ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 281-288

 ตอนที่ 281 เจ้ากล้าเฝ้าฝันถึงท่านอ๋อง



ซั่งเหมยกับซั่งเซียงไม่กล้าขัดคำสั่ง หลังโค้งตัวตอบรับก็ถอยออกไป


 


 


เฉินยางคิดถึงประโยคที่เขียนอยู่บนกระดาษนั้นตลอด ไฉนนกพิราบตัวนั้นถึงได้บินลงมาที่สวนของจวนท่านอ๋องพอดีเล่า นางรู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของเฝิงเยี่ยไป๋ไม่ดีนัก กระดาษนั้นตอนนี้หาไม่เจอแล้ว หากคิดในทางที่แย่ มีใครแอบฉวยโอกาสนางไม่ทันระวังหยิบกระดาษแผ่นนั้นแล้วข่มขู่เฝิงเยี่ยไป๋…


 


 


ไม่ใช่ไม่ใช่ คิดถึงเขาทำไม เขาทำกับตัวเองถึงเช่นนี้แล้ว ตัวเองยังต้องเป็นห่วงเขาอีกหรือ เขาไม่ใช่ทำได้ทุกอย่างหรือ จัดการผู้หญิงเก่งเสียเช่นนี้ จัดการผู้ชายก็น่าจะไม่แย่กระมัง สนเขาไปทำไมกัน แล้วแต่เขาเสียเถอะ ขอเพียงอย่าให้นางได้เจอเขาอีกเป็นพอ


 


 


ซั่งเหมยซั่งเซียงถูงสั่งให้ออกไป จึงยืนรอรับสั่งตรงประตู ทั้งสองคนนี้ก็เป็นคนที่เก็บความลับไม่อยู่ อยู่ต่อหน้าเฉินยางเจียมตัวนั่นเป็นเพราะกลัว คราวนี้รอบๆ ไม่มีใคร พูดอะไรก็ไม่ต้องระแวงแล้ว


 


 


เมื่อครู่ซั่งเซียงยังมีท่าทีซื่อตรง พอออกนอกประตูไป สีหน้าก็เก็บอาการไม่อยู่ ขยับไปใกล้ๆ ซั่งเหมยพูดว่า “เจ้าเห็นหรือไม่ ข้าเห็นแล้วก็รู้สึกกลัว รอยเขียวช้ำที่ข้างหลังนั้น จุ๊ๆ เจ้าว่าท่านอ๋องคงจะไม่ใช่ว่า…”


 


 


ซั่งเหมยเอามือป้องปากหัวเราะ “ยังมีผ้าปูเตียงนั่น ก็ไม่รู้ว่าพระชายาเอาไปซ่อนไว้ที่ใด คาดว่าคงจะกลัวพวกเราเห็นเข้าแล้วหัวเราะกระมัง”


 


 


“ไม่ใช่หรือ หากเป็นข้า ข้าก็คงอายเช่นกัน”


 


 


“เจ้านี่ หลุดปากแล้วกระมัง คราวนี้ข้าจับได้คาหนังคาเขา เจ้ายังกล้าเฝ้าฝันถึงท่านอ๋องหรือ”


 


 


“เจ้าเลิกเหลวไหลเสียเถอะ ข้าจะกล้าได้อย่างไร ข้าเป็นคนขี้อาย เห็นขาของท่านอ๋องก็ตัวสั่นแล้ว กลัวยังไม่ทันเลย ยังจะกล้าเฝ้าฝันถึงท่านอ๋องได้อย่างไร!”


 


 


“ไม่มีจริงหรือ”


 


 


“เรื่องผิดธรรมเนียมนั่นข้าไม่กล้าทำ อีกอย่างที่บ้านข้าก็ได้หมั้นหมายให้ข้าเอาไว้แล้ว พรุ่งนี้ออกจากจวนก็จะแต่งงานเลย”


 


 


“โอ้! ดีเสียจริงๆ เช่นนั้นแล้วข้าคงต้องแสดงความยินดีกับเจ้าตอนนี้เสียแล้ว”


 


 


……


 


 


เสียงคุยของพวกนางไม่เบาเลย เฉินยางฟังบทสนทนาทั้งหมดอย่างชัดเจน ว่าแล้วว่าไม่สามารถอุดปากทุกคนได้ คราวนี้ขายหน้าอย่างสิ้นเชิงแล้ว ต้องโทษเฝิงเยี่ยไป๋ คราวนี้จะให้นางเอาหน้าไปพบใครได้ที่ใด


 


 


นางกำลังบ่นอยู่ในใจอยู่เลย ประตูข้างนอกก็ถูกเปิดออก คนหนึ่งเข้ามาด้วยฝีเท้าเบาเหมือนดั่งแมวเช่นนั้น เดินไม่มีเสียงแม้แต่น้อย เฉินยางไม่รู้สึกตัว เอามือตีน้ำอย่างโกรธแค้น ตอนนี้อาการปวดเริ่มดีขึ้นก็เริ่มมีแรงขึ้นมาบ้าง ความโกรธแค้นทั้งหมดล้วนกำอยู่ในมือ ไม่ได้สังเกตเลยว่าข้างหลังมีคนอยู่ ปากนางบ่นพึมพำ ด่าไปสองประโยคก็ยังไม่โมโหยังคงดิ้นไปมาอยู่ในน้ำ


 


 


คนที่อยู่ข้างหลังย่อตัวลง มองไกลๆ ก็สง่างาม มองใกล้ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขายื่นตัวเข้าไป เอาสองมือสอดเข้าใต้วงแขนของนางแล้วอุ้มนางออกมา เฉินยางตัวเปลือยเปล่า จู่ๆ ก็ถูกคนอุ้มขึ้นจากน้ำ นางตกใจตะโกนออกมา ตะโกนไปพลาง ก็เหวี่ยงหมัดไปพลาง


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋สนุกขึ้นมา “อย่าขยับ ให้ข้าดูว่าเมื่อคืนทำเจ้าเจ็บหรือไม่”


 


 


เฉินยางตั้งสติ ลืมตาเห็นว่าเป็นเขา นึกก็ไม่นึก ฝ่ามือฟาดลงไปที่หน้าเขาทันที แล้วฉวยโอกาสที่เขาเหม่ออยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งมุดกลับลงในน้ำอีกครั้ง


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ลูบใบหน้า นี่เป็นครั้งที่สองที่ถูกเขาตบหน้าแล้ว ระหว่างนี้ก็ยังเพิ่งผ่านไปไม่นาน นางช่างตบเสียจนเป็นนิสัยจริงๆ นี่แค้นเขาแล้วหรือไร


 


 


“ไม่อยู่แล้วหรือ” เขาหรี่ตาลงจ้องมองไปที่นาง “ตีคนไม่ตีหน้ารู้หรือไม่ ครั้งที่แล้วข้าก็บอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ไฉนถึงจำไม่ได้”


 


 


เฉินยางขดตัวอยู่ในน้ำค่อยๆ ถอยหลังไป “ไม่อยู่ก็ไม่อยู่ ไม่ได้อยากอยู่กับท่านเสียหน่อย”


 


 


 


 


——


 


 


ตอนที่ 282 ไม่อยากอยู่กับข้าแล้วอยากอยู่กับใคร


 


 


 


 


 


ตอนแรกเขาเพียงพูดจาด้วยความอารมณ์เสียหมายจะแกล้งนาง นึกไม่ถึงว่านางกลับเอาจริง เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้ไร้ความผูกพันเช่นนาง บอกจะไม่อยู่ก็ไม่อยู่แล้ว? เป็นไปไม่ได้


 


 


“ตอนนี้เจ้าเป็นคนของข้าแล้ว ไม่อยู่กับข้าแล้วเจ้าอยากอยู่กับใคร อยู่กับอิ๋งโจวหรือ”


 


 


เฉินยางหงุดหงิดนิสัยข้อนี้ของเขาที่สุด ไม่ว่าเรื่องใหญ่น้อยเพียงใดเกี่ยวข้องกับคนอื่นหรือไม่ เขามักจะพูดให้เกี่ยวข้องกับอิ๋งโจวได้ เมื่อก่อนพวกเขาไม่มีอะไรกัน เขากลับต้องพูดให้มีเรื่องเสียหาย พูดก็พูดเสียเถอะ สุดท้ายแล้วที่โมโหก็คือตัวเอง คิดไม่ดีแล้วยังใส่ร้ายนางอีก ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย


 


 


นางก็โกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ จึงตะโกนใส่เขาโดยไม่คิดว่า “อยู่กับใครก็ดีกว่าอยู่กับท่าน ท่านคิดว่าท่านเป็นใครหรือ เป็นผู้หญิงต้องเอาใจท่าน? แม่นางในหอนางโลมสวยๆ มีมากมาย ท่านมีแรงใช้ไม่หมดก็ไปหาพวกนางเลย ไยต้องทรมานอยู่กับข้าอย่างไร้ความสุข ข้าไม่สนใจสิ่งที่คนอื่นชอบนักหนา ข้า… ข้าอยู่กับคนครัวก็ยังดีกว่าท่าน!”


 


 


คำพูดของนางนี้ออกจะพูดเกินไปเสียแล้ว อยู่กับคนครัวก็ดีกว่าเขา? คนครัวมีเงินทองมากมายเลี้ยงนางหรือ คนครัวสามารถอยู่ในดงผู้หญิงแล้วยังรักษาเนื้อตัวเพื่อนางได้หรือ คนครัวสามารถไปเที่ยวหอนางโลมไม่หาแม่นางแถมยังเอาขนมกลับมาให้นางกินได้หรือ เจ้าเด็กเนรคุณนี่ ยิ่งโอ๋นางก็ยิ่งเอาเรื่องแล้ว “เอาคำพูดของเจ้าเมื่อครู่คืนกลับไป บอกว่าเจ้าผิดไปแล้ว พูดออกมา!”


 


 


เฉินยางก็เป็นคนนิสัยดื้อดึง นางรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ผิด ก็จะไม่ยอมขอโทษเด็ดขาด นางทำคอแข็งสีหน้าบึ้งตึง เม้มปากแน่น ไม่สนว่าเขาจะขู่อย่างไร ไม่ยอมพูดไม่ยอมขอโทษ


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋กัดฟัน พูดอย่างเย็นชาว่า “เว่ยเฉินยาง เจ้าจะต้องบีบบังคับให้ข้าสั่งสอนเจ้าใช่หรือไม่ ชีวิตสงบสุขเจ้าไม่อยากได้ จะต้องวุ่นวายไปทั่วใต้ฟ้าเจ้าถึงสบายใจหรือ”


 


 


โทษนี้ช่างใส่ให้นางอย่างไร้เหตุผลนัก ตกลงเป็นใครที่ไม่ยอมใช้ชีวิตสงบสุขแล้วก่อเรื่องขึ้นมา แผ่นหลังของนางแนบติดกับบ่อ เสื้อผ้าของตัวเองยังอยู่ที่เขา พูดในสภาพเช่นนี้นางไม่มั่นใจนัก ไม่อาจเอามือเท้าเอวพูดกับเขา จึงขดอยู่ในน้ำเหมือนดั่งเต่าที่ถูกรังแก เสียหน้ายิ่งนัก


 


 


“ท่านออกไปก่อน รอให้ข้าใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วค่อยคุยกัน” น้ำเสียงของนางอ่อนลง ลังเลไม่กล้าเข้าไป


 


 


ตอนนี้เฝิงเยี่ยไป๋เพิ่งเห็นกองเสื้อผ้าที่ถูกวางอย่างเรียบร้อยข้างๆ มีเอี๊ยมที่ใส่ด้านใน ยังมีเสื้อผ้าที่สวมอยู่ด้านนอก เสื้อผ้าผ่านการอบเครื่องหอม เขาจับเอี๊ยมของนางขึ้นมาดม แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัยถามนางว่า “อยากได้เสื้อผ้าหรือ” จากนั้นไม่รอให้นางอ้าปาก ก็เอาเสื้อผ้ารวมถึงถาดที่ใส่เสื้อผ้าอยู่โยนออกไปพร้อมกัน


 


 


ซั่งเหมยซั่งเซียงยังอยู่ที่ข้างนอกแอบฟังอยู่ ก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกะทันหัน ซั่งเซียงดึงซั่งเหมยไว้ให้ยืนนิ่งๆ เอามือกุมอก พูดด้วยท่าทางตกใจว่า “นี่… ท่านอ๋องคงไม่ใช่ว่าลงมือกับพระชายากระมัง”


 


 


ซั่งเหมยกลับพูดว่า “เจ้าก็ไม่เห็น เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าลงมือแล้ว ไม่แน่ทั้งสองอาจเพียงขว้างของระบายเท่านั้น พอแล้วๆ เรื่องที่ไม่ควรยุ่งพวกเราก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน จะได้ไม่ต้องมีภัยถึงตัว”


 


 


ซั่งเหมยยังคงไม่วางใจ “เจ้าก็เห็นรอยแผลตัวบนพระชายาแล้วไม่ใช่หรือ หากว่า หากว่าท่านอ๋องลงมือจริงๆ พวกเราจะไปกล่อมหรือไม่”


 


 


“หากลงมือจริงๆ เช่นนั้นก็เป็นเวรกรรมของพระชายา คนนอกอย่างพวกเราก็เป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้สองคนมิใช่หรือ ยังจะกล่อมอีกหรือ เจ้าคิดว่าท่านอ๋องจะฟังเจ้าหรือฟังข้าได้ อย่าให้ถึงตอนนั้นพอมีภัยมาถึงตัวถูกโบยตีแล้วไล่ออกจากจวน สิ่งใดสำคัญเจ้าไม่รู้หรือ ทำงานของตัวเองดีๆ อะไรก็อย่าได้คิด อะไรก็อย่าได้ฟัง”


ตอนที่ 283 เลี้ยงคนเนรคุณเอาไว้ 


 


 


 


 


 


ก็ไม่รู้ว่าไฉนถึงกลายเป็นเช่นนี้ พอกลับมาแล้วทั้งสองคนก็ทะเลาะกันอย่างรุนแรงขึ้นมา ข้างนอกได้ยินเสียงดังเช่นนี้คิดว่าตีกันเสียอีก เฉินยางตกใจกับการกระทำของเขา คราวนี้นางจะทำอย่างดี พูดกับเขาในสภาพตัวเปลือยเปล่าเช่นนี้ ช่างเป็นคนเหลวไหลที่ไร้เหตุผลสิ้นดี จะต้องถูกเขาทำโกรธตายเสียที่นี่เข้าสักวัน 


 


 


“ข้าเลี้ยงเจ้าเป็นอย่างดี นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายกลับเลี้ยงคนเนรคุณไว้เสียแล้ว ในใจเจ้าไม่ได้มีข้าเลย!” เขาเจ็บอยู่ในใจ รอยแผลเป็นขนาดใหญ่แผลนั้นคงไม่อาจหายได้แล้ว ใจของเขาให้นางไปจนหมด ยามที่ไม่ได้พบ ลืมตาก็คิดถึง หลับตาก็คิดถึง สุดท้ายแล้วตัวเองก็เหมือนดั่งคนโง่เช่นนั้น ส่วนนางหรือ ยามที่ยังไม่หายดีก็เชื่อฟังอยู่ หลังจากหายแล้วถึงกับลืมสถานะของตัวเอง ความเป็นกุลสตรีอะไรนั่นสิ่งเหล่านั้นเขาไม่เคยขอให้นางมี เขาเพียงอยากจะให้นางสามารถรักเขาได้ดีๆ คำขอเพียงเท่านี้ สุดท้ายก็กลายเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ 


 


 


ก็บังเอิญพอดี หากทะเลาะกันอยู่เช่นนี้มีหวังต้องทะเลาะจนถึงปีหน้า ฝ่ายเฉินยางก็เหมือนดั่งน้ำเต้าที่ถูกตัดปากไป ในใจนางมีเขา คิดถึงเขา รักเขา เพียงแต่ปากพูดไม่ออก และไม่ถนัดที่จะแสดงออกมา นางทำเหมือนเขาที่อยู่ดีๆ จะมาพูดจาหวานซึ้งมิได้ นางรักคนคนหนึ่ง ทำได้เพียงแสดงผ่านการกระทำ เฉินยางก็มีนิสัยเช่นนี้ ไม่อาจบังคับได้ 


 


 


เฉินยางไม่พูดแล้ว นางเงียบไป นางไม่รู้จะเถียงอย่างไรจึงเงียบ เพียงแต่ในสายตาของเฝิงเยี่ยไป๋ดูแล้ว ก็เหมือนกับเงียบเพราะถูกเปิดโปงออกมา 


 


 


“ข้าคงพูดถูกแล้วกระมัง” เขาหึเบาๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เริ่มพูดโดยไม่คิดขึ้นมา “ทำไมเจ้าไม่ลองคิดดูดีๆ ข้าแต่งกับเจ้าตอนที่เจ้ายังเป็นคนโง่อยู่ นอกจากจะไม่รังเกียจเจ้าแล้ว ยังดีกับเจ้ามากมาย คำพูดรังเกียจเจ้าข้าไม่เคยพูดออกมาเลย เจ้าถามใจตัวเองดู ใต้หล้าจะมีผู้ชายสักกี่คนที่ทำได้เช่นนี้ ตอนนี้เจ้าหายดีแล้ว กลับเริ่มรังเกียจข้าขึ้นมาแล้วหรือ” 


 


 


นี่คือพูดความในใจออกมาแล้ว เฉินยางเม้มปาก สีหน้าแดงบ้างขาวบ้าง แล้วเถียงเขากลับด้วยความนิ่งสงบ “หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อของท่าน ท่านจะแต่งข้าหรือ ท่านจะแต่งกับคนโง่หรือ ท่านพ่อของข้าเคยช่วยท่านพ่อของท่าน ดังนั้นท่านพ่อของท่านถึงได้ให้ท่านแต่งกับข้า ตอนนี้เป็นอย่างไร ท่านก็แต่งข้าแล้ว ไทเฮาก็ดูถูกที่ข้ามาจากชนบท ตอนนี้ท่านเองก็ดูถูกข้า ไม่เช่นนั้นพวกเรามิสู้แยกกันเสียดีกว่า ใต้หล้ายังมีหญิงงามมากมายรอท่านอยู่ หลังจากนี้ท่านอยากแต่งคนใดก็แต่งคนนั้น อยากแต่งมากมายเท่าใดก็ได้ ข้าจะไม่อยู่ที่นี่ให้เกะกะสายตาของท่าน พรุ่งนี้ข้าก็จะกลับหรู่หนานพร้อมท่านหมออิ๋งโจว ท่านเขียนหนังสือหย่าให้ข้าเป็นพอ ข้าไม่อยากได้อะไรอย่างอื่นอีก” 


 


 


คำพูดนี้พอพูดออกมาก็ยิ่งเข้าใจผิดไปใหญ่ ความหมายของนางคือไปทางเดียวกันกับอิ๋งโจว กลับด้วยกันเป็นเพื่อน พอเฝิงเยี่ยไป๋ฟังเข้าหูก็กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งไปเสียแล้ว นางจะไปกับอิ๋งโจว ดังนั้นถึงได้ให้เขาเขียนหนังสือหย่าให้นาง หลังจากหย่ากับนาง นางจะได้กลับไปอยู่ด้วยกันกับอิ๋งโจวงั้นหรือ 


 


 


ได้ เก่งเสียจริง ก่อนหน้านี้เขาให้เงินนางมากมายเช่นนี้ วันนี้ นางกลับจะใช้เงินที่เขาให้นางไปกับผู้ชายคนอื่น เว่ยเฉินยาง เจ้าเด็กนี่หลังจากหายดีแล้วก็เจ้าเล่ห์ขึ้นมามากมาย ที่แท้ก็วางแผนไว้เช่นนี้ 


 


 


เฉินยางไม่มีเสื้อผ้า เพียงแต่ยังดีที่ข้างมือมีผ้าคลุมตัว นางหันหลังให้เขา ลากผ้าคลุมตัวลงน้ำแล้วห่อตัวให้เรียบร้อยก่อนจะคลานขึ้นมา ฉวยโอกาสที่เฝิงเยี่ยไป๋ยังเหม่อลอยอยู่นั้นเดินผ่านเขาออกไปข้างนอก ก่อนจะไปก็นึกถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมาได้ รู้สึกว่าอย่างไรก็ยังต้องเตือนเขา ตอนนี้เป็นเขาที่อาศัยอยู่ในจวนอ๋อง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เขารับรู้แล้วจะได้รับมือได้ 


 


 


  


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 284 ไม่แน่ว่าอาจจะท้องเมื่อไหร่ก็ได้ 


 


 


 


 


 


“วันก่อนข้าเห็นแมวตัวหนึ่งจับนกพิราบส่งสารได้ที่สวนดอกไม้ด้านหลัง บนขานกพิราบนั้นมีจดหมายมัดอยู่ ที่เขียนอยู่ในจดหมายคือ ‘หากมีความเคลื่อนไหวไม่ชอบมาพากล รีบรายงาน’ ตอนแรกข้าแกะกระดาษออกมาซ่อนอยู่ใต้หมอน เมื่อคืนคิดจะบอกท่าน…แต่ก็ไม่ทัน เมื่อเช้าหากระดาษนั่นไม่เจอ ไม่รู้ว่าถูกคนเอาไปแล้วหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้สำคัญเพียงใด อย่างไรเสียก็บอกท่านแล้ว ท่านก็…เห็นตามสมควรเถิด!” 


 


 


นี่ก็คือเริ่มจะลาจากกันแล้ว? เขาโกรธจัดจนหัวเราะออกมาแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น ยิ้มหยันมองนาง “โอ้โห นี่คือเตรียมจะเก็บของไปแล้ว? หนังสือหย่าไม่อยากได้แล้วงั้นหรือ” 


 


 


ผ้าคลุมตัวแนบอยู่กับตัวทั้งๆ ที่เปียกอยู่นางจึงรู้สึกไม่สบายตัวนัก แต่อย่างไรก็ดีกว่าเปลือยเปล่า นางขดตัวอยู่ในผ้าคลุมตัวเล็กน้อย แล้วสูดจมูกถามว่า “เช่นนั้นท่านจะเขียนเมื่อใด” 


 


 


เขาคิดอย่างจริงจัง คิดจบแล้วก็พูดด้วยท่าทางจริงจังว่า “เขียนหนังสือหย่าหรือ บังเอิญโชคไม่ดีเสียจริง มือที่ข้าใช้เขียนหนังสือนั่น…เมื่อสองวันก่อนบาดเจ็บแล้ว เขียนหนังสือไม่ได้แล้ว เจ้าอยากได้หนังสือหย่าก็รอไปก่อนแล้วกัน มือของข้าหายดีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นค่อยเขียนให้เจ้า” 


 


 


ก็คือไม่อยากเขียน เพียงแต่เขาถอยครั้งแล้วครั้งเล่า หน้าตาของเขาที่มีต่อนางนั้นก็เหลือเพียงเท่านี้แล้ว เขาต้องรักษาไว้ถึงจะได้ แม้ว่าข้ออ้างจะฟังไม่ขึ้นนัก เพียงแต่หากเขาอยาก ก็สามารถถ่วงเวลาได้ต่อไป 


 


 


นี่ก็คือขี้โกงไม่ใช่หรือ มือของเขาบาดเจ็บเสียที่ไหน ไฉนเมื่อคืนยังดีๆ อยู่ วันนี้กลับเขียนหนังสือไม่ได้เสียแล้ว? จงใจชัดๆ คิดว่านางยังเป็นคนโง่อยู่หรืออย่างไร 


 


 


นางกระทืบเท้าเปล่าบนพื้นสองที “ข้าเห็นว่าท่านยังดีๆ อยู่ คำพูดออกจากปากแล้วเอาคืนไม่ได้ ไฉนท่านถึงได้กลับคำพูดตัวเองเช่นนี้” 


 


 


“ข้ากลับคำเสียตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าบอกว่าจะไม่เขียนให้เจ้าหรือ” เขาแสร้งทำเป็นสะบัดมือขวา มือนั้นไม่มีแรง เหมือนดั่งขาดแล้วอย่างไรอย่างนั้น “เจ้าดู เป็นแบบนี้ข้าจับพู่กันไม่ได้” 


 


 


เฉินยางถูกเขาเถียงกลับจนพูดไม่ออก ในเมื่อเถียงกันถึงขั้นนี้แล้ว นางอยู่ต่อไปก็มีแต่จะเกลียดกันมากขึ้น เมื่อก่อนไม่เคยสังเกตว่า เขาถึงกับเป็นคนขี้โกงเช่นนี้ 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋มองพิจารณานางอยู่เล็กน้อย ปิดมิดชิดเพียงใดจะมีประโยชน์ใดอีก อย่างไรเสียเขาก็เห็นหมดแล้ว รอยฟันกัดที่คอของเขานั้นสะดุดตานัก รอยแดงที่คอของนางก็ขับเน้นเด่นขึ้นเพราะความขาวของนางจนทำเอาคนถอนสายตาไม่ได้ พวกเขาเป็นคู่กันตั้งแต่แรก นางคิดจะไปรึ? ฝันไปเถอะ 


 


 


ยิ่งดูนางเขาก็ยิ่งโมโห คนที่ไม่ยอมรับความรักจากเขาเช่นนี้ ไฉนถึงได้ใจเขาไปครองทั้งหมด ช่วงนี้เขาถึงขั้นมีความคิดประหลาดที่ว่าตนอาจจะตายด้วยพระหัตถ์ฮ่องเต้อยู่บ่อยๆ แม้เป็นเช่นนั้น เขาก็ยังคงไม่อาจปล่อยมือไปได้ 


 


 


“สาวใช้!” เขาตะโกนขึ้นมาเช่นนี้ ซั่งเหมยซั่งเซียงที่ยืนรออยู่นอกประตูก็กระตุกขึ้นมา หลังจากขานรับก็ผลักประตูเข้าไป 


 


 


“บ่าวอยู่นี่ ท่านอ๋องเชิญสั่ง” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋สะบัดแขนเสื้อ อมยิ้มมองไปที่เว่ยเฉินยาง ถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้พวกเจ้าไปตามหมอมาดูร่างกายให้พระชายาแล้วหรือยัง” 


 


 


ซั่งเหมยซั่งเซียงตอบพร้อมกันว่า “ไม่เจ้าค่ะ” ซั่งเหมยเหลือบมองเฉินยางด้วยความระมัดระวังแล้วพูดอีกว่า “หมอหญิงมาแล้ว เพียงแต่พระชายาไม่ให้เข้าใกล้ และก็ไม่ให้ดูด้วย” 


 


 


รอยแผลบนตัวนางนี้มาได้อย่างไรเขาไม่ใช่ว่ารู้ดีที่สุดหรอกหรือ ยังจะให้คนนอกดูอีก คิดว่าคนที่รู้ยังมีไม่พออีกหรือไร นางย่อมไม่อาจให้คนรู้มากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าจะป่าวประกาศออกไป เขาจะต้องวุ่นวายจนคนรู้กันไปทั่วจึงจะพอใจหรืออย่างไร 


 


 


“พวกเจ้าพาพระชายากลับห้องไปปรนนิบัติให้ดีๆ” เขาเหลือบมองไปที่ท้องของนาง “ไม่มีเรื่องใดก็อย่าได้ให้พระชายาออกไป ไม่แน่ว่าอาจจะท้องเมื่อไหร่ก็ได้” 


ตอนที่ 285 รอข้าที่สวนด้านหลัง 


 


 


 


 


 


คำพูดของเขานั้น จะกักขังนางหรืออย่างไร เฉินยางคลำท้องตัวเองด้วยจิตใต้สำนึก นางเกือบลืมไปแล้ว ทำเรื่องนี้จะท้องได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการนางแล้วหรือ รับปากว่าจะเขียนหนังสือหย่าแล้ว เช่นนั้นตอนนี้คือเรื่องอะไร 


 


 


“ข้าไม่กลับ!” นางคิดอะไรอยู่ในใจ สายตาล้วนฟ้องออกมา นางหวาดผวา รู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาถึงได้เริ่มรู้สึกกลัว 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ไม่สนใจนาง โมโหใส่ซั่งเหมยซั่งเซียง “ยังมัวยืนอึ้งอะไรอยู่อีก! คำพูดของข้าพวกเจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร” 


 


 


ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะเอาจริงเสียแล้ว ทั้งสองคนไม่อาจรอช้า คนหนึ่งผลักคนหนึ่งลากพาเฉินยางกลับไป 


 


 


คนไปแล้ว ประโยคสุดท้ายที่ดังอยู่ในหูของเขาคือ “เฝิงเยี่ยไป๋ ข้าเกลียดท่าน!” นางกัดฟันพูดด้วยความแค้นออกมา ฟังแล้วรู้สึกเสียใจยิ่งนัก 


 


 


เรี่ยวแรงของเขาทั้งร่างถูกสูบออกจนหมดสิ้น ความรู้สึกเหนื่อยถาโถมเข้ามา นางบอกเกลียดเขา นิสัยที่ดื้อดึงเช่นนี้ หากชาตินี้นางคิดไม่ได้ เช่นนั้นเขาจะทำอย่างไร ตอนนี้เขาเพียงมองสายตาที่เกรี้ยวกราดของนางคู่นั้นก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว ตอนนี้ยังเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วหลังจากนี้จะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร 


 


 


คำว่ารักนี้ช่างทรมานยิ่งนัก เหนื่อยยิ่งกว่าเล่ห์เหลี่ยมที่อยู่ในราชสำนักเสียอีก 


 


 


เฉาเต๋อหลุนมาหาเขา เห็นท่าทางของเขานั้นก็ตกใจ บอกเขาว่าเว่ยหมิ่นมาแล้ว กำลังรอเขาอยู่ที่โถงหน้า 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ตั้งสติกลับมา แล้วหันหลังเดินไปข้างนอก 


 


 


เฉาเต๋อหลุนตามขึ้นไป ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายถึงพูดว่า “เมื่อเช้าเรื่องที่ท่านอ๋องพูดกับข้าน้อยนั้น ข้าน้อยได้คิดอย่างละเอียดแล้ว รู้สึกที่ท่านอ๋องพูดนั้นมีเหตุผล เพียงแต่ข้าน้อยโง่เขลานัก อยากให้ท่านอ๋องชี้ทางรอดให้ข้าน้อย” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋เดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดลง หันหลังมองไปที่เขา “คนที่สามารถถูกเลือกจากวังมาที่นี่ได้นั้น จะมีคนโง่ได้หรือ ข้าดูว่าเจ้าฉลาดหลักแหลมนัก ทางรอดเป็นตัวเองเลือก ที่คนอื่นชี้ให้นั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นทางรอดจริงๆ” 


 


 


เฉาเต๋อหลุนโค้งตัวขานรับ นี่ก็เริ่มแสดงความภักดีแล้ว “ข้าน้อยก็เป็นเพียงสุนัขที่เฝ้าบ้าน มาอยู่ที่ใดก็เฝ้าบ้านนั้น ไม่กล้ามีใจเป็นอื่น” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ส่งเสียงอุบเบาๆ “อากาศร้อนเช่นนี้ กินเนื้อสุนัขก็ตัวร้อนยิ่งนัก ข้าจะเลี้ยงไว้เสียอีกหน่อย หากเป็นสุนัขที่ภักดีต่อเจ้านายจริงก็ช่างเสียเถอะ หากยามมีคนมาไม่เห่า ยามที่ไม่มีคนเห่ามั่ว ถึงหน้าหนาวก็ได้กินต้มเนื้อสุนัขพอดี” 


 


 


เฉาเต๋อหลุนรีบสะบัดแขนเสื้อคุกเข่าลง “ข้าน้อยมิบังอาจ หลังจากนี้ข้าน้อยจะปรนนิบัติรับใช้ท่านอ๋องอย่างสุดความสามารถ” 


 


 


“พอแล้ว ลุกขึ้นมาเถอะ ในจวนท่านอ๋องนี้มีสายตามากมายเท่าใด มีหูมากมายเท่าใดในใจข้ารู้เป็นอย่างดี เจ้าให้พวกเขานั้นระวังตัวเองให้ดีๆ หากให้ข้าจับได้ รับรองตายอนาถยิ่งกว่าถูกกรีดเนื้อเป็นร้อยเป็นพันครั้ง” 


 


 


“ท่านวางใจได้ คนเหล่านั้นข้าน้อยได้บอกไว้แล้ว ไม่อยากตายก็เก็บปากตัวเองนั้นให้ดีๆ เก็บใจเอาไว้ ดูให้ชัดว่าใครเป็นเจ้านาย เอาใจที่ปรนนิบัติบรรพบุรุษนั้นออกมาปรนนิบัตินาย ขอเพียงไม่ก่อเรื่อง ก็จะมีชีวิตอยู่ได้” 


 


 


ส่วนนี้ทำได้ไม่เลวนัก ไม่ต้องรอให้เขาสั่งก็จัดการเสียก่อนเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องให้เขาจัดการไปทีละคน 


 


 


เขาพยักหน้าด้วยความพอใจ จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องนกพิราบส่งสารที่เฉินยางพูดกับเขา จึงถามเขาว่า “เมื่อวานใครเข้าไปในห้องพระชายาหรือ” 


 


 


เรื่องนี้เขาก็ไม่รู้จริงๆ “เหตุใดท่านอ๋องถึงถามเช่นนี้ ของพระชายาหายหรือขอรับ” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ตอบ “เจ้าไปเรียกคนที่เคยเข้าไปในห้องพระชายาออกมา รอข้าอยู่ที่สวนด้านหลัง อีกครู่หนึ่งข้ามีเรื่องจะถาม” 


 


 


เฉาเต๋อหลุนขานรับ ดูจากสีหน้าของท่านอ๋องนี้คงไม่ใช่เรื่องเล็ก หรือว่าจะมีของหายจริงๆ 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 286 ซู่อ๋องอวี่เหวินยาง 


 


 


 


 


 


เมื่อวานเว่ยหมิ่นแอบย่องมา ฝั่งจวนของนางนั้นย่อมไม่มีใครรู้ตอนที่นางออกมา เพียงแต่มาถึงจวนท่านอ๋อง สายตามีอยู่ทั่วไปหมด คิดจะไม่ถูกพบก็ยากนัก นางไม่รอบคอบนัก ทั้งสองฝั่งไม่ว่าฝั่งใดพบเข้าแล้วก็ต้องไปรายงานให้ฮ่องเต้รู้ พอกลับไปคิดเสียอีกรอบ หลบอะไรกัน มีอะไรต้องหลบ ยิ่งนางลับๆ ล่อๆ ฝั่งฮ่องเต้นั้นก็ยิ่งสงสัย ไม่สู้เปิดเผยไปเลย 


 


 


ดังนั้นที่นางมาวันนี้ คือนั่งเกี้ยวหามแปดคนผ่านตลาดมา 


 


 


ตอนที่เฝิงเยี่ยไป๋มาถึงนั้น เว่ยหมิ่นเพิ่งดื่มชาไปคำแรก เหมือนดั่งกลับมาถึงบ้านตัวเองเช่นนั้น ไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย นางเรียกให้เขานั่งลงแล้วชะโงกศีรษะมองไปที่ข้างหลังของเขา เห็นไม่มีใครตามมาจึงพูดด้วยความผิดหวังว่า “เฉินยางเล่า นางรู้ว่าข้ามาไม่ใช่ว่าควรจะวิ่งออกมาต้อนรับด้วยความดีใจหรือ” 


 


 


จะให้พูดอย่างไรหรือ บอกว่าเขาขืนใจเว่ยเฉินยาง? บอกว่าขังนางเอาไว้? พูดออกมาไม่ได้ เขาอับอายยิ่งนัก ไม่มีหน้าจะพูดจริงๆ อีกอย่างหากพูดกับเว่ยหมิ่นแล้ว ตามความสัมพันธ์ของพวกนางตอนนี้ จะต้องร้องทุกข์แทนนางแน่ๆ ถึงตอนนั้นวุ่นวายขึ้นมาร้องจะพานางไป เช่นนั้นแล้วเขาอยู่คนเดียวก็ยิ่งอยู่ไม่ได้อีก 


 


 


นี่เป็นการโกหกครั้งแรกในชีวิตที่ตื่นเต้นเช่นนี้ เขาพูดกลบเกลื่อนเพียงว่านางง่วง ตนเรียกไม่ตื่นแล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที ถามนางว่า “ไฉนเจ้าถึงมาที่นี่ เมื่อวานผู้ดูแลบอกว่าเจ้ามีของลืมไว้ที่ข้า ข้าจึงคิดว่าเจ้าต้องมีเรื่องมาหาข้าแน่ๆ กำลังเตรียมจะไปหาเจ้าอยู่เลย มีเรื่องอันใดหรือ” 


 


 


เว่ยหมิ่นยืนขึ้นมองดูรอบๆ “จะพูดที่นี่หรือ” ที่นี่ทั้งในทั้งนอกล้วนเป็นสาวใช้ขันทีที่รอปรนนิบัติอยู่ เขาไม่กลัวเรื่องที่พวกเขาคุยกันนั้นจะหลุดออกไปหรือ 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋สะบัดมือให้คนใช้ที่อยู่ในโถงถอยออกไป ประตูก็เปิดไว้ไม่ปิด บอกนางว่าพูดได้ไม่เป็นไร 


 


 


เว่ยหมิ่นกลับร้อนรนขึ้นมา “เจ้าบ้าไปแล้ว หากว่า…” 


 


 


“ไม่เป็นไร เจ้าวางใจเถิด ไม่มีใครกล้าพูดออกไป” เขาจิบชาคำหนึ่ง รู้สึกหงุดหงิดในใจ คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันเป็นรอยย่น “ตกลงมีเรื่องสำคัญอันใด” 


 


 


ในเมื่อเขามั่นใจเช่นนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแล้ว นางไม่รีรอ พูดออกมาตรงๆ ว่า “แน่นอนว่าก็ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับราชโองการ จู่ๆ ฮ่องเต้ให้เจ้าเข้าร่วมราชกิจไม่ใช่เป็นเรื่องดีอะไรแน่ๆ ราชโองการนั้น นอกจากฮ่องเต้เคยทอดพระเนตรแล้ว ก็มีเพียงข้ากับไทเฮาได้ดู มันก็เป็นราชโองการที่แต่งตั้งฮ่องเต้ใหม่อยู่จริง เพียงแต่น่าจะไม่ได้มีเพียงฉบับเดียว ในราชโองการไม่ได้เขียนชัดว่าเป็นชื่อผู้ใด เขียนไว้เพียงส่วนนำอักษร[1] ‘เดิน’ ดังนั้นข้าคิดว่า ฮ่องเต้ก็น่าจะกลัว กลัวว่าตัวเองจะฆ่าผิดคนแล้วมีปัญหามากมายเกิดขึ้นตามหลัง” 


 


 


ส่วนนำอักษร ‘เดิน’ ? ใช้เพียงส่วนนำอักษรไปเดาชื่อคนคนหนึ่งก็ช่างยากเสียจริง เพียงแต่ดูจากเหล่าองค์ชายพวกนี้แล้ว นอกจากคนที่ได้ถูกแต่งตั้งเป็นท่านอ๋องแล้วมีดินแดนเป็นของตัวเองตั้งแต่ตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น ผู้ที่เหลืออยู่ในวังและสามารถรับภาระยิ่งใหญ่นี้ได้ นอกจากรัชทายาทในตอนนั้นหรือก็คือฮ่องเต้ในวันนี้ ก็เหลือเพียงซู่อ๋องอวี่เหวินยาง องค์ชายแปดอวี่เหวินรุ่นและองค์ชายสิบสามอวี่เหวินอี้ องค์ชายแปดและองค์ชายสิบสามได้ก่อการกบฏคืนก่อนที่ฮ่องเต้จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์จึงถูกฮ่องเต้ประหารไปแล้ว เช่นนั้นตอนนี้คนที่เหมาะสมก็เหลือเพียงซู่อ๋องอวี่เหวินยาง 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ใช้นิ้วเคาะที่โต๊ะเบาๆ บ่นพึมพำว่า “ส่วนนำอักษร ‘เดิน’ ? อวี่เหวินยาง? ไม่มีอักษรใดที่มีส่วนนำอักษรคือ ‘เดิน’ เลยนะ ยังจะมีใครได้อีกหรือ หรือว่า…ไม่สิ เว่ยหมิ่น เจ้าจำนามของซู่อ๋องได้หรือไม่” 


 


 


จู่ๆ เว่ยหมิ่นก็ถูกเรียก นางตื่นตัวขึ้นมา เอียงศีรษะคิดอยู่เล็กน้อยแล้วพูดว่า “เหมือนจะชื่อ…เหยา…เหยาอะไรสักอย่าง เหยา…อ้อ! ใช่! นามว่า เหยาจือ” 


 


 


—— 


 


 


[1] ส่วนนำอักษร อักษรจีนนั้นเสมือนอักษรภาพซึ่งหลายๆ อักษรจะมีส่วนที่เหมือนกันจึงเรียกส่วนนั้นว่า ‘ส่วนนำอักษร’ ตัวอย่างเช่นคำดังต่อไปนี้ 边 连 这 过 达 และอักษรในเรื่อง 遥  (เหยา) ที่เป็นนามของซู่อ๋องและนามของเฝิงเยี่ยไป๋ 辽 (เหลียว) จะมีส่วนนำอักษรที่เหมือนกันคือ ด้านซ้ายของอักษรที่เขียนเหมือนกัน ซึ่งเป็นคำว่า ‘เดิน’ 


ตอนที่ 287 เสแสร้งเต็มที่ 


 


 


 


 


 


“ใช่ๆ ข้านึกได้แล้ว ก็คือเหยาจือ เหยาที่มีส่วนนำอักษรเป็น ‘เดิน’ ก่อนหน้านี้ตอนที่ฮ่องเต้ได้ทรงพระอักษรพระราชหัตถเลขาให้ท่านนั้นข้าเคยเห็นอยู่ เหยาจือน้องชายของข้า ใช่แล้ว” เว่ยหมิ่นพูดพึมพำแล้วก็ใช้ความคิดอีกครั้ง “แต่เมื่อเป็นซู่อ๋องละก็ ไฉนฮ่องเต้ถึงไม่ฉวยโอกาสจัดการเจ้าเลย แถมยังให้เจ้าเข้าร่วมราชกิจเพื่อสิ่งใดกัน” 


 


 


นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ออก ตามวิถีของฮ่องเต้แล้วตอนนี้ควรจะหาข้ออ้างจัดการกับเขาเลยถึงจะถูก ไฉนถึงยังยกเขาให้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ 


 


 


สุดท้ายแล้ว ปัญหาก็ยังคงอยู่บนราชโองการ เขาขมวดคิ้วถามอีกว่า “ไฉนเจ้าถึงได้รู้ว่าราชโองการมีสองฉบับ” 


 


 


เว่ยหมิ่นพูดว่า “จะแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่ล้วนต้องใช้ราชโองการสองฉบับ ฉบับหนึ่งฮ่องเต้จะมอบให้กับคนสนิทหรือขุนนางฝ่ายในดูแล อีกฉบับหนึ่งมอบให้กับกรมความลับทหาร ราชโองการทั้งสองฉบับ ขอเพียงมีฉบับหนึ่งถูกเปิดเผย เช่นนั้นอีกฉบับหนึ่งก็ซ่อนไม่อยู่ ราชโองการที่ไทเฮาให้ฮ่องเต้นั้นไม่สมบูรณ์ เพียงแต่ที่อยู่ในกรมความลับทหารนั้นน่าจะเขียนพระนามเต็ม จนถึงยามนี้ฮ่องเต้ก็ยังไม่กล้าเปิดเผยราชโองการ ก็เพราะน่าจะกลัวกรมความลับทหาร ต่อให้ราชโองการในมือไทเฮานี้เป็นของปลอม ราชโองการที่กรมความลับทหารนั้นย่อมไม่ใช่ของปลอมแน่ๆ ราชโองการในกรมความลับทหารนั้นเป็นอดีตฮ่องเต้ที่ทรงเก็บไว้ด้วยพระหัตถ์พระองค์เอง กุญแจมีเพียงดอกเดียว ซึ่งได้ถูกฝังในสุสานหลวงไปพร้อมกับฮ่องเต้องค์ก่อน คิดจะเปิดออก มีเพียงต้องทำลายโลงเท่านั้น” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋เข้าใจขึ้นมาทันที “เรื่องที่ฮ่องเต้องค์ก่อนได้ทิ้งราชโองการเอาไว้นั้น เหล่าขุนนางต่างรู้กันหมดแล้ว ดังนั้น ฮ่องเต้จำต้องเปิดเผยราชโองการต่อประชาชน ถึงยามนั้นกรมความลับทหารเอาราชโองการอีกหนึ่งฉบับออกมา ฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นใครก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ หากแต่ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เขียนอยู่บนราชโองการตายเสียแล้วละก็ ก็ไม่อาจมีใครเป็นภัยต่อพระองค์ พระองค์ก็สามารถเป็นฮ่องเต้ได้นานตราบที่พระองค์ต้องการ” 


 


 


เว่ยหมิ่นไม่เข้าใจ “เช่นนั้นแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า” 


 


 


“หากซู่อ๋องบุกเมืองหลวงโดยอ้างราชโองการย่อมได้รับการยอมรับ ฮ่องเต้ไม่มีทางถอย ทำได้เพียงลงจากบัลลังก์ เขาฆ่าพี่น้องมากมายเช่นนี้ แม้แต่น้องชายแท้ๆ ของตัวเองก็ไม่ปล่อย เจ้าคิดว่าซู่อ๋องจะปล่อยพระองค์ไปได้หรือ ก่อนหน้านี้ต่างมีข่าวลืออยู่ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ถูกแต่งตั้งอยู่ในราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อนนั้นเป็นข้าไม่ใช่หรือ ฮ่องเต้คิดจะรอเก็บตกอยู่เลย ชูข้าให้สูง ซู่อ๋องจะมองอย่างไร ย่อมต้องจัดการปัญหาใหญ่อย่างข้าก่อนค่อยล้อมวัง ถึงยามนั้นก็ได้ให้เวลาฮ่องเต้ตั้งตัวไม่ใช่หรือ ฉวยโอกาสที่พวกเราเข่นฆ่ากันอยู่ แล้วแทงข้างหลังพวกเราคนละหนึ่งที พอตายหมดแล้ว บัลลังก์ของพระองค์ก็มั่นคงแล้ว” 


 


 


เขาหมุนแหวนหยกที่อยู่บนนิ้ว ช่างเป็นหยกที่สวยงามอะไรเช่นนี้ เพียงแต่ผู้ที่ให้มานั้น ใจกลับดำมืดยิ่งนัก “วันนี้ฮ่องเต้พระราชทานปิงฝู[1]ให้กับข้า แถมยังพระราชทานแหวนหยกมาวงหนึ่ง ในสายตาคนนอกนั้นช่างยิ่งใหญ่นัก เพียงแต่ในราชสำนักก็มีคนเข้าใจเพียงไม่กี่คน นี่ยิ่งใหญ่เสียได้อย่างไร เป็นกองไฟ ที่บังคับให้ข้าโดดลงไป” 


 


 


“เจ้าไม่ปฏิเสธหรือ” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ถอดแหวนหยกนั้นกลิ้งไปมาอยู่บนโต๊ะ “แม้แต่พระองค์เองก็ไม่เผยพระพักตร์ ตรัสว่าพระประชวร แม้แต่คนที่เข้าเฝ้าก็ถูกไล่ออกมา ปิงฝูกับแหวนหยกนี้ ก็เป็นขันทีผู้ดูแลใหญ่ที่อยู่ข้างพระวรกายที่ส่งออกมา ข้ายืนอยู่ประตูตำหนักยังได้ยินเสียงไอของพระองค์ เสแสร้งเต็มที่จริงๆ !” 


 


 


เว่ยหมิ่นแค้นจนกัดฟันกรอด “เช่นนั้นแล้วเจ้าจะทำอย่างไร จะให้ฮ่องเต้เล่นเหมือนดั่งหอกในมือไม่ได้กระมัง ตอนนี้ซู่อ๋องคงแค้นเจ้าจัด ต่อไปหากฮ่องเต้ให้เจ้านำทหารไปตีเมืองเหมิง มีหวังได้ปะทะกันจริงๆ ขึ้นมา เจ้าก็ไม่มีโอกาสนึกเสียใจทีหลังแล้ว” 


 


 


เขายืนขึ้นมา ค่อยๆ เดินไปที่ประตูพลางถอนหายใจเบาๆ ว่า “ไม่ต้องรีบร้อน แกล้งป่วยดูสถานการณ์ไปก่อนค่อยว่ากัน” 


 


 


—— 


 


 


[1] ปิงฝู เป็นตราสัญลักษณ์ที่ใช้สั่งการทหาร มักทำจากทองคำหรือหยกมีรูปทรงเป็นเสือที่ถูกผ่าครึ่งหนึ่ง โดยครึ่งหนึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้เก็บรักษาไว้ อีกครึ่งหนึ่งจะถูกมอบให้กับแม่ทัพ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 288 ที่เรียกท่านหมอมาคือมีเรื่องจะขอร้อง 


 


 


 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋คิดจะแกล้งป่วยไม่เข้าราชกิจ ก็ต้องมีเหตุผลที่สมเหตุสมผล จะให้ป่วยโดยไม่มีที่มาก็คงไม่ได้ ฮ่องเต้ก็คงไม่ยอมรับ จะต้องส่งหมอหลวงมาดู ถึงยามนั้นหากตรวจออกมาว่าไม่ได้ป่วยอะไรเลย ก็จะเป็นโทษประหารฐานหลอกลวงฮ่องเต้ 


 


 


คนเราหากจะทำเรื่องใดให้สำเร็จ ในหัวย่อมต้องมีความคิดมากมาย ในจวนก็มีหมออยู่แล้วไม่ใช่หรือ ลูกชายของเจ้าสำนักแพทย์หลวงคนก่อน วิชาการรักษาจะไม่ด้อยไปกว่าหมอหลวงเหล่านั้นหรือ ไปขอวิธีการผสมยาจากเขาแล้วผสมยาที่กินแล้วตัวร้อนมากิน นอนป่วยอยู่บนเตียง ตบตาหมอไร้วิชาก็ยังพอได้อยู่ 


 


 


อีกอย่าง วันหลังหากเรื่องที่ตัวเองแกล้งป่วยนั้นถูกเปิดเผยออกมา ก็จะได้มีเหตุผลฆ่าเขา เขาเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเว่ยเฉินยาง แต่ไม่ใช่ตัวเอง ใช่ เขายอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนดีอะไรนัก ในใจมีความอิจฉา อิจฉาที่เฉินยางเอาใจเขามากกว่าตน เพื่อจะหาเงินค่าเดินทางให้เขา ถึงขั้นมาเอาใจตนทั้งๆ ที่ไม่อยากทำ ช่างลำบากนางเสียจริง อยู่ในสายตาของเขายังเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วยามที่อยู่เขาต้าเหลียงเล่า? ที่ที่เขาไม่เห็นเล่า? 


 


 


หลังจากส่งเว่ยหมิ่นไปเขาก็ให้เฉาเต๋อหลุนไปเรียกอิ๋งโจวมา ยามนี้อิ๋งโจวกำลังเก็บของเตรียมจะจากไปพรุ่งนี้เช้าอยู่เลย เฉาเต๋อหลุนจู่ๆ ก็มาเรียก บอกว่าเฝิงเยี่ยไป๋มีเรื่องจะหาเขา เขาอึ้งเล็กน้อย วางของแล้วก็ตามเขาไปเลย 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋จัดโต๊ะอาหารเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อิ๋งโจวมาแล้ว เขายิ้มมาต้อนรับถึงประตู แล้วนำเขามาเชิญนั่งที่โต๊ะ “ช่วงหลายวันนี้ข้าค่อนข้างยุ่ง ไม่กี่วันก่อนได้ยินภรรยาข้าบอกว่าท่านหมอจะไป คิดจะไปเยี่ยมอยู่ตลอด เพียงแต่จนถึงวันนี้ถึงได้มีเวลาว่าง ช่วงที่อยู่จวนท่านอ๋องนี้ หากมีสิ่งใดที่ข้าดูแลไม่ดี ต้องขอให้ท่านหมออภัยให้ด้วย” 


 


 


เรื่องของเขา อิ๋งโจวก็ได้ยินอยู่ในจวนไม่น้อย ยามนี้เป็นท่านอ๋องอย่างแท้จริงแล้ว มือกุมอำนาจ เป็นรองคนเดียว อยู่เหนือทุกคน ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็รีบลุกขึ้นประสานมือพูดว่า “ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว ท่านอ๋องให้ข้าอยู่ก็ขอบคุณยิ่งแล้ว จะดูแลไม่ดีได้อย่างไรกัน” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ริมเหล้าสองจอกเต็มๆ แล้วชนจอกกับเขา ถามอีกว่า “ท่านหมอบอกว่าจะไปอยู่ตลอด ได้กำหนดเป็นวันใดหรือไม่ ไปเมื่อใด” 


 


 


อิ๋งโจวพูดว่า “ตอนแรกคิดว่าจะไปพรุ่งนี้เช้า คืนนี้จึงคิดจะมาลาท่านอ๋องและพระชายา นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเรียกพบยามนี้” 


 


 


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ รู้ว่าเขาจะไปพรุ่งนี้เช้า ดังนั้นเมื่อคืนถึงไม่ยอมให้เขาแตะหรือ เมื่อครู่ที่อยู่บ่อน้ำยังยั่วโมโหเขาบอกจะกลับเขาต้าเหลียงกับอิ๋งโจว แถมยังจะเอาหนังสือหย่ากับเขาอีก นางไม่อยากจากอิ๋งโจวเช่นนี้เชียวหรือ เขากลับไปนางก็จะตามไปด้วย ได้เลย คิดว่าเขาเป็นคนโง่หรืออย่างไร 


 


 


“ต้องรีบร้อนจากไปเช่นนี้เชียวหรือ” เขากำจอกเหล้าไว้อยู่ในมือ พยายามควบคุมอยู่ ความโกรธไม่ได้แสดงที่สีหน้า ล้วนกดไว้อยู่ข้างใน “อุตส่าห์มาเสียทั้งที ไฉนถึงไม่อยู่ที่เมืองหลวงเสียอีกหน่อย” 


 


 


อิ๋งโจวพูดว่า “ที่เขาต้าเหลียงข้ายังมีกระท่อมยาอยู่ ไม่มีคนดูแลไม่ได้ มีลูกค้าเก่าแก่หลายคนขึ้นเขาลงเขาไม่สะดวก จึงมักมาเอายาที่ข้า ที่บ้านวุ่นวายกันหมดแล้ว ข้าต้องรีบไปจัดการ” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ตอบเบาๆ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พูดว่า “ความจริงแล้วที่วันนี้ข้าเรียกท่านหมอมาคือมีเรื่องอยากจะขอร้อง” 


 


 


อิ๋งโจววางตะเกียบลง ทำหน้าจริงใจพูดว่า “ท่านอ๋องมีเรื่องใดขอให้สั่งมา อิ๋งโจวได้รับการดูแลจากท่านอ๋อง สามารถช่วยท่านอ๋องได้ถือเป็นเกียรติยิ่งนัก” 


 


 


ในเมื่อพูดถึงขนาดนี้แล้วเขาก็ไม่อ้อมค้อม เขาดื่มเหล้าลงไปแล้วพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “ข้าอยากจะให้ท่านหมอช่วยผสมยาที่ทำให้ตัวร้อนเหงื่อตกได้สักหน่อย” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม