ลิขิตฟ้าชะตารัก 275-282

 ตอนที่ 275 สิ้นท่า 


 


 


 


 


 


เขาก็ไม่อยากเป็นเหมือนถ้วยน้ำชาที่ถูกบีบจนแตกละเอียดหรอกนะ! 


 


 


อนุรองพิศมองท่าทีของเขาอย่างพิจารณา จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ประกายในดวงตาก็ค่อยๆ เรียบนิ่งลง จากนั้นก็เลือนหายไป หันหน้ากลับมามองอวี้อาเหราอีกครั้ง “ในเมื่อคุณหนูรองไม่เป็นอะไร เช่นนั้นข้าน้อยก็วางใจ ขอลา” 


 


 


“ช้าก่อน” อวี้อาเหราลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ แล้วเดินมาด้านหน้าของนาง จงใจพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกดดันที่ข้างหู “ข้านั้นก็เป็นคนใจกว้างอยู่บ้าง แต่หากใครร้ายกับข้าก็อย่าได้โทษว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน…” 


 


 


“คะ…คุณหนูรอง” อนุรองชะงัก ค่อยๆ เข้าใจถึงความหมายในคำพูดของอวี้อาเหรา นางคงจะกำลังเตือนตนเองว่าอย่าได้แกว่งเท้าหาเสี้ยนใช่หรือไม่ นางใช้ชีวิตมาจนถึงครึ่งชีวิตแล้ว กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วจะให้ยอมแพ้อย่างนั้นหรือ 


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงได้ชายตาขึ้นมอง แย้มยิ้มราวกับไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด “ข้าน้อยโง่เขลา ไม่เข้าใจว่าคุณหนูรองกำลังหมายถึงสิ่งใดอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“ไม่เข้าใจจริงๆ น่ะหรือ” อวี้อาเหรามองไปยังอนุรอง สายตาค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นรังสีแห่งความดุดัน 


 


 


“แน่นอนเจ้าค่ะ” อนุรองชะงักเมื่อเห็นสายตาของนางเข้า จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว 


 


 


“ท่านแม่ ท่านจะเปลืองแรงกับนางทำไมกันเจ้าคะ พวกเรารีบไปกันเถิด ข้าไม่อยากจะอยู่ในห้องนี้แม้แต่สักวินาทีเดียว” อวี้จื่อเยียนเห็นคนทั้งสองยิ้มต่างยิ้มกว้างให้กัน จึงไม่เข้าใจว่าคนทั้งสองกำลังทำอะไรกันอยู่ เอ่ยทะลุป้องขึ้นมา 


 


 


“ไปเถิด” อนุรองพยักหน้า 


 


 


หลังจากที่เดินออกมาแล้ว อวี้จื่อเยียนจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ “ท่านแม่ เหตุใดวันนี้ท่านถึงได้ออกไปหาท่านหมอด้วยตัวเองแล้วพามาตรวจอาการนางกันเจ้าคะ ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก คาดว่าอวี้อาเหรานางคงไม่เห็นความปรารถนาดีของท่านเลยแม้แต่น้อย!” 


 


 


“เจ้าจะไปรู้อะไรกัน” อนุรองไม่พอใจ “เจ้าคิดว่าจุดประสงค์ของข้าคือการพาท่านหมอไปตรวจรักษาของนางอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“เช่นนั้น ท่านแม่…” อวี้จื่อเยียนพลันไม่เข้าใจขึ้นมา 


 


 


อนุรองแค่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ “ครั้งก่อนข้าได้ยินจากเจ้าว่านางตกหน้าผาศีรษะกระแทก หลังจากนั้นข้าก็นึกสงสัยอยู่บ้าง และพลันคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้นางเคยมีปานแดงอยู่ที่ข้อมือขวา จึงคิดจะให้ท่านหมออาศัยโอกาสนี้ตรวจดูให้ละเอียด เพื่อที่จะได้รู้ว่านางเป็นอวี้อาเหราคนเดียวกับก่อนหน้านั้นหรือไม่” 


 


 


“แล้วผลเป็นอย่างไรเจ้าคะ” อวี้จื่อเยียนกระตือรือร้นขึ้นมาในทันที ก่อนจึงพูดอย่างสาสมใจ “ข้ายังนึกสงสัยอยู่ว่าเหตุใดท่านแม่จึงได้หาท่านหมอมาตรวจอาการนาง ที่แท้ก็มีแผนเช่นนี้เอง ก่อนหน้านี้ก็ยังคิดอยู่ว่าอวี้อาเหรานั้นไม่ค่อยปกตินัก หรือว่าจะมีคนอื่นปลอมตัวมา?” 


 


 


“เจ้าก็ไม่ได้ยินที่ท่านหมอผู้นั้นพูดหรืออย่างไร” อนุรองกัดฟันแน่น เดิมทีนางอยากจะอาศัยโอกาสนี้เพื่อตรวจดูให้แน่ชัดว่าเหตุใดอวี้อาเหราถึงได้มีท่าทเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ แต่กลับตรวจไม่พบร่องรอยอะไรเลยแม้แต่น้อย ช่างน่าเสียดายนักเชียว 


 


 


“หา!” อวี้จื่อเยียนตกใจเป็นอย่างมาก ความพึงพอใจที่เคยมีหายไปจนหมด แล้วจึงเอ่ยปากพูดว่า “ท่านแม่ก็เหลือเกิน ในเมื่อตรวจไม่พบก็ให้ลูกดึงมือนางออกาดูก็ได้เจ้าค่ะ ไม่เห็นจะต้องอ้อมค้อมถึงเพียงนี้เลยนี่?” 


 


 


“เจ้านี่ก็ช่างโง่เง่านัก!” อนุรองตบหน้าผากอวี้จื่อเยียนอย่างแรง “หากเจ้าดึงมือของนางออกมาดูซึ่งๆ หน้า หากนางไปฟ้องเสด็จพ่อของเจ้าแล้วจะทำอย่างไรกันเล่า หรือเจ้าก็อยากจะไปอยู่ที่หนานย่วนอีก?” 


 


 


“ไม่เอาเจ้าค่ะ” อวี้จื่อเยียนรีบส่ายหน้าในทันที ลูบหน้าผากที่ถูกตีจนเจ็บ “ลูกจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านแม่หาท่านหมอมาเพื่อตรวจดูคามผิดปกติของนาง!” 


 


 


“เจ้าไม่รู้ แต่นางกลับมองแผนการของท่านแม่ของเจ้าอย่างทะลุปรุโปร่งเสียแล้ว!” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 276 โง่งมจนเกินทน 


 


 


 


 


 


อนุรองมองลูกสาวของตัวเองแล้วเกิดรู้สึกรำคาญใจขึ้นมา เหตุใดอวี้อาเหราจึงได้ฉลาดเฉลียว แต่ลูกสาวของนางกลับโง่เขลาเสียจนเกินทนเช่นนี้เล่า! นิสัยช่างไม่เหมือนกับนางเลยแม้แต่นิดเดียว… 


 


 


อวี้จื่อเยียนก้มหน้าลง เมื่อถูกดุว่าสั่งสอนเสียจนน่าสงสาร ในใจก็ยิ่งรู้สึกโกรธแค้นอวี้อาเหรามากยิ่งขึ้น เงยหน้าขึ้นมองอนุรอง แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “ท่านแม่ เมื่อครู่นี้อวี้อาเหราพูดอะไรกับท่านกัน เหตุใดท่านจึงมีทีท่าแปลกๆ เจ้าคะ” 


 


 


“นางกำลังกล่าวเตือนข้า” อนุรองเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยเรียบๆ  


 


 


อวี้จื่อเยียนไม่พูดอะไรอีก เพราะกลัวว่าอนุรองจะโกรธแล้วมาลงที่ตน ในใจของนางก็เกิดไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถ้าหากอวี้อาเหรากล้าที่จะทำอะไรขึ้นมาจริงๆ แล้วเสด็จพ่อทรงทราบก็คงไม่ปล่อยนางไว้แน่ๆ เพราะอย่างนั้นเดิมทีก็ไม่ต้องกังวลใจเลยแม้แต่น้อย 


 


 


แต่นางกลับลืมไปเสียว่า แผนการใดๆ ก็สามารถกระทำจนสำเร็จได้อย่างไม่มีใครล่วงรู้ ความคิดของนางนั้นก็ช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว 


 


 


สองแม่ลูกค่อยๆ เดินห่างออกไปไกล จนลับหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา 


 


 


อวี้อาเหรานั่งลงดื่มน้ำชาบนเก้าอี้ ออกคำสั่งแก่เมี่ยวอวี้ว่า “ไปหยิบเงินรางวัลมาให้มากๆ หน่อย แล้วส่งท่านผู้เฒ่าผู้นี้กลับไปด้วย” 


 


 


“เจ้าค่ะ คุณหนู” 


 


 


“ขอพระคุณคุณหนูรอง” 


 


 


เมื่อได้ยินเรื่องเงินรางวัล ใบหน้าทุกข์ทนของหมอชราก็สว่างไสวขึ้นมาทันที เมื่อเมี่ยวอวี้ส่งเงินให้ ซึ่งจำนวนมากมายกว่าที่อนุรองมอบให้นักเป็นหลายเท่าตัว ก็คิดว่าช่างโชคดีนักที่ตัวเขาเองไม่ได้พูดอะไรส่งเดชออกไป มิเช่นนั้นแล้วคงจะไม่ได้เงินมากมายถึงเพียงนี้ หรือแม้แต่ชีวิตก็คงไม่เหลือรอดกลับมาเป็นแน่ 


 


 


หลังจากเห็นว่าเงาร่างของทั้งสองหายไปแล้ว เจาเอ๋อร์ก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้า “คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดเมื่อครู่นี้บ่าวถึงได้รู้สึกว่าท่าทีของอนุรอง อีกทั้งหมอชราผู้นั้นถึงได้ดูแปลกๆ” 


 


 


“เจ้าก็มองออกด้วยหรือ” อวี้อาเหราหันกลับมามองอย่างคาดไม่ถึง เจาเอ๋อร์กลายเป็นคนฉลาดเฉลียวตั้งแต่เมื่อใดกัน ก่อนหน้านี้แม้ว่าจะพูดจาอธิบายเรื่องต่างๆ ให้นางฟังอย่างไร ก็ไม่แน่ว่านางจะเข้าใจทันที แต่เหตุใดตอนนี้กลับรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ 


 


 


“แน่นอนสิเจ้าคะ บ่าวอยู่กับคุณหนูมานานถึงเพียงนี้ เมื่อก่อนคุณหนูยังสับสบ บ่าวก็สับสนตามไปด้วย แต่ตอนนี้บ่าวก็ได้เรียนรู้จากคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์พูดขึ้นโดยไม่ลืมที่จะยกยออวี้อาเหรา แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “คุณหนู ท่านบอกบ่าวมาเถิดเจ้าค่ะว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มิเช่นนั้นหากเมี่ยวอวี้กลับมาแล้วคงไม่อาจพูดอะไรได้” 


 


 


“ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก” ท่าทีของอวี้อาเหราเรียบเฉยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริงนางก็ไม่ใคร่จะยินดีนัก อีกด้านหนึ่งนางก็ไม่อยากจะให้เจาเอ๋อร์รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น เจาเอ๋อร์นั้นเติบโตเคียงคู่มากับเจ้านาย และรู้จักร่างนี้ดีกว่าผู้ใด เพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัยอะไรจึงไม่ควรจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก 


 


 


ตอนนี้ แม้แต่อนุรองก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาแล้ว ความลับที่ปกปิดมายาวนาน สักวันหนึ่งคงไม่อาจอำพรางได้อีกต่อไป 


 


 


หากสามารถถ่วงเวลาได้ก็ควรทำ เมื่อถึงเวลานั้นก็ค่อยหาทางเลี่ยงให้หลุดพ้นจากเรื่องนี้ แต่เรื่องที่น่ายินดีเพียงเรื่องเดียวก็คือ หากสามารถอยู่ห่างจากสถานะนี้ได้ก็เท่ากับอยู่ห่างจากความขัดแย้งของเรือนหลัง ตัวนางก็คงจะมีอิสระมากขึ้น 


 


 


แต่หากเจ้าของร่างกลับมาจริงๆ และนางยังคงอ่อนแออยู่เช่นเดิม คาดว่าคงได้ถูกรังแกอีกเป็นแน่  


 


 


แต่ว่านี่ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางเสียหน่อย  


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วอวี้อาเหราก็รู้สึกเหนื่อยใจ ออกคำสั่งกับเจาเอ๋อร์ว่า “ข้าง่วงแล้ว ของีบเสียหน่อยเถิด อีกสักพักเจ้าค่อยปลุกข้าก็แล้วกัน ข้ากลัวว่านอนมากไปเดี๋ยวตกกลางคืนจะนอนไม่หลับ พอพรุ่งนี้ก็จะตื่นไม่ไหว” 


 


 


“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ไม่ได้ว่าอะไร คุณหนูของนางนั้นขี้เกียจมาแต่ไหนแต่ไร แต่พอเป็นเรื่องที่จะไปยังทิศตะวันตกของเมืองกลับกระตือรือร้นขึ้นมา 


 


 


ผ่านไปชั่วพริบตาก็มาถึงเช้าของวันถัดมา ฟ้ายังไม่ทันสาง อวี้อาเหราก็ตื่นขึ้นมาแล้ว 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายในห้อง เจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้ก็เข้าไปในห้องพร้อมๆ กัน 


 


 


“คุณหนูมีอะไรจะรับสั่งหรือเจ้าคะ” 



ตอนที่ 277 คนถ่อย 


 


 


 


 


 


“เมี่ยวอวี้ ข้าอยากกินขนมดอกเบญจมาศ เจ้าไปเด็ดดอกเบญจมาศที่ปลูกอยู่ข้างๆ เรือนพักของอนุสามและอนุสี่มาให้ข้าหน่อยเถิด จำไว้นะว่ากลีบดอกจะต้องไร้รอยตำหนิจึงจะใช้ได้” อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นมองเมี่ยวอวี้แล้วจึงออกคำสั่ง จากนั้นจึงค่อยหันไปทางเจาเอ๋อร์ “เจ้าช่วยข้าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที” 


 


 


