วาสนาบันดาลรัก 286-292

ตอนที่ 286 พระราชนัดดาได้รับบาดเจ็บ

 

เจินเมี่ยวเดินเข้าไปในลานบริเวณเรือนตนก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง


 


 


เรือนชิงเฟิงนั้นเป็นสถานที่พักของคุณชายผู้สืบทอดของจวนเจิ้นกั๋วกงมาแต่ไหนแต่ไร แม้นมิได้ตั้งอยู่ใจกลางจวนแต่ก็กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ภายในเรือนนั้นมีกระทั่งห้องฝึกยุทธ์


 


 


แต่เพราะเจ้านายนั้นมีเพียงหลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยว แรกเริ่มนั้นเป็นเพราะเกิดเรื่องที่เจินเมี่ยวตกจากชิงช้าทำให้ไล่คนออกไปกลุ่มหนึ่ง ส่วนที่เอาเข้ามาทดแทนนั้นกลับมีจำนวนน้อยลง ทุกวันในเรือนชิงเฟิงนั้นจึงค่อนข้างเงียบสงบ


 


 


ความครึกครื้นในระยะนี้คือการที่จิ่นเหยียนนกเอี้ยงตัวนั้นคอยบินจิกกัดวิวาทกันกับไป๋เสวี่ยแมวขาวซึ่งมันได้กลายเป็นทัศนียภาพหนึ่งของเรือนชิงเฟิงไปแล้ว


 


 


ทว่าวันนี้ที่เดินเข้ามานางก็เห็นว่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณลานนอกเรือนนั้นช่างมากนัก เมื่อมองดูอย่างละเอียดก็พบว่าสาวใช้ของแต่ละเรือนในจวนต่างอยู่ที่นี่


 


 


ไป่หลิงเป็นคนฉลาด นางมองไปโดยรอบคราหนึ่งแล้วส่งสายตาให้สาวใช้ที่กำลังทำความสะอาดอยู่ในเรือนชิงเฟิงคราหนึ่ง


 


 


สาวใช้ผู้นั้นก็รีบเดินเข้ามาแล้วย่อกายคารวะ


 


 


เจินเมี่ยวจึงเอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”


 


 


สาวใช้น้อยเป็นคนของเรือนชิงเฟิงย่อมมิปิดบังเรื่องราวทุกอย่างกับเจินเมี่ยวอย่างแน่นอน นางจึงรีบเอ่ยรายงานเสียงต่ำว่า “บ่าวได้ยินว่าพระราชนัดดาทรงไปเล่นกับไป๋เสวี่ย แต่สุดท้ายกลับถูกมันข่วนเอา ทำให้ทุกคนต่างแตกตื่นตกใจ เดิมฮูหยินผู้เฒ่าคิดจะรับพระราชนัดดาไปพักที่เรือนอี๋อานชั่วคราว แต่พระองค์เอาแต่ร่ำไห้ไม่หยุด บอกว่าหากไปจากที่นี่ เมื่อท่านกลับมาก็จะหาพระองค์ไม่พบจึงทรงยังคงประทับอยู่ที่นี่ ฮูหยินทุกท่านจึงมาที่นี่เพื่อดูแล นอกนั้นบ่าวก็ไม่ทราบแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


สาวใช้ผู้นี้อายุยังไม่มาก แต่กลับพูดจาฉะฉานทั้งยังบอกเล่าเรื่องราวเป็นลำดับขั้นตอนและชัดเจน เมื่อคิดว่านางเป็นเพียงสาวใช้น้อยที่มีหน้าที่ทำความสะอาดเรือนแต่สามารถบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้นั้นก็เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวอดมองนางอยู่หลายครามิได้ เห็นว่านางมีรูปโฉมหมดจด ดวงตาดำขาวตัดกันชัดเจนก็คิดว่านางนั้นเป็นสาวใช้ที่ไม่เลวเลย


 


 


แต่เวลานี้เจินเมี่ยวมิอาจใส่ใจกับอันใดได้มากมายนัก นางรีบก้าวเท้าเข้าไปในเรือนทันที


 


 


ทว่าไป่หลิงผู้ฉลาดมีไหวพริบนั้นเห็นเจินเมี่ยวมองสาวใช้อยู่นี้อยู่บ่อยครั้ง ในใจก็กล่าวว่าพี่จื่อซูกำลังจะออกเรือนแล้ว ถึงเวลาก็คงต้องหาสาวใช้เข้ามาช่วยงานเพิ่ม สาวใช้ผู้นี้นับเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีเลยจึงคิดว่าต่อไปต้องคอยสังเกตนางให้มากขึ้น เพียงแต่เวลานี้ไม่มีเวลาพอจะมาสอบถามรายละเอียดใดๆ ได้แต่รีบเดินตามเจินเมี่ยวเข้าไปในเรือน


 


 


ตอนที่เจินเมี่ยวเดินเข้าประตูไปก็พบเข้ากับหมอหลวงสิงที่ถือกล่องโอสถ ข้างกายมีหมอยาติดตามมาด้วย โดยมีจื่อซูเป็นเดินไปส่ง


 


 


“หมอหลวงสิ พระราชนัดดาเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


หมอหลวงสิงมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง ในใจก็กล่าวว่าฮูหยินของซื่อจื่อนั้นช่างสงวนท่าทีได้ดียิ่ง หากเป็นสตรีอื่น ทราบว่าสัตว์เลี้ยงของตนนำภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่เช่นนี้มาให้คงตกใจจนหน้าถอดสีไปหมดแล้ว


 


 


ท่าทีที่เจินเมี่ยวแสดงออกนั้นได้ว่าสุขุมยิ่ง เพราะนางเลี้ยงไป๋เสวี่ยมาสักระยะหนึ่งแล้ว มันอาบน้ำแปรงขนทำความสะอาดทุกวัน ทั้งมิเคยไปคลุกคลีกับแมวหรือสุนัขตัวอื่น หากบอกว่ามันอาจเป็นโรคอันใดสักอย่างนั้นก็แทบจะไม่มีโอกาสนั้นเลย แต่เด็กเล็กถูกข่วนเข้า หากจัดการไม่ดีเกิดเป็นบาดทะยักก็เป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน แต่มีหมอหลวงสิงอยู่ นางก็วางใจไปได้เปลาะหนึ่งในด้านการรักษา


 


 


“แผลไม่ลึกอันใด ทำแผลเรียบร้อยแล้วขอรับ” เพราะมิได้เป็นอันใดจริงๆ หมอหลวงสิงจึงมิได้พูดอันใดมาก


 


 


เจินเมี่ยวรู้ดีว่าหมอหลวงเหล่าต่างฉลาดมีไหวพริบ การกระทำคำพูดล้วนเป็นกลางเสมอ ไม่มีทางรับปากอันใดให้คนเอาผิดตนเองได้ นางจึงมิถามอันใดอีก โค้งกายให้เล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ลำบากท่านหมอหลวงสิงแล้ว”


 


 


หมอหลวงสิงคารวะนางตอบแล้วขอตัวกลับ


 


 


เจินเมี่ยวเดินเข้าไปในเรือน นางสำรวจภายในห้องคราหนึ่งก็ต้องตกตะลึงไปเล็กน้อย


 


 


คิดไม่ถึงว่านางเถียนที่ล้มป่วยมาสักระยะแล้วนั้นก็อยู่ที่นี่ด้วย ดูจากสีหน้าแล้วน่าจะเกือบหายดีแล้ว


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่ตรงกลาง ความจริงก็ได้ยินคำสนทนาของเจินเมี่ยวกับหมอหลวงสิงแล้ว แม้นเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจนทำให้นางวุ่นวายใจแต่ก็ยังรู้สึกพอใจในท่าทีของเจินเมี่ยวอยู่ในใจลึกๆ


 


 


ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดนั้นจักต้องเป็นนายหญิงของจวนกั๋วกงในภายหน้า ความสุขุมรอบคอบนั้นมิอาจขาดได้ ปกติเห็นหลานสะใภ้ไร้เดียงสามิใคร่รู้รอบ แต่เมื่อต้องเผชิญกับปัญหา กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีดั่งว่าแม้นหุบเขาไท่ซานพังทลายลงมาต่อหน้าก็ไม่สะทกสะท้านใดๆ จุดนี้เองเป็นข้อดีที่ยากนักจะพบเห็นได้โดยง่าย


 


 


มิต้องพูดถึงผู้อื่น แค่ตัวนางเอง เมื่อได้ยินว่าพระราชนัดดาถูกแมวที่เรือนชิงเฟิงเลี้ยงไว้ข่วนก็ใจหายวาบขึ้นมาคราหนึ่ง


 


 


แม้แต่นางซ่ง สะใภ้คนที่สามของนางที่เป็นคนสำรวมกิริยาไว้ด้วยดีเสมอได้ฟังข่าวก็ถึงกับทำถ้วยชาหกขณะกำลังรายงานเรื่องในจวนต่อตน


 


 


องค์รัชทายาททรงไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว องค์ชายรองกลายเป็นคนพิการ องค์ชายสามมิใช่จักต้องเป็นผู้ครอบครองตำแหน่งนั้นหรอกหรือ และพระองค์ก็มีบุตรชายแค่เพียงคนเดียว ยิ่งมิต้องพูดถึงการแย่งชิงตำแหน่งขององค์ชายเลย เดิมนั้นการมีบุตรจากอนุบ้างก็ดีกว่าการมีบุตรเพียงคนเดียวอยู่แล้ว ราชวงศ์มีผู้สืบทอดต่อไป อนาคตจึงจะไม่เกิดความวุ่นวายขึ้น


 


 


เรื่องนี้มิใช่การพูดจาส่งเดช ลองคิดดูว่าหากองค์ชายที่ไร้บุตรสืบสกุลขึ้นครองบัลลังก์ แล้วไม่อาจมีบุตรชายได้อีก แผ่นดินนี้ในภายภาคหน้าจะยังสงบสุขได้อีกหรือ?


 


 


แล้วพระราชนัดดาจะมีความสำคัญเพียงใดนั้นแค่คิดก็ทราบได้ทันที


 


 


แม้นจวนเจิ้นกั๋วกงจะเป็นตระกูลสูงศักดิ์แต่อย่างไรก็เป็นเพียงขุนนาง ต่อให้องค์ชายสามจะมิเอาความในตอนนี้ก็มิอาจรับประกันได้ว่าหลังวสันต์นี้ผ่านไปแล้วจะมิกลับมาคิดบัญชี


 


 


ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยอารมณ์อันหนักอึ้งมาตลอด


 


 


ตอนอยู่ในวัยสาวนั้นนางเป็นคนร่าเริงแจ่มใส ไม่เคยไปขบคิดเรื่องพวกนี้สักเท่าใด ทว่าตั้งแต่เกิดความเปลี่ยนแปลงในจวนติดต่อกันมาเรื่อยๆ นางก็มิอาจทำตัวตามใจตนได้อีกต่อไป


 


 


ตอนนั้นสะใภ้ใหญ่ของนางตายอย่างมีเงื่อนงำ ส่วนบุตรชายคนโตนั้นตายในสนามรบ ทว่าผ่านไปหลายปีเหล่ากั๋วกงกลับแอบบอกกับนางว่าทหารคนสนิทที่ยังไม่ตายนั้นเห็นกับตาว่าธนูที่ยิงเข้าใส่บุตรชายคนโตตนนั้นมาจากฝั่งของตนเอง


 


 


นางได้ฟังก็ตกใจระคนโกรธกรุ่นจึงเร่งให้เหล่ากั๋วกงสืบเรื่องนี้อย่างละเอียดแต่คิดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่นาน จวนกั๋วกงก็ต้องพบกับเรื่องเลวร้ายขึ้นอีก เพราะเหล่ากั๋วกงที่ขี่ม้ามาทั้งชีวิตตกจากหลังม้าจนสติเลอะเลือน เจ้าสี่สืบเรื่องราวนี้ในเวลาต่อมาและก็มิกลับจวนมาอีกเลย


 


 


ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมานางก็รู้ว่าสระน้ำแห่งนี้ลึกจนมิอาจคาดเดา นางเฝ้ามองลูกหลานในจวนแล้วก็จำต้องกล้ำกลืนเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้ในใจเงียบๆ จวนกั๋วกงมิอาจต้านรับกับพายุฝนใดๆ ได้อีกแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวคารวะผู้อาวุโสภายในห้อง ครั้นถึงคราต้องคารวะนางเถียนนางก็พูดเสริมอีกว่า “สีหน้าอาสะใภ้รองดูไม่เลวเลยนะเจ้าคะ”


 


 


“ข้าพักผ่อนมาหลายวัน อาการดีขึ้นมากจนเกือบหายดีแล้ว” นางเถียนยิ้มน้อยๆ แล้วขมวดคิ้วขึ้นมาอีก “แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเรือนชิงเฟิงจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้ามิอาจวางใจได้จึงมาดูสักหน่อย”


 


 


มุมปากของนางเถียนขยับยกขึ้น ครั้นกล่าวจบแล้วก็นึกได้ว่ามิใคร่เหมาะสมนักจึงพยายามกดข่มท่าทีตนไว้อย่างที่สุด แต่ในใจนั้นกลับเบิกบานอย่างหาที่สุดมิได้


 


 


นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลายวันนี้ที่นางพักรักษาตัวอย่างโศกเศร้าเดียวดาย ครั้นเงยหน้าขึ้นได้กลับได้รับข่าวดีเช่นนี้


 


 


พระราชนัดดาบาดเจ็บในขณะที่พำนักอยู่เรือนชิงเฟิง มิต้องกล่าวถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจักต้องไม่พอใจ แต่หากล่วงเกินองค์ชายสามเข้า ผู้ใดก็มิอาจแบกรับได้


 


 


และที่น่ายินดียิ่งคือนางได้ยินมานานแล้วว่า แมวขาวตัวนั้นเป็นสิ่งที่ต้าหลังมอบให้นางเจิน


 


 


หึๆ จะจัดการกับแมวตัวนั้นเช่นไรต่างหากจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง


 


 


ในความคิดของนางเถียนนั้น จะมีผู้ใดกล้าปกป้องสัตว์เดรัจฉานที่ก่อเรื่องร้ายแรงเช่นนี้เล่า เจ้าแมวขาวนั้นจักต้องถูกตีจนตายแล้วส่งไปที่ตำหนักองค์ชายสามแน่ แต่เพราะนั้นเป็นของที่ต้าหลังมอบให้นาง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วไม่เพียงเป็นการทำลายเกียรติของต้าหลัง แต่เกรงว่านางเจินยังอาจก่นด่าต้าหลังยุ่งไม่เข้าเรื่องด้วยการส่งแมวตัวนี้มาให้นาง พวกเขาจักต้องมีปากเสียกัน ความรักระหว่างสามีภรรยาจืดจางลงนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุด


 


 


เมื่อผ่านเรื่องการมีสาวใช้ทงฝังทั้งสองของนายท่านรองมานางเถียนก็เข้าใจดีอย่างที่สุดว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยานั้นไม่ว่าจะใช้ชีวิตด้วยความเคารพกันดุจทหารมานานกี่ปี แต่ขอเพียงมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่งก็จะค่อยๆ ห่างเหินกันไป มิอาจกลับมาเป็นเช่นเมื่อแรกเริ่มได้


 


 


ดังนั้นเมื่อได้รับข่าวใหญ่เช่นนี้ อาการป่วยของนางเถียนก็หายไปถึงห้าในแปดส่วน เพราะอยากเห็นเรื่องสนุกนางจึงรีบแต่งกายอย่างรวดเร็วแล้วรุดมาทันที


 


 


เพราะการสนทนานี้ของคนทั้งสองทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองนางเถียนคราหนึ่ง เมื่อเห็นว่าสีหน้าดูดีขึ้นทั้งยังแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อยคล้ายได้พบเจอเรื่องน่ายินดีอันใดกระนั้นก็อดขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมามิได้


 


 


เดิมคิดว่านางเถียนรุดมาที่นี่เพราะเป็นห่วงต้าหลังและภรรยา ทว่าเมื่อมองดูยามนี้แล้ว มิทราบเหตุใดกลับรู้สึกว่านางกำลังเบิกบานดีใจอยู่อย่างไรอย่างนั้น


 


 


อารมณ์ของคนนั้นแม้นอยากจะปิดบังไว้อย่างไรก็มิอาจปิดมิด ก่อนหน้านี้ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังกังวลใจอยู่ เมื่อสะใภ้ทั้งหลายมาที่นี่ นางก็มิได้ใส่ใจนางเถียนเท่านัก แต่เมื่อเจินเมี่ยวเอ่ยขึ้นเช่นนี้ก็พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องขึ้นมา สายตาที่มองนางเถียนจึงเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที


 


 


นางเถียนที่กำลังรู้สึกภาคภูมิใจอยู่นั้นพลันรู้สึกได้ว่าสายตาที่ฮูหยินผู้เฒ่ามองตนนั้นแปลกไป หัวใจก็สะดุดวูบขึ้นมาคราหนึ่ง แต่แค่เพียงกลอกตาคราหนึ่งก็รีบหวนนึกถึงเรื่องที่นายท่านรองกระทำให้นางต้องเจ็บปวดหัวใจ ความเสียใจเหล่านั้นพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าทำให้นางดูมีท่าทีเศร้าสร้อยขึ้นมาหลายส่วน


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้ละสายตากลับแล้วหันไปมองเจินเมี่ยว


 


 


“ท่านย่า หลานสะใภ้ขอไปดูพระราชนัดดาก่อนเจ้าค่ะ”


 


 


“อืม” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า


 


 


เจินเมี่ยวไปที่ห้องหน่วนเก๋อ แม่นมหนิวและบ่าวไพร่จากตำหนักองค์ชายสามต่างอยู่ที่นั่นกันหมด ไป๋เสาเองก็ยืนอยู่ในมุมหนึ่งของห้องเช่นกัน แต่อาหลวนกลับกำลังหลอกล่อให้พระราชนัดดาดื่มโอสถ


 


 


สาวใช้หลายคนจากตำหนักองค์ชายต่างมองอาหลวนด้วยสายตาริษยาอาฆาตดั่งเป็นมีดคมกริบเล่มหนึ่งที่หวังจะจ้วงแทงให้อาหลวนพรุนเป็นชะลอมจึงจะสามารถคลายความแค้นนี้ลงได้


 


 


ตั้งแต่พระราชนัดดาเกิดมา ผู้ที่พระองค์ใกล้ชิดมากที่สุดก็คือพระชายา สำหรับสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอย่างพวกนางนั้น แม้นมิได้ชิดใกล้อย่างที่พระราชนัดดาพระองค์อื่นมีต่อบ่าวไพร่ของตนแต่อย่างไรก็ย่อมต้องมีข้อแตกต่าง


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อพระชายาจากไป พระราชนัดดาไม่เพียงคิดว่าฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นพระมารดาตน แม้แต่สาวใช้สมควรตายที่ชื่ออาหลวนผู้ติดตามก็ทรงให้ความชิดใกล้มากกว่าพวกนางอย่างมาก


 


 


มิเห็นหรือว่าพระราชนัดดาถูกแมวข่วนแล้วกลับไม่ยอมให้พวกนางเข้าใกล้ แต่อาหลวนกลับยังคอยอยู่ข้างกายทั้งยังคอยเตือนให้ทรงดื่มโอสถอีก


 


 


สาวใช้ทั้งหลายมองสบตากัน ทุกคนต่างเข้าใจความในใจของกันและกันอย่างชัดเจน


 


 


ฐานะของฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดนั้น พวกนางไม่กลัวว่าจะมีผลกระทบใดต่อตนในภายภาคหน้า แต่อาหลวนไม่เหมือนกัน หากพระราชนัดดากลับตำหนักแล้วอยากให้อาหลวนไปคอยปรนนิบัติ จวนกั๋วกงจักต้องเก็บสาวใช้ผู้นี้ไว้ให้ได้อย่างนั้นหรือ?


 


 


ถึงตอนนั้นพวกนางไหนเลยจะมีที่ยืนได้อีก!


 


 


เมื่อได้ยินเสียงจิ่งเกอก็หันไปมอง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นยินดีทันที “ท่านแม่ ท่านกลับมาแล้ว!”


 


 


พูดพลางยายามดิ้นรนลงจากเตียงแต่ถูกอาหลวนขวางไว้ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “พระราชนัดดา ทรงนั่งเฉยๆ เถิด มิเช่นนั้นต้าไหน่ไหน่ของเราคงเป็นห่วงกว่าเดิมเป็นแน่เจ้าค่ะ”


 


 


คิดไม่ถึงว่าจิ่งเกอกลับเชื่อวาจาของอาหลวน เขานั่งนิ่งไม่ขยับเพียงจ้องมองเจินเมี่ยวตาละห้อย


 


 


เจินเมี่ยวรีบเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงด้านข้าง สำรวจมือที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลแล้วเอ่ยถามว่า “เจ็บหรือไม่?”


 


 


จิ่งเกอยิ้มหวาน “ตอนแรกเจ็บแต่เห็นท่านแม่แล้วก็ไม่เจ็บแล้ว”


 


 


เจินเมี่ยวยกมุมปากขึ้นคราหนึ่ง เด็กน้อยผู้นี้หากเติบใหญ่ขึ้นคงเอาใจสตรีเก่งไม่น้อย เสน่ห์คงล้นเหลือเป็นแน่ มิเห็นหรือว่าตอนนี้แม้แต่นางยังมิกล้าแก้คำว่า ‘ท่านแม่’ ของเขาแล้ว


 


 


คิดไม่ถึงว่าจิ่งเกอนั้นกลับฉลาดมีไหวพริบกว่าที่นางคิดไว้มาก เมื่อเห็นเจินเมี่ยวเงียบไม่เอ่ยสิ่งใดไปครู่หนึ่ง เขาก็รีบแก้ว่า “ท่านอา ท่านเป่าแผลให้จิ่งเกอหน่อยเถิด”


 


 


แม่นมหนิวทนดูต่อไปไม่ได้จริงๆ จึงไอขึ้นเสียงหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เซี่ยนจู่ โปรดอนุญาตให้บ่าวพูดอันใดสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 


ตอนที่ 287 อานจวิ้นอ๋อง

 

“แม่นมหนิวจะพูดอันใดหรือ?” เจินเมี่ยวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า


 


 


แม่นมหนิวกลับยิ่งไม่พอใจ นางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “พระราชนัดดาทรงสูงศักดิ์ยิ่ง พวกเราดูแลไม่ครบถ้วนจนพระองค์ถูกแมวข่วน บ่าวมิกล้าปิดบังว่าได้ส่งคนกลับไปตำหนักเพื่อรายงานเรื่องนี้ต่อองค์ชายสามแล้ว หวังว่าถึงตอนนั้นเซี่ยนจู่จะช่วยขอร้องให้องค์ชายไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


วาจานี้ของแม่นมหนิวนั้นเห็นชัดว่าเป็นคำขอร้อง แต่ความจริงคือเจตนาทำให้เจินเมี่ยวกลัดกลุ้ม


 


 


พระราชนัดดาพำนักอยู่ที่เรือนชิงเฟิง ต่อมากลับถูกแมวที่เรือนชิงเฟิงเลี้ยงไว้ข่วน แม่นมหนิวและบ่าวไพร่คนอื่นๆ ย่อมต้องถูกตำหนิ แต่จะว่าไปแล้วผู้ที่ควรจะถูกลงโทษยิ่งกว่าพวกนางก็คือคนในเรือนชิงเฟิง


 


 


คิดไม่ถึงว่าเจินเมี่ยวจะพยักหน้าแล้วพูดว่า “แม่นมหนิววางใจได้ รอให้ข้าสอบถามเรื่องนี้ชัดเจนแล้ว หากองค์ชายสามตำหนิลงมา ข้าจักอธิบายให้พระองค์เข้าใจเอง”


 


 


แม่นมหนิวลอบบิดเบ้ปากตนแล้วเอ่ยว่า “พระราชนัดดายังคงต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสักพัก ตามความเห็นบ่าวแล้ว เรามิควรเก็บแมวตัวนั้นไว้อย่างเด็ดขาดเจ้าค่ะ”


 


 


แม่นมหรงก็เอ่ยสำทับต่อว่า “ยังมีเจ้านกเอี้ยงนั้นอีก บ่าวเห็นกรงเล็บของมันช่างแหลมคมนัก นั้นยิ่งมิอาจเก็บเอาไว้ได้เจ้าค่ะ!”


 


 


เจินเมี่ยวหุบยิ้มทันใดแล้วกวาดตามองคนทั้งสองอย่างเย็นชา นางเอ่ยเนิบนาบขึ้นว่า “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าแม่นมหนิวกับแม่นมหรงนั้นสามารถออกความคิดเห็นเกี่ยวกับเรือนชิงเฟิงได้!”


 


 


นางหน้าบึ้งตึงทันทีทั้งพูดจาไม่ไว้ไมตรีสักนิด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนี้พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม การเปลี่ยนแปลงอันเด่นชัดนี้ทำให้แม่นมหนิวและคนอื่นๆ นิ่งอึ้งไปทันที


 


 


แม่นมหนิวลอบอยู่ในอยู่เช่นกัน นางเห็นว่าเซี่ยนจู่ท่านนี้ไร้เดียงสาตรงไปตรงมา อุปนิสัยใสซื่อมิใคร่รู้ความอันใดทั้งยังใจอ่อนมีเมตตา แต่กลับไม่คิดว่าถึงครามิพอใจก็จะแสดงออกอย่างร้ายกาจถึงเพียงนี้


 


 


ครั้นคิดได้เช่นนี้ก็พลันรู้สึกเสียใจขึ้นมา


 


 


นางเป็นเพียงบ่าว หากเกิดไปล่วงเกินเจียหมิงเซี่ยนจู่อย่างรุนแรง องค์ชายสามยังจะออกหน้าแทนหน้างั้นหรือ?


 


 


ยิ่งมิต้องพูดถึงน้ำหนักในวาจาของเจียหมิงเซี่ยนจู่เลย หากเป็นเช่นนั้นนางและแม่นมหรงคงต้องตายแน่!


 


 


ครั้นคิดได้เช่นนี้ ท่าทีก็พลันอ่อนลงทันใด “บ่าวมิบังอาจเจ้าค่ะ บ่าวเป็นเพียงทาส ไหนเลยจะมีความกล้าเช่นนั้น ที่บ่าวพูดเป็นเพียงความห่วงใยต่อพระราชนัดดาเท่านั้นเจ้าค่ะ”


 


 


แม่นมหรงเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ตะลึงอยู่ในใจ แต่มิกล้าเผยสีหน้าอันใด ทำเพียงเอ่ยขออภัยตามแม่นมหนิว


 


 


แต่เจินเมี่ยวยังคงมีสีหน้าบึ้งตึงเช่นเดิม


 


 


มิต้องพูดถึงว่าแมวขาวตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซื่อจื่อมอบให้นาง แต่จิ่นเหยียนที่อยู่กับนางมาตลอดนั้น สำหรับนางแล้วนกตัวนั้นมันมิใช่เพียงนกเอี้ยงธรรมดาทั่วไป นางเห็นมันเป็นดั่งสหายรู้ใจผู้หนึ่งเลยทีเดียว เมื่อสาวใช้ทั้งสองพูดจาโดยหวังเอาชีวิตของจิ่นเหยียนเช่นนี้ นางมีหรือจะไม่โกรธเคือง


 


 


จู่ๆ นางก็ต้องมาคอยปรนนิบัติพระราชนัดดาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ นางมิเคยคิดถึงผลประโยชน์ แต่ก็มิจำเป็นต้องยอมจนเดือดร้อนตนเองกระมัง!


 


 


นางจึงเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “จะว่าไปแล้ว ข้าเองก็มิได้มีประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็ก พระราชนัดดาทรงสูงศักดิ์เพียงนั้น ประเดี๋ยวคนของตำหนักองค์ชายสามมาถึงก็ให้คุ้มครองพระองค์กลับไปด้วยแล้วกัน ถึงตอนนั้นข้าจะขอรับโทษจากองค์ชายสามเอง”


 


 


ครั้นวาจานี้เอ่ยออกไป จิ่งเกอก็กลับไม่ยินยอมกว่าผู้ใด เขาเบ้ปากแล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง “ท่านแม่ จิ่งเกอเชื่อฟังท่าน ยอมเรียกท่านว่าท่านอา เหตุใดท่านยังจะให้จิ่งเกอไปอีกเล่า!”


 


 


พูดพลางโดดลงจากเตียงวิ่งเข้าไปตรงหน้าแม่นมหนิวแล้วยกเท้าขึ้นถีบนางคราหนึ่ง


 


 


อย่าคิดว่าเขาเป็นเพียงเด็กน้อยอายุห้าปี หากเมื่อออกแรงสุดกำลังแรงนั้นก็หนักหน่วงไม่น้อย แม่นมหนิวร้องโอ๊ยออกมาเสียงหนึ่งแล้วล้มนั่งลงไปกับพื้น สีหน้านั้นซีดเผือดยิ่ง


 


 


เจินเมี่ยวเดินเข้าไปหา นางอุ้มจิ่งเกอส่งให้อาหลวน แล้วกลับไปยังห้องโถงทิ้งให้แม่นมหลิวและบ่าวไพร่ทั้งหลายต่างมองหน้ากันอยู่เช่นนั้น


 


 


“เจียหมิงเซี่ยนจู่ผู้นี้ช่างหยิ่งยโสโอหังเหลือเกินจริงๆ!” แม่นมหรงโกรธจนต้องกัดฟันไว้


 


 


สาวใช้หลายคนก็เอ่ยคล้อยตามว่า “แม่นมหรงพูดถูก แม่นมหนิวท่านดูเถิด พระราชนัดดาบาดเจ็บ เจียหมิงเซี่ยนจู่กลับมิกลัวองค์ชายสามทรงตำหนิดแม้สักน้อยนิด”


 


 


ท่าทีไม่พอใจของเจินเมี่ยวในครั้งนี้ทำให้แม่นมหนิวมีคิดขึ้นมาได้ เมื่อได้ยินคนทั้งหลายต่างบ่นว่านางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มขืนว่า “เจียหมิงเซี่ยนจู่กลัวจะล่วงเกินองค์ชายสามหรือไม่นั้นข้าไม่ทราบได้ แต่คงไม่กลัวที่จะล่วงเกินพวกเราแน่ๆ”


 


 


“แต่พวกเราเป็นตัวแทนขององค์ชายสามนะเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยินยอม


 


 


แม่นมหนิวแค่นยิ้มพลางเอ่ยว่า “ขอเตือนให้พวกเจ้าเก็บความคิดนี้ไปเสีย พวกเราเป็นเพียงบ่าวไพร่จะมีเกียรติยศอันใดกัน ต่อให้ตำหนักองค์ชายต้องเสื่อมเสียพระเกียรติจริง แต่ไม่ว่าพระทัยขององค์ชายสามจะคิดเช่นไร แต่ยอมล่วงเกินเจียหมิงเซี่ยนจู่เพราะพวกเราหรือ? เกรงว่าสิ่งแรกที่จะทำคงเงื้อดาบเข้าใส่พวกเราก่อนเป็นแน่”


 


 


ครั้นเห็นเจินเมี่ยวพาพระราชนัดดากลับมา พระราชนัดดายังคงมีท่าทีชิดเชื้อกับเจินเมี่ยวอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ค่อยๆ วางใจลงได้


 


 


แต่นางเถียนกลับเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเป็นกังวลว่า “หลานสะใภ้ ประเดี๋ยวคนของตำหนักองค์ชายสามคงมาที่นี่แน่ จะจัดการบ่าวไพร่ที่ดูแลจวนไม่ดีอย่างไร และแมวที่ก่อเรื่องขึ้นตัวนั้นอีก เจ้าต้องคิดวิธีจัดการไว้ให้เรียบร้อย”


 


 


“อาสะใภ้รองวางใจ ข้ารู้ว่าต้องทำเช่นไร” เจินเมี่ยวพูดพลางมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่า ใกล้จะถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ เรื่องวันนี้ข้าจะสอบถามให้ละเอียดต่อเอง”


 


 


ก่อนหน้านี้เจ้านายเรือนชิงเฟิงไม่อยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ แต่เมื่อเจินเมี่ยวเอ่ยเช่นนี้แล้วนางก็พยักหน้าแล้วกลับเรือนตนทันที


 


 


เมื่อทุกคนกลับไปหมดแล้ว เจินเมี่ยวก็เรียกอาหลวนเข้ามาถาม


 


 


เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่มีอันใดเลย พระราชนัดดายังเล็กจึงชอบเล่นสนุก เมื่อรู้สึกเบื่อหน่ายจึงออกไปเล่นที่ลานหน้าเรือน ครั้นเห็นแมวขาวที่มีดวงตาคนละสีก็วิ่งเข้าไปหา บ่าวไพร่ยังมิทันได้วิ่งตามไปพระองค์ก็ถูกแมวขาวตัวนั้นข่วนเอาเสียแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวฟังแล้วก็ได้แต่สงสัยอยู่ในใจ แมวปัวซืออุปนิสัยอ่อนโยน ปกติไม่เคยทำร้ายคน แล้วจู่ๆ มันจะข่วนพระราชนัดดาได้อย่างไร?


 


 


นางได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วเอ่ยถามต่อว่า “ไป๋เสวี่ยเล่า?”


 


 


อาหลวนจึงตอบว่า “ตอนนั้นแม่นมหนิวเอาแต่บอกว่าให้ตีไป๋เสวี่ยให้ตาย ชิงไต้จึงอุ้มไป๋เสวี่ยหนีมิให้พวกนางเข้าใกล้ได้”


 


 


ฉับพลันชิงไต้ที่กำลังถูกพูดถึงก็เดินเข้ามาในห้องแล้วคุกเข่าลงเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวมีเรื่องต้องเรียนเจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวเห็นท่าทีนางแล้วก็สั่งให้คนอื่นออกไป


 


 


ชิงไต้จึงเอ่ยว่า “ขอต้าไหน่ไหน่โปรดให้อภัยด้วย บ่าวได้นำไป๋เสวี่ยไปให้ซื่อจื่อโดยพลการ ซื่อจื่อให้บ่าวมาเรียนท่านว่าให้ท่านสบายใจได้ องค์ชายสามไม่มีทางทำอันใดเด็ดขาดเจ้าค่ะ”


 


 


“ไป๋เสวี่ยอยู่กับซื่อจื่อหรือ?” เจินเมี่ยวรู้สึกตกใจกับความรวดเร็วของชิงไต้ยิ่ง


 


 


ชิงไต้พยักหน้า “ไป๋เสวี่ยถูกฝึกจนเชื่องแล้วจึงได้นำมามอบให้ต้าไหน่ไหน่ วันนี้กลับทำร้ายพระราชนัดดาอย่างไร้สาเหตุ บ่าวรู้สึกว่ามันผิดวิสัยยิ่งจึงได้อุ้มมันไปให้องครักษ์ลับที่ด้านนอกนำไปให้ซื่อจื่อตรวจสอบ ซื่อจื่อบอกว่าท่านมิต้องกังวลใจเรื่ององค์ชายสาม ทุกอย่างซื่อจื่อจะจัดการเองเจ้าค่ะ”


 


 


ทุกอย่างเขาจะจัดการเอง


 


 


แต่คำพูดธรรมดาๆ ประโยคนี้กลับจู่โจมเข้าไปในหัวใจของเจินเมี่ยวในทันที ในหัวของนางพลันปรากฏใบหน้าหล่อเหลาและรูปร่างที่ผ่ายผอมไปไม่น้อยนั้นของเขาขึ้นมาวูบหนึ่ง


 


 


หัวใจดวงนั้นของเจินเมี่ยวคล้ายถูกสิ่งใดรัดรึงไว้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา มันรัดเสียจนนางรู้สึกเจ็บปวดและหวานล้ำไปพร้อมกัน นางบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไรกันแน่แต่กลับคิดถึงคนผู้นั้นขึ้นมาเป็นพิเศษ


 


 


“ชิงไต้ ประเดี๋ยวเจ้าไปหาจื่อซูเอายาทาแก้ฟกช้ำที่ดีที่สุดกับน้ำแกงเนื้อแพะที่เคี่ยวเมื่อเช้านี้ไปให้ซื่อจื่อด้วย”


 


 


“เจ้าค่ะ” ชิงไต้ตอบรับเสียงสดใส รู้สึกดีใจแทนซื่อจื่อของตน


 


 


นางได้ยินองครักษ์ลับบอกว่า หลายวันมานี่ซื่อจื่อยุ่งจนแทบไม่ได้หลับได้นอน ทั้งที่เป็นเช่นนี้แต่ก็ยังกลับไปเยี่ยมจวนเป็นเพื่อนต้าไหน่ไหน่ทั้งวัน ครั้นกลับถึงศาลาว่าการก็คงต้องอดนอนอีกเช่นเคย เมื่อมีความห่วงใยนี้ของต้าไหน่ไหน่ คิดว่าความเหนื่อยล้าของซื่อจื่อน่าจะลดลงไปได้มากเลยทีเดียว


 


 


ครั้นใกล้ถึงยามอาหารค่ำคนจากตำหนักองค์ชายสามก็มาถึงจวนดั่งคาดไว้ แต่มิได้ตำหนิเรื่องที่พระราชนัดดาได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังส่งของขวัญมาขอบคุณเจินเมี่ยวที่ช่วยดูแลและย้ำอีกว่าคงต้องรบกวนให้ช่วยดูแลพระราชนัดดาอีกสักระยะหนึ่ง แล้วเอ่ยตำหนิแม่นมหนิวและบ่าวไพร่ที่ติดตามมาว่าทำหน้าที่บกพร่องจึงสั่งให้พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของเจินเมี่ยว หากเกิดความผิดพลาดใดขึ้นอีกให้เจินเมี่ยวจัดการได้เลย


 


 


ครานี้เองแม่นมหนิวและเหล่าสาวใช้จึงต้องเก็บความภาคภูมิใจอันเกินเหตุของตนไว้ ดูสงบเสงี่ยมลงไม่น้อยเลยทีเดียว


 


 


นางเถียนได้ยินเรื่องนี้ก็ยิ่งเบื่อหน่ายจึงได้เอ่ยพูดจากับนายท่านรองสกุลหลัวตอนที่เขามาหา นายท่านรองสกุลหลัวแค่เสียงเย็นเอ่ยว่า “ก็เพราะต้าหลังเป็นคนโปรดของฝ่าบาทอย่างไรเล่า ได้ยินว่าหลายวันมานี่องค์ชายหลายพระองค์ต่างมิได้เห็นพระพักตร์ฝ่าบาทด้วยซ้ำแต่ต้าหลังกลับเข้าวังไปถึงสองคราแล้ว”


 


 


พูดพลางเอ่ยตำหนินางเถียนขึ้นมาอีกว่า “เจ้าสามก็มิใช่เด็กแล้วแต่กลับเที่ยวเล่นไปวันๆ การเรียนห่างไกลกับเจ้ารองที่โดดเด่นยิ่งนั้นยังพอทำเนา แต่อายุแค่นี้กลับเอาแต่พร่ำเพ้อถึงสตรี หึ ช่างไม่รู้จักมองดูต้าหลังบ้างเลย ตอนที่เขาอายุเท่าสามนั้นก็ได้ทำงานในกองทัพมังกรพยัคฆ์แล้ว!”


 


 


เรื่องนั้นของเจ้าสามมีความเกี่ยวพันกับเยียนเหนียง นางเถียนต่างหากที่รู้สึกทนไม่ได้อย่างที่สุดจึงได้เอ่ยประชดประชันไปว่า “จะเอาเจ้าสามไปเปรียบกับต้าหลังได้อย่างไร ต้าหลังเป็นขุนนางขั้นสามแล้ว ท่านพี่ก็ยังคงเป็นแค่ขุนนางขั้นหกเท่านั้น”


 


 


วาจานี้ทำให้นายท่านรองสกุลหลัวโมโหขึ้นมาทันใด เดิมเห็นว่านางเถียนล้มป่วยอยู่ทั้งเป็นช่วงเทศกาลวันตรุษจึงมิได้ไปที่เรือนตะวันตกเลย ครานี้มิอาจอดกลั้นโทสะจึงก้าวเท้าจากไปทันที


 


 


เหลือเพียงนางเถียนที่นั่งเสียใจที่ตนพลั้งปากไปเช่นนั้น แต่หากจะให้ไปขอร้องให้เขากลับมาเพียงเพราะสาวใช้ทงฝังนั้นนางมิอาจทำได้ จึงแต่ได้อดกลั้นเอาไว้แล้วร้องไห้ออกมากับตัวเอง


 


 


เมื่อหลัวเทียนเฉิงได้รับอาหารและยาทาแก้ฟกช้ำที่เจินเมี่ยวส่งไปให้ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาอย่างทันใด ครั้นมองรอยฟันบนมือตนแล้วกลับตัดใจทายาไม่ลง มุมปากเคลือบไปด้วยรอยยิ้มแต่กลับไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาคิดอะไรอยู่


 


 


วันถัดมาเจินเมี่ยวก็ไปที่จวนหย่งอ๋องเพียงคนเดียว หย่งหวังเฟยกับชูสยาจวิ้นจู่นั้นอยู่พร้อมหน้าแต่กลับไม่พบหย่งอ๋อง


 


 


หย่งหวังเฟยบอกว่า “ออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว”


 


 


รอกระทั่งมีโอกาสได้อยู่กับชูสยาจวิ้นจู่ตามลำพัง ชูสยาจวิ้นจู่จึงเอ่ยบ่นขึ้นว่า “พระบิดาถูกอ๋องสิบสามเรียกตัวไปอีกแล้ว”


 


 


อ๋องสิบสามผู้นี้ เจินเมี่ยวเองก็เคยได้ยินมานานแล้ว อานจวิ้นอ๋องเป็นหลานชายคนโตของพระเชษฐาของจักรพรรดิพระองค์ก่อน ปกตินั้นชอบละเล่นไปเรื่อยที่สุด แม้นจะเกิดคนละรุ่นแต่อายุกลับห่างกันไม่มากจึงถูกชะตากันยิ่ง


 


 


อานจวิ้นอ๋องมีฐานะอันไม่ธรรมดายิ่ง ปู่ของเขานั้นเป็นองค์ชายใหญ่ที่เกิดจากหวงโฮ่ว แต่กลับไปหลงรักนางรำ สุดท้ายก็สละตำแหน่งรัชทายาทเพื่อสตรีผู้นั้นและท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศกับสตรีผู้นั้น เป็นบุคคลที่รักหญิงงามมิหวงแหนบัลลังก์โดยแท้ ราชบัลลังก์จึงตกทอดมาถึงจักรพรรดิพระองค์ก่อนด้วยเหตุผลประการฉะนี้


 


 


หลังจากที่ท่านปู่ของอานจวิ้นอ๋องจากไปก็ทิ้งไว้เพียงพระบิดาที่มีร่างกายอ่อนแอของอานจวิ้นอ๋องเพียงผู้เดียว ครั้นเมื่ออานจวิ้นอ๋องเกิดมาบิดาก็จากไปเหลือไว้เพียงอานจวิ้นอ๋องไว้สืบสายโลหิตเพียงคนเดียว


 


 


อานจวิ้นอ๋องนั้นรักสนุกยิ่งกว่าหย่งอ๋องเสียอีก มิเคยเข้าประชุมที่ท้องพระโรงยังพอทำเนา แม้แต่งานเลี้ยงฉลองของราชวงศ์ก็น้อยนักจะยอมปรากฏตัว วันๆ เที่ยวเล่นสนุกไม่ว่า แต่ยังถูกเล่าลือว่าชมชอบไปเกี้ยวคุณหนูทั้งหลายอยู่บ่อยครั้ง แต่จักรพรรดิพระองค์ก่อนและจักรพรรดิองค์ปัจจุบันต่างก็ให้ความสำคัญกับเขาทั้งยังดูแลเขาเป็นพิเศษอีกด้วย


 


 


เจินเมี่ยวเคยเห็นอานจวิ้นอ๋องแวบๆ ครั้งหนึ่งเมื่อคราวที่ท่านปู่พานางออกไปชนหงส์ที่เรือนอีกหลังของหย่งอ๋อง แต่ตอนนี้นางก็จำมิได้เสียแล้ว


 


 


นางอยู่ที่จวนหย่งอ๋องครึ่งค่อนวันแต่ในขณะที่กำลังจะกลับนั้นหย่งอ๋องกลับส่งคนมาบอกว่า “ท่านอ๋องกลับมาพร้อมกับอานจวิ้นอ๋อง อานจวิ้นอ๋องได้ยินว่าฝีมือการทำอาหารของเซี่ยนจู่โดดเด่นยิ่งจึงอยากจะลองชิมเป็นวาสนาสักคราขอรับ”  

 

 


ตอนที่ 288 หวั่นไหว

 

เสียงเพล้งดังขึ้น เพราะชูสยาจวิ้นจู่ลุกขึ้นด้วยความรีบร้อน แขนเสื้อจึงปัดไปถูกถ้วยชา ถ้วยชาเบญจรงค์ชั้นดีจึงกลิ้งตกลงบนพื้นแตกละเอียด


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่มิไยดีมัน นางเพียงเลิกคิ้วเอ่ยว่า “แม่ครัวในจวนมีอยู่หลายคน มีผู้หนึ่งที่เสด็จลุงพระราชทานมาให้ เหตุใดต้องให้เซี่ยนจู่ลงครัวเองเล่า?”


 


 


บ่าวผู้นั้นเอ่ยสิ่งใดไม่ออก ชูสยาจวิ้นจูเข้าใจขึ้นมาทันที นางจึงสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง “ช่างเถิด เจ้าไปเรียนพระมารดาก่อน ให้เซี่ยนจู่เปลี่ยนอาภรณ์แล้วจะตามไป”


 


 


รอจนสาวใช้ผู้นั้นจากไป สีหน้าของชูสยาก็ยิ่งเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกมีบางอย่างแปลกไปจึงเอ่ยถามว่า “มีอันใดหรือ?”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่มองใบหน้างดงามราวดอกท้อเดือนสามก็มิปานนั้นแล้วอยากจะเอ่ยปากแต่ก็ชะงักไว้


 


 


เจินเมี่ยวผลักนางคราหนึ่ง “ระหว่างเรายังต้องมีอันใดปิดบังอีกหรือ?”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ถอนหายใจ นางสั่งให้สาวใช้ไปหยิบอาภรณ์มาให้เจินเมี่ยว แล้วเอ่ยท่าทีลับๆ ล่อๆ ว่า “อ๋องสิบสามผู้นั้น ความจริงเป็นคนดีมาก แต่ แต่มีข้อเสียอยู่อย่าง…”


 


 


“ข้อเสียอันใด?”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่พลันหน้าแดงขึ้นมา แล้วโน้มเข้าไปใกล้ข้างหูเจินเมี่ยว “เขาชมชอบสตรีหน้าตางดงามเป็นที่สุด…”


 


 


เจินเมี่ยวชำเลืองมองนางคราหนึ่ง


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ร้อนใจขึ้นมาจึงจ้องนางแล้วเอ่ยอีกว่า “ข้าคิดแล้วว่าถ้าพูดเช่นนี้เจ้าจักต้องขบขันข้าแน่!”


 


 


อย่างไรก็นางก็เป็นสตรีที่มิทันออกเรือน การพูดเรื่องเช่นนี้นั้นไม่ควรจริงๆ


 


 


เจินเมี่ยวกลับเข้าใจในเจตนาของชูสยาจวิ้นจู่ แต่แค่รู้สึกไม่อยากเชื่อเท่านั้น “เขาไม่กลัวมันเป็นเรื่องใหญ่หรือ?”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ร้อง “หึๆ” ขึ้นคราหนึ่ง “เรื่องใหญ่อันใด อ๋องสิบสามมีฐานะอันไม่ธรรมดา ความผิดเช่นเดียวกันหากเป็นพระบิดากระทำคงถูกเสด็จลุงด่าไม่เหลือชิ้นดี แต่อ๋องสิบสามกลับไม่เป็นอันใดเลยด้วยซ้ำ”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้เสียงที่เอ่ยก็แผ่วลงเล็กน้อย “ประเดี๋ยวเจ้าก็อยู่ใกล้ๆ ข้าไว้แล้วกัน”


 


 


เจินเมี่ยวมีสีหน้าประหม่าขึ้นมา นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรเอ่ยสิ่งใดดี


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่กลอกตาใส่นางคราหนึ่ง “ผู้ใดให้เจ้ามีรูปโฉมที่พาให้คนชมชอบเช่นนี้เล่า เจ้าอย่าได้ตำหนิพระมารดาข้าเลย คนที่อ๋องสิบสามอยากพบ อย่างไรเขาก็ต้องหาทางพบให้ได้ การพบเขาอย่างเปิดเผยนั้นดีกว่าปล่อยให้เขาทำเรื่องเหลวไหล มีพวกเราอยู่ อย่างไรก็มิยอมให้เจ้าต้องเสียเปรียบแน่”


 


 


เจินเมี่ยวเดินตามชูสยาจวิ้นจู่ไปที่ห้องครัว ทำของกินเล่นหลาย ใส่ในตะกร้าอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างพร้อมพลั่กแล้วถือไปหาหย่งหวังเฟย


 


 


เมื่อพบหน้ากัน อานจวิ้นอ๋องก็มองไปที่ใบหน้าของเจินเมี่ยวพลางผลิยิ้มดั่งคาด “หากรู้แต่แรกว่าน้องเจียหมิงจะแสดงท่าทีน่าเกรงขามเช่นนั้นในงานเลี้ยงฉลองของราชวงศ์ วันนั้นข้าก็ควรจะไปชมความคึกคักสักหน่อย”


 


 


เจินเมี่ยวเพิ่งรู้ว่าที่อานจวิ้นอ๋องอยากพบนางนั้นมาจากสาเหตุนี้ด้วย


 


 


หย่งหวังเฟยรีบกระแอมไอขึ้นมาเสียงหนึ่ง “เจียหมิงอุตส่าห์ทำอาหารมา เรารีบกินกันก่อนเถิด”


 


 


มีสาวใช้เข้ามารับตะกร้าอาหารไปแล้วนำอาหารออกมาจัดวางจนเรียบร้อย


 


 


การทำอาหารครั้งนี้เจินเมี่ยวมิได้ตั้งใจทำเท่าใดนัก หน้าตาจึงมิได้ดูดีนัก


 


 


อานจวิ้นอ๋องกลับให้เกียรตินางอย่างยิ่ง เขาคีบกินแล้วยังชมไม่ขาดปากอีกด้วย


 


 


“น้องเจียหมิงโยนน่องไก่ได้แม่นยำถึงเพียงนี้เป็นเพราะเคยฝึกฝนมาก่อนใช่หรือไม่?”


 


 


แม้นอานจวิ้นอ๋องจะอายุใกล้สี่สิบแล้ว แต่กลับดูแลตนเองอย่างดี ดูแล้วไม่ต่างกับคนอายุสามสิบ ทั้งหน้าตาหล่อเหลา โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นทั้งกลมโตทั้งกระจ่างใส ครั้นเอ่ยถามวาจาเนนี้ก็ยังแฝงไปด้วยความไร้เดียงสาเหมือนเด็กน้อยผู้หนึ่งก็มิปาน อย่าพูดถึงความรู้สึกคุกคามต่อผู้อื่นเลย หากพูดกันตามจริงแล้วเกรงว่าสตรีไร้ประสบการณ์เหล่านั้นต่างหากที่อดจะมอบหัวใจให้เขาไปทันทีแค่เขาพูดเพียงสองสามประโยคเท่านั้น


 


 


เจินเมี่ยวนั้นมิเหมือนผู้อื่น นางเป็นคนชอบมองบุคคลผู้มีรูปโฉมงดงามมากที่สุด มิต้องเอ่ยถึงท่านลุงรองสกุลเจินที่รูปงามดุจเทพเซียน แค่สามีของนางที่ระยะนี้ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหล่อเหลาขึ้นทุกที รูปโฉมเช่นอานจวิ้นอ๋องนั้นก็แค่โดดเด่นกว่าผู้อื่นสักหน่อยเท่านั้น นางจึงเพียงเผยรอยยิ้มบางเบาอย่างสงวนท่าทีพลางเอ่ยว่า “เคยฝึกฝนอันใดกันเล่า? วันนั้นมีนางกำนัลเข้ามาเติมสุราให้แล้วบังเอิญชนข้าเข้า ข้าจึงทำมันหลุดมือ…”


 


 


อานจวิ้นอ๋องยังคงหัวเราะเหอะๆ เช่นเดิมแล้วเอ่ยว่า “น้องเจียหมิงช่างเก่งกาจนัก”


 


 


เจินเมี่ยวอดหยักยกมุมปากขึ้นมิได้


 


 


คนแปลกประหลาดนี้มาจากที่ใดกัน เหลือเกินจริงๆ!


 


 


หย่งหวังเฟยทนดูต่อไปมิได้อีกแล้วจึงถลึงตาใส่หย่งอ๋องที่เอาแต่แสร้งทำเป็นนกระทาตามมุมกำแพงคราหนึ่งแล้วฝืนยิ้มพลางเอ่ยว่า “รีบกินกันเถิด ประเดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน”


 


 


“ใช่แล้ว มิอาจให้น้ำใจของน้องเจียหมิงต้องสูญเปล่า” อานจวิ้นอ๋องหยิบตะเกียบขึ้นลงมือกินทันที


 


 


หย่งอ๋องฝืนขยับเข้ามาใกล้เพื่อพูดคนเป็นและดื่มสุราเป็นเพื่อนอานจวิ้นอ๋อง


 


 


ดีที่อานจวิ้นอ๋องมิได้พูดจาอันใดที่ทำให้คนต้องแตกตื่นอีก เขากินดื่มด้วยดีมาตลอด มีเพียงก่อนจากไปเท่านั้นที่ตั้งใจทิ้งคำพูดหนึ่งไว้ “น้องเจียหมิง หากว่างก็ไปหาพี่สะใภ้สิบสามของเจ้าที่จวนจวิ้นอ๋องบ้างนะ”


 


 


ล้อเล่นอันใดกัน!


 


 


เส้นโลหิตตรงขมับเจินเมี่ยวถึงกับปูดขึ้นมา นางมิอาจอดกลั้นอาการตกตะลึงของตนได้อีกต่อไป


 


 


อานจวิ้นอ๋องกลับหัวเราะออกมาเสียงดังจากไปโดยมิหันหน้ากลับมามองสักนิด


 


 


กระทั่งเขาจากไปแล้ว หย่งหวังเฟยก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด นางบิดหูหย่งอ๋องทันที “ท่านบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าเหตุใดอานจวิ้นอ๋องจึงสนใจในตัวเจียหมิงได้?”


 


 


“โอ๊ะๆๆ เบาหน่อยเถิด” หย่งอ๋องร้องโหยหวน “ก็ตอนดื่มสุรากัน ข้าเผลอพูดเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงฉลองเทศกาลวันตรุษของราชวงศ์ขึ้น เจ้าก็รู้ว่าอานจวิ้นอ๋องเป็นคนที่อยากจะทำอันใดก็ทำมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้แต่เสด็จพี่ก็ยังทำอันใดเขามิได้”


 


 


หย่งหวังเฟยโมโหยิ่ง นางปล่อยใบหูแต่กลับหยิกริมฝีปากเขาแทน “ปากมากเสียจริง พรุ่งนี้จะเอาลามายัดปากสักตัว ดูว่าท่านยังจะปากมากได้อีกหรือไม่!”


 


 


หย่งอ๋องเจ็บจนต้องเต้นเร่าๆ แต่กลับมิกล้าผลักหย่งหวังเฟย เพียงเอ่ยขอร้องว่า “อย่าทำเช่นนี้ อย่าทำเช่นนี้เลย ชูสยากับเจียหมิงยังอยู่แท้ๆ”


 


 


หย่งหวังเฟยจึงยอมปล่อย


 


 


หย่งอ๋องนวดคลึงริมฝีปากตนแล้วเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “เจียหมิงเจ้ามิต้องกังวลใจไป ข้ารู้จักอานจวิ้นอ๋องดี เขาแค่แปลกใจจึงอยากจะพบเจ้าสักคราเท่านั้น ไม่มีทางมีความคิดเหลวไหลอันใดแน่”


 


 


“ความคิดเหลวไหลอันใดกัน!” หย่งหวังเฟยถลึงตาให้หย่งอ๋องคราหนึ่ง


 


 


หย่งอ๋องรู้ตัวว่าตนพลั้งปากไปจึงยิ้มแหย่ๆ ออกมา


 


 


กระทั่งเจินเมี่ยวจากไป หย่งฟวังเฟยจึงถอนหายใจเอ่ยว่า “ท่านอย่าได้ตำหนิว่าข้าทำเกินไป หากต่อไปอานจวิ้นอ๋องเกิดสนใจในตัวเจียหมิงขึ้นมา ทั้งยังได้พบกับนางที่จวนเราอีก พวกเราจะกลายเป็นอันใดกันเล่า”


 


 


ครานี้หย่งอ๋องจึงเก็บท่าทียิ้มกริ่มไว้ทันที แล้วเอ่ยว่า “วางใจเถิด อานจวิ้นอ๋องไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่”


 


 


หย่งหวังเฟยกลอกตาให้เขาคราหนึ่ง “วางใจ? แม้แต่ชูสยายังรู้ถึงความโปรดปรานของอานจวิ้นอ๋อง มิเห็นหรือว่าวันนี้ชูสยาคอยตามติดเจียหมิงไม่ห่างเลย?”


 


 


หย่งอ๋องยิ้มคราหนึ่ง “อานจวิ้นอ๋องเขารู้สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร”


 


 


หย่งหวังเฟยยังคิดจะเอ่ยสิ่งใดต่ออีก แต่เมื่อตรองดูแล้วกลับเลือกไม่พูดอันใดอีก


 


 


หลายปีมานี้อานจวิ้นอ๋องทำลายสตรีไปไม่น้อย แต่สตรีเหล่านั้นกลับมิได้ตีโพยตีพาย หลังจากเกิดเรื่องยังปกป้องอานจวิ้นอ๋องอีก อานจวิ้นอ๋องก็มิใช่ไร้น้ำใจ เมื่อพูดคุยกับฝ่ายสามีพวกนางได้แล้วยังรับสตรีเหล่านั้นไปอยู่ที่จวนด้วย


 


 


แม้นชื่อเสียงในด้านนี้ของเขาจะโด่งดังจริงแต่กลับมิเคยก่อเรื่องร้ายแรงจริงๆ สักครา


 


 


เมื่อเจินเมี่ยวกลับถึงจวนก็หวนคิดถึงเรื่องวันนี้ที่ได้พบกับอานจวิ้นอ๋องก็ยิ่งรู้สึกว่าหลัวเทียนเฉิงนั้นดีเหลือเกิน


 


 


ดั่งสุภาษิตกล่าวไว้ว่าไม่กลัวคนมิรู้จักสินค้า กลัวแต่การนำสินค้ามาเปรียบเทียบกันเอง


 


 


ซื่อจื่อของนางอายุยังน้อย ทว่าตั้งแต่นางเข้าเรือนมาก็มิเคยย่างกรายไปหาสาวใช้ทงฝังที่งดงามราวบุปผาดุจหยกเหล่านั้นเลย แม้นนางจะมิได้ทำหน้าที่ภรรยาได้อย่างเต็มที่ก็มิเคยเห็นเขาเหลือบมองสตรีใดแม้เพียงหางตา


 


 


เจินเมี่ยวมิใช่ก้อนหิน เมื่อลองครุ่นคิดให้ละเอียดเช่นนี้ ความรู้สึกที่คอยรัดรึงหัวใจนี้ผ่านมาเนิ่นนานเข้ากลับถักทอเป็นสายใยแห่งรักผูกมัดหัวใจที่ปิดตายตลอดมานั้นไว้เสียแน่นหนา


 


 


เจินเมี่ยวกลับมิรู้ตัวว่าการบังเอิญพบกับอานจวิ้นอ๋องจะเป็นเหตุที่ทำให้นางเริ่มหวั่นไหวกับหลัวเทียนเฉิง แค่พลันรู้สึกว่าการใช้ชีวิตเพียงลำพังนั้นช่างยากเย็นนักเท่านั้นเอง


 


 


นางมิได้ทำขนมกินเล่นแล้วออกไปเย้าแหย่จิ่นเหยียนอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่ละวันสำหรับนางผ่านไปอย่างเชื่องช้า ครั้นตกดึงก็นอนพลิกตัวไปมาเพราะเริ่มกังวลว่าเขาได้กินข้าวตามเวลาหรือไม่ นอนหลับสบายดีหรือไม่


 


 


เพราะมิอาจปล่อยวางได้นางจึงเอาเข็มกับด้ายพร้อมทั้งผ้าฝ้ายที่นุ่มที่สุดขึ้นมาเย็บเสื้อให้เขา


 


 


ทำอยู่สามวันเสื้อตัวนั้นก็เสร็จพอดีจึงสั่งให้ชิงไต้นำไปส่งให้เขา


 


 


หลัวเทียนเฉิงตรวจสอบรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องแมวขาวตัวนั้น ขณะกำลังกังวลว่าเจินเมี่ยวอาจจะรับความจริงไม่ได้ ครั้นได้เห็นเสื้อเนื้อผ้าหนานุ่ม ฝีปักประณีต หัวใจดวงนั้นก็พลันอุ่นร้อนขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหวจึงเร่งรุดควบม้ากลับไปด้วยมิอาจเก็บความคิดถึงได้อีกต่อไป


 


 


เจินเมี่ยวเย็บเสื้อติดต่อกันมาหลายวันจึงรู้สึกเพลียอยู่บ้าง ขณะกับหลังเอนหลังพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวก็พลันตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น


 


 


ลมหายใจทำให้นางรู้สึกอุ่นใจยิ่งจึงมิได้ลืมตาขึ้นแต่กลับซุกไซ้ตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นนั้นดุจลูกสุนัขก็มิปาน นางซุกไซ้เสียจนหลัวเทียนเฉิงทนไม่ไหวอีกต่อไป เขารั้งนางเข้ามาจุมพิตอย่างดูดดื่มกระทั่งคนทั้งสองหายใจหอบถี่จึงผงะออกมาสบตาอันนิ่งนาน ทุกอย่างจึงค่อยๆ สงบลง


 


 


ผ่านไปนานหลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า “เหตุใดจึงเย็บเสื้อให้ข้าเล่า ข้ายังมีเสื้อผ้ามากอยู่มิใช่หรือ?”


 


 


“ว่างก็เลยทำ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเห็นนางหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยคล้ายกลีบบุปผาแช่น้ำก็มิปาน ทั้งยังดูเขินอายกว่ายามปกติมากขึ้นอีกหลายส่วน ความยินดีเบิกบานอย่างยิ่งยวดบังเกิดขึ้นในหัวใจ จึงแกล้งเอ่ยไปว่า “แต่ก่อนเจ้าก็ว่าง เหตุใดมิเห็นทำเล่า?”


 


 


เจินเมี่ยวถูกามเช่นนี้ก็พูดไม่ออกได้แต่ถลึงตาใส่เขาไม่เอ่ยวาจา


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงขยับเข้ามาจุมพิตนางอีกคราหนึ่ง “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าชอบมาก…จริงๆ”


 


 


เจินเมี่ยวคิดว่าความรู้สึกนี้ช่างประหลาดนัก ปกติเขาเอ่ยเช่นนี้นางก็แค่เพียงเขินอายเล็กน้อยแต่ยามนี้ใจกลับเต้นแรงกระทั่งไม่กล้าสบตากับเขาด้วยซ้ำ


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับอดถามให้แน่ใจมิได้ “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าเล่า?”


 


 


ผ่านไปนานเจินเมี่ยวจึงเอ่ยตอบเสียงแผ่วว่า “ข้าก็ชอบมากเช่นกัน…”


 


 


ในที่สุดทั้งสองก็เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าความรักขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว


 


 


บรรยากาศเช่นนี้ทำให้คนไม่อยากจะทำลายมันยิ่ง กระทั่งถึงเวลาที่ต้องกลับจริงๆ แล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยปากบอกว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เรื่องของไป๋เสวี่ยข้าให้คนไปสืบมาแล้ว ในตัวมันมียาชนิดหนึ่งที่ทำให้แมวดุร้าย หากแมวกินเข้าไปก็จะเผลอทำร้ายคนได้ง่าย”


 


 


เจินเมี่ยวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามว่า “มีคนเอายานั้นให้ไป๋เสวี่ยกินหรือ? เป็น…คนของข้า?”


 


 


นางมิใช่คนโง่ ผู้ที่สามารถเข้าใกล้จิ่นเหยียนและไป๋เสวี่ยได้นอกจากคนของเรือนชิงเฟิงแล้วก็ไม่มีผู้อื่นอีก


 


 


หลัวเทียนเฉิงบีบมือนางคราหนึ่งเป็นการปลอบใจ “ข้าให้องครักษ์ลับไปสืบอยู่หลายวัน เบาะแสสุดท้ายที่พบคือ…”


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้ก็ชะงักไป เขามองเจินเมี่ยวอย่างล้ำลึกคราหนึ่งจึงเอ่ยว่า “เจี้ยงจู”


 


 


“เจี้ยงจู?” เจินเมี่ยวพึมพำออกมา ไม่ทราบเหตุใดนางจึงเกิดความรู้ว่า ‘เป็นเจี้ยงจูจริงๆ ด้วย’ ขึ้นมา


 


 


“เจี้ยงจูเป็นสาวใช้ที่ติดตามเจ้ามาตั้งแต่ก่อนออกเรือน ภายหลังจึงถูกเลื่อนขั้นขึ้นมาใช่หรือไม่?”


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้า “ข้าจำได้ว่าจื่อซูเคยบอกว่าเจี้ยงจูนั้นมารับใช้สวนเฉินเซียงแทนชิงเฉ่าหลานสาวของหญิงรับใช้สกุลหลี่ที่ทำงานในโรงซักผ้า ต่อมาเสี่ยวฉานสาวใช้ขั้นสามของข้ากระทำผิด นางจึงได้ติดตามข้ามาที่จวนกั๋วกงแทนเสี่ยวฉาน หญิงรับใช้สกุลหลี่เป็นน้องสาวของยายเจี้ยงจูน นางบอกว่าที่บ้านไม่มีคนแล้วจวนเราจึงรับนางมาแทน”


 


 


หลัวเทียนเฉิงแค่นยิ้มเย็น “ไม่มีคนจริงๆ นั้นแล องครักษ์ลับรายงานมาว่า คนบ้านนั้นถูกผู้มีอิทธิพลคุกคามจึงเหลือบุตรชายเพียงคนเดียวที่มีชีวิตอยู่ ไม่รู้ว่าเจี้ยงจูผู้นี้โผล่มาจากที่ใดกันแน่!” 

 

 


ตอนที่ 289 เทศกาลโคมไฟ

 

 


 


เจินเมี่ยวได้ฟังก็ถอนหายใจออกมา ครั้นคิดถึงเสี่ยวฉานที่ถูกไล่ออกไปแล้วก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยปลอบอยู่หลายคำแล้วพาเจี้ยงจูไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย


 


 


เรือนชิงเฟิงพลันขาดสาวใช้ไปคนหนึ่ง แม้นคนทั้งหลายจะไม่พูดสิ่งใดแต่ก็ซุบซิบอยู่ในใจโดยเฉพาะจื่อซู ในที่สุดวันนี้นางก็ทนไม่ได้แล้วจึงเข้าไปคุกเข่าขอรับผิด “ต้าไหน่ไหน่ ขอท่านโปรดลงโทษบ่าวด้วย”


 


 


เวลานี้ภายในห้องยังมีไป๋เสาและไป่หลิงคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ เจินเมี่ยวส่งสัญญาณให้ไป่หลิงไปประคองจื่อซูให้ลุกขึ้น แล้วเอ่ยว่า “นักปราชญ์ครุ่นคิดนับพันครั้งยังพลาดพลั้ง ครานี้ซื่อจื่อต้องใช้องครักษ์ลับไปสืบประวัติเจี้ยงจูถึงได้รู้ว่านางมีบางอย่างผิดปกติ เรื่องนี่จะโทษเจ้าได้อย่างไร”


 


 


จื่อซูมีสีหน้ารู้สึกผิดยิ่ง “ทว่าหากตอนนั้นบ่าวมิเลือกเจี้ยงจูเข้ามาก็คงไม่มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้น”


 


 


เจินเมี่ยวพลันยิ้มออกมา “ทองแท้อย่างไรก็ย่อมส่องประกาย”


 


 


ด้วยรูปโฉมและความสามารถของเจี้ยงจู ในเมื่อนางแฝงตัวเข้ามาในสวนเฉินเซียงได้ คนมีความสามารถไม่ช้าก็เร็วจักต้องโดดเด่นขึ้นมาแน่ ส่วนคนที่จะดึงนางขึ้นมานั้นหากมิใช่จื่อซูก็อาจจะเป็นไป๋เสา หรืออาจเป็นตัวนางเองด้วยซ้ำ


 


 


ดังนั้นการสืบพบว่าเจี้ยงจูมีใจอันไม่บริสุทธิ์ แม้นจะทำให้นางตกใจและโกรธเคืองแต่ก็มิได้เสียใจอันใดปานนั้น เมื่อลองตรองดูก็พบว่าเพราะเจี้ยงจูผู้นั้นแม้นจะมากความสามารถ แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดตั้งแต่พบหน้านางตนก็มิได้ถูกชะตาอันใดหนักหนา เมื่อมิได้ใส่ใจกับคนผู้หนึ่งสักเท่าใดก็ย่อมมิอาจพูดได้ว่าเสียใจถึงเพียงนั้น


 


 


เจินเมี่ยวพลันยิ้มออกมา “รีบลุกขึ้นเถิด หากจื่อซูรู้สึกผิดต่อข้า ต่อไปก็ตั้งใจทำงานให้มากขึ้นก็พอ มิใช่เพราะใกล้จะออกเรือนแล้วจึงเอาแต่คิดถึงวันแต่งงาน”


 


 


วาจานี้ทำให้จื่อซูหน้าแดงไปหมดแต่กลับเขินอายจนมิกล้าพูดอันใดสักคำ


 


 


เจินเมี่ยวกวาดตามองพวกนางที่อยู่ภายในห้องคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ความจริงข้ากลับดีใจด้วยซ้ำที่คนผู้นั้นมิใช่พวกเจ้าคนใดคนหนึ่ง สืบรู้ความเร็วเช่นนี้กลับเป็นเรื่องที่ดียิ่ง”


 


 


คนทั้งสามพลันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมา


 


 


โดยเฉพาะไป๋เสาที่หลังจากเสียโฉมแล้วนั้นก็คิดได้หลายอย่าง นางรู้สึกว่าคุณหนูผู้นี้ของนางมีบางอย่างพิเศษอย่างที่สตรีธรรมดาทั่วไปไม่มี


 


 


หากเป็นผู้อื่นพบเจอเรื่องเช่นนี้คิดว่าคงเสียใจและโกรธแค้นผู้ที่หักหลังตน แต่คุณหนูกลับมองไปในด้านดี จิตใจกว้างขวางมิคิดเล็กคิดน้อยจึงมิแปลกที่จะมีความสุขมากล้นเช่นนี้


 


 


“ต้าไหน่ไหน่ ในเมื่อเจี้ยงจูไม่อยู่แล้ว ตำแหน่งที่ว่างก็จักต้องรีบหาคนมาแทน ผู้อื่นได้มิคอยจ้องจนเกิดทำการไม่ดีอันใดขึ้น” ไป๋เสาเอ่ยเตือน


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้า ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ไป่หลิง สาวใช้น้อยที่ทำหน้าที่ทำความสะอาดเรือนที่เราพบวันนั้นชื่ออันใดหรือ นางดูฉลาดพูดจาฉะฉานยิ่ง”


 


 


ไป่หลิงรีบตอบว่า “บ่าวได้ไปสอบถามมาแล้วเจ้าค่ะ นางชื่อว่ามู่จือ”


 


 


“เลือกนางแล้วกัน”


 


 


“ต้าไหน่ไหน่ เราควรตรวจสอบให้ละเอียดอีกสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?” เพราะเรื่องของเจี้ยงจูทำให้ไป่หลิงรู้สึกมิใคร่วางใจนัก


 


 


เจินเมี่ยวคลี่ยิ้มคราหนึ่ง “มิต้อง ทุกคนที่มาพร้อมกับนางนั้นซื่อจื่อเป็นผู้คัดเลือกเข้ามาทั้งสิ้น”


 


 


ตั้งแต่นั้นสาวใช้ทำความสะอาดเรือนที่ชื่อว่ามู่จือก็กลายเป็นสาวใช้ขั้นสามของเรือนชิงเฟิง มีหน้าที่ดูแลจิ่นเหยียนและไป๋เสวี่ยโดยเฉพาะ


 


 


การไปมาหาสู่ในช่วงเทศกาลวันตรุษของปีนี้นั้นมิใคร่คึกคักนัก ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนอวยพรกันในเทศกาลวันตรุษนั้นนอกจากสหายสนิทแล้วก็ไม่มีผู้ใดอีก ด้วยกลัวว่าความครื้นเครงนี้จะเป็นที่ขุ่นเคืองพระเนตรของเบื้องบนเข้าทำให้หลายวันมานี้จวนกั๋วกงค่อนข้างเงียบสงบ ทว่าหลัวเทียนเฉิงกลับสืบเรื่องที่น่าสนใจบางอย่างมาได้


 


 


เจี้ยงจูผู้นั้นไม่เพียงมีความสัมพันธ์กับเผ่าเย่ว์อี๋แต่นางยังถูกนายท่านรองสกุลหลัวซื้อตัวไว้ตั้งแต่เจินเมี่ยวยังมิเข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้


 


 


เมื่อเห็นผลลัพธ์เช่นนี้แล้วหลัวเทียนเฉิงก็รู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้มิได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าอารองของเขามีโชคมาจากที่ใด เกลือเป็นหนอนที่อารองวางไว้กลับเป็นคนที่ผู้คนที่ถูกฝึกมาอย่างดีจากผู้ที่คิดจะครอบครองแผ่นดินแห่งนี้ นี้เท่ากับการจ่ายเงินซื้อหัวไชเท้าแต่กลับได้โสมมาโดยแท้


 


 


เพียงแต่ยามนี้ทั้งที่สืบไปถึงเงาของเผ่าเย่ว์อี๋และอำนาจที่ซ่อนอยู่ของรัชทายาทที่ถูกปลดตำแหน่งไปในยุคสมัยก่อนว่ามีความเกี่ยวข้องกันแล้วแท้ๆ แต่เมื่อมาถึงจุดสำคัญคราใด เบาะแสก็มักจะหายไปทำให้ต้องตกอยู่ในเมฆหมอกอันหนาทึบไม่มีวันสิ้นสุด


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้ว่าอำนาจที่แฝงอยู่นั้นซ่อนตัวมาได้จนถึงวันนี้นั้นใช้เวลามานับสิบยี่สิบปี ย่อมไม่มีทางกระชากมันออกมาได้ในเวลาแค่สั้นๆ เขาเองมิได้ร้อนใจอันใดแต่ก็สั่งให้คนของเขาไปสืบประวัติคนในตระกูลของสาวใช้เจินเมี่ยวถึงสามชั่วโคตรจึงวางใจได้


 


 


หน่วยองครักษ์จิ่นหลินมิใช่หน่วยงานธรรมดาทั่วไป องครักษ์ที่ออกหน้านั้นก็แล้วไปเถิด แต่องครักษ์นั้นเป็นดั่งพระเนตรพระกรรณของจักรพรรดิ กระทั่งตอนนี้ผู้ที่ทราบเรื่ององครักษ์ลับนั้นก็มีไม่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีผู้ใดทราบว่าใครเป็นผู้บัญชาการองครักษ์ลับเหล่านี้


 


 


ที่หลัวเทียนเฉิงยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้นอยู่ทุกวันนี้ก็เกี่ยวกับเรื่องขององครักษ์ลับนี้แล


 


 


องครักษ์ลับที่กระจายไปทั่วทุกสารทิศของแผ่นดินต่างนำข้อมูลเล็กน้อยดุจเกล็ดหิมะรายงานต่อเขา แต่องครักษ์ลับทั้งหลายต่างรายงานแต่ส่วนของตน พวกเขานั้นมิได้รู้ฐานะของกันและกัน เมื่อองครักษ์ทุกคนต่างส่งข้อมูลที่ตนหามาได้ให้หลัวเทียนเฉิงเพียงผู้เดียว เขาก็ต้องมาอ่านและวิเคราะห์จำแนกข้อมูลเองแล้วค่อยทูลข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อองค์จักรพรรดิ


 


 


ตั้งแต่เขาสัมผัสได้ถึงความรักที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นของเจินเมี่ยว ครั้นมีเวลาว่างจากงานหลัวเทียนเฉิงก็มักจะอดยิ้มโง่งมออกมามิได้ ใจของเขาเฝ้าครุ่นคิดถึงแต่นางผู้นั้น เมื่อเวลาเย็นย่ำในวันเทศกาลโคมไฟเขาก็กลับจวนอย่างมิอาจอดรนทนได้อีกต่อไป


 


 


“หา พาข้าไปดูโคมไฟหรือ?” เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “งานเทศกาลโคมไฟที่ทางการจัดมิใช่ถูกยกเลิกแล้วหรอกหรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงลูบไล้ปลายจมูกโด่งเชิดนั้นของนางอย่างสนิทสนม “เป็นเทศกาลโคมไฟที่ชาวบ้านจัดขึ้นเอง มีเสน่ห์แปลกตายิ่ง อยากไปดูสักหน่อยหรือไม่?”


 


 


เจินเมี่ยวคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า “หากท่านไปด้วยก็ย่อมต้องอยากไป”


 


 


วาจาเพียงประโยคเดียวก็ทำให้หลัวเทียนเฉิงเบิกบานใจยิ่งนัก เขาเผยยิ้มอันโง่งมออกมาโดยมิสนว่าอาหลวนและไป๋เสาก็อยู่ที่นี่ด้วย


 


 


ครั้นจิ่งเกอทราบเรื่องก็งอแงจะตามไปด้วยให้ได้


 


 


หลัวเทียนเฉิงนั้นยากนักจะได้อยู่กับภรรยาตามลำพังเช่นนี้ ไหนเลยจะยอมเอาให้เขาไปด้วย พูดไปพูดมาสุดท้ายเจินเมี่ยวจึงสัญญากับเขาว่าจะเอาโคมที่สวยที่สุดมาฝากเขาและให้เขาเรียกท่านแม่ได้หนึ่งวัน เด็กน้อยผู้นั้นจึงยอมสงบลงได้


 


 


หลัวเทียนเฉิงพาเจินเมี่ยวออกไปครานี้มิได้เอาสาวใช้ไปด้วยสักคน


 


 


โคมไฟหลากหลายรูปแบบส่องสว่างไปทั่วเมืองดุจยามทิวา ทุกที่เต็มไปด้วยต้นอวี้ซู่อิ๋นฮวา[1] โคมไฟห้อยแขวนเต็มต้นไม้ไปหมด มีหนุ่มสาวเดินชี้ชวนกันมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มนับไม่ถ้วน


 


 


เทศกาลตวนอู่ เทศกาลชีซีและเทศกาลโคมไฟล้วนเป็นวันที่บรรดาหญิงสาวชมชอบมากที่สุด


 


 


เจินเมี่ยวเห็นหลายคนกำลังผลักโคมเจดีย์แก้วที่มีขนาดสูงสามเมตรอยู่ โคมนั้นสว่างเจิดจ้ายิ่งจึงเดินเข้าไปอย่างเหม่อลอย เมื่อหันหลังกลับมากลับถูกดึงรั้งไปคราหนึ่ง


 


 


ครั้นเมื่อมีสติคืนมาจึงหันไปมองหลัวเทียนเฉิงก็เห็นเขาเม้มริมฝีปากแน่นพลางเอ่ยว่า “ระวังผู้อื่นชนเจ้าเข้า”


 


 


เจินเมี่ยวจึงหันไปมองด้านหลังตามสัญชาตญาณก็เห็นบุรุษหนุ่มแต่งกายอย่างบัณฑิตยืนอยู่ไม่ไกลนัก ทั้งยังมองมาทางนี้ด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม เห็นชัดว่าเมื่อครู่นางเกือบจะชนเข้ากับคนผู้นี้แต่ถูกหลัวเทียนเฉิงดึงไว้ได้ทันเวลา


 


 


หลัวเทียนเฉิงเห็นบัณฑิตผู้นั้นมองภรรยาตนแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่ในเทศกาลเช่นนี้เขามิอาจเข้าไปทำร้ายชกต่อยผู้อื่นเพียงเพราะเขามองภรรยาตนได้ จึงทำเพียงรั้งเจินเมี่ยวมาไว้ข้างกายตนด้วยใบหน้าขมวดเคร่ง แล้วเลือกหน้ากากลิงอันหนึ่งให้นางใส่ไว้


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย “เหตุใดจึงเป็นลิงเล่า?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงถลึงตาใส่ “เจ้าอยากจะให้หน้ากากฉางเอ๋อร์ให้คนหันมามองหรืออย่างไร?”


 


 


เจินเมี่ยวจึงยอมใส่หน้ากากลิงนั้นอย่างว่าง่ายแล้วปล่อยให้เขาเดินจูงมือชมโคมไฟสวยงามแปลกตาหลากหลายนับพันนั้นเรื่อยๆ พลันก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียก “ดอกไม้ไฟ…”


 


 


ครานี้เองคนทั้งหลายจึงพุ่งไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เจินเมี่ยวมองขึ้นไปบนท้องฟ้าในทิศทางเดียวกันเช่นกัน ครั้นได้ยินเสียงปัง ดอกไม้ไฟอันสวยงามดวงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า


 


 


ดอกไม้ไฟนั้นงามเหลือเกิน แสงของมันสาดส่องท้องฟ้าไปมากกว่าครึ่ง คนทั้งหลายต่างจ้องมองมันนิ่งอย่างลืมหายใจ


 


 


เจินเมี่ยวพลันรู้สึกใบหน้าเบาโล่ง ลมเย็นพัดเข้ามาปะทะหน้า ไม่รู้ว่าหลัวเทียนเฉิงปลดนางกากนางลงครึ่งหนึ่งแล้วประทับจุมพิตลงไปบนหน้าผากของนางแผ่วเบา


 


 


ผู้คนที่อยู่ด้านหลังมากมายดุจคลื่นทะเล ดอกไม้ไฟดวงใหญ่กระจ่างสว่างจ้าอย่างถึงที่สุดแล้วสลายตัวกลายเป็นดาวตกดวงน้อยและค่อยๆ สลายหายไป คนตรงหน้านั้นหล่อเหลาเหนือกว่าผู้ใด ในดวงตาอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกอันอ่อนโยนที่มองได้เพียงแต่นางเท่านั้น


 


 


ช่วงเวลานี้เองที่เจินเมี่ยวพลันรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง ในยุคสมัยอันแปลกหน้านี้ ตนกลับได้พบคนผู้นี้


 


 


คล้ายว่านอกจากการดูแลทะนุถนอมไว้ นางก็คิดสิ่งอื่นไม่ออกอีกเลย


 


 


กลุ่มคนกลับมาเดินกันพลุกพล่านอีกครา หลัวเทียนเฉิงจึงดึงหน้ากากลงให้นางอีกครา ในขณะกำลังเดินจูงนางเดินไปตรงหน้าก็พลันหยุดชะงัก


 


 


“มีอันใดหรือ?” เจินเมี่ยวมองตามสายตาของเขาไปก็เห็นเจินปิงและเจินอวี้ที่มีท่าทีร้อนรนคล้ายกำลังหาสิ่งใดอยู่


 


 


เจินเมี่ยวถอดหน้ากากลิงออก แล้วกวักมือเรียก “น้องห้า น้องหก พวกเจ้าก็มาเที่ยวเทศกาลโคมไฟด้วยหรือ เกิดอันใดขึ้นหรือไม่?”


 


 


เมื่อเจินปิงและเจินอวี้พบเจินเมี่ยวเข้าอย่างกะทันหันก็มีสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที พวกนางพาบ่าวไพร่วิ่งเข้ามาหาเจินเมี่ยวทันที


 


 


เจินอวี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแค้นเคืองโดยมิสนหลัวเทียนเฉิงที่ยืนอยู่ด้านข้างเลย “พี่สี่ ญาติผู้น้องของท่านโวยวายจะตามเรามาเทศกาลโคมไฟให้ได้ แต่พริบตาเดียวนางก็หายตัวไปเสียแล้ว!”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ต้นอวี้ซู่อิ๋นฮวา เป็นดอกเบญจมาศชนิดหนึ่ง มีดอกสีชมพูอ่อนๆ 

 

 


ตอนที่ 290 ทำตนเองทั้งสิ้น

 

 


 


ครั้นเจินเมี่ยวได้ยินว่าเวินยาฉีหายไปก็เกิดลางสังหรณ์อันไม่ดีขึ้น ต่างก็ทราบกันดีว่าเจินจิ้งเองก็ได้พบกับองค์ชายหกเพราะงานเทศกาลชีซี เวินยาฉีคงมิคิดเลียนอย่างนางกระมัง?


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ทั้งโมโหทั้งร้อนใจ วันนั้นที่นางเอ่ยเตือนก็เห็นว่าดูยินยอมเชื่อฟังด้วยดี เหตุใดจึงก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้เล่า?


 


 


“จิ่นหมิง ท่านช่วยไปตามหาญาติผู้น้องอีกแรงเถิด” อารมณ์อันดียิ่งของเจินเมี่ยวมลายหายไปสิ้นเหลือเพียงความร้อนรนและโทสะเริ่มปะทุขึ้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงอารมณ์เสียอย่างยิ่ง


 


 


เขาอุตส่าห์หาเวลาว่างทั้งที่ยุ่งมากเพื่อมาเดินเล่นชมโคมไฟกับภรรยา เพราะอยากจะให้ความรักและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาได้ก้าวไปอีกขั้น ผู้ใดจะทราบว่าญาติผู้น้องอันใดนั้นกลับทำลายมันไปเสียสิ้น ยามนี้จึงเริ่มรู้สึกชังน้ำหน้าเวินยาฉีขึ้นมา แต่จะให้เขาปล่อยปละไม่สนใจก็มิได้จึงล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบของบางอย่างออกมา มิเห็นเขาทำอันใดกับมันด้วยมันก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าเสียแล้ว


 


 


เสียงแผ่วเบานั้นถูกกลืนเข้าไปในท่ามกลางเสียงอันอึกทึกนั้น แต่บนท้องฟ้ากลับปรากฏดอกไม้งดงามเจิดจ้าช่อหนึ่งขึ้น


 


 


ไม่นานก็มีคนหน้าตาธรรมดาสวมชุดอย่างคนทั่วไปจำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น พวกเขาเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าหลัวเทียนเฉิงอย่างเงียบๆ


 


 


“ญาติผู้น้องแต่งกายเช่นไร?” หลัวเทียนเฉิงมองไปยังเจินปิง เจินอวี้


 


 


เจินปิงเอ่ยว่า “ใส่เสื้อคลุมมีขนปักลายดอกหมู่ตานสีแดงสด กระโปรงจีบรอบสีน้ำเงินลายมัจฉาแหวกว่ายในทะเลสาหร่าย”


 


 


“ใช่แล้ว นางปักปิ่นทองระย้าพวงไข่มุกด้วย” เจินอวี้เม้มริมฝีปากเอ่ยขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความประชดประชัน


 


 


คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ที่ยังมิเข้าพิธีปักปิ่นเช่นพวกนางนั้นย่อมต้องมีเครื่องประดับอย่างปิ่นปักระย้าไว้ในลิ้นชักอย่างแน่นอน แต่ก็น้อยนักจะใส่ออกมาข้างนอก หากอ้างถึงวาจาผู้อาวุโส ท่านคงจะบอกว่าคุณหนูน้อยก็ควรแต่งกายอย่างคุณหนูน้อย มิจำเป็นต้องใส่ปิ่นปักมุกอันใดให้เต็มศีรษะ นั้นเป็นลักษณะของผู้ที่เพิ่งร่ำรวยขึ้นมาอย่างกะทันหันมักกระทำมากกว่า


 


 


“ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ไปตามหาคนตามที่คุณหนูทั้งสองบรรยายลักษณะมาเถิด เราจะไปรอที่ร้านน้ำชาข้างหน้า” หลัวเทียนเฉิงชี้ไปที่ร้านน้ำชาที่แห่งหนึ่ง


 


 


คนเหล่านั้นยกมือขึ้นประกบกันเป็นการแสดงความเคารพแล้วกลมกลืนหายไปในฝูงชนทันที


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองเจินปิง เจิ้นอวี้แล้วเอ่ยว่า “น้องห้า น้องหกพาบ่าวไพร่ไปรอที่ร้านน้ำชาด้วยกันเถิด”


 


 


เจินปิงลังเลครู่หนึ่ง “พี่เขยสี่ ให้บ่าวไพร่พวกนี้ไปตามหากด้วยเถิด คนมากก็ย่อมตามหาได้เร็วขึ้น”


 


 


“มิจำเป็น พวกเจ้าสองคนเองก็ต้องการคนคุ้มครอง” หลัวเทียนเฉิงปฏิเสธความเห็นของเจินปิง แล้วเดินจูงมือเจินเมี่ยวเดินตรงไปที่ร้านน้ำชาก่อน


 


 


แม้นท่าทีของเขาจะอ่อนโยน แต่อาจเพราะตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับในยามนี้จึงทำให้เขามีท่าทีน่าเกรงขามเผยออกมาโดยไม่รู้ตัว เจินปิงและเจินอวี้ต่างไม่กล้าพูดอันใดให้มากความได้แต่เดินตามไปเท่านั้น


 


 


ร้านน้ำชาที่ตั้งขึ้นริมทางนั้นมิได้สะอาดเท่าใดันัก หลัวเทียนเฉิงจึงหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเก้าอี้คราหนึ่งจึงจูงเจินเมี่ยวไปนั่ง


 


 


เจินปิง เจินอวี้ล้วนเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตาจึงรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย ในใจก็เอ่ยว่าหากสามีในอนาคตของพวกนางเป็นเช่นพี่เขยสี่คงจะดียิ่ง


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ยกชาเข้ามาให้ด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า


 


 


น้ำชาเป็นสีขุ่นแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นชาธรรมดาทั่วไป พวกเขาจึงมิได้ดื่มเพียงยกขึ้นมากุมไว้เพื่อให้ความอบอุ่นแก่มือ และรอด้วยความร้อนใจต่อไป


 


 


แม้นสีหน้าของหลัวเทียนเฉิงจะสงบนิ่งอย่างยิ่ง แต่ในใจก็ทราบว่าการตามหาคนนั้นมิใช่เรื่องที่ทำได้ภายในเวลาเพียงชั่วครู่


 


 


อย่างไรเสียองครักษ์ลับก็มิใช่เทพเซียน เทศกาลโคมไฟคนมากมายดุจหุบเขาดั่งทะเลกว้าง การตามหาแม่นางน้อยผู้หนึ่งไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น


 


 


“หนาวหรือไม่?”


 


 


เจินเมี่ยวเห็นหลัวเทียนเฉิงถามตนก็อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่หนาว”


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงคว้ามือนางมาจับไว้เมื่อเห็นว่ามือฝ่ามือนางอุ่นร้อนดีจึงได้วางใจ แล้วเอ่ยต่อว่า “รอสักครึ่งชั่วยาม หากยังไม่พบพวกเจ้าก็กลับไปก่อน”


 


 


เจินเมี่ยวและคุณหนูทั้งสองพยักหน้า ครั้นคิดถึงเรื่องของเวินยาฉีแล้วต่างก็เงียบงันกันขึ้นมาทั้งหมด


 


 


เคราะห์ดีที่ผ่านไปเพียงสองเค่อก็มีบุรุษผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าแล้วพยักหน้าให้แก่หลัวเทียนเฉิงเป็นการส่งสัญญาณ


 


 


หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นทันใด “ไป”


 


 


พวกเขาเดินตามคนผู้นั้นไปยังที่ลับตาคนจึงพบว่ามีบุรุษหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วย ครั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหว สตรีผู้หนึ่งก็หันหน้าโผล่ออกมาจากเงาตะคุ่มนั้น หากมิใช่เวินยาฉีจะเป็นผู้ใดเล่า


 


 


เวินยาฉีหน้าซีดเผือดไปทันทีเมื่อเห็นเจินเมี่ยวจึงกัดริมฝีปากตนเอ่ยขึ้นด้วยยังอยู่ในอาการตกใจ “ญาติ…ญาติผู้พี่ เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่?”


 


 


เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากตน “หากมิอยู่ที่นี่แล้วจะตามหาญาติผู้น้องพบได้รวดเร็วปานนี้หรือ”


 


 


เจินอวี้เอ่ยถามขึ้นอย่างมิอาจอดกลั้นได้ว่า “เวินยาฉี เจ้าไปที่ไหนมา รู้หรือไม่ว่าทำให้พวกเราร้อนใจเพียงใด?”


 


 


เวินยาฉีห่อตัวคราหนึ่งแล้วเอ่ยแล้วเอ่ยตะกุกตะกักขึ้นว่า “ข้ามัวแต่มองโคมฉางเอ๋อร์ หันมาอีกทีก็ไม่เห็นพวกเจ้าแล้ว”


 


 


พูดพลางมองบุรุษสองคนนั้นคราหนึ่งแล้วเอ่ยอีกว่า “ต่อมาก็ถูกพวกเขาลากมาที่นี่ ข้ากลัวแทบตาย”


 


 


“มัวแต่มองโคมไฟงั้นหรือ?” เจินอวี้แค่นหัวเราะ ขณะกำลังจะพูดอันใดขึ้นมาอีกก็ถูกเจินปิงสะกิดเสียก่อน


 


 


ไม่ว่าอย่างไรข้ออ้างนี้ก็ย่อมดีกว่าการลอบมาพบกับบุรุษมากมายยิ่งนัก ถือเสียว่ามันไปเคยเกิดขึ้นแล้วกัน


 


 


เจินปิงเข้าใจเรื่องทุกอย่างดี แล้วมีหรือเจินเมี่ยวจะไม่เข้าใจ นางมองเวินยาฉีอย่างล้ำลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “วันนี้พบกับเรื่องน่าตกใจมามากพอแล้ว ญาติผู้น้องรีบตามน้องห้ากับน้องหกกลับไปเถิด”


 


 


ทว่าในใจกลับคิดว่าพรุ่งนี้จักต้องเขียนจดหมายไปถึงนางเวินให้สอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดเป็นการส่วนตัวคราหนึ่ง


 


 


“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ทำให้ญาติผู้พี่ต้องยุ่งยากแล้ว” เวินยาฉีกลับแสดงท่าทีว่าง่ายแต่ในใจกลับอดสงสัยมิได้


 


 


นางบังเอิญพบกับบุรุษผู้นั้นในเทศกาลงานโคมไฟนี้ถึงสามครา


 


 


ครั้งแรกคือตอนที่ลงมาจากรถม้านางบังเอิญเหลือบไปเห็นเขากระโดดลงมาจากหลังม้า คนทั้งสองสบตากัน เขาพลันผลิยิ้มออกมา


 


 


ครั้งที่สองคือตอนที่คุณหนูห้ากับคุณหนูหกกำลังเลือกโคมไฟอยู่ นางได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จึงหันไปมองก็เห็นเขาถอดหน้ากากเสือออกแล้วทำหน้าบิดเบี้ยวใส่เด็กน้อย


 


 


ครั้งที่สามคือตอนที่ดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้น นางมิได้อยากจะดูสักนิด ในใจพลันปรากฏใบหน้ายิ้มแย้มของบุรุษผู้นั้นขึ้นจึงเดินไปยังบริเวณที่โคมถูกห้อยไว้เต็มนั้นโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่กำลังคิดเรื่องต่างๆ วุ่นวายในหัวใจก็ชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง ครั้นกำลังจะเอ่ยปากต่อว่ากลับเห็นใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความดีใจยิ่งของอีกฝ่าย


 


 


ชั่วขณะนั้นนางรู้สึกดั่งมีดอกไม้ไฟนับไม่ถ้วนถูกจุดขึ้นตรงหน้า สว่างเจิดจ้า งดงามหาใดเปรียบ


 


 


นางลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าผู้ใดเป็นคนเอ่ยพูดขึ้นก่อน รู้สึกตัวอีกทีก็ยืนอยู่กับเขาใต้ต้นไม้สูงนั้นแล้ว ทั้งสองสบตากัน คำหวานต่างๆ พรั่งพรูออกมาอย่างไม่จบสิ้น


 


 


เขาบอกว่าเขาเป็นคุณชายรองของตระกูลฉังถิงปั๋ว ภายหน้าก็ต้องแยกตัวออกมาอยู่คนเดียวจึงเอ่ยถามว่านางถือสาหรือไม่


 


 


นางมีอันใดจะไปถือสาเล่า เขามีฐานะสูงส่ง รูปโฉม ท่าทีล้วนต้องใจนางทุกสิ่ง หากแต่งให้บุรุษเช่นนี้ อย่างไรก็ย่อมดีกว่าแต่งกับบุรุษไร้ภรรยาที่ญาติผู้พี่หาให้


 


 


ที่น่ายินดียิ่งคือเขามิได้ถือสาที่นางเป็นเพียงญาติห่างๆ ของจวนเจี้ยนอานปั๋วทั้งยังเอาหยกห้อยเอวของตนมอบให้นางอีก


 


 


หยกนั้นงดงามแวววาว แค่มองก็รู้ว่ามิใช่ของธรรมดา แต่นางกลับไม่มีอันใดที่จะมอบให้เขาจึงถุงหอมอันประณีตงดงามที่นางเพิ่งปักเสร็จใหม่ๆ ส่งให้เขาไป


 


 


กระทั่งถึงจวนมุมปากของเวินยาฉีก็ยังคงเคลือบด้วยรอยยิ้มอยู่เช่นเดิม เมื่อคิดถึงวาจาที่เขาบอกว่าพรุ่งนี้จะมาขอนางก็รู้สึกหวั่นไหวและหวานล้ำ


 


 


เจินปิงกับเจินอวี้มิได้ตรงกลับไปที่สวนฟางเฟยทันทีแต่ไปที่เรือนหนิงโซ่วก่อน


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าพักผ่อนแล้วแต่เมื่อได้ยินว่าหลานสาวสองคนมารออยู่ด้านนอกก็ใจหายวาบคราหนึ่งแล้วรีบสวมอาภรณ์ทั้งอนุญาตให้ทั้งสองเข้ามาหาได้


 


 


เมื่อได้ยินว่าเวินยาฉีหายตัวไประยะหนึ่งก่อนตามเจอ สีหน้าก็เปลี่ยนเล็กน้อย แล้วบอกให้แม่นมหวังไปเรียกนางเวินมาหา


 


 


นางเวินได้ฟังก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาทันที นางตรงไปที่สวนเฉิงเซียงทันทีโดยมิสนว่ามืดค่ำเพียงใดแล้ว นางสอบถามเวินยาฉีอยู่นาน แต่นางกลับเอาแต่บอกว่ามัวแต่ชื่นชมโคมไฟจนทำให้พลัดหลงจากเจินปิง เจินอวี้


 


 


เวินยาฉีคิดว่าหากคนผู้นั้นมาสู่ขอนางจริงย่อมต้องเป็นโชคและวาสนาของนาง หากเขาไม่มา เมื่อนางมิได้เอ่ยถึงสักนิดก็ย่อมมิขายหน้า


 


 


นางเวินเห็นเวินยาฉียืนยันหนักแน่น สอบถามอยู่นานก็มิได้คำตอบอื่น นางจึงเลิกถามแล้วกลับเรือนตนไป อย่างไรเสียหลานสาวแท้ๆ พูดถึงเพียงนี้แล้ว หากนางผู้เป็นอามิเชื่อถือ เอาแต่บีบบังคับถามให้นางบอกว่ามีบุรุษมาข่มเหง นั้นก็คงมิใช่เรื่องที่ดีนัก


 


 


ด้านเจินเมี่ยวและหลัวเทียนเฉิง เมื่อกลับถึงเรือนชิงเฟิงก็อาบน้ำล้างหน้า กระทั่งเหลือเพียงสองสามีภรรยา หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เกรงว่าญาติผู้น้องผู้นั้นของเจ้าคงจะพบกับผู้อื่นอีกเป็นแน่”


 


 


“ท่านก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือ?” เจินเมี่ยวรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาในใจ หากเป็นผู้อื่นนางอาจจะเชื่อ แต่เรื่องราวก่อนหน้าที่เวินยาฉีทำและการใกล้ชิดกับเจินจิ้งในระยะนี้ทำให้นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มพลางเอ่ยว่า “สตรีแน่งน้อยเอ่ยวาจาไม่ตรงกับใจไหนเลยจะมิเผยพิรุธได้”


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าย่ำแย่ของเจินเมี่ยว จึงลูบหน้านางพลางเอ่ยว่า “เป็นอันใด เจ้าห่วงญาติผู้น้องเจ้าเพียงนี้เชียวหรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวจึงตอบว่า “ความผูกพันของเรามิอาจพูดได้ว่าลึกซึ้งอันใด แต่นางเป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่านแม่ ตอนที่ท่านป้าสะใภ้มาเมืองหลวงก็ได้อื่นฝากฝังนางไว้กับท่านแม่ หากมีเรื่องใดเกิดขึ้นย่อมต้องกระทบกระเทือนจิตใจท่านแม่แน่”


 


 


หลัวเทียนเฉิงได้ฟังก็ทอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว หากเจ้ากังวลว่าจะมีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้น เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็กลับไปเยี่ยมจวนเจี้ยนอานปั๋วสักคราเถิด แล้วหลอกนางว่าข้าได้สั่งให้องครักษ์ลับไปสืบเรื่องคนผู้นั้นเรียบร้อยแล้ว หากคนผู้นั้นมีคุณสมบัติเหมาะสมก็จัดการเรื่องงานแต่งให้เรียบร้อยก็ไม่เลว หากมิเหมาะสมกัน แค่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครเราก็สามารถแก้ไขความยุ่งยากที่จะตามมาได้ทันท่วงที”


 


 


“อืม” เจินเมี่ยวพยักหน้า


 


 


คนทั้งสองจึงตระกองกอดกันเข้านอน วันถัดมาหลัวเทียนเฉิงก็กลับไปที่ศาลาว่าการ นางเองก็จัดการแต่งตัวอย่างรีบร้อนแล้วนั่งรถม้าไปที่จวนเจี้ยนอานปั๋ว


 


 


แต่น่าเสียดายที่ความรีบร้อนของนางก็ยังนับว่าช้าอยู่หนึ่งก้าว เมื่อถึงจวนเจี้ยนอานปั๋วก็เห็นว่ามีคนมากมายมายืนชี้ไม้ชี้มืออยู่มากมาย


 


 


เจินเมี่ยวเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้วก็ได้แต่ลอบเอ่ยในใจว่าแย่แล้ว จึงรีบร้อนไปที่เรือนหนิงโซ่ว


 


 


ภายในเรือนหนิงโซ่วนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินเรือนต่างๆ ล้วนอยู่กันคร นอกจากนี้ยังมีเจินปิง เจินอวี้และเวินยาฉีอีกด้วย


 


 


ตอนที่เจินเมี่ยวเดินเข้าไปก็ได้ยินเวินยาฉีเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เป็นไปไม่ได้ ข้าไหนเลยจะรู้จักกับคุณชายรองร้านขายโลงศพได้! ท่านอา ท่านต้องช่วยหลานนะเจ้าค่ะ นี่ต้องเป็นแผนของคนชั่วช้าที่คิดจะเป็นคางคกอยากกินเนื้อหงส์ แต่ก็มิกล้าลงมือกับคุณหนูจวนปั๋วโดยตรงถึงได้มาลงที่หลาน!”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ามองเวินยาฉีที่ร้องห่มร้องไห้โวยวายอยู่นั้นด้วยใบหน้าขมวดเกร็งแต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใด เพียงชำเลืองมองไปที่นางเวินอย่างเฉยชาคราหนึ่ง


 


 


นางเจี่ยงลอบส่ายหน้า ในใจก็กล่าวว่านางเวินช่างโชคไม่ดีนัก บุตรสาวสองคนล้วนแต่งกับคุณชายตระกูลใหญ่แต่หลานสาวกลับสร้างแต่เรื่องให้ต้องกังวลใจ


 


 


นางหลี่ลอบเบ้ปากตน สองปีที่ผ่านมานี่ในที่สุดนางก็มีเรื่องให้เบิกบานใจเสียบ้าง


 


 


นางเวินหน้าเขียวคล้ำไปหมด นางหยิบถุงหอมขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทาแล้วโยนทิ้งไป “ยาฉี นี่เป็นสิ่งที่ค้นพบในห้องของเจ้า เจ้าจำได้หรือไม่?”


 


 


“เป็นของที่หลานหัดทำเมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าค่ะ”


 


 


“ด้านในของถุงหอมใบนี้ปักอักษร ‘ฉี’ ไว้มุมขวาด้านล่างของถุงหอมใช่หรือไม่ ในมือของบุรุษผู้ที่รอเจ้าอยู่ห้องด้านข้างนี่ก็มีถุงหอมที่ปักได้ประณีตงดงามกว่านี้อยู่ แต่รูปแบบการเย็บเหมือนกันและมีอักษร ‘ฉี’ ปักไว้ในตำแหน่งเดียวกันอีกด้วย!”


 


 


ใบหน้าของเวินยาฉีพลันซีดเผือดลง นางร้องเสียงแหลมขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้ คนผู้นั้นที่ข้าพบเมื่อวาน เขาบอกว่าเป็นคุณชายรองจากตระกูลฉังถิงปั๋วชัดๆ !”


 


 


นัยน์ตาฮูหยินผู้เฒ่าพลันส่องประกายวาบขึ้นมา แล้วเอ่ยปากขึ้นเป็นครั้งแรก “ผู้เฒ่าอย่างข้ามีชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีกลับมิเคยได้ยินชื่อจวนฉังถิงปั๋วเลยสักครา”


 


 


เวินยาฉีพลันรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ นางมอบไปโดยรอบอย่างไร้หนทาง


 


 


พลันได้ยินแม่นมหวังที่ยืนอยู่ด้านหลังฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า บ่าวกลับทราบมาว่าที่ถนนชิงเชวี่ยมีร้านขายโลงศพร้านหนึ่งชื่อร้านโลงศพฉังถิง”

 

 

 


ตอนที่ 291 กว่าจะเข้าใจก็สายเกินไปแล้ว

 

ครั้นวาจานี้เอ่ยออกมา ทั่วทั้งห้องก็เงียบไปทันใด เป็นบรรยากาศที่ทำให้คนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อจนทำตัวไม่ถูก กระทั่งหาไม่เจอแม้แต่เสียงของตนเอง


 


 


โดยเฉพาะเจินปิง เจินอวี้ สองพี่น้องต่างมองหน้ากัน แววตาเต็มไปด้วยความงุนงง


 


 


ร้านโลงศพ? มันคือของเช่นใดกัน?


 


 


คิดไม่ออกว่ามัน…จะเชื่อมโยงกับงานมงคลได้อย่างไร?


 


 


“เป็นไปไม่ได้ ข้าจะไปถามให้ชัดเจน!” เวินยาฉีร้องโหยหวนขึ้นเสียงหนึ่งทำลายความเงียบที่กระจายอยู่เต็มห้องนั้นไปทันที แล้วก้าวเท้าวิ่งออกไปทางประตูทำให้เผลอชนเจินเมี่ยวจนเซถลา


 


 


“ญาติผู้น้อง…” เจินเมี่ยวข่มความเจ็บไว้แล้วก้าวเท้าตามไป


 


 


เสียงฮูหยินผู้เฒ่าดังไล่หลังขึ้น “เจ้าสี่ ให้ญาติผู้น้องเจ้าไปเถิด”


 


 


หากได้ถามก็คงจะเลิกหวังเสียที


 


 


“นางเวิน ยาฉีเป็นหลานสาวจากตระกูลมารดาเจ้า แม้นจะอาศัยอยู่ในจวนของเรา แต่เรื่องงานแต่งนั้นข้าก็คงมิอาจยื่นมือเข้าแทรกได้ แต่วันนี้คุณชายรองร้านขายโลงศพมาพูดคุยสู่ขอถึงจวนทำให้ผู้คนต่างทราบเรื่องเมื่อวานที่พวกเขานัดพบกันในงานเทศกาลโคมไฟ เมื่อเรื่องลุกลามจนเป็นเช่นนี้ก็คงมิใช่แค่เรื่องในเรือนของพวกเจ้าแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเสียงขรึม


 


 


ความอับอายและรู้สึกผิดกระจายอยู่เต็มหน้านางเวิน “สะใภ้ทราบเจ้าค่ะ เป็นเพราะสะใภ้บกพร่องในการอบรมจึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา”


 


 


นางเวินย่อกายให้นางเจียง “พี่สะใภ้ใหญ่ ทำให้ท่านต้องยุ่งยากแล้ว”


 


 


แล้วเอ่ยกับนางหลี่ต่อว่า “พี่สะใภ้รอง ขออภัยท่านด้วย”


 


 


นางเจี่ยงเป็นผู้ดูแลจวน เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในจวน อย่างไรก็ย่อมต้องเสื่อมเสียเกียรติไม่น้อยแม้นในใจจะหงุดหงิดยิ่งแต่บุตรชายและบุตรสาวของนางเวินล้วนได้ดีกันทั้งสิ้น หันเกอยังเล็กนัก ภายหน้ายังต้องการค้ำชูจากบรรดาพี่น้อง ไหนเลยจะทำให้นางเวินต้องย่ำแย่เล่า นางจึงเอ่ยว่า “ล้วนเป็นคนกันเองทั้งสิ้น น้องสะใภ้สามอย่าได้พูดเช่นนี้เลย เรื่องที่เราควรทำคือรีบจัดการเรื่องนี้ให้จบไปโดยไว”


 


 


นางหลี่ลูบผมตนคราหนึ่ง ในใจก็กล่าวว่าวันนี้นางเวินนับว่าใช้ได้ กล่าววาจาขออภัยก็มิลืมนาง แต่ต่อมาก็ต้องชะงักไป


 


 


ข้าก็เป็นมารดาผู้หนึ่ง คุณหนูในจวนมีแค่บุตรสาวของนางที่ยังไม่ออกเรือน จิ้งเอ๋อร์ยังหาคู่ที่เหมาะสมไม่ได้เสียที แต่อย่างไรก็จะให้อวี้เอ๋อร์หมั้นหมายกับคุณชายตระกูลหวัง


 


 


แม้นการที่น้องสาวหมั้นหมายก่อนพี่สาวนั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสม แต่เพราะเป็นฝาแฝดจึงพอจะถูไถไปได้


 


 


ทว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คนทั่วเมืองหลวงก็ย่อมต้องวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้ทำให้จวนเจี้ยนอานปั๋วเป็นที่พูดถึงกันไปทั่ว ชื่อเสียงของจิ้งเอ๋อร์ก็ย่อมต้องถูกเด็กสาวร้อนร่านนั้นดึงให้เสียหายไปด้วย!


 


 


ครั้นคิดถึงตรงนี้ นางหลี่ก็รู้สึกย่ำแย่ไปทั่วร่าง สีหน้าเปลี่ยนไปทันที นางพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ ท่านจักต้องให้ความเป็นธรรมกับจิ้งเอ๋อร์นะเจ้าคะ จิ้งเอ๋อร์ที่น่าสงสารของข้าจักต้องมาถูกเด็กสาวร้อนร่านนั้นทำให้ลำบากไปด้วย!”


 


 


“พี่สะใภ้รอง…” นางเวินมีสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง คำว่า ‘เด็กสาวร้อนร่าน’ นั้นคล้ายการตบหน้านางโดยแรงหนึ่งฉาด ทั้งอับอายทั้งเจ็บปวด


 


 


นางหลี่โบกมือคราหนึ่ง “มิต้อง มิต้องขอโทษ หากการขอโทษมีประโยชน์ ยังต้องมีกฎเกณฑ์และกฎหมายไปไยกัน? ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ สตรีที่แม้แต่เดินบนถนนยังแทบยกเรียวขาขึ้นยั่วบุรุษเช่นคุณหนูผู้เป็นญาติผู้น้องนั้น ท่านรีบส่งนางกับบ้านเกิดไปเถิด ให้มารดาของนางกังวลเสียเอง!”


 


 


“ท่านแม่!” เจินปิงและเจินอวี้กระทืบเท้าพรางร้องขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนตัวสั่น “พอแล้ว นางหลี่ เท่านี้เจ้าคิดว่ามันยังวุ่นวายไม่พออีกหรือ? บุตรสาวเจ้าก็ยังอยู่ตรงนี้ ดูสิว่าเจ้าพูดวาจาเช่นใดออกมา!”


 


 


นางหลี่เห็นฮูหยินผู้เฒ่ามีโทสะ บุตรสาวทั้งสองทั้งโกรธทั้งอายก็ทราบว่าตนพลั้งปากไปจึงปิดปากตนทันที


 


 


“ท่านย่า ท่านอย่าเพิ่งกังวลใจไปเลย ต่อให้เรื่องใหญ่เพียงใดก็ย่อมต้องมีวิธีแก้ไข” เจินเมี่ยวกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะโกรธจนเสียสุขภาพจึงรีบเข้าไปลูบหลัง


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาวแล้วจ้องนางเวิน “นางเวิน ข้าอยากจะถามเจ้าว่า เจ้ามีความคิดเห็นเช่นใดกับเรื่องนี้?”


 


 


เด็กสาวผู้นั้นช่างเป็นคนที่มิอาจทำให้สงบใจได้จริงๆ หากนางเวินยังคิดจะปกป้องนาง นางหลี่ก็พูด ควรจะต้องรีบส่งนางกลับบ้านเกิดไป ชื่อเสียงของจวนปั๋วเสียชื่อเพียงคราเดียว อย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้เกิดเรื่องน่าขายหน้าไปมากกว่านี้


 


 


ครานี้นางเวินกลับมิได้ลังเล นางเอ่ยขึ้นทันทีว่า “สะใภ้คิดดูแล้วแม้นชาติกำเนิดของคุณชายรองร้านโลงศพนั้นยังมิได้ดีนัก แต่หากเป็นคนดีก็จะให้ยาฉีแต่งกับเขาเสีย หากไม่เหมาะสมให้ตบแต่งกัน เช่นนั้นก็ส่งยาฉีกลับไปที่ไฮ่ติ้งเพื่อหลบข่าวคราวพวกนี้ก่อนค่อยว่ากันอีกที”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “เช่นนี้ก็ดี” แล้วมองไปที่เจินเมี่ยวพลางเอ่ยว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้ากับมารดาไปเรียกยาฉีกลับมาที่นี่ด้วยกันเถิด”


 


 


เวลานี้เด็กสาวผู้นั้นคงซักถามจนได้ความชัดเจนแล้วกระมัง


 


 


เวินยาฉีพุ่งเข้าไปในห้องโถงเล็กนั้นดุจพายุ


 


 


บุรุษผู้นั้นนั่งรออยู่ในห้องโถงอันงดงามหรูหรานี้ด้วยความวุ่นวายใจอย่างยิ่ง ครั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็เงยหน้าขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าเป็นเวินยาฉีก็ลุกขึ้นพลางมองนางด้วยสีหน้ายินดี “คุณหนูเวิน”


 


 


เวินยาฉีมองบุรุษผู้นั้นด้วยความอึ้งงัน


 


 


เมื่อวานตอนที่มองเขาภายในแสงโคมไฟนั้นช่างเป็นคุณชายที่สง่างาม รูปโฉมดุจหยก แต่เมื่อเปลี่ยนมามองในยามกลางวันจึงเห็นว่าคนผู้นี้ออกจะมีสีผิวที่คล้ำไปอยู่สักหน่อย แต่รูปโฉมก็ยังคงสง่างามอยู่เช่นเดิม


 


 


เวินยาฉีสูดลมหายใจเข้าคราหนึ่งคล้ายกลัวว่าความฝันอันงดงามภายในใจนั้นจะถูกทำลายไปกระนั้น นางเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “พวกเขาต่างบอกว่าท่านเป็นคุณชายรองร้านขายโลงศพ ท่านล้อพวกเขาเล่นใช่หรือไม่?”


 


 


บุรุษผู้นั้นจ้องมองเวินยาฉีอย่างล้ำลึก แล้วเอ่ยอย่างประหม่าออกมาว่า “บ้านข้าเปิดร้านขายโลงศพจริง”


 


 


หัวใจอันโล่งสบายของเวินยาฉีพลันหนาวเหน็บไปถึงครึ่งดวง หน้าถอดสีไปทันที นางถอยหลังไปหนึ่งกล่าวพลางเอ่ยถามว่า “แต่…แต่เมื่อคืนท่านบอกข้าว่าเป็นคุณชายรองตระกูลฉังถิงปั๋วมิใช่หรือ!”


 


 


ครานี้บุรุษหนุ่มกลัวเอ่ยออกมาอย่างเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่กล่าวผิดไป “ฉังถิงเป็นนามของบิดาข้า ตั้งแต่พวกเราพี่น้องเติบใหญ่ขึ้น เพื่อนบ้านต่างก็เรียกเขาว่าฉังถิงปั๋ว[1] !(ลุงฉังถิง)”


 


 


ร่างเวินยาฉีส่ายโงนเงนไปครู่หนึ่ง


 


 


ท่านลุงฉังถิงผู้แสนดี!


 


 


บุรุษหนุ่มเดินเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จ้องมองเวินยาฉีด้วยแววตาอันเต็มไปด้วยความรู้สึก “คุณหนูเวิน เมื่อคืนที่ข้าพบเจ้าก็รู้สึกหลงรักทันที กลับไปก็ได้พูดคุยกับท่านพ่อท่านแม่แล้ว พวกท่านดีใจอย่างยิ่ง ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็มีใจให้ข้าเช่นกัน เจ้ารับปากข้าเถิด ภายหน้าข้าจักต้องดีต่อเจ้าอย่างแน่นอน”


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้ก็พลันนึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ยต่อว่า “แม้นคำว่าร้านโลงศพจะดูไม่น่าฟังเท่าใดนัก แต่กิจการที่ร้านเราดีมาก แต่ละเดือนนั้นมีรายได้ไม่น้อยกว่าสิบตำลึงเชียวล่ะ แม้นต่อไปร้านจะตกเป็นของพี่ใหญ่ แต่ท่านแม่กับท่านพ่อบอกแล้วว่าหากข้าแยกเรือนออกไปก็จะแบ่งรายได้ของร้านให้ข้าครึ่งหนึ่ง”


 


 


ร่างของเวินยาฉีเกิดโงนเงนอีกครั้ง


 


 


ที่พูดกับนางเมื่อวานก่อนแยกจากกันนั้นหมายความเช่นนี้นี่เอง!


 


 


“คุณหนูเวิน…”


 


 


เวินยาฉีถอยหลังไปอีกแล้วร้องเสียงแหลมขึ้น “หยุดพูดเถิด!”


 


 


บุรุษผู้นั้นยังคงจ้องมองนางด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง “เอาล่ะ ข้าไม่เข้าไปแล้ว เจ้าอย่าถอยไปอีกเลย ระวังจะหกล้ม คุณหนูเวินเจ้าดูสิ สี่เป็นถุงหอมที่เจ้าให้ข้าไว้เมื่อวาน ท่านแม่เห็นฝีมือการปักถุงหอมอันประณีตก็ดีใจจนต้องถือออกไปอวดให้บรรดาน้องสะใภ้ข้าดู พวกนางต่างบอกว่าข้ามีวาสนายิ่ง”


 


 


เวินยาฉีกัดฟันแน่นพลางจ้องเขม็งไปที่ถุงหอมนั้น ครานี้นางรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุดแล้วจริงๆ


 


 


ของใช้ติดกายตกไปอยู่ในมือบุรุษทั้งผู้อื่นยังรู้ไปทั่วเช่นนี้แล้วนางจะทำอย่างไรดี!


 


 


บุรุษผู้นั้นยังพูดอีกว่า “คุณหนูเวิน ข้าชอบเจ้าจริงๆ”


 


 


ครั้นเห็นเขามองตนนิ่งด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง หัวใจดวงนั้นของเวินยาฉีพลันอบอุ่นขึ้นมาหลายส่วนจึงมองเขาอยู่หลายครามิได้


 


 


เมื่อมองเขาอยู่เช่นนี้แล้วกลับพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกไป


 


 


เขามองดูหน้าด้วยใบหน้าอันเต็มไปด้วยความรัก แต่เหตุใดท่าทางกลับดูพิกลเช่นนั้นเล่า!


 


 


กระทั่งชั่วขณะนั้นที่ได้สบตาอีกฝ่าย นางถึงพลันเข้าใจว่าความผิดปกติที่ว่านั้นอยู่ที่ใด


 


 


“ท่าน ท่านตาเหล่?”


 


 


มิน่าเล่า มิน่าเล่าหลายครั้งที่บังเอิญพบกันเมื่อวานนั้น ทุกครั้งที่เขามองมาก็คล้ายในดวงตามีแต่นางเพียงผู้เดียวกระนั้น ช่างรักลึกซึ้งผูกพันอันใดเช่นนั้น


 


 


สีหน้าของบุรุษหนุ่มเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ที่งานมงคลของข้าล่วงเลยมาถึงตอนนี้ โชคดีที่คุณเวินไม่รังเกียจ…”


 


 


“หา!” เวินยาฉีรู้สึกย่ำแย่อย่างที่สุด นางหมุนกายวิ่งจากไปแต่กลับถูกสะดุดเข้ากับกระโปรงตนเอง


 


 


บุรุษผู้นั้นรีบวิ่งเข้าไปหวังจะประคองนาง แววตานั้นมองตรงไปที่ร่างนาง ทั้งยังแฝงไปด้วยความเจ็บปวด เวินยาฉีกลับรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาจึงพยายามดิ้นรนลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล


 


 


ระหว่างทางก็พบเข้ากับเจินเมี่ยวและนางเวินจึงโผเข้าไปหานางเวินแล้วเอ่ย “ท่านอา ให้เขาออกไป ให้เขาออกไป ต่อให้ตายข้าก็ไม่ยอมแต่กับเขาเด็ดขาด!”


 


 


เมื่อเห็นบุรุษผู้นั้นเดินตามมาติดๆ นางเวินจึงผลักเวินยาฉีให้เจินเมี่ยวทันที “เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าไปดูยาฉีก่อน แม่จะไปคุยกับคนผู้นั้นเอง”


 


 


ครั้นเห็นนางเวินเดินเข้าไป ไม่ทราบคุยอันใด บุรุษผู้นั้นจึงเดินตามเข้าไปในห้องโถงเล็ก เวินยาฉีเกิดความกลัวขึ้นมาอย่างที่สุด นางร้องขึ้นว่า “ท่านอา ท่านมีอันใดที่ต้องคุยกับเขากัน รีบสั่งให้คนไล่เขาออกไปเดี๋ยวนี้!”


 


 


เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นก็ลากเวินยาฉีออกไปพลางเอ่ยว่า “ญาติผู้น้อง เจ้ารีบตามข้ากลับไปก่อนเถิด”


 


 


เวินยาฉีคิดจะขัดขืน แต่เจินเมี่ยวกลับออกแรงนิดหน่อยลากนางเดินออกไปทันที


 


 


ครั้นถึงห้องโถงใหญ่เวินยาฉีก็นั่งเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น เจินเมี่ยวมิสนใจนางเพียงยกชาขึ้นดื่มรอ


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่งนางเวินก็กลับมา นางเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “สะใภ้พูดคุยกับคนผู้นั้นอยู่หลายคำ ดูท่าทีเขาแล้วก็เป็นคนจริงใจใสซื่อ แต่หากจะให้รอบคอบกว่านี้ก็คงต้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนไปสอบถามข่าวดูสักครา หากไม่มีปัญหาใดก็จะจัดการเรื่องของเด็กทั้งสองให้เรียบร้อยโดยเร็วเจ้าค่ะ”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นยิ้มเย็นในใจ หากเป็นคนใสซื่อจริงๆ เหตุใดต้องทำเอิกเกริกให้คนรู้ไปทั่วก่อนมาที่จวนด้วยเล่า เพียงแต่ยามนี้ชื่อเสียงของแม่นางน้อยนั้นได้ถูกทำลายลงไปแล้ว หากฝ่ายชายมิได้มีปัญหาอันใดที่หนักหนาเกินไปก็จำเป็นต้องยอมรับชะตากรรมนี้เท่านั้นเอง


 


 


“แม่นมหวัง เจ้าให้ผู้ดูแลเรือนหน้าไปสอบถามประวัติเขามาหน่อยเถิด”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งเอ่ยกำชับออกไป เวินยาฉีก็เอ่ยขึ้นมาอย่างหวาดหวั่น “ท่านอา หลานไม่อยากแต่งกับคนผู้นั้นเจ้าค่ะ!”


 


 


แม้นนางเวินจะลำบากใจยิ่ง แต่ครานี้กลับมิได้ใจอ่อน “ยาฉี แม้นเขาจะเป็นเพียงตระกูลธรรมดา แต่หากเขารักเจ้าด้วยใจจริงก็นับเป็นโชควาสนายิ่งแล้ว เจ้าเองก็มิต้องกลัวลำบากอันใด ตอนนี้มั่วเหยียนก็ก้าวหน้าอย่างยิ่ง ทั้งมีอาอยู่ด้วย เรื่องสินเดิมที่จะให้เจ้านั้นไม่มีทางน้อยหน้าแน่”


 


 


คนอื่นๆ ไม่ทราบทำสีหน้าเช่นไรกันบ้างแล้ว มาถึงขั้นนี้แล้วแม่นางผู้นี้กลับยังเลือกนั้นตำหนินี่อยู่อีก


 


 


เวินยาฉีเงยหน้าขึ้นมองนางเวินคราหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าอันมุ่งมั่นของนาง ความสิ้นหวังจึงปรากฏวูบขึ้นในดวงตา สายตาชำเลืองไปมองเจินเมี่ยวที่นั่งเงียบๆ ตรงนั้นแล้วพลันสว่างวาบขึ้น นางคุกเข่าลงไปกับพื้นแล้วเอ่ยด้วยเสียงสะอื้นว่า “ญาติผู้พี่ ยาฉีสำนึกผิดแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านมิใช่บอกว่า…บอกว่าพี่เขยจะ…”


 


 


มิรอให้นางพูดจบ เจินเมี่ยวก็พูดตัดบทขึ้นว่า “ญาติผู้น้อง หยกงามที่แตกไปแล้วไหนเลยจะเป็นเช่นกาลก่อนได้”


 


 


วาจานี้ดั่งเข็มที่ทิ่มแทงจนโลหิตไหลทำเอาเวินยาฉีนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงร่ำไห้พลางเอ่ยว่า “พวกท่านทราบอันใด คนผู้นั้น คนผู้นั้นเขาตาเหล่ ข้าเห็นเขาแล้วก็แทบจะอาเจียนออกมา หากต้องแต่งกับเขามิสู้ตายไปเสียดีกว่า!”


 


 


เจินอวี้ทนฟังไม่ได้อีกต่อไป จึงแค่นยิ้มออกมาคราหนึ่ง “วาจานี้ช่างน่าขันนัก หรือว่าเมื่อคืนนี้มีคนบังคับให้เจ้าไปสัญญารักกับเขางั้นหรือ? ฮึ มิน่าเล่าระยะหลังนี้ถึงได้ไปสนิทกับเจินจิ้ง รู้จักแต่เลียนอย่างไม่ดี ที่ดีๆ มิเอาอย่าง!”


 


 


“อวี้เอ๋อร์!” ฮูหยินผู้เฒ่าร้องขึ้นเสียงหนึ่ง


 


 


เวินยาฉีอึ้งไป นางพึมพำขึ้นว่า “เจินจิ้ง?”


 


 


คำสองคำนี้คล้ายน้ำเย็นเฉียบที่ราดรดลงไปบนศีรษะนาง สาดเทเสียจนนางหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ!


 


 


นางเล่าให้ตนฟังถึงความยากลำบากของการเกิดมาเป็นบุตรของอนุ ทั้งเล่าถึงพรหมลิขิตระหว่างนางกับองค์ชายหกและความมั่งคั่งร่ำรวยของตำหนักองค์ชาย


 


 


แม้นนางเย็บปักประณีตเพียงใดก็มิสู้พี่สาวผู้นั้นได้ และในขณะที่คอยแนะนำการปักเย็บให้นาง พี่สาวก็ได้บอกเล่าเรื่องพวกนี้ให้นางไปฟังด้วยคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ


 


 


นางเห็นนางเป็นดั่งพี่สาวผู้มีวาสนาต่อกัน กระทั่งเป็นแบบอย่างของนางด้วย จึงได้เลียนอย่างความเคยชินของนางด้วยการปักชื่อของตนลงบนสิ่งของของตน


 


 


เวินยาฉีมิเคยเข้าใจอันใดถ่องแท้เท่าเวลานี้มาก่อน ความโกรธแค้นอันใหญ่หลวงประเดประดังเข้ามาคล้ายเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้ตัวนาง


 


 


นางอยากจะไปถามคนสารเลวผู้นั้นว่า เหตุใดต้องทำร้ายนางเช่นนี้!


 


 


 


 


——


 


 


[1] ปั๋ว (伯) ในภาษาจีนมีหลายความหมาย หมายถึงลุงและหมายถึงบรรดาศักดิ์ระดับสามในบรรดาห้าบรรดาศักดิ์ในระบบศักดินาด้วย 

 

 


ตอนที่ 292 หญิงงามสิ้นแล้ว

 

เวินยาฉีมองทุกคนที่อยู่ในห้องไม่พูดสิ่งใดแล้ววิ่งออกไป


 


 


เพราะเป็นเรื่องอันน่าอับอาย ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากแม่นมหวังผู้เป็นสาวใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็ไม่มีบ่าวไพร่คนใดอีก ครั้นเห็นเวินยาฉีวิ่งออกไปเช่นนั้น บรรดาคุณหนูสูงศักดิ์ที่ถูกอบรมกิริยาอยู่ในสถานที่ดีงามย่อมได้แต่ยืนเบิกตามองอย่างตกตะลึง มีเพียงเจินเมี่ยวที่นับว่าว่องไวยิ่ง นางลึกขึ้นวิ่งตามไปทันที


 


 


เมื่อวิ่งออกมาถึงด้านนอกก็เรียกไป่หลิงและชิงเกอที่อยู่ห้องด้านข้าง “ชิงเกอ เจ้าวิ่งเร็ว รีบไปตามคุณหนูเวินกลับมาเร็วเข้า!”


 


 


“เจ้าค่ะ” ชิงเกอรับคำแล้ววิ่งออกไปทันที ทั้งที่รูปร่างกลมอ้วน แต่สองขากลับมีแรงมหาศาล ฝีเท้าว่องไวคล่องแคล่วยิ่ง ใช้เวลาเพียงไม่นานนางก็ตามจนทันเวินยาฉีและแบกนางขึ้นบ่ากลับมา เมื่อมาถึงตรงหน้าเจินเมี่ยวก็วางนางลงดุจลงพื้นดุจปักต้นหอมกระนั้น


 


 


เจินเมี่ยวไม่มีรอยยิ้มบนหน้าแม้แต่น้อย “ญาติผู้น้อง ครานี้เจ้าคิดจะไปที่ใดหรือ?”


 


 


เวินยาฉีมิเคยมีสติเท่านี้มาก่อน นางจึงรู้ดีว่าหากมิพูดให้ชัดเจนก็ไม่มีทางผ่านด่านเจินเมี่ยวไปได้จึงได้สงบอารมณ์ตนลงก่อน “ญาติผู้พี่ ข้าจะไปถามนางสารเลวเจินจิ้งดูสักหน่อย”


 


 


“เจินจิ้ง?”


 


 


“ใช่ ญาติผู้พี่ ที่ข้าเลอะเลือนในครานี้ก็เพราะนางเป็นคนทำ!”


 


 


เจินเมี่ยวพิจารณาเวินยาฉีนิ่ง เมื่อเห็นดวงตากลมโตคู่นั้นเบิกกว้างและมีสติหลังผ่านความบ้าคลั่งชนิดหนึ่งมาแล้ว แต่ภายในใจกลับมิได้เกินความสงสารอันใดขึ้นสักนิด


 


 


“ญาติผู้น้อง มีวาจาหนึ่งที่กล่าวว่า แมลงวันมิตอดดมไข่ที่ไร้รอยแตก ถามจริงๆ เถิด มาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังคิดว่าปัญหานั้นเกิดจากผู้อื่นอยู่อีกหรือ?”


 


 


เวินยาฉีมองเจินเมี่ยวอย่างไม่อยากเชื่อ “ญาติผู้พี่ ท่านไม่เชื่อข้า ท่านคิดว่านางไม่ผิดอันใด?”


 


 


เจินเมี่ยวถอนหายใจ “นางคือนาง เจ้าคือเจ้า มันคนละเรื่องกัน”


 


 


เวินยาฉีน้ำตาไหลพรากออกมา แต่กลับกัดริมฝีปากสกัดกั้นเสียงสะอื้นไว้ นางเอ่ยด้วยร่างสั่นเทิ้มว่า “ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว ความผิดนี้มิอาจเรียกคืนได้ ญาติผู้พี่ถือว่าข้าขอร้องท่านเทิด ให้ข้าไปถามนางสักครา หากได้ถามนางแล้วข้าก็จะได้สบายใจ!”


 


 


“สบายใจ?”


 


 


“ใช่ มิเช่นนั้นโทสะนี้คงฝังในใจข้าตลอดไป ข้าไม่ยินยอมเสียหรอก!”


 


 


เจินเมี่ยวปวดหัวจนต้องนวดขมับตน แล้วพยักหน้าในที่สุด “ได้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน”


 


 


นางเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจินจิ้งต้องการทำอันใดกันแน่!


 


 


เมื่อพูดคุยกันอยู่นานเช่นนี้ เจินปิงและเจินอวี้จึงตามมาทัน ครั้นเห็นเจินเมี่ยวพาเจินเวินยาฉีไปหาเจินจิ้งก็รีบตามไป


 


 


ที่เรือนเซี่ยเยียนนั้นเริ่มมีสีสันของวสันต์ฤดูแล้ว บนบันไดจัดวางกระถางดอกชาไว้นับสิบกระถาง ดอกของมันก็กำลังเบ่งบานเต็มที่


 


 


เจินจิ้งสวมเสื้อคลุมกันลมผ้าแพรขลิบเงินสีขาวแซมเขียวยาวคร่อมพื้น กำลังชมบุปผาด้วยท่าทีสง่างามแต่กลับขับให้คนงดงามกว่าบุปผาเสียอีก


 


 


ครั้นได้ยินเสียงคนมานางก็ยืดตัวขึ้น แล้วหันไปชำเลืองมองด้านข้างอย่างมิใคร่ใส่ใจนัก  มุมปากห้อยแขวนด้วยรอยยิ้มจางๆ “เหตุใดวันนี้จึงคึกคักนัก น้องสาวทั้งหลายต่างก็มากันพร้อมหน้า?”


 


 


เวินยาฉีพุ่งเข้าไปหา “เจินจิ้ง วันนี้เจ้าต้องพูดให้ชัดว่าเจ้าคิดทำร้ายข้าใช่หรือไม่?”


 


 


สาวใช้สองคนขวางเวินยาฉีไว้ “คุณหนูโปรดหยุดก่อนเจ้าค่ะ นายหญิงข้ากำลังตั้งครรภ์ ร่างกายล้ำค่าดุจทองคำ หากชนกระแทกเข้าคงไม่ดีแน่”


 


 


เวินยาฉีถูกขวางไว้จึงหยุดอยู่แค่นั้น แต่ก็โกรธจนแทบกระอักเลือดออกมา นางเอ่ยด่าด้วยโทสะว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่านางสารเลวเช่นเจ้าต้องเป็นคนคิดทำร้ายข้า!”


 


 


เจินจิ้งดีดนิ้วอย่างมิใส่ใจ แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ญาติผู้น้องกล่าวเช่นนี้คงไม่เหมาะกระมัง เจ้าเอาแต่พูดว่าข้าทำร้ายเจ้า อย่างไรก็ควรต้องมีหลักฐาน ข้าอยู่ดีๆ กลับเอาน้ำสกปรกมาสาดรดข้าเช่นนี้ ข้าคงยอมมิได้”


 


 


“เป็นเจ้า เป็นเจ้าที่บอกข้าว่าพบกันกับองค์ชายหกที่เทศกาลชีซี…”


 


 


ครั้นได้ยินนางเอ่ยถึงองค์ชายหก เจินจิ้งก็หน้าบึ้งขึ้นมาทันที “ญาติผู้น้องโปรดระวังการเอ่ยถึงเรื่องของพระบรมวงศานุวงศ์ด้วย ข้ากับองค์ชายหกพบกันที่เทศกาลชีซีจริง แต่มันเกี่ยวอันใดกับญาติผู้น้องเล่า? ข้าบอกให้เจ้าเลียนอย่างงั้นหรือ?”


 


 


เวินยาฉีถูกถามเช่นนี้ก็อึ้งงันไป


 


 


ไม่ถูกต้อง ตอนที่นางเอ่ยถึงเรื่องนั้น สีหน้า น้ำเสียงล้วนแฝงไปด้วยการให้กำลังใจ มิใช่เช่นนี้เสียหน่อย แต่…แต่การบอกให้เลียนอย่างนั้น นางก็มิเคยพูดจริงๆ นั้นแล!


 


 


เวินยาฉีเพียงรู้สึกอัดอั้นหาใดเปรียบ นางกัดฟันเอ่ยถามว่า “แล้วถุงหอมนั้นเล่า เจ้าสอนให้ข้าปักชื่อไว้ที่ด้านใน…”


 


 


เจินจิ้งแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ญาติผู้น้อง ปีนี้เจ้าก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้วกระมัง ข้าสอนเจ้าปักชื่อเจ้าก็ต้องปักงั้นหรือ? นั้นเป็นเพียงความเคยชินของข้าเท่านั้น เจ้ามาเลียนตาม แล้วเหตุใดจึงมาโทษข้าเล่า”


 


 


พูดถึงตรงนี้ก็เลิกคิ้วขึ้น ชำเลืองมองไปที่เจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หากข้าสอนเจ้ากินอุจจาระ เจ้าก็จะกินงั้นหรือ?”


 


 


“เจ้า เจ้ามันหน้าหนา! เจ้าเป็นคนชักจูงให้ข้าทำเรื่องเหลวไหลนี้แท้ๆ ยามนี้กลับพูดจาไม่รับผิดชอบใดๆ เสียแล้ว!” เวินยาฉีพุ่งเข้าใส่นางอีก


 


 


เจินจิ้งกลับยืนยิ้มบางๆ อยู่ตรงนั้นไม่เอ่ยวาจา มองสาวใช้ที่ติดตามตนมายืนขวางเวินยาฉีไว้อย่างแน่นหนา แล้วชำเลืองมองเจินเมี่ยวที่มีใบหน้าปั้นยากคราหนึ่ง รู้สึกสะใจจริงๆ


 


 


นางเป็นคนขององค์ชายหก ผู้ใดจะกล้าต่อว่านางอย่างเปิดเผย แต่เจินเมี่ยว…เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็ยากจะรับรองได้ว่าผู้คนจะมิย้อนไปถึงสาเหตุที่นางได้แต่แต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง


 


 


“พี่สาม ท่านเป็นคนทำให้เกิดเรื่องนี้จริงๆ หรือ?” เจินอวี้เอ่ยถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง


 


 


เจินจิ้งหัวเราะแหยะๆ “วาจานี้ของน้องหกช่างแปลกประหลาดนัก เรื่องของข้า พวกเจ้าก็รู้ดี แล้วเหตุใดจึงมิเห็นกระทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้บ้างเล่า?”


 


 


พูดพลางมองเจินปิงคราหนึ่งแล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “แต่น่าเสียดายที่ญาติผู้น้องพำนักอยู่ที่จวนปั๋วแห่งนี้ ทำให้น้องสาวทั้งสองต้องพลอยลำบากไปด้วยแล้ว เฮ้อ ข้าได้ยินมาว่างานหมั้นของน้องหกถูกกำหนดไว้แล้ว ก็ขอให้อย่าเป็นเช่นข้าที่จู่ๆ ก็เกิดเรื่องตกน้ำอันใดนั้นขึ้นแล้วกัน ส่วนของห้า เจ้าก็ใจเย็นสักหน่อย รอให้เรื่องนี้ผ่านไปสักปีสองปีจนคนลืมเลือนไป ข้าจะขอร้ององค์ชายหกให้ ไม่แน่ว่าพระองค์อาจจะช่วยหาคู่ครองที่ดีพร้อมให้กับน้องสาวได้”


 


 


ฝ่ามือเจินปิงเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น นางเผยอปากขึ้นแต่ก็พูดไม่ออก ในแววตาปกคลุมไปด้วยหมอกกลุ่มหนึ่งในทันใด เจินอวี้จึงค่อยๆ กุมมือนางไว้


 


 


เจินเมี่ยวเชิดคางขึ้น “เหตุใดข้าจึงไม่ทราบว่าองค์ชายจะทรงมากังวลใจกับการแต่งงานของคนในตระกูลขุนนางเล่า?”


 


 


สีหน้าเจินจิ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลอบเอ่ยในใจว่านางสะเพร่าเกินไปแล้ว


 


 


ความสนิทสนมขององค์ชายกับขุนนางนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม องค์ชายหกกังวลที่สุดว่าคนจะกล่าวเช่นนี้ ต่อให้นางตั้งครรภ์ แต่หากพระองค์ทราบเข้าเกรงว่าคงโกรธเคืองนางมากแน่ เจินเมี่ยวเดิมนั้นเป็นแค่คนโง่คนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่ายามนี้จะปากคอเราะรายขึ้นมาได้ ได้ยินว่าคุณชายผู้สืบทอดดีต่อนางยิ่ง หรือตอนนี้กลายเป็นที่โปรดปรานไปแล้ว?


 


 


เจินเมี่ยวชำเลืองมองคราหนึ่งแล้วแววตาอันหยิ่งยโสนั้นแล้วเอ่ยแทงใจนางไปอีกว่า “ทั้งมิได้มีความเกี่ยวพันเป็นญาติอันใด!”


 


 


วาจานี้ทำให้เจินเมี่ยวเอ่ยอันใดมิออกอยู่เป็นนาน สีหน้าเปลี่ยนไปมาดั่งจานผสมสีก็มิปาน


 


 


เจินอวี้ยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน นางรีบเอ่ยขึ้นด้วยปากไวว่า “พี่สามวางใจเถิด ต่อให้อนาคตของพี่ห้าจะเป็นเช่นไร อย่างน้อยก็ต้องได้นั่งเกี้ยวแปดคนยกออกไปจากประตูจวนแน่”


 


 


เจินจิ้งหรี่ตาลงกวาดสายตาเย็นชามองเจินอวี้คราหนึ่งแล้วยกมุมปากขึ้นเอ่ยเนิบนาบว่า “งั้นหรือ? แม้จะสามีในตระกูลที่ขายโลงศพอันใดนั้นก็ได้หรือ?”


 


 


เวินยาฉีโมโหถึงขีดสุด “เป็นเจ้าจริงๆ คนผู้นั้น คนผู้นั้นเจ้าก็เป็นคนวางแผนไว้ใช่หรือไม่?”


 


 


“ญาติผู้น้องเจ้าคิดว่าข้าเก่งเกินไปแล้ว ข้าไหนเลยจะเก่งกล้าปานนั้น เรื่องนี้ มิใช่ว่าคนทั่วทั้งจวนต่างก็ทราบไปทั่วแล้วหรอกหรือ?” เจินจิ้งพูดพลางมองแม่นมที่คอยรับใช้ตนคราหนึ่ง


 


 


แม่นมผู้นั้นรีบตอบว่า “บ่าวบังเอิญได้ยินพวกบ่าวไพร่พูดกันตอนที่ออกไปรับข้าวเจ้าค่ะ”


 


 


“ข้าขอสู้ตายกับเจ้า วันนี้เราต้องตายไปข้าง!” เวินยาฉีพุ่งเข้าไปสุดแรงแต่กลับถูกคนขวางไว้แน่น นางดิ้นรนจนผมเผ้าหลุดลุ่ย ปิ่นปักก็ร่วงตก สภาพอเนจอนาถยิ่ง


 


 


“พอแล้ว” เจินเมี่ยวตะโกนออกมาเสียงหนึ่ง


 


 


ทุกคนพลันหยุดชะงักไปทันที


 


 


เจินเมี่ยวเดินเข้าไปหาเจินจิ้ง


 


 


มีแม่นมสองคนเดินเข้ามาขวางไว้ นางกวาดตามองด้วยสายตาเย็นชา “มีอันใด แค่จะพูดคุยกับพี่สาวตนเอง ข้าผู้เป็นถึงเจียหมิงเซี่ยนจู่ ทั้งยังเป็นฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงก็ต้องขออนุญาตพวกเจ้าก่อนหรือ?”


 


 


แม่นมสองคนมีสีหน้าปั้นยาแล้วมองเจินจิ้งด้วยความลังเลคราหนึ่ง


 


 


เจินจิ้งยิ้ม “พวกเจ้าหลบไป”


 


 


แล้วมือก็วางลงบนท้องน้อยอย่างไม่รู้ตัว นางมองเจินเมี่ยวเดินเข้ามาหาตนด้วยสายตานิ่ง


 


 


เจียหมิงเซี่ยนจู่แล้วอย่างไร นางตั้งครรภ์เลือดเนื้อขององค์ชายหกอยู่ นางจะกล้าทำร้ายตนเชียวหรือ?


 


 


เจินเมี่ยวยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าเจินจิ้ง นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยว่า “พี่สาม คุณชายรองร้านขายโลงศพนั้นท่านได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”


 


 


หากนาแค่ยุยงให้เวินยาฉีไปที่งานเทศกาลโคมไฟ นางก็แค่ไร้ยางอาย แต่ก็ต้องโทษเวินยาฉีที่มิอาจหักห้ามความเย้ายวนนั้นได้ หากแม้แต่คนนางก็ยังตั้งใจจัดหามาเป็นพิเศษนั้นก็ช่างน่ารังเกียจอย่างที่สุดเลย


 


 


“เปล่า” เจินจิ้งเอ่ยตอบอย่างไม่ช้าไม่เร็ว


 


 


“ท่านสาบาน?”


 


 


เจินจิ้งยิ้ม “น้องสี่ เจ้าช่างไร้เดียงสาจริงๆ ข้าจะสาบานไปไยกัน? ข้าบอกว่าไม่ได้ทำ เจ้าจะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ช่าง มันเป็นเรื่องของเจ้า เกี่ยวอันใดกับข้าเล่า? แม่นมจง ประคองข้าไปนั่งที ข้าเหนื่อยแล้ว”


 


 


เจินเมี่ยวสูดลมหายใจเข้าโดยแรงคราหนึ่งแล้วหมุนตัวกลับทันที “กลับกันเถิด”


 


 


เวินยาฉีถูกชิงเกอลากออกไปอย่างไม่ใคร่ยินยอมนัก


 


 


เจินจิ้งจ้องมองแผ่นหลังของเจินเมี่ยวนิ่งแล้วยิ้มเย็นออกมาอย่างภาคภูมิ


 


 


ครั้นเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ เจินเมี่ยวก็พลันหมุนกายกลับมาแล้วเชิดคางขึ้นเอ่ยเน้นย้ำทีละคำว่า “เจินจิ้ง เจ้าต่ำช้าเพียงนี้ องค์ชายหกทราบหรือไม่?”


 


 


กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป


 


 


เจินจิ้งยังมิทันได้ตอบโต้กลับก็ไม่เห็นเจินเมี่ยวเสียแล้ว นางเตะกระถางดอกชาโดยแรงด้วยความโกรธจนกระถางล้มคว่ำ


 


 


“นายหญิง ท่านอย่าโกรธไปเลย ประเดี๋ยวจะเป็นอันตรายต่อพระราชนัดดาน้อยในครรภ์นะเจ้าคะ”


 


 


เจินจิ้งจึงเริ่มสงบลง นางลูบท้องตนเบาๆ แล้วยิ้มออกมา


 


 


ใช่แล้ว ต่อให้เจินเมี่ยวบ้าคลั่งเพียงใด นอกจากใช้จิกกัดแล้วนางยังทำอันใดได้อีก นางกล้าแตะต้องตนแม้แต่ปลายก้อยงั้นหรือ!


 


 


จะถึงกับไปฟ้ององค์ชายหกเลยหรือ? นางไม่เชื่อหรอกว่าญาติผู้น้องของตนทำเรื่องเช่นนั้นออกมาแท้ๆ แล้วนางยังมีหน้าไปพูดได้! อีกอย่าง หลักฐานเล่า จะใช้เพียงคำพูดนั้นหรือมาเอาผิดนาง?


 


 


เจินจิ้งมองดอกชาสีแดงนั้นแล้วรู้สึกขวางตายิ่งนัก จึงยกเท้าขึ้นเตะมันโดนแรงจนแตกแล้วหมุนกายเดินกลับเข้าเรือนไป


 


 


เจินเมี่ยวพาเวินยาฉีไปที่เรือนนางเวิน “ท่านแม่ ข้าจะกลับจวนก่อนจะได้ให้คนส่งสารไปให้ซื่อจื่อ ให้เขาสืบประวัติคุณชายจากร้านขายโลงศพผู้นั้นสักหน่อย”


 


 


“ก็ดีเหมือนกัน หากเขามาขอยาฉีด้วยความจริงใจก็ดียิ่ง”


 


 


“ท่านอา!” เวินยาฉีถอยหลังไปติดๆ กัน “หรือพวกท่านจะให้ข้าแต่งกับเขาให้ได้? คนผู้นั้นเขาตาเหล่นะ!”


 


 


“ยาฉี ข้าพูดคุยกับเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่หลายคำ แม้นตาเขาจะมีปัญหาแต่ก็มิได้ร้ายแรงอันใด หากมิจ้องมองจับผิดก็ดูไม่ค่อยออกด้วยซ้ำ หากเขาเป็นคนดีเจ้าก็แต่งไปเถิด มีอาและญาติผู้พี่ทั้งหลายของเจ้าอยู่ย่อมไม่มีทางให้เจ้าต้องเสียเปรียบแน่นอน”


 


 


“ไม่เสียเปรียบ?” เวินยาฉีทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ สุดท้ายจึงยกมือขึ้นชี้เจินเมี่ยว “ท่านอา ท่านพูดมาตามตรง หากคนที่ญาติผู้พี่ลากดึงลงน้ำในตอนนั้นเป็นเช่นเขา ท่านยังจะบอกให้นางแต่งกับเขาอยู่หรือไม่?”


 


 


“ยาฉี…” นางเวินถูกวาจานี้ทิ่มแทงจนสั่นไปทั้งร่าง สติทุกอย่างพังครืนลง


 


 


หลานสาวที่ตระกูลมารดาฝากฝังไว้กับนางได้แต่งให้กับบุรุษเช่นนี้นั้นในใจนางเองก็มิได้รู้สึกดีอันใด แต่ก็เพราะไร้หนทางอื่นแล้วมิใช่หรือ เด็กสาวผู้นี้ เด็กสาวผู้นี้ต้องการชีวิตของนางหรือไร


 


 


ใจดวงนั้นของเจินเมี่ยวก็เย็นเยือกขึ้นมาเช่นกัน นางประคองนางเวินพลางกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าจะกลับไปสืบสาวราวเรื่องดูก่อน แล้วค่อยว่ากันเถิด”


 


 


นางกวาดตามองสาวใช้ในเรือนคราหนึ่ง “พวกเจ้าไปส่งคุณหนูเวินกลับสวนเฉินเซียง แล้วดูแลให้ดีอย่าให้คลาดสายตา”


 


 


นางเวินกลัวว่าเวินยาฉีจะก่อเรื่องขึ้นมาอีกจึงส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ให้ยาฉีพักอยู่ที่สวนเหอเฟิงก่อนเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวบอกลานางเวินกลับจวนกั๋วกงไป ปั้นซย่าได้รออยู่ที่หน้าประตูแล้ว เมื่อเห็นนางลงจากรถม้าก็ส่งจดหมายให้นางทันที “ต้าไหน่ไหน่ นี่เป็นสารที่ซื่อจื่อให้คนส่งมาขอรับ ทั้งยังบอกว่าหากถึงยามเที่ยงแล้วท่านยังไม่ตอบกลับก็ให้ส่งสารไปที่จวนปั๋วได้เลยขอรับ”


 


 


เจินเมี่ยวรับมาแล้วกลับไปที่เรือนชิงเฟิง ครั้นนางเปิดคลี่จดหมายออกอ่านได้เพียงถึงครึ่ง ไป่หลิงก็วิ่งเข้ามาภายในห้องที่ตระหนกกลัว “ต้าไหน่ไหน่ เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”


 


 


“มีอันใด?” เจินเมี่ยวใจหายวาบขึ้นมา


 


 


“จวนปั๋วส่งคนมาแจ้งข่าวด่วน บอกว่า คุณหนู…คุณหนูเวินแขวนคอตายเจ้าค่ะ!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม