บุปผาเคียงบัลลังก์ 280-293
ตอนที่ 280 แผนแก้ไขอุทกภัย
หรงจิงพูดเรื่องวิธีป้องกันอุทกภัยขึ้น เซียงฉือก็หน้าแดง ถึงนางจะเป็นคนพูดเรื่องนี้ขึ้น แต่เซียงฉือก็รู้ว่าเป็นเพราะตนต้องการที่จะไม่ให้หรงจิงคุ้ยลึกลงในเรื่องนั้นต่อไป
“วิธีของเจ้าหากเอาไปวางไว้บนโต๊ะ จะเป็นวิธีที่ไม่เลวทีเดียว ซึ่งวิธีการนี้จะต้องเป็นวิธีที่บัณฑิตคงแก่เรียนเท่านั้นที่จะเสนอขึ้นมา แต่เจ้าเป็นหญิงที่อยู่แต่ในห้องหับกลับพูดขึ้นมาได้”
หรงจิงพูดเช่นนี้ทำให้เซียงฉือไม่เข้าใจจึงได้ถามขึ้น
“ฝ่าบาท ทรงหมายความเช่นไรเพคะ ขอทรงประทานคำชี้แนะ หม่อมฉันเบาปัญญา ไม่เข้าใจพระดำริเพคะ”
หรงจิงฟังแล้วยิ้ม แล้วพูดต่อว่า
“วิธีที่เจ้าว่ามาไม่ผิดเพี้ยนจากตรรกะ ปัญหาเดียวคือเจ้าไม่เข้าใจสภาพของพื้นที่ บนแผนที่ฝั่งตะวันออกมีผืนนาที่ไม่ใหญ่นักอยู่จริง ตามวิธีคิดคือระบายน้ำเข้ามาในที่นี้ แล้วให้หายเข้าไปในหลังเขา ซึ่งวิธีนี้ไม่มีปัญหาอะไร” หรงจิงพูดความคิดของนางขึ้นอีกครั้ง เซียงฉือก็ได้คิดทบทวนตามไปด้วย
หากเป็นคนอื่นหรงจิงย่อมไม่มีความอดทนเช่นนี้ แต่คืนนี้เขาต้องการจะพูดคุยกับนางมากขึ้นซึ่งตนเองก็ไม่รู้ว่าทำไม
“แต่ครั้งที่ข้าท่องเที่ยวศึกษาไปเคยผ่านที่นั่น ด้านหลังท้องนาตรงนั้นเป็นป่าเขาสูงชันซึ่งไม่ปรากฏออกมาในแผนที่ หากดำเนินการตามแผนนี้ เกรงว่าน้ำจะไหลย้อนเข้าอำเภอหล่งในมณฑลเสฉวน ที่ตรงนั้นพื้นที่ไม่สูง น้ำจะท่วมเมือง ดินโคลนถล่มอำเภอเป็นอันตราย ที่นั่นผู้คนอยู่กันหนาแน่น ทั้งยังเป็นแหล่งทำกิจการการค้าที่รุ่งเรืองอีกด้วย”
“เจ้าเรียนมามากแต่ควรรู้ว่า อ่านตำราหมื่นเล่ม มิสู้การเดินทางหมื่นลี้ ถึงความรู้ในตำราจะสำคัญ แต่จำเป็นต้องให้กลมกลืนกับสภาพของท้องที่ด้วย”
หรงจิงพูดจบเซียงฉือก็อับอายจนหน้าแดง ถึงแม้นางจะรู้ว่าความคิดของตนไม่ใช่นโยบายที่ไร้ช่องโหว่ แต่ไม่รู้เลยว่าจะมีผลเช่นนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ เหงื่อเย็นจึงไหลโทรมกายเซียงฉือ ถ้าหากหรงจิงไม่เคยไปที่นั่นแล้วสั่งการให้ขุนนางระดับล่างรับไปดำเนินการตามวิธีที่นางพูดไปตามตำรา ผลลัพธ์ที่ออกมาคงจะเลวร้ายจนไม่กล้าจะคิด
เซียงฉือมองดูใบหน้ายิ้มแย้มของหรงจิง ในใจราวคลื่นซัดกระหน่ำ นางคิดว่าเป็นเพียงคำพูดคำหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับฮ่องเต้แล้ว คือระดับความเป็นตายของชีวิตประชาชนทั้งเมือง
นางคิดแล้วต้องถอนใจ โชคดีที่หรงจิงเป็นประมุขที่ทรงปรีชาและเข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน หากมิใช่เช่นนั้น นางแม้ตายหมื่นครั้งก็ไม่อาจหลุดพ้นความผิดพลาดได้
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงสอนสั่งเพคะ หม่อมฉันเกือบจะก่อภัยพิบัติใหญ่เสียแล้ว ความคิดอ่านหม่อมฉันตื้นเขินนัก ที่ผ่านมาเป็นเพียงกบในกะลา จากนี้ไปรับใช้อยู่ข้างฝ่าบาท จะได้เปิดหูตาให้กว้างขึ้น จะพูดและปฏิบัติให้รอบคอบยิ่งขึ้นเพคะ”
เซียงฉือตัดสินใจจะถอยออก หรงจิงยิ้ม มองดูนางอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า
“เจ้าฉลาดและมีเมตตา แต่เสียดายที่เกิดมาเป็นหญิง”
เซียงฉือได้แต่ก้มหน้าตอบไม่ถูก ยังดีที่หรงจิงเพียงแต่ถอนใจไม่ได้ต้องการคำตอบ นางได้ยินแล้วเห็นด้วยอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไร
หรงจิงเดินเข้าไปนั่งลงที่ด้านข้าง มองดูเซียงฉือแล้วเขาพบว่ามุมปากของตนเองยกขึ้นอย่างไม่ตั้งใจจึงรีบหุบยิ้มกลับไปเย็นชาดั่งที่เคยเป็นอยู่
เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดวันนี้จึงได้ช่างยิ้มนัก ปกติยามเขาจัดการราชกิจมักจะสุขุมเคร่งขรึม วันนี้เหตุใดพูดจามากมายเช่นนี้ หรือว่าเพราะรู้จักกับนางมาก่อนจึงผ่อนคลายเป็นพิเศษยามอยู่ต่อหน้านาง
หรงจิงมองดูใบหน้าเหลอหลาของเซียงฉือ เขารู้สึกว่าเวลาที่อยู่กับนางนั้นให้ความรู้สึกสบายใจเหมือนกับช่วงเวลาที่อยู่กับหรงเฉิงเยี่ยที่ผ่านมา
ตอนที่ 281 นามของหรงฉู่
เมื่อคิดว่าคืนนี้ผิดปกติเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไม่สู้ให้ผิดปกติมากอีกสักหน่อยดังนั้นจึงพูดต่อว่า “เซียงฉือ เจ้าไม่ถามหรือว่าเหตุใดข้าจึงได้ปลอมใช้ชื่อหรงฉู่เพื่อพบกับเจ้า”
จู่ๆ หรงจิงก็พูดถึงคำถามที่เซียงฉือคิดมานานแต่ไม่กล้าถามออกมา นางเบิ่งตาโตทันทีด้วยยังไม่รู้จักเก็บอารมณ์ ดังนั้นทุกข์โศกดีใจเสียใจอย่างไรล้วนแสดงออกอยู่บนใบหน้า
ในสายตาคนอื่น ในเวลาปกตินางดูเหมือนผู้ใหญ่ที่สุขุม ทำอะไรน่าเชื่อถือ ดูหนักแน่นเกินวัย
แต่ในสายตาหรงจิง ดวงตาเซียงฉือในยามนี้เป็นประกาย กำลังมีท่าทางสนใจใคร่รู้ ดูเหมือนแมวที่ได้พบของกินถูกใจและอยากกิน แต่ต้องสงวนท่าที
เมื่อหรงจิงถามเช่นนี้ เซียงฉือจึงรีบพูดต่อ
“หม่อมฉันก็มีความคลางแคลงใจอยู่เพคะ แต่ฝ่าบาทเป็นถึงเจ้าแผ่นดิน สิ่งที่ทรงพูดทรงทำหาใช่สิ่งที่หม่อมฉันจะเข้าใจได้ ดังนั้นถึงหม่อมฉันจะสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามเพคะ”
หรงจิงฟังคำพูดประจบประแจงของเซียงฉือออกอย่างชัดเจน หากแต่เขาไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับนาง
“อย่าใช้คำพูดแบบพวกชอบสอพลอเลย ข้าชอบที่เจ้าเรียกข้าว่าพี่หรงฉู่ ต่อไปหากในตำหนักเจิ้งหยางไม่มีใครเจ้าก็เรียกข้าแบบนี้ ข้าอยากให้เจ้าเรียกเช่นนี้ เรื่องนี้ฟ้ารู้ดินรู้เจ้ารู้ข้ารู้ แต่หากมีบุคคลที่สามรู้เข้า ข้าจะตีเจ้า”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หรงจิงก็ทำหน้าดุ แต่พอพูดว่าจะตีเซียงฉือ ทั้งคู่ก็ยิ้มอย่างรู้กัน
เซียงฉือย่อกายพูดกับหรงจิงว่า “เพคะ พี่หรงฉู่!”
เซียงฉือยิ้มแลดูงดงามยิ่งใต้แสงจันทร์ หรงจิงหันหน้ากลับไม่มองนาง แต่มองดูสายฝนบางเบาที่ยังคงตกเปาะแปะไม่หยุดอยู่ด้านนอก
เสียงฝนเบาลงเรื่อยๆ เวลานี้จึงได้ยินเพียงเสียงน้ำกระทบกระเบื้องและระเบียง
แต่ฟังไปเช่นนี้ก็เพลิดเพลินยิ่งนัก ไม่ต้องถูกเสียงฝนห่าใหญ่รบกวน เสียงฝนพรำๆ พาให้คนทั้งคู่จมลงสู่ความสุขสงบ
วันรุ่งขึ้น ฮ่องเต้ตื่นบรรทมยามอิ๋นสามเค่อ
เซียงฉืออยู่ยามกลางคืนแทนซูกงกงจึงไม่ต้องตื่น แต่พอเที่ยงคืนนางก็ทนไม่ไหวจึงฟุบลงบนกองรายงานหนาๆ นั้นแล้วหลับสนิทไป
หรงจิงเมื่อตื่นขึ้นมาเห็นภาพนั้นแล้วจึงนำผ้าคลุมบนกายห่มลงบนร่างนาง แล้วออกไปประชุมราชสำนัก
เซียงฉือหลับสายไปจนถึงเวลาหรงจิงเลิกประชุม นางบิดขี้เกียจมองเห็นแสงแดดสดใสที่ด้านนอกแล้วเดินไปทำความสะอาดร่างกายที่ด้านข้าง เมื่อคืนนี้นางจำได้เพียงว่าตนเองดื่มเป็นเพื่อนหรงจิงในศาลาห้าเหลี่ยม แต่ไม่รู้ว่าตนเองกลับมาได้อย่างไร แล้วทำไมหลับถึงป่านนี้
ยังดีที่ตนเป็นคนตื่นเช้าตลอดมาจึงไม่ถึงกับเสียงานเสียการ ก่อนถึงเวลาหรงจิงกลับมา มีขันทีน้อยวิ่งเข้าตำหนักเซวียนฉินในตำหนักเจิ้งหยางเพื่อทำความสะอาด เซียงฉือจึงจะใช้เวลานี้จัดการตนเอง แต่ไม่คิดว่าจะได้พบกับเซียงซือที่นี่
เซียงฉือเพิ่งมาถึงตำหนักเจิ้งหยางเพียงวันเดียวเซียงซือก็ตามมาแล้ว เซียงฉือไม่อาจรู้ได้ว่านางจะทำอะไร แต่ว่านางได้แจ้งต่อคนเฝ้าประตูข้างนอกแล้ว นางจึงต้องไปพบ
เมื่อสูดลมหายใจเข้าแล้ว เซียงฉือก็ออกไปพบเซียงซือ
เซียงซือแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบข้าราชสำนักสตรีสีฟ้าครามของกองราชเลขา บนศีรษะเกล้ามวยสูงมุ่นไว้ด้วยปิ่นหยกสีเขียวเข้ม ในมือถือกล่องอาหารใบหนึ่งข้างเสาต้นใหญ่สีแดงของประตูหน้าตำหนักเจิ้งหยาง ร่างสีเขียวสดนุ่มนวลยืนเป็นสง่าราวกับต้นหลิวเขียวขจีอาบอยู่ท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นในยามรุ่งอรุณ
ตอนที่ 282 เป้าหมายของเซียงซือ
เซียงฉือได้รับแจ้งจากคนที่ซูกงกงส่งมาว่าให้นางจัดการตำหนักเจิ้งหยาง ตอนนี้หรงจิงเลิกประชุมแล้ว แต่ได้รั้งเหลียนชินอ๋องไว้อยู่คุยกันประสาพี่น้อง ดังนั้นซูกงกงจึงให้คนมาส่งข่าวก่อน
เซียงฉือมาถึงหน้าประตูก็เห็นเซียงซือจึงรีบเดินเข้าไปหา ต่างคารวะให้กันแล้ว เซียงฉือพูดขึ้นก่อนว่า
“ฝ่าบาทใกล้จะเสด็จกลับแล้ว ท่านพี่ตามข้าเข้าไปรอที่เรือนหลังก่อน อีกสักครู่แล้วข้าจะไปพบ”
เซียงฉือมองเห็นแถบสีเหลืองอร่ามกำลังเดินย่างมาทางประตูหน้าของตำหนักเจิ้งหยาง หากพวกนางไม่รีบหลบออกไปในตอนนี้ เกรงว่าคงต้องชนเข้ากับขบวนของฝ่าบาทแล้ว
เซียงฉือจึงรีบพูดขึ้นอย่างร้อนใจและคิดจะพาเซียงซือหลบออกไป นางดึงอยู่หลายครั้ง แต่เซียงซือยังคงยืนอยู่กับที่ ไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย
มองดูแววตานางเห็นความไม่เป็นมิตรทำให้เซียงฉือไม่เข้าใจ แต่เกรงว่าเซียงซือจะพูดอะไรที่น่าตกใจออกไปต่อหน้าฮ่องเต้จึงคิดเพียงจะพานางออกไป
แต่เซียงซือกลับปัดมือเซียงฉือที่จับตนไว้แล้วยืนอยู่ตรงนั้น เหลือบตาดูเซียงฉือแล้วพูดว่า
“น้องสาว ข้ายังไม่เคยเห็นฝ่าบาทมาก่อนเลย ขอแค่อยู่ทำความเคารพฝ่าบาทอย่างนอบน้อมสักครั้ง เหตุใดต้องให้รีบหลบไปด้วย”
“และข้าก็มาเพื่อส่งของให้เจ้าด้วย รับไปซะ”
เซียงซือโยนของในมือไปให้เซียงฉือแล้วจัดการเสื้อผ้าตนเอง สายตาเปี่ยมความรู้สึกลึกซึ้งนั้นมองไปยังหรงจิงที่กำลังเดินมา
เซียงฉือถือกล่องอาหารไว้ในใจบังเกิดความหวาดหวั่น เมื่อเห็นสายตาของเซียงซือแล้วก็หนักใจ จุดประสงค์ของเซียงซือปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
หากจะมาส่งของให้ตนควรเข้าประตูด้านข้างแต่นี่ตั้งใจมาทางประตูหน้า อีกทั้งยังจงใจรอจนกระทั่งเวลาฝ่าบาทเสด็จกลับจึงได้มา เซียงฉือไม่กล้าคิดอีกต่อไปขันทีในตำหนักเจิ้งหยางได้ร้องขานเสียงสูงขึ้นแล้ว
“ฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนัก!”
เซียงซือกับเซียงฉือที่ดูคล้ายกันยืนทำความเคารพฮ่องเต้ เซียงฉือวางกล่องข้าวในมือแล้วทำความเคารพเต็มรูปแบบอย่างเรียบร้อย
ข้างเสาใหญ่สีแดงนอกจากขันทีชุดสีดำแล้วยังมีข้าราชสำนักสตรีชุดสีฟ้าครามสองคน หรงจิงสังเกตเห็นทันทีจากในหมู่คน
ข้าราชสำนักสตรีงานอักษรเปลี่ยนจากหนึ่งเป็นสอง หรงจิงประหลาดใจ เมื่อเดินไปใกล้แล้วจึงหยุดเท้าลง
“วันนี้เหตุใดจึงมีข้าราชสำนักสตรีถึงสองคน กองราชเลขาส่งมาอีกคนหรืออย่างไร”
น้ำเสียงหรงจิงเจือความสงสัย แต่ไรมาข้างกายเขาจะมีข้าราชสำนักสตรีเพียงคนเดียว คนใหม่นี่มาจากไหน นี่เป็นการจัดการของเหอจิ่นเซ่อเช่นนั้นหรือ ขณะหรงจิงถามก็ผินหน้าไปทางซูกงกง ส่วนซูกงกงก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น ตามเหตุผลแล้วควรเป็นเซียงฉือที่รู้เรื่องดีเป็นคนออกหน้ามาตอบ
แต่คิดไม่ถึงว่าเซียงซือจะเดินเข้าไปเผยตัวชัดเจนย่อกายคำนับ ดูราวกับเป็นการทำความเคารพของคุณหนูคนหนึ่ง ซึ่งดูแปลกไปสำหรับนางซึ่งตอนนี้เป็นข้าราชสำนักสตรี
เซียงฉือยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เซียงซือก็รีบพูดขึ้นก่อนว่า
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันอวิ๋นเซียงซือ เป็นข้าราชสำนักสตรีคนใหม่ของกองราชเลขาเพคะ”
เซียงซือเงยหน้าน้อยๆ หน้านวลแดงเรื่อน่าชมอย่างยิ่ง แต่หรงจิงเป็นคนให้ความสำคัญกับระเบียบแบบแผน นอกจากคนที่เขาไว้วางใจแล้ว เขาไม่ชอบให้ใครอื่นมากำเริบอยู่ต่อหน้าเขา
กับเซียงซือเขาไม่มีภาพในความทรงจำแม้แต่น้อย ถึงแม้นางจะดูนุ่มนวลประทับใจ สายตาพราวเสน่ห์ดึงดูดใจ หากเป็นชายอื่นเห็นเข้าย่อมตะลึงพรึงเพริดยินยอมสยบแทบเท้านาง
แต่เซียงซือในเวลานี้ใช้ศิลปะการยั่วยวนที่นางเรียนรู้มาอย่างผิดที่ผิดเวลา อีกทั้งยังใช้ผิดคนอีกด้วย
ตอนที่ 283 ทำผิด
หรงจิงมีท่าทีไม่พอใจ เซียงฉือเห็นเข้าก็รู้ว่าเขาไม่พอใจเซียงซือ และเมื่อเห็นเซียงซือกำลังจะพูดต่อจึงรีบชิงพูดขึ้นโดยไม่มีเวลาคำนึงสิ่งใด
“ฝ่าบาททรงประทานอภัยด้วยเพคะ เซียงซือเป็นลูกพี่ลูกน้องผู้พี่ของหม่อมฉันที่ทำงานอยู่ในกองราชเลขาด้วยกัน วันนี้มาที่นี่เพื่อนำของใช้ประจำวันมาให้หม่อมฉัน แต่เพราะคุยกันจนล่วงเลยเวลา ทำให้ล่วงเกินฝ่าบาท ขอทรงลงโทษด้วยเพคะ”
เซียงฉือรีบทำความเคารพหรงจิงและพูดขึ้นอย่างกังวล
เห็นเซียงฉือทำเช่นนั้นเซียงซือก็หน้าเขียวไม่พอใจ นางคิดจะพูดอะไรอีกแต่กลับถูกเซียงฉือลอบดึงมือไว้ หรงจิงทันได้มองเห็นสายตาที่โกรธเคืองนั้น
เขารู้เห็นสารพัดวิธีการของเหล่าสตรีวังหลังในการให้ท่าเขาจนชิน เหตุใดจะไม่รู้ทันความคิดของเซียงซือ
ตอนนี้เขาไม่พอใจ มองดูสีหน้าประหลาดของเซียงฉือแล้วมองดูเซียงซือ พี่น้องคู่นี้นิสัยแตกต่างกันอย่างมาก หรงจิงไปประชุมราชสำนักกลับมาแล้วยังมีเรื่องต้องไปจัดการอีกมากจึงไม่คิดจะเสียเวลาอยู่ตรงนี้ เมื่อพ่นลมออกจมูกแล้วจึงเดินผ่านไป
เซียงฉือเพิ่งจะโล่งใจ เมื่อเห็นฝ่าบาทเดินเข้าด้านในไปแล้วจึงคลายมือที่จับเซียงซือไว้
แต่คิดไม่ถึงว่าพอนางคลายมือแล้วไปยกกล่องอาหารและคิดจะพานางจากไป เซียงซือที่โกรธอยู่ก็ผลักนางโดยแรง
เซียงฉือเสียหลัก หน้าแข้งชนเข้ากับกล่องอาหาร ทำให้ฝากล่องหล่นลงพื้นเสียงดังกังวาน หรงจิงที่เดินไปช่วงหนึ่งแล้วได้ยินเสียงจึงรีบหันกายกลับมา ส่งเสียงดุดันอย่างทรงอำนาจ
“บังอาจ! ใครกล้ามากำเริบต่อหน้าข้า”
เซียงฉือคิ้วขมวดแน่นเริ่มหนักใจ นางคุกเข่าพรึบลงบนพื้น เซียงซือก็ถูกเสียงตวาดนี้ทำให้ตกใจจนคุกเข่าลงเช่นกัน ส่วนในใจยิ่งนึกโทษเซียงฉือ
นางไม่ได้ใช้แรงมากสักหน่อย เซียงฉือก็ไม่ใช่กระดาษเหตุใดต้องแกล้งล้มด้วย เจตนาจะให้นางต้องเสียหน้าต่อหน้าฝ่าบาทชัดๆ
นางไม่ได้รู้สึกเลยว่าตนเองทำความผิด รู้สึกแต่ว่าเซียงฉือมีเจตนาใส่ร้ายนางจึงได้ทำเช่นนี้
เซียงฉือได้แต่ลอบร้องทุกข์อยู่ในใจ ตนเองควรทนรออีกสักหน่อยก็จะไม่เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ฝ่าบาทพิโรธหนักเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะลงโทษอย่างไรบ้าง
คิดถึงผิงผิงที่ถูกลงโทษโบยตีไปเมื่อคืนก็เพราะความไม่สำรวมต่อหน้าพระพักตร์ ผู้หญิงพวกนี้ไม่ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อกันหรืออย่างไร
เซียงฉือลอบทุกข์ใจ แต่นางไม่รู้ว่าหรงจิงมักผ่อนปรนต่อสตรีในวังหลังเสมอมา หากเรื่องนี้ซูเฟยหรือกุ้ยเฟยเป็นคนทำ หรงจิงก็จะถือเป็นความบันเทิงแก้เบื่อ
แต่นี่เป็นข้าราชสำนักสตรีที่ทำให้เขารังเกียจคนหนึ่ง ไม่รู้กาลเทศะ ไม่รู้สิ่งใดควรหรือไม่สมควร ทำยั่วยวนโปรยเสน่ห์ต่อหน้าเขาจนเขารำคาญ แล้วยังมาก่อเรื่องลับหลังเขาเช่นนี้อีก จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร
ซูกงกงเป็นคนแสนรู้ เมื่อเห็นฝ่าบาทโกรธจึงรีบสะบัดมือให้จับตัวเซียงฉือกับเซียงซือไว้
“นำตัวเข้ามา ให้ฝ่าบาททรงไต่สวน!”
ทั้งคู่ล้วนเป็นข้าราชสำนักสตรี แต่ซูกงกงเห็นว่าฝ่าบาทมีความชมชอบเซียงฉืออยู่จึงไม่กล้ารีบสั่งให้เอาตัวออกไปดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อจับความคิดหรงจิงแล้วจึงให้คนพามาเบื้องหน้าหรงจิง
เซียงซือกับเซียงฉือถูกทหารองครักษ์จับแขนมาถึงเบื้องหน้าหรงจิง สีหน้าเซียงซือหวาดหวั่น รู้สึกว่านี่ไม่เหมือนกับที่หญิงสาวคนอื่นเคยพูดไว้ ทำให้นางลนลานอย่างยิ่ง
แต่เซียงฉือคิดมากกว่านั้น เหตุใดเซียงซือจึงได้มาที่นี่ ทำอย่างไรฝ่าบาทจึงจะยอมปล่อยพวกนาง นางควรจะอธิบายด้วยเหตุผลหรือร้องขอความเมตตา
เซียงฉือคิดคำนวณในใจอยู่นาน แต่ก็ก้มหน้าลงอย่างเชื่อฟัง
ตอนนี้ไม่ว่านางจะตัดสินใจทำอะไร จำเป็นที่เซียงซือต้องรู้จักร่วมมือด้วยจึงจะใช้ได้ มิเช่นนั้นลำพังนางคนเดียวไม่อาจจะแสดงละครฉากใหญ่นี้ได้
ตอนที่ 284 ไต่สวน
หรงจิงนั่งบนเก้าอี้ประทับ เขาถอดชุดมังกรออกเปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้ว แต่มองคนเบื้องล่างด้วยสีหน้าไม่พอใจ ชวนให้อกสั่นระทึก
เซียงฉือไม่กล้าพูด นางรู้ว่าเวลานี้ยิ่งพูดมากก็จะยิ่งผิดมาก พูดน้อยผิดน้อย หากฝ่าบาทมีความเชื่อถือในตัวนางอยู่บ้างก็จะไม่ลงโทษนางหนัก ส่วนเซียงซือเล่า
เซียงฉือไม่รู้ว่าจะปกป้องนางได้อย่างไร
หรงจิงมองดูหญิงทั้งสองเบื้องหน้า สายตาเคลื่อนอยู่บนร่างทั้งสองเป็นเวลานานจึงได้เอ่ยขึ้น
“ซูกงกง ไปเรียกใต้เท้าเหอมานี่”
ซูกงกงได้รับบัญชาแล้วรีบสั่งขันทีน้อยให้ไปจัดการทั้งยังกำชับเพิ่มไปหลายคำจึงได้ให้ออกไป จากนั้นเป็นช่วงเวลาในความเงียบยาวนาน เซียงฉือคุกเข่าไม่พูดอะไรเลย เพราะนางไม่รู้จะพูดอย่างไร หากจะบอกว่าเป็นการไร้มารยาทต่อเบื้องพระพักตร์ เช่นนั้นแล้วโทษหนักต้องถูกตีจนตายเป็นแน่ เพราะเมื่อวานก็มีผิงตาอิ้งเป็นตัวอย่างแล้ว
หากโทษเบาก็ยังต้องถูกตีสิบไม้ ตัดเบี้ยหวัดครึ่งปี นางไม่กล้าเอ่ยปาก เพราะนางหมดหนทางขอความเมตตา
ได้แต่รอให้หรงจิงเอ่ยปาก ตอนนี้นางตัดสินใจได้แล้วเช่นนี้จึงคุกเข่าอย่างสงบไม่เคลื่อนไหว เชื่อว่าเหอจิ่นเซ่อคงมีวิธีช่วยพูดให้นาง แต่เซียงซือกลับไม่ได้คิดเช่นนี้
นางคิดว่ามีเพียงเอ่ยปากก่อนเพื่อเป็นการพูดเอาดีเข้าตัว และย่อมต้องปิดบังเรื่องบางอย่างที่นางก่อไว้ให้ดี หากรอจนใต้เท้าเหอมาถึงจริงๆ แล้ว นางรู้ว่าเมื่อวานนางเพิ่งล่วงเกินใต้เท้าเหอไป วันนี้นางคงพูดเข้าข้างเซียงฉือ ชีวิตของตัวเองก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ต้องหาวิธีรักษาไว้
ดังนั้นแล้วนางจึงช้อนตาแอบมองหรงจิง เห็นสายตาหรงจิงที่มองมาดูเหมือนไม่น่ากลัวนักจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้น
“ฝ่าบาททรงเมตตาด้วยเพคะ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ไม่กล้าอีกแล้วเพคะ!”
เสียงของเซียงซือแผ่วเบานุ่มนวลทั้งเจืออาการสั่น หากขณะนี้ทั้งคู่ถูกท่านปู่ลงโทษ ท่านย่อมผ่อนปรนให้กับเซียงซือที่อ่อนโยนและพูดเป็น แต่จะลงโทษหนักอย่างเข้มงวดกับเซียงฉือที่มักเย็นชาไม่ชอบโต้แย้งเสมอมา นอกจากนางจะเป็นบุตรสาวสายตรงบ้านสกุลอวิ๋นแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือนางยังเป็นคนที่ไม่รู้จักอ่อนข้อให้ใครอีกด้วย
เซียงฉือได้ยินเซียงซือเอ่ยปากพูดก็รู้สึกหนักใจ แต่หรงจิงยิ้ม ร้อนรนเสียขนาดนี้ เขาเกิดนึกอยากจะรู้ว่าพี่สาวของเซียงฉือคนนี้จะพูดอะไรออกมาบ้าง
วันนั้นหรงจิงพบอวิ๋นเซียงฉือในตำหนักกุ้ยเฟย เดิมคิดว่าคงเป็นเพราะกุ้ยเฟยเห็นซูเฟยส่งผิงตาอิ้งมาให้ แล้วเขาก็ให้สิทธิพิเศษแก่นางให้รับใช้อยู่ในตำหนักเจิ้งหยางอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่ผิงผิงคนนั้น นับวันยิ่งพาลเอาแต่ใจ ความอ่อนหวานนุ่มนวลแต่เดิมหายไปสิ้น
เมื่อมีผิงผิงเป็นตัวอย่างอยู่ก่อนเช่นนี้จึงต้องเข้มงวดกวดขันกับอวิ๋นเซียงฉือ เขาฝากความหวังไว้กับอวิ๋นเซียงฉือมาก ดังนั้นจึงไม่ต้องการให้นางโอหังอวดดีหากได้เป็นคนโปรดในวันหน้า
เป็นคนข้างกายฮ่องเต้ เขาย่อมรู้ดีว่าตำแหน่งนี้มีคนไม่น้อยที่ปรารถนา และเพราะว่าเข้าใจ ก่อนที่เขาจะได้พบคนที่เหมาะสมคนนั้น เขาจึงวนเวียนไปตามตำหนักต่างๆ ลอบเฟ้นหาอยู่ในตำหนักเหล่านั้น
ตอนนี้เขาได้เซียงฉือมาและใช้ได้อย่างสบายใจที่สุด เขาจึงย่อมต้องใช้วิธีการของตัวเองในการขัดเกลาสักพัก
และเขาหวังว่าอวิ๋นเซียงฉือคนนี้จะไม่ทำให้เขาผิดหวังถึงจะถูก
หรงจิงได้ยินคำพูดเซียงซือแล้วไม่อาจทำเป็นไม่ได้ยินได้จึงพูดว่า
“เมื่อสำนึกผิดแล้ว ไหนลองบอกซิว่าทำอะไรผิดบ้าง”
เสียงของหรงจิงไม่ดังมาก แต่คำพูดของเขาสามารถฟังได้ชัดเจนในทุกมุมของตำหนักเจิ้งหยาง นางกัดฟันแล้วพูดราวได้รับความไม่เป็นธรรมว่า
“หม่อมฉันเสียมารยาทต่อเบื้องพระพักตร์ ล่วงเกินฝ่าบาท หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ”
“แต่ว่าฝ่าบาททรงมีพระเมตตาเสมอมา ขอโปรดเห็นแก่หม่อมฉันที่เพิ่งทำผิดเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังเป็นการนำของฝากจากกุ้ยเฟยมาให้เซียงฉือ ขอทรงโปรดให้โอกาสหม่อมฉันแก้ตัวสักครั้ง หม่อมฉันจะไม่ทำผิดอีกแล้วเพคะ”
ตอนที่ 285 ความผิด
เซียงซือมองดูสีหน้าของหรงจิงแล้วพูดต่อเสียงอ่อนเสียงหวาน ทยอยเล่าเรื่องของตนเองเมื่อครู่ออกมา คนที่อยู่ข้างๆ ฟังแล้วจะรู้สึกว่านางไม่ผิด เป็นเพียงแค่ความไม่ระมัดระวังพลั้งพลาด ส่วนเซียงฉือฟังแล้วก็ได้แต่เงียบไม่พูดอะไร หรงจิงมองดูเซียงซือ ในใจยิ่งบังเกิดความรังเกียจ
ไม่ใช่อื่นใดแต่เป็นเพราะหรงจิงฟังคำพูดของนางแล้วในใจยิ่งรู้สึกเหน็บหนาว นางเล่ามาครึ่งค่อนวันแต่ไม่มีเลยสักครั้งที่จะเอ่ยถึงเซียงฉือ ยิ่งไม่ต้องหวังว่าจะขอเมตตาแก่นางสักครั้งด้วย
มีเพียงบีบน้ำตาพูดให้ตนเองดูน่าสงสาร ถ้าหากหรงจิงเป็นชายหนุ่มมัวเมาในกามคุณ คิดว่าตอนนี้คงสั่งให้ลากเซียงฉือออกไปเฆี่ยนตีปางตายไปแล้ว และคงจะคลอเคลียปลอบประโลมนางอย่างรักใคร่
แต่นั่นไม่ใช่เขา เขาจึงฟังอย่างเฉยชากระทั่งเลิกคิดใส่ใจกับเซียงซือไปในที่สุด เขาเพียงแต่รอ รอเซียงฉือโต้แย้ง รอให้นางเอ่ยปาก แต่จนแล้วจนรอดกระทั่งเสียงแหลมประหลาดของขันทีน้อยดังขึ้นก็ยังไม่ได้ยิน
“ใต้เท้าเหอจิ่นเซ่อมาถึงแล้ว!”
เซียงฉือค่อยๆ หลับตาลง นางได้ยินคำพูดของเซียงซือ เกิดนับถือฝีปากของนางขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่ยังคงเงียบอยู่เช่นนั้น เพราะเซียงฉือคิดว่าหากเซียงซือสามารถพูดดีๆ ให้ตัวเองแล้วรอดพ้นโทษทัณฑ์ได้ นางก็ดีใจด้วย
แต่ปฏิกิริยาของนางยามนี้ในสายตาของหรงจิงนั้นกลับเป็นอีกความหมายหนึ่ง การไม่แก่งแย่งชิงดีทำให้หรงจิงชื่นชมอย่างยิ่ง
“เหอจิ่นเซ่อถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเกษมสำราญเพคะ”
เหอจิ่นเซ่อเดินเข้าไปช้าๆ จนถึงเบื้องหน้าฮ่องเต้แล้วทำความเคารพพร้อมคุกเข่า เซียงฉือเมื่อได้ยินว่านางมาที่นี่จึงคลายใจลง เหอจิ่นเซ่ออยู่ในวังมานานปี เป็นผู้ที่น่าเชื่อถือพึ่งพาได้ที่สุด คำพูดนางย่อมมีน้ำหนักกว่าพวกนางทั้งสองเป็นแน่แท้
ขันทีน้อยที่ซูกงกงส่งไปได้เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตำหนักเจิ้งหยางให้ใต้เท้าเหอรับทราบตั้งแต่ตอนไปพบ ในระหว่างทางที่มาใต้เท้าเหอจึงได้คิดแผนการรับมือไว้แล้ว
เซียงฉือคิดเฉกเช่นเดียวกับซูกงกง แต่สิ่งที่ทั้งคู่ไม่คาดคิดนั้นคือคำพูดของใต้เท้าเหอที่คุกเข่าอยู่ต่อพระพักตร์ฮ่องเต้
“พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันมีความผิดบกพร่องในการปกครอง ทำให้คนทั้งสองกระทำเรื่องให้ระคายพระทัย เป็นเพราะหม่อมฉันไม่กวดขันอบรมขอฝ่าบาททรงลงอาญาด้วยเพคะ”
เหอจิ่นเซ่อยังคุกเข่าอยู่ ระหว่างทางที่มานางรู้ว่าอวิ๋นเซียงซือได้แจ้นมาถึงตำหนักเจิ้งหยางโดยพลการ คงเป็นเพราะแค้นเคืองที่ตนไม่ส่งนางมาเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรในตำหนักเจิ้งหยางแต่ส่งเซียงฉือมาแทนในวันนั้นจึงได้วิ่งมาโปรยเสน่ห์ถึงตำหนักเจิ้งหยางเช่นนี้
ถึงนางจะได้คิดหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้าเพื่อจะขอพระเมตตา แต่ขณะเดียวกันก็คิดขึ้นได้ว่าหากทูลเรื่องของกุ้ยเฟยกับเซียงซือขึ้นมาในครั้งนี้เสียเลย ต่อไปวันหน้านางก็จะไม่ต้องถูกหนีบอยู่ระหว่างฮ่องเต้กับกุ้ยเฟยให้ต้องรับความเดือดร้อนจากทั้งสองฝ่ายอีก
แต่ปล่อยให้ฝ่าบาทไปจัดการกับกุ้ยเฟยเอง ถึงนางจะล่วงเกินฝ่ายหนึ่ง แต่ก็เพื่อความสบายใจในวันหน้า ทั้งอวิ๋นเซียงซือคนนี้ก็โอ้อวดเกินไป ไม่เหมาะจะใช้ทำงาน
เพิ่งจะเข้ากองราชเลขาได้ไม่กี่วันแต่ไม่รู้จักสำรวม เที่ยวก่อเรื่องไปทั่ว
เซียงฉือกับเซียงซือต่างตะลึงไปด้วย ตอนเซียงซือได้ยินว่าเหอจิ่นเซ่อมาที่นี่ก็กังวลว่านางจะมาขอความเมตตาให้เซียงฉือ จึงตั้งใจไว้ว่าจะอ้างเอาชื่อกุ้ยเฟยออกมา เพื่อข่มขู่ให้นางถอยออกไป
แต่ไม่คิดว่าเหอจิ่นเซ่อจะมานี่เพื่อขอรับโทษ ซึ่งอยู่นอกเหนือความคาดหมายของคนทั้งหลาย
หรงจิงนั่งอยู่บนพระที่นั่งมองดูเหล่าข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขาในชุดสีฟ้าครามคุกเข่ากันเป็นพรืดอยู่เบื้องหน้า ต่างคนต่างมีคำพูดของตน ของเซียงฉือกับเหอจิ่นเซ่อนั้นฟังดูคล้ายกัน ต่างคุกเข่าแล้วกล่าวว่าตนเองมีความผิด แล้วก้มหน้ารับโทษโดยไม่โต้แย้ง
นี่ทำให้หรงจิงบังเกิดความสนใจขึ้นมา
ตอนที่ 286 ขอรับโทษแทน
หรงจิงยิ้มเมื่อได้ยินเหอจิ่นเซ่อพูดเช่นนั้น แต่เสียงยังคงเข้มงวดจริงจังยิ่ง เขาพูดกับคนทั้งสามเบื้องล่างว่า
“อวิ๋นเซียงฉือเพิ่งจะเข้ากองราชเลขาไม่นาน แต่กลับเรียนรู้จากใต้เท้าเหอได้มากกว่า พากันมารับผิดทั้งคู่แบบนี้ จะให้ข้าลงโทษอย่างไร ไร้มารยาทต่อหน้าข้าหรือปกครองไม่กวดขัน?”
“หรือสั่งตีเสียคนละร้อยไม้เป็นอย่างไร”
หรงจิงพูดเช่นนี้ทำให้เซียงฉือหวาดกลัวขึ้นมา ความคิดของหรงจิงเอาแน่เอานอนไม่ได้ บุรุษที่นางเห็นว่าอ่อนโยนเป็นที่สุดในนาทีก่อน แต่ในนาทีถัดมากลับกลายเป็นฮ่องเต้ที่สังหารคนได้ราวผักปลา
นางจับความคิดของเขาไม่ได้จึงได้แต่ยิ่งก้มหน้าต่ำลงอีก ไม่กล้าเอ่ยอะไร แต่เหอจิ่นเซ่อพูดขึ้นว่า
“เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันสมควรตาย แต่หม่อมฉันรับใช้ฝ่าบาทมาได้สิบปีแล้วจึงบังอาจขอพระกรุณาจากพระองค์ ขอโปรดพระราชทานให้หม่อมฉันได้สมใจด้วยเพคะ”
เหอจิ่นเซ่อยืดกายขึ้น ถึงจะคุกเข่าแต่ยังคงความเป็นธรรมอย่างเข้มงวด เซียงฉือได้ยินคำพูดนั้นแล้วเกิดเสียงหึ่งดังขึ้นในหัว เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ถึงกับทำให้เหอจิ่นเซ่อร้องขอความตายเชียวหรือ
เซียงฉือไม่เข้าใจ แต่นางไม่ต้องการให้เหอจิ่นเซ่อต้องเดือดร้อนเพราะตนเอง หลังจากเงียบไปนานแล้วจึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง แต่เป็นการร้องขอความเมตตาให้ผู้อื่น
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันสำนึกตนว่ามีความผิด มิบังอาจทูลขอพระเมตตา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใต้เท้าเหอเลยเพคะ ขอทรงโปรดเห็นแก่ใต้เท้าเหอที่รับใช้ฝ่าบาทมา ถึงจะไม่มีความดีความชอบแต่มีความอุตสาหะ อย่าให้เป็นเพราะหม่อมฉันต้องทำให้ใต้เท้าเหอพลอยเดือดร้อนไปด้วยเลยเพคะ”
“หม่อมฉันกระทำผิดเองย่อมต้องรับผิดชอบเอง ยินยอมรับพระอาญาทุกอย่างเพคะ!”
ยากนักกว่าเซียงฉือจะเอ่ยปาก น้ำเสียงนางเจือความตื่นเต้น นางยอมรับมากขึ้นว่า ‘หรงฉู่’ นั้นคือหรงจิง มีตัวตนจริงเป็นฮ่องเต้ ขณะเผชิญอยู่ต่อหน้าหรงจิงนางรู้แล้วว่าไม่อาจกระทำเลยเถิด ถึงแม้ว่าหรงจิงจะต้องการใกล้ชิดนางก็ตาม
นางจดจำได้ตลอดมาว่าวันนั้นหรงจิงออกคำสั่งลงทัณฑ์ตีผิงตาอิ้งแล้วสั่งขังในตำหนักเย็น
ผิงตาอิ้งเคยเป็นคนที่หรงจิงให้ความสำคัญมาก่อนมิใช่หรือ นางเข้าใจดีว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหรงจิง ก็เหมือนกับการเดินหมากของขุนนางกับฮ่องเต้ นางสามารถแสดงความสามารถได้ แต่หากฝ่าบาทให้ความสนิทสนมด้วยแล้ว จะต้องรักษากฎระเบียบไว้ตลอดเวลา มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะพลั้งออกนอกกรอบไปเมื่อไร ซึ่งนั่นยากที่จะรอดพ้นจากความตายไปได้
เซียงฉือคิดแล้วก็เศร้าใจ นางไม่ต้องการให้เหอจิ่นเซ่อต้องมีความผิดเพราะนางจึงยืดอกออกมารับผิดชอบทั้งหมด
เหอจิ่นเซ่อเห็นเซียงฉือขอความเมตตาให้ตนจึงมองนางด้วยสายตาสับสน มีทั้งยินดีอีกทั้งจนปัญญา ทั้งยังเจือความขื่นขมอีกด้วย
แต่เซียงฉือไม่ได้มองนางจึงไม่เข้าใจรสชาติทั้งสามนั้น
หรงจิงซึมซับการกระทำนั้น เขาคิดว่านางจะขอความเมตตาให้ตัวเอง แต่พอเอ่ยปากกลับขอให้เหอจิ่นเซ่อ ผู้หญิงคนนี้ไม่กลัวตายจริงๆ เช่นนั้นหรือ
หรงจิงพูดขึ้นอีกครั้ง
“ใต้เท้าเหอคิดแต่จะตายเช่นนี้ดูไม่สมกับเป็นท่านเลย จะบอกว่าท่านปกครองไม่เข้มงวดก็ไม่ถูกนัก หญิงคนนี้เพิ่งเข้ากองราชเลขาได้เพียงวันเดียว แต่กลับยินดีรับโทษทัณฑ์ทั้งหมดแทนใต้เท้าเหอ”
เขาขยับให้สบายขึ้นแล้วพิงลงไป มองเหอจิ่นเซ่อแล้วชี้นิ้วไปทางเซียงฉือ น้ำเสียงกับคำพูดเช่นนั้น ไม่รู้ว่าเขามีเจตนาเช่นไร
หรงจิงยื่นมือรับลิ้นจี่ที่ซูกงกงลอกเปลือกให้ค่อยๆ กิน แล้วมองดูคนทั้งสามอย่างไม่ใส่ใจนัก
เหอจิ่นเซ่อข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขาคนนี้ ตั้งแต่วันแรกที่นางเข้ารับหน้าที่งานอักษรเขาก็ประจักษ์ดีแล้ว เหตุใดนางจึงคิดแต่จะตายอย่างเดียว จะต้องมีจุดประสงค์เป็นแน่
แต่เซียงฉือมีเมตตาสูงน่าจะไม่เข้าใจเจตนาของเหอจิ่นเซ่อ มีเพียงความเกรงกลัวพระราชอำนาจ ดังนั้นจึงเหมาความรับผิดชอบทั้งหมดไว้กับตนเอง ช่างมีคุณธรรมสูงส่งนัก
ส่วนเซียงฉือมีความฉลาดหลักแหลม เมื่อได้ยินคำพูดของหรงจิงแล้วก็เงียบเสียงไม่อ้อนวอนขอเมตตาอีก นางฉลาดพอจะรู้นัยในคำพูดของหรงจิง
ตอนที่ 287 จินกุ้ยเฟย
เหอจิ่นเซ่อยิ้มแล้วมองดูหรงจิง นางเลิกคิ้วสูง ความคิดของนางหรงจิงมองออกแล้วจริงๆ แต่ใครจะไปยอมรับกันเล่า
นางคิดแล้วจึงพูดขึ้นอีกครั้ง
“ด้วยพระเมตตาอันเปี่ยมล้น ตั้งแต่หม่อมฉันเข้าวังมาก็รู้ว่าชีวิตนี้จะถวายการรับใช้อยู่เคียงข้างฝ่าบาท ขณะนี้ตำแหน่งฮองเฮาในวังหลังของฝ่าบาทยังว่างอยู่ ดังนั้นพวกหม่อมฉันในกองราชเลขาจึงน้อมรับเพียงพระบัญชาของฝ่าบาท”
เหอจิ่นเซ่อเริ่มจากการแสดงความจงรักภักดี อันเป็นวิธีการพูดตามปกติของขุนนางฝ่ายบุ๋น หรงจิงก็รู้ดีอยู่ว่าพวกเขาจะใช้ความจงรักภักดีและรักชาติเป็นธงนำส่วนเรื่องสำคัญนั้นจะตามมาทีหลัง
เขากินลิ้นจี่และฟังต่อด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเมื่อเหอจิ่นเซ่อพูดต่อ
“แต่ว่า ไม่ว่าหม่อมฉันจะระมัดระวังอย่างยิ่งเพียงไร ก็ยังคงดูแลได้ไม่ถ้วนถี่ หากดูแลใส่ใจเพียงฝ่าบาทก็จะไม่อาจใส่ใจต่อผู้อื่น จึงทำให้มีผู้กล่าวหาว่าหม่อมฉันกระทำการไม่ยุติธรรม แล้วหาผู้มีบารมีสูงมาชี้แนะ หม่อมฉันโง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้จักช่องทางวิธีการและช่องทางลัด ดังนั้นจึงทูลขอพระเมตตาจากฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาตให้หม่อมฉันลาออกกลับบ้านเกิด และเฟ้นหาผู้มีความสามารถคนใหม่มาดูแลกองราชเลขาเพคะ”
เหอจิ่นเซ่อมาทำการฟ้องร้องอย่างแท้จริง เพียงแต่นางไม่สามารถระบุว่าเป็นใครออกมาได้ แต่หรงจิงไยจะไม่รู้ ก็เมื่อครู่อวิ๋นเซียงซือพูดออกมาแล้วไม่ใช่หรือว่า ส่งของมาแทนกุ้ยเฟย
ดังนั้น ความเป็นมาของเรื่องนี้ หรงจิงจึงรู้ได้กระจ่างชัด
เหอจิ่นเซ่ออยากพูดแต่ชะงักไว้ อวิ๋นเซียงฉือไม่โต้แย้งสักคำ มีเพียงเซียงซือที่พูดฉะฉานอยู่คนเดียว กอปรกับฟังคำพูดนี้แล้วจึงรู้ว่าอวิ๋นเซียงซือเป็นคนของจินกุ้ยเฟย
ทางกองราชเลขาคงจะถูกผู้มีอำนาจบีบคั้นอยู่ เมื่อเหอจิ่นเซ่อรับคนมาก็ต้องเลี้ยงไว้ แต่ตอนนี้เรื่องมาถึงหรงจิงแล้ว นางจึงไม่คิดจะยุ่งด้วยอีกต่อไป
จะว่านางมีเจตนาหลบเลี่ยงไม่ยุ่ง แต่ก็เพราะมีความจำเป็นซึ่งหรงจิงเข้าใจได้ ทว่าการกระทำของเซียงฉือออกจะนอกเหนือความคาดคิดของนาง
หรงจิงคิดแล้วมองดูอวิ๋นเซียงฉือที่นิ่งเงียบอยู่ข้างๆ อีกทั้งอวิ๋นเซียงซือที่น้ำตาคลอเบ้า พลันนึกถึงที่เซียงฉือเคยบอกไว้ขึ้นมาว่าเซียงซือเป็นญาติผู้พี่ของนาง
คงเพราะมีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดจึงทำให้นิ่งเงียบ เมื่อคิดความเชื่อมโยงออกแล้ว หรงจิงจึงตัดสินใจ
เขายกมือขึ้น ซูกงกงจึงเดินเข้าไปอย่างเข้าใจ
“ข้ารู้แล้วว่าใต้เท้าเหอบริหารจัดการกองราชเลขาด้วยความยากลำบาก ท่านกลับไปได้ วันหน้าหากยังมีใครกล้าไปก่อเรื่องในกองราชเลขาอีก ก็ส่งคนคนนั้นมาให้ข้า ข้าอยากเห็นนักว่าคำพูดของใครจะศักดิ์สิทธิ์กว่าราชโองการของข้า”
เหอจิ่นเซ่อลุกขึ้นด้วยการช่วยประคองของซูกงกง นางปัดฝุ่นบนเข่า เมื่อได้ยินคำพูดของหรงจิงก็รู้ว่าเขาเข้าใจเจตนาของนาง
นางคิดว่าเรื่องนี้จะต้องเปลืองน้ำลายพูดมากกว่านี้เสียอีก นางยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องจินกุ้ยเฟย แต่ดูจากเจตนาของฝ่าบาทแล้วคิดว่าคงได้คิดการใดไว้แล้ว
ทั้งยังได้ให้คำสัญญาแก่นางอีก ซึ่งไม่ต่างอะไรกับกระบี่อาญาสิทธิ์ ดังนั้นแม้ตอนนี้จะคุกเข่าจนปวดเมื่อยหัวเข่า แต่ใจนั้นเบิกบานยิ่งนัก
เซียงซือนั้นเดิมคาดไว้ว่าเมื่อหรงจิงได้ฟังคำพูดนางแล้วจะรีบปล่อยตัวนางแล้วปลดเซียงฉือ เลื่อนนางขึ้นเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรแทน ฝันหวานว่านางจะได้เข้าออกตำหนักเจิ้งหยางตามอำเภอใจ
แต่แล้วรู้สึกเหมือนถ้อยสนทนาในโถงเบี่ยงเบนไป ถึงนางจะวู่วาม แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้คงจะไม่ปลอดโปร่งตามที่นางวาดหวังเสียแล้ว
ส่วนเซียงฉือเงยหน้ามองดูสีหน้าจริงจังของหรงจิงแล้วหันไปมองใต้เท้าเหอ บังเกิดความกระจ่างขึ้นในใจ
ใต้เท้าเหอฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เรื่องนี้หากนางไม่ขอรับโทษตั้งแต่แรกที่มาถึง ฝ่าบาทก็คงยังไม่ยอมเลิกรา นางไม่สามารถพูดออกมาได้ว่าเซียงซืออาศัยบารมีจินกุ้ยเฟยแล้วทำอวดดีอยู่ในกองราชเลขา อีกทั้งยังจะให้นางและเซียงฉือถูกหรงจิงดุว่าอีกด้วย
ตอนที่ 288 กุ้ยเฟย
นางยอมรับผิดด้วยตนเองเช่นนี้ เป็นการเบนทางน้ำไปทิศทางอื่น ทำให้ตัวเองพ้นออกจากเรื่องนี้ไป ช่างเป็นคนฉลาดจริงๆ
แต่คนที่ควรต้องทุกข์ใจในตอนนี้ก็คือเซียงฉือกับเซียงซือสองคนแล้ว
ไม่ทันไรก็มีขันทีน้อยวิ่งเข้ามาจากด้านนอกแล้วกระซิบกระซาบเสียงเบากับซูกงกง จากนั้นก็เห็นซูกงกงกระซิบบางอย่างที่ข้างกายฮ่องเต้
หรงจิงฟังด้วยสีหน้าไม่สู้ดี น้ำเสียงไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่พูดอย่างเอื่อยเฉื่อย
“วันนี้จินกุ้ยเฟยตื่นแต่เช้า ในเมื่อมาถึงแล้วก็ให้เข้ามาได้”
หรงจิงเพิ่งสั่งการออกไป ขันทีน้อยยังไม่ทันได้ออกไปเรียกก็เห็นกุ้ยเฟยเดินอย่างอ่อนช้อยผ่านเข้าประตูมาแล้ว
นางย่อกายทำความเคารพหรงจิง รอยยิ้มเกลื่อนหน้าราวดอกท้อเบ่งบานในเดือนเจ็ด งดงามหาใดเสมอ แต่ว่าเพียงไม่กี่วันที่เซียงฉือไม่ได้รับผิดชอบด้านการแต่งหน้าแต่งกายของนาง นางก็กลับมาแต่งเข้มหนาเช่นเคยอีก
เซียงฉือเงยหน้าน้อยๆ ลอบมองสีหน้าหรงจิง เห็นเขาขมวดคิ้วน้อยๆ เช่นกัน แต่คำพูดไม่ได้แสดงความไม่พอใจอะไร
“หม่อมฉันมาเยี่ยมคารวะฝ่าบาทโดยไม่ได้ถูกเชื้อเชิญ เป็นเพราะคิดถึงฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาทไม่ทรงสงสารหม่อมฉันบ้างเลย”
น้ำเสียงจินกุ้ยเฟยนุ่มนวลเข้ากระดูก เมื่อคืนได้ข่าวผิงตาอิ้งทำให้หรงจิงโกรธจนถูกสั่งตีปางตายแล้วโยนเข้าตำหนักเย็นก็ให้รู้สึกสาแก่ใจอย่างยิ่ง
ยิ่งคิดว่าเซียงซือกำลังจะมีโอกาสเข้าตำหนักเจิ้งหยางในไม่ช้าแล้วก็ยิ่งยินดี แต่ไม่ทันไรก็ได้ข่าวมาจากกองราชเลขาว่าเหอจิ่นเซ่อให้อวิ๋นเซียงซืออยู่ในกองงานเลขา แต่กลับให้อวิ๋นเซียงฉือไปเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรอยู่ข้างกายฝ่าบาท
นางคิดไปคิดมาแล้วรู้สึกว่าไม่ถูกต้องจึงได้เรียกอวิ๋นเซียงซือไปสอบถาม
อวิ๋นเซียงซือเป็นคนฉลาด นางผลักเรื่องทั้งหมดไปให้เหอจิ่นเซ่อว่ามีเจตนาลำเอียงเข้าข้างเซียงฉือ
อีกทั้งยังบรรยายถึงความร้ายกาจของเหอจิ่นเซ่อที่เจตนาหยามหน้าจินกุ้ยเฟย กลั่นแกล้งนางทุกวิถีทาง ใส่สีตีไข่ลงไปทุกเรื่องให้จินกุ้ยเฟยฟังจนจินกุ้ยเฟยโกรธขึ้ง
ด้วยอารมณ์ของนางแล้วย่อมต้องบุกไปหาเหอจิ่นเซ่อที่กองราชเลขาเพื่อถามไถ่ แต่อวิ๋นเซียงซือก็ไม่โง่ นางเพียงต้องการอาศัยจินกุ้ยเฟยเพื่อให้ได้ไปถึงข้างกายฝ่าบาท ไม่ได้คิดจะให้นางไประบายอารมณ์แทนในตอนนี้
หวังหมัวหมัวก็คิดเช่นนั้น ไม่อาจให้จินกุ้ยเฟยไปหาเรื่องเอาความกับเหอจิ่นเซ่อได้
เหอจิ่นเซ่อเป็นข้าราชสำนักสตรีขั้นสามที่รับคำสั่งฝ่าบาทโดยตรง ทั้งยังรับใช้ฝ่าบาทมานานปี ได้รับความไว้วางใจจากหรงจิงอย่างมาก หากจินกุ้ยเฟยจะไปหานางในตอนนี้แล้วจะทำอะไรได้ หรือว่าจะไปฆ่าเหอจิ่นเซ่อ
ถ้าเช่นนั้นเพียงเหอจิ่นเซ่อทูลเรื่องนี้กับฝ่าบาท พระองค์จะต้องพิโรธ ข้าราชสำนักสตรีรับผิดชอบงานในวังหลัง มีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่จะเข้าไปก้าวก่ายได้ ถึงนางจะเป็นกุ้ยเฟย แต่ก็ไม่มีอำนาจนั้น
จินกุ้ยเฟยรู้ว่าไม่สามารถประจันกับเหอจิ่นเซ่อซึ่งหน้าได้จึงคิดจะให้อวิ๋นเซียงซือไปปรากฏตัวต่อหน้าฝ่าบาทอย่างไม่คาดคิด
เพียงแค่สามารถทำให้นางได้รับความสนใจจากฝ่าบาท เช่นนั้นแล้วพวกนางก็จะสบายไร้กังวล
แต่ถึงแม้กุ้ยเฟยจะบอกวิธีการแก่นาง แต่เซียงซือกลับจงใจทำจนเรื่องนี้เกินเลยไป ส่วนเซียงฉือเห็นสายตาลุ่มหลงของเซียงซือเช่นนั้น เกรงว่านางจะก่อเรื่องที่ยากจะแก้ไขขึ้นจึงขัดขวางนางไว้
จึงทำให้เรื่องพบกันโดยบังเอิญที่แสนประทับใจกลายเป็นเรื่องต้องโทษไปเสียอย่างนั้น
หรงจิงเห็นกุ้ยเฟยเดินเข้ามาอย่างไม่สนใจใคร ส่วนเหอจิ่นเซ่อกำลังจะออกไปจากตำหนัก หรงจิงจึงส่งสัญญาณให้นางอยู่ต่อ คอยดูละครเบื้องหน้าที่กำลังจะแสดงต่อไป
ตอนที่ 289 ชิงดี
หรงจิงเห็นกุ้ยเฟยเข้ามาแต่ก็ไม่ได้ขยับกาย เพียงพูดเรียบๆ ขึ้นว่า
“จะเข้าตำหนักเจิ้งหยาง กุ้ยเฟยก็ต้องรอเรียกเสียก่อน”
เขากล่าวตำหนิกุ้ยเฟยเสียงเรียบ กุ้ยเฟยได้ยินจึงต้องตอบรับ แล้วโผเข้าไปข้างกายหรงจิงราวนกน้อยคืนรัง
นางกอดหรงจิงไว้ราวน้อยอกน้อยใจ หรงจิงยิ้มแล้วบีบจมูกนาง
“ทุกคนในวังมีเพียงเจ้านี่แหละที่ชอบละเลยระเบียบที่สุด ทีหลังห้ามทำเช่นนี้อีก อย่าได้คิดว่าเป็นคนโปรดของข้าแล้วจะทำอะไรได้อย่างไม่สนใจผิดชอบชั่วดี”
“แม้ตอนนี้ตำแหน่งฮองเฮายังว่างอยู่ แต่เจ้าควรต้องเป็นแบบอย่างฮองเฮาของคนทั้งแคว้น ดังนั้นจึงต้องเข้มงวดกวดขันตนเองและรู้จักอะลุ่มอล่วยให้อภัยต่อผู้อื่น”
หรงจิงพูดถึงตำแหน่งฮองเฮาขึ้นมาในตอนนี้ จินกุ้ยเฟยย่อมสองตาลุกวาว นางเป็นกุ้ยเฟยควบคุมดูแลวังหลัง แต่ยังไม่มีเฟิ่งกวนเสียเพ่ย[1] อีกทั้งตราประทับรูปหงส์ ตลอดมาจึงเป็นได้แต่เพียงภรรยารอง ไม่สามารถเข้าออกได้พร้อมฮ่องเต้
หากจะบอกว่าหญิงในวังหลังคนใดไม่ต้องการเป็นฮองเฮาแล้วละก็ นั่นย่อมเป็นการพูดปด ส่วนนางเป็นถึงกุ้ยเฟย ดังนั้นแล้วความปรารถนานี้จึงยิ่งเด่นชัด
หรงจิงพูดเช่นนี้เหมือนให้นางลิ้มรสลูกอมน้ำผึ้งขณะเดียวกันก็ล่ามกุญแจมือนางไว้ ทำให้นางจำต้องควบคุมตนเอง
เมื่อจินกุ้ยเฟยรู้สึกว่าตนเองใกล้จะได้เป็นฮองเฮาแล้วจึงอิ่มเอมใจยิ่ง พยักหน้ารับตามคำพูดของหรงจิง
“ฝ่าบาทตรัสสิ่งใด หม่อมฉันย่อมต้องปฏิบัติตามเพคะ จากนี้หม่อมฉันจะเคร่งครัดกับตัวเองและผ่อนปรนต่อผู้อื่น เพื่อไม่ให้ฝ่าบาททรงผิดหวังเพคะ”
กุ้ยเฟยพูดขึ้นอย่างเข้าใจและเชื่อฟัง หรงจิงจึงผงกศีรษะเบาๆ
แต่จินกุ้ยเฟยทำตัวน่ารักได้ชั่วครู่ก็เห็นเหอจิ่นเซ่อในหมู่คน จุดประสงค์ที่นางมาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะได้รับข่าวว่าเหอจิ่นเซ่อกำลังร้องทุกข์ต่อฮ่องเต้ และเมื่อครู่นางอยู่ด้านนอกตำหนักก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ความตั้งใจตีวัวกระทบคราดของนางเป็นการเปิดโปงตัวตนของคนออกไปอย่างโจ่งแจ้ง ทำให้ไฟโทสะของนางพุ่งปรี๊ดตั้งแต่ยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว
ตอนนี้ได้มาพบกับเจ้าตัวโดยตรง ย่อมไม่อาจปล่อยไปโดยง่ายได้
“ไม่ทราบเกิดอะไรขึ้นหรือเพคะฝ่าบาท หรือว่าข้าราชสำนักสตรีที่มาใหม่จะใช้งานไม่ได้ดั่งพระทัย เหตุใดพากันคุกเข่าอยู่เช่นนั้นเพคะ”
จินกุ้ยเฟยยิ้มหยาดเยิ้มขณะที่พูด นางชี้ไปยังอวิ๋นเซียงซือกับอวิ๋นเซียงฉือ ทำทีถามเหมือนไม่รู้เรื่องราว
เมื่อวานตอนนางฟังคำบอกเล่าของเซียงซือ ก็ได้จัดเหอจิ่นเซ่อว่าเป็นคนของซูเฟยไปแล้ว และเมื่อครู่มาได้ยินคำพูดไร้ความปรานีของนางจากด้านนอกตำหนักเข้าอีก ถึงในใจจะเดือดดาลเพียงใดแต่ก็รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ตำหนักอวี้หยวนของนาง ไม่สามารถลงโทษตามอำเภอใจได้ แต่ในเมื่อฝ่าบาทอยู่ข้างกายนางเช่นนี้ ไม่จำเป็นที่นางจะต้องลงมือเอง
หรงจิงมองดูเซียงซือเซียงฉือที่คุกเข่าอยู่แล้วมองกุ้ยเฟยด้านข้างพูดขึ้นว่า
“นางสองคนนี้ส่งเสียงอึกทึกครึกโครมอยู่นอกประตูตำหนักเจิ้งหยาง กระทำการเสียมารยาทต่อหน้าข้า ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะจัดการลงโทษอย่างไร ทั้งคู่ต่างก็เป็นข้าราชสำนักสตรีจากกองราชเลขา จึงได้เชิญใต้เท้าเหอให้มาร่วมตัดสินเรื่องนี้ด้วย”
หรงจิงพูดขึ้นเช่นนี้แล้วเปลี่ยนความคิดในทันที จากนั้นพูดกับกุ้ยเฟยต่อว่า
“เจ้าคอยช่วยข้าดูแลวังหลังตลอดมา ทั้งเป็นประมุขตำหนักหนึ่ง หากเรื่องนี้มอบให้กุ้ยเฟยจัดการ ไม่รู้ว่าเจ้าจะจัดการอย่างไร”
หรงจิงถามขึ้นทำให้กุ้ยเฟยต้องครุ่นคิด ปกติเขาจะเป็นคนตัดสินใจและจัดการด้วยตนเองโดยไม่เคยถามความเห็นของนาง ถึงนางจะเตรียมคำพูดไว้มากมาย แต่เอาเข้าจริงกลับไม่รู้จะตอบอย่างไร
แต่เมื่อถูกหรงจิงถามแล้วก็ไม่อาจจะไม่ตอบ
จินกุ้ยเฟยมองดูสองคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่างแล้วคลึงนิ้วใช้ความคิดอย่างจริงจัง จะว่าไปแล้วทั้งเซียงฉือและเซียงซือล้วนเป็นคนของนาง ถึงแม้ระยะหลังนี้เซียงซือจะถูกใจนางมากกว่า แต่เซียงฉือก็มาจากตำหนักอวี้หยวนของนางเช่นกัน
หากต้องผลักเรื่องนี้ไปให้คนใดคนหนึ่งนางก็ยากจะตัดใจได้ลง ทำให้นางลำบากใจยิ่ง
หรงจิงเห็นจินกุ้ยเฟยคิดอย่างจริงจังจึงไม่พูดอะไร กินลิ้นจี่ที่ซูกงกงปอกเปลือกให้แล้วรอฟังอย่างสบายๆ
[1] เฟิ่งกวนเสียเพ่ย (凤冠霞帔) เฟิ่งกวน แปลว่า มงกุฎหงส์ เสียเพ่ย เป็นแพรแถบคล้องคอมีปลายสองด้าน คล้องจากคอลงไป พาดยาวผ่านอก ปลายทั้งสองห้อยด้วยจี้หยกหรือทอง ลวดลายบนแถบแพรขึ้นอยู่กับลำดับขั้นตำแหน่งของสามี
ตอนที่ 290 สั่งสอน
ดีที่กุ้ยเฟยไม่ได้ปล่อยให้เขาต้องรอนาน นางเห็นลิ้นจี่บนโต๊ะจึงหยิบมาลอกเปลือกแล้วป้อนถึงปากของหรงจิง ยิ้มหวานพูดขึ้นว่า
“ฝ่าบาท วังหลังมีลำดับขั้นตอนการทำงานอยู่ ในเมื่อทั้งสองคนกระทำความผิด ก็เรียกใต้เท้าสวี่จากกองคดีให้มาสอบสวน ควรลงโทษอย่างไรก็ให้เป็นไปตามนั้น ในเมื่อทั้งคู่ยอมรับผิดแล้ว ต่อให้ต้องเอาชีวิต พวกนางก็ไม่อาจเลี่ยงได้”
คำพูดของกุ้ยเฟยทำให้ลมหายใจของเซียงซือกับเซียงฉือถึงกับชะงักงัน
หรงจิงหัวเราะเสียงดัง
“กุ้ยเฟยนี่ช่างอู้เก่งจริงๆ!”
ว่าแล้วก็ยื่นมือออกไปหยิกเบาๆ ที่ช่วงเอวกุ้ยเฟย นางไม่ยินยอมนัก
กุ้ยเฟยพูดออกไปแบบนั้นย่อมเป็นการปัดภาระ แต่หรงจิงก็ยังหัวเราะ
แล้วพูดต่อว่า
“ดูท่าว่ากุ้ยเฟยจะไม่เข้าใจกฎระเบียบในวังจริงๆ ในวังนี้มีหกกองงาน แต่ละกองงานมีราชเลขาประจำกอง ซึ่งจะมีอำนาจจัดการดูแลงานในกองนั้น ซึ่งกองราชเลขากับกองคดีในนั้นถือเป็นแขนซ้ายขวาของข้า ช่วยงานข้าในราชสำนักอีกทั้งจัดการดูแลความเป็นอยู่ในวังหลัง ดังนั้นคนที่จะกำกับพวกนางได้จึงมีแต่ข้าเท่านั้น”
“ถ้ากุ้ยเฟยสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ก็จะดีไม่น้อย หวังว่าต่อไปกุ้ยเฟยจะไม่เลอะเลือนในเรื่องพวกนี้อีก อย่าได้ทำให้เสียกฎระเบียบที่บรรพชนกำหนดไว้ ที่ข้าพูดมากุ้ยเฟยจำได้หรือไม่”
เสียงของหรงจิงไม่ดังมาก แต่กุ้ยเฟยได้ยินแล้วเริ่มสั่นน้อยๆ ขึ้นในอก
แววตานางกระเพื่อมน้อยๆ พูดขึ้นอย่างน่าสงสารว่า
“หม่อมฉันทราบแล้ว ที่ฝ่าบาททรงสอนนั้น หม่อมฉันจำได้แล้วเพคะ”
หรงจิงเห็นกิริยานางเช่นนั้นจึงตบบ่านางเบาๆ และพูดว่า
“ข้ายังมีราชกิจต้องทำอีกมาก เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
เมื่อหรงจิงพูดเช่นนี้กุ้ยเฟยจึงต้องลุกขึ้น ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อมไม่กล้ารั้งรอแต่น้อย เดิมนางตั้งใจมาร้องทุกข์ต่อหรงจิงเพื่อให้เขาจัดการเหอจิ่นเซ่อแต่ไม่คิดว่าถึงหรงจิงจะไม่ตำหนินางอย่างโจ่งแจ้ง ทว่าพูดตักเตือนนางอยู่ในทีว่าไม่ให้นางยุ่งกับงานในกองราชเลขาอีกต่อไป
นางฟังเข้าใจ ถึงแม้จะโมโหโทโสอยู่ในใจ ก็ไม่กล้าแสดงนิสัยเอาแต่ใจออกมาต่อหน้าฮ่องเต้
และย่อมต้องบอกลาออกไปอย่างเชื่อฟัง
แต่ถึงนางจะล่าถอยไป ก็ยังหันหน้าไปมองเหอจิ่นเซ่อข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา สุดท้ายเพราะคำพูดเตือนดีๆ ของหลิ่วจุ้ย นางจึงยอมนวยนาดจากไป
การมาของนางในครั้งนี้เพราะคิดจะช่วยกู้หน้าให้เซียงซือ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าแม้แต่หน้าของตนก็ถูกฉีกไปด้วยแล้ว
เซียงซือกับเซียงฉือยังคงคุกเข่าอยู่กลางโถง ดั่งคำที่ว่าข้างกายฮ่องเต้ไม่มีเรื่องเล็กน้อย ความจริงเป็นเพียงเรื่องวิวาทเล็กน้อยระหว่างผู้หญิงสองคน แต่พอมาอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้กลับเป็นไปได้ทั้งหนักและเบา หรงจิงมองดูนางทั้งสองแล้วพูดขึ้นในที่สุด
“ข้าราชสำนักสตรีของกองราชเลขาต้องผ่านการคัดกรองมาเป็นลำดับชั้นเพื่อหาคนที่ดีที่สุด ข้าเคยบอกแล้วว่าให้เน้นคุณภาพไม่เอาปริมาณ ใต้เท้าเหอควรต้องจดจำได้จึงจะถูกต้องสิ เอาเถอะ ออกไปได้แล้ว”
เหอจิ่นเซ่อได้ยินคำพูดหรงจิงแล้วก็ไม่กล้าพูดอีก เพียงย่อกายตอบรับแล้วออกไล่หลังกุ้ยเฟยไป
รรยากาศในโถงใหญ่ยิ่งเย็นเยียบลง
เซียงฉือกับเซียงซือคุกเข่าอยู่กับพื้นมานานมากจนขาเริ่มชา แต่เมื่อฮ่องเต้ไม่ได้สั่งให้ลุกขึ้น นางทั้งสองจึงยังคงต้องคุกเข่าหลังตรงไม่กล้าขยับ
เมื่อฮ่องเต้เห็นเหอจิ่นเซ่อออกไปแล้วจึงพูดขึ้น
“อวิ๋นเซียงซือแห่งกองราชเลขาให้ลดชั้นไปเป็นสาวใช้ในตำหนักหย่างซินแต่ยังให้คงตำแหน่งราชการไว้ นำตัวออกไป จากนี้ห้ามมิให้เข้าตำหนักเจิ้งหยางอีก”
“เจ้าหน้าที่งานอักษรกองราชเลขาอวิ๋นเซียงฉือ ให้ลดลงไปทำหน้าที่ยกน้ำชาในตำหนักเจิ้งหยาง แต่ให้คงตำแหน่งงานราชการไว้ ติดตามดูผลต่อไป”
ตอนที่ 291 ทอดถอนใจ
เซียงซือเบิ่งตาโต สาวใช้ในตำหนักหย่างซิน ถึงจะยังเป็นข้าราชสำนักสตรีอยู่ แต่อยู่ในขั้นเตรียมขั้นที่เก้า ลดลงจากตำแหน่งปัจจุบันครึ่งขั้น แต่เซียงฉือถึงจะถูกลดขั้นเช่นกัน แต่ยังถูกเก็บตัวไว้ใช้ในกองราชเลขา
อวิ๋นเซียงซือไม่พอใจกับเรื่องนี้เป็นอันมาก แต่ทันทีที่ฝ่าบาทพูดจบยังไม่ทันที่นางจะได้หลั่งน้ำตาอ้อนวอนก็ถูกองครักษ์สองคนพาตัวออกไปทันที เซียงฉือเห็นนางแล้วก็เศร้าใจ
ที่เซียงซือรับไม่ได้ที่สุดก็คือคำพูดสุดท้ายของฝ่าบาทที่สั่งห้ามไม่ให้นางเข้าตำหนักเจิ้งหยางอีกเลยในชีวิตนี้
เซียงฉือเห็นหรงจิงหลับตายื่นมือออกกุมหน้าผากคิ้วขมวดแน่น นางทำความเคารพแล้วพูดขึ้น
“หม่อมฉันสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทเพคะ”
จากนั้นก็ลุกขึ้น ไม่สนใจแข้งขาตนเองที่คุกเข่าจนเหน็บชา เดินเข้าไปด้านหลังหรงจิง เลียนแบบวิธีการของซูกงกงเมื่อคืน ทำการนวดให้ฮ่องเต้อย่างตั้งใจ
ซูกงกงเคยพูดให้ฟังว่านานมาแล้วฝ่าบาทเคยนำทัพออกรบ พากองทัพที่เก่งกล้ารุกลึกเข้าไปใจกลางทัพข้าศึก ต้องนอนอยู่ท่ามกลางหิมะตกหนักถึงสามวันสามคืนโดยไม่ได้ดื่มน้ำสักหยด จากนั้นรวบรวมพลทำลายล้างทัพข้าศึกหมดสิ้น การรบครั้งนั้นใช้กำลังพลน้อยชนะกำลังพลมาก จัดเป็นคัมภีร์ได้เลยทีเดียว แต่จากเหตุการณ์นั้นทำให้ฝ่าบาทประชวรหนักจนเกือบสวรรคต
ภายหลังถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็มักจะปวดศีรษะจนยากจะทนทาน หรงจิงยังคงเข้มแข็งเสมอมาไม่ยอมให้ใครเห็นว่าอ่อนแอ ดังนั้นถึงจะปวดศีรษะเพียงใดก็เอาแต่อดทน ซูกงกงทนเห็นไม่ไหวจึงได้ฝึกฝนเรียนวิธีการนวดจากหมอเทวดามือวิเศษ และใช้บรรเทาอาการปวดศีรษะให้ฝ่าบาทเสมอมา
เมื่อเซียงฉือรู้สาเหตุเช่นนั้นแล้วจึงเรียนจากซูกงกง ในตอนนี้ถึงจะยังไม่ดีเท่าซูกงกง แต่ก็พอเห็นผลบ้าง
“เหตุการณ์ในวันนี้อย่าให้เกิดขึ้นอีก เจ้าเป็นคนของข้า จะพูดจะทำอะไรล้วนถูกผู้อื่นจับตามอง หากทำการใดไม่ระวังรอบคอบเพียงพอก็จะถูกผู้อื่นจับเป็นจุดอ่อนได้ เปิดช่องให้พวกคนถ่อยได้ฉกฉวย”
“ข้าเข้มงวดกับเจ้าก็เพื่อจะให้เจ้าได้ดี วันหน้าเจ้ารับใช้อยู่ข้างตัวข้ายากจะไม่ถูกคนอื่นอิจฉา ข้าไม่ต้องการให้เจ้าตกเป็นเครื่องมือของคนอื่น”
“แร้นแค้นน้ำใจที่สุดก็ราชวงศ์นี่แหละ ตั้งแต่วันแรกที่เจ้าเข้าตำหนักเจิ้งหยาง ก็ควรรู้ไว้ว่าเป็นคนของราชวงศ์แล้ว ไม่อาจละเลย ห้ามไม่ให้เป็นเครื่องมือใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งญาติสนิทที่เปลี่ยนแปลงไปมาด้วยแล้ว”
เซียงฉือฟังคำพูดหรงจิงแล้วรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง แต่นางก็เข้าใจว่าที่หรงจิงพูดนั้นไม่ผิดแม้แต่น้อย
เมื่อนางเข้าสู่ตำหนักเจิ้งหยางก็เป็นคนของฝ่าบาทแล้ว มีคนข้างกายมากมายที่คอยกระทบโจมตี บ้างอ้างความเป็นญาติมิตร หลอกลวงเพื่อหาผลประโยชน์ทุกทาง เพียงเพื่อให้ได้รู้ความนึกคิดของฝ่าบาท
นางเข้าใจที่หรงจิงชี้แนะ และรู้ชัดว่าที่เขาพูดถึงนั้นหมายถึงเซียงซือ
เห็นท่าหรงจิงจะมองความคิดของเซียงซือได้ปรุโปร่ง สำหรับหรงจิงแล้ว ถึงเขาจะเป็นบุรุษแต่ก็เป็นฮ่องเต้องค์หนึ่ง ทั้งยังเป็นฮ่องเต้ที่ตั้งเงื่อนไขกับตนเองอย่างสูงอีกด้วย
เขาอาจโปรดสตรี อีกทั้งไม่ต่อต้านหากผู้หญิงในวังหลังจะทุ่มเทคิดทำอะไรให้กับเขา แต่เพราะความสัมพันธ์ของเซียงฉือกับเซียงซือนั้นเกี่ยวพันถึงความสัมพันธ์ของเซียงซือกับจินกุ้ยเฟย ซึ่งเขาไม่คิดว่านี่คือใจรักของสตรีที่มีต่อเขา ต่อฮ่องเต้ แต่เป็นการถ่วงดุลอำนาจกันในวังหลัง
เมื่อคิดเช่นนี้เขาจึงไม่อาจมองเซียงซือไปในแง่อื่นได้ เขาที่มีฐานะเป็นถึงฮ่องเต้ แต่กลับถูกสตรีข้างกายวางแผนบงการ ย่อมต้องไม่พอใจอยู่แล้ว
วันนี้ได้ให้หน้าแก่จินกุ้ยเฟยไม่น้อยแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ยอมปล่อยเซียงซือไปโดยง่าย
แต่เซียงฉือรู้ว่า ท่าทางหงอยเศร้าของเซียงซือนั้นไม่ใช่เป็นเพราะจินกุ้ยเฟย ไม่ใช่เพราะถูกลงโทษลดชั้น เพราะเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่จะหากลับมาได้ แต่สิ่งสำคัญนั้นคือการที่ฝ่าบาทไม่อนุญาตให้นางเข้าตำหนักเจิ้งหยางอีกต่อไปต่างหาก
เซียงฉือคิดแล้วอดไม่ได้ต้องทอดถอนใจเบาๆ
ตอนที่ 292 หอทิงเฟิง
ตั้งแต่วันนั้นที่ทำเรื่องไร้มารยาทที่หน้าตำหนัก กระทั่งเซียงฉือกับเซียงซือถูกลดขั้นไปคนละครึ่งขั้นก็ผ่านมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว เซียงฉือก็ยังคงไม่มีความสุข
แต่ยังดีที่ทำงานตามที่ฝ่าบาทสั่งไว้ได้ไม่เลวนัก หรงจิงคิดว่าเซียงฉือเป็นพวกบ้าตำแหน่ง พอถูกลดขั้นในครั้งนี้จึงดูสิ้นเรี่ยวแรงไร้ชีวิตชีวาไม่กระปรี้กระเปร่า
หรงจิงไม่รู้ว่าตนเองลงโทษหนักไปหรือไม่ จู่ๆ เด็กนี่ก็ไร้แรงขับเคลื่อนไป พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานมากขึ้น กระทั่งหรงจิงยังเคยชินกับการมีเซียงฉืออยู่ด้วย
เวลาผ่านไปครึ่งเดือน ถึงวันกลางเดือนที่จะไปเล่นพิณในหอทิงเฟิงแล้ว คิดถึงครั้งก่อนที่เซียงฉือไปที่นั่น ทั้งยังลับๆ ล่อๆ เห็นเขาเป็นเพียงองครักษ์ที่ไร้คนรู้จัก
เซียงฉือในครั้งนั้นองอาจผ่าเผย รู้สึกว่าฐานะตัวตนของเขาไม่เท่าไหร่ ทั้งยังมีใจคิดเหยียดหยามอยู่ด้วย เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วก็อดไม่ได้ต้องยิ้มขึ้นมา วันนี้เขาค้นพบจุดเด่นของเซียงฉือขึ้นอีกอย่าง
ระยะนี้เขายิ่งเห็นเซียงฉือแล้วยิ่งต้องตา ผู้หญิงคนนี้ช่วยเขาตรวจรายงานได้ชำนาญยิ่งขึ้น โดยเฉพาะรายมือที่งดงามเรียบร้อยนั้น ทุกครั้งที่เขาเห็นเป็นต้องตื่นตะลึง
วันนี้กลับจากประชุมราชสำนักเช้า เซียงฉือยืนอยู่ที่หน้าประตูประสานมือทำความเคารพ รอหรงจิงเข้าตำหนักแล้วผลัดชุดราชสำนักออก วันนี้เขาไม่สวมชุดลำลองสีดำลายเมฆเหมือนวันอื่นๆ แต่เปลี่ยนเป็นชุดยาวสีขาวลายเมฆไผ่เขียว บนศีรษะมุ่นปิ่นหยกขาว ปล่อยผมดำสยายบางส่วน แลดูปลอดโปร่งสบายใจ เซียงฉือได้อ่านรายงานไปบางส่วนแล้ว และเตรียมนำเรื่องที่สำคัญขึ้นรายงาน
แต่นางเพิ่งนำรายงานเดินเข้าไปเบื้องหน้า ขยับคอเตรียมจะสนทนา หรงจิงกลับเอ่ยปากขึ้นก่อน
“วันนี้ไม่ตรวจรายงาน หลังกินข้าวแล้ว ข้าจะพาเจ้าออกไป”
เซียงฉือถูกคำพูดนี้ทำให้ตระหนก ตั้งแต่นางเริ่มเข้าตำหนักเจิ้งหยางก็รู้ว่า หากแม้ย่างกรายออกนอกตำหนักย่อมต้องเกิดเรื่อง และนางก็ไม่ต้องการหาเรื่องวุ่นวายให้ตนเอง
ขณะนี้นางมีที่พึ่งพิงอย่างสงบสุขแล้ว ไม่ต้องการที่จะไปมีเรื่องสร้างปัญหากับทางวังหลัง
และที่สำคัญนางก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน แต่เมื่อฝ่าบาทเอ่ยขึ้นเช่นนี้นางจึงนิ่งอึ้งไป รับใช้ฝ่าบาทจนเสวยพระกระยาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเดินเข้าไปทางหลังอุทยานกับเขา ส่วนซูกงกงในตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ใดแล้ว
มีเพียงเซียงฉือกับหรงจิงที่เดินไปคุยกันไปเพียงสองคนเท่านั้น
วันนี้หรงจิงอารมณ์ดีอย่างยิ่ง โดยปกติจะคุยแต่เรื่องงานเมืองกับเซียงฉือ ทั้งคู่ทำงานร่วมกันได้อย่างเข้าขา แต่ฮ่องเต้องค์นี้เป็นคนบ้าทำงานอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เซียงฉือที่มีนิสัยกระตือรือร้น คิดว่าหญิงสาวธรรมดาทั่วไปคงไม่สามารถทนลำบากกับเขาได้เช่นนี้
หลายวันนี้นางคุยกับเขาไม่มาก และเรื่องที่พูดก็เป็นการปรึกษาหารือในเรื่องของรายงาน
เมื่อไปถึงที่หมายก็เห็นซูกงกงคอยรับใช้อยู่แล้ว เมื่อเห็นหรงจิงกับเซียงฉือเดินเข้าไป แววตาเขาก็ตะลึงไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มอย่างคนฉลาด ถามขึ้นอย่างนอบน้อมว่า
“ฝ่าบาท ข้างในนั้นจัดไว้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ มีพระประสงค์ให้กระหม่อมทำสิ่งใดอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เซียงฉือรู้สึกคุ้นกับสถานที่นี้เหมือนกับเคยมาแล้วแต่จำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไร เรือนอาคารด้านในยิ่งคุ้นขึ้นไปอีก แต่หากถามนาง กลับไม่รู้จริงๆ ว่าที่นี่คือที่ใด
นางมองเห็นแผ่นป้ายที่ด้านหน้า ‘หอทิงเฟิง’
ปากอ่านออกเสียงเมื่อตามองเห็น นางไม่รู้ว่าฝ่าบาทยังมีนิสัยความเคยชินเช่นนี้ ทั้งชื่อนี้ก็ไม่ได้กระตุ้นภาพความทรงจำของนางมากนัก
นางพึมพำพร่ำบ่น ท่าทางใช้ความคิดหนัก ทำให้หรงจิงเกิดความรู้สึกรำลึกถึงขึ้นมา
ตอนที่ 293 ดีดพิณ
ซูกงกงถามฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้ไม่ตรัสตอบ สายตาคู่นั้นเพียงจ้องมองเซียงฉือ เป็นสายตาที่ดูเหมือนยิ้มก็ไม่ใช่จะไม่ยิ้มก็ไม่เชิง เมื่อคำถามซูกงกงไร้คนตอบ เขาจึงคอยรับใช้อยู่ที่ด้านข้างโดยไม่ขัดจังหวะฮ่องเต้
ซูกงกงบังเกิดความไม่สบายใจขึ้นในขณะนั้น ฝ่าบาทไม่เคยพาใครมาถึงที่นี่ หากจะมีก็คงเพียงเหลียนชินอ๋อง แต่ทั้งคู่ต่างสนิทสนมกันแต่ไรมา ทั้งจุดหมายสำคัญของเหลียนชินอ๋องคือมาหลอกดื่มสุราดอกท้อที่ฝ่าบาททรงกลั่นเอง การดื่มในเวลาเช่นนี้จะได้รสชาติหวานนิดขมหน่อย ดื่มกันได้อย่างสำราญเต็มที่
ส่วนใหญ่แล้วหรงจิงจะมาที่นี่เพียงลำพัง แต่ครั้งนี้กลับพาเซียงฉือมาด้วย ถึงแม้ซูกงกงจะอยู่ข้างกายหรงจิงมานาน แต่ไม่อาจล่วงรู้ความนึกคิดของเขาในขณะนี้ได้
เซียงฉือนิ่งเงียบอยู่นาน ดวงตาจ้องมองเพื่อรำลึกเหตุการณ์ในอดีต หวังว่าจะสามารถได้เบาะแสอะไรบ้าง นางมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปมองหรงจิง ก็พบกับสายตาแวววาวของหรงจิงที่มองนางอยู่
ใบหน้าจึงแดงเรื่อขึ้นแล้วรีบก้มศีรษะต่ำลง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องราวอะไร แต่หรงจิงไม่ได้โกรธเคือง เพียงยิ้มน้อยๆ
“ซูกงกงจุดเครื่องหอมอำพันทะเล แล้วนำผลไม้มาจานหนึ่งกับสุราดอกท้อป้านหนึ่ง แล้วก็ออกไปได้”
หรงจิงเห็นนางเลิกใจลอยแล้วจึงเขกมือลงบนศีรษะนาง
ป๊อก!
เซียงฉือยกมือคลำตรงที่เจ็บทันที คิ้วมุ่นจนเป็นปม มองดูหรงจิงแล้วราวเข้าใจขึ้นมาในทันที
“อ้อ หม่อมฉันคิดขึ้นได้แล้ว คราวก่อนได้พบกับพี่ชายหรงฉู่ที่นี่นี่เอง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า หม่อมฉันนึกออกแล้ว”
เซียงฉือกุมศีรษะหัวเราะราวกับเด็กๆ หรงจิงเห็นนางเช่นนั้นก็ไม่ว่าอะไร หมุนตัวแล้วออกเดินไป
“เจ้าเด็กต๊อง ยังไม่ตามมาอีก”
พอหรงจิงมาถึงที่นี่ก็ดูต่างจากฮ่องเต้ที่พบเห็นทุกวันคนนั้นมาก ไม่ต้องมีกฎระเบียบอะไร ดูจะเข้าใกล้ได้ง่ายดายกว่า
เซียงฉือได้ยินที่เขาพูดแล้วจึงรีบก้าวเท้าตามไปแผ่วเบาโดยไม่ต้องคิด
งานในตำหนักเจิ้งหยางยุ่งเหยิงทุกวัน ถึงหรงจิงจะได้พักผ่อน แต่เซียงฉือยังมีงานที่ทำไม่เสร็จอยู่
นางรอคอยเวลาที่หรงจิงจะไปอยู่ค้างในวังหลังหรือยุ่งอยู่กับราชกิจส่วนหน้า เพราะนางจะได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง
แต่ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ หากไม่ใช่น้ำท่วมก็เป็นภัยแล้ง เหตุเภทภัยจากที่ต่างๆ มีมาไม่ขาดสาย อีกทั้งยังเรื่องการเก็บภาษีอากรในปีนี้ เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ในตำหนักเฉียนคุน ต่างมีวิธีการสร้างโจทย์ยากๆ ให้กับหรงจิง ดังนั้นระยะนี้จึงเหน็ดเหนื่อยจริงๆ
วันนี้หรงจิงก็ช่างแปลกเหลือเกิน ไม่คุยเรื่องงาน ไม่ตรวจรายงาน กลับหลบมาหาความสงบสุขที่นี่
เซียงฉือเดินตามหรงจิงเข้าไปด้านใน มองดูสภาพภายในแล้วยิ่งรู้สึกคุ้นเคย อดไม่ได้รู้สึกขัดเคืองขึ้นบ้าง
“ยังจำที่นี่ได้กระมัง”
“เจ้าเด็กต๊อง หากไม่ใช่เพราะข้าใจกว้างละก็ เจ้ายังจะเหลือหัวพอให้บั่นอีกหรือ”
เซียงฉือฟังแล้ว แม้จะรู้ว่าเขาเป็นฮ่องเต้ แต่กลับยังยิ้มอย่างไม่ถือสา ราวกับว่าเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ฮ่องเต้ก็ไม่ใช่ฮ่องเต้อีกต่อไป แต่เป็นพี่ชายหรงฉู่ของนางจริงๆ
นางคิดเช่นนั้นจึงเริ่มทำตามนั้น ถอดรองเท้าแล้ววิ่งเข้าไปข้างพิณล้ำค่า ครั้งก่อนนางเห็นพิณนี้เป็นของที่หาได้ยากอย่างยิ่ง แต่จนใจที่ตนเองไม่รู้วิธีการบรรเลง
แต่แล้วนางคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“วันนั้นฝ่าบาทเสวยน้ำจัณฑ์ ไม่ทราบทรงเมาหรือไม่เพคะ หม่อมฉันรู้สึกพระองค์จะทรงเมาเล็กน้อย ยังทรงจำเรื่องราวครั้งนั้นได้หรือไม่เพคะ”
เซียงฉือหมุนกายเบิกตากว้างสดใสแล้วถามหรงจิง
หรงจิงชะงักเล็กน้อยแต่แล้วยิ้มพูดขึ้นว่า
“ข้าย่อมจำได้ เจ้าเด็กคนนี้นี่ อย่าริคิดอะไรร้ายกาจ ตอนนั้นสติข้ายังดีอย่างยิ่ง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น