เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก 289-296
ตอนที่ 289 นึกขึ้นได้กะทันหัน
ตอนบ่ายเหยียนเค่อไม่มีอะไรทำ จึงกะว่าจะกลับไปตรวจอาการที่โรงพยาบาลสักหน่อย จะได้ไปกระตุ้นหลี่หมิงฉวีด้วย
หลายวันมานี้ฉินซื่อหลานโดนพวกเขาก่อกวนจนไม่ได้เข้าร่วมประชุมวิชาการ ได้แต่นั่งเขียนวิทยานิพนธ์อยู่ในโรงพยาบาลและโดนพวกคนของเฉิงซีนั่นรบกวนอีกด้วย
“นายจะมาทำไม จะให้ฉันทายาให้เหรอ” ฉินซื่อหลานเหลือบตามองเขา กรอบแว่นสีทองล้วนบดบังใบหน้าด้านบนที่ได้รูปและขนตายาวงอนนั้นไว้ไม่ได้
“ทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกว่านายเหมือนเกย์เลยนะ” เหยียนเค่อนั่งพิงกับโต๊ะของเขา มือยืนโต๊ะไว้ก่อนจะเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ ส่วนขาเรียวยาวยันพื้นเอาไว้ เขายังไม่ได้คิดบัญชีเรื่องเมื่อคืนนี้เลยนะ
“นายอย่ามาหาเรื่องน่า ระวังโดนฉันวางยาล่ะ” ฉินซื่อหลานหยิบปากกาในมือขึ้นมาชี้
เหยียนเค่อดึงปากกาออกมาจากมือของเขา นึกไปถึงปากกาของตนที่อยู่กับซย่าเสี่ยวมั่ว ก็ยึดเอามาเป็นของตัวเองอย่างหน้าไม่อาย “อันนี้เป็นของฉันละนะ เอาแอลกอฮอล์กับสำลีมาให้ฉันฆ่าเชื้อหน่อย”
“ไอ้เวร” ฉินซื่อหลานไม่พอใจ ไอ้หมอนี่มาทีไรก็แย่งของเขาไปทักที หยิบแอลกอฮอล์มาวางลงบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปให้เขา “ตอนเสิ่นจิ้งเฉินอยู่นายไม่เห็นเคยไปเอาของเขาเลย ตอนนี้ดันจะมาเอาของฉันซะงั้น”
“ตอนนั้นลืมไง” เหยียนเค่อเช็ดปากกาในมือ
“นายมาทำอะไรกันแน่” ฉินซื่อหลานมองหน้าเขา “นายคงไม่ได้คิดว่าหน้าตัวเองยังไม่หายดีแล้วจะมาลงกับหน้าฉันหรอกนะ”
“ชิ ถ้าฉันทำหน้านายเสียโฉมแล้วนายจะเอาอะไรทำมาหากินล่ะ” เหยียนเค่อไม่สนใจใบหน้าของเขาสักหน่อย
ฉินซื่อหลานที่โดนเสียดสีเข้าเต็มๆ มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา เขาไม่ได้อาศัยหน้าตาทำมาหากินเสียหน่อย นี่มันเป็นการหยามความสามารถของเขาชัดๆ เลยนี่นา
“อย่ามาทำหน้าแบบนี้ หลี่หมิงฉวีพักอยู่ห้องไหน” เหยียนเค่อวางปากกาในมือไว้อีกด้าน
ฉินซื่อหลานเอารายการห้องพักผู้ป่วยให้เขาดู “นายอย่าทำเกินไปนักนะ ถ้าไปกระตุ้นจนเขาเป็นบ้าขึ้นมานั่นมันก็เกินไปหน่อย”
เหยียนเค่อไม่พูดพล่ามกับเขาต่อ จะเป็นบ้าหรือเปล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะตัดสินใจได้เสียหน่อย
ตอนเหยียนเค่อเข้าไปหลี่หมิงฉวีก็อารมณ์ฉุนเฉียวอยู่พอดี กำลังสาดอาหารใส่ตัวหลี่หมิงเจ๋อ
“นายกินข้าวดีๆ อย่าโมโหสิ” หลี่หมิงเจ๋อเองก็ปวดหัวกับน้องชายคนนี้เช่นกัน โดนกับข้าวน้ำซุปสาดใส่ตัว น่าอนาถเป็นอย่างมาก
หลี่หมิงฉวีหันขวับอย่างนึกรำคาญ “ผมไม่…” ยังไม่ทันพูดจบก็เห็นเหยียนเค่อที่ยืนเด่นอยู่ที่หน้าประตูเสียก่อน
เขาตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะดึงสติกลับมาได้ เขาเห็นเหยียนเค่อแต่กลับไม่ได้อารมณ์ขึ้นและโมโหเท่ากับตอนที่เห็นเหยียนเฟิงเมื่อเช้า
“นายมาทำไม ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย” หลี่หมิงฉวีเบนสายตาหลบอย่างเยือกเย็น
“ฉันก็ไม่อยากเห็นหน้านายเหมือนกัน” เหยียนเค่อมองไปทางหลี่หมิงเจ๋อที่ยืนกังวลอยู่ข้างๆ ก่อนจะเอ่ยเตือน “ไม่ไปเช็ดตัวสักหน่อยเหรอครับ”
หลี่หมิงเจ๋อคิดไม่ถึงว่าจะมาเจอเหยียนเค่อในสถานการณ์แบบนี้ บรรยากาศคุกรุ่นในตอนแรก ถูกคำพูดเดียวของเหยียนเค่อทำลายไปเสียหมด จึงหันตัวกลับไปจัดการรอยเปื้อนบนตัวของตนต่ออย่างกระอักกระอ่วน
“นายอยู่ให้ห่างจากซย่าเสี่ยวมั่วหน่อย” หลี่หมิงฉวีมองเขาแล้วเอ่ยเตือน “ตอนนั้นฉันไม่รู้ตัวตนของนาย ตอนนี้รู้แล้ว ดังนั้นนายเลิกคิดที่จะได้อยู่เคียงข้างซย่าเสี่ยวมั่วอีก”
“ไม่ว่านายจะรู้ตัวตนของฉันหรือเปล่า แต่การที่ฉันอยู่เคียงข้างซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาย” เหยียนเค่อเริ่มสงสัยในระดับไอคิวของนายคนนี้แล้ว “ตอนนี้นายไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพูดคำนั้นด้วยซ้ำ”
“มีสิทธิ์มากกว่านายแล้วกัน ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามั่วมั่วรู้ตัวตนของนายแล้วจะยอมคบกับนายต่ออีก” หลี่หมิงฉวีจ้องเขาเขม็ง มือกำผ้าปูเตียงแน่น
น่ารำคาญจริง เขาไม่ได้มาเพื่อคุยเรื่องซย่าเสี่ยวมั่วกับเขาสักหน่อย เข้าใจอะไรยากจริงๆ
“เรื่องของนายกับซย่าเสี่ยวมั่วฉันไม่อยากยุ่งหรอกนะ และเรื่องของฉันกับซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่ได้เกี่ยวกับนาย” เหยียนเค่อหงุดหงิด “นายอยากพูดความในใจก็ไปพูดกับซย่าเสี่ยวมั่ว อย่ามาพูดกับฉัน”
ถ้าซย่าเสี่ยวมั่วชอบเขาล่ะก็ ตอนนี้เขาต้องเอาเรื่องของเหยียนเค่อมาขู่เหรอ? หลี่หมิงฉวีตัดสินใจแล้ว ต่อให้ซย่าเสี่ยวมั่วคบกับเขาไม่ได้ แต่ก็ให้เหยียนเค่อไปไม่ได้เด็ดขาด
ถ้าซย่าเสี่ยวมั่วรู้ว่าตัวเองเป็นความดื้อดึงในรักแต่ไม่อาจได้มาของหลี่หมิงฉวีล่ะก็ คงไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือว่าหัวเราะดี
เดิมทีเหยียนเค่อก็แค่นึกขึ้นได้กะทันหันเลยมาเยี่ยมสักหน่อย ไม่อยากคุยกับเขาในเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ต่ออีก จึงหันตัวเดินออกไป
“เหยียนเค่อ แค้นนี้ไม่ชำระฉันไม่ขอเป็นคน” หลี่หมิงฉวีคำรามอย่างโกรธขึ้งใส่แผ่นหลังที่เดินจากไปอย่างสง่างาม เขาต้องทำให้เหยียนเค่อมาเสียใจทีหลังให้ได้
หลี่หมิงเจ๋อมองเหยียนเค่อเดินจากไปไกล ความคิดหนึ่งวาดผ่าน กิริยาท่าทางของเหยียนเค่อนั้นดีกว่าเหยียนเฟิงมากจริงๆ
ตอนที่ 290 เหนือความคาดหมาย
“นายไปกระตุ้นอะไรเขามาล่ะ” ฉินซื่อหลานคาดเดาสีหน้าของเขาไม่ออก จึงถามอย่างระมัดระวัง
“ประสาทชัดๆ” เหยียนเค่อนึกว่าหลี่หมิงฉวีต้องเกลียดเขามากๆ แต่สุดท้ายกลับเอาแต่พูดเรื่อง
ซย่าเสี่ยวมั่วอยู่นาน ทำให้เขาอารมณ์เสียยิ่งไปกว่าเดิมอีก
ฉินซื่อหลานเกาศีรษะตัวเอง “นายด่าฉันหรือด่าเขาอะ”
“นายไม่ได้ประสาทหรอก” เหยียนเค่อเหลือบมองเขาหนึ่งที ก่อนจะถอดเสื้อคลุมออก “ทายาให้ฉันหน่อย”
ฉินซื่อหลานดึงคอเสื้อยืดที่ใส่ทับอยู่ด้านในของเขาแล้วก็พูดไม่ออก “เสื้อคอกว้างขนาดนี้ นายชิลล์เกินไปหรือเปล่า”
เหยียนเค่อปัดมือเขาออก ก่อนจะเอ่ยเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง “อย่ามารุ่มร่ามน่า ผลกระทบไม่ดีนะ”
“นายกลัวเรื่องผลกระทบตั้งแต่เมื่อไร” ฉินซื่อหลานเลิกชายเสื้อของเขาขึ้นมา รอยบวมช้ำเขียวที่หลังยังไม่จางไป จึงเอ่ยกับเขาก่อน “นายอย่าแหกปากละกัน วันนั้นฉันไปดูหลี่หมิงฉวีทำกายภาพ ฟังเขาแหกปากตะโกนจนหูแทบแตก”
“ฉันจะไปเหมือนเขาได้ยังไงเล่า”
“ไม่เหมือนหรอก ตอนควรจะร้องนายไม่ร้อง ตอนไม่ควรจะร้องดันแหกปากดังกว่าชาวบ้านเขาอีก” ฉินซื่อหลานเบื่อจะค่อนแคะเขาแล้ว ตอนแขนหักขาหักทนได้ยิ่งกว่าคนอื่น แต่พอเจ็บตัวนิดหน่อยก็ร้องเหมือนจะตาย
“…” เหยียนเค่อดึงชายเสื้อขึ้นเพื่อให้ฉินซื่อหลานทายาได้ถนัด
ทั้งคู่เงียบลงครู่หนึ่ง กลิ่นยาที่เจือกลิ่นขมลอยอบอวลไปในอากาศ
เหยียนเค่อปิดปากจามอย่างสุภาพ “ทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นรู้เลยว่ามีกลิ่นนี้ด้วย”
“หอมจะตาย” ฉินซื่อหลานเอานิ้วที่ใช้ทายาขึ้นจรดปลายจมูกแล้วดม “กลิ่นหอมสดชื่น”
รอจนฉินซื่อหลานทายาเสร็จ เหยียนเค่อจึงปล่อยชายเสื้อตัวเองลงแล้วสวมเสื้อคลุมกลับไปตามเดิม
“เซ็กซี่นะเรา” ฉินซื่อหลานดึงคอเสื้อยืดย้วยๆ ของเหยียนเค่อลงมาที่ไหล่อย่างมือบอน “มีแค่นายนี่แหละที่ใส่สูทแต่ไม่ใส่เสื้อเชิ้ตข้างใน”
“นายพูดเหมือนว่าข้างในฉันโป๊งั้นแหละ” เหยียนเค่อปัดมือเขาออก “คืนนี้ฉันจะกลับบ้าน นายไปดูเซ่าหมิงฟ่านให้ฉันหน่อยแล้วกัน”
“เซ่าหมิงฟ่านคงไม่ตายกะทันหันหรอกนะ” ถึงกับให้เขาไปดู แสดงว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี
“ฝันไปเถอะ” เหยียนเค่อเท้าศีรษะมองเอกสารวิทยานิพนธ์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา “พรุ่งนี้รอเก็บศพได้เลย”
“ฉันนึกว่านายกับหลี่หมิงฉวีเจอกันแล้วจะฟ้าถล่มดินสะเทือนซะอีก ไม่คิดว่าจะนิ่งๆ แบบนี้ ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย”
เหยียนเค่อไม่อยากสนใจเขา รู้สึกอ่อนเพลียนิดหน่อย “ฉันขอไปพักก่อนนะ นายเลิกงานแล้วก็เรียกฉันด้วย”
ฉินซื่อหลานมองเขาเดินเข้าไปในห้องพักของตน ก่อนจะเขียนวิทยานิพนธ์ต่อไปอย่างจำนนต่อโชคชะตา ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีใครสักคนมาเล่นเป็นเพื่อน แต่ดันเข้าไปหลับแล้วซะงั้น
การที่ซย่าเสี่ยวมั่วได้รับโทรศัพท์จากหลี่หมิงฉวี เป็นสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายของเธอมาก
“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ”
“ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกเธอ เธอมาหาฉันหน่อยได้ไหม”
“นายรู้เบอร์ฉันได้ยังไง!” แต่ไหนแต่ไรซย่าเสี่ยวมั่วไม่ให้เบอร์เขาก็เพราะกลัวว่าเขาจะโทรมาก่อกวน
อีกฝ่ายลังเลอยู่นาน “เธอมาหาฉันแล้วฉันจะบอกเธอโอเคไหม”
ไม่โอเคเลยสักนิด! ซย่าเสี่ยวมั่วลุกขึ้นนั่งลงบนโซฟา “นายบอกมาตอนนี้เลยก็ได้”
“เธอจะไม่ยอมมาเยี่ยมฉันหน่อยเหรอ ฉันเจ็บหนักมากจริงๆ นะ…”
ซย่าเสี่ยวมั่วทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะได้หลับ แต่กลับถูกปลุกจนตื่นแบบนี้ จึงขยุ้มหัวอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน พูดขัดคำพูดระบายความทุกข์ของเขา “รอฉันเลิกงานก่อนแล้วจะไป”
เธอเกลียดหลี่หมิงฉวีจะตายอยู่แล้ว เลิกกันไปตั้งนานทำไมยังตามตอแยไม่หยุดอีก ทำไมเหมือนพวกผู้หญิงที่ตามวอแวเหยียนเค่อไม่มีผิดเลยนะ เป็นผู้ชายก็ควรจะตัดใจได้อย่างเด็ดขาดหน่อยไม่ใช่หรือไง
หลี่หมิงฉวีไม่รู้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วคิดอะไรอยู่ในใจ ทำได้เพียงนั่งรอซย่าเสี่ยวมั่วมาเยี่ยมเงียบๆ
ตอนที่ 291 เมิน
“ให้ฉันไปส่งบ้านไหม”
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน อันหร่านก็รับหน้าที่เป็นคนขับรถผู้รู้ใจที่จะขับรถไปส่งซย่าเสี่ยวมั่วที่บ้าน
“ฉันจะไปโรงพยาบาล” ซย่าเสี่ยวมั่วเก็บของ สะพายกระเป๋าแล้วเดินออกมา “ถ้าเป็นทางผ่านก็ไปส่งฉันหน่อยแล้วกัน”
เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วบอกชื่อโรงพยาบาลไปอันหร่านก็ร้องเฮือก “เธอท้องเหรอ”
“หืม?” เธองุนงง ไปโรงพยาบาลกับตั้งครรภ์มันเกี่ยวกันด้วยเหรอ?
อันหร่านเห็นท่าทางของเธอก็รู้ทันทีว่าตนคงเดาผิด จึงกลอกตามองเธอ “นั่นเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเราเลยนะ ค่ารักษาแพงจะตาย เป็นตัวเลือกดีที่สุดที่พวกดาราใช้บริการกันเลย”
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ”
“รักษาความเป็นส่วนตัวไง” อันหร่านตบกะโหลกเธอเบาๆ “แค่นี้ก็ไม่รู้ เอาสมองให้คนอื่นไปแล้วเหรอ”
ซย่าเสี่ยวมั่วเดินตามเขาอยู่ข้างหลังอย่างเอื่อยเฉื่อย “คงงั้นมั้ง ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกเลยว่ามีสมองอยู่ด้วย”
“อย่ามา นางฟ้าตัวน้อยของเธอยังรอเธออัปการ์ตูนอยู่นะ ถ้าไม่มีสมองก็รีบไปเติมซะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเธอต่อ จึงโบกมือปัด “สรุปว่าเป็นทางผ่านหรือเปล่า ถ้าไม่ผ่านงั้นฉันไปก่อนนะ”
“ผ่านๆๆ ถึงไม่ผ่านแต่ฉันก็จะไปส่งอยู่ดี” อันหร่านควงกุญแจรถ โอบไหล่เธอเดินออกไป
“เธอจะลงรถไหม” อันหร่านมองเธออย่างประหลาดใจ รถจอดได้ห้านาทีแล้ว แต่ซย่าเสี่ยวมั่วกลับไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนเลย
“ลง” ซย่าเสี่ยวมั่วปลดเข็มขัดนิรภัยอย่างอ้อยอิ่ง ไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับหลี่หมิงฉวีอย่างไร “เธอกลับบ้านดีๆ นะ บ๊ายบาย”
“บ๊ายบาย” อันหร่านมองตามจนเธอเดินเข้าประตูใหญ่ไปแล้วจึงถอยรถออกไป
ซย่าเสี่ยวมั่วเดินปลายเท้าชิดกับหลังเท้า ราวกับกำลังวัดขนาดห้องโถงของโรงพยาบาล
เหยียนเค่อโดนฉินซื่อหลานปลุกเรียกอย่างป่าเถื่อนจึงเดินลงจากตึกอย่างขัดใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นคนที่เดินด้วยความเร็วปานหอยทากตรงใจกลางห้องโถงก็หลุบตาต่ำ แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินผ่านเธอไป
เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วเห็นเหยียนเค่อก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะเห็นกับตาว่าอีกฝ่ายเมินใส่ตนแล้วเดินผ่านไป
“แม่งเอ๊ย” ซย่าเสี่ยวมั่วสบถคำหยาบ ก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ไปด้วยความโกรธขึ้ง เห็นแผ่นหลังนั่นโดนประตูหนีบจึงค่อยหายโมโหหน่อย เธอโดนเขาเมินอย่างนี้เนี่ยนะ เธอลูบผมตัวเองเป็นการปลอบโยนหัวใจที่ได้รับบาดเจ็บนี้
เหยียนเค่อไม่ต้องคิดก็รู้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วคงไม่ได้มาโรงพยาบาลเพื่อมาหาฉินซื่อหลาน แต่มาหาหลี่หมิงฉวีต่างหาก แต่ไม่ว่าจะมาหาใครเขาก็รู้สึกอึดอัดใจเหมือนกัน
ซย่าเสี่ยวมั่วเดินพึมพำคนเดียวจนถึงหน้าห้องพักผู้ป่วย ในใจยังหลงเหลือความโกรธที่มีต่อเหยียนเค่อ เคาะประตูห้องอย่างหงุดหงิด
“เชิญครับ” เสียงของหลี่หมิงฉวีดังขึ้น อาจจะเป็นเพราะว่าอยู่ไกล ทำให้ได้ยินไม่ชัดเจนนัก
ซย่าเสี่ยวมั่วเองก็ไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอะไร หลังจากเข้าไปในห้องแล้วก็โบกมือให้คนที่นอนพิงอยู่บนเตียง “ฉันมาแล้ว”
“มั่วมั่ว ในที่สุดเธอก็มาเยี่ยมฉันแล้ว” หลี่หมิงฉวีตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง เขานึกว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะยื่นมือเข้ามาช่วย แต่แล้วก็เห็นซย่าเสี่ยวมั่วกดกริ่งอย่างใจเย็น ก่อนจะหันมากำชับ “รอทีมแพทย์พยาบาลมาก่อนแล้วนายค่อยลุกละกัน อย่าเจ็บตัวซ้ำสองเลย”
หลี่หมิงฉวีเก็บความน้อยอกน้อยใจไว้ภายใน รอจนพยาบาลเข้ามาช่วยเหลือ
“ตอนนี้นายเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บหนักอยู่ไหม”
“มั่วมั่ว ฉันคิดแล้วว่าเธอต้องเป็นห่วงฉัน” หลี่หมิงฉวีมองเธอด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง ซย่าเสี่ยวมั่วมองสายตานั้นแล้วในใจก็รู้สึกตื่นกลัว
เธอก็แค่ถามคำถามที่คนปกติเขาพูดกันเวลามาเยี่ยมไข้เท่านั้น ทำไมถึงคิดเป็นอย่างนั้นไปได้นะ…
ซย่าเสี่ยวมั่วอารมณ์ไม่ดีและก็ไม่อยากไว้หน้าเขาด้วย จึงพูดตามตรง “ฉันก็แค่ถามเป็นมารยาทเท่านั้นแหละ นายจะไม่ตอบก็ได้”
“เธอก็ชอบปากไม่ตรงกับใจแบบนี้ตลอด ในใจคงร้อนรนอยากจะรู้อาการป่วยของฉันใช่ไหมล่ะ”
ไอ้หมอนี่มันไม่ได้เป็นบ้าอะไรใช่ไหม
ตอนที่ 292 จากกันไม่ดี
ซย่าเสี่ยวมั่วดึงมือที่โดนเขาดึงไปกุมไว้ออก ก่อนจะเกาหน้าผากตัวเองอย่างนึกรำคาญ “นายเรียกฉันมามีอะไรกันแน่ นายรู้เบอร์โทรฉันได้ยังไง”
“มั่วมั่ว ฉันอยากกลับไปคบกับเธอจริงๆ นะ เรื่องเมื่อตอนนั้นฉันอธิบายได้”
“นายจะอธิบายก็ได้แต่ฉันไม่อยากโดนน้ำกรดสาดอีกแล้ว” ซย่าเสี่ยวมั่วยกมือขึ้นขัดคำพูดของเขา สิ่งที่ควรทำก็ทำไปหมดแล้ว จะมาอธิบายทำบ้าอะไรอีก อย่างเหยียนเค่อ ทุกครั้งที่ทำผิดเขาก็จะทำอย่างใจกล้าไปเลย มีอะไรให้อธิบายกันเล่า “เรื่องกลับไปคบไม่ต้องพูดถึงแล้ว มีเรื่องอื่นอีกไหม”
หลี่หมิงฉวีโดนขัดก็เริ่มพูดมั่วซั่ว “อย่านึกว่าเลิกกับฉันแล้วเธอจะได้คบกับเหยียนเค่อนะ เธอคบกับฉันไม่ได้ก็คบกับเหยียนเค่อไม่ได้เหมือนกัน”
ซย่าเสี่ยวมั่วสงสัยว่าเหยียนเค่อทุบหัวเขาจนสมองมีปัญหาหรือเปล่า ทำไมอาการเหมือนคนใกล้จะเป็นโรคประสาทเลยล่ะ เธอไม่ได้อธิบายความสัมพันธ์ของเธอกับเหยียนเค่อให้หลี่หมิงฉวีฟัง แค่เพียงเอ่ยอย่างเรียบนิ่งเท่านั้น “นายช่วยพูดเข้าประเด็นหน่อยได้ไหม นายเรียกฉันมามีอะไรกันแน่”
หลี่หมิงฉวีเห็นเธอไม่ยอมโอนอ่อนให้จึงพูดออกมาอย่างหมดเปลือก “เหยียนเค่อเป็นลูกชายคนเล็กของบ้านตระกูลเหยียน เป็นผู้สืบทอดคนที่สองของเหยียนกรุ๊ป เขายังมีคู่หมั้นด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นสถานะทางสังคมหรือครอบครัวก็ตาม เธอคิดว่าพวกเธอจะคบกันได้เหรอ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน” แถมฉันยังรู้ว่าเขาเป็นนักธุรกิจดีเด่นของเมือง N ด้วย…ซย่าเสี่ยวมั่วตำหนิในใจ
“เธอ…” หลี่หมิงฉวีหมดคำพูด “ฉันก็แค่อยากบอกเธอ ว่าเธอกับเขามันเป็นไปไม่ได้”
“ฉันกับเขาจะเป็นไปได้ไหมก็ไม่ต้องให้นายมาบอกฉัน”
“แต่ว่าเขากำลังหลอกเธออยู่นะ!” หลี่หมิงฉวีไม่ได้รับปฏิกิริยาตอบกลับตามที่คาดหวังไว้ จึงคำรามอย่างขุ่นเคือง “เขาเป็นพวกคุณชายเพลย์บอยที่ไม่ทำการทำงาน”
ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าหลี่หมิงฉวีช่างน่ารำคาญเสียจริง
ตัวตนของเหยียนเค่อถูกเปิดเผยยังไม่มาร้องตะโกนต่อหน้าเขาสักคำ แล้วหลี่หมิงฉวีเป็นใครถึงมาพูดถึงเหยียนเค่อเสียๆ หายๆ แบบนี้
ผู้ชายที่เอาคู่แข่งของตนมาพูดลับหลังเสียๆ หายๆ ก็แย่พออยู่แล้ว แถมสถานะของพวกเขาสองคนยังซับซ้อนเข้าใจยากแบบนี้อีก
“นั่นมันก็ไม่เกี่ยวกับนาย” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่พอใจ “อย่างน้อยเหยียนเค่อที่ฉันรู้จักก็มีความรับผิดชอบกว่านาย รักเดียวใจเดียวกว่านาย รักเคารพในหน้าที่การงานกว่านาย สูง หล่อ มีมาดกว่านาย!”
คนที่แอบฟังอยู่นอกประตูกดตัดสายอย่างเงียบเชียบ บนหน้าจอโทรศัพท์โชว์คำว่า ‘เหยียนเค่อ’ อยู่ โดยต่อสายมาแล้วเกือบยี่สิบนาที
หลี่หมิงฉวีได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็บิดเบี้ยว มองซย่าเสี่ยวมั่วที่ไม่เหมือนกับคนในความทรงจำอย่างเจ็บปวดหัวใจ “เธอก็ยังจะชอบเขาอยู่ดีใช่ไหม”
“เกี่ยวอะไรกับนาย” การที่ซย่าเสี่ยวมั่วโกรธเหยียนเค่อนั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขาสองคน ซย่าเสี่ยวมั่วแอบสาปแช่งเหยียนเค่อในใจได้ แต่หลี่หมิงฉวีไม่มีจุดยืนในการมาตำหนิติเตียนเหยียนเค่อเลย สิ่งเดียวที่ทำให้เขาโกรธได้ก็น่าจะเป็นการที่เหยียนเค่อทำร้ายเขาจนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่เรื่องนี้ก็ต้องโทษหลี่หมิงฉวีเองที่กระจอกสู้เขาไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไร หลี่หมิงฉวีก็แค่คนขี้ขลาดเท่านั้น
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากเล่นสงครามน้ำลายกับเขาต่อ “ตอนเราเลิกกันฉันไม่เคยคาดหวังเลยว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่ฉันก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับนาย ฉันคิดว่าไม่ต้องมายุ่งกันอีกจะดีกว่า”
“ทำไมเธอถึงกลับมาคบกับฉันไม่ได้อะ ฉันยังรักเธออยู่จริงๆ นะ”
คำว่า ‘รัก’ ยิ่งพูดออกมาได้ง่ายดายเท่าไร ความรักที่มีก็น้อยลงเท่านั้น ความรักไม่ได้อยู่ที่ปาก ที่จะสามารถออกมาได้ทุกครั้งที่เอ่ยเรียกสักหน่อย
“นั่นมันก็เรื่องของนาย ไม่เกี่ยวกับฉัน” ทั้งคู่ไม่มีความจำเป็นอะไรให้ต้องเสวนากันอีกต่อไปแล้ว “ถ้านี่คือ ‘เรื่องสำคัญ’ ที่นายอยากบอกฉันละก็ ฉันว่าการพูดคุยของเราก็คงจบลงแต่เพียงเท่านี้”
หลี่หมิงฉวีมองซย่าเสี่ยวมั่วหันตัวจากไปอย่างไร้ซึ่งความอาวรณ์ตาปริบๆ นิ้วมือกำผ้าปูเตียงแน่น ในใจเปี่ยมไปด้วยความโกรธ
ตอนที่ 293 สิทธิพิเศษในการเยี่ยมไข้
ฉินซื่อหลานยืนแอบฟังอยู่นาน รอจนซย่าเสี่ยวมั่วเดินออกมาแล้วจึงลากเธอไปทันที
“นายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ข้างใน” ซย่าเสี่ยวมั่วถามเขาอย่างฉงนใจ
ฉินซื่อหลานเช็ดมือที่เพิ่งปิดปากซย่าเสี่ยวมั่วเมื่อกี้ ก่อนจะอธิบาย “เหยียนเค่อโทรมาฉันบอกว่าเธอเข้ามา กลัวว่าเธอจะเกิดเรื่อง ก็เลยให้ฉันมาดูน่ะสิ”
เขาจงใจละประธานของประโยคไป ซย่าเสี่ยวมั่วเองก็ไม่ได้ถามต่อว่าใครกลัวว่าเธอจะเกิดเรื่อง เอ่ยตอบด้วยสีหน้าเอือมระอา “อย่าพูดถึงนายคนนั้นที่เมินฉันเลย”
ฉินซื่อหลานก็ไม่อยากพูดถึงเขาหรอก แค่คำพูดเป็นชุดที่ซย่าเสี่ยวมั่วพูดออกไปเมื่อกี้ก็เพียงพอให้
เหยียนเค่อได้ลำพองใจไปอีกนานแล้ว
“คือว่า สมองของหลี่หมิงฉวีผิดปกติหรือเปล่า” ซย่าเสี่ยวมั่วชี้นิ้วไปที่ขมับของตัวเอง แล้วเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
“ไม่นี่” ฉินซื่อหลานตอบอย่างแข็งขัน “ผลตรวจออกมาแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร”
ซย่าเสี่ยวมั่วพึมพำ “ทำไมเหมือนคนเป็นโรคจิตเลยนะ”
“วันนี้เหยียนเค่อบอกว่าเขาเป็นโรคประสาท”
“เป็นโรคจิตต่างหาก” ซย่าเสี่ยวมั่วตอบอย่างมั่นใจ “เหยียนเค่อพูดไม่ถูก”
“ความจริง ทางการแพทย์วินิจฉัยว่าหลี่หมิงฉวีมีประสาทที่ผิดปกติ แต่ยังยืนยันไม่ได้ว่าเขาเป็นโรคจิตหรือเปล่า”
“จิตผิดปกติต้องเป็นโรคจิตสิ”
ทั้งคู่ถกเถียงกันเรื่องโรคประสาทกับโรคจิตอยู่นานก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้
“แต่ถ้าไปตรวจ เขาก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก” ฉินซื่อหลานตอบซย่าเสี่ยวมั่วในมุมมองของแพทย์
“งั้นเขาคงทั้งเป็นโรคประสาทแล้วก็เป็นโรคจิตด้วย” ซย่าเสี่ยวมั่วพูดสรุปในมุมมองของตัวเอง
ฉินซื่อหลานก็ไปเปลี่ยนแปลงความคิดส่วนตัวของเธอไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องนี้จบไป “เดี๋ยวฉันไปส่งเธอกลับบ้าน”
“โอ๊ย รู้ใจจริงๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วเอ่ย “มาเยี่ยมไข้ก็ได้รับสิทธิพิเศษแบบนี้ด้วย”
“ความจริงฉันควรจะโยนเธอออกไปมากกว่านะ” มาเยี่ยมหลี่หมิงฉวีแต่อยากจะได้รับสิทธิพิเศษ ยายนี่ช่างไร้เดียงสาจริงๆ
“พวกนายอย่ามาเลือกปฏิบัตินะ ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา”
“ถ้าเกี่ยวข้องกันล่ะก็ เธอก็เตรียมตัวโดนเหยียนเค่อฆ่าได้เลย” ฉินซื่อหลานควงกุญแจรถในมือก่อนจะคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน จึงถามขึ้นอย่างใคร่รู้ “เมื่อคืนเธอปฏิเสธเหยียนเค่อไปเหรอ”
“ฮะ?” ซย่าเสี่ยวมั่วมองเขาด้วยสีหน้างุนงง “ฉันปฏิเสธเหยียนเค่อ?” ทำไมเธอไม่รู้ล่ะว่าตัวเองปฏิเสธเหยียนเค่อ
“มือเขาเลือดไหลเลยนะ” ฉินซื่อหลานชี้ไปที่ฝ่ามือของตนด้วยท่าทางเกินจริง ก่อนจะถามอย่างสนอกสนใจ “เธอปฏิเสธเขายังไงเหรอ”
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่รู้ว่าเขาพูดถึงอะไร เพียงแสดงความคิดเห็นของตนเท่านั้น “เขาเลือดไหลก็สมน้ำหน้าแล้ว”
“สรุปเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่” ฉินซื่อหลานถามต่ออย่างไม่ยอมแพ้
“ฉันแค่บอกว่าฉันจะชอบใครก็ได้แต่ก็คงไม่ชอบเขา” ซย่าเสี่ยวมั่วครุ่นคิด คำพูดที่เธอบอกออกไปก็มีความหมายประมาณนี้
ฉินซื่อหลานตะลึงอ้าปากค้างจนกรามแทบหลุด ยายนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ปฏิเสธเหยียนเค่ออย่างไร้เยื่อใยแบบนี้แล้วยังมีชีวิตอยู่ได้แบบครบสามสิบสอง แต่เป็นเหยียนเค่อเสียเองที่บาดเจ็บที่มือ
“นายทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง” ซย่าเสี่ยวมั่วมองสีหน้าตกตะลึงของเขา “คำถามนี้ฟังแล้วรับไม่ได้เหรอ”
“ก็รับได้แหละ” ฉินซื่อหลานหุบปาก กลับไปเป็นบัณฑิตผู้ถ่อมตนเช่นเดิม ก่อนจะเอ่ยพลางทอดถอนใจ “แล้วเหยียนเค่อก็ดันรับได้อะนะ”
“เขาจะรับได้หรือเปล่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน” เรื่องที่เหยียนเค่อปิดบังตัวตนของตัวเองมาโดยตลอดเธอยังไม่ได้ชำระแค้นเลยนะ นับประสาอะไรกับคนอย่างเหยียนเค่อ เธอเอื้อมไม่ถึงหรอก
“เธอรอฉันแป๊บนะ ฉันไปเอารถก่อน”
ไม่นานนัก รถคาเยนน์รูปทรงโฉบเฉี่ยวสวยงามคันหนึ่งก็มาจอดลงตรงหน้าซย่าเสี่ยวมั่ว
ซย่าเสี่ยวมั่วอ้าปากพะงาบ เธอคงตาบอดอยู่นานถึงดูไม่ออกว่าเหยียนเค่อเป็นใคร
ตอนที่ 294 ถอยหนึ่งก้าว
ฉินซื่อหลานขับรถเข้ามา มองผ่านกระจกมองหลังก็เห็นป้ายทะเบียนรถที่โดดเด่นนั่นแล้วหันกลับมา เหยียนเค่อเกินเยียวยาแล้วจริงๆ
“นี่เป็นรถที่ฉันซื้อมาใหม่ เธอเป็นคนแรกเลยนะที่ได้นั่งที่นั่งข้างคนขับ” ฉินซื่อหลานเอามือเท้าศีรษะแล้วหันมามองซย่าเสี่ยวมั่ว
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่รู้ว่ามันมีความหมายพิเศษอะไร จึงทำท่าจะเปิดประตูลงไปอย่างไม่เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ “งั้นฉันไปนั่งเบาะหลังแล้วกัน”
ฉินซื่อหลานหมดคำพูด ล็อกประตูรถก่อนจะเอ่ยเตือน “คาดเข็มขัดให้ดี จะไปแล้ว”
“อ้อ” ซย่าเสี่ยวมั่วยักไหล่แล้วดึงเข็มขัดมาคาด
เหยียนเค่อเห็นรถคันข้างหน้าขับไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับบ้านของซย่าเสี่ยวมั่วก็แอบด่าในใจ ไม่น่าฝากซย่าเสี่ยวมั่วไว้กับฉินซื่อหลานเลย ตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าทั้งคู่กำลังจะไปที่ไหนกัน
“เธอไม่เข้ากับฉันจริงๆ ด้วย” ฉินซื่อหลานพูดถึงหัวข้อสนทนาเดิม “คนขี้อวดอย่างเหยียนเค่อสิถึงจะเข้ากับเธอหน่อย”
ซย่าเสี่ยวมั่วหัวเราะแล้วส่ายหัว “ไม่หรอก การที่คนสองคนจะคบกันนั้น ไม่มีฝ่ายไหนที่เข้าหาก่อนได้ตลอดหรอก ต้องได้รับความร่วมมือจากอีกฝ่ายด้วย ทั้งสองคนถึงจะเข้ากันได้ ก็เหมือนกับที่นายพูดเมื่อกี้ ฉันรู้ว่าหมายความว่าอะไร แต่ฉันไม่อยากตอบนาย ดังนั้นนายก็เลยรู้สึกว่าเราสองคนเข้ากันไม่ได้”
ฉินซื่อหลานตามองถนน ก่อนจะเหลือบมองเธอปราดหนึ่ง “เธอพูดถูก แล้ว…บ้านเธออยู่ไหนเหรอ”
ซย่าเสี่ยวมั่วโดนเขาเปลี่ยนเรื่องกะทันหันจนแทบมึน “หืม?”
“จะให้ฉันไปส่งที่ไหน” ฉินซื่อหลานลืมไปตั้งนานแล้วว่าบ้านเธออยู่ที่ไหน
ซย่าเสี่ยวมั่วเปิดแอปแผนที่ ก่อนจะเลื่อนไปตรงหน้าเขา “นี่”
ฉินซื่อหลานมองปราดหนึ่ง ก่อนจะหมุนพวงมาลัยยูเทิร์นกลับ “แล้วตั้งนานทำไมไม่พูด ทางเมื่อกี้มันคนละทางกับบ้านเธอเลย”
“ฉันก็จำทางไม่ได้เหมือนกัน” ซย่าเสี่ยวมั่วยอมรับผิดอย่างใจฝ่อ “ฉันก็นึกว่านายรู้ว่าบ้านฉันอยู่ไหน”
เหยียนเค่อครุ่นคิดอยู่ในใจหลากหลายเรื่อง เห็นว่าฉินซื่อหลานขับรถพาซย่าเสี่ยวมั่วออกไปแล้วจึงตรงกลับบ้าน
คนขับรถเองก็สังเกตได้ว่าเจ้านายที่นั่งอยู่เบาะหลังอารมณ์ไม่ดี จึงเร่งความเร็วขึ้นกว่าเดิม รีบไปส่งเขาที่บ้านตนจะได้เลิกงานสักที เขายังมีเมียมีลูกต้องคอยดูแลอยู่
รถของเหยียนเค่อกับรถของเหยียนเฟิงออกันอยู่ตรงประตูหน้าบ้านพอดี
เหยียนเค่อสังเกตได้ว่ารถหยุดลง จึงเงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือ แล้วถามด้วยอารมณ์ขุ่น “เป็นอะไรไป”
“ข้างหน้าคือรถของพี่ชายท่านน่ะครับ” คนขับรถไม่เข้าใจ ทำไมรถของคุณชายใหญ่ต้องขับแซงขึ้นไปก่อนด้วย
ความจริงแล้วรถของเหยียนเค่อขับมาถึงประตูหน้าบ้านก่อน แต่เหยียนเฟิงก็ยังจะให้คนขับรถขับแซงขึ้นไป ทำให้รถสองคันออกันอยู่ตรงหน้าประตู
“ประธานเหยียนครับ คราวนี้จะทำยังไงดีครับ” คนขับรถเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เหยียนเฟิงมองรถคันตรงข้ามก่อนจะนั่งลูบคางเงียบๆ แล้วจึงเอ่ยออกมาเพียงหนึ่งคำ “รอ”
เหยียนเค่อมองจากกระจกหน้ารถ เก็บของตนก่อนจะสั่ง “ฉันลงรถตรงนี้แหละ คุณกลับรถแล้วก็กลับบ้านได้เลย”
“ครับ” คนขับรถตอบรับอย่างซาบซึ้งในบุญคุณ คนที่เมื่อเกิดเรื่องแล้วต้องให้ลูกน้องออกหน้าก่อนเสมอนั้น ตอนนี้เจ้านายของพวกเขาเริ่มมีมนุษยธรรมขึ้นบ้างแล้ว
เหยียนเฟิงมองดูสถานการณ์ของรถคันตรงข้ามอย่างนึกรำคาญ ผ่านไปเนิ่นนานจึงเห็นเหยียนเค่อเดินลงจากที่นั่งหลังรถแล้วก้าวเดินมาทางนี้ผ่านกระจกรถที่ติดฟิล์มสีชา
เหยียนเฟิงนั่งวางมาดรอให้เหยียนเค่อเข้ามาหา แต่กลับเห็นเขาเดินไปยังหน้ารถของตน ก่อนจะเลี้ยวขวาตรงเข้าบ้าน
ในมือหิ้วกระเป๋าเอกสาร แผ่นหลังที่ค่อนข้างผอมแต่ดูดีค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา
รถคันตรงข้ามไม่ได้ขับเข้ามา แต่หักเลี้ยวรถขับออกไปแทน เหยียนเฟิงกำหมัดแน่น ถึงนายถอยให้หนึ่งก้าวฉันก็ยังเอาชนะไม่ได้เหมือนเดิม นี่คือสิ่งที่นายจะสื่อใช่ไหม น้องชายสุดที่รักของฉัน
เหยียนเค่อเดินกลับไปอย่างสบายๆ ต้องบอกว่าประตูรั้วหน้าบ้านอยู่ไกลจากประตูบ้านเกินไปจริงๆ ในอนาคตบ้านที่เขาจะอยู่หลังแต่งงานต้องไม่ใหญ่โตขนาดนี้ รู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย
ตอนที่ 295 แนวคิดที่แตกต่าง
ตอนที่แม่บ้านบอกว่าคุณชายรองกลับมาแล้ว คุณแม่เหยียนก็อยากจะพุ่งตัวออกจากบ้านเสียเดี๋ยวนั้น แต่ถูกคุณพ่อเหยียนรั้งไว้เสียก่อน
“เป็นอะไรของคุณ นั่งรออยู่นี่แหละ”
คุณแม่เหยียนเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง ก่อนจะจัดเผ้าผมเสื้อผ้า นั่งหลังตรงอยู่บนโซฟาเพื่อรอลูกชายคนเล็กของตน
ตอนที่เหยียนเค่อเข้ามาในบ้าน เหยียนเฟิงยังเอารถไปจอดในโรงรถอยู่เลย
การที่คนสองคนเผชิญกับปัญหาแล้วเลือกวิธีการแก้ไขที่แตกต่างกันนั้น สามารถตัดสินการพัฒนาในอนาคตอันแตกต่างของพวกเขาได้
“พ่อครับแม่ครับ” เหยียนเค่อทักทายทั้งสองคนที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกก่อนจะตั้งท่าวิ่งขึ้นห้อง
“เก่งนักใช่ไหม ต่างประเทศบ้านไหนไปเช้ากลับเย็นน่ะหา” ไม้เท้าในมือของคุณพ่อเหยียนขยับเคลื่อนไหว
“ผมขอไปเปลี่ยนชุดก่อนแล้วจะลงมานะครับ” เหยียนเค่อเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังกระถางดอกไม้ ยกกระเป๋าในมือขึ้นแล้ววิ่งขึ้นบันได
“เหอะ” แน่นอนว่าคุณพ่อเหยียนมองเห็นบาดแผลบนใบหน้าของเขา จึงเอ่ยเสียดสี “ขนาดไปตีกับเขายังโดนต่อยหน้ามาเลย น่าขายหน้าจริงๆ”
ตอนเด็กๆ เวลาเหยียนเค่อเกิดทะเลาะวิวาทจะปกป้องใบหน้าของตนเป็นอย่างดี แล้วก็ต่อยตีคนอื่นจนสภาพเหมือนหมา ก่อนที่ตัวเองจะเป็นภูมิแพ้ซะเอง นี่เป็นครั้งแรกที่บาดเจ็บที่ใบหน้า แถมยังเป็นการบาดเจ็บที่โดนโทรศัพท์กระแทกใส่หน้าอีกต่างหาก
เขาลูบหางคิ้วของตนแล้วเบ้ปาก ทำตัวเองเจ็บเองก็ดีกว่าโดนคนอื่นต่อยมาแล้วกัน
คุณแม่เหยียนลอบมองตามลูกชายไป เห็นเขาบาดเจ็บที่หน้าก็รู้สึกสงสารสุดใจ ก่อนจะเริ่มเป็นห่วงอาการเจ็บของหลี่หมิงฉวี ทำให้หน้าของลูกชายเป็นแบบนี้ เหยียนเค่อต้องเล่นงานเขาถึงตายแน่นอน
เหยียนเค่อนึกไปถึงชุดอยู่บ้านที่ตนกับซย่าเสี่ยวมั่วดันใส่คู่กันเมื่อคราวก่อน แล้วจึงหยิบมันออกมาจากกระเป๋าเดินทาง
คนยังเป็นคนเดิม เสื้อผ้าก็ยังเป็นเสื้อผ้าตัวเดิม เพียงแต่สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป อารมณ์ของคนก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย
เขาเดินลงมาจากชั้นบนก็ได้ยินเสียงพูดคุยของเหยียนเฟิงกับคุณพ่อเหยียน
“พี่” เหยียนเค่อทักทายคนที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกด้าน ก่อนจะนั่งลงห่างจากพวกเขาตรงริมสุดของโซฟา
“แกจะไปนั่งไกลขนาดนั้นทำไม รู้ว่าตัวเองทำผิดก็เลยจะหลบหรือไง” คุณพ่อเหยียนเหลือบตามองเขา
เหยียนเค่อเหยียดขายาวๆ นั่นออกแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “โซฟาใหญ่เกินไปต่างหากล่ะครับ ผมไม่มีอะไรต้องหลบสักหน่อย”
“แกไม่มีอะไรต้องหลบงั้นเหรอ แกรู้ไหมฉันขายหน้าเพราะแกจะแย่อยู่แล้ว”
“ผมไม่คิดว่าเรื่องของเรามันจะเกี่ยวอะไรกันนะครับ” เหยียนเค่อไม่เข้าใจในคำพูดของเขา “ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตอนนี้พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ไม่ต้องมารับโทษด้วยlสักหน่อย ต่อให้ผมทำผิดก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพ่อกับแม่เลย แต่นี่ผมก็ไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย”
“แกไม่ได้ทำผิดอะไรเลยงั้นเหรอ” คุณพ่อเหยียนโมโหจนหอบหายใจหนัก “แกยังกล้ามีหน้ามาบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไรอีกเหรอ”
เหยียนเค่อรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องพูดแบบนี้ต่อไป “ผมเป็นลูกชายของพ่อกับแม่ ผมกลับมาบ้านก็เพื่อแสดงความกตัญญูไม่ใช่เพื่อมาพูดเรื่องในชีวิตของผมที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพ่อแม่เลย เราทุกคนต่างก็มีวิธีการใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง อย่าบีบบังคับให้ผมต้องรับความรู้สึกนึกคิดของพ่อกับแม่เลย”
“ผมเหนื่อยแล้ว มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้นะครับ” เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินจากไป เมินเฉยต่อเสียงคำรามของคุณพ่อเหยียนที่ดังขึ้นไล่หลัง
การที่สมาชิกในครอบครัวมารวมตัวกัน พูดคุยสารทุกข์สุกดิบธรรมดาทั่วไป เอาใจใส่ซึ่งกันและกันแต่ไม่ล้ำเส้นกันแบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ
มีบางเรื่องที่เขาจัดการได้ด้วยตัวเองแล้ว มีบางเรื่องที่ต่อให้เป็นครอบครัวเดียวกันเขาก็ไม่สามารถบอกได้ หรือว่าจะต้องต่างคนต่างไม่ชอบหน้ากันแบบนี้งั้นเหรอ
เขานอนหงายอยู่บนเตียงมองเพดานที่ขาวสะอาดไร้ซึ่งคราบสกปรก การจ้องอะไรนานๆ ทำให้ดวงตาของเขาแห้งและเริ่มมีน้ำมาหล่อเลี้ยง
ตัวเขาในวัยสิบหกอาจจะคิดถึงบ้าน แต่ตัวเขาในวัยยี่สิบแปดหาสิ่งที่เรียกว่าบ้านไม่เจอแล้ว สถานที่ที่มีแต่พ่อกับแม่เช่นนี้สำหรับเขาแล้วไม่ถือว่าเป็นบ้าน เขาไม่ได้รู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวและความผ่อนคลายเมื่อได้กลับบ้านเลย ที่นี่ก็มีการคิดร้ายและการวางแผนเช่นกัน เพียงแต่อยู่ในชื่อเรียกว่า ‘ที่ทำไปก็เพื่อลูก’ เท่านั้น
ตอนที่ 296 ไม่อยากสนใจนาย
ฟ้าค่อยๆ มืดลง กิ่งก้านของต้นมะเดื่อด้านนอกราวกับดาบเล่มคมที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความมืด สายลมฤดูใบไม้ร่วงอันหนาวเหน็บพัดผ่านแต่ก็ยังคงความเงียบสงัดเอาไว้ได้
เหยียนเค่อวาดแขนออกไปโดนโทรศัพท์ที่เขาโยนไว้อีกด้านพอดี จึงคว้ามาเปิดเวยปั๋วโดยไม่รู้ตัว
มีโพสต์ใหม่ของซย่าเสี่ยวมั่วจริงๆ เสียด้วย เธอยังหยอกล้อกับผู้อ่านในแถบคอมเมนต์อยู่ ท่าทางจะว่างอยู่จริงๆ เหยียนเค่อเลื่อนลงไปด้านล่าง ตอนนี้ซย่าเสี่ยวมั่วคงจะกำลังเบื่อๆ อยู่ ตอบไปกี่คอมเมนต์แล้วก็ไม่รู้
ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังเบื่ออยู่จริงๆ เพราะตอนแรกฉินซื่อหลานขับรถไปทางตรงกันข้ามกับบ้านของเธอ ดังนั้นเขาจึงไปซูเปอร์ฯ กับเธอเพื่อซื้อของก่อนค่อยกลับเข้าบ้าน เธอคนเดียวทำอาหารมื้อใหญ่ ตอนกินจึงจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เรียกรั้งให้ฉินซื่อหลานอยู่กินข้าวด้วย ทำให้เหลือกับข้าวมากมายหลายจาน
[อาจารย์คะ สปอยล์หน่อยได้ไหมว่าตัวละครสองตัวในการ์ตูนแยกกันแล้วจะกลับมาเจอกันอีกได้ยังไง] มีนักอ่านคนหนึ่งอยากได้สปอยล์
[ไม่ได้ค่ะ] ซย่าเสี่ยวมั่วตอบอย่างเฉียบขาดด้วยเหตุผลโง่ๆ [เวลาผ่านไปนานแล้ว ฉันก็ลืมแล้วเหมือนกันว่าจะกลับมาเจอกันได้ยังไง พวกเธอรอแอคออฟฟิเชียลอัพแล้วกันนะ]
ซย่าเสี่ยวมั่วพูดความจริง ตอนนี้เธอวาดต้นฉบับเก็บไว้เยอะมาก ต้องรอให้เธอสามารถลืมเรื่องของเมื่อหลายวันก่อนแล้วจึงจะเริ่มวาดต้นฉบับใหม่ได้ ดังนั้นเรื่องราวก่อนหน้านี้ก็ลืมไปเกือบหมดแล้ว
เธอเลื่อนลงไปด้านล่างก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนที่ผิดแผกออกไปดังขึ้น [ตอนนี้เธออยู่ไหน]
ซย่าเสี่ยวมั่วมองชื่อภาษาอังกฤษอันคุ้นเคยแล้วขมวดคิ้ว ก่อนจะพิมพ์ตอบ [อยู่บ้าน]
ต้องอย่างนี้สิ…เหยียนเค่อจิตใจสงบลงไม่น้อย [เขาไปส่งเธอที่ไหนล่ะ]
[บ้านฉันไง] ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าเขาช่างจู้จี้จุกจิก จึงพูดอธิบายออกไปอย่างชัดเจน [ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าบ้านฉันอยู่ไหนก็เลยไปส่งผิดทาง ตอนหลังก็เลยพาฉันมาส่งที่บ้าน]
เหยียนเค่อโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เขาประเมินสติปัญญาของฉินซื่อหลานสูงเกินไป
ฉินซื่อหลานที่กะว่าจะโต้รุ่งเขียนวิทยานิพนธ์จามหนึ่งที แล้วไปต้มสมุนไพรป่านหลานเกินให้ตัวเองเงียบๆ
[โง่ทั้งคู่] มุมปากของเหยียนเค่อยกยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ซย่าเสี่ยวมั่วจิ้มแป้นพิมพ์อย่างเคืองขุ่น [คนโง่คนนี้ไม่อยากคุยกับนาย]
เธอไม่ใช่คนแค้นฝังหุ่น…ไม่ เธอเป็นคนแค้นฝังหุ่น ทั้งๆ ที่เกิดเรื่องขึ้นมากมาย แต่ทำไมเหยียนเค่อถึงยังหยอกล้อเล่นกับเธอได้อยู่ราวกับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ วันนี้เหยียนเค่อเมินเธอก่อน แล้วทำไมเธอต้องสนใจเขาด้วยล่ะ
เหยียนเค่อเห็นข้อความตอบกลับนั้นแล้วก็รู้สึกหมดแรง ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ใช่คนที่แค่มีเรื่องเพียงเล็กน้อยก็ต้องเอาคืน แต่เธอจะไม่ปล่อยโอกาสที่จะแก้แค้นใดๆ หลุดมือไปเด็ดขาด
[อย่าโมโหน่า]
[ฉันไม่ได้โมโห ฉันไม่อยากคุยกับนาย] ซย่าเสี่ยวมั่วหยิบตะเกียบขึ้นโดยไม่รู้ตัว กินข้าวไปพลางจ้องหน้าจอโทรศัพท์เพื่อตอบข้อความ
[เธอไปเยี่ยมแฟนเก่าแล้วต้องให้ฉันมาสนใจเธออีกเหรอ เธอนี่เรื่องมากชะมัด] เหยียนเค่อคิดๆ แล้วก็อารมณ์ขึ้น
ซย่าเสี่ยวมั่วเหยียดยิ้ม [ถ้างั้นนายก็ไม่ต้องสนใจฉันต่อไปสิ ตอนนี้ฉันก็ไม่ได้ขอให้นายมาสนใจฉันสักหน่อย]
เหยียนเค่อยอมแพ้ [ราตรีสวัสดิ์ นอนละ]
ซย่าเสี่ยวมั่วดูเวลา ก่อนจะตอบกลับเป็นมารยาทแล้วเลื่อนดูคอมเมนต์ของตนต่อ
เหยียนเค่อมองดูคำว่า ‘ไสหัวไป’ ที่เธอพิมพ์ตอบกลับมาก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไงหา กล้าดียังไง
เขาวางโทรศัพท์ไว้อีกด้านหนึ่งก่อนจะหลับตาลง คืนนี้เขายังมีการประชุมวิดีโอกับผู้รับผิดชอบในแต่ละเขตอีก ในกระเป๋ายังมีเอกสารการประมูลที่ยังอ่านไม่จบวางอยู่ในนั้น ไม่รู้ว่าคืนนี้จะได้นอนหรือเปล่า
แล้วก็คิดไปถึงตอนที่อยู่โต้รุ่งกับซย่าเสี่ยวมั่วตอนที่อยู่ด้วยกัน แถมวันต่อมาเธอก็ยังตื่นขึ้นมาทำอาหารให้ถึงแม้จะยังง่วงงุน ความรู้สึกอันอบอุ่นนั้นทำให้ยามเช้าอันเย็นเยียบของฤดูใบไม้ร่วงนั้นเจือด้วยบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น