ลิขิตฟ้าชะตารัก 283-290
ตอนที่ 283 เงินเยอะแต่คนโง่
“ยามที่หม่อมฉันออกมาจากจวนนั้น เพราะปิดบังเสด็จพ่อเอาไว้จึงรีบออกมา ทำให้หยิบเสบียงมาน้อยเหลือเกิน กลัวว่าระหว่างทางนั้นจะไม่พอทาน ไม่ทราบว่าในมือขององค์ชายใหญ่นั้นยังเหลืออีกเยอะหรือไม่ หากพอจะสามารถแบ่งให้หม่อมฉันได้บ้าง ภายหลังเมื่อกลับไปยังจวนหลิงอ๋องแล้วหม่อมฉันจะต้องทูลขอเสด็จพ่อตอบแทนองค์ชายแน่ๆ เพคะ” อวี้อาเหราก้มหน้าอย่างเป็นทุกข์ หากมองเพียงภายนอกก็จะเห็นว่านางมีท่าทีทุกข์ทนยิ่งนัก
“แค่เรื่องเสบียงเองหรือ ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก เรากำลังจะกลับเฟิ่งเฉิงแล้ว เสบียงที่ขนมาก็ยังเหลืออีกมาก หากคุณหนูรองต้องการข้าก็จะยกให้” จวินจื่อหร่านพูดขึ้นอย่างใจกว้าง
“ขอบพระทัยองค์ชายใหญ่เพคะ!” ใบหน้าของอวี้อาเหราเผยให้เห็นถึงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
จวินจื่อหร่านให้คนนำเสบียงมามอบให้นาง “คุณหนูรอง ข้ายังต้องเดินทางต่อ ในป่ารกร้างแห่งนี้ไม่ค่อยปลอดภัยนัก เจ้าต้องระวังตัวเอาไว้ด้วย”
“เพคะ ขอให้องค์ชายทรงเดินทางปลอดภัย” อวี้อาเหราพยักหน้ารับ
เมื่อเห็นจวินจื่อหร่านนำพากองกำลังสองกลุ่มจากไปแล้ว เจาเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “คุณหนู ท่านแกล้งองค์ชายใหญ่เช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ เขาถูกท่านยกยอเสียจนนิ่งอึ้งไปเลย ช่างน่าขันยิ่งนัก!”
อวี้อาเหรายิ้มอย่างพึงใจ “เรียนรู้จากข้าให้ดีๆ เล่า เช่นนี้เรียกว่ามีเงินเยอะแต่คนโง่ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่ามีเสบียงเยอะแต่คนโง่ต่างหาก…”
“เจ้าค่ะ บ่าวทราบแล้ว” เจาเอ๋อร์รับปากอย่างจริงจัง
เสียงหัวเราะจากเหล่าองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกดังเข้ามา ล้วนแล้วแต่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เหตุใดองค์ชายใหญ่ผู้นี้ถึงหลอกได้ง่ายนักนะ
เสียงหัวเราะค่อยๆ เลือนหายไป อวี้อาเหราออกคำสั่งให้คนขนเสบียงของจวินจื่อหร่านเข้าไปไว้ในรถม้า จากนั้นจึงค่อยเอ่ยปากขึ้นว่า “ต้าเว่ย ชิงอวิ๋น พวกเจ้าเข้ามาเถิด ด้านนอกลมแรงนัก ทิ้งเวรยามเอาไว้สองคนก็พอแล้ว”
ต้าเว่ยและชิงอวิ๋นตกใจขึ้นมาในทันที “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ คุณหนูมีสถานะสูงส่ง หากมีข่าวลือแพร่ออกไปว่าท่านร่วมนอนบนรถม้าคันเดียวกับบ่าวไพร่ คนจะเอาไปพูดกันสนุกปาก”
“ทำไมจะไม่ได้?” น้ำเสียงของอวี้อาเหราแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจ “ไม่มีใครเห็นแล้วใครเล่าจะรู้ อย่าให้ข้าต้องพูดอีกเป็นครั้งที่สองนะ รีบขึ้นมาได้แล้ว!”
“ข้าน้อยรับบัญชาขอรับ” พวกของต้าเว่ยลังเลอยู่เป็นนาน แต่ในที่สุดก็ได้แต่ขึ้นรถม้าไป เหลือไว้เพียงคนยืนยามในยามค่ำเท่านั้น
หนึ่งคืนผ่านไป เช้าวันที่สองเมื่อฟ้าสางแล้ว เมื่อทุกคนทานอาหารจนเสร็จก็ออกเดินทางต่อ จนในที่สุดก็ถึงเมืองทางตะวันตกก่อนเวลาอาหารเย็น ก็พบว่ามีโรงเตี๊ยมอยู่สองสามแห่ง เช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจออกมา โชคดีที่ก่อนหน้านี้พบกับจวินจื่อหร่านแล้วได้เสบียงส่วนหนึ่งมา มิเช่นนั้นคงต้องหิวตายก่อนถึงที่นี่เป็นแน่
อวี้อาเหรามองไปรอบๆ “พวกเราหาโรงเตี๊ยมเพื่อพักเอาแรงกันก่อนเถิด”
กลุ่มคนเดินตามหลังนางไปยังทิศทางที่มีโรงเตี๊ยมที่ดูค่อนข้างสะอาดสะอ้านแห่งหนึ่ง มุมเมืองตะวันตกนั้นเป็นสถานที่ที่ไม่เจริญหูเจริญตาเท่าเมืองเฟิ่งเฉิงอันกว้างใหญ่ คนค่อนข้างน้อยและยังเงียบสงบ เห็นเพียงเงาร่างของคนไม่กี่คนบนท้องถนน อวี้อาเหราหลุบตาลง แล้วเดินเข้าไปยังด้านหน้าของโต๊ะเก็บเงินในโรงเตี๊ยมแห่งนี้
ต้าเว่ยร้องปลุกหลงจู๊ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมที่นอนหลับอยู่บนโต๊ะขึ้น “ตื่นขึ้นมาได้แล้ว แล้วรีบหาห้องชั้นหนึ่งให้คุณหนูของเราด้วย”
“ห้อง…ห้องชั้นหนึ่งหรือ” หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมลืมเปลือกตาขึ้น แล้วมองร่างของอวี้อาเหราอย่างพิจารณา เมื่อเห็นว่านางสวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย ใบหน้าก็เปลี่ยนไป น้ำเสียงไม่น่าฟังพูดขึ้นว่า “ห้องชั้นหนึ่งอะไรกัน? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเชื้อพระวงศ์หรืออย่างไร ไม่มีห้องชั้นหนึ่ง มีแต่ห้องธรรมดาเท่านั้น”
“เป็นไปได้อย่างไร!” เจาเอ๋อร์ได้ยินน้ำเสียงไม่แยแสของเขาแล้วก็โกรธขึ้นมาในทันที “ตอนที่มาถึง ข้าเห็นว่าโรงเตี๊ยมของเจ้านั้นไม่มีคนอยู่เลย แล้วเหตุใดถึงจะไม่มีห้องชั้นหนึ่งเล่า”
“แล้วเจ้าจะทำไม จะพังโรงเตี๊ยมของข้าหรืออย่างไร” เถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมหัวเราะเสียงเย็น
“เจ้า…” เจาเอ๋อร์โกรธเสียจนพูดไม่ออก
ตอนที่ 284 สิทธิ์อะไร
ชิงอวิ๋นกลับไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย นำกระบี่ในมือฟาดลงบนโต๊ะอย่างรุนแรงทันที “เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถทำลายโรงเตี๊ยมนี้ได้จริงๆ”
แววตาของหลงจู๊สั่นไหวเล็กน้อย สายตาดูราวกับหวาดกลัวอยู่รางๆ “ข้าเปิดร้านนี้มานานปีแล้ว คิดว่าข้าไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้หรืออย่างไร เจ้าคิดว่าตัวเองถือกระบี่แล้วข้าจะกลัวอย่างนั้นหรือ น่าขัน!”
“ถ้าเช่นนั้นก็ลองดู” ชิงอวิ๋นไม่คิดว่าเขาจะตอบออกมาเช่นนี้ จึงตะเบ็งคอแล้วร้องตอบ
ทั้งสองคนทะเลาะกันเหมือนกับไก่ตีกันไม่มีผิด
เมื่อเห็นหลงจู๊มีท่าทีดุดันเช่นนี้ ชิงอวิ๋นก็คิดจะดึงดาบออกมาในทันที
“หยุดนะ” ทว่าในตอนนี้เองอวี้อาเหราก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ตัดบทคนทั้งสองลง เดินไปข้างหน้าแล้วผลักชิงอวิ๋นไปข้างหลัง หันไปยิ้มให้หลงจู๊ “องครักษ์ของข้าไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร ทำให้หลงจู๊ต้องโกรธเสียแล้ว โปรดอภัยด้วย”
“หึ” หลงจู๊แค่นเสียงเย็นอย่างไม่พอใจ
“คุณหนู เหตุใดจะต้องไปขอโทษเขาด้วย นี่จะทำให้คุณหนูเสียเกียรตินะเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์และชิงอวิ๋นรู้สึกโกรธไม่น้อย
คุณหนูของพวกเขาเป็นใคร เหตุใดจะต้องมาขอโทษหลงจู๊โรงเตี๊ยมเก่าๆ คนหนึ่งด้วย หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป คนทั้งจวนหลิงอ๋องจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน
“ออกไป” อวี้อาเหราโบกมือ
“คุณหนู!” เจาเอ๋อร์และชิงอวิ๋นไม่ยอมที่นางจะถูกรังแกเช่นนี้
“หรือพวกเจ้าไม่เห็นว่าข้าเป็นคุณหนูของพวกเจ้าแล้ว? ไม่ว่าข้าจะพูดอะไรก็จะไม่ฟังสินะ” น้ำเสียงเข้มงวดของอวี้อาเหรายิ่งเข้มขึ้น จนทำให้เจาเอ๋อร์และชิงอวิ๋นไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก ก่อนจะถอยหลังไป
“คนของข้าไม่รู้ความ ขอให้ท่านโปรดอภัยให้ด้วย” อวี้อาเหราหันไปมองที่หลงจู๊อีกครั้ง แล้วจึงพูดขึ้นอีกว่า “แต่ท่านว่าข้าไม่กล้าที่จะทำลายร้านของท่านใช่หรือไม่”
“แล้วไม่ใช่หรือ” หลงจู๊กลอกตา
อวี้อาเหราหยิบแท่งทองคำออกมาจากในแขนเสื้อ ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ “ข้าขอซื้อร้านของเจ้า ทองคำเหล่านี้ก็คงพอที่จะซื้อร้านได้หลายร้านกระมัง รวมถึงตัวเจ้าเองด้วย เจ้าก็จงอยู่เป็นหลงจู๊ที่นี่ต่อไปเถิด”
“ซื้อที่นี่?” หลงจู๊ตกใจ จ้องมองทองสองแท่งที่ส่องประกาย ไม่น่าเชื่อว่าเงินทองขนาดนี้จะมาจากอวี้อาเหรา คนที่จะมีเงินมากถึงเพียงนี้ ไหนเลยจะเป็นคนธรรมดาได้ จึงรีบพยักหน้ารับในทันที “ได้ๆๆ ข้ามอบที่นี่ให้เจ้า”
ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ได้เงินมากมาย ทั้งยังสามารถทำงานที่นี่ต่อได้อีกด้วย มิเช่นนั้นก็ยังสามารถเก็บเงินเอาไปเปิดร้านได้อีก หากยังทำการค้าอยู่ตามปกติก็คงไม่อาจเก็บเงินได้มากมายถึงเพียงนี้แน่ แต่เขากลับไม่ได้ได้สังเกตถึงความนัยที่หลบซ่อนเอาไว้ในดวงตาของอวี้อาเหรา
คนที่อยู่ด้านหลังนั้นมองมาที่คุณหนูของตัวเองอย่างไม่เข้าใจนัก นางโง่หรืออย่างไรกัน
ทองคำมากมายที่ซื้อร้านค้าได้ตั้งหลายร้าน แต่กลับมอบให้กับหลงจู๊ที่เห็นเงินก็ตาวาวเช่นนี้ นี่ก็ไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย!
เมื่อจัดการเรื่องเอกสารการจำนองอะไรจนเรียบร้อยแล้ว อวี้อาเหราก็หมุนกายเดินออกไปข้างนอก แล้วออกคำสั่งโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น “เจาเอ๋อร์ ชิงอวิ๋น พวกเจ้าอยากจะทำลายร้านนี้มิใช่หรือ รีบทำเข้าเถิด ทางที่ดีควรจุดไฟเผาของที่อยู่ด้านในไปให้หมด แล้วก็อย่าลืมเผาหลงจู๊ของร้านไปด้วย มีปัญหาอะไรก็ขอให้ถาม”
หา? ทุกคนต่างตกตะลึง จ่ายเงินซื้อร้านไปมากมายเพื่อแค่เอามาเผาอย่างนั้นหรือ
สีหน้าของหลงจู๊เปลี่ยนไปในทันที “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเผาข้า”
“สิทธิ์อะไรน่ะหรือ” อวี้อาเหราหันกลับมาหัวเราะเสียงเย็น น้ำเสียงเยียบเย็นค่อยๆ ออกมาจากลำคอทีละคำ “ในเมื่อเจ้าขายร้านนี้ให้กับข้าแล้ว ร้านนี้ก็กลายเป็นของข้า ข้าอยากจะทำอะไรก็ได้ อย่างไรเสียสิ่งที่ข้าไม่ขาดแคลนก็คือเงินพวกนั้น”
ตอนที่ 285 ฆ่าคนเพื่อชดใช้
“แต่เจ้ากำลังฆ่าคนเพื่อชดใช้ เจ้ากำลังทำผิดกฎแคว้น!” หลงจู๊ถลึงตามองนางด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“หึ” อวี้อาเหราแย้มยิ้มอย่างอำมหิต สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย “อยู่ที่นี่ ตัวข้าเองถือเป็นกฎแคว้น!”
“…” เพราะคำขู่ของนาง ทำให้หลงจู๊เกิดขาสั่นขึ้นมา แล้วกอดทองเอาไว้อย่างนิ่งงัน
“ทำลายมันเสีย” อวี้อาเหราพูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน
“ขอรับ / เจ้าค่ะ!” ชิงอวิ๋นและเจาเอ๋อร์ตอบรับเสียงสดใส และกำลังเตรียมตัวจะเผาสิ่งต่างๆ ภายในร้าน
ในเวลานี้เองหลงจู๊ก็รีบวิ่งมาหาอวี้อาเหรา แต่กลับถูกต้าเว่ยกันเอาไว้ สายตาเห็นว่าอวี้อาเหรากำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆ และไฟยังเริ่มที่จะลุกลามเล็กน้อย เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะลุกไหม้ตัวเขาที่กำลังกอดทองเอาไว้อยู่แน่ๆ เพียงแค่คิดก็รู้สึกหวาดกลัวแล้ว
ตอนนี้เองเขาถึงได้เห็นความน่ากลัวของอวี้อาเหราเข้าเสียแล้ว
แน่นอนว่านางย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่ หากเป็นคนธรรมดาจริง ไหนเลยจะกล้าทำลายร้านแล้วสั่งฆ่าคนได้?
เมื่อเห็นดังนี้ก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น “ขอให้คุณหนูโปรดอภัยด้วย ข้าไม่ต้องการทองพวกนี้แล้ว จะรีบเตรียมห้องดีๆ เอาไว้ให้คุณหนูพัก ไม่ขอเก็บเงินแม้เต่แดงเดียว ขอให้คุณหนูโปรดไว้ชีวิตด้วย เอาทองไปเถิด แล้วเอาใบจำนองที่คืนมาให้ข้าเถิด!”
“เหตุใดข้าต้องคืนให้เจ้า” อวี้อาเหราใช้คำถามเมื่อครู่นี้ย้อนถามเขา
หลงจู๊โขกศีรษะลง “เป็นเพราะข้าผิดเอง ขอให้คุณหนูโปรดอภัยด้วย หากยังไม่หายโกรธ ข้าจะมอบของที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ทั้งหมอให้คุณหนู ข้าจะขอเป็นม้าเป็นวัวให้คุณหนูทั้งชาติ ขอเพียงคุณหนูโปรดไว้ชีวิตข้าสักครั้ง ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว”
“ยังจะมีครั้งต่อไปอีกหรือ” อวี้อาเหราหรี่ตาลง เผยให้เห็นถึงความอันตราย
“ไม่มีแล้วขอรับ!” หลงจู๊รีบส่ายหน้า
อวี้อาเหราได้ยินแล้ว เช่นนั้นก็ค่อยหันไปมองชิงอวิ๋น “ทำตามที่หลงจู๊บอกเถิด ตอนนี้ข้าหิวแล้ว ไม่นึกอยากฆ่าคน”
“ขอรับ!” ชิงอวิ๋นตอบอย่างแข็งขัน แล้วรับเอาทองจากหลงจู๊คืนมา หัวเราะเสียงเย็น “ดูซิ เจ้าจะยังกล้าพูดอะไรส่งเดชอีกหรือไม่”
“นายท่านไว้ชีวิตด้วย ข้าไม่กล้าแล้ว” หลงจู๊รีบส่ายหน้า
อวี้อาเหราทำเช่นนี้ก็เป็นการบีบบังคับหลงจู๊ให้จนมุม จนไม่กล้าที่จะดูถูกนางอีก
เจาเอ๋อร์สั่งกับหลงจู๊ว่า “คุณหนูของข้าหิวแล้ว เตรียมอาหารเสร็จแล้วก็ยกเข้ามาในห้อง”
“ขอรับๆๆ” หลงจู๊รีบตอบรับในทันที แต่กลับมองไปยังเปลวไฟที่กำลังลุกลามขึ้นเรื่อยๆ
อวี้อาเหราเข้าใจความหมายของเขาในทันที ออกคำสั่งกับต้าเว่ย “ดับไฟเสีย”
เจาเอ๋อร์เห็นหลงจู๊ยังคงชักช้า จึงพูดออกไปทันทีว่า “ยืนนิ่งทำไมอีก ยังไม่พาคุณหนูไปที่ห้องพักชั้นหนึ่งอีกหรือ”
“อ้อ ข้าจะนำทางเองขอรับ” หลงจู๊ถูกนางดุว่า เช่นนั้นจึงรีบพยักหน้าแล้วขยับตัว “คุณหนู เชิญตามข้ามาขอรับ”
“อืม” อวี้อาเหราเดินตามหลังของหลงจู๊ไปยังห้องด้านบน หลังจากผ่านเหตุการณ์น่าตื่นกลัวเมื่อครู่ หลงจู๊ก็ไม่กล้าแสดงท่าทีโกรธขึ้งอะไรอีก แม้แต่พูดจาก็ยังไม่กล้าที่จะส่งเสียงดัง กลัวว่าจะมีคนเอาไฟมาเผาร้านและเผาตัวเขาเอง ครั้งนี้ยังนับว่าโชคดีนัก แม้ว่าจะไม่ได้เงินเลย แต่ก็ยังสามารถรักษาชีวิตของคนทั้งบ้านเอาไว้ได้
ไม่กล้าที่จะเผยความทุกข์ตรมให้เห็นบนใบหน้า ทำเพียงยิ้มแย้มด้วยความฝืดเฝื่อน
เมื่อมาถึงห้องพักชั้นหนึ่ง แม้ว่าจะไม่อาจเทียบกับจวนหลิงอ๋องได้ แต่ก็ยังดีกว่าและอยู่สบายกว่าโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่อยู่ภายนอกป่ารกร้างมาก ยามนี้อวี้อาเหราไม่เลือกมากแล้ว พูดกับหลงจู๊ว่า “เจ้าลงไปเถิด ไม่ต้องอยู่ที่นี่เพื่อรับใช้ข้าหรอก อีกสักพักก็เตรียมเหล้าและอาหารมาหน่อย คนของข้ายังไม่ได้ทานอาหารเลย”
“ขอรับ ข้าขอลา” หลงจู๊รีบเดินจากไปราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่าง
เจาเอ๋อร์รู้สึกขันยิ่งนัก “เป็นเพราะคุณหนูฉลาด สามารถวางแผนสั่งสอนหลงจู๊ได้เยี่ยมยอดนัก ดูเอาเถิดว่าเขาจะยังกล้าทำตัวกร่างอีกหรือไม่!”
ตอนที่ 286 กินข้าวด้วยกัน
“หากยังกล้าทำตัวกร่างอีก ก็คงจะไม่อยากมีชีวิตรอดแล้วกระมัง” น้ำเสียงของอวี้อาเหราเรียบเฉย เงยหน้าขึ้นมองไปทั่วบริเวณ ไม่มีเสียงพูดคุย ทั่วทุกสรรพสิ่งล้วนเงียบงัน ไม่ไกลนักมีหน้าต่างกันลม มีคนเดินอยู่ด้านนอกเล็กน้อย เมื่อเปรียบกับเมืองที่เจริญแล้วนั้น นี่ก็ไม่อาจเทียบกันได้เลย
เจาเอ๋อร์เห็นนางกำลังจมอยู่ในความคิด ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยวาจาขึ้นขัด
อวี้อาเหราได้สติกลับมา ก็มองไปยังเจาเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลัง แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “พวกต้าเว่ยเล่า”
“คุณหนูลืมแล้วหรือเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ตอบ “เมื่อครู่ท่านบอกให้พวกเขาไปดับไฟนี่เจ้าคะ โชคดีที่เมื่อครู่นี้เป็นเพียงการสั่งสอนเถ้าแก่เท่านั้น มิเช่นนั้นคงจะโดนเผาไหม้ไปจนหมด เมื่อเห็นท่าทีของเถ้าแก่เป็นเช่นนั้นบ่าวก็อยากจะหัวเราะยิ่งนัก นี่ก็สมควรแล้ว!”
มุมปากของอวี้อาเหราเผยให้เห็นรอยยิ้มบาง “ได้รับบทเรียนก็ดีแล้ว เจ้าคิดว่าข้าเป็นเพียงหญิงที่อ่อนแอจนถูกรังแกได้ง่ายๆ หรืออย่างไรกัน ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่เจ้าค่ะ ยามนี้คุณหนูก็ช่างเข้มแข็งยิ่งนัก” เจาเอ๋อร์พูดขึ้นอย่างเอาอกเอาใจ
อวี้อาเหราไม่สนใจคำยกยอของนาง “ข้าขอพักสักหน่อย อีกสักครู่หากพวกต้าเว่ยดับไฟแล้วก็บอกให้พวกเขามาทานข้าวเถิด สองวันมานี้ทุกคนเหนื่อยมามากแล้ว ควรจะต้องกินอาหารดีๆ เสียหน่อย”
“เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวจะบอกพวกเขาเองเจ้าค่ะ” เขาเอ๋อร์เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจ “แต่คุณหนูเจ้าคะ ท่านพกทองสองแท่งนั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เหตุใดบ่าวไม่เห็นเลย”
“หยิบออกมาด้วยตอนที่ออกจากจวนน่ะ” อวี้อาเหราไอออกมา นับตั้งแต่นางโดนจวินอู๋เหินแกล้งในครั้งนั้น นางก็มักจะพกเงินติดตัวไว้เสมอ เป็นเพราะของสิ่งนี้จึงสามารถจัดการหลงจู๊ได้
“อ้อๆ บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ จำได้ว่าครั้งก่อนที่ถูกทำร้ายแล้วถุงเงินตกพื้น จนทำให้บ่าวหาตัวท่านได้พบ”
“ใช่น่ะสิ” อวี้อาเหราพยักหน้า กัดฟันแล้วพูดว่า “เกลียดก็แต่เพียคนที่ทำร้ายข้าครั้งนั้น ตอนนั้นก็ยังจับตัวไม่ได้เสียที!”
นอกจากอวิ๋นเซิ่นแล้ว ในเมืองเฟิ่งเฉิงจะยังมีหญิงใดที่มีวนยุทธ์บ้างนะ
หากเพียงจุดนี้ นางก็คิดไม่ออกเสียจริงๆ
พักผ่อนไปครึ่งวัน เพียงพริบตาฟ้าก็มืดมิดลง คนทั้งหมดทานอาหารจนหมดแล้ว แต่กลับยังไม่ได้ไปตลาดมืด ภายในสองวันมานี้นางก็เหนื่อยยิ่งนัก เอาไว้วันหน้าเรื่องนี้ค่อยว่ากันเถิด
เช้าวันถัดมา อวี้อาเหราก็ลงไปกินอาหารเช้าด้านล่าง พวกต้าเว่ยตื่นแต่เช้าแล้ว กำลังนั่งล้อมโต๊ะเพื่อทานอาหาร บรรยากาศครึกครื้นยิ่งนัก จนกระทั่งนางเดินมาจนถึงโต๊ะ เสียงพูดคุยต่างๆ ก็ค่อยๆ เงียบลง หลายคนต่างยืนขึ้นทำความเคารพนาง
“ข้าน้อยคารวะคุณหนู”
“ลุกขึ้นเถิด”
อวี้อาเหราไม่พูดอะไร สายตากลับไปมองหลงจู๊ “ยกอาหารเข้ามา”
เมื่อหลงจู๊ได้ยินดังนั้น ท่าทีก็เปลี่ยนไปเป็นกระวนกระวายขึ้นมา ไม่พูดอะไรขณะที่ยกอาหารเข้ามาให้นาง จากนั้นก็เช็ดโต๊ะอย่างพิถีพิถัน แล้วจึงค่อยยืนขึ้นพร้อมทั้งก้มหน้าลง “เชิญคุณหนูทานได้ขอรับ”
อวี้อาเหรามองไปทางต้าเว่ย “พวกเจ้ามัวยืนทำอะไรกัน ไม่ต้องสนใจข้า นั่งลงแล้วกินต่อเถิด”
“ขอรับ” หลายคนเหล่านั้นนั่งลง แต่ว่าบรรยากาศกลับเปลี่ยนไปเป็นเงียบสนิทเช่นเดิม
อวี้อาเหราอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น “หากพวกเจ้ายังเป็นเช่นนี้อีก ข้าก็คงไม่นั่งตรงนี้เพื่อรบกวนพวกเจ้าแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นพวกข้าน้อยขอตัว” ต้าเว่ยเงยหน้าขึ้นแล้วพูด
“นั่งลงแล้วกินกันให้หมด หลังจากนี้ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีก” อวี้อาเหราหมดคำจะพูด เจ้าพวกหัวขี้เลื่อยเหล่านี้ก็ไม่เข้าใจความหมายของนางเอาเสียเลย จึงพูดขึ้นด้วยอารมณ์หงุดหงิดว่า “จริงสิ ตั้งแต่เช้าข้ายังไม่เจอเจาเอ๋อร์เลย นางหายไปไหนกัน”
ตอนที่ 287 สูญเสียเงินทองและเกียรติยศ
“เมื่อครู่นี้นางยังนั่งทานข้าวอยู่ที่นี่อยู่เลย แต่ประเดี๋ยวเดียวนางก็หายไปแล้วขอรับ” ชิงอวิ๋นรีบตอบกลับมาในทันใด เมื่อเทียบกับผู้อื่นแล้วเขาก็เป็นองครักษ์ที่อยู่ข้างกายนางมานานกว่า อยู่มานานจนไม่เหมือนกับองครักษ์หนุ่มที่ไม่ได้ทำอะไรก็หน้าแดงก่ำเสียแล้วคนนั้น
ทุกคนต่างก้มหน้าทานอาหารต่อไปเงียบๆ ได้ร่วมเดินทางกับอวี้อาเหรามาสองวัน ก็พอจะทำให้พวกเขารู้สึกคุ้นเคยกับอวี้อาเหราอยู่บ้าง แต่จะตีให้ตายอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้านั่งทานข้าวร่วมโต๊ะตรงๆ กับนางอยู่ดี นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แล้วจะบีบบังคับให้พวกเขาพูดคุยหยอกล้อได้อย่างไรกัน
ขณะที่กำลังทานอาหารด้วยความจริงจัง เจาเอ๋อร์ก็ยกน้ำชาที่ชงเรียบร้อยเข้ามาด้านใน อวี้อาเหราจึงชะงักไป “เจ้าทำอะไรน่ะ”
“เมื่อวันก่อนบ่าวเห็นว่าคุณหนูชอบดื่มน้ำชาที่เมี่ยวอวี้ชงมาให้ เช่นนั้นจึงเรียนรู้จากนางชงชามาให้คุณหนูถ้วยหนึ่ง คุณหนู ลองชิมดูเถิดเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ส่งถ้วยน้ำชามาให้
“อืม” อวี้อาเหรานิ่งเงียบไปสักพัก ที่แท้ก็นางก็เรียนรู้จากเมี่ยวอวี้ไปชงชามาให้ตนนี่เอง นางก็คงจำฝังใจสินะ เช่นนั้นจึงยิ้มแล้วรับมา ก่อนจะจิบไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะคุณหนู เหมือนของเมี่ยวอวี้หรือไม่”
“เหมือนกัน อร่อยดี” อวี้อาเหราพยักหน้าลงช้าๆ ก่อนจะดื่มชาลงไป เจาเอ๋อร์ชงชาได้ห่างชั้นจากเมี่ยวอวี้นัก รสชาติยังคงห่างไกลอยู่มาก นี่ก็เหมือนกับน้ำชาธรรมดาๆ ทั่วไป แต่เมื่อมองเห็นสายตาที่คาดหวังของนางแล้วก็ไม่อาจใจร้ายบอกว่าไม่อร่อยได้
“จริงหรือ” เจาเอ๋อร์ยินดีเป็นอย่างมาก
อวี้อาเหราพยักหน้าขึงขังอีกครั้ง “จริงๆ”
หลังจากดื่มชมจนหมดแล้ว อวี้อาเหราก็ทานอาหารเช้าต่อ อาหารของโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้ไม่เลิศรสเท่าที่จวนหลิงอ๋อง แต่ก็ยังดีกว่าเสบียงแห้งๆ มากนัก แม้ว่าจะเป็นอาหารธรรมดาแต่นางก็ยังทานได้มาก
ยามที่กำลังทานอยู่นั้น ต้าเว่ยก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจ “คุณหนู ท่านมายังมุมเมืองตะวันตกครั้งนี้ คิดที่จะทำอะไรหรือขอรับ”
“ข้าจะลองไปดูที่ตลาดมืดเสียหน่อย” อวี้อาเหราไม่ปิดบัง บอกถึงจุดประสงค์ของตัวเองออกไปตรงๆ
ทันทีที่ได้ยินคำว่าตลาดมืด หลงจู๊ที่กำลังเก็บกวาดถ้วยชามอยู่นั้นก็พลันตกใจ “คุณหนู ที่แท้ท่านก็จะไปที่ตลาดมืดหรือขอรับ”
“อืม ทำไมหรือ” อวี้อาเหราปรายตามอง
“ตลาดมืดนั้นมีคนเยอะและวุ่นวายนัก ร่างกายบอบบางเช่นคุณหนูไปสถานที่เช่นนั้นเกรงว่าจะไม่สะดวกนัก” สีหน้าท่าทางของหลงจู๊ดูระมัดระวัง
“แต่ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นมีของขายมากมาย จะมีอะไรไม่สะดวกกัน” อวี้อาเหรามองหลงจู๊อย่างพิจารณา นางรู้เพียงว่าตลาดมืดนั้นอยู่ที่มุมตะวันตกของเมือง แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดกันแน่ หากหลงจู๊รู้ เช่นนั้นคงจะเป็นเรื่องดีเป็นอย่างมาก
“คุณหนูอย่าได้รีบร้อน ให้ข้าได้อธิบายให้ท่านฟังก่อน” หลงจู๊หยุดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “เดิมทีที่เมืองนี้ก็สงบสุขยิ่งนัก แต่ได้ยินมาว่าหลังจากที่นายท่านที่อยู่เบื้องหลังตลาดมืดแห่งนี้ไม่อยู่ ก็ไม่รู้ว่ามีอันธพาลกลุ่มหนึ่งมาจากที่ใด ต่างก็พากันจับจ้องข้าวของที่ขายอยู่ในตลาดมืดตาเป็นมัน จนทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจเข้ามายังที่นี่ได้ คงจะต้องรอให้นายท่านที่อยู่เบื้องหลังผู้นั้นกลับมาที่นี่เสียก่อนจึงจะแก้ไขความวุ่นวายได้ขอรับ”
“เพราะอย่างนั้นโรงเตี๊ยมของเจ้าถึงได้ไม่ค่อยมีคนเข้ามาพักใช่หรือไม่” อวี้อาเหราถามกลับ
หลงจู๊พยักหน้า “ก่อนหน้านี้แม้จะกล่าวว่าเมืองของเรานั้นรกเรื้อยิ่งนัก แต่ก็ยังดีที่ยังมีคนจำนวนมากเดินทางมาที่ตลาดมืดแห่งนี้ อย่างน้อยๆ ก็ย่อมมีแขกมาพักไม่น้อย แต่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมากลับเงียบเหงายิ่งนัก…”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าตลาดมืดนั้นอยู่ที่ใด”
“คุณหนูจะไปจริงๆ หรือขอรับ” หลงจู๊ชะงัก เหลือบมองไปยังพวกต้าเว่ย “แม้จะบอกว่าท่านจะพาคนมาไม่น้อย แต่อีกฝ่ายก็มีคนมากเช่นกัน และแต่ละคนก็ล้วนมีฝีมือไม่ด้อย ไม่เพียงแต่จะโดนดักปล้น แต่ก็ยังเกรงว่าจะต้องสูญเสียเงินทองและเกียรติยศด้วยนะขอรับ”
“เจ้าไม่ต้องใส่ใจหรอก” อวี้อาเหราส่ายหน้า “ขอเพียงบอกข้ามาเถิดว่ามันอยู่ที่ไหน”
ตอนที่ 288 ออกเดินทาง
เมื่อเห็นนางยืนยันหนักแน่นถึงเพียงนี้ หลงจู๊ก็ทำได้แต่เพียงบอกความจริงออกไป “ตลาดมืดนั้นอยู่ที่มุมสุดของเมือง อยู่ห่างจากที่นี่อย่างน้อยหนึ่งชั่วยาม เมื่อเดินทางจากตรงนี้ให้ไปตามถนนใหญ่ก็จะถึงแล้ว จะมีก้อนหินสีดำไร้ชื่อสลักอยู่ เข้าไปยังทางที่ก้อนหินก้อนนั้นชี้บอกทางก็จะถึงจุดหมาย”
อวี้อาเหราจดจำเอาไว้ในใจ เมื่อจำได้แล้วถึงค่อยเงยหน้าขึ้นแล้วโบกมือไปทางหลงจู๊ “ข้าจำได้แล้ว เจ้าออกไปพักเถิด ไม่ต้องอยู่ปรนนิบัติพวกเราที่นี่แล้ว”
เมื่อหลงจู๊เดินจากไป เจาเอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วกล่าวขึ้นว่า “ตลาดมืดอันตรายถึงเพียงนั้น พวกเราก็อย่าไปกันเลยเถอะนะเจ้าคะ…”
“เจ้านี่นะ เป็นกระต่ายตื่นตูมอีกแล้ว อันตรายแล้วอย่างไร พวกเรามากันมากมายถึงเพียงนี้ยังจะกลัวว่าเสียเปรียบอีกหรือ” อวี้อาเหราถามกลับอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก แม้จะรู้ว่าเจาเอ๋อร์นั้นหวังดี เดิมทีนางก็ไม่อยากให้ตนมาที่ตลาดมืดอะไรนี่อยู่แล้ว แต่เป็นเพราะสองสามวันมานี้ได้แรงกระตุ้นจากเมี่ยวอวี้ แน่นอนว่านางก็ต้องอยากทำตัวดีๆ อยู่ข้างกายตนอยู่แล้ว
เจาเอ๋อร์ถูกดุจนปิดปากเงียบไม่พูดอะไรออกมาอีก
อวี้อาเหรากวาดตามองไปยังคนเหล่านั้น “พวกเจ้า หากมีใครไม่อยากไปก็ให้อยู่เสียที่นี่ ข้าไม่บังคับ”
“พวกเราย่อมต้องไปเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของคุณหนูแน่นอนขอรับ” พวกต้าเว่ยลุกขึ้นยืนจากม้านั่ง กุมดาบในมือและประกบกับมืออีกข้างหนึ่งเข้าด้วยกัน แล้วจึงโน้มกายทำความเคารพ
อวี้อาเหราพยักหน้าลงอย่างพึงพอใจ ก่อนจะมองไปทางเจาเอ๋อร์ “เจ้าล่ะ?”
เจาเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน “บ่าวจะไปเตรียมเสบียงและน้ำดื่ม เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินระหว่างเดินทางเจ้าค่ะ”
หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็ออกเดินทางจากโรงเตี๊ยม รถม้ามุ่งเดินทางไปยังตลาดมืด ท้องฟ้าก็เริ่มกลายเป็นสีเทา ทั้งๆ ที่ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่างได้ไม่นาน ทั่วบริเวณมีแต่ป่าเขา เสียงใบไม้เสียดสีกัน ราวกับกำลังเดินทางลงสู้ใต้พิภพอย่างไรอย่างนั้น
ย่ำไปตามอากาศที่หม่นมัว รถม้ามุ่งไปข้างหน้าด้วยความราบรื่นไม่ติดขัด เมื่อมาถึงหินสีดำแล้ว จึงค่อยหยุดลง
อวี้อาเหรามองตรงไหด้านหน้า ถนนเส้นนั้นดูเล็กและแคบเป็นอย่างยิ่ง ต้องลงเดินเท้าเท่านั้นจึงจะสามารถผ่านไปได้ รถม้าไม่อาจเคลื่อนผ่าน เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วทุกคนก็เริ่มเป็นกังวล หากพวกเขาเข้าไปข้างใน แล้วรถม้าถูกขโมยไปจะกลับอย่างไรกัน
นั่งรถม้ายังต้องใช้เวลาตั้งหนึ่งชั่วยาม หากไม่มีรถม้าจะต้องใช้เวลานานถึงเพียงใดกันเล่า
หากจะให้คนอยู่เฝ้าที่นี่สักสองสามคน ก็ได้ยินจากหลงจู๊โรงเตี๊ยมว่าด้านในนั้นอันตรายยิ่งนัก หากมีคนไม่พอที่จะต่อกรกับศัตรูแล้วจะทำอย่างไรกัน เพราะอย่างนั้นพวกนางจึงเริ่มลำบากใจ เมื่อสายตามองเห็นท้องฟ้าที่ค่อยๆ ดำมืดแล้วก็ยิ่งหนักใจ ดูราวกับว่าฝนจะตกลงมาอย่างไรอย่างนั้น
อวี้อาเหราไม่รั้งรออะไรอีกต่อไป หันไปสั่งกับจิ่วเว่ยว่า “เจ้าก็เฝ้ารถม้าอยู่ที่นี่ ส่วนคนที่เหลือตามข้ามา”
“ขอรับ” จิ่วเว่ยจึงรออยู่ที่รถม้า
อวี้อาเหราเดินเข้าไปตามถนนสายเล็กๆ ถึงแม้จะกล่าวว่าถนนเส้นนี้เป็นถนนบนภูเขา แต่กลับไม่ซับซ้อนเลยแม้แต่น้อย หนทางราบเรียบยิ่งนัก สามารถเดินเข้าไปยังถนนเส้นเล็กๆ นั้นได้อย่างง่ายดาย ทันทีที่เข้าไปก็มองเห็นแผงขายของที่ตั้งอยู่ที่ทางเข้าของตลาดมืด ด้านบนมีหน้ากากสีดำอยู่ไม่น้อย นางเห็นเช่นนั้นแล้วก็ชะงักไป
เจาเอ๋อร์จึงเอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าตลาดมืดมีกฎแปลกๆ อยู่เจ้าค่ะ ไม่ว่าใครที่เข้ามาด้านในจะต้องสวมหน้ากากเอาไว้ มิเช่นนั้นหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะไม่รับผิดชอบ เมื่อก่อนมีคนที่ไม่ได้ใส่เข้าไปด้านใน สุดท้ายก็ถูกคนด้านในโยนออกมา”
“เข้มงวดถึงเพียงนั้นเชียว?” อวี้อาเหราสงสัย
“บ่าวก็ไม่กล้าโกหกคุณหนูหรอกเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี” อวี้อาเหราเป็นคนแรกที่ไปหยิบหน้ากากขึ้นมาสวมก่อน ทันใดนั้นก็เผยยิ้มออกมา “ไม่แปลกเลยที่หลงจู๊ในโรงเตี๊ยมจะกล่าวว่ามีคนดักปล้นชิงทุกที่ ในเมื่อสวมหน้ากากปะปนอยู่ในฝูงชนเช่นนี้ก็ย่อมไม่มีใครรู้จักแน่ นี่ก็เป็นโอกาสอันดีของคนพวกนั้นที่จะทำชั่วไปทั่ว คนของทางการคงไม่อาจจัดการอะไรได้”
ตอนที่ 289 หญิงร่างท้วม
“เหล่าโจรปล้นชิงมันกำเริบเสิบสาน จนถึงขนาดทำให้พื้นที่ค้าขายกลายเป็นสถานที่รกร้าง ถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ที่นี่ก็คงจะไม่จบสิ้นกันหรือเจ้าคะ”เจาเอ๋อร์มองไปยังท้องฟ้าสีเทา
“หลงจู๊ก็บอกแล้วมิใช่หรือว่าจำต้องรอนายท่านที่อยู่เบื้องหลังของตลาดมืดผู้นั้นกลับมาจัดการ” ชิงอวิ๋นพูดสอดขึ้นมา
“แม้ว่าจะกล่าวเช่นนั้น แต่ใครกันจะรู้เล่าว่านายท่านผู้นั้นจะกลับมาเมื่อใด” เจาเอ๋อร์เลิกคิ้ว
ที่พูดมาก็ไม่ผิด อวี้อาเหราสวมหน้ากากลงบนใบหน้า ก่อนจัดทรงผมที่ถูกลมพัดเสียจนยุ่งเหยิงให้เป็นระเบียบ แล้วเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก ใช้สายตากวาดมองคนเหล่านี้ “เรื่องพวกนี้เราจะไม่เข้าไปยุ่ง และก็คงไร้หนทางที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว ทุกที่ล้วนมีกฎของตัวเอง ตอนนี้เราก็เข้าไปด้านในกันเถิด เตรียมตัวให้พร้อมด้วย”
“เจ้าค่ะ / ขอรับ น้อมรับคำสอนของคุณหนู” ชิงอวิ๋นและเจาเอ๋อร์ก้มหน้าลง
คนเหล่านี้เดินเข้าไปด้านใน เมื่อเดินผ่านถนนบนภูเขาแล้วก็ได้พบกับอาคารเก่าแก่หลังหนึ่ง แต่บนถนนนั้นก็เงียบเชียบอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงแผงลอยจำนวนหนึ่งที่ยังเปิดอยู่สองข้างทาง เมื่อกวาดตามองไปก็มีแต่ของที่ไม่คู่ควรกับเงินทั้งนั้น คนขายของเหล่านั้นล้วนแล้วแต่สวมหน้ากากสีดำเหมือนกันไปหมด เหลือไว้ให้เห็นแต่เพียงดวงตาสองข้าง
เป็นเพราะสิ่งของนั้นดูไม่คุ้มราคา อีกทั้งดูไม่น่าสนใจ
จึงไม่มีใครอยากจะซื้อ
เมื่อเดินผ่านถนนหลายเส้น มีเพียงเสียงจากคนค้าขาย ไม่มีลูกค้าเลยสักคนเดียว
อวี้อาเหราลูบกำไลหยกเลือดที่อยู่ในแขนเสื้อของตัวเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ แล้วหันไปพูดกับต้าเว่ยว่า “พวกเจ้าเอาแต่เดินตามข้าเช่นนี้ นี่ก็ดึงดูดความสนใจจนเกินไป จะทำให้เป็นเป้าสนใจของพวกโจรได้ง่าย เอาเช่นนี้แล้วกัน พวกเจ้ากระจายตัวออกไปเถิด ส่วนเจาเอ๋อร์ เจ้าไปกับข้า ชิงอวิ๋นก็เดินตามมาก็แล้วกัน”
เจาเอ๋อร์อ้าปากเตรียมจะปฏิเสธ แต่กลับถูกอวี้อาเหราดึงตัวเอาไว้ ทั้งสองคนที่ดูเหมือนพี่สาวน้องสาวก็พากันเดินไปข้างหน้าต่อ
ชิงอวิ๋นเดินตามหลังไปอย่างเงียบๆ มองคนที่อยู่รอบๆ ด้วยสีหน้าระแวดระวัง
ส่วนพวกของต้าเว่ยก็กระจายกันไปคุ้มกันในที่ต่างๆ
เดินไปเดินมา ก็มีหญิงวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนก็เดินยักย้ายส่ายสะโพกเข้ามา ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางเสียจนทำให้อวี้อาเหราและเจาเอ๋อร์อยากจะหัวเราะ นางแล้วยืนขวางพวกนางเอาไว้ “แม่นางทั้งสองต้องการอะไรหรือ ทั้งของหายาก สวยงาม และสนุกๆ ก็ล้วนแต่มีทั้งนั้น ลองเข้ามาดูก่อนสิ”
ขณะที่พูดนั้นในมือก็โบกพัดไปด้วย จนแทบจะโบกพัดเป็นจังหวะเดียวกับเสียงที่เอ่ยพูด
อวี้อาเหราปิดจมูก “ไม่เอาล่ะ”
นางได้กลิ่นน้ำหอมฉุนจมูกก็รู้สึกอดรนทนไม่ได้ เอาแต่คิดว่าทำไมคนเราจึงต้องเอาน้ำหอมมาอาบเสียจนเหมือนศพเช่นนี้ ทั้งไม่งดงามและยังไร้รสนิยม ทั้งแก้มทั้งสองข้างยังแดงระเรื่อ ราวกับโดนคนกัดมา เครื่องประดับบนศีรษะก็ดูอลังการจนเกินไป ทั้งเงินทั้งทองเต็มศีรษะไปหมด
“โอ้ แม่นางผู้นี้ เจ้าอย่าได้ดูถูกข้าแซ่เซียวเช่นนี้เลย พูดตามตรงนะ ในตลาดมืดแห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดที่มีของที่แปลกประหลาดมากไปกว่าข้าอีกแล้ว” แม่นางเซียวเห็นดังนั้นสองมือของนางก็เท้าสะเอว แล้วพูดออกไปเป็นน้ำไหลไฟดับ
ที่จริงแล้ว เพราะนางอ้วนเกินไปก็เท่านั้นเอง
อวี้อาเหรารู้สึกน่าขันเป็นอย่างมาก “เจ้ายังจะกล้าพูดอีกหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้ว เหตุใดจะไม่กล้าพูดเรื่องจริงกันเล่า” แม่นางเซียวพึงพอยิ่งนัก
อวี้อาเหรานิ่งเงียบไป “ถ้าเช่นนั้นข้าจะลองตามเจ้าเข้าไปดูเสียหน่อยแล้วกัน”
“ตกลง เชิญแม่นางทั้งสองด้านนี้” เมื่อเห็นนางตอบออกมาเช่นนี้ แม่เซียวก็พลันยิ้มไม่หุบ รีบเบี่ยงร่างเปิดทางให้อวี้อาเหราเข้าไปทันที เพราะกลัวว่านางจะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา
เจาเอ๋อร์ลากอวี้อาเหราที่กำลังเตรียมตัวจะเข้าไปในร้าน กระซิบเสียงเบาๆ ว่า “บ่าวก็รู้สึกว่าแม่นางเซียวคนนี้แปลกยิ่งนัก พวกเราอย่าเข้าไปเลยนะเจ้าคะ”
ตอนที่ 290 ปิ่นรูปหงส์
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งต้องเข้าไปดู” อวี้อาเหรามีท่าทีสนใจใคร่รู้ ไม่ว่านี่จะเป็นกับดักหรือไม่ อย่างไรนางก็ไม่อาจละทิ้งเบาะแสเกี่ยวกับหยกเลือดได้ นี่ก็ไม่แน่ว่าหญิงร่างท้วมผู้นี้อาจจะรู้จัก หรือไม่ก็อาจจะได้ข่าวคราวของนักพรตชราผู้นั้นก็เป็นได้
ยิ่งไปกว่านั้นนางเห็นว่าคนผู้นี้ไม่ได้สวมใส่หน้ากาก เปิดเผยหน้าตาต่อธารกำนัล แต่กลับไม่ได้ถูกโยนตัวออกไป ไม่เพียงเท่านั้นนางยังสามารถเปิดร้านในตลาดมืดได้อีก ดูแล้วนางก็น่าจะเป็นคนที่มีอะไรบางอย่างเป็นแน่ เพราะอย่างนั้นนางก็ยิ่งอยากจะรู้ว่าแม่นางเซียวผู้นี้รู้อะไรเกี่ยวกับหยกเลือดหรือไม่
เจาเอ๋อร์เห็นนางแน่ใจเช่นนี้ก็ไม่ได้โน้มน้าวอะไรอีก ทำได้แต่เพียงเดินเข้าไปในร้านของแม่นางเซียวกับอวี้อาเหรา
แม่นางเซียวเลิกม่านขึ้น ก่อนจะยกเอาถาดใส่อัญมณีออกมาวางตรงหน้าของพวกนาง หัวเราะน้อยๆ แล้วโบกพัดไปมา “แม่นางทั้งสองมาดูเถิด แม้แต่ในเฟิ่งเฉิงเองก็ยังหาของเช่นนี้ไม่ได้ วันนี้หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีวาสนา ก็คงจะไม่มีโอกาสได้เห็นของล้ำค่าของข้าแซ่เซียวหรอกนะ”
“ให้ข้าดูก่อนแล้วค่อยพูดเถิด” อวี้อาเหราพลิกของในถาดไปมา แม้ว่าจะบอกว่าเป็นหยกเนื้อดี แต่อย่างไรนางก็เป็นธิดาเอกของจวนหลิงอ๋อง จะไม่เคยเห็นของดีๆ เช่นนี้เชียวหรือ? ของเล่นเหล่านี้ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของนางเลย นี่ก็ไม่ต้องพูดถึงกำไลข้อมือหยกเลือดบนข้อมือ ซึ่งไม่รู้ว่านั่นเป็นของดีกว่าของเล่นเหล่านี้ตั้งไม่รู้กี่เท่า
เจาเอ๋อร์แสร้งทำทีเป็นเมียงมองเล็กน้อย แต่แน่นอนว่าของพวกนี้ก็ไม่เข้าตานางเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
แม่นางเซียวเอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางทั้งสองท่านพอจะชอบหรือไม่”
“ของเหล่านี้แม้จะบอกว่าไม่เลวนัก แต่พวกเราคงใช้ไม่ได้หรอก” อวี้อาเหราส่ายหน้า แล้วหรี่ตามองไปยังรอบๆ ร้านค้าเล็กๆ แห่งนี้ จากนั้นก็ถอนสายตากลับมา “ในเมื่อไม่มีอะไรให้ดูแล้ว เช่นนั้นก็คงต้องขอลาก่อน”
นางที่กำลังเตรียมตัวจะเดินออกไป ทว่าแม่นางเซียวก็ร้องเรียกพวกนางทั้งสองคนเอาไว้ “แม่นางทั้งสอง ช้าก่อน ที่จริงแล้วข้ายังมีของดีที่เก็บซ่อนเอาไว้อยู่ สายตาของแม่นางทั้งสองช่างสูงส่งนัก ของธรรมดาเช่นนี้คงจะไม่เข้าตาเท่าไร ขอให้รอสักหน่อยเถิด ข้าจะเอาของล้ำค่าก้น**บออกมาให้ท่านทั้งสองชื่นชม”
“ของล้ำค่าก้น**บหรือ” อวี้อาเหราและเจาเอ๋อร์นิ่งไป
เถ้าแก่เซียวพยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นก็ช่างเถิด เจ้าไปเอาของมาให้ข้าดูหน่อยเถิด” อวี้อาเหรานั่งลงอย่างอดใจรอ เมื่อเห็นท่าทีของแม่นางซียวแล้วก็รู้สึกว่านางคงจะมีของดีจริงๆ
หลังจากที่แม่นางเซียวเข้าไปในห้องสักพัก นางก็หยิบ**บไม้จันทร์สวยงามออกมา นางอุ้มของล้ำค่าเอาไว้แนบอกราวกับจะกลัวว่ามันจะหลุดจากมือไป เมื่อเห็นท่าทีระมัดระวังของนางแล้ว สายตาของอวี้อาเหราก็เริ่มฉายแววจริงจังขึ้นมาทันที
เห็นเถ้าแก่เซียวค่อยๆ เปิด**บไม้ออกมา ด้านในเป็นกล่องหุ้มผ้างดงาม นางค่อยๆ ถือกล่องหุ้มผ้าขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วจึงนำมาวางไว้ตรงหน้าของอวี้อาเหรา “เชิญแม่นางทั้งสองดูเอาเองเถิด”
อวี้อาเหราและเจาเอ๋อร์มองหน้าสบตากัน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่
หลังจากที่เปิดกล่องไม้บุผ้าออกแล้ว ดวงตาของทั้งสองนางก็ส่องประกายขึ้นมาในทันที ที่แท้ ด้านในของกล่องบุผ้าก็เป็นปิ่นรูปหงส์ทะยานฟ้า เครื่องประดับงดงามทีปีกเจ็ดสี ส่วนอื่นๆ ใช้ทองคำหล่อขึ้น
ปิ่นปักผมชิ้นนี้ช่างงดงามไม่อาจประเมินราคาได้ อีกทั้งงานแกะสลักยังดูงดงามราวกับมีชีวิต เสมือนกับเป็นหงส์กางปีกที่โผบินไปสู่ท้องฟ้ากว้าง ดูงดงามจับตา ใครเห็นก็คงไม่อาจดูถูกความงดงามส่องประกายของของชิ้นนี้ ฝีมือแกะสลักก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าฝีมือช่างในปัจจุบัน ทั้งยังงดงามเกินคำบรรยาย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น