“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์รีบเข้ามาหาอย่างคล่องแคล่ว 


 


 


นับตั้งแต่เมี่ยวอวี้เข้ามา เจาเอ๋อร์ก็ยิ่งกระตือรือร้นกว่าเมื่อก่อน แม้แต่จะบ่นพึมพำเล็กน้อยก็ไม่มี คงเพราะกลัวว่านางจะให้ความสำคัญกับเมี่ยวอวี้มากกว่า อวี้อาเหราถอนหายใจอย่างนึกขัน จากนั้นก็รู้สึกจนใจ ไม่คิดเลยว่าแม้แต่สาวใช้ผู้นี้ก็ยังต้องพานพบกับการชิงดีชิงเด่นเช่นนี้ด้วย 


 


 


เมื่อชำระล้างร่างกายจนเรียบร้อยแล้ว เจาเอ๋อร์ก็หยิบชุดกระโปรงที่ดูเรียบง่ายมาสองสามชุด แล้วยังเตรียมเสบียงและข้าวของต่างๆ ด้วย 


 


 


การเดินทางไปยังตลาดมืดในครั้งนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองวัน ของพวกนี้ก็ต้องเตรียมเอาไว้ให้พร้อม 


 


 


ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มที่จะค่อยๆ สว่างขึ้นมา สว่างไสวราวกับท้องปลาก็ไม่ปาน 


 


 


อวี้อาเหรามองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก เพราะว่าวันนี้ต้องแอบย่องออกมา เพราะอย่างนั้นจึงไม่ได้ผลัดหน้าทาแป้ง เครื่องประดับศีรษะก็ดูเรียบง่าย มีเพียงปิ่นหยกหนึ่งชิ้นที่ปักอยู่บนเกศา มองดูแล้วก็เหมือนกับหญิงสาวธรรมดาทั่วๆ ไป สวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย แม้ว่าจะดูสามัญ แต่เมื่อสวมอยู่บนร่างของนางก็ทำให้ดูล้ำค่าขึ้นมา 


 


 


เครื่องประดับใดๆ ก็ไม่อาจต้านทานความงามของนางได้เลย 


 


 


เมื่อมองดูด้วยความพึงใจเล็กน้อย ก็ไม่กล้าที่จะหน่วงเหนี่ยวเวลาเอาไว้อีก ทั้งสองหยิบสัมภาระแล้วเตรียมตัวที่จะออกเดินทาง 


 


 


ในยามนี้ ท่ามกลางความว่างเปล่ามีเงาร่างปรากฏขึ้นสองสามร่าง ต้าเว่ย ชิงอวิ๋นและคนอื่นๆ เข้ามาขวางทางพวกนางเอาไว้ ต้าเว่ยคุกเข่าลงด้วยท่าทีขึงขัง “คุณหนูรอง ท่านจะไปไหนหรือ ท่านอ๋องสั่งเอาไว้ว่าไม่อนุญาตให้ท่านออกไปไหนนะขอรับ”  


 


 


“ถอยไป” อวี้อาเหรารู้สึกปวดหัวขึ้นมา สองวันนี้นางก็เอาแต่คิดว่าทำอย่างไรจึงจะหนีออกไปได้ แต่กลับลืมองครักษ์ทั้งสิบเอาเสียนี่ เมื่อเห็นพวกเขาขัดขวางเช่นนี้แล้ว ทำอย่างไรนางก็ออกไปไม่ได้ ทันใดนั้นก็ถามขึ้นอย่างโกรธๆ ว่า “ชิงอวิ๋น บอกข้ามา สองครั้งก่อนหน้านี้เป็นเพราะพวกเจ้าละเลยต่อหน้าที่จึงจะถูกเสด็จพ่อลงโทษ แต่เป็นข้าที่ช่วยชีวิตพวกเจ้าเอาไว้ใช่หรือไม่” 


 


 


“ขอรับ…” ชิงอวิ๋นพยักหน้าอย่างเงียบงัน  


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้” อวี้อาเหรามองไปทางต้าเว่ย “แล้วพวกเจ้ายังไม่รีบถอยออกไปอีกหรือ” 


 


 


“คุณหนูรองโปรดอภัย” ต้าเว่ยก้มหน้าลง “ถึงแม้ท่านจะมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้ แต่พวกเราก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของท่านอ๋อง อย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลยนะขอรับ” 


 


 


“ลำบากใจ? ทั้งๆ เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ทำให้ข้าลำบากใจ! พวกเจ้าถอยไปเสียดีกว่า หากเกิดอะไรขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง อย่างไรเสียก็ไม่ยอมให้เสด็จพ่อลงโทษพวกเจ้าแน่” อวี้อาเหราตบหน้าอกเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ 


 


 


“ไม่ได้ขอรับ” พวกต้าเว่ยยังคงไม่ขยับไปไหน 


 


 


“ในเมื่อพวกเจ้าเป็นผู้เรียนวรยุทธ์ ย่อมเข้าใจเรื่องตอบแทนบุญคุณดีมิใช่หรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ติดค้างข้าถึงสองครั้ง หากยังขัดขวางข้าอีก เจ้าก็จะกลายเป็นคนชั่วที่ลืมบุญคุณคน!” อวี้อาเหราโกรธยิ่งนัก หากยังชักช้าต่อไปเช่นนนี้ฟ้าก็คงจะสว่างกันพอดี แล้วนางจะออกจากจวนได้อย่างไรกัน 


 


 


“บุญคุณของคุณหนูรองนั้นเป็นเรื่องที่พวกข้าน้อยจดจำได้ขึ้นใจ เพียงแต่ท่านอ๋องสั่งเอาไว้…” 


 


 


“ข้าไม่สนว่าเสด็จพ่อจะเคยสั่งอะไร ขอถามเพียงแค่คำเดียวว่าเสด็จพ่อประทานพวกเจ้าให้ข้าแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


“…ขอรับ” 


 


 


“แล้วตอนนี้พวกเจ้าควรจะฟังคำสั่งใคร” 


 


 


อวี้อาเหราถามกลับอย่างเดือดดาด เหตุใดเจ้าพวกหัวขี้เลื่อยเหล่านี้จึงไม่เข้าใจเสียทีนะ 


 


 


เมื่อพวกต้าเว่ยได้ยินดังนั้น ก็รีบหลีกทางในทันที  


 


 


ทั้งสองแอบหลบหนีออกมา นั่งลงบนรถม้าที่ว่าจ้างเอาไว้ไปสู่ส่วนตะวันตกของเมือง 


 


 


เจาเอ๋อร์ตบหน้าอกอย่างใจหายใจคว่ำ “คุณหนูช่างกล้าหาญยิ่งนักเจ้าค่ะ หากท่านอ๋องทรงทราบจงต้องกริ้วหนักเป็นแน่!” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 278 ป่าดงรกร้าง 


 


 


 


 


 


“ไม่เป็นไรหรอกน่า” อวี้อาเหราไม่ได้กังวลใจเลยแม้แต่น้อย “เสด็จพ่อรักใคร่เอ็นดูข้ามาโดยตลอด แม้ว่าตอนนี้จะโกรธเคือง แต่หากผ่านไปสักสองวันก็หายแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นก็ค่อยเข้าไปขออภัยโทษ เสด็จพ่อก็คงยกโทษให้แล้ว” 


 


 


“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ไม่วางใจ 


 


 


“เอาล่ะ หากเจ้ายังบ่นอีกก็กลับไปเสีย ข้าเห็นเจ้าที่เป็นเช่นนี้แล้วก็รู้สึกรำคาญนัก รู้เช่นนี้ข้าให้เจ้าไปเก็บดอกเบญจมาศกับเจ้าเสียก็ดี ไหนเลยจะยอมให้เจ้าขึ้นรถม้าไปเที่ยวเล่นข้างนอกด้วย” อวี้อาเหราคร้านที่จะฟังคำพูดของเจาเอ๋อร์ เพิ่งจะออกจากจวนมา โรคขี้บ่นของนางก็กำเริบเสียแล้ว 


 


 


เมื่อพูดถึงเมี่ยวอวี้ เจาเอ๋อร์ก็รีบหุบปากลงอย่างรู้งาน 


 


 


อวี้อาเหรามองนางอย่างขบขัน ตอนนี้เจาเอ๋อร์ก็มีคู่แข่งเสียแล้ว พอพูดถึงเมี่ยวอวี้นางก็เชื่อฟังขึ้นมาทันที  


 


 


เจาเอ๋อร์ถอนหายใจออกมา แอบเลิกม่านขึ้นแล้วมองออกไปด้านนอก ชิงอวิ๋นนั่งอยู่ด้านหน้าเพื่อบังคับม้า ส่วนพวกต้าเว่ยยังดักสุ่มอยู่รอบกายเพื่อคอยอารักขา นางค่อยวางใจในการเดินทางไปตลาดมืดในครั้งนี้ สถานที่แห่งนั้นเป็นแหล่งรวมผู้คนทั้งดีเลวเอาไว้ด้วยกัน ใครจะรู้บ้างว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น 


 


 


รถม้าไม่หยุดพัก เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยง คนเหล่านี้ทก็านแป้งอบกันคนละสองสามแผ่น ดื่มน้ำแล้วเดินทางต่อทันที 


 


 


โชคดีที่เจาเอ๋อร์นำติดตัวมามาก ยิ่งไปทางตะวันตกเท่าไหร่ก็สถานที่ก็ยิ่งรกร้างมากขึ้นเท่านั้น นอกจากร้านค้าเล็กๆ ที่ขายน้ำชาและซาลาเปาแล้วก็แทบจะไม่พบอะไรเลย เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงโรงเตี๊ยมที่ใช้ค้างอ้างแรมในยามค่ำคืนแล้ว รถม้าเดินทางได้ช้า แต่หากไม่ต้องการค้างอ้างแรมในป่ารกร้างเช่นนี้ ก็มีเพียงแต่ต้องนั่งรถม้าไปเท่านั้น 


 


 


สงสารก็เพียงแต่พวกต้าเว่ย 


 


 


เดินทางมาได้หนึ่งวันเต็มๆ ไม่เพียงแต่คนขับรถม้าเท่านั้นที่ต้องทนรับแรงกระแทก คนที่นั่งอยู่ในรถก็ไม่ต่างกัน เมื่อรถหยุดลง อวี้อาเหราก็ก้าวขาลงจากรถ สูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ท้องฟ้ามืดลงเป็นสีเทาหมองมัว ไม่มีแสงดาวและแสงเดือน เกรงว่าหากยังเดินทางต่อแล้วพบกับหิมะตกหนักจะยุ่งยากเข้า เมื่อถึงตอนนั้นหลิงอ๋องก็คงจะยิ่งร้อนใจ 


 


 


คาดว่าในเวลานี้ เขาคงจะส่งคนออกไปตามหาทั่วสารทิศแล้วกระมัง 


 


 


แต่ไม่มีใครรู้ว่าที่นางมายังทางตะวันตกของเมืองนั้น จุดหมายของนางจะเป็นสถานที่อย่างเช่นตลาดมืด คุณหนูจากตระกูลสูงส่งคนใดบ้างเล่าจะทำเช่นนี้ เพราะฉะนั้นนางจึงไม่กลัวว่าจะถูกคนของหลิงอ๋องหาตัวจนพบ แล้วพักแรมอยู่ในสถานที่รกร้างอย่างวางใจ  


 


 


หลังจากที่ม้าหยุดลงแล้ว ชิงอวิ๋นก็กระโดดลงมา มองพวกนางแล้วขมวดคิ้ว “คุณหนูรอง ในป่ารกเช่นนี้มักจะเป็นดงของพวกสัตว์ร้ายอย่างหมาป่า อีกทั้งตอนกลางคืนเองยังมีลมพัดแรง ท่านเข้าไปนั่งในรถม้าเถิดขอรับ” 


 


 


“ไม่ต้องหรอก” อวี้อาเหราส่ายหน้า นางนั่งรถม้ามาทั้งวันจนบั้นท้ายระบมไปหมดแล้ว ไหนเลยจะยอมเข้าไปอุดอู้อยู่ข้างในอีก? แล้วเมื่อก่อนนางยังมักจะหลบอยู่ในป่ารกร้างเพื่อหลีกเลี่ยงการจู่โจมจนเป็นนิสัยแล้ว ยังจะกลัวอันตรายอะไรอีกเล่า แต่พวกชิงอวิ๋นคงไม่มีทางรู้เรื่องนี้เป็นแน่ 


 


 


ก็ใครใช้ให้คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริง เป็นคุณหนูสูงค่าผู้ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีกันเล่า? 


 


 


“ต้าเว่ย พวกเจ้าออกมาเถิด” หลังจากตื่นจากภวังค์ อวี้อาเหราก็ตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้า 


 


 


พวกต้าเว่ยปรากฏกายขึ้นมาในทันที “คุณหนูรองมีอะไรจะรับสั่งหรือขอรับ” 


 


 


“เจ้าส่งคนสองสามคนไปเก็บฟืนกลับมาที ในป่ารกแห่งนี้น่าจะมีอันตราย อย่าได้ออกไปเดินเผ่นผ่านเชียว คนที่เหลือให้อยู่ที่นี่ คอยระวังความเรียบร้อย” หลังจากที่อวี้อาเรหาออกคำสั่งจบ นางก็ให้เจาเอ๋อร์นำเสบียงและน้ำออกมา 


 


 


ต้าเว่ยเห็นท่าทีของอวี้อาเหราก็รู้สึกว่านางนั้นน่าจะมีความคุ้นชินกับชีวิตในป่าไม่น้อยเลย 


 


 


แต่นั่นก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น เขาไม่กล้าที่จะชักช้าให้เสียเวลา ส่งคนออกไปสามคนเพื่อไปเก็บฟืน 


 


 


หลังจากเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว อวี้อาเหราก็นั่งลงบนก้อนหินอย่างไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีท่าทีของกุลสตรีแม้แต่น้อย จนทำให้เหล่าองครักษ์ที่เหลือต่างมองตาค้าง 



ตอนที่ 279 เดินทางยามค่ำคืน 


 


 


 


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์หยิบเสบียงอาหารส่งให้นาง 


 


 


อวี้อาเหรายื่นมือออกไปรับ แล้วแบ่งให้เหล่าองครักษ์ด้วยตัวเอง พวกเขาต่างยกมือทั้งสองขึ้นรับเอาไว้ด้วยความแตกตื่น นางจึงพูดขึ้นอย่างจนใจว่า “ออกมานอกจวนแล้วไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากนักหรอก” 


 


 


“ข้าน้อยรับบัญชาขอรับ” เหล่าองครักษ์ไหนเลยจะกล้าบิดพลิ้ว รีบก้มหน้าลงรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว 


 


 


หลังจากแบ่งสันจนเรียบร้อยแล้ว อวี้อาเหราก็คืนส่วนที่เหลือให้กับเจาเอ๋อร์ไป นางเอาเสบียงอาหารแห้งมามากมายนัก แต่ก่อนหน้านี้เป็นเพราะไม่คิดว่าพวกต้าเว่ยจะติดตามมาด้วย ทำให้ผ่านไปเพียงชั่วพริบตาเสบียงอาหารก็แทบจะหมดเกลี้ยงแล้ว นางมองเห็นว่าหนทางที่ไปยังทิศตะวันตกของเมืองเฟิ่งเฉิงยังเหลืออยู่อีกระยะหนึ่ง หากพวกนางยังไม่อาจหาโรงเตี๊ยมเพื่อพักแรมได้เช่นนี้ อย่างนั้นคงจะพากันอดตายอยู่ในป่ารกร้างแห่งนี้เป็นแน่ 


 


 


ผ่านไปไม่นาน พวกต้าเว่ยที่ออกไปเก็บฟืนก็กลับมา ลมกลางคืนพัดโหมแรงยิ่งนัก โดยเฉพาะภายในป่ารกแห่งนี้ด้วยแล้ว เมื่อจุดไฟเผาฟืนแล้วก็อบอุ่นขึ้นไม่น้อยเลย 


 


 


ยามราตรีเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของพวกเดียวกันเอง 


 


 


อวี้อาเหราไม่อาจพักผ่อนได้ จึงหันกลับไปหาพวกต้าเว่ย “พวกเจ้าติดตามเสด็จพ่อของข้ามานานเพียงใดแล้ว” 


 


 


“ตั้งแต่เล็กขอรับ” ต้าเว่ยตอบ 


 


 


“อ้อ?” อวี้อาเหราชะงัก 


 


 


“พวกเราเป็นเด็กไร้บ้านและไร้ครอบครัว โชคดีที่ครั้งนั้นท่านอ๋องทรงช่วยชีวิตเอาไว้ ยังให้ที่อยู่ที่กินและฝึกวรยุทธ์ให้ หากไม่มีท่านอ๋องที่ช่วยชีวิต พวกเราก็คงต้องอดตายกลายเป็นกระดูกไปเสียแล้ว บุญคุณของท่านอ๋องและคุณหนูรองนั้นทั้งชีวิตของพวกเรานี้ก็ไม่อาจทดแทนได้หมด” ต้าเว่ยและองครักษ์คนอื่นๆ มองสบตากัน แล้วกลืนก้อนสะอึกลงลำคอ 


 


 


“ใช่แล้ว!” ชิงอวิ๋นกล่าวต่อไปว่า “ตอนนั้นหากไม่ใช่ท่านอ๋อง พวกเราไหนเลยจะมีชีวิตที่สุขสบายเช่นทุกวันนี้” 


 


 


มิน่าเล่าพวกเขาถึงได้ซื่อสัตย์ต่อหลิงอ๋องถึงเพียงนี้ แม้เพียงเรื่องเล็กน้อยก็จะต้องตอบแทนบุญคุณอย่างเต็มที่ ดูท่าแล้วหลิงอ๋องคงเป็นคนที่มีจิตใจน่าเลื่อมใสกว่าที่นางคิด ดังนั้นจึงได้รับเลี้ยงเด็กกำพร้าเอาไว้มากถึงเพียงนี้ ไม่เพียงแต่ให้ที่อยู่ที่กิน อีกทั้งยังสอนวรยุทธ์ให้เพื่อไม่ให้น้อยหน้าผู้ใด 


 


 


อวี้อาเหรามองไปยังคนเหล่านี้ด้วยสายตาเปี่ยมความหมาย 


 


 


พวกต้าเว่ยที่ถูกนางมองด้วยสายตาเช่นนี้แล้วก็รู้สึกขนลุกชันขึ้นมา รีบก้มหน้าลงไปในทันที 


 


 


พวกนางนั่งพิงกองไฟเช่นนั้น ยามค่ำคืนท้องฟ้าก็ยิ่งมืดมิดมากขึ้น คนทั้งหมดต่างเหนื่อยล้ามาทั้งวันแล้ว ในยามนี้ต่างก็อดไม่ได้ที่จะนั่งสัปหงกบนพื้น เหลือเพียงต้าเว่ยที่ยังคงถ่างตาเฝ้ายาม ในป่าลึกเช่นนี้ด้านนอกมักจะมีสัตว์ร้าย แน่นอนว่าจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก 


 


 


ในยามที่พวกเขากำลังอยู่ในห้วงแห่งการหลับใหลนั้นก็บังเกิดเสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นเข้ามาจากที่ไกลๆ และแสงสว่างน้อยๆ ที่วูบไหวไม่หยุดหย่อน 


 


 


ต้าเว่ยตื่นตัวระวังภัยขึ้นมาทันที เรียกคนทั้งหมดให้ตื่นขึ้น 


 


 


“คุณหนูรอง ท่านดูเร็วขอรับ” 


 


 


“อะไรกัน?” 


 


 


เสียงนิ่งสงบดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง อวี้อาเหราผินหน้าไปด้านหลัง แล้วจึงมั่นใจว่าได้ยินเสียงกลุ่มฝีเท้าม้ากำลังเข้ามาใกล้ เพียงได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าก็สัมผัสได้ถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อย ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ นางชะงักไป “ต้าเว่ย เจ้าว่าจะมีใครบ้างที่เดินทางตอนกลางคืนเช่นนี้” 


 


 


“ข้าน้อยไม่แน่ใจนัก” ต้าเว่ยส่ายหน้า แล้วจึงค่อยๆ พินิจอย่างละเอียด “หากจะว่าตามเหตุผลแล้ว ดึกดื่นเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ต่างกลัวอันตราย คงไม่มีใครยอมที่จะเดินทางกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้แน่ และเสียงฝีเท้าม้ายังฟังดูมีระเบียบ ไม่เหมือนเหล่าโจรร้ายกักขฬะเลยแม้แต่น้อย และยิ่งไม่เหมือนพ่อค้าเร่ ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะเป็นใครกันที่ออกเดินทางยามค่ำคืนเช่นนี้ได้” 


 


 


“ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด” อวี้อาเหราเห็นด้วยกับประเด็นที่เขาชี้ให้เห็น สายตามองไปยังกลุ่มคนที่ห้อมล้อมอยู่อย่างจริงจัง “พวกเจ้าจงเตรียมรับมือให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นเกรงว่าแม้แต่จวนหลิงอ๋องเราก็คงไม่อาจกลับไปได้แล้ว หากพวกเราก่อกองไฟอยู่ที่นี่ตลอดเวลา เกรงว่าก็คงจะโดนพวกมันเห็นเข้าแน่ อีกฝ่ายมีคนมาก พวกเราต้องระวังตัว” 


 


 


“ขอรับ!” คนเหล่านี้ไม่กล้าที่จะนอนหลับต่อไปอีก มองไปยังเสียงที่ดังมาจากทางด้านหลังอย่างตื่นระวัง 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 280 ไม่ยอมหลีกทาง 


 


 


 


 


 


เสียงยิ่งเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ อวี้อาเหราและพวกต้าเว่ยลุกยืนขึ้น ต่างพากันอารักขารถม้าเอาไว้ 


 


 


ต้าเว่ยพูดขึ้นอย่างไม่วางใจว่า “คุณหนูรองกับเจาเอ๋อร์เข้าไปในรถม้าเถิดขอรับ” 


 


 


“ตกลง” อวี้อาเหราตอบรับ นางและเจาเอ๋อร์ไม่เป็นวรยุทธ์แม้แต่น้อย หากยังอยู่ด้านนอกเช่นนี้ก็คงจะเป็นตัวถ่วงให้กับต้าเว่ยเท่านั้นเอง เข้าไปนั่งรอในรถม้ายังจะดีกว่า 


 


 


หลังจากที่เจาเอ๋อร์ประคองนางเข้าไปนั่งบนรถม้าแล้ว นางก็ผลุบเข้าไปนั่งด้วย 


 


 


เลิกม่านขึ้นมามุมหนึ่ง อวี้อาเหรามองไปยังทิศทางที่แสงไฟเต้นเร่าอยู่ เงาร่างของพวกเขายิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนสามารถมองเห็นเค้าโครงของคนที่นั่งอยู่บนม้าได้ เสื้อผ้าของพวกเขานั้นราวกับเป็นองครักษ์ของตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวย แต่ผู้ที่นั่งอยู่บนม้าตัวใหญ่ด้านหน้าสุดนั้นเป็นชายหนุ่มอ่อนเยาว์ที่ควบม้าต้านลมเข้ามา สวมใส่เสื้อผ้าฝ้ายหรูหรา ใบหน้าเห็นโครงร่างแข็งแกร่ง เส้นผมตกคลอเคลียหน้าอก ถูกพัดปลิวไสวเพราะลมราตรี คืนนี้ลมไม่ค่อยโหมกระหน่ำมากนัก มิเช่นนั้นคงไม่อาจเดินทางได้ 


 


 


และที่ด้านหลังของเขายังเต็มไปด้วยเหล่าองครักษ์ที่บ้างขี่ม้าบ้างเดินเท้า แบ่งเป็นแถวเป็นแนวสองแถวอย่างเรียบร้อย 


 


 


หลังจากที่พวกเขาเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นพวกต้าเว่ยก็หยุดฝีเท้าม้าที่กำลังห้อตะบึงอยู่ทันที 


 


 


เหล่าองครักษ์ที่เดินเท้าอยู่นั้นก็รีบเข้ามาล้อมเอาไว้ มองไปยังพวกต้าเว่ยด้วยท่าทียโส “พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงได้กล้าที่จะขวางทางคุณชายของพวกเรา” 


 


 


“ถนนเส้นนี้เป็นของคุณชายของเจ้าหรืออย่างไร” ชิงอวิ๋นโกรธเคือง 


 


 


แม้ว่าถนนเส้นนี้จะคับแคบ แต่รถม้าของพวกเขาเพียงกินพื้นที่เล็กน้อย อย่างไรเสียก็สามารถเดินทางต่อไปได้ 


 


 


“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงได้กล้าพูดเช่นนี้! พบคุณชายของพวกเราแล้วยังไม่ยอมหลีกทางให้อีกหรือ รีบหลีกทางไปเดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงขององครักษ์พวกนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจ 


 


 


“หากพวกเราไม่หลีก พวกเจ้าจะทำไม” ชิงอวิ๋นยังมีอายุน้อยนัก เมื่อถูกผู้อื่นต่อว่าเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเคือง นี่ก็ชัดเจนว่าอีกฝ่ายนั้นจงใจที่จะทำตัวกร่างแท้ๆ! แล้วเหตุใดจะต้องหลีกทางให้ด้วยเล่า คุณหนูของนางก็เป็นถึงธิดาเอกของจวนหลิงอ๋อง สถานะก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณชายอะไรนี่เสียหน่อย! 


 


 


“เจ้า!” สีหน้าของเหล่าองครักษ์ไม่น่าดู จ้องมองไปยังชิงอวิ๋น “จะหลีกหรือไม่หลีก?” 


 


 


“ไม่หลีก!” ชิงอวิ๋นสบถเสียงเย็น 


 


 


พวกต้าเว่ยกลับทำเพียงมองดู ไม่พูดจาโต้ตอบอะไรออกไป 


 


 


ในตอนนั้นเองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนม้าก็บังคับม้าเข้ามาใกล้ แล้วถามเหล่าองครักษ์พวกนั้นเสียงเรียบว่า “เกิดอะไรขึ้น” 


 


 


น้ำเสียงที่เผยออกมานั้นฟังดูอ่อนโยน ฟังไม่ออกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ยินดีหรือยินร้าย 


 


 


“เรียนคุณชาย พวกมันไม่ยอมหลีกทางให้เราขอรับ!” องครักษ์รีบกล่าวขึ้นมาในทันที  


 


 


“หืม?” ชายหนุ่มมองไปยังรถม้าที่อยู่ตรงหน้า 


 


 


อวี้อาเหรามองใบหน้าเยาว์วัยของชายหนุ่มผ่านทางแสงไฟสลัว ดูท่าแล้วคงจะมีอายุไม่เกินสิบหกสิบเจ็ดปี แต่ทั้งคำพูดและท่าทีกลับดูนิ่งขรึมจริงจัง แม้แต่เสียงพูดก็ยังฟังดูอ่อนโยน ได้ยินองครักษ์พูดขึ้นอย่างเป็นทุกข์เป็นร้อนก็ไม่มีท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใด 


 


 


ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลา แต่กลับทำให้นางรู้สึกหม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก  


 


 


ชายหนุ่มอ่อนเยาว์มองมาอยู่ชั่วครู่ แต่ก็กลับมองไม่เห็นว่าผู้ที่นั่งอยู่ในรถเป็นใครกันแน่ ดังนั้นจึงพูดว่า “ขอให้หลีกทางด้วย” 


 


 


คำพูดเดียวกัน แต่เมื่อออกมาจากปากเขาแล้วกลับฟังดูไม่มีความโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย ราวกับกำลังอธิบายเรื่องราวอยู่อย่างนั้น แม้ในน้ำเสียงก็ไม่แสดงให้เห็นถึงความคลางแคลงใจ 


 


 


ชิงอวิ๋นที่เมื่อครู่มีสีหน้าไม่ยินยอม ในยามนี้เมื่อถูกท่าทีของเขาบีบบังคับก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก 


 


 


ต้าเว่ยทำเพียงหันไปถามด้านในรถม้าอย่างนอบน้อม “คุณหนู จะหลีกทางหรือไม่ขอรับ” 


 


 


“หลีกทาง” เหนือความคาดหมาย อวี้อาเหรากลับตอบรับด้วยน้ำเสียงสดใส 


 


 


เจาเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ด้วยกันก็อดไม่ได้ที่จะตกใจท่าทีของนาง หากเป็นคุณหนูในยามปกติ แน่นอนว่านางต้องไม่ยอมเสียเปรียบเป็นแน่ 



ตอนที่ 281 องค์ชายใหญ่ 


 


 


 


 


 


เหตุใดจึงยอมหลีกทางง่ายๆ เช่นนี้เล่า นี่ก็ต้องมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไปจริงๆ อวี้อาเหราทำราวกับรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ จึงตอบออกไปว่า “ข้ากระทำการใดก็รู้จักหนักเบา ตอนนี้พวกเราอยู่ในป่ารกร้าง ไม่ควรก่อเรื่องวุ่นวายอะไรอีก” 


 


 


“อ้อ เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ 


 


 


เมื่อได้ยินเจาเอ๋อร์ตอบกลับมาเช่นนี้ พวกต้าเว่ยจึงทำได้แต่เพียงเปิดทางให้อีกฝ่ายผ่านไป 


 


 


ชายหนุ่มอ่อนเยาว์ไม่มีทีท่าพะวักพะวน ดึงม้าให้เดินไปทางที่พวกเขาอยู่ ลอบมองไปทางอวี้อาเหราผ่านทางผ้าม่านของรถ ทว่าทันใดนั้นก็ต้องตกใจ ดึงสายบังเ**ยนเอาไว้ ยกมือขึ้นแล้วบอกให้องครักษ์ที่ตามมาด้านหลังนั้นหยุดลง ชายหนุ่มมองนางอย่างตื่นตะลึง น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นไม่อาจเก็บซ่อนความประหลาดเอาไว้ได้ มองดูแล้วคงจะตื่นตะลึงเป็นยิ่งนัก 


 


 


“คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋อง?” 


 


 


“เจ้ารู้จักข้าหรือ” ดวงตาของอวี้อาเหราวาบประกายตกใจ เลิกผ้าม่านของรถม้าขึ้น จึงทำให้อีกฝ่ายมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน 


 


 


“เป็นคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องจริงๆ หรือ” หลังจากที่ตกตะลึงแล้ว ใบหน้าของชายหนุ่มก็ฉายแววไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าก็ควรจะอยู่ในเมืองเฟิ่งเฉิงมิใช่หรืออย่างไร” 


 


 


อวี้อาเหราถามกลับด้วยความระมัดระวัง “เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดถึงรู้จักข้าได้” 


 


 


ชายหนุ่มดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มรับใช้ข้างกายจึงตอบคำถามแทน “ท่านนี้คือองค์ชายใหญ่องค์ปัจจุบัน เป็นโอรสแท้ๆ ของเริ่นกุ้ยเฟยขอรับ” 


 


 


จวินจื่อหร่าน? อวี้อาเหราเข้าใจขึ้นมาทันที ทำท่าเหมือนนึกย้อนกลับไปแล้วพยักหน้าลง “ที่แท้ก็องค์ชายใหญ่นี่เอง ถึงว่าข้าจึงรู้สึกคุ้นตายิ่งนัก ยังคิดอยู่ว่าเป็นใครกันถึงได้มีขบวนใหญ่โตเพียงนี้” 


 


 


เจาเอ๋อร์กระแอมไอออกมาอย่างกระอักกระอ่วน “คุณหนู ท่านก็ไม่เคยพบกับองค์ชายใหญ่มาก่อนนะเจ้าคะ?” 


 


 


“แม้ว่าจะไม่เคยพบมาก่อน แต่ทั่วทั้งต้าเยี่ยนนั้นมีผู้ใดบ้างไม่รู้จักคุณชายใหญ่ผู้น่าเลื่อมใสเล่า” อวี้อาเหรายิ้มแย้มเต็มใบหน้า นางจะไปรู้ได้อย่างไร ก็คิดว่าอีกฝ่ายรู้จักนาง นางก็ควรจะรู้จักคนผู้นี้ถึงจะถูกสิ 


 


 


จวินจื่อหร่านได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มบางๆ “คุณหนูรองก็ดูเปลี่ยนไปไม่เหมือนแต่ก่อนเลย” 


 


 


“ไม่เหมือนตรงไหนหรือ” อวี้อาเหราเม้มปากอย่างระมัดระวัง 


 


 


“ได้ยินมาว่าไม่กี่เดือนมานี้คุณหนูรองก็เปลี่ยนไปมาก ก่อนหน้านี้ก็ถอนหมั้นกับองค์รัชทายาท ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ทำให้ผู้คนไม่อาจคาดเดาได้กับเซิ่นซื่อจื่อและท่านอ๋องน้อยแห่งจวนหนานหยางอ๋อง ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วต้าเยี่ยน แม้แต่ตัวข้าที่ออกไปจัดการกิจธุระนอกเมืองยังได้ยินมากับหู” จวินจื่อหร่านพูดออกมาเป็นชุด แต่เพราะท่าทีอ่อนโยนของเขาจึงทำให้ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เช่นกัน ท่าทีของเขานั้นก็ดูสุภาพอ่อนโยนอยู่ตลอด 


 


 


“ไม่หรอก…” 


 


 


อวี้อาเหราเหมือนเคยได้ยินเจาเอ๋อร์พูดถึงองค์ชายใหญ่อยู่บ้าง แต่เดิมตำแหน่งรัชทายาทเป็นของเขา แต่กลับถูกลูกเลี้ยงของฮองเฮาแย่งชิงไป ตั้งแต่นั้นคนทั้งสองก็ไม่ลงรอยกัน และยังมีบางคนบอกว่าไม่ช้าก็เร็วรัชทายาทก็จะถูกปลด องค์ชายใหญ่มีท่าทีสุขุมและฉลาดเฉลียว เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตำแหน่งรัชทายาท นี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ 


 


 


แต่ยามที่ได้พบองค์ชายใหญ่ด้วยตาตนเอง นางก็รู้สึกได้ว่าคำพูดพวกนั้นก็ค่อนข้างน่าเชื่อถืออยู่บ้าง 


 


 


ตอนนี้จวินฉางอวิ๋นเป็นองค์ชายเสเพลที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่จวินจื่อหร่านกลับตรงกันข้าม ทั้งยังรู้จักคิดและวางแผน หากได้รับตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายอันใด 


 


 


“แต่ว่าคุณหนูรองก็มาทำอะไรถึงที่นี่หรือ” จวินจื่อหร่านสงสัย มีคุณหนูบ้านใดบ้างที่จะออกเดินทางมายังดินแดนรกร้างแห่งนี้ เขามองไปยังอวี้อาเหราอย่างพิจารณา ก็ยิ่งรู้สึกว่านางแตกต่างจากเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก 


 


 


หากจะพูดจริงๆ แล้วก็เหมือนจะไม่ใช่คนคนเดียวกัน แม้ว่าจะมีใบหน้าที่เหมือนกันเช่นนี้ อีกทั้งแม้แต่น้ำเสียงก็ยังไม่มีความแตกต่าง แต่ท่าทีและลักษณะนั้นกลับไม่เหมือนคนเดียวกันเลย 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 282 ขอให้บอกมา 


 


 


 


 


 


ก่อนหน้านี้อวี้อาเหรามักจะก้มหน้าก้มตาอยู่เสมอ ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะมองเห็นกระนั้น 


 


 


กระทั่งทุกครั้งที่นางกล่าววาจากับองค์รัชทายาท แม้จะเป็นเพียงแค่ไม่กี่ประโยคแต่ก็จะอึกๆ อักๆ ทำให้มักจะถูกผู้อื่นเหยียดหยามอยู่เสมอ 


 


 


แต่ครั้งนี้ไม่เจอกันนาน ทว่านางกลับเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือทีเดียว! 


 


 


อย่าได้โทษที่เขาจ้องมองนางเสียนาน แต่คนที่อยู่รอบข้างก็ยังอดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัย 


 


 


นี่ก็คือคุณหนูรองคนนั้นจริงๆ หรือ? เหตุใดไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนเลยเล่า 


 


 


“เช่นนั้นองค์ชายใหญ่เล่าเพคะ เหตุใดถึงได้ทรงเดินทางในยามค่ำคืนเช่นนี้” อวี้อาเหราเฉไฉ เลี่ยงคำถามของอีกฝ่ายด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะถามกลับไป จวินจื่อหร่านเมื่อได้ยินดังนั้นก็เงียบไปนาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดวงตาแพรวพราวของนาง แล้วจึงค่อยตอบว่า “เป็นเพราะได้รับคำสั่งจากเสด็จพ่อถึงได้ออกจากเมืองมาทำงานหลายเดือนแล้ว ยามนี้ก็ใกล้จะถึงเฟิ่งเฉิง คิดว่าเสด็จแม่คงจะรออยู่ตำหนัก จึงอยากที่จะกลับไปเร็วๆ” 


 


 


“อ้อ เป็นเช่นนี้นี่เอง ยังคิดว่าองค์ชายใหญ่จะทรงมีเรื่องด่วนอะไรที่ต้องรีบจัดการเสียอีก…” อวี้อาเหราพูดขึ้นอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก 


 


 


จวินจื่อหร่านเงยหน้าขึ้นในทันที จ้องมองนางด้วยสายตาล้ำลึก 


 


 


ไม่ผิด เหตุใดเขาจะต้องเดินทางในยามค่ำคืนเพียงเพราะคิดถึงมารดากัน นี่ก็เป็นเพราะมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการต่างหากเล่า เรื่องนี้ได้ถูกอวี้อาเหราคาดเดาจนถูกต้อง แต่เดิมคิดว่านางนั้นจงใจพูดขึ้นมา แต่เมื่อเห็นท่าทีเกียจคร้านไม่ใส่ใจของนางแล้ว ก็คิดว่าน่าจะเป็นเพียงการล้อเล่นเท่านั้นเอง 


 


 


แม้แต่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าที่นางพูดนั้นหมายถึงอะไรกันแน่ 


 


 


วางอารมณ์สงสัยลง รอยยิ้มของเขาดูฝืดฝืนเล็กน้อย “เมื่อครู่นี้คุณหนูรองยังไม่ตอบคำถามของข้าเลย” 


 


 


“หม่อมฉันจะมีเรื่องอันใดได้ เพียงเพราะอยู่แต่ในจวนมานานจนรู้สึกเบื่อ เช่นนั้นจึงแอบหนีเสด็จพ่อออกมาเที่ยวเล่นเท่านั้นเอง แต่ก็หวังว่าองค์ชายใหญ่จะไม่นำเรื่องนี้ไปทูลบอกเสด็จพ่อนะเพคะ มิเช่นนั้นหากทรงทราบเข้าข้าคงต้องถูกจับตัวกลับไปแน่ๆ ทรงต้องเก็บเป็นความลับนะเพคะ!” ดวงตาของอวี้อาเหราเปล่งประกาย ท่าทีเปลี่ยนไปเป็นขี้เล่นทันที 


 


 


จวินจื่อหร่านเห็นท่าทีเหมือนเช่นเด็กน้อยของนางแล้ว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองคงคิดมากไป  


 


 


แล้วจึงพยักหน้า ยิ้มอย่างขอไปที “คุณหนูรองโปรดวางใจ เราไม่บอกใครแน่” 


 


 


“เช่นนั้นก็ดีเพคะ องค์ชายใหญ่ทรงพระทัยดียิ่งนัก ท่าทีไม่เหมือนองค์รัชทายาทเลยแม้แต่น้อย” อวี้อาเหราจงใจพูดประโยคนี้ขึ้นมา เพื่อประจบเอาใจเข้า 


 


 


เมื่อฟังจากน้ำเสียงของนางแล้วก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจที่นางมีต่อจวินฉางอวิ๋น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจทั้งยังประหลาดใจ ทว่าเขาก็ได้กดเก็บอารมณ์นี้ของตนเองลงไป น้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบขณะที่เอ่ย “เจ้าพูดเช่นนี้ หรือว่าองค์รัชทายาทจะทำให้เจ้าโกรธอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“นอกจากจะเที่ยวเล่นเสเพลแล้ว เขาจะทำอะไรให้หม่อมฉันโกรธได้อีกเพคะ” 


 


 


“คุณหนูรองกล่าวได้ถูกต้อง ฉางอวิ๋นนั้นไม่รู้จักถูกผิด ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงจะโกรธทั้งนั้น แต่ขอให้คุณหนูรองใจกว้างหน่อยเถิด วันหลังข้าจะพูดกับเขาเอง” 


 


 


“เช่นนั้นก็ขอบพระทัยองค์ชายใหญ่เพคะ” อวี้อาเหราพยักหน้าอย่างพึงใจ พลางขมวดคิ้ว “หากเขาเป็นเลิศทั้งทางบุ๋นและบู๊เหมือนองค์ชายใหญ่ก็คงจะดีเพคะ ตอนนี้แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังตรัสว่าเกลียดชังเขายิ่งนัก ตามความเห็นของหม่อมฉันไม่ช้าก็เร็วเขาก็คงจะต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งเป็นแน่ ท่านเองก็คงจะได้รับตำแหน่งต่อไป เมื่อก่อนนั้นหม่อมฉันตาบอดจึงมองเห็นแต่เขา ถึงได้ยอมรับหมั้นอะไรนั่น ตอนนี้หม่อมฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแล้ว แม้คิดจะถอนหมั้นก็ยังทำไม่ได้!” 


 


 


“คุณหนูรองอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้ หากผู้อื่นได้ยินเข้าก็คงคิดว่าเรานั้นปรารถนาในตำแหน่งรัชทายาท…” จวินจื่อหร่านเห็นนางพูดขึ้นโดยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ไหนเลยจะรู้ว่าเป็นเล่ห์กล ในเวลาเดียวกันเขาก็ลอบยินดีเพราะคำพูดของนาง หากแต่กดดันเอาไว้ในใจเท่านั้น 


 


 


อวี้อาเหราถอนหายใจ “หม่อมฉันอยากจะขอร้องให้องค์ชายใหญ่ทรงช่วยเหลือหม่อมฉันสักเรื่องหนึ่ง…” 


 


 


“คุณหนูรองมีเรื่องอะไรก็ขอให้บอกข้ามาเถิด” จวินจื่อหร่านที่ถูกยกยอเสียใหญ่โต เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างใจกว้าง 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม