 


 


           คุณนายเฉียวหันมาเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “ดูๆๆ นี่เหรอคนกำลังจะแต่งงาน ยังทำตัวเป็นเด็กๆ อยู่เลย แม่บอกลูกก็ได้ สองวันที่ผ่านมาแม่ไปเที่ยวที่บ้านคนรู้จักมา เราเจอกันที่ซูเปอร์มาร์เก็ต แม่วิ่งไล่เขาตั้งนานกว่าจะตามทัน แถวบ้านเขาไม่มี่สัญญาณโทรศัพท์ แม่ก็เลยปิดเครื่อง เรื่องมันก็มีอยู่แค่นี้ ลูกไม่ต้องคิดมากแล้วนะ”


 


 


           “จริงเหรอคะ?” เฉียวซือมู่จ้องหน้าคุณนายเฉียวนิ่ง


 


 


           “เรื่องก็มีอยู่แค่นั้นแหละ” คุณนายเฉียวมองลูกสาวตัวเองอย่างสงบเยือกเย็น แววตาแน่วแน่ “แม่แก่แล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ลูกไม่ต้องเป็นห่วง เอาเวลาไปดูแลสามีกับพ่อแม่สามีดีกว่า เข้าใจหรือยัง?”


 


 


           “… ก็ได้ค่ะ”


 


 


           เฉียวซือมู่เบนสายตาไปทางอื่น ในเมื่อคุณแม่พูดขนาดนี้แล้ว เธอก็จะลองเชื่อท่านสักครั้ง… อย่างที่ท่านบอก ท่านไม่ใช่เด็กๆ แล้ว รู้ว่าอะไรควรไม่ควร


 


 


           คุณนายเฉียวแอบลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอมองลูกสาวด้วยความรัก “เที่ยงนี้ออกไปซื้อของเป็นเพื่อนแม่นะ เรามาช่วยกันทำอาหารเที่ยงดีกว่า เราไม่ได้ทำอาหารด้วยกันนานมากแล้วนะ”


 


 


           “อื้ม” เฉียวซือมู่รับปากทันที


 


 


           จู่ๆ เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าจิ้นหยวนยังรอเธออยู่ข้างล่าง เธอหมุนตัวเดินออกจากห้อง มองลงไปยังชั้นล่าง เห็นเขานั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนโซฟา


 


 


           เขาเป็นคนที่ยุ่งมากอยู่ตลอดเวลา เธอน่าจะรู้เรื่องนี้ดีที่สุด


 


 


           เธอหมุนตัวกลับไปบอกคุณนายเฉียว “เราออกไปซื้อของกันเถอะค่ะ หนูอยากกินไก่ฝีมือแม่มาก ไม่ได้กินนานมากแล้ว…”


 


 


           “ได้… งั้นเราไปซื้อของกัน” คุณนายเฉียวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินยิ้มแย้มออกมาจากห้องนอน สองคนแม่ลูกยืนอยู่ด้วยกัน ดูไม่เหมือนแม่ลูกสักนิด แต่เหมือนพี่น้องกันมากกว่า


 


 


           ทั้งสองเดินลงบันได จิ้นหยวนคุยโทรศัพท์เสร็จพอดี เขาได้ยินเสียงทั้งสองเดินลงบันไดมา จึงเลิกคิ้วขึ้นมองเฉียวซือมู่ “เสร็จแล้วใช่ไหม?”


 


 


           เฉียวซือมู่หน้าแดง “เสร็จแล้วค่ะ” ตอนนี้เรื่องทุกอย่างผ่านไปแล้ว เธอจึงรู้สึกผิดนิดๆ เพราะการกระทำไร้สติของตัวเอง


 


 


           จิ้นหยวนมองไปยังคุณนายเฉียว เขาทักทายเธออย่างสุภาพ “สวัสดีครับคุณป้า”


 


 


           คุณนายเฉียวรู้สึกโล่งอกที่เขาไม่ถามเธอสักคำว่าเหตุใดอยู่ดีๆ เธอจึงหายตัวไปตั้งหลายวัน อีกทั้งลูกสาวเธอกำลังจะแต่งงานกับเขาด้วย เธอจึงคิดว่าไม่ควรให้พวกเขารู้ความลับนั้นเด็ดขาด จึงเอ่ยตอบยิ้มๆ “มู่มู่บอกว่าหลายวันมานี้เธอต้องลำบากมาก ถ้างั้นเธอก็อยู่กินข้าวเที่ยงด้วยกันนะ เดี๋ยวป้าจะเข้าครัวเอง”


 


 


           เอ่ยจบแล้วดันเฉียวซือมู่ไปใกล้จิ้นหยวน “ลูกไม่ต้องไปกับแม่หรอก เดี๋ยวแม่ออกไปซื้อของเอง ลูกอยู่บ้านเป็นเพื่อนเขาเถอะ”


 


 


           จะทิ้งจิ้นหยวนให้อยู่เฝ้าบ้านคนเดียวได้อย่างไรกัน


 


 


           เฉียวซือมู่ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงตกลงตามนั้น


 


 


           หลังจากคุณนายเฉียวออกจากบ้านแล้ว จิ้นหยวนจึงรั้งตัวเฉียวซือมู่เข้าไปกอดเอาไว้ในอก ใช้นิ้วจิ้มจมูกเธอเบาๆ “ไม่เป็นห่วงแล้วเหรอ? หือ?”


 


 


           เธอถลึงตาใส่เขา “คนบ้า เยาะเย้ยฉันเหรอ ท่านเป็นคุณแม่ฉันนะ ฉันไม่เป็นห่วงท่านแล้วจะให้ใครเป็นห่วงเล่า” เอ่ยจบแล้วถอนหายใจเฮือก สีหน้าเคร่งเครียด


 


 


           เธอเห็นสายตาของจิ้นหยวนแล้วเข้าใจทันทีว่าเขาอยากถามอะไร จึงรีบอธิบาย “ฉันรู้สึกว่าคุณแม่กำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่ จริงนะคะ”


 


 


           “แล้วท่านว่ายังไงบ้าง?”


 


 


           “ท่านบอกว่าไปเที่ยวบ้านเพื่อนสองวัน ที่นั่นไกลมากและไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ก็เลยใช้โทรศัพท์มือถือไม่ได้ ท่านก็เลยไม่ได้โทรบอกฉันน่ะค่ะ” เธอเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


 


 


 


ตอนที่ 293 อดีต


 


 


           จิ้นหยวนลูบคางตัวเองเบาๆ อย่างใช้ความคิด “ท่านบอกหรือเปล่าว่าบ้านเพื่อนอยู่ที่ไหน?”


 


 


           “ไม่ได้บอกค่ะ ท่าทางท่านไม่อยากพูดถึงเลยค่ะ” เธอทำแก้มพองลม


 


 


           “ถ้างั้น…” จิ้นหยวนมุ่นหัวคิ้ว เขาเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในแน่ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะคุณแม่เธอไม่ยอมพูดอะไรเลย พวกเขาก็คงจับตัวท่านมาเค้นถามไม่ได้เหมือนกัน


 


 


           ดังนั้น เรื่องนี้จึงต้องจบเพียงเท่านี้ก่อน เฉียวซือมู่เองก็พอจะเดาออกว่าน่าจะเป็นแบบนี้จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ


 


 


           คิดในแง่ดี ในเมื่อท่านกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว นั่นหมายความว่าไม่มีอันตรายอะไร อย่างมากก็แค่ไม่อยากบอกเรื่องบางอย่างให้รู้ ดังนั้น ทางที่ดีพวกเขาอย่าไปเค้นถามท่านอีกน่าจะดีกว่า


 


 


           เมื่อปลงตกแล้วจึงเลิกคิดที่จะถามอีก หลังจากคุณนายเฉียวซื้อของกลับมาแล้ว สองแม่ลูกจึงช่วยกันทำอาหารอยู่ในครัว เสียงพูดคุยหัวเราะดังเป็นระยะ บรรยากาศผ่อนคลายสนุกสนาน


 


 


           ความจริงฝีมือปลายจวักของคุณนายเฉียวไม่ได้ดีมากนัก ถ้าให้พูดตามตรงก็คือไม่ได้ดีกว่าเฉียวซือมู่ด้วยซ้ำ โชคดีที่มีเฉียวซือมู่คอยเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ มิเช่นนั้นอาหารที่ทำออกมาจิ้นหยวนอาจจะกินไม่ได้เลย


 


 


           กระนั้น อาหารที่เธอทำออกมาก็เพียงแค่กินได้เท่านั้น ซึ่งห่างจากคำว่าอร่อยอีกไกลมาก


 


 


           เฉียวซือมู่รู้สึกผิดมาก เพราะจิ้นหยวนปั้นหน้านิ่งนั่งกินกับข้าวไหม้ๆ พวกนั้นเงียบๆ ทำให้เธอรู้สึกนับถือเขามาก


 


 


           คุณนายเฉียวยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่นิดเดียว คะยั้นคะยอให้จิ้นหยวนกินอยู่ตลอดเวลา จนทำให้พวกเขาต้องรับประทานอาหารมากกว่าปกติ


 


 


           เฉียวซือมู่ได้แต่นั่งมองทั้งสองตาปริบๆ อย่างจนคำพูด


 


 


           หลังรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอชักเป็นห่วงจิ้นหยวนขึ้นมาตงิดๆ กลัวว่าเขาจะท้องเสีย


 


 


           เฉียวซือมู่เก็บจานชามเข้าไปในครัว คุณนายเฉียวเดินตามหลังเธอพลางชมตัวเองพลาง “ไม่ได้ทำอาหารตั้งนาน ฝีมือก็ยังไม่ตกนะเนี่ย”


 


 


           “คุณแม่ก็โม้เกินไป” เฉียวซือมู่เอ่ยอย่างเคืองๆ


 


 


           จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงคุณแม่ทอดถอนใจ สีหน้าเศร้า “ลูกยังจำเรื่องที่พ่อกับแม่เข้าครัวทำอาหารให้ลูกกินได้หรือเปล่า?”


 


 


           เธอชะงักเล็กน้อย “คุณแม่ยังจำได้เหรอคะ”


 


 


           คุณนายเฉียวมองเฉียวซือมู่แวบหนึ่ง “ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ เป็นเรื่องไม่กี่ปีก่อนนี้เอง ทุกอย่างบนโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากจริงๆ ทั้งๆ ที่เป็นคนที่ดีมากแท้ๆ แต่บทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนดื้อๆ ช่าง…”


 


 


           เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะ คิดไม่ถึงว่าคุณแม่จะคิดถึงคุณพ่อที่หายสาบสูญไปนานแล้ว “เรื่องในอดีตหนูลืมจนเกือบหมดแล้วล่ะค่ะ คนเราก็ต้องก้าวไปข้างหน้าไม่ใช่เหรอคะ”


 


 


           คุณนายเฉียวมองเธอด้วยความประหลาดใจ “นี่ลูกลืมพ่อไปแล้วจริงๆ สินะ”


 


 


           เฉียวซือมู่ยิ้มเย็น เธอไม่มีวันลืมอยู่แล้ว คุณพ่อกับผู้หญิงคนนั้นทำบริษัทล้มละลายแล้วหนีไปด้วยกัน ทิ้งหนี้มหาศาลเอาไว้ให้พวกเธอ เธอโกรธแค้นอยู่ตั้งนาน ช่วงเวลานั้นเธอรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในนรกก็ไม่ปาน และคุณพ่อเป็นคนส่งเธอลงนรกเองกับมือ แล้วเธอจะลืมได้อย่างไร?


 


 


           เธอไม่อยากจะเอ่ยถึงช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดทุกข์ทรมานและการดิ้นรนพวกนั้นอีก เธอฟังออกว่าคุณแม่ตำหนิที่เธอพูดแบบนั้น เชิญคุณแม่ตำหนิได้ตามสบายเลย เพราะสำหรับเธอแล้ว คุณพ่อเป็นคนตายไปแล้ว


 


 


           แต่ทำไมอยู่ดีๆ คุณแม่ถึงเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมาล่ะ หรือว่าคุณแม่ยังตัดใจจากคุณพ่อไม่ได้?


 


 


           เธอสังเกตสีหน้าของคุณแม่อย่างละเอียด แต่กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ เลย เธอชักไม่แน่ใจ หรือว่าเธอจะคิดมากไปเอง?


 


 


           เธอมองคุณแม่อยู่นานสองนานแต่ก็ไม่พบอะไรเป็นพิเศษ ได้แต่แอบสงสัยในใจโดยไม่กล้าเอ่ยถาม


ตอนที่ 294 เหตุผลที่บอกไม่ได้


 


 


           คุณนายเฉียวเอ่ยปากไล่สองหนุ่มสาวกลับบ้านทันทีที่ดื่มชายามบ่ายเสร็จ “เอาล่ะ ข้าวก็กินแล้ว ชาก็ดื่มแล้ว กลับไปกันได้แล้วล่ะ”


 


 


           เฉียวซือมู่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่ตามจิ้นหยวนกลับบ้านแต่โดยดี


 


 


           หลายวันที่ผ่านมา ดูเหมือนจิ้นหยวนจะว่างมากกว่าปกติ เขาไม่เข้าบริษัทแต่กลับพาเธอไปหาคุณแม่แทน เธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หวีผมพลางเอ่ยถามเขาพลาง “คุณคิดว่าทำไมคุณแม่ถึงไม่ยอมพูดความจริงกับฉันคะ?”


 


 


           เหตุผลของคุณนายเฉียวฟังไม่ขึ้นเลย ใครได้ยินก็คงต้องระแวงสงสัยเหมือนกันทุกคน


 


 


           จิ้นหยวนดูออกตั้งแต่แรกแล้ว เขารับแปรงหวีผมมาจากเธอแล้วค่อยๆ หวีผมให้เธออย่างเบามือ “บางทีท่านอาจจะมีเหตุผลของตัวเองก็ได้ คุณไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ท่านเป็นผู้ใหญ่กว่าพวกเรา ต้องมองอะไรก็ลึกซึ้งกว่าเราอยู่แล้ว ท่านอาจจะมีเหตุผลที่บอกเราไม่ได้จริงๆ ก็ได้ คุณก็ไม่ต้องคิดมาก ทำตามที่ท่านสบายใจดีกว่า”


 


 


           เธอฟังแล้วถอนหายใจเบาๆ “ก็จริงค่ะ แต่ว่า…” ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เธอก็ยังกังวลใจอยู่ดี คนนอกอาจจะคิดว่าคุณแม่เธอายุมากขนาดนั้นแล้ว คงจะมองเรื่องต่างๆ ได้ลึกซึ้ง แต่เธอที่เป็นลูกสาวรู้ดีว่าชีวิตที่ผ่านมาของคุณแม่นั้นราบรื่นเหมือนเดินอยู่บนกลีบกุหลาบ คุณพ่อรักและทะนุถนอมคุณแม่มาก ท่านจึงไม่เคยรู้จักโลกภายนอกเลย ตอนที่คุณแม่รู้ว่าถูกคุณพ่อทิ้งถึงได้สะเทือนใจมาก


 


 


           เธอจึงไม่สามารถวางใจเรื่องในครั้งนี้ได้จริงๆ


 


 


           แต่พูดเรื่องพวกนี้ออกไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เธอจึงได้แต่ยิ้มบางๆ ให้จิ้นหยวนแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก หากแต่เปลี่ยนเรื่องคุยแทน “คุณแม่คุณเป็นยังไงบ้างคะ วันนี้คุณไม่ได้ไปโรงพยาบาล ท่านไม่โกรธเหรอคะ?”


 


 


           จิ้นหยวนยักไหล่ “ท่านไม่เป็นไรแล้ว หมอบอกว่าเป็นเพราะอารมณ์ร้อนมากเกินไปน่ะ แป๊บเดียวก็หายแล้ว พรุ่งนี้ผมค่อยไปเยี่ยมท่าน”


 


 


           เธอตอบเพียง “อืม” เบาๆ หากเป็นเมื่อก่อนเธออาจจะบอกว่า “ฉันไปเยี่ยมเป็นเพื่อน” อะไรทำนองนั้น แต่หลังจากเกิดเรื่องคืนนั้นแล้ว หากจะบอกว่าเธอไม่ได้คิดมากเรื่องฉินเพ่ยหรงเลยก็คงเป็นเรื่องโกหก ที่สำคัญ ฉินเพ่ยหรงคงไม่อยากให้เธอไปเยี่ยมหรอก เธอจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรเลยดีกว่า ถามเพียงแค่ว่า “คุณต้องการของเยี่ยมไหมคะ? เดี๋ยวฉันออกไปซื้อให้”


 


 


           “ไม่ต้องหรอก ท่านมีทุกอย่างแล้ว ไม่ต้องซื้อหรอก” จิ้นหยวนเข้าใจดีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขาใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าคุณแม่ไม่พอใจคุณเพราะผมได้รับบาดเจ็บ แต่ผมเพิ่งรู้คืนนั้นเองว่า…”


 


 


           เขาเอ่ยไม่จบประโยค ชักหัวคิ้วชนกันแน่น


 


 


           เธอต่อประโยคให้เขา “เพิ่งรู้ว่าท่านเกลียดฉันมากใช่ไหมคะ?”


 


 


           เขาถอนหายใจหนักๆ ตบบ่าเธอเบาๆ จากนั้นรั้งตัวเธอเข้าไปกอดเอาไว้แน่น “คืนนั้นลำบากคุณแล้วนะ ผมขอโทษคุณแทนคุณแม่ด้วย”


 


 


           เสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนดังอยู่ข้างหูเธอ ชั่ววินาทีนั้นน้ำตาเธอเกือบไหลรินออกมา


 


 


           เธอกะพริบตาปริบๆ “ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว ฉันจะพยายามทำให้ท่านชอบฉันให้ได้ค่ะ”


 


 


           จิ้นหยวนส่ายศีรษะ “คุณแม่เป็นคนหัวดื้อมาก คุณอย่าเพิ่งไปพบท่านจะดีกว่า ไปแล้วท่านก็ไม่ซึ้งใจหรอก มีแต่จะทำให้คุณลำบากเปล่าๆ ช่วงนี้คุณก็อยู่บ้านไปก่อน รอให้ผ่านไปอีกสักพัก ทุกอย่างอาจจะดีขึ้นก็ได้”


 


 


           เธอพยักหน้าน้อยๆ เธอไม่ใช่พวกชอบถูกทารุณนี่ เลี่ยงไม่พบหน้ากันได้นั่นแหละดีที่สุดแล้ว


 


 


 


 


ตอนที่ 295 ทะเลาะกัน


 


 


           ทันใดนั้น เธอเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบคว้าจับมือเขาหมับ “ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณค่ะ”


 


 


           “เรื่องอะไรเหรอ?” เขาจับมือเธอเอาไว้ ลูบไล้ฝ่ามือเธอไปมาเบาๆ อย่างซุกซน


 


 


           เธอรู้สึกจักจี้ฝ่ามือมาก พยายามดึงมือออก แต่ก็ถูกเขาจับมือเธอแน่นไม่ยอมปล่อย เธอได้แต่ถลึงตาใส่เขา “ฉันอยากออกไปทำงานค่ะ…”


 


 


           “ไม่ได้!” นั่นปะไร เป็นอย่างที่เธอคิดเอาไว้ไม่มีผิด จิ้นหยวนปฏิเสธทันทีโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่วินาทีเดียว


 


 


           “ทำไมไม่ได้ล่ะคะ?” เธอเบิกตาโต “ฉันแค่ออกไปทำงาน ไม่ได้ไปทำเรื่องไม่ดีสักหน่อย ทำไมคุณต้องโมโหมากขนาดนั้นด้วย”


 


 


           สีหน้าจิ้นหยวนเด็ดขาด “ไม่ได้ก็คือไม่ได้ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมัน คุณเป็นผู้หญิงของจิ้นหยวนนะ ต่อไปจะต้องเป็นคุณนายตระกูลจิ้น จะออกไปทำงานข้างนอกไม่ได้”


 


 


           “ใครเป็นคนกำหนดกันคะ” เฉียวซือมู่ชักจะมีน้ำโหขึ้นมาบ้างแล้ว เธอจ้องเขาตาเขม็ง “นี่มันยุคสมัยใหม่ ไม่ใช่ยุคโบราณ ทำไมฉันจะออกไปทำงานไม่ได้”


 


 


           ถ้าจิ้นหยวนพูดกับเธอดีๆ เธออาจจะไม่โมโหมากขนาดนี้ก็ได้ แต่ตอนนี้เขาไม่เพียงไม่เห็นด้วย แต่ยังทำหน้าปฏิเสธเด็ดขาดอีกต่างหาก ทำให้เธอไม่มีแม้แต่โอกาสคัดค้าน และนั่นทำให้เธอโมโหมาก ทำให้น้ำเสียงแข็งกระด้างตามไปด้วย


 


 


           จิ้นหยวนมุ่นหัวคิ้วชนกันแน่น “ใช่ ตอนนี้เราเป็นคนสมัยใหม่ แต่คุณกำลังจะแต่งงานกับผมนะ คิดว่าผมไม่มีปัญญาเลี้ยงดูคุณหรือไง?”


 


 


           “คุณมีปัญญาอยู่แล้ว อย่าว่าแต่เลี้ยงฉันคนเดียวเลย ต่อให้เลี้ยงฉันอีกสิบคนฉันก็เชื่อว่าคุณทำได้ แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงิน ฉันเรียนตั้งหลายปี จะปล่อยให้เปล่าประโยชน์ได้ยังไง อีกอย่าง ฉันเชื่อเสมอว่าเป็นผู้หญิงอย่าไปพึ่งคนอื่น ต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้ เกิดวันไหนคุณทิ้งฉันไป ถึงตอนนั้นฉันไม่ต้องอดตายหรือไง?” เธอไล่เรียงเหตุผลออกมาเป็นข้อๆ แต่เพราะอารมณ์ร้อนมากเกินไป เธอจึงต้องเสียใจทันทีที่พูดประโยคสุดท้ายออกไป


 


 


          จิ้นหยวนได้ยินแล้วยกมือขึ้นเคาะหน้าผากเธอเบาๆ “คุณพูดเหลวไหลอะไรน่ะ? ผมจะทิ้งคุณได้ยังไง? คุณคิดมากเกินไปแล้ว ไม่ได้ เรื่องนี้ผมไม่ยอม ไม่ได้ก็คือไม่ได้”


 


 


           “คุณ!” เธอกระเด้งตัวลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห สลัดมือเขาออกจากผมตัวเอง ต่อว่าเขาด้วยความโมโห “คุณมันเผด็จการ ฉันไม่สน ฉันจะทำงาน แน่จริงก็ขังฉันเอาไว้ในห้องเลยสิ!”


 


 


           ต่อว่าต่อขานเสร็จแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นปิดประตูดังปังใหญ่


 


 


           เสียงปิดประตูดัง “ปัง” สื่อความหมายว่าเธอกำลังโกรธมาก เขาลูบคางตัวเองเบาๆ อย่างจนคำพูดรู้สึกว่าช่วงนี้อารมณ์เมียจ๋าจะขึ้นลงเป็นว่าเล่น


 


 


           ความจริงเขามีเหตุผลที่ไม่ต้องการให้เธอออกไปทำงานนอกบ้าน ข้อแรกก็เพราะคุณพ่อคุณแม่ของเขาเป็นคนหัวโบราณ พวกท่านไม่ชอบที่ผู้หญิงออกไปทำงานนอกบ้าน คุณแม่ไม่ชอบเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ขืนยอมให้เธอออกไปทำงาน คงหมดหวังที่จะทำให้คุณแม่ชอบเธอ


 


 


           ที่สำคัญ เขาเองก็ไม่อยากให้เธอออกไปทำงานเหมือนกัน เขามีสมบัติพัสถานมากมาย ไม่สนใจเงินเดือนน้อยนิดของเธอสักนิด เหตุผลต่างๆ นานาที่เธอพูดออกมาเขาเองก็ไม่เห็นด้วย แต่เขาไม่คิดเลยว่าเธอจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น มันทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมาก


 


 


           เธอรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หยิบคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นเตียง ตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้จะทำสงครามประสาทกับเขา เธอจะไม่พูดกับเขาเด็ดขาด


 


 


           เพียงไม่นาน ผู้ชายหน้าไม่อายคนนั้นกลับปีนขึ้นเตียงมาเบียดเธอ เธอถลึงตามองเขาตาเขียวปั๊ด ปกติเวลานี้เขาต้องทำงานไม่ใช่เหรอ? แล้วขึ้นเตียงเร็วขนาดนี้ทำไม?


 


 


           จิ้นหยวนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขายิ้มตาหยีปีนขึ้นเตียงแล้วกอดเธอเอาไว้ “เมียจ๋า อย่าโกรธเลยนะ ก็ผมเป็นห่วงกลัวว่าคุณจะเหนื่อยนี่นา”


 


 


           “เฮอะ!” เธอครางเสียงฮึดฮัด สะบัดหน้าไปทางอื่นอย่างงอนๆ


ตอนที่ 296 ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต


 


 


           วันรุ่งขึ้น สายลมเย็นพัดเข้ามาทางหน้าต่างห้อง ปลุกเฉียวซือมู่ที่กำลังหลับสนิทให้ตื่นขึ้น เธอขยับกายพลันรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งร่าง


 


 


           เธอพยายามพยุงตัวลุกขึ้น เริ่มระลึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้


 


 


           เธอสูดหายใจลึก ค่อยๆ ลุกออกจากเตียงท่าทางกระมิดกระเมี้ยน ในใจก่นด่าจิ้นหยวนจนไม่เหลือชิ้นดี แต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้สักอย่าง เพราะตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ ต่อให้เธอด่าให้ตายก็เปล่าประโยชน์ นอกจากเธอจะโทรศัพท์ไปด่าเขา มิเช่นนั้น จิ้นหยวนคงไม่มีวันได้ยินหรอก


 


 


           เธอค่อยๆ เดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองออกไปข้างนอกถึงเห็นว่าวันนี้สภาพอากาศแย่มาก ท้องฟ้าอึมครึมมีเมฆดำทะมึน ราวกับฝนจะตกอยู่ตลอดเวลา


 


 


           ลมแรงพัดเข้ามาทางหน้าต่างจนชุดนอนบางเบาของเธอปลิวไสวตามแรงลม เธอรีบปิดหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอรู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น


 


 


           เธอครุ่นคิดไปมาแต่ก็คิดอะไรไม่ออกสักอย่าง จึงเข้าไปอาบน้ำดีกว่า เธอพบว่าเขาฝากร่องรอยเอาไว้ทั่วร่างกายเธอ แต่เธอกลับรู้สึกสบายตัวไม่เหนียวเหนอะหนะ หลังจากเธอหลับไปแล้ว เขาคงเช็ดทำความสะอาดให้เธอเรียบร้อยแล้ว นั่นทำให้เธอรู้สึกพอใจไม่น้อย


 


 


           ตอนนี้เป็นเวลาสิบนาฬิกา อีกไม่นานก็ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว เธอจึงหยิบขนมขบเคี้ยวขึ้นมากินเล่นอย่างสบายอารมณ์พลางอ่านข่าวไปพลาง


 


 


           นี่เป็นความเคยชินจากการทำงานข่าวมานานหลายปี สิ่งแรกที่เธอทำเวลาท่องเว็บไซต์ก็คือการอ่านข่าว ติดตามว่ามีข่าวอะไรน่าสนใจบ้าง


 


 


           และข่าวแรกที่เธอเห็นวันนี้ก็คือข่าวของเธอกับจิ้นหยวนนั่นเอง เธอตะลึงนิ่งอึ้ง เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานฉีหย่วนเหิงโทรศัพท์หาเธอ เธอตบกบาลตัวเอง ดูสิว่าเธอเธอความจำสั้นแค่ไหนถึงได้ลืมเรื่องนี้ไปได้ เธอควรจะถามเขาให้รู้เรื่องตั้งแต่เมื่อวานถึงจะถูกสิ


 


 


           แต่ตอนนั้นเธอกำลังเป็นห่วงเรื่องคุณแม่จนลืมเรื่องนี้เสียสนิท เธอนี่มัน…


 


 


           เธอผุดลุกขึ้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรศัพท์หาจิ้นหยวน แต่ยังไม่ทันจะได้กดโทรออกก็มีสายเรียกเข้าเสียก่อน


 


 


           เธอชะงักเล็กน้อย ในใจแอบคิดหรือว่าเธอกับจิ้นหยวนจะมีใจตรงกัน? แต่ชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือกลับทำลายจินตนาการเธอแตกดังโพละ ที่แท้ก็คุณแม่เป็นคนโทรศัพท์หาเธอ


 


 


           เธอกดรับสายแล้วรีบทักทายทันที “คุณแม่”


 


 


           เสียงที่ไม่รู้จักดังลอดมาจากปลายสาย “นั่นคุณเฉียวหรือเปล่าครับ?”


 


 


           “ใช่ค่ะ ฉันเอง ไม่ทราบว่าคุณคือ…” เธอชะงักเล็กน้อย ทำไมโทรศัพท์ของคุณแม่ถึงเป็นเสียงผู้ชายพูดสายล่ะ?


 


 


           คนปลายสายไม่เปิดโอกาสให้เธอคิดมาก รีบเอ่ยต่อทันที “คือว่าอย่างนี้นะครับ ผมเป็นหมอจากโรงพยาบาลXX ผมเจอโทรศัพท์เครื่องนี้ในกระเป๋าคนบาดเจ็บ ไม่ทราบว่าคุณเป็น…”


 


 


           “เกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่ฉันคะ?” เธอได้ยินคำพูดจากคนปลายสายแล้วเหงื่อแตกทันที รีบกระเด้งตัวลุกขึ้น “คุณเป็นหมอใช่ไหมคะ? คนบาดเจ็บที่คุณพูดถึงหมายถึงคุณแม่ฉันเหรอคะ? ท่านเป็นอะไร แล้วอาการเป็นยังไงบ้างคะ?”


 


 


           คนปลายสายรอให้เธอถามจนจบอย่างใจเย็น “ผมเป็นหมอที่ดูแลเคสนี้ คุณเป็นลูกสาวคนเจ็บใช่ไหม ถ้างั้นคุณรีบมาที่โรงพยาบาลก่อนดีกว่า เธอบาดเจ็บหนัก แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต รีบมาที่โรงพยาบาลXX นะครับ”


 


 


 


 


ตอนที่ 297 วิตกกังวล


 


 


           “ค่ะ ค่ะ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ ขอบคุณมากนะคะ รบกวนช่วยดูแลท่านด้วย ฉันออกไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ!”


 


 


           เธอโยนโทรศัพท์มือถือทิ้ง คว้าเสื้อผ้ามาสวม จากนั้นรีบวิ่งลงบันไดไป


 


 


           เธอจับข้อมือพ่อบ้านหมับ “ช่วยเรียกคนขับรถให้ไปส่งฉันที่โรงพยาบาลหน่อย เร็วเข้า!”


 


 


           หากไม่ใช่เพราะที่นี่อยู่เขตชานเมืองซึ่งเรียกรถแท็กซี่ลำบาก ป่านนี้เธอคงเดินออกไปเรียกรถแท็กซี่เองแล้ว ถือว่าเธอยังพอมีสติอยู่ รู้ว่ามีคนขับรถให้เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้


 


 


           พ่อบ้านที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีรู้สึกประหลาดใจในคำสั่งของเธอมาก แต่เขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นเอ่ยปลอบเฉียวซือมู่ที่กำลังร้อนรน “ใจเย็นก่อนนะครับ เดี๋ยวรถก็มาแล้ว แล้วคุณจะไปโรงพยาบาลทำไมครับ?”


 


 


           เขาเอ่ยถามพลางมองสำรวจเธอพลาง สายตาประหลาดใจมากของเขาแทบจะมองจนตัวเธอทะลุเป็นรูอยู่แล้ว


 


 


           เธอไม่เห็นสีหน้าของเขา เอ่ยอย่างร้อนใจ “คุณช่วยเร่งให้หน่อยได้ไหมคะ? คุณแม่ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันต้องรีบไปหาท่าน”


 


 


           ประกายในดวงตาของเขาดับวูบลงในบัดดล เขารีบปรับสีหน้าให้เรียบเฉยเป็นปกติ “อย่างนี้นี่เอง รถมาถึงแล้วครับ…”


 


 


           เขายังพูดไม่ทันจบก็เห็นเธอเดินจ้ำอ้าวออกไปแล้ว จากนั้นมุดตัวเข้าไปในรถทันที


 


 


           เห็นได้ชัดว่าเธอไม่สนใจคำพูดของเขาเลยสักนิด


 


 


           เธอก้าวขึ้นไปนั่งในรถ บอกที่อยู่โรงพยาบาลให้คนขับรถ จากนั้นรอให้รถออกตัวโดยไม่พูดไม่จา


 


 


           สีหน้าเธอเรียบเฉย แต่ในใจกลับกำลังกลัวจนสั่น ภาพคุณแม่ที่นอนป่วยไม่ได้สติก่อนหน้านี้ฉายขึ้นเป็นฉากๆ ตอนนั้นเธอสิ้นหวังจนรู้สึกเหมือนกับฟ้าถล่มลงมา


 


 


           แล้วคราวนี้ล่ะ? คงไม่ได้เป็นอย่างครั้งที่แล้วอีกนะ? แล้วถ้าเกิดแย่กว่าครั้งก่อนจะทำอย่างไรดี?


 


 


           ยิ่งคิดยิ่งเป็นกังวล ยิ่งคิดยิ่งสิ้นหวัง เธอจมดิ่งสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวังจนถอนตัวไม่ขึ้น กระทั่งอาฮุยยื่นกระดาษเช็ดหน้าให้เธอ เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเย็นชืดบนใบหน้า ถึงได้รู้ว่าน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว


 


 


           เธอสูดหายใจลึก คว้ากระดาษเช็ดหน้ามาจากอาฮุยโดยไม่สนแล้วว่ากิริยากระด้างหรือไม่ เธอใช้กระดาษเช็ดหน้ากดจมูกเอาไว้ จากนั้นเอ่ยขอบคุณเขาเสียงอู้อี้


 


 


           อาฮุยส่ายศีรษะเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยความห่วงใย “ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ไม่ว่าเรื่องใหญ่แค่ไหนพี่ใหญ่ต้องช่วยคุณได้แน่”


 


 


           เขาพูดแบบนั้นก็เพื่อปลอบใจเธอ และสำหรับเธอแล้วมันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย แต่สถานการณ์ในตอนนี้ ต่อให้เป็นคนที่จัดการได้ทุกอย่างอย่างจิ้นหยวนก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่หมอนี่นา


 


 


           เธอจึงได้แต่ฝืนยิ้มให้เขาโดยพูดอะไรไม่ออก


 


 


           อาฮุยเห็นท่าทางเธอแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก เขาขับรถเงียบๆ จนถึงโรงพยาบาล จากนั้นเอ่ยกับเธอ “ต้องการให้ผมเข้าไปเป็นเพื่อนไหมครับ?”


 


 


           เธอส่ายศีรษะปฏิเสธ เปิดประตูลงจากรถ จู่ๆ เธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหมุนตัวกลับไปบอกกับอาฮุย “นายอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้จิ้นหยวนรู้นะ เข้าใจไหม?”


 


 


           อาฮุยพยักหน้าตอบ “ครับ” เธอจึงวางใจลง


 


 


           เธอยังไม่อยากให้จิ้นหยวนรู้เรื่องนี้ เพราะเขามีเรื่องที่ต้องคิดเยอะแยะมากพออยู่แล้ว และเธอไม่อยากพึ่งพาเขาทุกอย่าง


 


 


           แต่เรื่องที่เธอไม่รู้ก็คือ หลังจากเธอเข้าไปในโรงพยาบาลแล้ว อาฮุยครุ่นคิดสักพักจึงตัดสินใจรายงานจิ้นหยวนดีกว่า เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดโทรออก…


 


 


           จิ้นหยวนที่กำลังประชุมเรื่องสำคัญอยู่กดรับสาย “ฮัลโหล…” สีหน้าเขาเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ ตามสิ่งที่อาฮุยรายงาน “โอเค ฉันรู้แล้ว นายทำดีมาก”


 


 


           เขาลุกขึ้นยืน มองไปยังองค์ประชุมที่กำลังมองมาที่เขาเป็นตาเดียว จากนั้นชี้ไปยังหลินจื้อเฉิงที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “นายประชุมแทนฉัน” เอ่ยจบแล้วก้าวเดินออกจากห้องประชุมทันที


 


 


           หลินจื้อเฉิงร้องขอชีวิตในใจ จิ้นซื่อ กรุ๊ป ไม่ใช่ของเขานะ ทำไมพี่ใหญ่ต้องผลักภาระการประชุมสำคัญมาให้เขาบ่อยๆ แบบนี้ด้วย?


 


 


           เฉียวซือมู่ไม่รู้ว่าอาฮุยรายงานเรื่องนี้ให้จิ้นหยวนรู้แล้ว เธอสอบถามห้องคนไข้ของคุณแม่เสร็จเรียบร้อย จากนั้นขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นสาม


 


 


           เธอก้าวออกจากลิฟท์พลันเห็นคำว่าห้องผ่าตัดตัวใหญ่เบ้อเริ่มที่มันทิ่มแทงสายตาทันที หัวใจเธอกระตุกวูบ เข่าอ่อนจนต้องรีบพิงกำแพงเอาไว้ถึงไม่ล้มลงกองกับพื้น


 


 


           ช่วงก่อนที่เธอต้องมาดูแลคุณแม่ที่โรงพยาบาล เธอเห็นคำนี้บ่อยมากจนเกิดเงามืดในใจ


 


 


           เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ค่อยๆ ก้าวเท้าทีละก้าวไปยังห้องที่นางพยาบาลบอก


 


 


           ในที่สุดก็เจอนายแพทย์สวมเสื้อกาวน์สีขาวเดินมาพอดี เธอถอนหายใจโล่งอก “ไม่ทราบว่าคนไข้ที่ชื่อเวินเยวี่ยฉิงอยู่ห้องไหนคะ?”


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงเป็นชื่อของคุณแม่เธอนั่นเอง


 


 


           “เวินเยวี่ยฉิง?” ดูเหมือนคุณหมอจะไม่รู้จักคนไข้ชื่อนี้ เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วส่ายศีรษะ “ไม่มีคนไข้ชื่อนี้นะครับ”


 


 


           เธอเริ่มร้อนรน เอ่ยถามเสียงสูง “ทำไมถึงไม่มีคนไข้คนนี้ล่ะคะ? ก็เมื่อกี้มีคุณหมอโทรหาฉัน บอกว่าคุณแม่ฉันอยู่ที่นี่ แล้วนางพยาบาลข้างล่างก็…”


ตอนที่ 298 ทั้งโกรธทั้งน้อยใจ


 


 


           “คุณแม่คุณอย่างนั้นเหรอครับ?” คุณหมอสีหน้าประหลาดใจ เขากวาดสายตามองเธอ “คุณคือคุณเฉียวหรือเปล่าครับ?”


 


 


           เธอชะงักเล็กน้อย พลันรู้สึกว่าคุ้นเคยกับเสียงนี้มาก “คุณคือคุณหมอคนนั้น?”


 


 


           คุณหมอพยักหน้า “ที่แท้ก็คุณนี่เอง คุณกำลังตามหาคุณแม่อยู่ใช่ไหมครับ?” เขาเอ่ยพลางพาเธอเดินไปยังห้องคนไข้ “ที่แท้คนไข้ก็ชื่อเวินเยวี่ยฉิงนี่เอง คือว่าอย่างนี้ เธอไม่ได้พกบัตรประจำตัวมาด้วย เราเลยไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไรน่ะครับ”


 


 


           “อย่างนั้นเหรอคะ” เธอหน้าแดงระเรื่อ “ขอโทษด้วยค่ะ พอดีฉันใจร้อนมากไปหน่อย”


 


 


           แม้คุณหมอจะใส่หน้ากากอนามัย แต่ก็ดูออกว่าภายใต้หน้ากากอนามัยนั้นเขากำลังยิ้มอยู่ “ไม่เป็นไร ก็คุณทำเพื่อคุณแม่นี่นา”


 


 


           ระหว่างที่เดินไปคุยไป ในที่สุดเธอก็เห็นคุณแม่ที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ เธอรีบเดินเข้าไปใกล้ “คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ?”


 


 


           ทันทีที่เห็นสภาพของคุณแม่ เธอก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดง ตัวสั่นไปทั้งร่าง “คุณแม่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ใครเป็นคนทำคะ?”


 


 


           สภาพของเวินเยวี่ยฉิงบนเตียงคนไข้ดูน่าเวทนามาก ใบหน้าบวมช้ำ ปากแตก บนศีรษะพันผ้าพันแผลเอาไว้ แถมยังมีเลือดซึมออกมาอีกต่างหาก เห็นแล้วก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน นี่เป็นเพียงรอยแผลที่มองเห็นเท่านั้น ไม่รู้ว่าตามร่างกายยังมีบาดแผลอีกมากน้อยแค่ไหน


 


 


           เฉียวซือมู่เห็นสภาพคุณแม่แล้วโกรธจนพูดไม่ออก เวินเยวี่ยฉิงที่ยังมีสติอยู่มองเฉียวซือมู่แล้วเอ่ยขึ้น “มาแล้วเหรอ? แม่ไม่ได้เป็นอะไร ลูกอย่าเอะอะโวยวายไปสิ”


 


 


           เฉียวซือมู่แผดเสียงแหลมทันที “ให้หนูเอากระจกให้คุณแม่ส่องหน้าดูก่อนไหมคะ? นี่คุณแม่พูดได้ยังไงว่าไม่เป็นอะไร? ต้องเจ็บหนักขนาดไหนถึงจะเป็นอะไร? ต้องรอให้แขนขาดขาขาดก่อนหรือไงคะ?


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงกระวนกระวายใจจนไอค่อกแค่ก พูดอะไรไม่ออกสักอย่าง


 


 


           คุณหมอมองเวินเยวี่ยฉิงด้วยความเห็นใจ “นอกจากบาดแผลตรงศีรษะแล้ว ที่เหลือก็เป็นแผลฟกช้ำดำเขียวภายนอกเท่านั้น ดูเหมือนว่าคนไข้จะถูกตีด้วยของไม่มีคม จำเป็นต้องทำซีทีสแกนถึงจะรู้ว่ามีเลือดคั่งหรือเปล่า ไม่มีน่ะดีที่สุด และต้องระวังเรื่องสมองถูกกระทบกระเทือนด้วย เพราะฉะนั้น ช่วงนี้ต้องคอยระวังอาการของคนไข้เป็นพิเศษ อย่างเช่นมีอยากอาเจียน ปวดหัวรุนแรงหรือเปล่า ถ้ามี ต้องรีบแจ้งให้หมอทราบทันที”


 


 


           คุณหมออธิบายยืดยาว เฉียวซือมู่จดจำทุกคำพูดเอาไว้จนขึ้นใจ ความกรุ่นโกรธในใจเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อคุณหมอใช้คำว่าถูกตี นั่นหมายความว่าคุณแม่ต้องถูกคนทำร้ายร่างกายอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว


 


 


           เธอหันไปมองคุณแม่ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ? ใครเป็นคนทำร้ายคุณแม่?” เธอเอ่ยถามพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาก “หนูจะแจ้งความ”


 


 


           เธอเพิ่งจะแนบหูกับโทรศัพท์มือถือ เวินเยวี่ยฉิงก็รีบร้องห้ามทันที “ไม่ได้นะ ไม่ได้” เธอร้อนใจมากจนแทบจะกระโดดลงจากเตียงคนไข้


 


 


           เฉียวซือมู่รีบเข้าไปประคองเธอเอาไว้ “คุณแม่ก็บอกมาสิคะว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


 


 


           เธอทั้งโกรธทั้งน้อยใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่กันแน่ หรือว่ายังมีเรื่องที่บอกเธอไม่ได้อีก? หรือว่ามีความลับอะไรที่ทำให้คุณแม่ถูกทำร้ายขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังไม่ยอมปริปากพูดอีก


 


 


           เธอทั้งโมโหทั้งร้อนใจ คุณหมอเห็นสถานการณ์ชักไม่ดี จึงเดินออกจากห้องเงียบๆ และไม่ลืมปิดประตูให้สนิท


 


 


           เฉียวซือมู่มองหน้าคุณแม่ โมโหที่ไม่ได้ดั่งใจ “คุณแม่ต้องรอให้ถูกทำร้ายจนตายก่อนถึงจะยอมพูดหรือไงคะ?”


 


 


 


 


ตอนที่ 299 เค้นถาม


 


 


           เธอเห็นสีหน้าผิดปกติของคุณแม่แล้วหัวใจกระตุกวูบ “เรื่องคราวนี้เกี่ยวกับข้องกับเรื่องที่คุณแม่หายตัวไปหลายวันเมื่อคราวก่อนใช่ไหมคะ?”


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงส่ายศีรษะเป็นพัลวัน “เปล่า ไม่ใช่นะ ลูกอย่าคิดไปเรื่อยสิ” แม้จะพูดแบบนั้น แต่เมื่อเอ่ยถึงประโยคสุดท้ายน้ำเสียงกลับเผยพิรุธอย่างชัดเจน


 


 


           เฉียวซือมู่สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ หมุนตัวเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นจ้องคุณแม่นิ่งด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณแม่คิดว่าหนูเป็นเด็กๆ หรือไงคะ? ชัดเจนขนาดนี้แล้ว คุณแม่ยังคิดจะปิดบังหนูอีกเหรอคะ?”


 


 


           เธอเอ่ยพลางจ้องคุณแม่นิ่ง น้ำเสียงตัดพ้อ “คุณแม่ยังเห็นหนูเป็นลูกอยู่หรือเปล่า? คุณแม่คิดบ้างไหมว่าหนูเป็นครอบครัวที่เหลืออยู่คนเดียวของคุณแม่แล้ว? เรื่องใหญ่ขนาดนี้คุณแม่ไม่คิดจะบอกหนู แล้วคุณแม่คิดจะบอกใครคะ? หรือว่าคุณแม่อยากถูกคนอื่นทำร้ายอีกรอบ?”


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงส่ายศีรษะ “ไม่หรอก เขาเอาเงินไปแล้วคงไม่กลับมาอีกแล้วล่ะ”


 


 


           “เขา?” เฉียวซือมู่หรี่ตาแคบอย่างจับผิด “เขาเป็นใครคะ?”


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปากพูดไปแล้วจึงรู้สึกเสียใจมาก รีบปิดปากสนิท ไม่กล้าพูดอะไรอีก


 


 


           “คุณแม่! หนูล่ะอยากจะบ้าตายจริงๆ!”


 


 


           เฉียวซือมู่โกรธจัด ชี้นิ้วต่อว่าเธอ


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงมองหน้าเฉียวซือมู่ที่โกรธจัดจนซีดเผือดแล้วรู้สึกผิดไม่น้อย เธอเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “มู่มู่ อย่าถามอะไรอีกเลยนะ ลูกรู้เอาไว้เถอะว่าที่แม่ไม่พูดก็เพื่อลูกทั้งนั้น เรื่องแบบนี้ให้แม่จัดการเองดีกว่า อย่าให้ต้องเปื้อนมือลูกเลย”


 


 


           “แล้วคุณแม่คิดว่าหนูจะยอมมองดูคุณแม่ถูกคนอื่นทำร้ายอย่างนั้นเหรอคะ? ลูกสาวที่คุณแม่เลี้ยงจนโตด้วยความยากลำบากคนนี้เป็นลูกอกตัญญูแบบนั้นเหรอคะ?”


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงเบือนหน้าหนีอย่างจนคำพูด “แม่พูดความจริง เรื่องนี้ลูกไม่รู้จะดีกว่า แผลพวกนี้ก็แค่แผลภายนอกเท่านั้น พักผ่อนแค่วันสองวันก็ไม่เป็นไรแล้ว จริงนะ”


 


 


           “ค่ะ แผลภายนอกเท่านั้น หนูยังไม่เคยเห็นเลยนะคะว่าแผลภายนอกจะทำให้กระทบกระเทือนสมองได้” เธอประชด “ตอนนี้หนูชักสงสัยแล้วสิว่าคุณแม่ถูกวางยาหรือเปล่า เกิดเรื่องขนาดนี้แล้วถึงไม่ยอมพูดอะไรสักอย่าง หรือว่าคุณแม่ต้องการปกป้องคนที่ทำร้ายคุณแม่คนนั้นคะ?”


 


 


           เวินเยวี่ยฉิงจ้องเฉียวซือมู่เขม็ง “แม่ทำเพื่อลูกนะ ถ้าไม่ใช่เพราะลูก ป่านนี้แม่…” คำพูดของเฉียวซือมู่ทำให้เธอโกรธมาก เธอตะคอกเสียงดัง แต่สุดท้ายก็พูดเพียงแค่ครึ่งๆ กลางๆ


 


 


           “ป่านนี้ก็อะไรคะ? พูดต่อสิคะ” เฉียวซือมู่เดินไปหยุดยืนตรงหน้าเวินเยวี่ยฉิงพลางจ้องหน้าเธอนิ่ง “คุณแม่ เรามีกันอยู่แค่สองคนนะคะ คุณแม่ไม่ยังไม่รู้จักนิสัยหนูอีกเหรอคะ? หนูจะบอกอะไรให้ ถ้าวันนี้หนูไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจหนูก็จะไม่ไปไหน หนูจะอยู่กับคุณแม่ที่นี่อย่างนี้แหละ”


 


 


           “เฮ้อ ลูกคนนี้นี่ แล้วนี่ลูกไม่คิดจะกลับบ้านหรือไง? ระวังจิ้นหยวนไม่พอใจนะ” เวินเยวี่ยฉิงเริ่มกระวนกระวายใจ


 


 


           เฉียวซือมู่แอบยิ้มในใจ เรื่องที่คุณแม่กลัวที่สุดก็คือกลัวเธอจะมีปัญหากับจิ้นหยวน และนั่นเป็นสิ่งยืนยันถึงความห่วงใยที่คุณแม่มีต่อเธอ “ค่ะ เดี๋ยวหนูโทรบอกเขาเอง เขาดีกับหนูมาก ถึงคุณแม่เขาจะไม่ค่อยชอบหนูสักเท่าไหร่ แต่เขาก็อยู่ข้างหนูตลอด คุณแม่สบายใจเถอะค่ะ”


 


 


           เห็นท่าทางเด็ดขาดของลูกสาวแล้ว เวินเยวี่ยฉิงได้แต่เอ่ยอย่างขัดเคืองใจ “ลูกไปเรียนวิธีนี้มาจากไหน จริงๆ เลย…”


 


 


           เธอได้แต่ทอดถอนใจอย่างยอมแพ้ “ก็ได้ แม่บอกก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลูกต้องรับปากแม่ก่อน”


 


 


           “ได้ค่ะ คุณแม่พูดมาเถอะค่ะ หนูรับปากคุณแม่ทุกอย่าง” เฉียวซือมู่ตกปากรับคำทันทีอย่างกระตือรือร้น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม