วาสนาบันดาลรัก 279-285

ตอนที่ 279 หึง

 

เจินเมี่ยวท้องร้องโครกครากขึ้นมาทันใด


 


 


หลัวเทียนเฉิงคลายโทสะแล้วจึงนั่งหลังตรงขึ้น เขาดึงชายชุดคลุมตัวยาวของตนลงเพื่อปิดบังที่ตรงนั้นที่ชูชันขึ้นมาแล้วไว้ ทั้งพยายามทำสีหน้าท่าทางให้ดูจริงจังมากที่สุดแล้วเอ่ยว่า “ไปกินข้าวเถิด กินข้าวเสร็จข้ายังต้องไปศาลาว่าการอีก”


 


 


เจินเมี่ยวลุกขึ้นเดินไปนั่งลงหน้าโต๊ะสี่เหลี่ยมที่จัดวางอาหารไว้ แล้วเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “อันใดกันต้องไปศาลาว่าการด้วยหรือ เปิดทำการอีกทีมิใช่วันที่สิบห้าไปแล้วหรอกหรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเดินตามมานั่งลงข้างๆ แล้วยื่นมือไปจัดปอยผมที่ร่วงตกขึ้นทัดไว้ที่ใบหูให้เจินเมี่ยว เอ่ยด้วยรอยยิ้มขืนว่า “เจ้าลืมเรื่องนั้นที่เกิดขึ้นในวันตรุษแล้วหรือไร หน่วยองครักษ์จิ่นหลินย่อมต้องมีเรื่องให้สะสาง เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว กินข้าวก่อนเถิด ไม่งั้นจะเย็นเสียก่อน”


 


 


อากาศหนาวเช่นนี้อาหารย่อมหายร้อนเร็วยิ่ง แค่ชั่วเวลาเพียงประเดี๋ยวเดียวที่คนทั้งสองกอดเกี่ยวกันอยู่นั้น อาหารก็เย็นชืดไปแล้ว เจินเมี่ยวคีบเนื้อปลาขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วส่ายหน้า สุดท้ายก็เรียกชิงเกอเข้ามาหา


 


 


“เอาเนื้อวัวที่ก่อนหน้านี้ข้าให้เจ้าเอาไปแช่แข็งไว้มาหั่นเป็นแผ่นบางแล้วทำน้ำแกงเนื้อวัวหมาล่ามา” เจินเมี่ยวสั่งเสร็จก็มองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอีกว่า “ช่างเถิด ข้าทำเองดีกว่า”


 


 


หัวเทียนเฉิงดึงมือนางไว้ “อากาศหนาวเพียงนี้ ทั้งยังเป็นเนื้อวัวที่แช่แข็งไว้อีก ไยเจ้าต้องลงมือทำเองเล่า น้ำแกงเนื้อวัวหมาล่าที่ชิงเกอทำก็รสชาติไม่เลวมิใช่หรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวส่ายหน้า “ท่านยุ่งเพียงนี้ ควรงดกินหมาล่าจะได้ไม่เป็นร้อนใน ข้าจะไปทำน้ำแกงเนื้อวัวรสเปรี้ยวซึ่งช่วยให้อุ่นท้อง แต่ข้ายังไม่เคยสอนชิงเกอทำเลย”


 


 


ชิงเกอได้ยินว่ามีอาหารแบบใหม่ก็ตื่นเต้นยิ่ง “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวจะหั่นเนื้อวัวเอง ท่านแค่คอยบอกอยู่ข้างๆ ว่าต้องทำอย่างไรบ้างก็พอเจ้าค่ะ”


 


 


เพราะวาจานี้ของเจินเมี่ยวทำให้หัวใจของหลัวเทียนเฉิงชุ่มชื่นขึ้นมา จู่ๆ เขาก็อยากจะลองกินน้ำแกงเนื้อวัวรสเปรี้ยวร้อนๆ สักคำเหลือเกิน


 


 


เจินเมี่ยวทำอาหารเร็วยิ่ง ไม่นานนางก็กลับมา ชิงเกอยกถ้วยกระเบื้องลายครามใบใหญ่ตามหลังมา น้ำแกงในถ้วยนั้นเป็นสีขาวแต่รสชาติเข้มข้นยิ่ง เนื้อวัวนั้นก็บางราวกระดาษ เห็ดเข็มทองฉีกเป็นเส้นเล็กๆ ด้านบนโรยด้วยผักดองและต้นหอมซอยละเอียด กลิ่นเปรี้ยวๆ นั้นลอยเข้ามาประทะจมูก แค่ได้กลิ่นก็หิวแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มท่ามกลางควันที่ฟุ้งนั้นว่า “กับข้าวพวกนี้เย็นแล้ว ไม่ต้องกินแล้ว เรากินแค่ถ้วยนี้ก็พอ กินคู่กับหมานโถวพวกนั้นก็ได้”


 


 


เมื่อน้ำแกงรสเปรี้ยวตกลงสู่กระเพาะ หลัวเทียนเฉิงก็รู้สึกอุ่นวาบไปทั่วกาย หัวใจก็อบอุ่นอิ่มเอมยิ่งจนไม่อยากขยับไปไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกไปทำงานที่ต้องอยู่ห่างจากภรรยาผู้น่ารักเลย


 


 


ครั้นกินข้าวเสร็จก็ตัดสินใจดื่มชาอีกจอกแล้วหักใจจากไปทันที


 


 


เจินเมี่ยวเอ่ยถามขณะกำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่มว่า “จิ่นหมิง พิษที่องค์ชายรองได้รับนั้นไม่มีวิธีรักษาแล้วจริงๆหรือ?”


 


 


“ได้ยินว่าพิษบุรุษไร้ใจนี้ไม่มียารักษาได้ หรืออาจจะมีวิธีสลายพิษอยู่แต่ก็ไม่ค่อยมีผู้ใดทราบกระมัง อย่างไรเสียมันก็เป็นพิษของชนเผ่าอื่น”


 


 


“แล้วมือสังหารในคืนนั้นเป็นใครหรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงลังเลครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นเจินเมี่ยวมองเขาด้วยสายตาเช่นนั้นก็มิกล้าพูดคำว่า ‘เรื่องนี้เจ้ามิจำเป็นต้องใส่ใจ’ ออกมา เพียงเอ่ยเสียงต่ำแผ่วว่า “เป็นคนของเผ่าเย่ว์อี๋”


 


 


“เผ่าเย่ว์อี๋? ก็คือเผ่าที่สูญสิ้นไปหลังจากที่เจาอวิ๋นจั่งกงจู่หนีการอภิเษกน่ะหรือ?”


 


 


“ใช่” หลัวเทียนเฉิงมีท่าทีนิ่งขรึม เขาเคาะเริ่มเคาะโต๊ะโดยไม่รู้ตัว


 


 


ตั้งแต่ที่เขาหายตัวไปในเป่ยเหอจนต่อมาได้พบกับอาสี่ ก็คล้ายว่าเผ่าเย่ว์อี๋นี้ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งกระนั้น เรื่องมือสังหารที่เข้าไปทำก่อเหตุถึงในวังนั้นก็ตรวจสอบจนพบว่าเป็นคนของเผ่าเย่ว์อี๋ หากค่อยๆ สืบให้ลึกลงไปเรื่อยๆ แม้นยามนี้เขาจะมีอำนาจเป็นผู้ควบคุมหน่วยองครักษ์จิ่นหลินก็จริง แต่เมื่อสืบลึกลงไปก็เลือนรางดุจชมบุปผาท่ามกลางหมอกควันกระนั้น


 


 


เรื่องนี้จักรพรรดิทรงกริ้วมาก เพราะเกี่ยวพันกับคนไม่น้อย ทั้งขุนนางฝ่ายใน กองพิธีการ กระทั่งขุนนางในศาลกวงหลี่ว์ก็ยังเกี่ยวพันกับเรื่องนี้แต่หลังจากสืบความทราบว่ามือสังหารชุดแดงนั้นเข้ามาเป็นนางระดับในวังตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว ทุกอย่างก็เริ่มยากขึ้น


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว ข้าไปทำงานก่อน พรุ่งนี้เช้าจะกลับมาพาเจ้ากลับไปเยี่ยมจวนเจี้ยนอานปั๋ว”


 


 


ปกติแล้วสตรีที่แต่งงานแล้วจะกลับไปเยี่ยมบ้านในวันที่สองและสาม แต่น่าเสียดายที่เจินเมี่ยวถูกกักตัวอยู่ในวังจึงมิได้ไป ทำให้ต้องยื่นเวลาออกมาอีก


 


 


“อืม เช่นนั้นท่านก็รีบไปรีบกลับแล้วกัน”


 


 


หลัวเทียนเฉิงดึงเจินเมี่ยวเข้ามาก่อนแล้วเอ่ยกำชับว่า “พระนัดดานั้นอยู่ที่นี่ คิดว่าไม่นานองค์ชายสามคงส่งคนมาที่นี่แน่ ไม่ว่าผู้ที่มาจะเป็นใคร เจ้าก็อย่าได้ทำให้ตนต้องลำบากเด็ดขาด”


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้ารับ


 


 


“อีกอย่าง…หากพระนัดดายังเรียกเจ้าว่าท่านแม่อีก เจ้าก็อย่าได้ไปตามใจเขาอีก เรามิควรตามใจเด็กจนเสียนิสัย!” หลัวเทียนเฉิงพูดในสิ่งที่เขาคิดไว้มานานแล้วออกมาในที่สุด


 


 


เจินเมี่ยวส่งเสื้อคลุมตัวใหญ่ให้เขาพลางโต้แย้งว่า “พระนัดดาเพิ่งเสียแม่ไป เหตุใดท่านต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กด้วยเล่า”


 


 


หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึมมากว่าปกติที่เคยเป็น แล้วเอ่ยโต้กลับ “นี่เรียกว่าเป็นการคิดเล็กคิดน้อยงั้นหรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวอยากจะคุกเข่าให้เขาเสียจริง


 


 


พี่ชาย หน้าท่านบึ้งตึงถึงเพียงนี้แล้ว หากไม่เรียกว่าคิดเล็กคิดน้อยจะเรียกอันใดเล่า!


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าคงไม่อยากให้พระนัดดาพักอยู่ที่จวนเราไปตลอดกระมัง เจ้าก็รู้ว่าเด็กคนนี้มีฐานะสูงส่ง ภายหน้าเกรงว่าจะมีแต่ความยุ่งยากแล้ว”


 


 


ความจริงเขามิได้กลัวเรื่องนี้เลย อย่างน้อยต่อหน้าองค์ชายสามก็ไม่กล้าทำอันใดกับขุนนางที่มีตำแหน่งในหน่วยงานพิเศษเช่นเขาแน่ และต่อให้ฉวยโอกาสวางแผนบางอย่างในขณะที่พระนัดดาอยู่ที่นี่ เขาเองก็สามารถป้องกันได้ทุกทาง แต่ที่สำคัญคือเด็กน้อยนั้นทำให้คนไม่ชอบหน้ายิ่งนัก


 


 


เวลาอันแสนสั้นที่เขากับเจี๋ยวเจี่ยวจะได้อยู่ร่วมกันกับถูกเจ้าเด็กนั้นแย่งไปเกือบทั้งหมด ดูท่าแล้วต่อไปคงเอาใหญ่กว่านี้แน่!


 


 


มีสิทธิ์ใดกัน นี่มันภรรยาเขา เขาอยากกอดก็กอด บิดาของเจ้าเด็กนั้นมาเกี่ยวอันใดด้วย!


 


 


เจินเมี่ยวถูกหลัวเทียนเฉิงขู่ไว้เสียอยู่หมัด


 


 


นางเองก็ได้ยินข่าวลือมาไม่น้อย ต่างเล่ากันว่าไท่จื่อมิได้รับความโปรดปรานแล้ว องค์ชายรองก็มากลายเป็นคนพิการ เช่นนี้แล้วก็เหลือแต่องค์ชายสามที่มีอายุมากที่สุดในบรรดาองค์ชาย ตระกูลพระมารดาก็สูงส่งมากอำนาจ นี่มิใช่นับเป็นตัวเลือกที่ดีในตอนนี้หรอกหรือ?


 


 


กล่าวเช่นนี้แล้ว พระนัดดาผู้นี้อาจจะได้เป็นรัชทายาทตัวน้อยก็ได้?


 


 


หลัวเทียนเฉิงยังเอ่ยขู่ขวัญนางอีกว่า “แค่กๆ เจ้าว่าหากท่านผู้นั้นได้รับตำแหน่ง พระนัดดาตัวน้อยก็ยอมรับเพียงเจ้า ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะต้องเข้าไปอยู่ในวังตลอดชีวิตก็เป็นได้”


 


 


เจินเมี่ยวถึงกับอึ้งไป “เข้าวัง? ไปเป็นแม่นมให้องค์ชายน้อยงั้นหรือ? แต่ แต่นางยังไม่มีน้ำนม…”


 


 


นางไร้ฝีมือยิ่ง โปรดละเว้นนางเถิด!


 


 


สายตาหลัวเทียนเฉิงทอดตกไปยังดอกบัวที่เพิ่งแย้มบานคู่นั้นแล้วพยักหน้า “ใช่ เจ้าคงไม่มีคุณสมบัติไปเป็นแม่นมแน่ แต่หากให้เจ้าไปเป็นสนม เป็นพระมารดาอีกคนของพระนัดดาเล่า?


 


 


เจินเมี่ยวคล้ายถูกอัสนีฟาดใส่กระนั้น “ท่านพูดอันใดกัน?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเดิมคิดจะขู่ขวัญเจินเมี่ยว แต่เมื่อเอ่ยวาจานี้ออกไปแล้วตนเองกลับรู้สึกเจ็บปวดก่อนนางเสียอีก ทั้งยังลอบด่าองค์ชายหกว่าเพ้อฝันเกินไป คิดว่าจะได้เป็นจักรพรรดิจริงๆ แล้วจะมาเอาตัวเจี๋ยวเจี่ยวของเขาเข้าไปอยู่ในวังให้ได้งั้นหรือ?


 


 


ช่างน่าโมโหจริงๆ!


 


 


เสียงแกร่กพลันดังขึ้น ขอบโต๊ะถูกใครบางคนที่โกรธจนถึงขีดสุดบีบจนหักออกมาเสียแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวยังคงอยู่ในความตระหนกจึงมิได้สังเกตความผิดปรกติของคนบางคน นางยกนิ้วมือขาวนั่นชี้ไปที่ตัวเอง “ข้ามิใช่แต่งให้ท่านแล้วหรือ เหตุใดจึงยังเข้าวังไปเป็น…เป็นสนมอันใดนั้นได้อีก?”


 


 


“เหตุใดจึงจะทำไม่ได้?” หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเย็น “ที่แห่งนั้นมีประวัติอันโสมมซ่อนอยู่มากมาย อย่าว่าแต่ภรรยาของขุนนางใหญ่เลย แต่ให้เป็นหลานสะใภ้ พี่สะใภ้ กระทั่งน้องสาวแท้ๆ ก็…”


 


 


เจินเมี่ยวรีบปิดปากเขาไว้ “โอ๊ย ท่านไม่ต้องพูดแล้ว”


 


 


ช่างน่ากลัวจริงๆ!


 


 


ครั้นคิดถึงเสียงออดอ้อนตอนเรียกนางว่าท่านแม่ของจิ่งเกอ เจินเมี่ยวก็รู้สึกย่ำแย่ยิ่ง


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงสรุปถึงสิ่งที่นางควรทำว่า “ดังนั้นต่อไปเจ้าต้องไม่ให้พระนัดดาเรียกเจ้าว่าท่านแม่อีก รู้หรือไม่?”


 


 


“รู้แล้ว” เจินเมี่ยวตอบด้วยน้ำตาคลอเบ้า


 


 


แม้นหลัวเทียนเฉิงจะพอใจในคำตอบของเจินเมี่ยว แต่กลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่านี่เป็นเพียงเรื่องที่ตนยกมาขู่เจินเมี่ยวเท่านั้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงจากไปด้วยใบหน้าเคร่งเครียด


 


 


เจินเมี่ยวลูบหน้าอกตนคราหนึ่ง แล้วร้องเรียกเขาไว้อย่างมิอาจอดกลั้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงหยุดฝีเท้าลง


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดอยู่นาน อึกอักไม่ยอมพูดจาออกมาเสียที


 


 


“มีอันใดหรือ?” หลัวเทียนเฉิงยื่นมาลูบศีรษะนาง


 


 


“ทำผมหลุดลุ่ยหมดแล้ว” เจินเมี่ยวตีมือเขาดังเพี๊ยะ กระทั่งลืมความกระดากอายเมื่อครู่ไป จึงพูดวาจาที่คิดไว้ออกมา “จิ่นหมิง ครั้งก่อนที่ท่านพูดเรื่องคนผู้นั้นที่อยู่ในความฝัน เขาคือ…”


 


 


นางพูดไม่ได้ จึงยื่นมือออกไปวาดเลขสามบนอากาศแทน


 


 


หลัวเทียนเฉิงเบิกตาอ้าปากค้างไปทันใดแล้ว ตามติดด้วยเสียงคำรามลั่นอย่างมีโทสะ “เจ้าคิดได้อย่างไร!” พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความโมโห


 


 


กระทั่งเดินไปถึงถนนใหญ่จึงมีสติขึ้นมา เขายิ้มเยาะตนคราหนึ่งแต่ภายใต้ดวงตานั้นกลับมีความโหดเ**้ยมปรากฏวูบขึ้น


 


 


หากคนผู้นั้นไม่ปรากฏตัวขึ้นก็แล้วไป แต่หากปรากฏตัวขึ้นเมื่อใดเขาจักต้องเอาชีวิตมันก่อนแน่ ใครจะยอมให้มันได้พบกับเจี๋ยวเจี่ยวเล่า!


 


 


หลัวเทียนเฉิงกระทุ้งท้องม้า แล้วฟาดแส้ลงไปอย่างแรงคราหนึ่ง ม้าก็ทะยานผ่านถนนที่เต็มไปด้วยหมอกควันนั้น พริบตาก็หายไปจากมุมถนนนั้นแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวคิดถึงท่าทีก่อนจากไปของหลัวเทียนเฉิงแล้วรู้สึกแปลกแปร่งอยู่ในใจ


 


 


ท่าทีเขานั้นเห็นชัดว่าทั้งโกรธทั้งเคือง แต่เหตุใดนางจึงรู้สึกเหมือนเม่นที่สลัดขนตัวหนึ่ง ขนของมันทิ่มเข้ามาในใจนางจนชาไปหมด ทั้งยังดูน่าขบขันอีกด้วย แต่หลังจากความขบขันนั้นผ่านไปกลับเหลือความเจ็บปวดใจทิ้งไว้อีกหลายส่วน


 


 


“ต้าไหน่ไหน่ คนที่องค์ชายสามส่งมา มาถึงแล้วเจ้าค่ะ กำลังรอพบท่านอยู่ด้านนอก” ไป่หลิงเดินเข้ามารายงาน


 


 


เจินเมี่ยวจึงตื่นจากภวังค์ “ให้พวกเขาเข้ามา”


 


 


ไม่นานสตรีหกคนก็เดินเข้ามา ผู้ที่อยู่หน้าสุดคือแม่นมวัยกลางคน นางเกล้าผมขึ้นสูง ทั้งเรียบร้อยไม่มีหลุดสักเส้น ด้านข้างเป็นสตรีอายุไม่มากนักแต่งกายอย่างคนแต่งงานแล้ว ส่วนอีกสี่คนที่อยู่ด้านหลังคือสาวใช้


 


 


แม่นมวัยกลางคนนั้นก้มหน้าลงเล็กน้อยแสดงความเคารพ “คารวะเซี่ยนจู่”


 


 


เจินเมี่ยวมองด้วยท่าทีนิ่งเฉย แม้นจะทำตามธรรมเนียมทุกอย่างแต่กลับยากจะกลบท่าทีจองหองนั้นเอาไว้ได้


 


 


“มิจำเป็นต้องมากพิธี” เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงเรียบ


 


 


แม่นมผู้นั้นคล้ายแปลกใจในท่าทีของเจินเมี่ยว นางจึงเหลือบตาขึ้น แล้วกวาดตามองอย่างแนบเนียนจึงเห็นสตรีรูปโฉมงดงามผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เหมยกุย ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สองแก้มแดงปลั่งคล้ายแสงอาทิตย์อัสดงที่เส้นขอบฟ้า กระโปรงสีเขียวอ่อนที่กระจายซ่อนกันอยู่บนพื้นนั้นช่างดูสวยงามโดดเด่นนัก แต่กลับถูกความงามของผู้สวมใส่กลบความสวยของมันไปหลายส่วนทีเดียว


 


 


เจินเมี่ยวยังคงครุ่นคิดอยู่กับวาจาเหล่านั้นของหลัวเทียนเฉิงอยู่ เมื่อคนขององค์ชายสามมาถึง นางไหนเลยจะมีความรู้สึกดีๆ ด้วยได้ จึงเม้มริมฝีปากพลางพิจารณาคนทั้งหก


 


 


แม่นมผู้นั้นตกใจไม่น้อย


 


 


ต่างพูดกันว่าเซี่ยนจู่ท่านนี้มีชาติกำเนิดธรรมดายิ่ง แม้นจะได้แต่งเข้ามาในจวนกั๋วกงทั้งถูกแต่งตั้งเป็นเซี่ยนจู่ แต่ลักษณะท่าทางที่มีมาแต่กำเนิดนั้นมิอาจเปลี่ยนได้ในเวลาสั้นๆ ทว่าเมื่อมองดูตอนนี้กลับพบว่านางมีความสง่างามอยู่ไม่น้อยเลย


 


 


แม้แต่แม่นมเองก็ไม่รู้สึกตัวว่า การเอ่ยพูดอีกครั้งของนางจะเต็มไปด้วยท่าทีเคารพนบน้อมมากขึ้นอีกหลายส่วน “เซี่ยนจู่ บ่าวคือแม่นมผู้ดูแลพระนัดดาเจ้าค่ะ ส่วนหรงเหนียงจื่อคือแม่นมของพระนัดดา ส่วนคนที่เหลือคือสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติพระนัดดาเจ้าค่ะ พวกบ่าวได้รับคำสั่งจากองค์ชายสามให้มาที่นี่เพื่อดูแลพระนัดดาเจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อฟังจบแล้วเจินเมี่ยวก็เชยคางตนขึ้นคราหนึ่ง “จื่อซู พาทุกคนไปหาพระนัดดา” 

 

 


ตอนที่ 280 พบกันโดยไม่คาดคิด

 

ถามจบแล้วหรือ?


 


 


ไม่ นี่แทบไม่เรียกว่าเป็นการถามเลยด้วยซ้ำ!


 


 


แม่นมผู้นั้นมองเจินเมี่ยวคราหนึ่งอย่างไม่อยากเชื่อ


 


 


ท่าทีเช่นนี้ของเจียหมิงเซี่ยนจู่นั้นช่างคล้ายยามที่พระชายาต้องการจะไล่ผู้คนที่มาก่อความวุ่นวายยิ่งนัก หรือนางไม่รู้ว่าพวกตนมิใช่บ่าวไพร่ธรรมดา แต่เป็นคนที่มาจากวังองค์ชายสาม?


 


 


ความจริงแล้วท่าทีของเจินเมี่ยวอาจมิได้ดูกระตือรือร้นสักเท่าใดแต่ก็มิได้ไร้มารยาทแม้แต่น้อย เพียงแต่แม่นมผู้นี้ถูกคนข้างนอกยกยอจนเคยตัว เมื่อต้องพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้จึงรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินเท่าใดนัก


 


 


“ใช่แล้ว…ไม่ทราบว่าแม่นมมีนามว่าอันใดหรือ?” แม่นมผู้นั้นได้แต่ลอบกัดฟันข่มกลั้นโทสะที่มีเดินตามจื่อซูไป เจินเมี่ยวที่อยู่ด้านหลังก็เปิดปากถามขึ้นมาอีกครา


 


 


แทบจะในเวลานั้นเองที่แม่นมผู้นั้นยักคิ้วคราหนึ่ง ความภาคภูมิใจที่มีมาแต่เดิมปรากฏขึ้นอีกครั้งในที่สุดก็ทนไม่ได้แล้ว เหอะๆ นางยังคิดว่าเซี่ยนจู่ท่านนี้จะวางมาดใหญ่โตกระทั่งไม่เห็นคนขององค์ชายสามอยู่ในสายตา ควรต้องทราบว่านางออกมาเช่นนี้นั้นก็เท่ากับเป็นตัวแทนขององค์ชายสาม


 


 


“สกุลสามีบ่าวคือหนิว เซี่ยนจู่เรียกบ่าวว่าแม่นมหนิวก็ได้เจ้าค่ะ” แม่นมหนิวหมุนกายกลับมาพูด


 


 


“แม่นมหนิว…” เจินเมี่ยวพยักหน้ารับรู้ “เอาล่ะ จื่อซู พาแม่นมหนิวออกไปเถิด”


 


 


แม่นมหนิวถึงกลับเซไปเล็กน้อย นางใช้วิธีกวาดตามองเจินเมี่ยวอย่างรวดเร็วเช่นที่ตนมักแอบใช้สำรวจสีหน้านายตนอยู่บ่อยๆ แต่กลับเห็นว่านางกำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่ม นิ้วมือเรียวยาวนั้นขาวเนียนยิ่ง แม้นมิได้ทาเล็บมือแต่ก็มีสีชมพูระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี ช่างเป็นบุคคลที่มีเสน่ห์นัก


 


 


แม่นมหนิวค่อยๆ กลืนโลหิตในปากตนลงไป แล้วส่งสายตาให้ทุกคนเดินตามจื่อซูไป


 


 


จื่อซูอายุมากกว่าใคร อีกสองสามเดือนก็จะออกเรือนแล้ว ท่าทีจึงยิ่งดูสุขุมนุ่มลึก นางซึ่งเดินอยู่ด้านหน้านั้นแต่งกายด้วยชุดฤดูหนาวที่ตัดเย็บอย่างสมส่วน แต่ละก้าวที่เดินมันคง ท่าทีนิ่งขรึม บนศีรษะมีดอกเหมยสีสันสดใส รูปทรงสวยงามปักอยู่หลายดอก มันกระเพื่อมไหวตามจังหวะการเดินของจื่อซูไม่ต่างอันใดกับอยู่บนกิ่งไม้ ขับเน้นให้สาวใช้สุขุมเยือกเย็นผู้นี้ยิ่งดูงดงามมากขึ้นไปอีหลายส่วน


 


 


สาวใช้ทั้งสี่ที่เดินตามหลังแม่นมหนิวต่างมองสบตากันด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าสาวใช้ของเจียหมิงเซี่ยนจู่จะงดงามกว่าสาวใช้ในตำหนักองค์ชายเสียอีก


 


 


สาวใช้ทั้งสี่เดินยืดหลังตรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ด้วยเกรงว่าจะถูกสาวใช้ที่ผ่านไปมานำตนไปเปรียบเทียบกับจื่อซูให้ต้องเสียหน้า ควรต้องรู้ว่าพวกนางทั้งสี่นั้นถูกอบรมมาอย่างเข้มงวดเพียงใด


 


 


จื่อซูพาพวกนางไปที่ห้องหน่วนเก๋ออันเป็นที่พักของจิ่งเกอ ครั้นเดินเข้าไปจิ่งเกอก็ตื่นพอดี เมื่อลืมตาขึ้นก็ยังคงมองไม่ชัดอยู่บ้าง อาหลวนจึงใช้ผ้าผืนนุ่มชุบน้ำอุ่นแล้วบิดหมาดๆ มาเช็ดหน้าให้เขา


 


 


“โอ๊ะ หากพระนัดดาตื่นนอนต้องใช้นมสดเช็ดหน้าให้ก่อนเป็นอันดับแรก” สาวใช้อาภรณ์เขียวที่เดินตามหลังแม่นมหนิวพุ่งเข้ามาเบียดอาหลวนออก


 


 


การกระทำเช่นนี้ของนางทำให้จิ่งเกอที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ตื่นเต็มตา จิ่งเกอสอดส่ายสายตาไปมา เมื่อไม่เห็นเจินเมี่ยว เขาก็ผลักสาวใช้อาภรณ์เขียวนั้นให้หลบออกแล้ววิ่งออกไปหาเจินเมี่ยวทั้งที่สวมเพียงถุงเท้าเท่านั้น


 


 


เมื่อเที่ยงนั้นเจินเมี่ยวกินเนื้อวัวมากไปจึงสั่งให้ชิงเกอไปเอากล่องปาเป่าที่ใส่ลูกเหมยดองเกลือมากินเพื่อช่วยย่อย ขณะที่กำลังกินอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเรียกท่านแม่ด้วยความร้อนใจ ตามติดด้วยร่างของคนตัวน้อยที่กระโจนเข้าในอกนางราวกับพายุหมุน


 


 


ลูกเหมยที่นางกินนั้นเหลือแต่เม็ดแล้ว นางกำลังจะคายออกมาแล้วเมื่อถูกวิ่งเข้าชนก็กลืนลงไปอย่างไม่ตั้งใจ แต่มันกลับติดอยู่ในคอ เจินเมี่ยวไอออกมาอย่างแรง


 


 


เมื่อไอแรงเพียงนั้น เม็ดลูกเหมยที่ลื่นตกลงไปในคอก็ถูกขย้อนออกมาในที่สุด เม็ดลูกเหมยนั้นมีปลายแหลมทั้งสองด้าน ลำคอที่นางสงสารของเจินเมี่ยวจึงถูกกรีดเป็นแผล น้ำลายที่พ่นออกมาจึงมีเลือดติดมาด้วย


 


 


จิ่งเกอเห็นเลือดก็ตัวแข็งไปทันที ดวงตาค่อยๆ เหม่อลอย พลันร้องออกมาเสียงดังว่า “ท่านแม่ ท่านห้ามตาย…” แล้วก็ล้มพับไปทันที


 


 


แม่นมหนิวและคนอื่นๆ ที่ตามจิ่งเกอมาเห็นเหตุการณ์เข้าก็ร้องขึ้นด้วยความตระหนก แล้ววิ่งเข้าไปประคองจิ่งเกอเป็นพัลวัน สถานการณ์ในตอนนั้นจึงวุ่นวายยิ่ง


 


 


ชิงไต้เดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ เจินเมี่ยว เด้วยกลัวว่าคนพวกนั้นจะเผลอชนเจินเมี่ยวเข้า


 


 


ชิงเกอกลับตกใจจนทำอันใดไม่ถูก เมื่อเห็นจื่อซูเดินเข้ามาก็เอ่ยติดๆ ขัดๆ ว่า “พี่จื่อซู ต้า ต้าไหน่ไหน่อาเจียนออกมาเป็น…เป็นเลือด!”


 


 


จื่อซูรีบเดินเข้าไปหาเจินเมี่ยว นางกวาดตามองลูกเหมยเม็ดแหลมที่ถูกพ่นออกมาคราหนึ่ง จึงยื่นแก้วน้ำอุ่นส่งให้เจินเมี่ยวด้วยความสุขุม “ต้าไหน่ไหน่ ดื่มน้ำให้ชุ่มคอก่อน ท่านคงถูกเม็ดลูกเหมยกรีดลำคอกระมัง?”


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้าหงึกหงัก เมื่อดื่มน้ำไปมากแล้วก็ยังรู้สึกว่าเจ็บคออยู่ดี จึงเม้มริมฝีปากอย่างจนใจแล้วลุกเดินไปหาจิ่งเกอ


 


 


“เลิกมามุงล้อมได้แล้ว พระนัดดาแค่ตกใจมากจนหมดสติไปเท่านั้น ชิงไต้ เจ้าไปตรวจดูอาการพระนัดดาดูก่อน ไป่หลิงเจ้าไปเชิญท่านหมอมา”


 


 


ชิงไต้มีฝีมือการต่อสู้ไม่เลวนัก ทั้งยังมีประสบการณ์ในการดูแลอาการป่วยเบื้องต้น เรื่องนี้หลัวเทียนเฉิงเป็นคนบอกเจินเมี่ยวเอง


 


 


ความจริงเจินเมี่ยวคิดว่าอาการอย่างที่จิ่งเกอเป็นนั้น ใช้วิธีที่นางเคยใช้กับนางเถียนก็พอแล้ว แค่หยิกไปเรื่อยๆ จักต้องฟื้นอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาอายุยังน้อย ทั้งยังฐานะไม่ธรรมดา หากเกิดหยิกจนเป็นแผลคงไม่ค่อยจะดีนัก สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจทำอย่างที่เพิ่งสั่งไปเมื่อครู่นี้


 


 


ที่เจินเมี่ยวลำบากใจที่สุดคือมิอาจชี้นิ้วสั่งได้ ทำได้เพียงแนะนำ “แม่นมหนิว พวกท่านแยกตัวกันออกไปก่อนเถิด รุมล้อมพระนัดดาไว้เช่นนี้ หากอากาศไม่ถ่ายเทก็ย่อมไม่ส่งผลดีต่อเขา”


 


 


คิดไม่ถึงว่าแม่นมหนิวกลับอุ้มจิ่งเกอส่งให้แม่นมหรง ไม่ยอมให้ชิงไต้เข้าใกล้ “เซี่ยนจู่ ขออภัยที่บ่าวต้องเสียมารยาท แต่ท่านทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง”


 


 


เจินเมี่ยวขมวดคิ้วมองแม่นมหนิว


 


 


แม่นมหนิวเก็บโทสะไว้ในใจนานแล้วจึงได้ถือโอกาสนี้เอาคืนสักหน่อย “แต่ไหนแต่ไรมาพระนัดดาทุกพระองค์จักต้องได้รับการตรวจชีพจรจากหมอหลวงสิง แต่ท่านให้สาวใช้ผู้หนึ่งมาตรวจ หากเกิดเหตุผิดพลาดขึ้นผู้ใดจะรับผิดชอบไหว?”


 


 


นางใช้วาจาไม่แข็งไม่อ่อนนี้ประชดประชันเจินเมี่ยว ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนดูออกทั้งสิ้น


 


 


ชิงเกอทนไม่ไหวแล้ว แม้แต่พูดยังไม่ติดอ่างด้วยซ้ำ “แม่นมท่านนี้ช่างไม่มีเหตุผลนัก ต้าไหน่ไหน่ของเรามีแผลที่ลำคอ แต่กลับมิสนใจตนเอง แต่รีบมาดูพระนัดดาด้วยความเป็นห่วง พวกท่านไม่เพียงไม่ขอบคุณที่ต้าไหน่ไหน่ของเราเป็นห่วงในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องห่วงยังพอว่า แต่ยังมาข่มขู่ต้าไหน่ไหน่อีก ช่างไร้มารยาทนัก! ”


 


 


เมื่อวาจานี้ถูกเอ่ยออกมา แม่นมหนิวก็หน้าตาบึ้งตึงทันที


 


 


วาจาที่นางเอ่ยเมื่อครู่นั้นก็คาดไว้แล้วว่าเจินเมี่ยวย่อมไม่กล้าโต้แย้ง อย่าว่าแต่ลำคอนางบาดเจ็บเลย ต่อให้นางกระอักโลหิตออกมาจริงๆ ก็ยังต้องรีบมาดูพระนัดดาก่อนอยู่ดี แต่คิดไม่ถึงว่าจะพบกับคนโง่เง่าเพียงนี้ได้


 


 


เมื่อเจอกับตัวโง่งมเช่นนี้ก็ได้แต่มองไปที่เจินเมี่ยว “เซี่ยนจู่…”


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มให้แม่นมหนิว แล้วหันไปตำหนิชิงเกอ “มีที่ใดมาทะเลาะกันต่อหน้าเจ้านาย ยังไม่รับออกไปอีก!”


 


 


ชิงเกอถลึงตาใส่แม่นมหนิวแล้วหมุนกายเดินออกไป


 


 


แม่นมหนิวกุมหน้าอกตนไว้แล้วหายใจเข้าลึกๆ จึงสามารถควบคุมตนเองเอาไว้ได้


 


 


อันใดที่เรียกว่าไม่อาจทะเลาะกันต่อหน้าเจ้านาย เช่นนั้นหากทะเลาะลับหลังเจ้านายก็ได้งั้นหรือ?


 


 


เพราะเป็นช่วงวันตรุษ ศพของพระชายาจึงต้องไว้อาลัยไปสี่สิบเก้าวันจึงจะนำไปฝังที่สุสานได้ องค์ชายสามกำชับมาว่าจะมารับพระนัดดาสองสามก่อนมีพิธีฝังพระศพ


 


 


แม่นมหนิวแค่คิดว่าหากต้องอยู่ที่จวนกั๋วกงถึงหนึ่งเดือนกว่าทั้งที่ผู้เป็นนายมิได้ใส่ใจกับพระนัดดาสักเท่าใด ส่วนบ่าวไพร่ก็ตั้งท่าจะทะเลาะกับนาง นางจึงรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงแอบตัดสินใจว่าจะกลับไปทูลเรื่องราวให้องค์ชายสามฟัง


 


 


เรื่องราวทั้งหมดนี้พูดไปแล้วยาวแต่ความจริงมันเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น


 


 


จิ่งเกอฟื้นขึ้นมาเห็นว่าตนอยู่ในอ้อมแขนของแม่นมหรงก็เริ่มถีบเริ่มดิ้น “ท่านแม่ ข้าจะให้ท่านแม่อุ้ม…”


 


 


เมื่ออยู่ต่อหน้าบริวารขององค์ชายสาม เจินเมี่ยวย่อมมิกล้าตอบรับคำเรียกว่าว่าท่านแม่ของจิ่งเกอได้ แม้นในใจจะรู้สึกสงสารยิ่ง แต่ก็ต้องแข็งใจไม่เหลียวแล


 


 


“ท่านแม่ ท่านแม่ อุ้ม…” จิ่งเกอพยายามดิ้นรนสุดแรงเพื่อให้หลุดจากการกอดกุม เขาวิ่งเข้าไปยืนตรงหน้าเจินเมี่ยว แล้วดึงกระตุกอาภรณ์นางด้วยแววตาน่าสงสาร


 


 


ความหงุดหงิดพาดผ่านไปในดวงตาแม่นมหรงทันที


 


 


พระชายานั้นกลัวว่าพระนัดดาจะรักแม่นมมากกว่าแม่แท้ๆ จึงใช้แม่นมหลายคนผลัดเปลี่ยนกันมาให้นม รอจนถึงวันที่พระนัดดาหย่านมก็คงค่อยๆ ลืมพวกนางไป


 


 


ครั้งนี้นางอุตส่าห์ได้มีโอกาสมาดูแลพระนัดดาถึงเดือนกว่า ทั้งยังคิดว่าจะใช้โอกาสนี้มัดใจพระนัดดาน้อยไว้ ภายหน้าจักต้องมีอนาคตที่ดีแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าพระนัดดาจะเห็นเจียหมิงเซี่ยนจู่เป็นพระชายาจริงๆ นี่มันเป็นการฆ่านางตายระหว่างทางอย่างแท้จริง!


 


 


ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องคิดวิธีให้พระนัดดาอยู่ห่างจากเจียหมิงเซี่ยนจู่ไว้!


 


 


“จิ่งเกอ เจ้าเรียกข้าว่าท่านอาแล้วข้าจะอุ้มเจ้า” เจินเมี่ยวกระแอมไอออกมา รู้สึกเจ็บอยู่ในลำคอ


 


 


จิ่งเกอเบิกตากว้างขึ้น “แต่ท่านเป็นท่านแม่ เหตุใดจึงให้เรียกท่านอาเล่า?”


 


 


เจินเมี่ยวทำหน้าขึงขัง อย่างไม่ยอมใจอ่อน “เรียกท่านอา”


 


 


จิ่งเกอหน้างอเป็นซาลาเปาทีเดียว เขาคิดในใจว่าท่านแม่ช่างแปลกนัก เขากับบรรดาพี่สาวน้องสาวเล่นด้วยกัน พวกพี่สาวต่างก็แย่งกันเป็นพระชายาแต่ท่านแม่กลับอยากเป็นท่านอา


 


 


ช่างเถิด ผู้ใดให้เขาเป็นบุรุษเล่า เช่นนั้นก็ตามใจนางหน่อยแล้วกัน


 


 


“ท่านอา” จิ่งเกอเรียกขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก


 


 


 เจินเมี่ยวจึงสงบใจลงได้ นางจึงยอมอุ้มจิ่งเกอ


 


 


วันต่อมานางจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงเพิ่งมาถึง


 


 


เจินเมี่ยวเห็นเขาแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว “เหตุใดตาถึงแดงเช่นนั้นเล่า?”


 


 


“เมื่อวานนอนดึกไปหน่อย” หลัวเทียนเฉิงยิ้มอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ


 


 


ความจริงแล้วเขามิได้นอนทั้งคืนเพราะต้องการให้ตนมีเวลาว่างในวันนี้เพื่อไปจวนเจี้ยนอานปั๋ว ครั้นเขาทำงานจนถึงเช้าแล้วก็รีบไปอาบน้ำแล้วกลับจวนทันที แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะบอกเรื่องพวกนี้ให้เจินเมี่ยวรู้ จึงย้อนถามกลับว่า “เสียงเจ้าเป็นอะไรหรือ?”


 


 


“เอ๊ะ ก็ไม่มีอันใดเสียหน่อย” เจินเมี่ยวยกถ้วยนมวัวส่งให้หลัวเทียนเฉิง “ดื่มนมวัวสักหน่อยจะได้สบายขึ้น”


 


 


หลัวเทียนเฉิงรับนมวัวมาดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “เอ๊ะ เสียงของเจ้าตอนนี้คล้ายมีบาดแผลภายในลำคอเลย”


 


 


เจินเมี่ยวคิดไม่ถึงว่าเขาจะช่างสังเกตเพียงนี้ จึงร้องเอ่ยว่า “เมื่อวานข้ากินลูกเหมย แต่เผลอกลืนเม็ดลงคอ มันจึงกรีดลำคอเป็นแผล”


 


 


หลัวเทียนเฉิงฟังแล้วทั้งเป็นห่วงทั้งขบขัน เมื่อเห็นว่ารอบๆ มีสาวใช้อยู่ไม่น้อย จึงฝืนใจไม่ให้เผลอยื่นมือไปหยกแก้มนาง เพียงเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขังว่า “โตเพียงนี้แล้ว ต่อไปก็ระวังหน่อย”


 


 


“รู้แล้ว” เจินเมี่ยวผลักเขาคราหนึ่ง “เรารีบไปกันเถิด จะได้รับกลับมา ท่านจะได้นอนพักสักหน่อย”


 


 


ยังมีอีกประโยคที่เจินเมี่ยวมิได้พูด หากจิ่งเกอตื่นขึ้นมาเกรงว่าคงจะงอแงขอไปด้วยแน่ ถึงตอนนั้นคงต้องปวดหัวมากกว่านี้แล้ว


 


 


เจินเมี่ยวกลัวว่าจิ่งเกออยู่คนเดียวแล้วจะเกิดเหตุอันใดขึ้นจึงให้จื่อซู ไป๋เสา สาวใช้ทั้งสองที่มีความสุขุมรอบคอบและชิงไต้ที่มีวิชาการต่อสู้อยู่ที่จวน เมื่อคิดดูอีกทีก็ให้อาหลวนที่เคยดูแลจิ่งเกออยู่ด้วยอีกคน นางให้เพียงไป่หลิงกับชิงเกอไปด้วย


 


 


ที่หน้าประตูจวนนั้นมีบ่าวรับใช้มายืนคอยท่านานแล้ว เมื่อรถม้าของจวนกั๋วกงมาถึงก็รีบเข้าไปต้อนรับทันที


 


 


เพราะวันตรุษปีนี้เกิดเรื่องลอบปลงพระชนม์ขึ้นในวัง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางบุ๋นบู๊ต่างก็ทำตัวเงียบสงบยิ่งด้วยเกรงว่าการฉลองอย่างคึกคักนั้นจะทำให้เบื้องบนไม่พอใจจนเกิดเหตุร้ายขึ้น จวนเจี้ยนอานปั๋วก็มิใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน


 


 


เจินเมี่ยวกลับมิได้แปลกใจที่จวนปั๋วดูเงียบสงบเช่นนี้ แต่ที่ทำให้นางแปลกใจคือการได้พบกับ…เจินจิ้ง คนที่นางไม่มีวันคาดคิดว่าจะได้พบ 

 

 


ตอนที่ 281 มิได้พบพานกันนานแล้ว

 

เจินจิ้งมีสีหน้าท่าทางดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก นางสวมเสื้อเอ่าลายกุหลาบกลีบม่วงแซมแทรกเบญจมาศ ท่อนล่างสวมกระโปรงหม่าเมี่ยนสีเทาเงินลายบุปผาโปรยปราย ผมมัดมวยหางม้าทั้งปักปิ่นทองระย้ารูปผีเสื้อห้าสีเพียงชิ้นเดียว


 


 


ร่างทั้งร่างนั้นดูเรียบง่ายแต่งามสง่าซึ่งปรากฏเป็นความงามชนิดหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว และเป็นความงามที่เข้ากับบุคลิกของเจินเมี่ยวอย่างที่สุด


 


 


เจินเมี่ยวชำเลืองมองด้วยท่าทีนิ่งเฉย เจินจิ้งในความทรงจำของนางเป็นคนเรียบง่ายที่มักเอาผมหน้าม้ามาบดบังความงามเฉิดฉายของตนอยู่เสมอผู้นั้น ในที่สุดก็เปิดเผยความงามสง่าเฉพาะตัวที่มีแต่นางเท่านั้นที่มีออกมาเสียที


 


 


ตามหลักแล้วแม้นเจินจิ้งจะเป็นคุณหนูจวนเจี้ยนอานปั๋ว แต่เมื่อยอมไปเป็นอนุก็ไม่มีสิทธิ์และโอกาสที่จะได้กลับมาเยี่ยมบ้านในวันตรุษอีกแล้ว ทว่าเวลานี้กลับปรากฏกายขึ้นที่นี่ ทำให้อดแปลกใจมิได้


 


 


แม้นเจินเมี่ยวจะสงสัยแต่ต่อหน้าคนทั้งหลายเช่นนี้กลับมิอาจเอ่ยถามมากความได้ จึงเพียงพูดหยอกเย้ากับฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ เท่านั้น


 


 


เจินจิ้งเองก็ลอบพิจารณาเจินเมี่ยวเช่นกัน มิต้องพูดถึงการแต่งกายเลยแค่เห็นมุมปากที่หยักโค้ง ท่าทีเบิกบาน และใบหน้าที่ยังคงรอยยิ้มหวานล้ำดั่งดรุณีน้อยมิทันออกเรือนนั้นก็ยิ่งขับให้รูปโฉมที่งดงามมากขึ้นเรื่อยๆ ดูเฉิดฉายเป็นพิเศษ


 


 


นางเห็นสายตาที่ฮูหยินผู้เฒ่ามองเจินเมี่ยวซึ่งมีแต่ความเมตตาชิดใกล้ ช่างแตกต่างกับสายตาเกรงใจ ห่างเหินที่มีต่อนางยิ่ง


 


 


ส่วนอาสะใภ้รองสกุลหลี่ที่มิชมชอบเจินเมี่ยวเป็นที่สุด ยามนี้ใบหน้ากลับห้อยแขวนไปด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า คล้ายกลัวว่าผู้อื่นจะมองไม่เห็นท่าทีเอาใจนี้ของนางกระนั้น


 


 


และท่านแม่ที่เก่งกาจฉลาดล้ำมาแต่ไหนแต่ไรของนางนั้นยิ่งแสดงออกด้วยท่าทีอันสมบูรณ์แบบไร้ที่ติมากขึ้นไปอีกเลยเชียวล่ะ


 


 


เจินจิ้งกำมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อตนแน่นจนเล็บจิกลงไปบนฝ่ามือ นางรู้สึกเจ็บขึ้นมาเล็กน้อยแต่สีหน้ายังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนห้อยแขวนอยู่ “ตั้งแต่จากกันที่เป่ยเหอก็มิได้พบน้องสี่อีกเลย นับวันน้องสี่ก็ยิ่งงดงามขึ้นเรื่อยๆ”


 


 


หลังจากเกิดเรื่องที่เหอเป่ย แม้นเจินเมี่ยวและหลัวเทียนเฉิงจะกลับมาถึงจวนได้อย่างปลอดภัย แต่อย่างไรก็เกิดเรื่องอันไม่น่าอภิรมย์ขึ้นมากมาย ทั้งยังทำให้เกิดเรื่องขบขันที่ว่าคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเดินทางกลับมาพร้อมกับ ‘ศพ’ ของเขาอีกด้วย หากมิใช่เพราะมีเรื่ององค์รัชทายาทถวายไก่ฟ้า และเรื่องอันน่าพรั่นพรึงจนวิญญาณแทบออกจากร่างที่เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนหน้านี้แล้ว เกรงว่าเรื่องนี้ก็คงกลายเป็นความรื่นเริงของคนในเมืองหลวงไปอีกนาน


 


 


เดิมนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนพยายามที่จะทำให้มันเลือนหายไป แม้นวิธีเอ่ยถึงมันของเจินจิ้งจะแสนอ้อมค้อม ทว่าเจตนาก็เพื่อทำให้คนอึดอัด


 


 


แน่นอนว่าอีกด้านหนึ่งเจินจิ้งก็ต้องการอาศัยโอกาสนี้เตือนให้ทุกคนตระหนักถึงฐานะที่แตกต่างจากผู้อื่นของนาง


 


 


แม้นนางจะเป็นอนุ แต่องค์ชายหกกลับให้นางเดินทางไปเหอเป่ยด้วยแค่เพียงผู้เดียว ทั้งที่สตรีในตำหนักขององค์ชายหกมากมายเพียงนั้น ความโปรดปรานรักใคร่ที่มีย่อมมากมายจนมิอาจเทียบกันได้


 


 


ยิ่งตอนนี้นางมิเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว หากนางคลอดออกมาเป็นบุตรชาย ตำแหน่งพระชายารองย่อมมิอาจหนีไปไหนได้


 


 


เจินจิ้งลูบท้องน้อยตนโดยไม่รู้ตัว


 


 


เจินเมี่ยวกลับมิได้เข้าใจใน ‘ความยากลำบาก’ ของเจินจิ้งเลย


 


 


เรื่องที่เกิดในเป่ยเหอนั้น สำหรับผู้อื่นแล้วคงเป็นความทรงจำที่ไม่อยากจะไปนึกถึงแต่กับเจินเมี่ยวแล้วนั้นมิใช่


 


 


มิต้องกล่าวถึงเรื่องที่พวกเขาได้พบกับท่านอาสี่สกุลหลัวที่หายตัวไปหลายปีนั้นเลย แค่วันเวลาที่นางและหลัวเทียนเฉิงได้ประคับประคองช่วยเหลือกัน แม้นตอนนั้นจะลำบากยิ่งแต่เมื่อมาครุ่นคิดดูในยามนี้ กลับรู้สึกมีความสุขทั้งหวานล้ำอย่างไม่ทราบสาเหตุ


 


 


ในตอนนี้ที่เจินเมี่ยวหวนระลึกถึงมันก็คิดว่าอย่างน้อยนั่นกลับเป็นช่วงเวลาที่นางมีอิสระที่สุดไม่มีการถูกตีกรอบใดๆ ทั้งสิ้น


 


 


แน่นอนว่าหากให้นางเลือกเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้อีกครั้ง นางก็ไม่มีทางยินดีเด็ดขาด แต่คนเราก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเรื่องราวที่ได้เผชิญผ่านพ้นไป เหตุการณ์ที่แปลกแตกต่างย่อมมีเสน่ห์และฝังลึกในจิตใจได้มากกว่าเรื่องอื่นๆ


 


 


“งั้นหรือ ข้าส่องคันฉ่องทุกวันกลับมิได้รู้สึกว่าตนงดงามขึ้นกว่าเมื่อก่อนเท่าใดนัก”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเด็กคนนี้ถึงกลับชมตนต่อหน้าคนมากมายเพียงนี้ ช่างมิรู้จักเขินอายบ้างเลยจริงๆ ”


 


 


นางเวินชำเลืองมองหลัวเทียนเฉิงที่นั่งอยู่ด้านข้างคราหนึ่ง สตรีนั้นควรรักษาท่าที มีความสุขุม โดยเฉพาะสตรีที่มีฐานะเช่นเมี่ยวเอ๋อร์ ภายหน้าจักต้องเป็นฮูหยินของจวนเจิ้นกั๋วกง แล้วจะให้วางใจกับพฤติกรรมเป็นเด็กเช่นนี้ของนางได้อย่างไรกัน หากซื่อจื่อรำคาญหรือรังเกียจขึ้นมาคงแย่แน่แล้ว


 


 


ตอนที่นางเวินกับนายท่านสามสกุลเจินยังหนุ่มสาวก็เคยรักใคร่กลมเกลียวกันมาก่อน ถึงยามนี้ความรักกลับลดน้อยมีแต่ความเย็นชา นางรู้ดีถึงรสชาติเช่นนั้นเป็นที่สุด


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ามองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ยามอยู่ที่จวนกั๋วกงนางก็เป็นเช่นนี้หรือ คงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าขบขันไม่น้อยกระมัง?”


 


 


มุมปากหลัวเทียนเฉิงแฝงด้วยรอยยิ้ม ท่าทียามเอ่ยตอบฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม “จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านย่าชอบที่เมี่ยวเอ๋อร์พูดแต่ความจริงเช่นนี้ที่สุดขอรับ”


 


 


วาจานี้เอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมาสง่างาม แม้นจะมิได้มองเจินเมี่ยวสักนิด แต่ความรักใคร่ที่มีในน้ำเสียงนั้นกลับเผยออกมาอย่างเต็มเปี่ยม


 


 


ผู้อาวุโสหลายคนที่อยู่ในที่นี้ต่างหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย มีเพียงผู้ที่เอ่ยวาจานี้เพียงคนเดียวที่ยังมีท่าทีปกติอยู่ได้ “ท่านพ่อตาและท่านลุงเรียกข้าไปดื่มน้ำชาด้วย ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าคงต้องขอตัวก่อนแล้วขอรับ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงกล่าวอำลากับผู้อาวุโสทั้งหลายแล้วหันไปยิ้มน้อยๆ ให้เจินเมี่ยวก่อนจากไป


 


 


เจินจิ้งเห็นแล้วก็เจ็บปวดใจขึ้นมา


 


 


แค่กลับมาเยี่ยมบ้านในเทศกาลวันตรุษเท่านั้น ต้องอาลัยอาวรณ์กันเพียงนี้เชียวหรือ!


 


 


พลันคิดถึงองค์ชายหกขึ้นมา แม้นพระองค์จะดูแลนางเป็นพิเศษกว่าสตรีทั้งหลายที่อยู่ในตำหนัก แต่ชั่วชีวิตนี้หากจะให้พระองค์กลับมาเยี่ยมจวนกับนางนั้นคงเป็นไปไม่ได้แน่


 


 


ความเจ็บปวดของเจินจิ้งนั้นมิได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเจินเมี่ยวแม้แต่น้อย นางพูดคุยสนทนากับ ฮูหยินผู้เฒ่าอีกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มเพลียแล้วจึงไปสวนเหอเฟิงกับนางเวิน ยามนี้สองแม่ลูกจึงได้มีโอกาสพูดคุยถามไถ่กัน


 


 


นางเวินไล่สาวใช้ในห้องออกไปจนหมด แล้วรีบเข้าไปกุมมือเจินเมี่ยวไว้พลางเช็ดน้ำตาไปพลาง “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่คิดจะให้แม่สบายใจบ้างเลยหรือ เหตุใดแค่เข้าไปร่วมงานเลี้ยงฉลองในวังก็ต้องไปพบเจอเรื่องเช่นนั้น เจ้าคงไม่รู้ว่าตอนที่แม่ได้ยินข่าว แม่กลัวเพียงใด”


 


 


“ท่านแม่ ลูกก็ยังสบายดีอยู่ไม่ใช่หรือ อีกอย่างเรื่องมันผ่านไปแล้ว ท่านอย่าได้กังวลใจเลย”


 


 


นางเวินยังคงมีสีหน้าย่ำแย่เช่นเดิม นางพึมพำขึ้นว่า “เจ้ามีฐานะเป็นเซี่ยนจู่ ต่อไปคงมีโอกาสเข้าวังบ่อยๆ ที่นั่นช่างทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนยิ่งนัก หากรู้เช่นนี้แต่แรกมิสู้ให้เจ้าแต่งกลับไปเมืองท่านตาเจ้า…”


 


 


นางเวินรู้ว่าตนเผลอพูดสิ่งไม่ควรออกมาจึงรีบหยุดวาจาตนไว้


 


 


เจินเมี่ยวกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาหลายส่วน


 


 


ผู้ที่ไม่หวังให้ตนมีฐานะเป็นเซี่ยนจู่ ไม่สนชื่อเสียงในการเป็นฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดจวนกั๋วกง เพียงหวังให้นางมีชีวิตที่สุขสบายสงบสุข ก็คงมีแต่มารดาแท้ๆ ของตนผู้นี้แล


 


 


ทว่าความเสียใจนี้ของนางเวินกลับไม่มีความจำเป็นเลย เจินเมี่ยวจึงเอ่ยอธิบายว่า “ท่านแม่ ลูกงดงามเพียงนี้ หากต้องแต่งไปอยู่เมืองท่านตาแล้วถูกชิงตัวไปทำมิดีมิร้ายจะทำฉันใด? ถึงตอนนั้นท่านอยู่แสนไกลอยากจะช่วยเหลืออันใดก็ยากแล้ว”


 


 


วาจานี้ทำให้นางเวินเบิกตาอ้าปากค้าง ทว่าเมื่อคิดให้ละเอียดอีกทีกลับต้องซูดปาก


 


 


ไฮ่ติ้งนั้นอยู่ห่างไกลพระเนตรพระกรรณ เรื่องกฎระเบียบต่างๆ ย่อมมิเข้มงวดเท่าเมืองหลวง ทั้งเมี่ยวเอ๋อร์ยังงดงามปานนี้อีก การจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นก็เป็นไปได้มากจริงๆ หากเป็นเกิดขึ้นจริงก็มิเท่ากับเป็นการทำลายตระกูลมารดาและชีวิตบุตรสาวไปชั่วชีวิตหรอกหรือ


 


 


คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวจะคิดไปไกลกว่านางเสียอีก


 


 


“ใช่แล้ว ท่านแม่ เหตุใดจึงไม่เห็นพี่มั่วเหยียนกับพี่เจี่ยงเลยเล่า?”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงเวินมั่วเหยียน นางเวินก็ยิ้มออกมาสีหน้าภูมิใจยิ่ง “กิจการของญาติผู้พี่เจ้านั้นนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ เขาเปิดร้านที่ถนนชิงเชวี่ยอีกร้านแล้ว เทศกาลวันตรุษปีนี้จึงกลับไปที่ไฮ่ติ้ง ประการแรกก็เพื่อร่วมฉลองอย่างพร้อมหน้ากับคนในตระกูล ประการที่สองคือไปสำรวจดูว่าที่ไฮ่ติ้งมีอันใดเหมาะที่จะนำมาขายในเมืองหลวงอีกบ้าง”


 


 


ตั้งแต่เวินมั่วเหยียนดูแลกิจการจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ฐานะของตระกูลก็เริ่มดีขึ้นมาก กล่าวไปแล้วผู้ที่สามารถประกอบกิจการจนมั่นคงในเมืองหลวงนั้นมีรายได้มากกว่าขุนนางหลายคนเสียอีก และนี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้นางเวินเกิดความคิดเช่นนั้นขึ้นมาเพราะห่วงใยในความปลอดภัยของบุตรสาว


 


 


“พี่เจี่ยงของเจ้าเกิดไม่สบายขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง วันนี้ที่มิได้มาคิดว่าคงพักผ่อนอยู่กระมัง”


 


 


“เช่นนั้นลูกไปเยี่ยมสักหน่อยดีกว่า”


 


 


“เมื่อวานข้าไปเยี่ยมแล้ว มิได้หนักหนาอันใด แค่ไอเล็กน้อยเท่านั้น คงไม่สะดวกพบแขกจึงมิได้มาในวันนี้ หากเจ้าเป็นห่วงเมื่อกลับถึงจวนแล้วก็ส่งของเยี่ยมมาก็แล้วกัน”


 


 


เจินเมี่ยวถึงกับตกใจ


 


 


มารดาของนางเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ไหนแต่ไรมิคิดอันใดมากนัก คิดไม่ถึงว่าไม่ได้พบกันแค่ระยะหนึ่งกลับรู้จักที่จะให้นางหลบเลี่ยงการพบปะบุรุษเสียแล้ว


 


 


ขณะกำลังคิดเช่นนี้อยู่ก็ได้ยินนางเวินเอ่ยขึ้นอีกว่า “ยากนักกว่าที่เจ้าจะได้กลับจวน เราสองแม่ลูกมิได้พบกันนานแล้ว เมื่อมีเวลาเช่นนี้ก็มิสู้อยู่เป็นเพื่อนแม่นานสักหน่อยเถิด”


 


 


เจินเมี่ยว “…”


 


 


เอาเถิด เป็นนางเองที่คิดมากเกินไป!


 


 


“ท่านแม่ เหตุใดพี่สามจึงได้กลับมาที่จวนเล่า?”


 


 


“นางตั้งครรภ์ องค์ชายหกจึงอนุญาตให้นางกลับจวนมาเพื่อพักผ่อนบำรุงครรภ์โดยเฉพาะ” นางเวินพูดถึงตรงนี้ก็เอ่ยเสียงแผ่วลงแล้วถามว่า “ท้องของเจ้ามีความคืบหน้าอันใดบ้างหรือไม่?”


 


 


เจินเมี่ยวส่ายหน้า


 


 


นางเวินรู้สึกร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าก็แต่งออกไปจะครบปีแล้ว เหตุใดจึงไม่มีความคืบหน้าใดเลยเล่า?”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ก็ชะงักไป เสียงที่เอ่ยก็ยิ่งเบาลงอีก “ข้าเห็นใต้ตาบุตรเขยดำคล้ำยิ่ง เมี่ยวเอ๋อร์ แม่มิได้ว่าเจ้าหรอกนะ การที่พวกเจ้าหนุ่มสาวรักใคร่กันนั้นย่อมเป็นเรื่องดี แต่อย่างไรก็มิควรหักโหมเกินไป แม่เคยได้ยินท่านหมอบอกว่า การหักโหมเรื่องในห้องหอมากเกินไปกลับมิได้เป็นผลดีต่อการตั้งครรภ์นัก”


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกหัวเราะมิออกร้องไห้มิได้ “ท่านแม่ ท่านคิดไปถึงที่ใดแล้ว จิ่นหมิงแค่ทำงานยุ่งมากเท่านั้น”


 


 


นางเวินย่อมไม่เชื่อแน่ ยามนี้ศาลาว่าการต่างๆ ยังมิทันเปิดทำการเลย มีอันใดให้ทำกัน เพียงแต่วาจาเช่นนี้หากพูดมากไป นางเองก็รู้สึกกระดากเช่นกันจึงหยุดไว้แค่นี้มิได้พูดต่ออีก


 


 


เจินเมี่ยวเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านแม่ ข้าเห็นสีหน้าพี่สะใภ้ใหญ่มิใคร่ดีนัก มิได้ไปเชิญจี้เหนียงจื่อมาตรวจดูอีกหรือ?”


 


 


นางเวินมีท่าทีนิ่งขรึมลง “มิได้เชิญมาตรวจที่ใดกันเล่า ให้นางกินยาอยู่ตลอด ปีก่อนพี่สะใภ้เจ้าได้ยกอวี้เอ๋อร์สาวใช้ที่ติดตามนางมาจากตระกูลไว้ให้คอยปรนนิบัติพี่ใหญ่เจ้าแล้ว”


 


 


เจินเมี่ยวคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าช่วงที่นางมิได้มาที่จวนจะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นมากมายเพียงนี้ แม้นสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งจะมินับเป็นอันใดได้ แต่เมื่อคิดถึงความรักอันลึกซึ้งที่พี่ใหญ่มีให้พี่สะใภ้ ก็รู้สึกใจหายไม่น้อยจึงถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว


 


 


นางเวินจึงเอ่ยอธิบายอย่างกระอักกระอ่วนว่า “พี่สะใภ้ของเจ้ามิหายสักที เดิมข้าก็เตือนนางแล้วว่าให้รักษาไปสักระยะก่อนค่อยคิด แต่พี่สะใภ้เจ้าก็พูดถูก ยามนี้นางมิสะดวก คงมิอาจปล่อยให้พี่ใหญ่เจ้าไม่มีคนคอยปรนนิบัติได้ ซึ่งอาจจะทำให้สาวใช้ทั้งหลายเกิดความคิดไม่ซื่อขึ้นมาจนก่อให้เกิดเรื่องไม่งามไปเสียเปล่าๆ ”


 


 


สองแม่ลูกมองสบตากันแล้วพลันนึกถึงเหตุการณ์นั้นของเวินยาฉีขึ้นมาพร้อมกัน


 


 


นางเวินถอนหายใจเสียงต่ำ “พ้นปีนี้ไปญาติผู้น้องของเจ้าก็อายุสิบห้าแล้ว พวกเจ้าสองพี่น้องก็อาศัยโอกาสนี้พูดคุยกันเสีย แล้วรีบจัดการเรื่องนี้ให้จบโดยเร็วเถิด”


 


 


เวินยาฉีพักอยู่ที่สวนเฉินเซียงของเจินเมี่ยวมาตลอด เจินเมี่ยวเองก็อยากกลับไปดูเรือนที่ตนเคยพักอยู่สักหน่อยเช่นกัน นางอยู่สนทนากับนางเวินอีกครู่หนึ่งจึงขอตัว


 


 


ครั้นถึงสวนเฉินเซียงกลับได้ยินสาวใช้ที่เฝ้าประตูบอกว่าญาติผู้น้องออกไปแล้ว


 


 


“เวลานี้น่ะหรือ นางไปไหน?”


 


 


“เรียนกูไหน่ไหน่[1]สี่ สองสามวันที่กูไหน่ไหน่สามกลับมาพักที่จวนคงรู้สึกเบื่อหน่ายจึงมักเรียกให้คุณหนูเวินยาฉีไปคุยเล่นด้วยเจ้าค่ะ คุณหนูน่าจะไปที่เรือนกูไหน่ไหน่สามกระมังเจ้าคะ”


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกถึงความผิดปกตินี้ขึ้นมา


 


 


เจินจิ้งซึ่งเป็นเพียงอนุผู้หนึ่งกลับจวนมาบำรุงรักษาตนก็แปลกมากพอแล้ว ต่อให้จะหาคนคุยแก้เบื่อก็ควรจะไปหาน้องห้าน้องหกจึงจะถูก จะมาหาญาติผู้น้องของนางทำไมกัน?


 


 


เจินเมี่ยวเกิดกังวลขึ้นมาว่าเจินจิ้งจะทำอันใดบางอย่างกับเวินยาฉีจึงได้พาไป่หลิงกับชิงเกอไปที่เรือนเซี่ยเยียน


 


 


หากจะไปที่เรือนเซี่ยเยียนจักต้องผ่านป่าไผ่เสียก่อน ยามนี้แม้นบุปผาล้วนร่วงโรยแต่ป่าไผ่กลับยังคงเขียวขจีอยู่เช่นเดิมซึ่งเป็นสถานที่งดงามแห่งเลยทีเดียว ตอนนั้นพี่เจี่ยงก็ถูกงูพิษกัดจนได้รับบาดเจ็บอยู่ที่นี่แล


 


 


ตอนที่เจินเมี่ยวเดินผ่านก็อดมองอยู่หลายครามิได้ แต่เมื่อหันมองอีกคราก็ต้องตกตะลึงไปชั่วขณะ ที่ป่าไผ่นั้นมิได้รกชัฏดั่งเช่นยามคิมหันต์ทำให้มองเห็นบุรุษสวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวยืนนิ่งอยู่รางๆ หากมิใช่เจี่ยงเฉินแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้เล่า?


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] กูไหน่ไหน่ มีหลายสถานะที่ถูกเรียกว่ากูไหน่ไหน่ แต่ในที่นี้เป็นคำเรียกสตรีที่แต่งงานออกไปจากตระกูลแล้ว 

 

 


ตอนที่ 282 แทงใจ

 

 


 


“พี่เจี่ยง…” เจินเมี่ยวยกกระโปรงเดินเข้าไปทักทาย


 


 


เจี่ยงเฉินหันหน้ากลับมาโดยพลัน สายตาหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้างามที่เขาเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเช้าค่ำและมิอาจละสายตาได้อีก


 


 


เขาจ้องมองบุคคลตรงหน้านิ่งราวกับต้องการสลักนางไว้ในหัวใจก็มิปาน คลื่นที่ซัดสาดอยู่ในอกนั้นกระจายไปทั่วสรรพางค์ทำให้เขารู้สึกอ่อนเปลี้ยไปทั้งร่าง แต่เมื่ออ้าปากขึ้นกลับเอ่ยออกมามิได้แม้เพียงคำ


 


 


“พี่เจี่ยง ท่านดูผอมลงนะ ได้ยินท่านแม่บอกว่าท่านไม่สบาย ดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่? หรือเป็นเพราะอาหารไม่ถูกปาก?”


 


 


เจี่ยงเฉินผอมลงไปไม่น้อยจริงๆ เขาสวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวหม่นทั้งร่างให้ความรู้สึกดุจความอ่อนโยนอันหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวงแล้วกระนั้น


 


 


เมื่อได้ยินเสียงอ่อนหวานเอ่ยขึ้น เจี่ยงเฉินจึงตามหาสติของตนเจอ เขายิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นอันใด แค่ไข้หวัดเล็กน้อย ที่ดูผอมลงเพราะตัวสูงขึ้นเท่านั้นเอง”


 


 


เจินเมี่ยวจึงเพิ่งสังเกตว่าหนุ่มน้อยที่อบอุ่นสง่างามและดูโง่งมบางคราในความทรงจำผู้นั้นได้เติบโตเป็นบุรุษร่างสูงดุจไผ่เขียวแล้ว นางต้องเงยหน้าขึ้นมองถึงจะเห็นอารมณ์บนใบหน้าของเขาได้


 


 


“ช่วงนี้ญาติผู้น้องสบายดีใช่หรือไม่ ตอนได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในวันตรุษนั้น ขะ…เราทุกคนล้วนเป็นห่วงยิ่ง”


 


 


เจินเมี่ยวเผยยิ้มออกมา “สบายดีเจ้าค่ะ เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นมันกะทันหันยิ่งจนมิทันได้รู้สึกกลัวด้วยซ้ำ ทำให้เมื่อหวนกลับไประลึกถึงอีกคราหลังทุกอย่างผ่านพ้นแล้วก็มิได้มีความรู้สึกกลัวเหลืออยู่เลย ซื่อจื่อบอกว่าข้าเป็นคนโง่ที่มีวาสนาของคนโง่เจ้าค่ะ”


 


 


ใจของเจี่ยงเฉินคล้ายถูกเข็มเล่มหนึ่งปักแทงเข้าไปโดยแรง ทั้งเจ็บทั้งปวด ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้หน้าของเขาเปลี่ยนสีไปโดยพลัน จึงรีบกัดลิ้นตนไว้แล้วเผยรอยยิ้มอันจริงใจเข้าแทน “เป็นข้าเองที่คิดมากเกินไป ซื่อจื่อมีความสามารถเก่งกาจกว่าผู้ใดจักต้องปกป้องเจ้าได้แน่”


 


 


ก่อนที่เจินเมี่ยวจะออกเรือนนางก็รับรู้ถึงความในใจของเจี่ยงเฉินได้รางๆ แล้ว แต่นางคิดว่าหลังจากที่นางออกเรือนไป ความรู้สึกดีๆ อันคลุมเครือในวัยหนุ่มสาวนั้นจักค่อยๆ สลายไปดั่งหมอกควันที่ปลิวหายเมื่อถูกกระแสลมพัดผ่าน ครั้นเห็นสีหน้าแปลกพิกลของเจี่ยงเฉินก็คิดเพียงว่าเป็นเพราะไม่สบาย จึงรีบเอ่ยว่า “พี่เจี่ยงรู้สึกไม่สบายขึ้นมางั้นหรือ ที่นี่ลมแรงทั้งหนาวเย็น ท่านรีบกลับเรือนเถิด”


 


 


ครั้นสัมผัสได้ถึงสายตาแห่งความห่วงใยของเจินเมี่ยว ใจของเจี่ยงเฉินก็ยิ่งเจ็บปวด แต่ใบหน้าหล่อเหลาผอมเรียวนั้นกลับยังคงมีรอยยิ้มอยู่เช่นเดิม “กำลังจะกลับแล้วล่ะ แค่ออกมาสูดอากาศครู่หนึ่งเท่านั้น”


 


 


พูดถึงตรงนี้ก็เกิดอาการคันในลำคออยากจะไอขึ้นมา แต่เห็นว่าเจินเมี่ยวยังอยู่ตรงนี้จึงเกรงจะเสียมารยาททำให้ได้แต่อดกลั้นเอาไว้


 


 


“ญาติผู้น้องจะไปไหนหรือ ถึงเวลากลับจวนแล้วกระมัง?”


 


 


“ข้าไปเยี่ยมญาติผู้น้องที่สวนเฉินเซียง แต่นางไม่อยู่จึงออกมาตามหา หากพบนางแล้วได้พูดคุยกันสักหน่อยก็จะกลับ น่าเสียดายที่พี่มั่วเหยียนไม่อยู่ ข้าเคยรับปากเขาว่าเราจะกินหม้อไฟด้วยกันเมื่อฤดูหนาวมาถึง”


 


 


สายตาที่เจี่ยงเฉินมองเจินเมี่ยวนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนทั้งสว่างทั้งนวลตาดุจแสงจันทร์ที่แผ่กระจายกลืนกินแสงดอกไม้ไฟก็มิปาน “พี่เวินพูดเรื่องนี้อยู่หลายครั้งจริงๆ”


 


 


เจินเมี่ยวยิ้ม “เช่นนั้นรอเขากลับมา ข้าจะให้ซื่อจื่อเชิญพวกท่านไปดื่มสุราด้วยกัน”


 


 


“อืม” เจี่ยงเฉินยิ้มน้อยๆ แต่กลับถอนหายใจแผ่วเบาอยู่ในอก


 


 


การนัดหมายนี้ได้กลายเป็นความฝันอันงดงามที่ไกลเกินเอื้อมตั้งแต่วันที่ญาติผู้น้องแต่งออกไปแล้ว


 


 


ตราบใดที่ความคิดอันน่าละอายเช่นนั้นยังมิหายไป เขาจะหน้าด้านไปดื่มสุรากับซื่อจื่อได้จริงๆ หรือ?


 


 


เหตุใดบนโลกใบนี้ต้องมีเรื่องที่ทำให้คนกลัดกลุ้มเช่นนี้ ทั้งความรู้สึกที่มิอาจควบคุมได้นั้นอีก เจี่ยงเฉินรู้สึกขมขื่นในใจขึ้นมาจึงกุมหน้าอกตนโดยไม่รู้ตัว


 


 


เจินเมี่ยวเห็นเจี่ยงเฉินรับปากก็ดีใจยิ่ง การกินหม้อไฟนั้นต้องกินหลายๆ คนจึงคึกคัก นางส่งยิ้มให้เขาแล้วยกกระโปรงขึ้นพลางเอ่ยว่า “พี่เจี่ยง เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ท่านก็กลับเรือนเถิด”


 


 


“ญาติผู้น้องค่อยๆ เดินเล่า” เท้าของเจี่ยงเฉินขยับขึ้นเล็กน้อยด้วยคิดจะไปส่งนาง แต่ก็หยุดฝีเท้าตนไว้ในทันที


 


 


ในขณะที่เขายกเท้าขึ้นแล้ววางมันลงก็บังเอิญไปเหยียบกิ่งไม้แห้งบนพื้นเข้าพอดี นกกระจอกที่มาหาอาหารในป่าไผ่ต่างบินแตกตื่นขึ้นฟ้าไป


 


 


นกกระจอกบางตัวรีบร้อนโผบินไร้ทิศทางจนไปชนเข้ากับกิ่งไผ่ หิมะที่ยังไม่ละลายกับหยาดน้ำค้างบนต้นไผ่ต่างร่วงเกรียวกราวลงมา เจี่ยงเฉินทะยานเข้าไปผลักเจินเมี่ยวออกเพื่อรับหิมะเหล่านั้นแทน เจินเมี่ยวโดยไม่แม้แต่จะคิดอันใดด้วยซ้ำ


 


 


ความเหน็บหนาวที่เสียดแทงเข้ามาอย่างกะทันหันนั้นทำให้เขาไอออกมาโดยแรงอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป


 


 


เจินเมี่ยวเห็นบุรุษที่เดิมนั้นนิ่งขรึมดุจเทพเซียนตกอยู่ในสภาพอนาถทั้งยังไออย่างรุนแรงก็รู้สึกมึนงงไปเล็กน้อยแล้วรีบหยิบพาเช็ดหน้าส่งให้ ทั้งหันไปกำชับสาวใช้ว่า “ชิงเกอ เจ้ารีบไปเอาเสื้อคลุมกันลมมาให้พี่เจี่ยงที ไม่…ไม่ดีกว่า เจ้าไปส่งพี่เจี่ยงที่เรือนน่าจะเร็วกว่า”


 


 


“เจ้าค่ะ” ชิงเกอรีบวิ่งเข้าไป


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกเป็นห่วงกลัวร่างกายของเจี่ยงเฉินจะรับไม่ไหว เขาผอมบางเพียงนี้ แค่ดูก็รู้ว่าไม่ค่อยสบาย แล้วต้องมาถูกความเย็นอีก หากอาการหนักขึ้นคงแย่แน่ จึงอดตัดพ้อมิได้ว่า “พี่เจี่ยง ท่านผลักข้าออกทำไม ข้าแข็งแรงกว่าท่านอีก ต่อให้ถูกหิมะทับก็ไม่เป็นอันใดแน่”


 


 


แค่กๆ ญาติผู้น้อง เจ้าเติมเกล็ดน้ำค้างลงบนกองหิมะเช่นนี้ มันดีแล้วจริงๆ หรือ?


 


 


เจี่ยงเฉินพลันไอหนักขึ้นกว่าเดิม


 


 


“ต้าไหน่ไหน่…” ไป่หลิงร้องเรียกขึ้นอย่างรีบร้อนด้วยใบหน้าซีดเผือด


 


 


เจินเมี่ยวไม่สนใจรีบเอ่ยเร่งชิงเกอว่า “รีบไปเถิด หากไปส่งพี่เจี่ยงเสร็จแล้วก็กลับไปรอข้าที่สวนเหอเฟิง”


 


 


“ต้าไหน่ไหน่…” ไป่หลิงร้อนใจจนต้องกระทืบเท้า


 


 


เจินเมี่ยวเลิกคิ้ว “ไป่หลิง เจ้าไม่มีกำลังมากเท่าชิงเกอ หากประคองพี่เจี่ยงกลับเรือนคงเหนื่อยมาก เจ้ามิต้องไปทำเรื่องที่ยากลำบากนั้นดอก”


 


 


ไป่หลิงนวดคลึงขมับทันที กระทั่งอดหันไปมองนายของตนตรงๆ มิได้


 


 


เสียงเย็นอันชัดถ้อยชัดคำนั้นพลันดังลอยมา “ปั้นซย่า ไปส่งคุณชายเจี่ยงกลับเรือน”


 


 


เจินเมี่ยวหันขวับกลับไปจึงเห็นหลัวเทียนเฉิงที่ไม่ทราบมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดยืนหันหน้ามองมานิ่ง ปั้นซย่าบ่าวรับใช้ข้างกายนั้นมีสีหน้าย่ำแย่ยิ่งคล้ายแพ้พนันจนหมดตูดมากระนั้น


 


 


วันนี้เขาสวมชุดสีดำทั้งชุดทำให้ดูสมส่วน สูงสง่าดุจสนเขียว สีอาภรณ์ขับเน้นให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูขาวสะอาดดุจหยกงาม เพียงแต่รอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าและนัยน์ตาคล้ายอัญมณีที่กำลังถูกหลอมอยู่นั้นส่องแสงเจิดจ้าดั่งดาราในราตรีอันเหน็บหนาวก็มิปาน


 


 


“ปั้นซย่า…” หลัวเทียนเฉิงมองไปที่เจี่ยงเฉิน แล้วเอ่ยปากขึ้นอีก


 


 


“ขอรับๆ” ปั้นซย่ารีบวิ่งเข้าไปโค้งกายต่ำ “คุณชายเจี่ยง เชิญขอรับ”


 


 


เมื่อเจี่ยงเฉินหยุดไอก็ยกมือขึ้นประสานกันเป็นการคารวะต่อหลัวเทียนเฉิง “รบกวนหลัวซื่อจื่อแล้ว”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเม้มริมฝีปากแน่นเป็นรอยยิ้ม “คุณชายเจี่ยงเกรงใจเกินไปแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น วันหน้าข้าคงได้เชิญคุณชายไปดื่มสุราด้วยกัน”


 


 


เจี่ยงเฉินหันกลับไปพยักหน้าให้เจินเมี่ยวอย่างเป็นธรรมชาติ เขาซ่อนความห่วงใยและคำขอโทษไว้ในส่วนลึกของดวงตาอย่างมิดชิด แล้วค่อยเดินตามปั้นซย่าไป


 


 


กระทั่งเจี่ยงเฉินไปไกลแล้วหลัวเทียนเฉิงจึงหันกลับมามองเจินเมี่ยว ท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม


 


 


เจินเมี่ยวพลันรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเหน็บหนาวขึ้นมากกว่าเดิม จึงยกมือกระชับอาภรณ์บนกายตนโดยไม่รู้ตัว


 


 


“มานี่…” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างไม่ใคร่สบอารมณ์นัก


 


 


สตรีผู้นี้ไม่เพียงทำให้เขาโมโหได้ แต่ยังรู้ว่าต้องทำอย่างไรให้เขาใจอ่อน


 


 


เจินเมี่ยวนั้นไม่รู้เลยว่าคนบางคนกำลังออกอาการหึงหวงอย่างรุนแรงอยู่ นางจึงก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างแผ่วเบา


 


 


เมื่อเดินไปถึงตรงหน้าก็ถูกหลัวเทียนเฉิงรั้งเข้าไปหา เขาปลดเสื้อคลุมกันลมบนกายใส่ให้นางแทน


 


 


ครั้นเสื้อคลุมกันลมที่ยังมีไออุ่นของอีกฝ่ายวนเวียนอยู่นั้นถูกคลุมลงบนร่าง ความเหน็บหนาวก็พลันถูกขับไล่ไปจนหมด เจินเมี่ยวจึงรีบเอ่ยว่า “อย่าเลย เอาเสื้อคลุมให้ข้าเช่นนี้ หากท่านไม่สบายจะทำฉันใดเล่า?”


 


 


“ไม่เป็นไร ข้าแข็งแรงนัก หนาวแค่นี้มิเป็นอันใดสักนิด” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม


 


 


ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มขี้โรคผู้นั้นมีอันใดดีถึงได้ทำให้ภรรยาเขาห่วงใยปานนั้น หึ คิดว่าเขาทำไม่ได้หรือไร?


 


 


“จิ่นหมิง หรือว่าคนที่ฝึกยุทธ์จะทนหนาวทนร้อนได้มากกว่าคนธรรม ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่ฝึกยุทธ์จนแกร่งกล้านั้น ความหนาวความร้อนล้วนมิอาจทำอันใดเขาได้”


 


 


หลัวเทียนเฉิงโกรธจนแทบหงายหลัง


 


 


เด็กหนุ่มขี้โรคนั้นรับหิมะที่ร่วงตกลงมาแทนเจี๋ยวเจี่ยว นางก็เป็นห่วงจนอยากจะเอาตัวเข้าไปรับแทน เขาถอดเสื้อคลุมกันลมให้นาง ตอนนี้ทั้งขาทั้งหน้าท้องล้วนสั่นสะท้านไปหมด แค่กๆ แม้มันออกจะเกินความจริงไปบ้างเล็กน้อยก็ตาม แต่การที่เจี๋ยวเจี่ยวคิดว่าความหนาวความร้อนล้วนทำอันใดเขาไม่ได้นั้น…เขา…เขาคงมิอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแล้วจริงๆ!


 


 


คนบางคนหน้าบึ้งจนมิอาจบึ้งไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่ชิงเกอยังคงรู้สึกมึนงงอยู่ ส่วนไป่หลิงกลับมิอาจทนมองได้อีกต่อไป


 


 


ซื่อจื่อถูกต้าไหน่ไหน่ลากลงคลองไปเสียแล้ว การที่ทำให้เรื่องมันผิดเพี้ยนมาถึงขั้นนี้ได้นั้นมันก็มากพอแล้วจริงๆ


 


 


แต่เจินเมี่ยวกลับเอ่ยถามขึ้นมาอีกคำว่า “จิ่นหมิง เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ มิใช่ไปดื่มชากับท่านลุงทั้งหลายหรอกหรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงได้ยินก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด เ­ขากัดฟันเอ่ยว่า “หากมิเป็นเช่นนี้ ปั้นซย่าไหนเลยจะมีโอกาสไปส่งคุณชายเจี่ยงกลับเรือนเล่า”


 


 


ตอนนี้เองเจินเมี่ยวถึงเริ่มรู้สึกว่าคนบางคนมีสีหน้าที่แปลกไป จึงเอ่ยถามว่า “จิ่นหมิง ท่านเป็นอันใดหรือ?”


 


 


“มิเป็นอันใด” หลัวเทียนเฉิงค่อยๆ พ่นลมหายใจออกมาทางปาก “เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่เล่า?”


 


 


“ข้าไปหาญาติผู้น้องที่สวนเฉินเซียงแต่นางไม่อยู่ ได้ยินว่ามาที่เรือนเซี่ยเยียนจึงตามมาดูสักหน่อย”


 


 


“เรือนเซี่ยเยียน?”


 


 


“อืม เรือนเซี่ยเยียนเป็นเรือนที่พี่สามของข้าเคยอยู่เมื่อครั้งยังมิออกเรือน”


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองไป่หลิงและชิงเกอด้วยสายตาเย็นเยือก แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “อากาศหนาวเช่นนี้ เจ้าอยากจะพบญาติผู้น้องก็ให้ไป่หลิงหรือชิงเกอไปเชิญนางมาที่สวนเหอเฟิงก็ได้ ไยต้องไปเอง หากไม่สบายขึ้นมาจะทำฉันใด?”


 


 


“พวกเจ้าไปตามญาติผู้น้องของต้าไหน่ไหน่มา ข้าจะพาต้าไหน่ไหน่กลับสวนเหอเฟิงก่อน”


 


 


หลัวเทียนเฉิงดึงแขนเจินเมี่ยวให้เดินไป ตลอดทางมิได้เอ่ยอันใดอีกเพราะกำลังโมโหนางอยู่


 


 


เจินเมี่ยวอยากจะทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายลงแต่นางไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเขาจึงโกรธขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ นางคิดว่าอาจเพราะโรคเดิมที่เคยเป็นนั้นยังมิหายสนิทดี บางคราก็อาจจะกำเริบขึ้นมาได้จึงคิดไว้ว่าค่อยไปง้อเขาระหว่างนั่งรถม้ากลับจวนแล้วกัน


 


 


ทว่าเมื่อคนบางคนเห็นเจินเมี่ยวทำวางเฉยคล้ายไม่มีเรื่องอันใดก็ยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีก


 


 


ในเรือนเซี่ยเยียนนั้นมีกระถางถ่านไฟจัดวางอยู่หลายแห่ง อากาศอบอุ่นดุจวสันต์ฤดู


 


 


“พี่จิ้ง ข้าต้องปักลงไปเช่นนี้ใช่หรือไม่?” เวินยาฉีเอ่ยถามด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม


 


 


นางคิดมาตลอดว่าเวินยาหันพี่สาวของนางทำงานปักเย็บได้เก่งกาจโดดเด่นที่สุด คิดไม่ถึงว่าคุณหนูสามของจวนปั๋วผู้เป็นอนุขององค์ชายหกก็มีฝีมือการปักเย็บเป็นอันดับหนึ่งเช่นกัน


 


 


ในสายตาคุณหนูน้อยนั้นองค์ชายหกเป็นบุคคลที่เก่งกาจและสูงศักดิ์กว่าคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงมากนัก การเป็นคนของเขาช่างเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจที่สุด แม้นจะเป็นเพียงอนุก็ตาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณหนูสามที่กำลังตั้งครรภ์พระราชนัดดาอยู่ผู้นี้เลย ได้ยินว่าหากคลอดออกมาก็จะถูกแต่งตั้งเป็นพระชายารองทันที


 


 


เจินจิ้งชำเลืองมองสาวใช้ที่เดินเข้ามาเงียบๆ ครู่หนึ่ง สาวใช้พยักหน้าให้นาง เจินจิ้งหยักยกมุมปากขึ้น แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนยิ่ง “ทำเช่นนี้…น้องยาฉีช่างมีพรสวรรค์จริงๆ ”


 


 


อย่างไรก็เป็นแค่สาวน้อยด้อยประสบการณ์ นางเรียกมาหาแค่ไม่กี่ครั้ง เผลอพูดอันใดนิดๆ หน่อยๆ ออกไปเท่านั้นก็สามารถควบคุมนางได้แล้ว


 


 


ผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็มีสาวใช้เดินเข้ามาอีก “นายหญิง พี่สาวผู้รับใช้กูไหน่ไหน่สี่มาเจ้าค่ะ บอกว่าจะมาเชิญคุณหนูเวินยาฉีไปที่สวนเหอเฟิง”


 


 


ครั้นได้ยินว่าเจินเมี่ยวเรียกนาง เวินยาฉีก็มีสีหน้ายินดีขึ้นมา


 


 


เจินจิ้งยิ้มพลางเอ่ยว่า “รีบไปเถิด”


 


 


เมื่อเวินยาฉีออกไปนางก็หุบยิ้มทันที แล้วเอ่ยถามสาวใช้ผู้เข้ามาคนแรกว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


สาวใช้ผู้นั้นเอ่ยเสียงต่ำว่า “กูไหน่ไหน่สี่พูดคุยอยู่กับคุณชายเจี่ยงในป่าไผ่แต่หลัวจื่อซื่อก็บังเอิญมาเห็นเข้าพอดีเจ้าค่ะ”


 


 


“ไม่มีใครเห็นเจ้าใช่หรือไม่?”


 


 


“ไม่เจ้าค่ะ บ่าวซ่อนตัวอยู่ไกลมาก ครั้นเห็นซื่อจื่อปรากฎตัวขึ้นก็รีบกลับมาทันทีเจ้าค่ะ”


 


 


เจินจิ้งหน้าบานขึ้นมาโดยพลัน


 


 


ยิ่งเป็นสามีภรรยาหนุ่มสาวที่รักกันมากก็ยิ่งทนไม่ได้กับเรื่องแทงใจเช่นนี้ ขอเพียงเมล็ดพันธุ์แห่งความแคลงใจนี้งอกเงยขึ้น เรื่องสนุกๆ ก็จะตามมาทันที 

 

 


ตอนที่ 283 ภาพเหมือน

 

มุมปากเจินจิ้งเคลือบรอยยิ้มบางเบา สายตาจ้องมองเก้าที่มีพรมรองนั่งลายมัจฉาแหวกบงกชที่เวินยาฉีเพิ่งนั่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ “เอาเก้าอี้นี้ออกไป”


 


 


สาวใช้รีบย้ายเก้าอี้นั้นออกไปไว้อีกฝั่ง แต่ในใจกลับลอบครุ่นคิดว่าความคิดของเจินจิ้งช่างยากจะคาดเดานัก ตั้งแต่บังเอิญพบกับคุณหนูเวินยาฉีที่สวนของจวนปั๋วครั้งหนึ่งก็เชิญนางมาพูดคุยเล่นด้วยทุกวัน แต่ดูท่าแล้วกลับมิได้ชมชอบคุณหนูผู้นั้นสักเท่าใดนัก


 


 


กล่าวไปแล้วการได้ติดตามนายเช่นนี้ก็นับเป็นโชควาสนายิ่งนัก


 


 


ตำหนักองค์ชายมีสตรีงามมากมายถึงเพียงนั้น เล่ห์กลของผู้ใดก็ต่างมิได้น้อยไปกว่ากันแต่นายหญิงของนางกลับได้รับการปฏิบัติจากองค์ชายหกแตกต่างจากผู้อื่น มิต้องพูดถึงว่านายหญิงเป็นคนแรกที่มีครรภ์หลังจากที่หลายปีที่ผ่านมานี่มีแค่จวิ้นจู่น้อยเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ทั้งยังทรงอนุญาตให้กลับมาดูแลบำรุงครรภ์ที่จวนปั๋วอีก แค่เพียงจุดนี้ก็รู้แล้วว่าอนาคตของนายหญิงท่านนี้ต้องไม่ย่ำแย่แน่


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ สาวใช้ผู้นั้นก็ยิ่งดูแลปรนนิบัตินายตนอย่างขยันขันแข็งมากขึ้นไปอีก


 


 


ท่าทีเช่นนี้ทำให้เจินจิ้งพอใจยิ่ง นางดื่มน้ำแกงรสหวานคำหนึ่งแล้วใช้ปลายนิ้วมือเรียวยาวเสลานั้นเคาะกับเสาเตียงอย่างเหม่อลอย ความคิดก็ล่องลอยไปไกล


 


 


นางเองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้กลับมาอยู่ที่นี่รวดเร็วปานนี้ คราแรกนางได้ถูกส่งออกไปดั่งสุนัขที่สิ้นไร้ไม้ตอก ยามนี้ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะคิดอันใดอยู่ในใจแต่ใบหน้าก็ยังคงผลิยิ้มออกมามิใช่หรือ


 


 


องค์ชายหกเป็นคนทำอันใดตามแต่อารมณ์ มีชีวิตอยู่อย่างอิสระไร้กฎเกณฑ์ เสื้อผ้าอาหารทุกสิ่งอย่างล้วนหรูหราประณีต ในตำหนักไม่มีพระชายา นางผู้เป็นที่โปรดปรานที่สุดย่อมได้ร่วมเสพสุขกับทุกสิ่ง เกรงว่าท่านแม่ใหญ่ของนางผู้นั้นคงมิเคยเห็นด้วยซ้ำ


 


 


เจินจิ้งคิดถึงการสนทนาคุยเล่นครั้งหนึ่ง เวินยาฉีนางเล่าถึงของขวัญวันตรุษที่พี่เขยที่สอบได้เป็นบัณฑิตชั้นสูงซึ่งถูกส่งไปรับราชการที่นอกเมือง นางก็อดแค่นหัวเราะเสียงเย็นออกมามิได้


 


 


ก็แค่ของที่นางทิ้งแล้ว มีอันใดน่าภาคภูมิใจกันเล่า!


 


 


แม้นจะเป็นภรรยาเอก แต่สามียศต่ำต้อยเพียงนั้น มีอันใดดีหนักหนา เบี้ยหวัดประจำเดือนที่ได้ก็น้อยนิดนัก เรือนพักอาศัยก็คับแคบ หากมีวันหนึ่งได้กลับมายังเมืองหลวง ก็เกรงว่าเงินที่สะสมไว้ได้นั้นคงไม่พอแม้จะซื้ออิฐแม้เพียงครึ่งก้อนด้วยซ้ำ


 


 


ในหัวของเจิ้นจิ้งพลันปรากฏภาพอันเลือนรางของหันจื้อหย่วน บัณฑิตชั้นสูงผู้มีชาติกำเนิดแสนยากจน


 


 


ตอนที่ได้หมั้นหมายกันนั้นนางเคยแอบไปดูเขาคราหนึ่ง แม้นจะเป็นบุรุษรูปโฉมหล่อเหลา แต่หากเทียบกับความงดงามโดดเด่นขององค์ชายหกแล้วนั้นเรียกได้ว่าห่างไกลกันอย่างมิอาจเปรียบได้


 


 


ครั้นคิดถึงองค์ชายหก หัวใจของเจินจิ้งก็ร้อนผ่าวขึ้นมา แสงระยิบระยับที่สะท้อนอยู่เหนือคลื่นในดวงตาคล้ายได้ปกคลุมชั้นเมฆหมอกนั้นไว้


 


 


บุรุษเช่นนั้น ไม่ว่าด้านใดก็ทำให้นางพอใจได้อย่างที่สุด แล้วนางจะมิหวั่นไหวได้อย่างไร?


 


 


เจินจิ้งกุมข้างแก้มตนเบาๆ


 


 


องค์ชายหกมักจะชอบจ้องนางนิ่งนานแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จิ้งเหนียง มีบุตรสาวให้ข้าสักคนเถิด”


 


 


สตรีทั่วตำหนักมีเพียงนางผู้เดียวที่มิได้ดื่มน้ำแกงคุมกำเนิดจึงได้ตั้งครรภ์เด็กผู้นี้ในเวลาต่อมา


 


 


บุตรสาวหรือ?


 


 


หึๆ นางย่อมต้องหวังให้เป็นบุตรชายอย่างแน่นอน ส่วนที่เขาอยากบุตรสาวคงเพราะอยากให้ตนรู้สึกสบายใจกระมัง?


 


 


เจินจิ้งรู้สึกว่าหัวใจของนางถูกความรู้สึกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘คิดถึง’ เกี่ยวกระหวัดรัดรึงอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า รัดจนนางทั้งเจ็บปวดทั้งหวานล้ำ พลันเกิดความคิดอยากจะไปพบหน้าเขาขึ้นมาอย่างกะทันหัน


 


 


องค์ชายหกที่เจินจิ้งกำลังคิดถึงอยู่ผู้นั้น เวลานี้เพิ่งจะกลับถึงตำหนัก หลังจากที่เหนื่อยล้าติดต่อกันมาหลายวันเขาจึงตรงไปยังห้องอาบน้ำทันทีโดยไม่สนแม้แต่จะดื่มชาร้อนก่อนสักอึก


 


 


สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติองค์ชายหกอาบน้ำนั้นมีทั้งหมดสี่คน ครั้นเห็นเขาหันหลังถอดอาภรณ์ออกเผยให้เห็นท่อนขายาว บั้นท้ายแข็งแกร่ง ทุกคนต่างหน้าแดงด้วยความเขินอายแต่กลับมิอาจละสายตาจากไปได้


 


 


ในเมืองหลวงแห่งนี้ผู้คนทั้งหลายต่างทราบกันดีว่าองค์ชายหกเป็นคนเจ้าชู้ แต่พวกนางทั้งสี่กลับรู้ดีว่าองค์ชายหกนั้นมิเคยแตะต้องสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอย่างใกล้ชิดเช่นพวกนางเลยสักครั้ง


 


 


เดิมหัวใจดวงนี้ของพวกนางก็ค่อยๆ หมดหวังไปแล้วแต่แม่นางจิ้งผู้นั้นกลับตั้งครรภ์ขึ้นมา!


 


 


ที่แท้นอกจากการมีจวิ้นจู่น้อยโดยมิได้ตั้งใจนั้นแล้ว องค์ชายหกก็มิได้คิดว่าจักต้องรอให้พระชายาแต่งเข้ามาก่อนจึงจักอนุญาตให้สตรีในตำหนักมีบุตรได้!


 


 


แค่จุดนี้เท่านั้นที่ทำให้พวกนางมิอาจอดกลั้นสงวนท่าทีได้อีกต่อไป


 


 


พวกนางปรนนิบัติองค์ชายหกมาหายมีย่อมต้องมีความรู้สึกผูกพันอยู่ไม่น้อย บันไดใกล้ริมน้ำย่อมได้ชมแสงจันทร์ก่อน[1] มิใช่หรือ หากรอจนพระชายาแต่งเข้ามา ไม่แน่ว่าพวกนางคงถูกไล่ออกไปก่อนเป็นอันดับแรก เช่นนั้นก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว


 


 


องค์ชายหกรู้สึกว่าสาวใช้ที่มาปรนนิบัติวันนี้ดูแปลกไปเล็กน้อยจึงอดหันกายกลับไปแล้วเลิกคิ้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นบื้อกันไปหมดแล้วหรือ มัวยืนเหม่ออันใดกันอยู่เล่า?”


 


 


สาวใช้ทั้งสี่ต่างสบตากันแล้วรีบรับอาภรณ์ ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เติมน้ำร้อนอย่างเช่นที่ผ่านมา กระทั่งองค์ชายหกนั่งลงในถังไม้อาบน้ำสาวใช้สามคนก็ออกไปเหลือสาวใช้ไว้เพียงผู้หนึ่งเพื่อคอยบีบนวดให้องค์ชายหก


 


 


องค์ชายหกหลับตาลงอย่างเช่นที่ผ่านมา พลันรู้สึกว่ามือเล็กๆ มือหนึ่งค่อยๆ เลื่อนลงไปที่ด้านล่าง


 


 


เขาลืมตาขึ้น สายตาพลันสบเข้ากับสายตาของสาวใช้ผู้นั้นพอดี


 


 


สาวใช้ผู้นั้นหน้าแดงขึ้นมา น้ำเสียงอ่อนโยนดุจสายน้ำ “องค์ชาย…”


 


 


องค์ชายหกพลันลุกพรวดขึ้นมาจากถังไม้อาบน้ำ มิรอให้สาวใช้สามคนที่อยู่ด้านนอกเข้ามาปรนนิบัติก็เช็ดตัวแล้วสวมอาภรณ์ตัวใหม่เดินออกไปทันที


 


 


ครั้นเข้าไปในห้องโถงก็นั่งลง สายตามองไปที่สาวใช้ทั้งสี่ที่เดินตามมานั่งคุกเข่าอยู่ด้านล่าง ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “รุ่ยชิวเห็นแก่ที่เจ้าติดตามข้ามานาน ข้าจะไม่ลงโทษเจ้า ประเดี๋ยวเจ้าไปบอกกับผู้ดูแลตำหนักว่าเจ้าอายุมากแล้ว ควรออกเรือนเสียที”


 


 


“องค์ชาย!” รุ่ยชิวขาอ่อนทรุดลงกับพื้นแล้วเอ่ยขอร้องอยู่นาน


 


 


องค์ชายหกกลับไม่มีท่าทีใดๆ เพียงชำเลืองมองสาวใช้อีกสามคนอย่างไม่เย็นชาทั้งไม่ชิดเชื้อ แล้วเอ่ยว่า “ข้าหวังว่าเรื่องเช่นวันนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”


 


 


สาวใช้ทั้งสามพลันสะท้านไป ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะขอร้องแทนรุ่ยชิว ได้แต่เบิกตาจ้องมององค์ชายหกเดินออกไป


 


 


องค์ชายหกเดินเข้าไปในอุทยานดอกไม้จึงได้พ่นลมหายใจแห่งความขุ่นเคืองออกมา ผู้ใดจะทราบว่าที่นี่กลับมิอาจเป็นที่หลบภัยให้เขาได้จริงๆ เพราะผ่านไปครู่หนึ่งก็บังเอิญไปพบกับคนที่มาชมบุปผา ประเดี๋ยวก็มีคนมาให้อาหารปลา ทั้งยังมีเดินขาพลิกจนเกือบจะล้มใส่เขาอีก ทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งขึ้นไปอีกจึงตรงไปยังห้องตำรา


 


 


ในห้องตำรามีเพียงเด็กรับใช้ที่ฉลาดมีไหวพริบผู้หนึ่งเฝ้าอยู่ องค์ชายหกสั่งให้เขาออกไปแล้วนั่งอยู่ที่นั่นครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดลิ้นชักที่อยู่ล่างสุดของชั้นวางตำรา เขาหยิบกล่องไม้ที่ถูกปิดสลักใบหนึ่งออกมา แล้วหยิบกุญแจที่มิทราบคว้ามาจากที่ใดเปิดมันออก ล้วงเอาภาพวาดที่ม้วนอยู่ด้านในออกมา


 


 


องค์ชายหกค่อยๆ คลี่ภาพวาดนั้นออกปรากฏเป็นภาพสตรีนางหนึ่ง สตรีบนภาพนั้นงดงามกว่าหญิงใดในใต้หล้า นางกำลังผลิยิ้มเต็มหน้า ลักยิ้มคู่นั้นบนข้างแก้มยิ่งเพิ่มความสดใสให้นางขึ้นอีกหลายส่วนแต่กลับมิอาจคาดเดาได้ว่าอายุเท่าใดกันแน่


 


 


มือเรียวยาวนั้นลูบลงบนภาพนั้นอย่างเชื่องช้า และหยุดลงบนลักยิ้มของสตรีผู้นั้น องค์ชายหกหลับตาลงปิดบังความสับสนและความเจ็บปวดที่อยู่ภายในของตน


 


 


เขารู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้มันเป็นเรื่องน่าตกใจและผิดแปลก แต่เขากลับมิอาจควบคุมมันได้


 


 


แต่ยามนี้แม้นเขาจะมิอาจควบคุมมันได้แต่ก็ต้องเก็บกดมันไว้ให้ลึกที่สุด หรือบางทีก็คงต้องรอจนวันที่เขาได้ครอบครองตำแหน่งนั้น เขาถึงจะมีโอกาสช่วงชิงสิ่งที่เขาปรารถนา


 


 


นัยน์ตาเรียวยาวขององค์ชายหกเปิดขึ้น มิอาจมองแสงระยิบระยับที่สะท้อนอยู่บนคลื่นในดวงตานั้นให้ชัดได้ดั่งหมอกควันที่กลืนกินจิตใจคนก็มิปาน คล้ายว่าหากผู้ใดไม่ระวังเผลอมองก็คงถูกดูดกินไปแม้กระทั่งวิญญาณกระนั้น


 


 


องค์ชายหกจ้องมองรอยยิ้มนั้นของสตรีงามในภาพวาดในหัวพลันเกิดความคิดหนึ่งแล่นผ่านเข้ามา


 


 


หาก…หากนางกับเขาอายุเท่ากัน…


 


 


องค์ชายหกพลันนึกถึงสตรีอีกผู้หนึ่งขึ้นมาทันใด


 


 


นางเพิ่งจะอายุสิบหกเท่านั้น ทั้งที่มีรูปโฉมคล้ายกันยิ่งแต่กลับมิได้มีท่าทีซับซ้อนนับหมื่นชนิดเช่นนั้น แต่กลับชัดเจนสว่างใสดุจผลึกอัญมณี ทุกครั้งที่พบก็ทำให้คนอดยิ้มออกมามิได้


 


 


หากบอกว่าสตรีผู้นั้นดึงดูดเข้าให้ตกลงไปในมนต์สะกดแห่งอเวจี เช่นนี้น้องสาวผู้นี้ก็คงเป็นผลไม้ที่ทำให้คนรู้สึกเบิกบานใจ


 


 


มุมปากองค์ชายหกผุดยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวแต่ก็พลันชะงักไปแล้วส่ายศีรษะไปมา


 


 


อย่างไรพวกนางก็มิใช่คนเดียวกัน เขาคิดมากเกินไปแล้ว


 


 


องค์ชายหกค่อยๆ ม้วนภาพนั้นเก็บลงแล้วออกไปจากห้องตำราคล้ายว่ามิเคยได้มาที่นี่เลยกระนั้น


 


 


เวินยาฉีเข้าไปในสวนเหอเฟิงแล้วย่อกายคารวะนางเวินและเจินเมี่ยวจึงค่อยเลือนสายตาไปมองหลัวเทียนเฉิง นางก้มหน้าลงแล้วแสดงความเคารพพลางเรียกเขาว่าพี่เขยคราหนึ่ง


 


 


“ญาติผู้น้องเกรงใจเกินไปแล้ว” หลัวเทียนเฉิงพลันเปลี่ยนท่าทีเย็นชาที่มีมาตลอดทางไป เขาลุกขึ้นเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าพูดคุยกับท่านแม่และญาติผู้น้องไปเถิด ข้าจักไปเดินเล่นสักครู่”


 


 


เวินยาฉีก้มหน้าต่ำ หางตากลับมองตามเขาไปอยู่นานจึงเก็บสายตากลับมา ในใจพลันเกิดความอิจฉาขึ้น


 


 


แรกเริ่มญาติผู้พี่ก็ดึงพี่เขยลงไปในน้ำจึงได้มีวาสนาที่ดีด้วยกันเช่นนี้ ตอนนั้นยังมีคนบอกว่าญาติผู้พี่แต่งออกไปเช่นนี้อย่างไรก็มีชีวิตที่ไม่มีอย่างแน่นอน แต่ยามนี้เป็นอย่างไรเล่า ดูน้ำเสียงอันอ่อนโยน สายตาที่มีแต่เงาร่างของญาติผู้พี่สิ!


 


 


ทั้งยังมีพี่จิ้งอีกคน นางเล่าว่าบังเอิญได้พบกับองค์ชายหกในเทศกาลชีซี องค์ชายหกก็ตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกเห็น นางจึงได้เข้าไปอยู่ในตำหนักองค์ชาย


 


 


แต่น่าเสียดายที่พี่จิ้งเป็นเพียงบุตรของอนุ มิเช่นนั้นตำแหน่งพระชายาคงต้องเป็นของนางอย่างแน่นอน


 


 


นางเวินเห็นเวินยาฉีก้มหน้าต่ำไม่พูดจาจึงอยากให้สองพี่น้องได้คุยกันสะดวกขึ้น นางจึงหาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงเจินเมี่ยวและเวินยาฉี


 


 


เมื่อเห็นว่ามาที่นี่นานแล้วเจินเมี่ยวจึงมิอ้อมค้อมอีก นางเอ่ยทุกสิ่งอย่างละเอียดตามที่ตนคิดไว้


 


 


ยังคงเป็นแผนเดิมที่วางไว้โดยให้เวินยาฉีออกไปพักอยู่แสนไกลสักปีครึ่งในนามของสตรีที่ออกเรือนแล้วจึงค่อยกลับมาไว้อาลัยให้สามีในฐานะหญิงหม้ายสามปี ไม่เกินสิบแปดค่อยแต่งออกไปก็ไม่มีผู้ใดพูดมากแล้ว


 


 


เวินยาฉีฟังแล้วก็เผยสีหน้าสงสัย


 


 


ตอนนั้นนางยังเด็กจึงปีนป่ายขึ้นเตียงญาติผู้พี่ด้วยความเลอะเลือน หลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้นนางก็เสียใจและกลัวยิ่งจึงยินดีเชื่อฟังการจัดการของญาติผู้พี่ทุกอย่าง แต่หลายวันมานี่ที่ได้พบกับพี่จิ้งกลับทำให้นางรู้สึกมิใคร่ยินยอมเท่าใดนัก


 


 


ญาติผู้พี่กับพี่จิ้งต่างลงมือไขว่คว้าความสุขของตนเอง แล้วเหตุใดนางถึงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ด้วยเล่า?


 


 


ส่วนพี่สาวของนางนั้นก็เพราะรู้จักกับพี่เขยมาก่อนแล้ว พี่เขยนั้นมีใจให้นางอยู่ก่อนแล้วถึงได้รักใคร่กลมเกลียวกันอย่างยิ่งเช่นนี้


 


 


ทว่านางนั้นมีมลทินมาก่อน หากแต่งงานอีกครั้งในฐานะหญิงหม้ายจะได้แต่งกับบุรุษที่ดีได้จริงๆ หรือ?


 


 


นางอยู่ที่จวนปั๋วมาปีกว่าพบเห็นบุรุษรูปงามที่เป็นบุตรเขยกลับมาเยี่ยมจวน สายตาของคุณหนูน้อยจึงยิ่งมองหาแต่ความสมบูรณ์แบบ ครั้นคิดถึงสามีที่ทั้งแก่ชราและอุปนิสัยต่ำทรามนางก็ไม่อยากจะแต่งงานแม้เพียงสักนิด


 


 


“ญาติผู้น้องมีความคิดเห็นอื่นใดหรือไม่?”


 


 


เวินยาฉีนิ่งเงียบไม่ยอมพูด


 


 


เจินเมี่ยวค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นแล้วจ้องมองเวินยาฉีนิ่ง นางเอ่ยเนิบนาบว่า “ได้ยินว่าสองสามวันมานี่เจ้าสนิทชิดเชื้อกับพี่สามยิ่ง ข้าเองก็ไม่อยากปิดบังเจ้า ข้ากับพี่สามนั้นมิลงรอยกันมาตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว นางข้ามหน้าน้องห้าน้องหกเข้ามาตีสนิทกับเจ้า ญาติผู้น้อง เจ้าเองก็โตถึงเพียงนี้แล้วควรต้องไตร่ตรองให้ละเอียดจึงจะถูก อย่าได้ทำเรื่องอันใดให้ตนต้องเสียใจและทำให้คนที่เป็นห่วงเจ้าต้องเสียใจอีกเลย”


 


 


ใจของเวินยาฉีนั้นรู้สึกมิใคร่ยินยอมเท่าใดแต่ก็มิกล้าเอ่ยปากโต้เถียงได้แต่เม้มปากพยักหน้าไป “ข้าจะเชื่อฟังญาติผู้พี่เจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวจึงเผยรอยยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ดีแล้ว รอข้ากลับไปแล้วจะพูดกับพี่เขยเจ้าให้ ญาติผู้น้องเจ้าวางใจเถิด พี่เขยเจ้าสายตาแหลมคม จักต้องหาคนที่รูปงามและมีอนาคต ไม่มีทางหาคนที่ทั้งแก่และอัปลักษณ์มาให้เจ้าอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นข้าก็ไม่มีทางยอมแน่”


 


 


หากเป็นผู้อื่นคงไม่มีทางพูดเรื่องรูปลักษณ์ของบุรุษแน่ แต่เพราะเจินเมี่ยวเองเป็นผู้ชมชอบในความงามจึงพูดเช่นนี้ขึ้นมา แต่กลับไม่รู้ว่าเรื่องนี้แลที่เป็นความกังวลใจที่สุดของแม่นางน้อยผู้นี้


 


 


เมื่อได้ยินประโยคนี้ของนาง ความกังวลใจที่ก่อตัวขึ้นในระยะเวลาสองสามวันนี้ของเวินยาฉีที่เจินจิ้งเป็นผู้กระตุ้นขึ้นอย่างแนบเนียนนั้นจึงค่อยๆ สงบลงได้


 


 


 


 


——


 


 


[1] บันไดใกล้ริมน้ำย่อมได้ชมแสงจันทร์ก่อน ใช้เปรียบเปรยว่าอยู่ใกล้กว่าย่อมมีโอกาสก่อน 

 

 


ตอนที่ 284 ห่วง

 

กระทั่งเวินยาฉีกลับไปแล้ว เจินเมี่ยวก็ยังรู้สึกไม่วางใจจึงเอ่ยกับนางเวินว่า “ท่านแม่ ข้าได้ยินมาว่าระยะนี้ญาติผู้น้องสนิทกับพี่สามยิ่ง ท่านก็รู้ว่าพี่สามกับข้ามีเรื่องไม่เข้าใจกันมาแต่ไหนแต่ไร จู่ๆ นางก็มาตีสนิทกับญาติผู้น้องเช่นนี้ ข้ากลัวว่านางจะมีแผนการใด นางกลับมาดูแลบำรุงครรภ์ย่อมต้องอยู่ที่นี้ไปอีกนาน ท่านช่วยควบคุมญาติผู้น้องสักหน่อยให้นางฝึกเย็บปักอยู่ที่สวนเฉินเซียงอย่างสงบใจเถิด หากรู้สึกเบื่อก็ไปสนทนาเล่นกับน้องห้า น้องหกก็ได้”


 


 


นางเวินถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้ามิใช่ไม่รู้ว่าปิงเอ๋อร์กับอวี้เอ๋อร์มิใคร่ไยดีเวินยาฉีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เวินยาฉีอายุแค่สิบสี่สิบห้า เป็นวัยที่กำลังชอบความสนุกสนาน แต่ฐานะของนางก็มิสะดวกให้พานางออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกได้ เมื่อไม่มีสหายที่รู้ใจคอยพูดคุยด้วยก็ย่อมต้องเหงาเป็นธรรมดา เมื่อพบกับเจินจิ้งที่อายุใกล้เคียงกันก็ง่ายที่จะสนิทกันเร็ว ข้าเองก็มิอาจแข็งใจเอ่ยห้ามปราม แต่ที่เจ้าคิดก็มีเหตุผล แล้วข้าจะไปกำชับยาฉีไว้สักหน่อย”


 


 


เจินเมี่ยวปล่อยเรื่องนี้ไปแล้วพูดคุยกับมารดาในเรื่องอื่นๆ ต่อ


 


 


กระทั่งดื่มชาไปจนครึ่งกา นางเวินจึงเอ่ยเร่งนางว่า “อากาศหนาวเช่นนี้มิควรให้บุตรเขยรออยู่ข้างนอก พวกเจ้าสองคนรีบไปกล่าวอำลากับฮูหยินผู้เฒ่าแล้วกลับจวนเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวลุกขึ้นอย่างอาลัยอาวรณ์


 


 


กล่าวไปแล้วที่จวนกั๋วกงผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดก็มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่า ซื่อจื่อก็ยุ่งทั้งวันไม่เห็นแม้เพียงเงา นางเถียนนั้นล้มป่วยอยู่ การดูแลจัดการจวนนั้นก็ได้อาสะใภ้ทั้งสองคอยช่วยเหลือ นางนั้นมีชีวิตอยู่อย่างอิสระยิ่ง แต่ทุกวันก็มิได้มีคนที่พอจะพูดคุยด้วยได้จริงๆ ทว่ากลับยิ่งสนิทสนมกับแมวและนกมากขึ้น แต่เวลาพวกมันเจอหน้ากันทีไรก็มีอันต้องวิวาททุกครั้งไปทำให้นางปวดหัวไม่น้อย


 


 


ยากนักจะได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมมารดาเช่นนี้ นางเวินเป็นคนมิคิดอันใดมาก ทั้งยังรักห่วงบุตรสาวด้วยใจจริง ครั้นได้พูดคุยกันก็มีแต่ความสุขมิได้ไปครุ่นคิดกับเรื่องที่มันผิดแปลกมากเล่ห์เหล่านั้น เจินเมี่ยวเองก็รู้สึกว่าพวกตนสองแม่ลูกมีคำพูดมากมายที่พูดคุยอย่างไรก็ไม่มีวันจบสิ้น


 


 


นางเวินเห็นบุตรสาวตนที่งดงามดุจบุปผาดั่งหยกก็อดกำชับอีกคำมิได้ว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าต้องจำคำแม่ไว้ให้ดี พวกเจ้ายังหนุ่มสาว เหนือหัวไม่มีแม่สามีคอยดูแลกำกับ แต่ก็มิอาจทำตัวเอาแต่ใจตนเกินไป หากกระทบต่อสุขภาพขึ้นมา อนาคตจักต้องทุกข์ทนมากเป็นแน่ ”


 


 


“ท่านแม่!” เจินเมี่ยวอดกลอกตาไปมามิได้


 


 


นางเวินตีแขนนางดังเปรี๊ยะคราหนึ่ง แล้วเอ่ยตำหนิว่า “กลอกตาเช่นนั้นได้อย่างไร ดูไม่เรียบร้อยเอาเสียเลย!”


 


 


ครานี้เจินเมี่ยวไม่กล้าแม้จะกลอกตาไปมาอีก ได้แต่รับคำบ่งบอกว่าเข้าใจแล้วอย่างจำยอม ในใจก็กล่าวว่าสามีนางเป็นนักบวชมานานแล้วแท้ๆ แต่กลับต้องแบกหม้อดำใบใหญ่เสียนี่


 


 


ตอนที่ออกมาก็เห็นหลัวเทียนเฉิงกำลังยืนเอามือไพล่หลังเหม่อมองไปที่แสนไกลไม่ทราบกำลังคิดสิ่งใดอยู่


 


 


วันนี้เขาสวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวขุ่น บนศีรษะครอบรัดเกล้าหยกขาวทำให้รู้สึกว่าใบหน้านั้นก็ทำมาจากหยกด้วยเช่นกัน ครั้นเขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ดูเย็นชานิ่งขรึม ท่าทีสูงส่งอย่างที่ผู้ใดก็มิอาจเอื้อมถึง


 


 


เจินเมี่ยวพลันสังเกตเห็นว่าไม่เพียงแค่พี่เจี่ยงที่มิได้พบกันนานแล้วที่ผ่ายผอมลง ซื่อจื่อเองก็ซูบลงไม่น้อยเช่นกัน


 


 


เมื่อได้ยินเสียงหลัวเทียนเฉิงก็หันกลับมา


 


 


อาจเพราะดื่มสุรามาทำให้ดวงตาที่เดิมก็มีเส้นเลือดแดงกระจายอยู่เต็มนั้นกลับยิ่งแดงก่ำขึ้นอีก ใต้ตาก็ดำคล้ำ


 


 


ไม่รู้เหตุใดเจินเมี่ยวจึงรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา นางรีบเดินเข้าไปหาแล้วเม้มริมฝีปากก่อนเอ่ยว่า “ไยจึงยืนตากลมอยู่ที่นี้เล่า คิดว่าตนสร้างมาจากเหล็กจริงๆ งั้นหรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงยกมุมปากขึ้น เอ่ยอย่างไม่ร้อนไม่หนาวว่า “ข้าร่างกายแข็งแรงทนร้อนทนหนาว ก็มิต่างอันใดจากเหล็กมิใช่หรือ?”


 


 


ด้านหลังยังมีไป่หลิงและชิงเกอตามมาด้วย เจินเมี่ยวพลันรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยจึงถลึงตามองเขาอย่างแฝงคำตำหนิ น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้น “สายมากแล้ว เราไปบอกลาท่านปู่ท่านย่ากันเถิด”


 


 


กระทั่งออกมาจากเรือนหนิงโซ่วและขึ้นรถม้าเรียบร้อย ทั้งสองยังคงนั่งกันคนละมุม ต่างไม่มีผู้ใดไยดีกัน ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าม้าและล้อรถเคลื่อนไหว เมื่อถึงถนนใหญ่ก็ได้ยินเสียงคนอึกทึกคึกคัก แค่ผ้าม่านกั้นบนรถม้าไหนเลยจะขวางกั้นเสียงเหล่านี้ได้


 


 


หลัวเทียนเฉิงหันไปมองฝั่งตรงข้ามคราหนึ่ง


 


 


รถม้าเคลื่อนไปอีกสักระยะก็จะถึงศาลาว่าการ ไหนเลยจะมีเวลากลับจวนไปเป็นเพื่อนนาง เดิมคิดจะอาศัยการกลับไปเยี่ยมพ่อตาแม่ยายครั้งนี้ชิดใกล้กับนางให้มากขึ้น ผู้ใดจะทราบว่าเขากลับถูกนางบีบหัวใจจนเจ็บปวดไปหมด กระทั่งยามนี้โทสะก็ยังมิคลายลง แต่สตรีผู้นั้นกลับทั้งดั่งไม่มีอันใดเกิดขึ้นกระนั้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มขืนอยู่ในใจ


 


 


ชาติก่อนนั้นเขาไม่นับว่าสุขุมรอบคอบอันใด มิต้องพูดถึงสาวใช้ทงฝังหลายคนในเรือน แม้นนอกเรือนก็มีเรื่องชู้สาวอยู่ไม่น้อย สตรีที่รักหลงใหลเขานั้นมิใช่ไม่มี ท่าทีที่สตรีผู้หนึ่งชมชอบบุรุษผู้หนึ่งเป็นเช่นไรนั้นมีหรือเขาจะไม่รู้เลยสักนิด


 


 


อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าท่าทีของเจี๋ยวเจี่ยวในยามนี้มิได้มีความรักอย่างหนุ่มสาวต่อเขามากมายอันใดนัก


 


 


วันนี้ที่เขายืนอยู่ข้างป่าไผ่มองพวกเขาสองคนพูดคุยกันอย่างยิ้มแย้ม สายตาสบจ้องกัน แม้นตอนพูดคุยนั้นจะยืนอยู่ห่างกันพอสมควรแต่กลับดูสนิทสนมกันยิ่ง ครั้นลมพัดป่าไผ่เอนไหว เงาของคนทั้งสองที่สะท้อนอยู่บนพื้นกลับเอนไหวขยับซ้อนทับกันเป็นหนึ่งเดียวคล้ายกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่กระนั้น


 


 


เวลานั้นเขาลืมกระทั่งมองสีหน้าของคนทั้งสอง เอาแต่จ้องมองเงานั้นจนแทบกระอักเลือดออกมา


 


 


หรือในใจของเจี๋ยวเจี่ยวจะมีเงาร่างของเจี่ยงเฉินซ่อนอยู่? มิเช่นนั้นเหตุใดนางจึงมิยอมเปิดใจให้เขาเสียทีเล่า?


 


 


ครั้นคิดได้เช่นนี้ ลมหายใจของหลัวเทียนเฉิงก็สะดุดทันที ความรู้สึกเจ็บปวดเสียดแทงเข้ามาในหัวใจ แต่เขาเป็นผู้มีศักดิ์ศรียิ่ง แม้นในใจเจ็บปวดเจียนตายแต่ใบหน้ากลับยังคงความเย็นชาไว้ได้ ทำให้คนที่เห็นคิดว่าเขาเพียงโมโหอันใดสักอย่างจึงได้แสดงสีหน้าบึ้งตึงเย็นชาเช่นนั้นออกมา


 


 


เจินเมี่ยวลอบชำเลืองมองเขาคราหนึ่ง เห็นกระแสเย็นชาที่แผ่ออกมาจากกายเขาแล้วก็อดขย้ำผ้าเช็ดหน้ามิได้


 


 


มิเคยเห็นคนที่ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายเช่นนี้มาก่อน ตอนอยากจะงอนง้อก็ส่งของขวัญมาให้ได้ทุกวัน แค่เห็นหน้าก็แทบจะกอดนางไว้ไม่ยอมปล่อยมือ แต่ครั้นโกรธเคืองขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลก็แสดงท่าทีดุจคนอยู่ห่างไกลกันนับพันลี้


 


 


ฮึ! ต่อให้ทำทีเหมือนอยู่ห่างกันนับพันลี้แต่รถม้าก็กว้างแค่นี้เท่านั้น ผู้ใดกลัวกันเล่า เรามิควรโอนอ่อนให้บุรุษจนเกินไป!


 


 


เจินเมี่ยวเองก็มิทราบว่าตนไปอ่านวาจานี้มาจากที่ใดจึงหยิบมาใช้งานจริงเสียหน่อย เมื่อกล่าวเช่นนี้อยู่ในใจเสร็จก็นึกสนุกขึ้นมาจึงอดเม้มริมฝีปากผลิยิ้มออกมามิได้


 


 


แม้นสีหน้าของหลัวเทียนเฉิงจะดูเย็นชาแต่ความจริงก็ใช้หางตาชำเลืองมองเจินเมี่ยวอยู่ตลอด เมื่อเห็นนางยิ้มออกมาคล้ายมิเห็นความเจ็บปวดของเขาอยู่ในสายตาเช่นนี้ก็โกรธจนหายใจผิดจังหวะ เส้นเอ็นในร่างกายจึงพลันปวดแปลบขึ้นมา ใบหน้าเหยเก


 


 


เวลานี้เองรถม้าก็หยุดลงกะทันหัน เจินเมี่ยวจึงเซถลาไปด้านหน้า


 


 


หลัวเทียนเฉิงรีบยื่นมือไปคว้านางไว้ ร่างอันนุ่มนิ่มหอมกรุ่นจึงตกเข้าสู่อ้อมกอดของเขา เพราะเมื่อครู่หายใจผิดจังหวะและถูกกระแทกเช่นนี้อีกทำให้อดส่งเสียงออกมามิได้


 


 


เจินเมี่ยวเคยเผชิญความยากลำบากด้วยกันกับเขามาเมื่อคราอยู่ที่เป่ยเหอ จึงทราบดีว่าเขาแข็งแรงเพียงใด ตอนนั้นแม้ขาถูกกิ่งไม้เสียบจนเป็นรูโหว่ก็มิเห็นเขาขมวดคิ้วด้วยซ้ำ แต่ยามนี้ถึงกับร้องออกมา หรือนางกระแทกเขาแรงเกินไป?


 


 


เจินเมี่ยวมิใช่คนคิดเล็กคิดน้อย เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงสีหน้าไม่ดีก็ลืมเรื่องที่ไม่พอใจกันไปเสียสิ้น นางรีบประคองเขาแล้วถามว่า “จิ่นหมิง เป็นอันใด ข้ากระแทกถูกตรงไหนหรือ?”


 


 


พูดพลางลูบปอยผมตนแล้วพึมพำว่า “ปิ่นปักผมบนศีรษะข้าคงมิได้แทงถูกท่านกระมัง?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงกุมบริเวณซี่โครงตนไว้ เดิมคิดจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่เมื่อเห็นเจินเมี่ยวคลำผมตนอย่างลนลาน ทั้งท่าทีร้อนรนนั้นอีก เขาจึงรีบกลืนวาจาที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นลงไปทันที ในใจก็กล่าวว่าเด็กน้อยที่รู้จักร้องไห้ถึงมีน้ำนมให้ดื่ม เขาทำเป็นแข็งแกร่งผู้อื่นกลับไม่สนใจ แต่ยามนี้กลับร้อนใจจนแทบทนไม่ไหว


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็แค่นเสียงเย็นอยู่ในใจ


 


 


ที่แท้เจี่ยงเฉินผู้นั้นก็รู้ว่าจะทรมานสตรีได้อย่างไร คงรู้ว่าเจี๋ยวเจี่ยวของเขานั้นเป็นคนใจอ่อนจึงได้แสดงท่าทีอ่อนแอเช่นนั้นออกมา


 


 


ฮึ! แสดงให้ใครดูกันเล่า คิดว่าเขาทำไม่เป็นหรืออย่างไร!


 


 


“มิ…มิเป็นไร…” หลัวเทียนเฉิงปากเอ่ยเช่นนี้แต่ใบหน้ากลับขมวดเกร็งไปหมด เขาค่อยเดินลมปราณทำเลือดบนหน้าค่อยๆ เหือดหายไปจนขาวราวกับกระดาษก็มิปาน เหงื่อเย็นต่างไหลซึมออกมาไม่หยุด


 


 


เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นก็ลืมแม้กระทั่งความสงสัยใดๆ ไปเสียสิ้น นางประคองเขาไว้อย่างระมัดระวังด้วยท่าทีร้อนใจ “เจ็บมากหรือไม่? กระแทกโดนตรงใดหรือ ให้ข้าดูสักหน่อยเถิด”


 


 


นางพูดพลางแหวกเสื้อเขาออกดู หลัวเทียนเฉิงใช้มือกุมซี่โครงไว้ข้างหนึ่ง เมื่อเห็นเช่นนั้นก็กัดฟันใช้พลังลมปราณอัดเข้าไปที่ซี่โครงตน ครั้นเจินเมี่ยวแหวกเสื้อออกดูก็ปรากฏรอยเขียวช้ำตรงบริเวณนั้นขึ้นมาทันที


 


 


เจินเมี่ยวซูดปากคราหนึ่ง นางยื่นมือออกไปคิดจะนวดให้เขาแต่เกิดกลัวว่าเขาจะเจ็บจึงได้แต่นิ่งไปไม่ทราบว่าจะทำเช่นไร นางพึมพำว่า “รอยนี้เป็นเพราะข้าชนท่านหรือ? หรือศีรษะข้าจะทำจากเหล็ก?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมาแต่ก็กลัวมีพิรุธจึงได้แต่อดกลั้นไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อเห็นท่าทีเป็นห่วงกังวลของนาง ความเจ็บปวดที่มีมาแต่แรกนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความหวานล้ำทันที


 


 


สตรีที่อยู่ในใจนั่งชิดใกล้เขาเพียงนี้ นางกำลังก้มหน้าต่ำตรวจดูบาดแผลทำให้มองเห็นลำคอขาวอมชมพูนั้นได้ถนัดตา ปอยผมซุกซนคลอเคลียอยู่ข้างใบหูขับให้ใบหูขาวผ่องขึ้นมา กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นช่างทำให้ใจคนเต้นไม่เป็นส่ำอย่างยากจะควบคุม


 


 


หลัวเทียนเฉิงพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา กระทั่งขบใบหูเล็กๆ ขาวผ่องของนางเอาไว้อย่างอดไม่ได้


 


 


เจินเมี่ยวสั่นสะท้านไปทั่วร่างคล้ายถูกกระแสไฟแล่นเข้าชนและนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ


 


 


เวลานี้เองเสียงคนขับรถม้าก็ดังขึ้นพอดี “ซื่อจื่อ ท่านทั้งสองไม่เป็นไรใช่หรือไม่ เมื่อครู่มีคนวิ่งตัดหน้า รถม้าจึงต้องหยุดกะทันหัน”


 


 


หลัวเทียนเฉิงผ่อนลมหายใจออกมา มุมปากหยักยกขึ้น “มิเป็นไร ควบต่อไปเถิด ประเดี๋ยวให้เลี้ยวซ้ายส่งข้าที่ศาลาว่าการก่อน แล้วค่อยพาต้าไหน่ไหน่กลับจวน”


 


 


คนขับรถม้าจึงเริ่มควบม้าอีกครา ยามนี้เจินเมี่ยวนั่งเรียบร้อยแล้ว นางจัดการเอาปอยผมที่หลุดลุ่ยนั้นทัดไว้ที่หลังหูแล้วเอ่ยว่า “ท่านเป็นถึงเพียงนี้แล้วยังจะไปศาลาว่าการอีกหรือ กลับไปพักสักหน่อยก่อนเถิด ข้าว่าซี่โครงท่านถูกกระแทกแรงไม่เบาเลย กลับไปเอาผ้าร้อนประคบเสียหน่อยจะได้หายเร็วขึ้น”


 


 


หลัวเทียนเฉิงตั้งใจเอ่ยขึ้นว่า “ข้าแข็งแรงยิ่ง มิเป็นอันใดดอก ที่ศาลาว่าการยังมีเรื่องอีกมากให้ทำ”


 


 


เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขาคราหนึ่งแล้วกัดฟันเอ่ยว่า “หลัวเทียนเฉิง ข้าเพิ่งจะรู้ว่าท่านใจน้อยถึงเพียงนี้ แค่วาจาประโยคเดียวก็จำไม่ลืมเลยเชียว”


 


 


“ไม่ใช่เสียหน่อย ข้ามีงานจริงๆ อีกอย่างข้าก็มิใช่กระดาษไร้คุณภาพ กระแทกแค่นี้มิเป็นอันใดดอก” แม้นเขาจะพูดเช่นนี้ทว่าบนหน้าผากกลับปรากฏเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มไปหมด


 


 


เจินเมี่ยวไม่ทราบว่าเหงื่อเย็นที่ผุดขึ้นมากมายนี้นั้นเกิดจากพลังลมปราณของคนเจ้าเล่ห์ นางจึงเอ่ยตำหนิว่า “มิต้องมาทำเป็นเก่ง!”


 


 


หลัวเทียนเฉิงกุมมือเจินเมี่ยว ท่าทีคล้ายกำลังข่มกลั้นความเจ็บปวดไว้ “เจี๋ยวเจี่ยว หากเจ้าเป็นห่วงข้า ข้าตามเจ้ากลับจวนก็ได้”


 


 


พูดพลางใช้ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเจินเมี่ยวนิ่ง


 


 


เจินเมี่ยวถูกสายตาร้อนแรงของเขาจ้องก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาจึงเม้มริมฝีปากไว้มิเอ่ยสิ่งใด


 


 


“ข้าว่าข้ากลับศาลาว่าการดีกว่า เจ็บแค่นี้ไม่นับเป็นอันใดได้ ประเดี๋ยวกลับไปก็อาบน้ำเย็นสักถังแล้วนวดสักหน่อยก็หายแล้ว”


 


 


“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร!”


 


 


หลัวเทียนเฉิงรั้งร่างนางเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยเสียงแผ่วอย่างเอาแต่ใจว่า “เช่นนั้นเจ้าต้องบอกว่าเป็นห่วงข้า ข้าก็จะตามเจ้ากลับจวน”


 


 


เจินเมี่ยวกลัวว่าเขาจะไม่รักถนอมสุขภาพตนจริงๆ จึงเอ่ยเสียงแผ่วทั้งหน้าแดงก่ำว่า “ข้าเป็นห่วง พอใจแล้วหรือไม่?” 

 

 


ตอนที่ 285 คู่รักคู่แค้น

 

ครั้นคำว่า ‘ข้าเป็นห่วง’ เอ่ยออกมา หัวใจของหลัวเทียนเฉิงก็หวานล้ำขึ้นมาดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้ง ความงดงามอันน่าอัศจรรย์นี้กลับเป็นสิ่งที่เขามิเคยได้สัมผัสมาก่อนเลยทั้งสองชาติภพ


 


 


จึงอดปลอบประโลมนางอยู่สักหลายคำมิได้แล้วจึงก้มหน้าลงดอมดมใบหูเล็กพลางเอ่ยว่า “เจ้าห่วงผู้ใด พี่มั่วเหยียนหรือพี่เจี่ยงกันเล่า?”


 


 


เจินเมี่ยวจึงพลันเข้าใจอันบางอย่างจึงเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “จิ่นหมิง ท่านหึงอันใดกัน?”


 


 


“หึงอันใดงั้นหรือ เจ้ามิใช่เอาแต่คิดถึงการกินหม้อไฟกับพี่มั่วเหยียนนั้นหรอกหรือ? ยังมีพี่เจี่ยงนั้นอีก เขาซูบผอมลงหรือไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้ากัน?”


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในใจอีก หลายวันมานี่เขายุ่งจนเท้าแทบไม่ติดพื้นแต่ก็ยังคิดถึงแต่นาง อาภรณ์ที่สวมใส่ก็หลวมโพรกลงไปไม่น้อยแต่ก็มิเห็นนางเอ่ยถามเขาก่อนสักคำ


 


 


การพบกันของเจินเมี่ยวกับเจี่ยงเฉินนั้นเป็นเรื่องบังเอิญย่อมรู้สึกว่าตนบริสุทธิ์ใจยิ่ง แต่เมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้นางกลับรู้สึกว่าตนมิใคร่ใส่ใจต่อสามีสักเท่าใดนัก


 


 


เจินเมี่ยวพลันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ


 


 


สำหรับเรื่องระหว่างชายหญิงนั้นสตรีผู้นี้ก็ไม่ต่างอันใดกับไม้ตีผ้า หากเป็นผู้รู้จักออดอ้อนหรือ อย่าว่าแต่มิได้คิดอันใดกับเจี่ยงเฉินเลยต่อให้คนทั้งสองจะมีอดีตร่วมกัน เมื่อถูกบุรุษของตนเอ่ยถามด้วยท่าทีเจ็บปวดเช่นนี้ก็ย่อมต้องปฏิเสธทันทีแล้วค่อยหยอดคำหวานตาม


 


 


แต่นางกลับเป็นคนซื่อในเรื่องเหล่านี้ทั้งก่อนหน้านี้นางเวินยังบอกว่าเจี่ยงเฉินป่วย เดิมนางก็รู้สึกห่วงใยอยู่บ้าง ครั้นเห็นเจี่ยงเฉินที่ผ่ายผอมลงไปไม่น้อยนั้นนางก็เกิดความรู้สึกห่วงใยเขาขึ้นมาจริงๆ เมื่อหลัวเทียนเฉิงถามออกมาเช่นนี้นางจึงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมาก็เพื่อหนึ่งอยากใช้โอกาสนี้แสดงความไม่พอใจของตนออกมา สองคืออยากฟังนางเอ่ยคำหวานให้เขาชื่นใจสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่านางกลับลังเลขึ้นมาจริงๆ


 


 


ครานี้คนบางคนได้เกิดหึงหวงขึ้นมาจริงๆ แล้ว ยามนั้นเขาจึงแค่นเสียงเย็นชาพลางผลักเจินเมี่ยว ออกแล้วขยับตัวถอยไปด้านหลังทั้งเอ่ยขึ้นว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ในเมื่อเจ้าฝังใจเพียงนั้น กลับไปข้าจะเชิญพวกเขามาดื่มสุราที่จวนให้เจ้ามองให้พอจะได้วางใจเสียที!”


 


 


ภาพเหตุการณ์ในป่าไผ่นั้นเดิมก็แค่เพียงรู้สึกบาดตาทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเท่าใด แต่ยามนี้กลับบาดใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว


 


 


เวินมั่วเหยียนนั้นช่างเถิด แต่เจี่ยงเฉิน…หลัวเทียนเฉิงรู้สึกไม่ชอบใจจริงๆ


 


 


แม้นแผนการของเจินจิ้งนั้นจะแสนธรรมดาแต่มันกลับได้ผลเสียเหลือเกิน


 


 


บนโลกนี้ไม่ว่าบุรุษผู้ใดก็มิอาจทานทนต่อเรื่องนี้ได้


 


 


ปกนั้นหลัวซื่อจื่อดูเป็นคนเฉยชายิ่ง เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนั้นก็อาจจะเก็บไว้ในใจอยู่เงียบๆ เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจเกิดเป็นความระแวงนั้นแลคือสิ่งที่นางต้องการ


 


 


แต่หากนางเลือกที่เอ่ยกับเจินเมี่ยว แล้วทั้งสองคนมีอันใดกันจริงๆ ตอนที่เจินเมี่ยวตอบคำถามก็ย่อมต้องเผยพิรุธใดออกมาแน่ เช่นนั้นความรักของพวกเขาสองก็คงต้องสิ้นสุดลง หากไม่มีอันใด สตรีคนไหนได้ฟังวาจาเช่นนี้จะไม่โกรธเคืองบ้าง สามีภรรยาทะเลาะกันอย่างไรก็ย่อมต้องบั่นทอนความรู้สึกอยู่ดีเจินจิ้งหลอกใช้เวินยาฉีเพื่อทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แต่ก็มิได้คิดว่าจะเห็นผลอันใดเร็วๆ นี้เพียงคิดจะเฝ้ามองความสนุกนี้ในระยะยาว


 


 


นางคงคิดไม่ถึงว่าหลัวซื่อจื่อผู้สูงสง่าแสนเย็นชาในสายตาผู้อื่นนั้นจะเปลี่ยนจากความหึงหวงเล็กน้อยเป็นอภิมหาหึงขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพียงนี้


 


 


พวกเขาสองคนเคยผ่านช่วงเวลาลำบากมาด้วยกันจึงมิได้เหมือนสามีภรรยาทั่วไป ยังมิทันถึงประตูจวนหลัวเทียนเฉิงก็เผยความไม่พอใจของตนออกมาจนหมด


 


 


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในความสัมพันธ์ของสามีภรรยานั้นมิใช่การทะเลาะหรือเข้าใจผิดแต่เป็นการที่เจ้ากับข้าต่างเก็บทุกอย่างไว้ในใจต่างหาก เมื่อเก็บไว้นานเข้าก็ยอมเกิดเป็นปม เวลาผ่านไปปมนั้นก็จะกลายเป็นบาดแผล แค่แตะโดนก็เจ็บแต่กลับลืมถึงต้นตอที่ทำให้มันเกิดขึ้น เหลือเพียงรอยแผลเป็นที่เสียดแทงใจคน ทำให้ความรักของสามีภรรยานั้นจืดจางลง


 


 


น่าเสียดายที่แม้นนางจะคิดมาอย่างรอบคอบแล้ว แต่กลับคาดผิดไปว่าหลัวเทียนเฉิงที่องค์ชายหกเอ่ยชมไม่ขาดปากนั้นมิได้สุขุมนุ่มลึกดุจมหาสมุทรอย่างที่นางเข้าใจ ส่วนเจินเมี่ยวนั้นยิ่งมิใช่สตรีที่ชอบทำสงครามเย็น หลังจากนั้นก็ทำตัวผิดเพี้ยนจากอุปนิสัยเดิมของตน


 


 


ครั้นได้ฟังวาจาอันไร้เงาไร้ขอบเขตของหลัวเทียนเฉิง นางก็ดึงมือเขาขึ้นมากัด


 


 


หลัวเทียนเฉิงที่มีโทสะอัดแน่นเต็มอกจึงแค่นหัวเราะเสียงเย็นพลางเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าจะกัดแรงกว่านี้สักหน่อยก็ได้ อย่างไรเสียข้าก็ร่างกายแข็งแรง เนื้อหนังหนา แค่นี้ทนได้อยู่แล้ว”


 


 


แม้นกัดจนเป็นรูโหว่นางก็คงมิสนใจ!


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็อดประชดขึ้นมาอีกคำมิได้ว่า “คงมิเหมือนพี่เจี่ยงของเจ้า แค่เขากระแอมไอเจ้าก็เป็นห่วงจะเป็นจะตายแล้ว!”


 


 


เจินเมี่ยวฟังแล้วก็โกรธขึ้นมาอย่างที่สุด


 


 


เจ้าคนชั่วช้า ที่แท้ไปคิดอกุศลอันใดอยู่กันแน่ เหตุใดจึงกัดญาติผู้พี่ผู้อ่อนแอผู้นั้นของนางไม่ปล่อยเช่นนี้!


 


 


กัดก็กัดสิ ฟันของนางจะสู้เนื้อเขาไม่ได้เชียวหรือ?


 


 


เมื่อเพลิงโทสะก่อตัวขึ้น นางจึงกัดเขาไปโดยแรง แค่ชั่วขณะก็ได้ลิ้มรสคาวของโลหิต


 


 


เจินเมี่ยวพลันมีสติขึ้นมาจึงรีบปล่อยเขาทันที นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นนัยน์ตาที่คล้ายตกลงไปในธารน้ำอันเย็นเยียบคู่นั้น นางจึงรีบก้มลงมองมือของเขา เม็ดเลือดที่ผุดขึ้นมาตามรอยฟันนั้นช่างเด่นชัดนัก


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกถึงแต่ความเหน็บหนาวในใจ แต่มิได้รู้สึกเจ็บปวดที่มือเลย เขายกมือขึ้นจ่อตรงริมฝีปากเจินเมี่ยว ริมฝีปากบางนั้นเม้มแน่นแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดจึงหยุดเล่า?”


 


 


เจินเมี่ยวทั้งเสียใจทั้งอับอายจนโมโห ยิ่งไปกว่านั้นคือความรู้สึกน้อยใจอย่างที่สุด เมื่อถูกเขาบีบคั้นเช่นนี้ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ น้ำตานางหยดแหมะๆ ลงทันที


 


 


น้ำตาเท่าเมล็ดถั่วร่วงตกลงดั่งเม็ดมุกร่วงกระทบกับรอยฟันนั้น ช่างเย็นเยียบยิ่ง ครานี้หลัวเทียนเฉิงกลับปวดใจขึ้นมาแทน จึงเอ่ยถามประหม่าว่า “ร้องไห้อันใด?”


 


 


เจินเมี่ยวปากแข็ง นางเบี่ยงหน้าเอ่ยตอบว่า “เนื้อท่านหนาเกินไปทำให้ข้าปวดฟัน”


 


 


นางร้องไห้เช่นนี้ ดวงตาสองข้าถูกน้ำตาชำระล้างกลับกระจ่างใสดุจผลึกดั่งคันฉ่อง ทั้งมีประกายน้ำปรากฏขึ้นอีกชั้นหนึ่งเช่นนั้น เมื่อชำเลืองมองก็ทำให้คนใจเต้นแรงดุจตีกลอง


 


 


หลัวเทียนเฉิงแอบหงุดหงิดให้ตน เมื่อครู่เขาไม่ควรบันดาลโทสะออกไปเช่นนั้นเลย ดูท่าทีของเจี๋ยวเจี่ยวสิ นางไหนเลยจะเหมือนสตรีที่คิดเรื่องเหลวไหลพรรค์นั้น อย่าได้ทำเรื่องที่ว่าเมนางอาจมิได้คิดอันใดแต่ตนเองกลับไปพูดให้นางเริ่มคิดเหลวไหลขึ้นมาเอง


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว…” หลัวเทียนเฉิงยื่นมือเข้าไปดึงเจินเมี่ยวเข้ามาหาตน “มีอยู่ที่หนึ่งที่จะมิทำให้เจ้าปวดฟัน”


 


 


มิรอให้นางคิดอันใดขึ้นมาได้ ริมฝีปากนั้นก็ประทับเข้ามาเสียก่อน แล้วค่อยๆ บดเบียดขบเล็มไปตามริมฝีปากดุจกลีบดอกท้อนั้น เมื่ออีกฝ่ายเผยอปากขึ้นด้วยความตกใจเขาก็สอดปลายลิ้นอันซุกซนเข้าไปควานหาความหอมหวานนั้นทันที


 


 


หลายวันมานี่แม้นทั้งสองจะชิดใกล้กันน้อยอยู่ห่างกันเสียมาก ทั้งมิเคยกระทำเรื่องเช่นสามีภรรยา แต่ความชิดใกล้เช่นนี้เมื่อยามอยู่ด้วยกันนั้นย่อมมี เจินเมี่ยวคุ้นชินกับกลิ่นกายของอีกฝ่ายแล้วจึงมิได้รู้สึกต่อต้านใดๆ เพียงแต่ยังคงโมโหกับวาจาที่เขาเพิ่งเอ่ยเมื่อครู่ นางจึงกัดลิ้นเขาไว้แน่น


 


 


หลัวเทียนเฉิงเองก็ไม่ดิ้นรนปล่อยให้นางกัดคล้ายยินยอมให้นางกระทำตนได้ตามแต่ใจ ดวงตาดำขลับคู่นั้นฉ่ำวาวใส เจินเมี่ยวพลันคิดถึงสุนัขบ้านตัวหนึ่งที่ตนเคยเลี้ยงไว้ในอีกภพหนึ่งขึ้นมาอย่างประหลาด


 


 


ในเบื้องลึกนัยน์ตาของหลัวเทียนเฉิงค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้น ลิ้นของเขาขยับไปมาคล้ายกำลังเร่งเร้า


 


 


เพราะลิ้นมิใช่มือ นางไหนเลยจะกล้ากัดไว้โดยแรงจริงๆ แต่อย่างไรเสียมันก็ทำให้เจินเมี่ยวรู้สึกดั่งขี่หลังเสือแล้วยากจะลง ดวงตาคู่นั้นจึงถลึงมองเขาด้วยความโกรธเคือง แต่ปลายลิ้นที่นางกัดไว้ไม่ยอมปล่อยนั้นกลับมิได้ขยับเขยื้อนหนีไปไหน สุดท้ายจึงคล้ายว่านางต่างหากที่เป็นผู้ลุกล้ำเข้าไปหาอีกฝ่ายก่อน


 


 


เจินเมี่ยวหน้าแดงก่ำไปหมดคล้ายแต้มด้วยสีชาดไว้ชั้นหนึ่งก็มิปาน


 


 


หลัวเทียนเฉิงไหนเลยจะยอมอยู่นิ่งๆ อย่างว่าง่าย เขากลับชักนำให้จูบนั้นลึกซึ้งและเร่าร้อนมากขึ้นไปอีก กระทั่งอีกฝ่ายหายใจหอบ ซบลงบนอกเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง บริเวณใดบริเวณหนึ่งแข็งขึงขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว เขากลัวว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่จึงได้ผลักนางออก


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือไม่?”


 


 


เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขาคราหนึ่ง “ข้าไหนเลยจะกล้าโกรธเคืองคุณชายผู้สืบทอด ท่านมิบันดาลโทสะส่งเดช ข้าก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว”


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว” หลัวเทียนเฉิงคว้ามือนางมาวางไว้บนหน้าอกตน แล้วเอ่ยพึมพำว่า “ข้าเองก็ควบคุมมันไม่ได้ ทุกคราที่มันเจ็บก็มักทำเรื่องเหลวไหลอยู่ร่ำไป”


 


 


เจินเมี่ยวอ้าปากตาค้างอย่างตกตะลึง “ท่าน…เหตุผลนี้ของท่านเชื่อถือได้หรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจี๋ยวเจี่ยวข้าไม่เชื่อว่าหากข้าไปที่เรือนฝั่งตะวันตกแล้วตรงนั้นของเจ้าจะไม่เจ็บปวด”


 


 


“ข้าจะเจ็บปวดอันใด ข้ามิได้อารมณ์แปรปรวนเช่นใครบางคน”


 


 


“ไม่เจ็บปวดจริงๆ หรือ?” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม พลันวางมือลงไปหน้าอกที่เว้านูนขึ้นมาแล้วนั้นทั้งยังเคล้นคลึงอีกด้วย


 


 


สายตาเจินเมี่ยวเคลื่อนลงด้านล่างทันที นางจ้องมือใหญ่ที่กระทำการเหิมเกริมนั้นด้วยใบหน้าอึ้งงัน รอยเขี้ยวบนฝ่ามือนั้นคล้ายกำลังยิ้มเยาะความไม่เอาไหนของนางเมื่อครู่นี้กระนั้น


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงมีสติกลับมาแล้วปัดมือเขาออกโดยแรงพลางกัดฟันพูดว่า “หลัวเทียนเฉิง ข้ารู้ว่าท่านเชื่อถือไม่ได้ แต่ไม่คิดว่าจะ…”


 


 


“ไม่คิดว่าจะอันใด?”


 


 


“ไม่คิดว่าจะเชื่อถือไม่ได้ถึงเพียงนี้!”


 


 


หลัวเทียนเฉิงหัวเราะหึๆ คราหนึ่ง


 


 


ครั้นๆ ได้ยินเสียง ‘หึๆ’ เจินเมี่ยวรู้สึกสังหรณ์บางอย่างขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุจึงเอ่ยถามว่า “ท่านหัวเราะอันใด?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำว่า “ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดใจของเจ้าจึงมิเจ็บปวดเพราะข้า”


 


 


“เพราะเหตุใด?”


 


 


“เพราะมันมัวแต่เสียใจที่เหตุใดตรงนี้มันถึงไม่เติบโตขึ้นมาบ้าง มันถึงไม่มีแก่ใจไปไยดีกระมัง”


 


 


เจินเมี่ยวก้มหน้ามองซาลาเปาน้อยของตนคราหนึ่ง แล้วคำรามลั่นว่า “เหลวไหล เมื่อหลายวันก่อนตอนข้าอาบน้ำยังใช้มือวัดดูแล้ว เห็นชัดว่ามันใหญ่ขึ้นถึงครึ่งเล็บแล้ว!”


 


 


“จริงหรือ? ให้ข้าดูสักหน่อยสิ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงขยับเข้ามาใกล้


 


 


เจินเมี่ยวยืดอกขึ้นเล็กน้อย พลันมีคิดขึ้นได้จึงตีมือเขาไปคราหนึ่ง “เหลวไหล ไปตายอยู่ฝั่งนั้นเถิด!”


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับกอดนางไว้มิปล่อยมือ ศีรษะซบลงบนอกนางไม่ขยับไปไหน เพียงแอบอิงอยู่นิ่งๆ เช่นนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หากต้องตายจริงๆ ก็จักต้องตายด้วยกัน”


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกตื้นตันขึ้นมา แต่เมื่อครุ่นคิดให้ดีอีกคราก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง”


 


 


“มีอันใดไม่ถูกต้อง?” หลัวเทียนเฉิงซบอิงกับร่างอันอ่อนนุ่มพลางสูดดมกลิ่นหอมนั้น เขารู้สึกเพียงว่าอันตรายดุจพายุมีดที่ด้านนอกนั้นมินับเป็นอันใดได้


 


 


“ความรักระหว่างหนุ่มสาวในตำราละครนั้น หากต้องเผชิญเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับความเป็นความตาม บุรุษมักจะบอกว่า ‘เจ้าจักต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข ทุกอย่างเขาจะเป็นผู้แบกรับมันไว้เอง’มิใช่หรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงหรี่ตาลง แล้วแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง “ฝันไปเถิด หากทิ้งเจ้าไว้เพียงคนเดียว เมื่อข้าคิดว่าเจ้าจะกลายเป็นภรรยาของบุรุษอื่น แม้นข้าตายก็คงจะโกรธจนฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกคราเพื่อคิดบัญชีกับเจ้า ”


 


 


“แต่หากเป็นเช่นนั้น ความรักที่ว่านี้ก็มิใช่การเห็นแก่ตัวเกินไปหรอกหรือ?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงลอบสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วใช้นิ้วมือดีดลงไปบนหน้าผากกลมเกลี้ยงของเจินเมี่ยว เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง”


 


 


“มีอันใดไม่ถูกต้อง?”


 


 


“ความรักระหว่างชายหญิงในตำราละครนั้น หากต้องเผชิญเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับความเป็นความตาม สตรีก็มักจะบอกว่า ‘ไม่ว่าจักมีอันตรายมากเท่าใด ข้าก็พร้อมร่วมเป็นร่วมตายกับท่าน’ มิใช่หรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวถูกพูดดักจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก คนทั้งสองสบตากันพลันหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน


 


 


ยามนี้เองคู่รักคู่แค้นทั้งสองจึงนับว่าได้ถอนรากเมล็ดพันธุ์นั้นทิ้งไปได้อย่างแท้จริง หลัวเทียนเฉิงจัดทรงผมและอาภรณ์ให้เจินเมี่ยวแล้วประคองนางลงจากรถม้า


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว ข้าส่งเจ้าเพียงเท่านี้แล้วกัน ข้ามิอาจไม่กลับไปที่ศาลาว่าการได้จริงๆ”


 


 


เจินเมี่ยวคิดว่าหากบังคับให้เขากลับไปพักผ่อนที่จวน เขาก็จะทำเรื่องพวกนั้นไม่เสร็จ ถึงตอนนั้นก็จักต้องอดหลับอดนอนอีก เช่นนั้นก็มิสู้ให้เขารีบกลับไปทำให้เสร็จเสียดีกว่า นางจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยกำชับว่า “ต่อให้ยุ่งอย่างไร ท่านต้องจำไว้ว่าต้องกินอาหารตามเวลาครบสามมื้อ ทุกวันต้องนอนอย่างน้อยวันละสามชั่วยาม”


 


 


คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เกรงว่าเขาจะไม่เชื่อฟัง จึงกดเสียงต่ำแผ่วเอ่ยว่า “มิเช่นนั้นหากท่านยังกลับไปเยี่ยมท่านแม่ด้วยสภาพเช่นนี้อีก ท่านแม่ข้าคงต้องเป็นกังวลว่าท่านหมกมุ่นในเรื่องเช่นนั้นมากเกินไปอีกแน่”


 


 


กล่าวจบก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อยจึงรีบพาสาวใช้สองคนจากไปทันทีดุจสายลมหอบหนึ่งกระนั้น


 


 


ทิ้งให้หลัวเทียนเฉิงยืนอึ้งงันใบหูแดงก่ำพลางพึมพำว่า “ท่านแม่ยายพูดอันใดกันแน่?”


 


 


น่าเสียดายที่ผู้สามารถตอบเขาได้นั้นหายตัวไปนานแล้ว มีเพียงกลิ่นหอมวูบหนึ่งที่พัดโชยผ่านมาเท่านั้น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม