เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 284-291

 ตอนที่ 284 หายตัวไป 


 


 


           เฉียวซือมู่ผุลลุกขึ้นนั่ง เธอถอนหายใจแล้วนั่งเหม่อชั่วครู่ จากนั้นโทรศัพท์หาจิ้นหยวน แต่กลับไม่มีคนรับสายเสียที 


 


 


           เธอวางโทรศัพท์ลงหน้าเศร้า เดาว่าเขาอาจจะดูแลคุณแม่จนเหนื่อยจึงหลับเป็นตายไปแล้วมั้ง? 


 


 


           เธอส่ายศีรษะน้อยๆ วางโทรศัพท์มือถือลง นั่งเหม่ออยู่อย่างนั้นสักพัก จากนั้นลงไปทานอาหารเช้าที่ชั้นล่าง 


 


 


           หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านที่กว้างใหญ่ จู่ๆ เธอก็รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างขึ้นมาดื้อๆ 


 


 


           เธอมุ่นหัวคิ้วคิดหาอะไรทำแก้เหงา คิดๆ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรศัพท์หาคุณแม่ เธอตัดสินใจแล้วว่าวันนี้เธอจะไปเยี่ยมคุณแม่ จะได้ถือโอกาสระบายความอัดอั้นตันใจกับท่านด้วย เพราะท่านเป็นครอบครัวคนเดียวของเธอที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้            


 


 


           แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้ท่านจะปิดโทรศัพท์มือถือ 


 


 


           เธอรู้สึกแปลกใจมาก แปลกมาก คุณแม่เป็นคนที่ใช้ชีวิตเป็นระเบียบมาก ปกติท่านเป็นคนตื่นเช้าและเข้านอนเร็ว ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลย ท่านน่าจะตื่นนอนแล้วนี่นา แล้วเหตุใดจึงปิดโทรศัพท์มือถือล่ะ? 


 


 


           เธอกระวนกระวายขึ้นมาทันที หรือว่าท่านจะไม่สบาย? แต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นต้องปิดโทรศัพท์มือถือนี่นา 


 


 


           หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุ? คิดได้ดังนี้จึงรีบลุกขึ้น หันไปบอกกับพ่อบ้าน “ฉันมีธุระด่วนต้องออกไปข้างนอก อาจจะไม่กลับมาทานข้าวนะคะ” 


 


 


           พ่อบ้านอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่เธอก็วิ่งออกไปด้วยความรีบร้อนเสียแล้ว ไม่แม้แต่จะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อย 


 


 


           ในสถานการณ์เช่นนี้ พ่อบ้านที่ไม่ทันอ้าปากพูดทำได้เพียงรีบโทรศัพท์เรียกคนขับรถให้ไปส่งคุณเฉียวตามที่เธอต้องการ 


 


 


           เธอรีบก้าวขึ้นรถ ไม่พูดพล่ามทำเพลง รีบบอกให้คนขับรถขับตรงไปที่บ้านคุณนายเฉียวทันที 


 


 


           อาฮุยถือเป็นคนคุ้นเคยของเธออีกคน พอเห็นสีหน้าคร่ำเครียดของเธอจึงไม่พูดอะไร รีบขับรถห้อตะบึงไปยังจุดหมายปลายทางทันที เพียงไม่นานเขาก็ขับรถไปจอดลงยังที่หมาย 


 


 


           เฉียวซือมู่ไม่มีกะจิตกะใจพูดอะไรเลย เธอรีบก้าวลงจากรถ จากนั้นวิ่งไปกดกริ่งหน้าประตูบาน “คุณแม่ เปิดประตูหน่อยค่ะ!” 


 


 


           ไร้เสียงตอบรับใดๆ จากข้างในบ้าน ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้า 


 


 


           เธอกดกริ่งประตูไม่หยุด และยังคงไร้เสียงตอบรับเช่นเดิม 


 


 


           อาฮุยเห็นท่าทางร้อนใจของเธอแล้วเอ่ยเตือนสติ “ท่านอาจจะออกไปข้างนอกก็ได้นะครับ” 


 


 


           เธอส่ายศีรษะ “ไม่ ปกติเวลานี้ท่านไม่ออกไปไหนหรอก ถ้าออกไปข้างนอกแล้วทำไมต้องปิดมือถือด้วยล่ะ ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ” 


 


 


           เธอยืนกดกริ่งประตูอยู่นานสองนานก็ไม่เห็นมีใครออกมาเปิดประตูเสียที ทำให้เธอร้อนใจดั่งไฟลน ทันใดนั้น เธอนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอตบศีรษะตัวเองเบาๆ ด้วยความหงุดหงิด ก้มหน้าลงค้นหาอะไรบางอย่างในกระเป๋า ในที่สุดเธอก็หยิบกุญแจออกมาดอกหนึ่ง 


 


 


           เธอส่ายศีรษะอย่างระอาตัวเอง ตอนที่คุณแม่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ เธอปั๊มกุญแจสำรองเอาไว้เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน แต่เธอกลับลืมเสียสนิท โชคดีที่นึกขึ้นมาได้ 


 


 


           เธอรีบไขกุญแจเปิดประตูออกทันที เสียงประตูดังเอี๊ยดอ๊าดเหมือนไม่ได้เปิดใช้งานมานาน เสียงแบบนี้ทำให้คนฟังรู้สึกไม่สบายใจมาก และทำให้เฉียวซือมู่ที่ร้อนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกระวนกระวายใจหนักขึ้นไปอีก 


 


 


           ความจริงอาฮุยไม่สมควรตามเธอเข้าไปในบ้าน แต่เขาเห็นท่าทางร้อนรนของเธอแล้วจึงตัดสินใจเดินตามหลังเธอเข้าไป เธอเป็นชีวิตจิตใจของพี่ใหญ่ ถ้าเกิดเธอเป็นอะไรขึ้นมาเขารับผิดชอบไม่ไหวแน่ 


 


 


           เฉียวซือมู่ไม่รู้ว่าอาฮุยคิดอะไรอยู่ รีบเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในห้องนอน และภาพที่เธอกลัวก็ปรากฎขึ้นตรงหน้า ไม่มีใครอยู่ในห้องนอนสักคน ที่นอนและรองเท้าถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ราวกับว่าเจ้าของไม่อยู่ที่นี่แล้ว 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 285 คุณเองเหรอ  


 


 


           อาฮุยมองเธออยู่เงียบๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ เฉียวซือมู่ร้อนใจดั่งไฟลน หรือว่าคุณแม่เพิ่งจะออกจากบ้าน? แล้วทำไมท่านไม่บอกเธอสักคำ? 


 


 


           เธอหมุนตัววิ่งลงไปที่ห้องครัว กลับพบว่าคุณแม่ไม่อยู่บ้านอย่างน้อยสองวันแล้ว 


 


 


           นี่มันเกิดอะไรขึ้น? 


 


 


           เธอปิดประตูตู้เย็นอย่างแรง ในใจเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นกังวล 


 


 


           อาฮุยเอ่ยขึ้น “หรือว่าท่านจะออกไปเที่ยวครับ?” 


 


 


           เธอส่ายศีรษะช้าๆ “ถ้าท่านออกไปเที่ยว ท่านคงไม่ไปโดยที่ไม่บอกฉันสักคำแบบนี้หรอก” 


 


 


           ที่สำคัญ พวกเธอเพิ่งจะกลับมาจากท่องเที่ยวไม่นานนี้เอง ท่านไม่มีทางออกไปท่องเที่ยวอีกเร็วขนาดนี้หรอก กระนั้น เธอก็ไม่ลืมที่จะโทรศัพท์หาเพื่อนของคุณแม่คนนั้นอย่างมีความหวัง 


 


 


           และผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม เพื่อนคุณแม่บอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ติดต่อกันสองสามวันแล้ว 


 


 


           คราวนี้เธอเธอว้าวุ่นจนลนลาน 


 


 


           ตั้งแต่คุณพ่อทิ้งไป สุขภาพของคุณแม่ก็ย่ำแย่มาตลอด ตอนนี้เพิ่งจะดีขึ้นมาบ้าง แต่กลับหายตัวไปอีก ทันใดนั้น ภาพข่าวสังคมน่ากลัวแวบขึ้นในสมองเธอทันที เธอเข่าอ่อนจนแทบทรุดลงกองกับพื้น 


 


 


           อาฮุยเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าไปประคองร่างไร้เรี่ยวแรงของเธอเอาไว้ได้ทันท่วงที เขาประคองเธอไปนั่งลงบนเก้าอี้ “คุณอย่าเพิ่งร้อนใจไปนะครับ ลองโทรศัพท์หาเพื่อนๆ ของท่านดูก่อน บางทีท่านอาจจะมีธุระที่ต้องออกไปข้างนอกก็ได้นะครับ” 


 


 


           เธอพยายามตั้งสติ ส่ายศีรษะเบาๆ “ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น ท่านก็ไม่มีเพื่อนที่ไหนอีก ตอนนี้ฉันเป็นคนที่ใกล้ชิดกับท่านมากที่สุดแล้ว ถ้ามีธุระจริงๆ ท่านก็ต้องบอกฉัน ไม่มีทางหายตัวไปแล้วยังปิดมือถือแบบนี้หรอก” 


 


 


           อาฮุยยังคงพยายามปลอบใจเธอต่อ “บางทีมันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คุณคิดก็ได้ คุณดูห้องนี้สิครับ ทุกอย่างถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ห้องนอนก็สะอาดสะอ้าน และไม่มีร่องรอยถูกคนบุกรุก นั่นก็หมายความว่าอย่างน้อยท่านก็เป็นคนออกจากบ้านเอง เพราะฉะนั้น คุณอย่าเพิ่งคิดในแง่ร้ายเลยนะครับ” 


 


 


           “นายพูดถูก” เธอหวนนึกถึงสภาพภายในบ้านตามที่เขาบอก ตอนนี้เธอเริ่มจะตั้งสติได้แล้ว “เป็นเพราะฉันตกใจมากเกินไปเอง แล้วทำไมท่านถึงปิดมือถือล่ะ?” 


 


 


           เธอบ่นงึมงำ อาฮุยนิ่งเงียบเพราะไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน 


 


 


           อีกสาเหตุที่ทำให้เธอร้อนรนมากก็เพราะสำหรับท่านแล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดควรจะเป็นลูกสาวคนนี้ แต่ท่านกลับหายตัวไปโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำ ไม่แม้แต่จะโทรศัพท์บอกเธอสักคำ และถึงขั้นปิดโทรศัพท์มือถือแบบนี้ มันต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากขนาดไหนที่ทำให้ท่านทำแบบนี้? 


 


 


           เธอยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งคิดยิ่งสับสน 


 


 


           ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น หัวใจเธอกระตุกวูบ รีบกดรับสายทันที เสียงจิ้นหยวนดังลอดมาตามสาย “ที่รัก คุณกำลังทำอะไรอยู่เหรอ?” 


 


 


           “คุณเองเหรอคะ!” นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงจิ้นหยวนแล้วไม่รู้สึกดีใจ แต่กลับรู้สึกผิดหวังแทน 


 


 


           จิ้นหยวนสัมผัสถึงความผิดปกติทันที “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” 


 


 


           “ฉัน… ฉันมีเรื่องอยากให้คุณช่วยค่ะ” เธอลังเลเล็กน้อย ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง 


 


 


           ตอนนี้เธอจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว อยากจะออกตามหาคุณแม่แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน และตอนนี้วิธีเดียวที่เธอนึกออกก็คือขอให้จิ้นหยวนช่วย  


 


 


           จิ้นหยวนรู้เรื่องแล้วรับปากทันที “ได้ เดี๋ยวผมสั่งให้คนออกตามหาเดี๋ยวนี้แหละ คุณแน่ใจใช่ไหมว่าคุณแม่คุณปิดมือถือเอาไว้?” 


 


 


           “ใช่ค่ะ คุณแม่ปิดมือถือเอาไว้ ฉันโทรหาท่านตั้งแต่เช้าเป็นสิบๆ สายแล้ว แต่ก็ปิดเครื่องตลอด” พูดถึงตรงนี้แล้วเธอรู้สึกว้าวุ่นใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมา 


ตอนที่ 286 ติดตามร่องรอย  


 


 


           จิ้นหยวนรีบเอ่ยปลอบ “ไม่ต้องร้องนะ บางทีคุณป้าอาจจะแค่ออกไปเที่ยวก็ได้ เดี๋ยวท่านก็กลับมาเอง” 


 


 


           “ไม่ใช่หรอกค่ะ ท่านไม่มีทางหายตัวไปโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้แน่ จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านแน่ๆ ค่ะ” สัญชาตญาณบอกกับเธอว่าการหายตัวไปของคุณแม่ครั้งนี้ต้องมีลับลมคมในแน่ เธอโมโหตัวเองที่ไม่ค่อยติดต่อคุณแม่ จนท่านหายตัวไปเธอก็ยังไม่รู้เรื่อง 


 


 


           จิ้นหยวนครุ่นคิดชั่วครู่ “เดี๋ยวผมให้คนไปเช็คกล้องวงจรปิดที่นั่น คุณรอผมนะ” เอ่ยจบแล้วกดตัดสายจากเธอ จากนั้นโทรศัพท์สั่งให้คนของตัวเองไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณนั้นทันที 


 


 


           แม้ประชาชนคนทั่วไปจะดูภาพกล้องวงจรปิดพวกนี้ไม่ได้ แต่คนอย่างจิ้นหยวนอยากจะดูกลับเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว เพียงไม่นาน ภาพจากกล้องวงจรปิดก็ถูกส่งไปยังคอมพิวเตอร์ของลูกน้องเขาทันที 


 


 


           ความจริงวิธีตรวจสอบแบบนี้ถือเป็นวิธีทีที่ค่อนข้างโง่ไปหน่อย เพราะวิธีติดตามตัวที่ดีที่สุดคือการติดตามจากพิกัดของโทรศัพท์มือถือ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดจิ้นหยวนจึงต้องการยืนยันว่าคุณนายเฉียวปิดโทรศัพท์มือถือจริงหรือไม่ 


 


 


           ถ้าคุณนายเฉียวไม่ได้ปิดโทรศัพท์มือถือ พวกเขาสามารถติดตามตัวเธอได้ง่ายๆ จากพิกัดของเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ แต่เธอดันปิดโทรศัพท์มือถือ จึงทำให้ต้องใช้วิธีที่โง่ที่สุดในการติดตามร่องรอยแทน นั่นก็คือตามร่องรอยจากกล้องวงจรปิดบริเวณบ้านเธอแทน 


 


 


           เฉียวซือมู่คาดเดาคร่าวๆ ว่าคุณนายเฉียวน่าจะหายออกจากบ้านประมาณหนึ่งถึงสองวัน พวกเขาจึงเริ่มติดตามภาพจากกล้องวงจรปิดย้อนหลังสองวัน แม้จะดูย้อนหลังแค่สองวัน แต่ถือว่างานหนักไม่ใช่เล่น เพราะไม่รู้ว่าเธอออกจากบ้านเมื่อไหร่ ช่วงเช้าหรือช่วงบ่าย ช่วงเย็นหรือช่วงกลางคืน นั่งรถออกไปหรือว่าเดินออกไป ไปคนเดียวหรือว่าไปกับเพื่อน ซึ่งไม่มีใครรู้ข้อมูลพวกนี้เลยสักคน เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงต้องคอยจ้องภาพจากกล้องวงจรปิดตาไม่กะพริบ 


 


 


           งานนี้ถือเป็นงานหนักมาก โชคดีที่จิ้นหยวนมีลูกน้องมากพอ แต่ละคนแบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบ งานนี้จึงผ่านพ้นไปได้ 


 


 


           ฝั่งจิ้นหยวน อาการของฉินเพ่ยหรงคงที่แล้ว เธอเห็นลูกชายที่คอยเฝ้าไข้ไม่ห่างกายแล้วสงสารเขามาก พอเห็นท่าทางเขาจะมีธุระสำคัญที่ต้องจัดการจึงโบกมือให้เขากลับไปเสีย 


 


 


           จิ้นหยวนรีบขับรถไปหาเฉียวซือมู่ทันที พอก้าวเข้าไปในบ้านก็เห็นเธอกำลังนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ ทำให้เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ  


 


 


           เฉียวซือมู่โทรศัพท์หาทุกคนที่เธอและคุณนายเฉียวรู้จัก แต่กลับไม่มีใครรู้เลยสักคนว่าเธอหายไปไหน ราวกับว่าอยู่ดีๆ เธอก็อันตรธานหายไปในอากาศอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


           จิ้นหยวนกอดเธอแน่น เอ่ยข้างหูเธอเสียงเบา “ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะต้องหาท่านให้เจอ นะ” 


 


 


           ตอนนี้เฉียวซือมู่ลืมเรื่องไม่พอใจเมื่อคืนจนสิ้น เอ่ยกับเขาหน้าตาน่าสงสาร “ปกติคุณแม่จะไม่ออกไปไหนโดยไม่มีเหตุจำเป็นและไม่บอกฉันแบบนี้ ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน… อาหยวน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่านแล้วฉันจะทำยังไง?” 


 


 


           จิ้นหยวนลูบศีรษะเธอเบาๆ อย่างปลอบโยน “อย่าเพิ่งคิดในแง่ร้าย คุณบอกว่าห้องนอนท่านเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ใช่เหรอ ดูเหมือนจะมีเหตุให้ต้องออกจากบ้านด้วยใช่ไหม? บางทีท่านอาจจะแค่ออกไปทำธุระก็ได้ คุณอย่าเพิ่งคิดในแง่ร้ายเลยนะ บางทีเรื่องมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณคิดก็ได้” 


 


 


           “จริงนะคะ?” เธอเช็ดน้ำตาแล้วมองเขา 


 


 


           ดวงตากลมโตที่มีน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองจิ้นหยวนนิ่ง มันทำให้หัวใจเขากระตุกอย่างแรง เขาพยายามเอ่ยอย่างใจเย็น “คุณพาผมไปดูที่ห้องนอนหน่อยสิ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 287 เบาะแส  


 


 


           “อืม” เธอตอบเสียงขึ้นจมูก จากนั้นพาเขาไปยังห้องนอนของคุณนายเฉียว จิ้นหยวนกวาดสายตามองไปรอบๆ และพบว่าทุกอย่างเป็นอย่างที่เธอบอก ของทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนคุณนายเฉียวออกจากบ้านเอง และไร้ร่องรอยคนนอกบุกรุกเข้ามาในบ้านนี้ 


 


 


           เขาเดินไปหยุดยืนหน้าโต๊ะ ใช้นิ้วลูบโต๊ะเบาๆ ราวกำลังคิดอะไรอยู่ 


 


 


           เฉียวซือมู่เดินเข้าไปหาเขา “คุณดูโต๊ะทำไมคะ?” 


 


 


           เขาเอ่ยตอบ “มีฝุ่นเกาะบนโต๊ะบางๆ แสดงว่าคุณป้าไม่ได้กลับมาอย่างน้อยสองวันแล้ว” 


 


 


           เขาคาดเดาได้ตรงกับเฉียวซือมู่ไม่มีผิด 


 


 


           เธอเริ่มร้อนใจขึ้นมาอีก เธอมองเขาแล้วเอ่ยถาม “แล้วตอนนี้เราควรทำยังไงดีคะ?” 


 


 


           จิ้นหยวนส่ายศีรษะ “คุณอย่าเพิ่งใจร้อน ในเมื่อคุณป้าเป็นคนออกไปเอง จะต้องมีเพื่อนบ้านเห็นแน่ บางทีอาจจะรู้ด้วยว่าท่านไปไหน เราลองไปถามเพื่อนบ้านดูกันเถอะ” 


 


 


           “ดีค่ะ” ตอนนี้เธอลนลานจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ความใจเย็นของจิ้นหยวนเป็นการปลอบใจที่ดีที่สุด ทำให้เธอเชื่อฟังคำแนะนำของเขาทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ 


 


 


           และพวกเขาก็ได้เบาะแสเพิ่มเติมอย่างรวดเร็ว 


 


 


           หลังจากสอบถามเพื่อนบ้านคนที่สาม เพื่อนบ้านคนนั้นบอกว่า “เห็นเธอออกไปจ่ายตลาดที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแถวนั้นเมื่อสองวันก่อน หลังจากนั้นก็ไม่รู้แล้ว” 


 


 


           เฉียวซือมู่ดีใจมาก รีบจูงมือจิ้นหยวนเดินไปตามทางที่เพื่อนบ้านคนนั้นบอกทันที 


 


 


           ซูเปอร์มาร์เก็ตนั้นเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่มากและมีลูกค้าเยอะมากในละแวกนั้น พวกเขาไล่ถามคนแถวนั้นแต่ก็ไม่มีใครรู้เรื่องสักคน จนกระทั่งไปสอบถามพนักงานคนหนึ่งที่กำลังทำงานอยู่ที่นั่นพอดี หลังจากเฉียวซือมู่อธิบายรูปร่างลักษณะของคุณนายเฉียวแล้ว พนักงานคนนั้นครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ “ดูเหมือนจะเคยเห็นนะคะ” 


 


 


           เฉียวซือมู่ดีใจมาก รีบเอ่ยถามทันที “แล้วตอนนั้นเธอดูเป็นยังไงบ้าง? ออกจากที่นี่เมื่อไหร่? แล้วไปทางไหนต่อคะ?” 


 


 


           พนักงานคนนั้นมองเธอด้วยสายตาระแวง “เธอเป็นแค่ลูกค้าเท่านั้น ฉันทำงานอยู่ข้างในไม่ได้อยู่ข้างนอกสักหน่อย แล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่าเธอกลับไปทางไหน” 


 


 


           พนักงานคนนั้นไม่รู้ว่าพวกเธอเป็นใคร จึงเอ่ยตอบอย่างไม่เกรงใจ 


 


 


           พูดตามตรง คำถามของเฉียวซือมู่ก็ตอบยากเหลือเกิน ลูกค้าที่มาจับจ่ายใช้สอยที่นี่เยอะมากขนาดนั้น แถมยังเป็นเรื่องเมื่อสองวันก่อนอีก เธอจำได้ว่ามีลูกค้าคนนี้เข้ามาใช้บริการก็ถือว่าดีมากแล้ว แล้วเธอจะไปรู้ได้อย่างไรว่าลูกค้าคนนั้นกลับไปทางไหน? 


 


 


           เฉียวซือมู่ผิดหวังจนเกือบจะร้องไห้ออกมา จิ้นหยวนทนเห็นสภาพเธอแบบนี้ไม่ได้ เขาหน้าเข้ม จับมือเธอแน่น เอ่ยถามพนักงานคนนั้นอย่างอดทน “คุณลองคิดดูดีๆ อีกที ตอนนั้นสีหน้าเธอเป็นยังไงบ้าง? แล้วมีคนมาด้วยหรือเปล่า? แล้วมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” 


 


 


           เขาเอ่ยถามพลางหยิบธนบัตรหลายใบออกจากกระเป๋าเงินแล้วยัดใส่มือเธอ “แค่คิดให้ออกว่ามีอะไรอีกบ้าง เงินนี้ก็จะเป็นของคุณ” 


 


 


           พนักงานคนนั้นดวงตาเป็นประกายวาบ “คุณพูดเองนะ” จิ้นหยวนพยักหน้าหนักแน่น เธอเริ่มคิดอย่างจริงจัง ไม่นานเธอก็ตบมือดังเพียะ “ฉันนึกออกแล้ว!” 


 


 


           “อะไรคะ?” เฉียวซือมู่เอ่ยถามด้วยความดีใจ 


 


 


           “ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเธอเข้ามาซื้อกับข้าว จากนั้นเหมือนเธอจะเจอคนรู้จักเข้า สีหน้าเธอดูโกรธมาก เธอรีบร้อนวิ่งออกจากร้านจนชนฉันเข้า ตอนนั้นฉันไม่ทันระวังตัว ก็เลยชนเข้ากับรถเข็นจนเจ็บไปหมด คุณดูสิ…” เธอเอ่ยอย่างไม่พอใจพลางยื่นแขนให้เฉียวซือมู่ดู บนแขนเธอมีรอยช้ำจ้ำใหญ่ที่ดูน่าตกใจมาก 


ตอนที่ 288 ดีใจเสียเปล่า


 


 


           “นี่เป็นรอยแผลที่ถูกชนตอนนั้น ตอนนั้นฉันยังคิดจะไล่ตามเธอไปอยู่เลย แต่เธอวิ่งเร็วมาก เหมือนกับว่ากำลังหนีใครอย่างนั้นแหละ แป๊บเดียวก็วิ่งหายไปแล้ว” พนักงานสาวอายุสามสิบกว่าๆ พูดไม่หยุด “คนสมัยนี้นี่ไร้มารยาทจริงๆ ชนคนอื่นแล้วก็ไม่ขอโทษสักคำ คิดว่าพนักงานซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างเราไม่ใช่คนหรือไง จริงๆ เลย…”


 


 


           “เอ่อ ขอโทษด้วยนะคะ บางทีเธออาจจะมีธุระด่วนก็ได้ แล้วยังมีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่าคะ? อย่างเช่น คนที่เธอเจอหรือสิ่งของอื่นๆ ที่เธอเห็น” เฉียวซือมู่รีบเอ่ยแทรกทันที ขืนปล่อยให้เธอพูดไปเรื่อยๆ คงไม่จบง่ายๆ แน่


 


 


           พนักงานคนนั้นครางเสียงฮึดฮัด “ตอนนั้นฉันกำลังทำงานอยู่นะ ไม่มีเวลาสังเกตเรื่องพวกนั้นหรอก ฉันไม่รู้หรอกว่าทำไมเธอถึงวิ่งหนี ตอนนั้นมีคนเต็มไปหมด ฉันไม่เห็นอะไรหรอก” ความจริงถ้าเธอไม่ถูกชน เธอเองก็คงจำลูกค้าคนนั้นไม่ได้เหมือนกัน


 


 


           เฉียวซือมู่รู้แล้วว่าคงไม่ได้เรื่องมากไปกว่านี้ จึงตามจิ้นหยวนกลับออกไปด้วยความผิดหวัง


 


 


           จิ้นหยวนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรศัพท์สั่งให้ลูกน้องลงมือค้นหาทันที ตอนนี้รู้เวลาที่แน่นอนแล้ว ทำให้จำกัดการค้นหาให้แคบลง


 


 


           เฉียวซือมู่ยังคงทำอะไรไม่ถูกเหมือนเดิม จึงปล่อยให้จิ้นหยวนเป็นคนกำกับเรื่องนี้เองคนเดียว


 


 


           กระนั้น ต่อให้พวกเขาเก่งกาจอย่างไรก็ตาม แต่พวกเขาก็ต้องการเวลาเช่นเดียวกัน เฉียวซือมู่กลับถึงบ้านแล้วไม่ยอมกินไม่ยอมนอน จิ้นหยวนเอ่ยปลอยเสียงอ่อนโยน เธอได้แต่ฝืนยิ้มให้เขา ในใจเต็มไปด้วยความร้อนรนใจ


 


 


           จิ้นหยวนได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในอก


 


 


           ในที่สุดจิ้นหยวนก็ได้รับรายงานจากลูกน้องในตอนเย็น “พี่ใหญ่ ได้ภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วครับ”


 


 


           ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยอะไร เฉียวซือมู่ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเสียงดังลอดออกมารางๆ แล้วดวงตาเป็นประกายวาบ “จริงเหรอ?”


 


 


           ลูกน้องจิ้นหยวนรีบส่งภาพจากกล้องวงจรปิดให้เขาทันที เฉียวซือมู่ที่ยืนอยู่ข้างจิ้นหยวนชะโงกหน้าเข้าไปดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่เห็นแผ่นหลังเลือนรางนั้นทันที เธอกะพริบตาปริบๆ น้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว “ใช่จริงด้วย นั่นคุณแม่จริงๆ ด้วย”


 


 


           จิ้นหยวนยื่นแขนโอบเธอเอาไว้ เห็นน้ำตาเธอแล้วสงสารเธอจับใจ เขายื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาให้เธอพลางเอ่ยปลอบ “คุณวางใจเถอะ ผมจะต้องตามหาคุณป้าจนเจอให้ได้”


 


 


           เธอเอ่ยตอบอืมเสียงเบา สายตาจับจ้องอยู่ที่ภาพจากกล้องวงจรปิดสองชุดบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขาตาไม่กะพริบ


 


 


บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ปรากฎภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดสองชุด ชุดที่หนึ่งเป็นภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกจากมุมสูง คุณนายเฉียวกำลังเดินอย่างสบายอารมณ์ ดูจากเวลาแล้วเป็นช่วงที่เธอเดินไปยังซูเปอร์มาร์เก็ต เห็นได้ชัดว่าตอนนั้นท่าทางเธอปกติดี


 


 


ภาพอีกชุดเป็นภาพเคลื่อนไหวที่เลือนรางมาก เธอวิ่งผ่านกล้องวงจรปิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นหายเข้าไปในถนนที่มีรถราวิ่งขวักไขว่


 


 


เฉียวซือมู่ชักหัวคิ้วชนกันแน่น “ย้อนกลับไปอีกหน่อยได้ไหมคะ?”


 


 


จิ้นหยวนย้อนภาพตามที่เธอขอร้อง เขาย้อนกลับไปตรงที่เห็นคุณนายเฉียวปรากฎอยู่ตรงกรอบภาพพอดี เธอตั้งใจดูอย่างละเอียด พยายามค้นหาว่าเหตุใดคุณแม่จึงรีบร้อนขนาดนั้น เธอจ้องอยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดสังเกตสักอย่าง


 


 


เธอหันไปมองจิ้นหยวนอย่างต้องการความช่วยเหลือ “คุณช่วยดูหน่อยสิคะว่าทำไมคุณแม่ถึงรีบร้อนขนาดนั้น?”


 


 


จิ้นหยวนสังเกตดูภาพนั้นนานแล้ว เขาเอ่ยอย่างใช้ความคิด “บางทีท่านอาจจะเห็นคนรู้จักเข้าถึงได้เป็นแบบนั้นก็ได้ แต่ในภาพก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ มีคนผ่านไปมาแค่ไม่กี่คนเอง”


 


 


“แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้ท่านต้องทำอย่างนั้นนี่คะ?”


 


 


“อาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ได้ เพียงแต่มุมกล้องทำให้จับภาพไม่ได้ คุณก็รู้นี่ว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้” เขายังคงจับสังเกตภาพจากกล้องวงจรปิด และได้ข้อสรุปออกมาเช่นนี้


 


 


เธอรู้สึกท้อแท้มาก ที่แท้ก็ดีใจเสียเปล่าอย่างนั้นเหรอ?


 


 


 


 


ตอนที่ 289 แกะรอยต่อ


 


 


           “มันคงไม่ได้แย่อย่างที่คุณคิดหรอก อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่าคุณป้าเป็นคนออกไปเอง และมีความเป็นไปได้สูงที่ท่านจะเจอคนรู้จัก อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าท่านน่าจะปลอดภัย” เขามองดูภาพกล้องวงจรปิดพลางเอ่ยพลาง


 


 


           “จริงเหรอคะ? แต่ว่า…” เธอมองจิ้นหยวน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและความร้อนใจ “คุณพูดจริงเหรอคะ? ท่านจะปลอดภัยใช่ไหมคะ?”


 


 


           จิ้นหยวนถอนหายใจพลางรั้งตัวเธอเข้าไปกอด เอ่ยเสียงแผ่วข้างหูเธอ “ใช่ คุณต้องเชื่อผมนะ รเข้าใจไหม?”


 


 


           เธอซบหน้าลงกับแผงอกกว้างของเขาแล้วพยักหน้าเบาๆ


 


 


           จิ้นหยวนสั่งให้ลูกน้องควานหาตัวคนที่คุณนายเฉียววิ่งตามไปคนนั้นออกมาให้ได้ งานครั้งนี้ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก เพราะอย่างน้อยตอนที่ตามหาคุณนายเฉียวพวกเขายังมีรูปถ่ายของเธอให้ดู แต่ตอนนี้ต้องตามล่าหาตัวผู้ต้องสงสัยจากภาพมุมกล้องที่มีอยู่ จึงเป็นงานที่ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก


 


 


           ด้วยเหตุนี้ คราวนี้พวกเขาจึงยังไม่ได้รับรายงานจากลูกน้องเสียที ระหว่างรอข่าว สภาพจิตใจของเฉียวซือมู่ยังคงแย่เหมือนเดิม แต่เธอไม่ได้ดูลนลานมากเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว อย่างน้อยเธอก็มีสติพอที่จะถามจิ้นหยวน “จริงสิ คุณแม่คุณเป็นยังไงบ้างคะ?”


 


 


           จิ้นหยวนมองเธอแวบหนึ่งแล้ววางโจ๊กลงตรงหน้าเธอ “กินอะไรหน่อยนะ เดี๋ยวคุณก็ล้มป่วยก่อนหาคุณแม่คุณเจอหรอก”


 


 


           เขามองดูเธอกินโจ๊กตามที่เขาบอกแล้วจึงเอ่ยขึ้น “คุณแม่ไม่ได้เป็นอะไร อายุมากแล้วก็เป็นแบบนี้แหละ คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”


 


 


           เธอคิดถึงเรื่องของคุณแม่ตัวเองแล้วทำให้เข้าใจจิ้นหยวนมากขึ้น จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก “คุณป้าล้มป่วยเพราะฉัน คราวหน้าฉันจะไปขอโทษท่านค่ะ”


 


 


           นี่ไม่ใช่การยอมแพ้ แต่เธอยอมทำเพื่อจิ้นหยวนต่างหาก คนทุกคนมีจุดอ่อนของตัวเอง และจุดอ่อนของจิ้นหยวนก็คือคุณพ่อคุณแม่ของเขา และจุดอ่อนของเธอก็คือคุณแม่เช่นเดียวกัน


 


 


           จิ้นหยวนยิ้มบางๆ “ยัยโง่ คุณไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมต้องขอโทษด้วย? ท่านก็เป็นคนแข็งๆ แบบนี้แหละ ใครพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ คุณไม่ต้องสนใจหรอก ดูแลตัวเองให้ดีดีกว่า”


 


 


           เธอพยักหน้า รู้สึกอบอุ่นหัวใจ “ขอบคุณค่ะ”


 


 


           เรื่องระหว่างเธอกับคุณแม่ของเขา เขาเลือกที่จะยืนอยู่ข้างเธอเสมอ นั่นทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งใจมาก


 


 


           บรรยากาศมื้อค่ำทั้งอบอุ่นทั้งสวยงาม แม้เธอจะไม่อยากอาหารเลย แต่ก็ยังพยายามกินให้มากเข้าไว้ เขาพูดถูก เธอจะล้มลงก่อนเจอตัวคุณแม่ไม่ได้


 


 


           ในที่สุด พวกเธอก็ได้รับข่าวดีในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอเพิ่งตื่นนอนพลันเห็นจิ้นหยวนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ จากนั้นเขาหมุนตัวกลับมาเอ่ยกับเธอด้วยความดีใจ “คุณป้ากลับบ้านแล้ว”


 


 


           “อะไรนะคะ!” เธอเพิ่งตื่นนอนก็ได้รับข่าวใหญ่มากขนาดนี้ ทำให้เธอมึนงงจนต้องคว้าจับแขนเขาเอาไว้ “คุณพูดว่าอะไรนะคะ?”


 


 


           “ผมบอกว่า คุณป้ากลับบ้านแล้ว ลูกน้องที่เฝ้าอยู่ที่บ้านคุณป้าเห็นเองกับตา” จิ้นหยวนพูดชัดถ้อยชัดคำทีละคำๆ


 


 


           เธอคลายมือออกด้วยความงงงัน ร่างกายโงนเงน เธอดีใจมากจนแทบจะเป็นลม “คุณแม่กลับมาแล้ว เป็นข่าวดีมากจริงๆ”


 


 


           คุณแม่ปลอดภัย ดีเหลือเกิน สวรรค์คุ้มครองจริงๆ


 


 


           ชั่ววินาทีนั้น คนที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริงอย่างเธอยังต้องขอบคุณสวรรค์ เธอหมุนตัวจะไปเปิดประตู “ฉันจะไปหาคุณแม่เดี๋ยวนี้แหละค่ะ”


 


 


           แต่เธอกลับถูกจิ้นหยวนคว้าจับตัวหมับก่อนที่จะทันได้เปิดประตูออก


ตอนที่ 290 กลับมาแล้ว


 


 


           “อะไรคะ?”


 


 


           “คุณจะออกไปทั้งๆ อย่างนี้เหรอ?” เขาส่ายศีรษะพลางชี้ไปที่เสื้อผ้าที่เธอกำลังสวมอยู่


 


 


           เธอก้มหน้าลงมองตัวเองแล้วแลบลิ้นเขินๆ


 


 


           เพราะเสื้อผ้าที่เธอสวมอยู่ตอนนี้เป็นชุดนอนที่สวมตั้งแต่เมื่อคืน ขืนออกจากบ้านสภาพนี้เธอคงถูกคนมองเป็นตัวประหลาดแน่


 


 


           เธอรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่อย่างรวดเร็ว จากนั้นลากเขาออกจากบ้าน


 


 


           พอไปถึงหน้าบ้านคุณนายเฉียวปุ๊บ เฉียวซือมู่รีบหยิบกุญแจออกมาไขประตูเปิดออกปั๊บ เธอวิ่งเข้าไปในบ้านแล้วกวาดสายตามองไปทั่ว จากนั้นเดินจ้ำอ้าวตรงไปยังห้องนอนของคุณนายเฉียวทันที


 


 


           “คุณแม่อยู่ไหนคะ?”


 


 


           ประตูห้องนอนไม่ได้ล็อก เธอเปิดประตูห้องออกอย่างระมัดระวัง เงี่ยหูฟังจึงได้ยินเสียงน้ำไหลดังซ่าๆ เธอโล่งอกทันที ค่อยๆ เดินเข้าไปในห้อง


 


 


           มีเสื้อผ้าทิ้งเอาไว้บนเตียง รองเท้าวางอยู่อีกทาง โทรศัพท์มือถือวางอยู่บนโต๊ะ ดูเหมือนว่าคุณแม่จะกลับมาแล้วจริงๆ


 


 


           เธอถอนหายใจโล่งอกเฮือกใหญ่ ค่อยๆ เดินไปนั่งลงบนโซฟา รอให้คุณแม่อาบน้ำเสร็จก่อน


 


 


           เธอค่อยๆ ใจเย็นลง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดดู แต่ในใจกลับคิดไปถึงเรื่องของคุณแม่ หลายวันที่ผ่านมาคุณแม่หายไปไหน? แล้ววันนั้นคุณแม่เจอใคร?


 


 


           เธอเพิ่งรู้ตัวว่าความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองแรงกล้ามาก คำถามมากมายหมักหมมอยู่ในใจ เธออยากรู้จนกระสับกระส่าย แต่ก็ต้องนั่งรอคุณแม่อาบน้ำให้เสร็จก่อน


 


 


           ในที่สุดช่วงเวลาแห่งการรอคอยแสนยาวนานก็สิ้นสุดลงเสียที คุณนายเฉียวสวมชุดคลุมอาบน้ำตัวหลวมเดินออกมาจากห้องน้ำ สองมือใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียกชุ่ม ใบหน้าแดงระเรื่อ เยื้องย่างออกมาอย่างช้าๆ ราวกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง


 


 


           ท่าทางเธอกำลังคิดหนักจนไม่ทันสังเกตเห็นว่าในห้องมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เธอเดินไปยังตู้หัวเตียง ก้มกายลงหยิบอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียก “คุณแม่…”


 


 


           เธอตกใจสะดุ้งเฮือก รีบหมุนตัวกลับไปมองพบว่าเป็นเฉียวซือมู่ เธอตบอกตัวเองเบาๆ พลางเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก “ลูกมาตั้งแต่เมื่อไหร? ทำไมไม่บอกไม่กล่าวก่อนสักคำ?”


 


 


           เฉียวซือมู่ลุกขึ้นยืนแล้วมองเธอ “คุณแม่หายไปไหนมาคะ?”


 


 


           คุณนายเฉียวชะงักเล็กน้อย “ลูกจะตีโพยตีพายไปทำไม แม่แก่ขนาดนี้แล้วไม่หายไปไหนหรอกน่า”


 


 


           “แล้วทำไมคุณแม่ไม่บอกหนูสักคำคะ รู้ไหมว่าหนูเป็นห่วงมากแค่ไหน” เฉียวซือมู่ตัดพ้อ “สองวันมานี้หนูแทบจะพลิกแผ่นดินหาคุณแม่อยู่แล้ว โทรศัพท์ก็โทรไม่ติด”


 


 


           เฉียวซือมู่เอ่ยพลางเหลือบมองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ มันยังคงอยู่ในสภาวะถูกปิดเครื่องเหมือนเดิม


 


 


            ความผิดปกติฉายขึ้นบนใบหน้าคุณนายเฉียวแวบหนึ่ง “วันก่อนแม่เจอเพื่อนคนหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ ก็เลยไปค้างที่บ้านเพื่อนสองวัน บ้านเพื่อนคนนั้นอยู่ไกลมาก แม่ก็เลยติดต่อลูกไม่ได้น่ะ”


 


 


           “จริงเหรอคะ?” เฉียวซือมู่มองคุณนายเฉียวด้วยความระแวง รู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่


 


 


           คุณนายเฉียวมองเฉียวซือมู่แวบหนึ่ง “แล้วลูกคิดว่าไงล่ะ? แม่แก่ขนาดนี้แล้ว จะออกไปเที่ยวบ้างก็ต้องรายงานลูกด้วยเหรอ”


 


 


           “หนูไม่ได้บอกว่าต้องรายงาน…” เฉียวซือมู่เริ่มร้อนรน “แต่ตอนนี้หนูเหลือคุณแม่แค่คนเดียวแล้ว คุณแม่จะออกไปเที่ยวก็ได้ แต่คุณแม่ช่วยบอกหนูสักคำไม่ได้เหรอคะ?”


 


 


           “โอเคๆๆ คราวหน้าแม่จะไม่ลืมบอกลูกก็แล้วกัน” คุณนายเฉียวส่ายศีรษะ ไม่ใส่ใจท่าทางร้อนรนของลูกสาว


 


 


           เฉียวซือมู่สูดหายใจลึก เอ่ยสีหน้าจริงจัง “คุณแม่พูดเรื่องจริงใช่ไหมคะ? ทำไมหนูถึงรู้สึกว่าคุณแม่กำลังปิดบังอะไรหนูอยู่ล่ะคะ”


 


 


           คุณนายเฉียวคิดไม่ถึงว่าเฉียวซือมู่จะมีสายตาคมกริบเช่นนี้ สีหน้าเธอผิดปกติเล็กน้อย อ้าปากกำลังจะพูด


 


 


 


 


ตอนที่ 291 ปิดบัง


 


 


           จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของเฉียวซือมู่ก็ดังขัดจังหวะขึ้น เธอเหลือบมองคุณนายเฉียวแวบหนึ่ง จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรับสาย “ฮัลโหล?”


 


 


           “มู่มู่ ผมเอง”


 


 


           เสียงชายหนุ่มแสนคุ้นเคยดังลอดมาจากปลายสาย เธอเอ่ยด้วยความดีใจมาก “ฉีหย่วนเหิง? ทำไมอยู่ดีๆ คุณถึงโทรหาฉันได้ล่ะคะ?”


 


 


           แต่น้ำเสียงของฉีหย่วนเหิงกลับฟังแปลกๆ ชอบกล “นั่นสิ ผมโทรมาเพื่อแสดงความยินดีกับคุณเป็นพิเศษเลยนะ ยินดีด้วยที่คุณจะได้แต่งงานกับจิ้นหยวนสักที ผมยินดีด้วยจริงๆ”


 


 


           “อะไรนะคะ? ทำไมคุณถึง…” เธอเอ่ยได้เพียงครึ่งก็ต้องหยุดชะงัก รู้สึกแปลกใจมาก แม้จิ้นหยวนคิดจะแต่งงานกับเธอ แต่พวกเธอไม่เคยพูดเรื่องนี้กับคนนอกนี่นา แล้วฉีหย่วนเหิงรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?


 


 


           ฉีหย่วนเหิงเอ่ยตอบ “คุณอยากจะถามว่าผมรู้ได้ยังไงใช่ไหมครับ? คุณไปอ่านข่าวดูสิ ตอนนี้มีแต่ข่าวคุณเต็มไปหมด” เอ่ยพลางยิ้มเย็น “ตอนแรกผมก็คิดว่าผมมีโอกาสแล้ว ใครจะไปรู้ว่าผมจะแพ้ให้กับคนอย่างจิ้นหยวน ฮึ ไม่ช้าก็เร็ว สักวันคุณก็ต้องเป็นของผม สักวัน”


 


 


           นี่เขากำลังพูดเรื่องอะไรเนี่ย เฉียวซือมู่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าจ “ข่าวอะไรคะ แล้วข่าวเขียนว่ายังไง? เขียนว่าฉันจะแต่งงานกับจิ้นหยวนอย่างนั้นเหรอ? ฉันไม่เคยพูดอะไรแบบนี้กับใครเลยนะคะ”          


 


 


           “คุณไม่ต้องโกหกผมหรอก ตอนนี้ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วแล้ว ถ้าจิ้นหยวนไม่ได้เป็นคนให้ข่าวเอง แล้วใครจะไปกล้าทำข่าวนี้” วันนี้ฉีหย่วนเหิงดูแปลกไปจากเดิมมาก ดูเหมือนอารมณ์เขาจะไม่ปกติสักเท่าไหร่ และดูเหมือนเขาจะอ่อนไหวกว่าปกติมาก


 


 


           เฉียวซือมู่เอ่ยถามหยั่งเชิง “คุณดื่มเหล้ามาเหรอคะ?”


 


 


           เขาหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงฟังดูไม่มีความสุขและกลุ้มใจมาก “ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องยินดีกับคุณด้วยที่คุณสมหวังเสียที ผมฝากบอกจิ้นหยวนด้วย ผมไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด บอกเขาให้ระวังตัวเอาไว้ให้ดี” เขาเอ่ยจบแล้วตัดสายเสียดื้อๆ


 


 


           เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือจิ้นหยวน? แต่เขาไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเธอเลยนี่นา


 


 


           คุณนายเฉียวชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือพลางสังเกตท่าทางเฉียวซือมู่พลาง เห็นเฉียวซือมู่วางสายแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ลูกจะแต่งงานกับจิ้นหยวนจริงใช่ไหม?”


 


 


           เฉียวซือมู่ลังเลเล็กน้อย “เขาอยากแต่งค่ะ แต่ว่า…” เธออยากจะบอกว่าแต่ครอบครัวเขาคงไม่ยอม แต่เธอไม่อยากทำให้คุณแม่เป็นห่วง จึงตอบอย่างขอไปที “มีปัญหานิดหน่อย แต่เดี๋ยวก็คงแก้ปัญหาได้แหละค่ะ”


 


 


           คุณแม่รู้สึกดีกับจิ้นหยวนมาก เธอคิดว่าตัวเองพูดแบบนี้คุณแม่คงจะดีใจมาก


 


 


           และเป็นไปตามคาด พอเธอพูดออกไปแบบนั้น คุณนายเฉียวก็เอ่ยด้วยความปลื้มใจทันที “เขาเป็นคนที่ไม่เลวเลยนะ ลูกแต่งงานกับเขาแม่จะได้วางใจเสียที” เอ่ยพลางเดินเข้าไปหาเฉียวซือมู่ เธอวางมือลงบนบ่าลูกสาว “ตอนนี้ลูกก็โตแล้ว ต้องรู้จักวางตัวให้ดี จิ้นหยวนเป็นผู้ชายที่ดีมาก ลูกต้องถนอมเขาให้ดี เข้าใจไหม?”


 


 


           เฉียวซือมู่มุ่นหัวคิ้ว มองเธอด้วยความไม่เข้าใจ “คุณแม่อยากจะบอกอะไรเหรอคะ?”


 


 


           คุณนายเฉียวชะงักเล็กน้อย ส่ายศีรษะช้าๆ “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”


 


 


           เฉียวซือมู่จ้องคุณแม่นิ่ง รู้สึกว่าคำพูดของท่านแฝงนัยยะอื่นเอาไว้ ราวกับกำลังบอกลาเธออย่างไรอย่างนั้น “คุณแม่…”


 


 


           คุณนายเฉียวส่ายศีรษะราวเพิ่งรู้สึกตัวว่าคำพูดตัวเองฟังดูผิดปกติ จึงเอ่ยขึ้นใหม่ “ดูแม่ซิ ถ้าใครมาได้ยินเข้าคงคิดว่าแม่จะเป็นอะไรเสียอีก”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม