รักเล่ห์เร้นใจ 274-287
ตอนที่ 274 ซื้อตัว
บริษัทของเซียวจิ่งสือเกิดปัญหาตอนแรกยังไม่มีคนรู้ ต่อมาปัญหามีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บริษัทคู่แข่งเอามาแฉมากขึ้น ทำให้บริษัทวุ่นวายปั่นป่วนขึ้นมา
หลินหว่านได้แต่มองดูบริษัทของเซียวจิ่งสือทรุดลงไปทุกวันอย่างช่วยอะไรไม่ได้ ก็พลอยรู้สึกว้าวุ่นใจไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าเซียวจิ่งสือเองก็ปั่นป่วนอยู่บ้าง ออกไปแต่เช้ากลับดึกดื่นค่อนคืนทุกวัน หน้าดำคล้ำเครียดเหนื่อยล้าลงทุกวัน เห็นแล้วหลินหว่านได้แต่นึกปวดใจ
“ยังหาคนมาร่วมทุนไม่ได้หรือคะ?” หลินหว่านถามเมื่อเห็นเซียวจิ่งสือกลับมาอย่างอ่อนล้าอีกครั้ง
“ไม่มี” เซียวจิ่งสือดูเหนื่อยมาก เขาตอบมาคำหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรอีก หลินหว่านก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก เธอได้ไปหาคนช่วยหลายราย แต่คนในวงการธุรกิจเหมือนจะรู้ว่าเซียวจิ่งสือใกล้จะล้มละลาย จึงพากันหลีกลี้หนีห่าง แน่นอนว่าไม่มีใครยอมช่วย
ทำอะไรไม่ได้ หลินหว่านจึงได้แต่มองดูเซียวจิ่งสือออกไปวิ่งเต้นหาคนมาร่วมทุน
ตอนนี้เธอเองก็หมดหนทางหาคนมาช่วยแล้ว
“พักสักหน่อยเถอะค่ะ” หลินหว่านแอบถอนใจ เธอได้แต่ให้เซียวจิ่งสือพักผ่อนจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป บริษัทล้มไปยังสร้างใหม่ได้ แต่สุขภาพเสียไปเอากลับคืนมาไม่ได้
ระหว่างที่คิดอยู่นั้น เซียวจิ่งสือนอนหลับไปแล้ว คงจะเหนื่อยมากจริงๆ หลินหว่านเห็นแล้วรู้สึกละอายใจ อดไม่ได้ไปค้นหาในรายชื่อบันทึกการติดต่อหวังว่าจะหาคนที่ช่วยเซียวจิ่งสือได้สักคน
เรื่องนี้เธอเป็นต้นเหตุ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอพาฮั่วเทียนอวี่เข้ามาก็คงไม่กลายเป็นแบบนี้ เธอต้องรับผิดชอบช่วยเซียวจิ่งสือ
“ไม่ต้องหาแล้ว” กำลังค้นหารายชื่ออยู่ จู่ๆ เซียวจิ่งสือก็พูดขึ้น หลินหว่านสะดุ้งเฮือก หันไปก็พบว่าเป็นเซียวจิ่งสือ เธอนวดหัวคิ้ว “คุณนอนแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
พูดถึงตรงนี้ หลินหว่านชะงักไม่พูดอะไรอีก สถานการณ์แบบตอนนี้ต่อให้เซียวจิ่งสือนอนก็คงไม่กล้าหลับสนิท
“ฉันหาดูนิดเดียวเองค่ะ ไม่แน่ว่าจะหาคนมาช่วยได้นะคะ” หลินหว่านพูดอย่างอับจน รู้ทั้งรู้ว่าการหาผู้ร่วมทุนนั้นริบหรี่เต็มที ตอนนี้บริษัทของเซียวจิ่งสือใกล้จะล้มเต็มทีแล้ว
ทุกคนต่างเชื่อกันว่าเขาจะล้มละลาย แน่นอนว่าไม่มีใครยอมช่วยเขา นอกซะจากเธอไปหาเหลยลี่
เหลยลี่มีทั้งกำลังทรัพย์และกำลังคนมหาศาล แค่ช่วยบริษัทของเซียวจิ่งสือสำหรับเขาแล้วขนหน้าแข้งไม่ร่วงด้วยซ้ำ จึงไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญนัก
แต่หลินหว่านไม่อยากหาเขา เธอรบกวนเหลยลี่มากเกินไปแล้ว เขาเองก็เป็นนักธุรกิจเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมสูญเงินก้อนโตเพราะคำพูดของเธอ
พอคิดได้เช่นนั้น หลินหว่านก็วางมือถือลง พูดว่า “ตอนนี้บริษัทยังไม่ล้มไม่ใช่หรือคะ อีกสองวันเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”
หลินหว่านพูดคำพูดนี้เพื่อปลอบเซียวจิ่งสือและก็ปลอบใจตัวเองด้วย บริษัทของเซียวจิ่งสือตอนนี้ร่อแร่เต็มที จะล้มไม่ล้มจะรอดไม่รอดชวนให้ต้องลุ้นกันเหงื่อตก
ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้จะล้มครืนลงมา เรื่องที่จะล้มนั้นมันแน่อยู่แล้ว เหลืออยู่ก็แค่เวลาเท่านั้น
“ตอนนี้ยังไม่ล้มก็เหมือนล้ม คนพวกนั้นไม่ยอมช่วยหรอก” คำพูดเหมือนปลอบตัวเองของหลินหว่าน เซียวจิ่งสือแค่ฝืนยิ้มออกมา แล้วดึงเธอกลับมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ขณะที่รู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ
เขาแค่คิดว่าจะทำให้ดูน่าสงสารเท่านั้น และก็อยากให้คนพวกนั้นตกหลุมเขาด้วย ไม่ได้ย่ำแย่จริงๆ ซะหน่อย แต่หลินหว่านไม่รู้นี่
เธอช่วยเขาขนาดนี้ในยามที่เขาตกยาก เขาไม่ได้มองคนผิดเลย
เขาวางศีรษะอิงไหล่ของหลินหว่าน เซียวจิ่งสือปิดตาลงแกล้งทำเป็นหลับ
หลินหว่านตัวแข็งทื่อ เธอยอมรับการสัมผัสจากเซียวจิ่งสือไม่ได้จริงๆ ตอนนั้นภาพที่เห็นมันติดตาตรึงใจเธอเกินไป
แต่ตอนนี้เซียวจิ่งสือเป็นอย่างนี้แล้ว เธอจะทำให้เขาเสียใจในเวลานี้ได้อีกงั้นหรือ?
แล้วนี่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจด้วย หลินหว่านอัดอั้นตันใจ แต่ก็ไม่ได้ผลักเขาออก แค่หันหน้าหนีไม่พูดอะไรอีก
เช้าวันรุ่งขึ้นหลินหว่านนัดเจ้าของกิจการที่เคยร่วมมือกันมาก่อนเพื่อเจรจาความร่วมมือกับบริษัทของเซียวจิ่งสือ เธอบอกเซียวจิ่งสือแล้วออกไปอย่างรีบร้อน
เซียวจิ่งสือมองตามเงาร่างเธอ ขมวดคิ้วมุ่น
ตอนหลินหว่านมาถึงสถานที่นัดหมาย เจ้าของกิจการนั้นมาถึงแล้ว พอเห็นหลินหว่านเขาก็เลิกคิ้วเป็นเชิงให้เธอเข้ามา
“ท่านประธานหลินคะ ฉันอยากจะพูดเรื่อง…”
“เรื่องความร่วมมือกับเซียวจิ่งสืองั้นหรือ?” ไม่ทันรอให้หลินหว่านเอ่ยปาก ประธานหลินก็พูดออกมาก่อน
พอฟังเช่นนั้น หลินหว่านก็ผงกศีรษะ ขณะที่ในใจกลับนึกระแวงประธานหลินขึ้นมา เธอไม่ใช่คุณหนูใหญ่ที่ไม่รู้เรื่องราวเล่ห์เหลี่ยมของโลกภายนอก ตอนนี้เซียวจิ่งสือตกอยู่ในสภาพนี้ ประธานหลินนี่รู้ว่าเธอมาเจรจากับเขาเรื่องความร่วมมือกับเซียวจิ่งสือ ยังยอมพบหน้าทำให้หลินหว่านสงสัยมาก
ขณะคิดอยู่นั้น ประธานหลินก็สั่งอาหาร สถานที่พวกเขานัดพบเป็นร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพราะต้องร้องขอความช่วยเหลือ อาหารมื้อนี้หลินหว่านจึงเป็นคนจ่าย ประธานหลินสั่งอาหารที่แพงที่สุด ทำให้หลินหว่านตากระตุก
หลินหว่านพ่นลมจากปาก เอ่ยปากถามว่า “ท่านประธานเซียวเห็นอย่างไรคะเรื่องที่ฉันมาเจรจา?”
พอได้ฟัง ประธานหลินที่เดิมตั้งใจว่าจะทานข้าว มองดูหลินหว่านแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา ที่จริงวันนี้เขาอยากจะดูซิว่าหลินหว่านคิดจะทำอย่างไรบ้าง
หลายคนรู้ดีว่าเซียวจิ่งสือเป็นนายทุนหนุนหลังให้หลินหว่าน เขาเองก็ย่อมจะรู้ด้วยเช่นกัน แต่หลินหว่านหน้าตาดี ตอนนี้เซียวจิ่งสือตกเวทีไปแล้ว เขาจึงคิดจะดึงตัวหลินหว่านมา ดูว่าหลินหว่านจะยอมหันมาซบอกเขาหรือไม่
ที่ไหนได้หลินหว่านกลับดูเหมือนจะเข้าใจว่าเขาจะร่วมมือด้วยอย่างนั้น บริษัทของเซียวจิ่งสือเป็นอย่างนั้นไปแล้ว เขาไม่ฉวยโอกาสรวบซื้อกิจการของเขาก็นับว่าไม่เลวแล้ว ยังจะร่วมมือกับบริษัทที่รู้แน่ว่าจะล้มอยู่แล้วได้อย่างไรกัน
ประธานหลินวางตะเกียบอย่างขัดใจ “เรื่องความร่วมมือผมเชื่อว่าคุณหลินน่าจะเข้าใจชัดแจ้งยิ่งกว่าผมซะอีก ตอนนี้คนในวงการธุรกิจพากันถอยห่างจากเซียวจิ่งสือ เพราะกลัวว่าเขาจะมาขอร้องให้ช่วย ถึงยังไงเขาก็พังแน่ๆ อยู่แล้ว พวกเราไม่ฉวยโอกาสกว้านซื้อกิจการก็ถือว่าใจดีมากแล้ว คุณยังเห็นว่าผมจะร่วมมือกับเขาอีกจริงๆ เหรอ?”
ประธานหลินพูดตรงๆ หลินหว่านก็เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดี ไม่ใช่ว่าคนพวกนี้ไม่เข้ามาซื้อกิจการก็นับว่าดีแล้ว แต่บริษัทของเซียวจิ่งสือตอนนี้เป็นตัวปัญหายุ่งยาก คนพวกนี้ไม่อยากได้เองต่างหาก
หลินหว่านลงนั่งฝั่งตรงข้ามประธานหลิน มองดูอาหารที่ทยอยเสริฟขึ้นโต๊ะ ประธานหลินเจริญอาหารดีมาก เขากินอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่หลินหว่านรู้ตัวว่าตัวเองถูกหลอก
“มื้อนี้ผมไม่ให้คุณหลินจ่ายหรอก แต่ไหนแต่ไรมาผู้ชายที่ให้ผู้หญิงเลี้ยงล้วนแต่เป็นพวกไร้ความสามารถกันทั้งนั้น เรื่องนี้ผมแค่ล้อคุณหลินเล่นนะ”
พอทานเสร็จ ประธานหลินจึงเอ่ยปากพูดความจริง หลินหว่านไม่ได้สนใจเงินค่าอาหารแค่นั้นหรอก
แต่ประธานหลินพูดเช่นนี้ เธอก็ไม่มีอะไรจะพูด ยังคงนิ่งเงียบอยู่คิดจะฟังดูว่าท่านประธานหลินที่หลอกนัดเธอออกมาเพราะอยากจะพูดอะไร
“วันนี้ที่นัดคุณออกมาผมก็ไม่ได้หลอกคุณ ผมถูกใจความสวยของคุณ เมื่อก่อนคุณอยู่กับเซียวจิ่งสือผมก็ไม่อยากแย่งของรักใคร และก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับเซียวจิ่งสือเพราะคุณหลิน แต่ตอนนี้เซียวจิ่งสือหมดอำนาจแล้ว ผมแค่อยากถามคุณหลินว่าคุณต้องการเปลี่ยนผู้สนับสนุนหรือเปล่า?”
หึ! หลินหว่านยังนึกว่าเขามีอะไรจะพูดซะอีก ที่แท้ก็คิดจะซื้อตัวกันนี่เอง
ตอนที่ 275 ไม่อภัย
“ประธานหลินคิดจะแย่งของรักคนอื่น?” หลินหว่านพูดเย้ยหยัน ประธานหลินถูกเธอยันกลับมาแบบนี้ก็ขายหน้าอยู่บ้าง แต่ยังปากแข็งพูดว่า “ผมมาให้โอกาสกับคุณต่างหาก เซียวจิ่งสือล้มไปแล้ว คุณยังอยู่กับเขาก็เปล่าประโยชน์ เขาให้งานให้เงินคุณไม่ได้แล้ว แม้แต่จะเอาตัวให้รอดอาจต้องอาศัยคุณเลี้ยงดูปูเสื่ออีก ผมเชื่อว่าคุณหลินคงไม่คิดจะเลี้ยงผู้ชายไว้หรอกนะ”
เซียวจิ่งสือหน้าตาดีข้อนี้ประธานหลินไม่อาจปฏิเสธได้ แต่พวกผู้หญิงในวงการบันเทิงล้วนแต่เห็นแก่เงินกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร ขอเพียงมีงานมีเงินให้ ต่อให้หน้าตาชวนสะพรึงแค่ไหนพวกเธอก็ยิ้มรับได้อยู่ดี
เซียวจิ่งสือในตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้วมีเพียงแค่หน้าตาเท่านั้น ประธานหลินไม่เชื่อว่าหลินหว่านจะยังมีน้ำจิตน้ำใจเลี้ยงดูเซียวจิ่งสืออีก
“ช่างบังเอิญจริงๆ พอดีฉันไม่ถือสาที่จะเลี้ยงเขาเอาไว้ซะด้วย” หลินหว่านพอเข้าใจความตั้งใจของคนคนนี้ก็ลุกขึ้นยืน รู้สึกสะอิดสะเอียนจนไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อไป เธอยืนขึ้นแล้วไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์ก่อนจากไป
พอออกมาจากร้านอาหาร หลินหว่านก็นวดขมับด้วยปวดศีรษะ เธอไม่ได้กลับไปแต่เดินเปะปะไปตามถนนหนทางอย่างไร้จุดหมาย
“เสี่ยวหว่าน” ที่ด้านหลังมีเสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้น หลินหว่านหันกลับพอเห็นว่าเป็นอันจี๋ถิงก็ชักสีหน้า
“ลูกมาทานข้าวที่นี่เหรอ?” วันนี้อันจี๋ถิงมาทานข้าว ที่นี่เป็นย่านอาหารอร่อย ด้านนอกส่วนหนึ่งเป็นแผงขายอาหาร ส่วนด้านในเป็นภัตตาคารหรูที่ราคาค่อนข้างแพง
ถนนสายนี้ไม่มีของอื่นขาย ดังนั้นอันจี๋ถิงจึงเข้าใจว่าหลินหว่านมาทานข้าว เธอดึงหลินหว่านไว้อย่างดีใจ พูดว่า “ทานเป็นเพื่อนแม่นะ แม่ก็มาทานข้าวเหมือนกัน”
หลินหว่านอ้าปาก มองดูท่าทางตื่นเต้นดีใจของอันจี๋ถิงอย่างอึ้งๆ กำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
ถึงอย่างไรก็เป็นแม่แท้ๆ ของเธอ หลินหว่านไร้น้ำใจขนาดนั้นไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะหายโกรธแล้ว ดังนั้นตลอดทางอันจี๋ถิงจึงคอยเอาอกเอาใจเธอ แต่หลินหว่านกลับมีท่าทีเฉยเมยตลอด
“เสี่ยวหว่าน ลูกอยากทานอะไร?” อันจี๋ถิงเข้าใจดีว่าเธอติดค้างลูกคนนี้ไว้มาก จึงไม่ถือสากับท่าทีเมินเฉยของหลินหว่าน ยังคงถามด้วยท่าทียินดีปรีดา
หลินหว่านส่ายหน้า เมื่อครู่เธอไม่ได้ทานอะไรสักอย่างแต่กลับไม่หิวเลย จึงพูดออกมาคำหนึ่งว่า “อะไรก็ได้ค่ะ”
อันจี๋ถิงชะงัก เสียใจกับคำพูดนี้ของหลินหว่าน คำว่าอะไรก็ได้เหมือนแค่ปัดสวะให้พ้นไป ไม่สนใจเธอเลย แต่จะอย่างไรเธอเป็นฝ่ายผิด ถึงหลินหว่านจะหมางเมินต่อเธอ เธอก็ไม่มีสิทธิจะพูดอะไร
อันจี๋ถิงสั่งอาหารมาหลายอย่าง พูดว่า “แม่ได้ยินเรื่องของเซียวจิ่งสือแล้ว”
“อ้อ” หลินหว่านส่งเสียงรับคำหนึ่ง เรื่องของเซียวจิ่งสือมีคนรู้ตั้งมากแล้ว อันจี๋ถิงแม้จะเป็นนักเขียนบท แต่เส้นสายคนรู้จักมีไม่น้อย เป็นธรรมดาที่เธอก็รู้ด้วย หลินหว่านไม่แปลกใจเลยที่เธอรู้เรื่องนี้
“ลูกยังคิดจะอยู่กับเซียวจิ่งสืออีกหรือเปล่า?” ตอนนี้เซียวจิ่งสือตกต่ำขนาดนี้ ไม่ได้ร่ำรวยมีหน้าตาเหมือนเมื่อก่อนอีก ถ้าเป็นผู้หญิงที่เห็นแก่เงินคงไปจากเขานานแล้ว
อันจี๋ถิงก็รู้ดีว่าหลินหว่านไม่ใช่ผู้หญิงเห็นแก่เงิน แต่ก็ยังเอ่ยปากถาม
พอฟังคำนี้ หลินหว่าช้อนตาขึ้นมองเธอหัวเราะเย้ยหยันว่า “คุณเห็นฉันเป็นคนยังไง? เห็นเงินแล้วตาลุก? หรือว่าพอเซียวจิ่งสือหมดเงินแล้วฉันก็จะตัดสัมพันธ์กับเขาซะเลย?”
อันจี๋ถิงพอถูกหลินหว่านยันกลับมา ก็ได้แต่อึดอัดขัดเขินอยู่บ้าง เธอลูบจมูกเสหันไปมองทางอื่น พูดอย่างเสียใจว่า “แม่ไม่ได้หมายความอย่างนั้นเลยนะ ก็แค่อยากจะถามดู ถ้า…ถ้าลูกคิดจะอยู่ร่วมกับเซียวจิ่งสือจริงๆ บริษัทของเขา…แม่ช่วยได้นะ”
เธอมีพร้อมทั้งกำลังคนกำลังทรัพย์ หลายปีมานี้เธอไม่ลืมที่จะสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับตัวเอง การช่วยบริษัทของเซียวจิ่งสือให้ผ่านพ้นวิกฤตนั้นสำหรับเธอแล้วเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
พอนึกถึงตรงนี้ อันจี๋ถิงหันมามองหลินหว่าน “ลูกน่าจะรู้จักแม่ดีนะ แม่สามารถช่วยเซียวจิ่งสือได้จริงๆ”
ทำไมหลินหว่านจะไม่รู้ เธอรู้ดีมากเลยทีเดียว หลินหว่านมองอันจี๋ถิงแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า พิงร่างไปด้านข้าง “ทำไมคุณต้องช่วยเซียวจิ่งสือด้วย? เรื่องนี้เป็นเรื่องเปลืองแรงโดยไม่ได้อะไรเลยนะ”
พูดถึงตรงนี้หลินหว่านก็หยุดเว้นวรรค ยกมุมปากยิ้มเป็นเชิงเยาะว่า “หรือว่าคุณจะชดเชยให้ฉัน? คิดจะใช้วิธีแบบนี้สินะ?”
คำพูดเธอแฝงด้วยน้ำเสียงคาดคั้น อันจี๋ถิงนิ่งอึ้งไปอย่างอับจนคำพูด เธอตั้งใจจะชดเชยให้หลินหว่านจริงๆ
เซียวจิ่งสือในตอนนี้เป็นอย่างไรเธอไม่สน บริษัทเขาจะดีหรือเลวเธอก็ขี้เกียจจะรู้ เธอแค่รู้ว่าหลินหว่านอยากช่วยเซียวจิ่งสือให้ผ่านพ้นอุปสรรคนี้ ไม่อยากให้เซียวจิ่งสือล้มละลาย
และเธอก็มีความสามารถที่จะช่วยได้ ทั้งได้ชดเชยให้หลินหว่านด้วย ดังนั้นเธอจึงเสนอขึ้นมา แต่ท่าทีของหลินหว่านนี้ ทำให้อันจี๋ถิงสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วว่าตัวเองคงจะพูดอะไรผิดไป
ขณะกำลังคิดดูนั้น พนักงานก็เข้ามาเสิร์ฟอาหาร อันจี๋ถิงขายหน้าอยู่บ้าง รีบเปลี่ยนเรื่อง “ทานข้าวเถอะ”
เธอพูดเปลี่ยนเรื่องชัดเจนขนาดนี้ หลินหว่านจะดูไม่ออกได้ยังไง สายตาเปี่ยมความผิดหวังแต่กลับไม่พูดอะไร ก้มหน้าลงทานอาหาร
ที่จริงแล้วหลินหว่านไม่หิวเลย หลายวันมานี้บริษัทของเซียวจิ่งสือตกอยู่ในภาวะวิกฤต เขาทำงานหนักแต่เช้ากลับดึกดื่นค่อนคืนทุกวันท่าทางเหนื่อยล้า หลินหว่านเห็นแล้วก็ร้อนใจ ไม่มีอารมณ์จะกินอะไรเลย ทั้งวันเอาแต่คิดว่าจะช่วยเซียวจิ่งสือได้อย่างไร
เธอทานอาหารอย่างไม่รู้รส ทานไปไม่กี่คำก็คิดจะไปแล้ว อันจี๋ถิงกลับรีบร้อนพูดขึ้นว่า “แม่รู้ว่าหลายวันมานี้ลูกกำลังหาคนมาทำความร่วมมือกับเซียวจิ่งสือ”
เธอพูดอย่างรีบร้อน จนหลินหว่านชะงักไปครู่กว่าจะเข้าใจความหมายของเธอ ยิ่งนึกขุ่นใจ
“คุณก็เลยคิดจะช่วยเซียวจิ่งสือเป็นการชดเชยให้ฉันโดยไม่ถามไถ่อะไรเลยใช่ไหมคะ?”
หลินหว่านหันไปมองอันจี๋ถิง เธอไม่แปลกใจที่แม่จะรู้เรื่องพวกนี้ ที่สำคัญคืออันจี๋ถิงมีขุมกำลังเป็นของตัวเอง เรื่องที่เธอรู้ย่อมจะมากตามไปด้วย
หลายวันมานี้ก็เธอไม่ได้ตั้งใจปิดบังเรื่องที่เธอหาคนมาร่วมทุน ดังนั้นการที่อันจี๋ถิงพูดแบบนี้เธอจึงไม่แปลกใจเลย
อันจี๋ถิงถอนใจยาว มองดูท่าทีเย้ยหยันของหลินหว่านอย่างปวดใจอยู่บ้าง หลายปีมานี้เธอทำไม่ถูกที่ไม่ได้ถามข่าวคราวของหลินหว่านเลย หลินหว่านจะโกรธเคืองเธอก็เป็นเรื่องธรรมดา
อันจี๋ถิงอ้าปาก กำลังคิดจะพูดว่าตัวเองแค่อยากชดเชยให้เธอไม่ได้คิดเป็นอื่นอะไร หลินหว่านกลับรีบร้อนหยิบกระเป๋าถือ พูดว่า “ถ้าคิดจะช่วยเซียวจิ่งสือเพื่อชดเชยให้ฉันก็ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันไม่ต้องการ หลายปีมานี้ฉันคิดมาตลอดว่าคุณจะปรากฏตัวออกมา ต่อให้ไม่สามารถช่วยฉัน ขอเพียงคุณยืนอยู่เคียงข้างฉันก็คงไม่ทุกข์ขนาดนั้น แต่คุณไม่เคยโผล่มาเลย ความทุกข์ทั้งหมดฉันผ่านมันมาแล้ว เคยชินแล้วด้วย จู่ๆ คุณก็มาบอกฉันว่าคุณยังไม่ตาย ตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นมาฉันให้อภัยคุณไม่ได้อีก”
ถ้าหากอันจี๋ถิงตายไปแล้ว หลินหว่านคงไม่โกรธเธอขนาดนี้ แต่อันจี๋ถิงไม่ตาย เห็นเธอใช้ชีวิตอยู่ในบ้านตระกูลอันในสภาพเหมือนเดินบนแผ่นน้ำแข็ง [1] แต่กลับไม่โผล่หน้ามาเลย ตอนนี้คิดจะเอาอะไรมาชดเชยให้เธอ?
หลินหว่านคิดในใจอย่างขุ่นเคือง สบตาอันจี๋ถิงแวบหนึ่งแล้วจากไป
——
[1] เดินบนแผ่นน้ำแข็ง หมายถึง ต้องระวังตัวทุกย่างก้าว
ตอนที่ 276 แผนของเซียวจิ่งสือ
ถึงแม้จะปฏิเสธแม่ไปแล้ว แต่หลินหว่านมาคิดดูก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะช่วยให้เซียวจิ่งสือรอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ได้
ขณะที่เธออับจนอยู่นั้นเอง ในหัวก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเหลยลี่อยู่ที่สามารถช่วยพวกเขาได้ เพียงแต่…เขาจะช่วยหรือเปล่านี่สิ? ช่างเถอะ ไม่คิดมากแล้ว ไม่ว่าเขาจะช่วยหรือไม่เธอก็ต้องไปลองดู เผื่อว่าจะสำเร็จ?
เธอติดต่อเหลยลี่โดยเร็ว ส่วนเหลยลี่พอได้รับโทรศัพท์จากหลินหว่านก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด เหมือนกับคาดไว้ก่อนแล้ว แต่ยังแกล้งถามว่า
“ไม่ทราบว่าคุณหลินทำไมยังมีเวลา นึกถึงผมอีก ช่างเป็นเกียรติของผมซะจริงๆ ฮ่าๆ!”
“คุณเหลยนี่พูดอะไรแบบนั้น พูดกันตามจริงแล้ว ฉันก็มีเรื่องมาขอร้องคุณจริงๆ ซะด้วย พูดทางโทรศัพท์ไม่ค่อยดี ไม่ทราบว่า…เรานัดพบกันสักครั้งจะได้ไหมคะ?”
“ฮ่าๆ คุณหลินคุณนี่เกรงใจไปแล้ว งั้นก็ได้ ตอนนี้ผมว่างพอดี ตอนนี้เลยก็แล้วกัน?”
“คุณเหลยช่างรวบรัดชัดเจนมาก งั้นอีกเดี๋ยวฉันจะส่งสถานที่นัดพบเข้ามือถือคุณ ช่วยตรวจดูด้วยนะคะ!”
จากนั้นทั้งสองก็พูดจาตามมารยาทอีกหลายคำแล้ววางสายไป
หลินหว่านโทรหาร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ขอจองห้องแยกต่างหากกับทางร้าน เวลานี้ไม่ใช่เวลาทานอาหาร มีเพียงพวกเขาสองคนนั่งคุยกัน ไปร้านกาแฟแบบนี้เหมาะมาก พอจองห้องได้หลินหว่านก็รีบแต่งตัวออกจากบ้านไป
เสียง “ติ๊ง” ดังขึ้น เป็นเสียงเตือนจากกล่องข้อความของเหลยลี่ ที่แท้เป็นหลินหว่านที่ส่งรายละเอียดของสถานที่นัดหมายมาให้เขา เหลยลี่ยิ้มพลางส่ายศีรษะรีบออกไปตามนัด
เมื่อเหลยลี่มาถึง ก็พบว่าหลินหว่านรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ขอโทษด้วยครับ คุณหลิน ผมมาสายไปหน่อย”
หลินหว่านที่นั่งรออย่างกระสับกระส่ายพอเห็นเหลยลี่มาก็แอบถอนใจโล่งอก เธอรีบลุกขึ้นยืนจับมือทักทายเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อเหลยลี่
“ไม่เลยค่ะ ฉันก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน นี่ยังก่อนเวลานัดตั้งสิบห้านาทีด้วยซ้ำ” ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่หลินหว่านพูดเลย หลังจากเธอแจ้งสถานที่นัดหมายแล้วก็รีบตรงมาที่นี่ รอได้สักพักแล้ว
เธอคิดไว้ว่า ยังไงซะเธอก็เป็นฝ่ายต้องการความช่วยเหลือจากเหลยลี่ ในเมื่อมีเรื่องต้องขอร้องเขา ย่อมต้องแสดงท่าทีที่ดีออกมา จึงจะทำให้คนเขาเห็นความจริงใจของเธอ
ส่วนเหลยลี่ก็เพียงแค่ยิ้มไม่ได้พูดอะไร นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหลินหว่าน
“ไม่ทราบว่าคุณหลินรีบร้อนนัดผมออกมาขนาดนี้ มีเรื่องอะไรหรือ?”
ขณะที่หลินหว่านไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไรนั้นเอง เหลยลี่ก็ถามขึ้นก่อน
หลินหว่านลังเลอยู่สองวิแล้วสงบใจได้ ในเมื่อมาแล้วยังจะถอยได้อีกรึไง?
“พูดกันตามจริงนะคะ คิดว่าคุณเหลยคงจะทราบอยู่แล้วเรื่องของท่านประธานเซียวในตอนนี้?”
“เรื่องของประธานเซียวผมก็พอจะทราบมาบ้าง ผมยังรู้สึกเสียดายแทนเขาอยู่เลย”
“งั้นฉันจะขอพูดตามตรงนะคะ ถ้าหากเป็นการล่วงเกินคุณเหลยก็ขอให้คุณอภัยให้ด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไร”
“คืออย่างนี้ค่ะคุณเหลย บริษัทของท่านประธานเซียวตอนนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์ตึงมือจริงๆ ฉันก็ไม่ทราบว่าควรจะทำอย่างไรดีแล้ว ก็เลย…ไม่ทราบว่าคุณเลยจะยื่นมือเข้ามาช่วยได้หรือไม่คะ?”
พอได้ยินหลินหว่านพูดแบบนี้ เหลยลี่ก็แกล้งทำเป็นลังเลอยู่บ้าง พูดว่า “เอ้อ…คุณหลิน ผมขอบคุณนะที่คุณยอมรับผมขนาดนี้ แต่ว่า…คุณหาคนผิดรึเปล่า เกรงว่าครั้งนี้ผมคงช่วยคุณไม่ได้หรอกนะ!”
“คุณเหลยคะ ที่จริงฉันก็ทราบว่าคุณคงต้องลำบากใจ แต่ตอนนี้เราหมดทางแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มารบกวนคุณเหลยแล้ว” พอฟังว่าเหลยลี่ปฏิเสธ หลินหว่านก็พูดขึ้นเพื่อหวังโอกาสสุดท้ายจากเหลยลี่
“คุณหลิน ขอโทษด้วยที่ต้องบอกว่าผมช่วยไม่ได้จริงๆ ถ้าหากในตอนปกติแล้ว คุณหลินมาหาผมด้วยตัวเองขนาดนี้ ผมไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วยเลย นี่ถ้ามีเวลาอีกสักระยะหนึ่งผมต้องช่วยพวกคุณเต็มที่แน่ แต่ระยะนี้ผมเองก็กำลังติดขัดอยู่เหมือนกัน ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย และที่เราให้ความสำคัญที่สุดก็ยังเป็นผลประโยชน์อยู่ดี ดังนั้นก็ขอให้คุณ…”
คำพูดของเหลยลี่ชัดเจนมากอยู่แล้ว คราวนี้เขาคงช่วยเธอไม่ได้แล้ว ดังนั้นพูดต่อไปก็เปล่าประโยชน์ ดวงตาของหลินหว่านแสดงความผิดหวังออกมาอย่างปิดไม่มิด
“งั้นเหรอคะ ไม่เป็นไรค่ะ อย่างไรก็ขอขอบคุณท่านประธานเหลยด้วยค่ะ”
“งั้นวันนี้เราคุยกันแค่นี้ก่อนนะ ผมยังมีธุระอื่นอีก ขอตัวก่อนครับ” พูดจบเหลยลี่ก็ก้าวเท้าจากไป
ถ้าหากหลินหว่านพิจารณาดูให้ดีจะพบว่าเหลยลี่จากไปอย่างรีบร้อนอยู่บ้าง เหมือนกับว่า…ละอายแก่ใจ?
โอย…จะไม่ละอายแก่ใจได้ยังไง? ถ้ายังไม่ออกมาเขากลัวว่าหลินหว่านจะจับพิรุธได้ซะจริงๆ
อันที่จริงไม่ใช่ว่าเหลยลี่จะช่วยหลินหว่านไม่ได้ และก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมช่วย แต่ว่าก่อนหลินหว่านจะมาหาเขา เซียวจิ่งสือได้มาเตี๊ยมกับเขาไว้ก่อนแล้วบอกว่า ให้เขาอย่ารับปากคำขอร้องของหลินหว่าน แม้จะไม่รู้ว่าทำไมต้องทำแบบนี้ แต่เหลยลี่ก็ยังทำตามที่เซียวจิ่งสือบอก
ส่วนหลินหว่านหลังจากเหลยลี่ไปแล้วก็นั่งอยู่บนที่นั่งตัวเองอย่างท้อแท้ เธอไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าตัวเองควรจะทำอะไรกันแน่
เดิมทีคิดว่าเหลยลี่เป็นทางออกสายหนึ่ง เข้าใจว่าเขาจะยอมรับคำขอร้องจากเธอ ผลปรากฏว่าสุดท้ายยังเสียแรงเปล่าอีก?
หลินหว่านพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง ทำให้ดูเหมือนเป็นปกติแล้วจึงลุกขึ้นเดินออกไป เธออยากจะไปหาเซียวจิ่งสือ ดูว่าทางฝั่งเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
เซียวจิ่งสือเห็นว่าหลินหว่านกลับมาแล้ว ไม่ได้มีทีท่าว่าท้อแท้แต่อย่างใด ก็นึกสงสัยขึ้นมา หรือว่าเหลยลี่ตอบตกลงกับเธอ?
“ขอโทษด้วยนะคะ เซียวจิ่งสือ ฉันช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย ฉันเพิ่งไปหาเหลยลี่มา แต่เขาปฏิเสธคำขอของฉันค่ะ” พอหลินหว่านเดินเข้าใกล้เซียวจิ่งสือ เธอก็พูดกับเขาช้าๆ ด้วยสีหน้าเสียใจสุดซึ้ง ท่าทางหงอยแบบนั้น ทำเอาเซียวจิ่งสือปวดใจด้วยความสงสาร
เซียวจิ่งสือยื่นมือมาโอบหลินหว่านเอาไว้กับอก “ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ว่าคุณพยายามอย่างที่สุดแล้ว เรื่องนี้เราจะร้อนใจเกินไปก็ไม่ได้นิ?”
หลินหว่านผงกศีรษะเบาๆ พวกเขาสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก กอดกันอย่างสงบอยู่อย่างนั้น เงียบๆ …
เวลาผ่านไปนานทีเดียว เสียงของเซียวจิ่งสือก็ดังขึ้นเหนือศีรษะของหลินหว่าน “อันที่จริง หว่านหว่าน ผมว่าผมก็ไม่จำเป็นต้องมีบริษัทอะไรนั่นหรอก แบบนี้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องทำงานยุ่งทุกวัน จะได้มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนคุณเยอะๆ ไง”
หลินหว่านได้ฟังคำพูดเซียวจิ่งสือแล้วหัวตาร้อนวูบ จมูกคัดขึ้นมาอยู่บ้าง (อาการจะร้องไห้?)
เซียวจิ่งสือรีบฉวยโอกาสรุก พูดต่อว่า “หว่านหว่าน เอางี้…ผมก็เข้าวงการบันเทิงด้วยดีไหม จะได้ลุยไปด้วยกันกับคุณ แบบนี้จะได้มีอะไรทำบ้างแล้วก็ได้อยู่กับคุณด้วย ก็ดีนะครับ”
ตอนที่ 277 ยอมโอนอ่อน
วินาทีก่อนหน้านี้ยังซาบซึ้งไปกับเซียวจิ่งสือ พอหลินหว่านได้ยินคำพูดนี้ของเซียวจิ่งสือก็เงยหน้าขวับ แต่เธอลืมไปว่าตอนนี้เธออยู่ในอ้อมกอดของเซียวจิ่งสือ ดังนั้นศีรษะของหลินหว่านจึงชนเข้ากับปลายคางของเซียวจิ่งสือ
การชนครั้งนี้กระแทกเข้าอย่างแรง เจ็บจนหลินหว่านน้ำตาแทบร่วง
เซียวจิ่งสือก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะมีปฏิกิริยาขนาดนี้ จึงไม่ทันระวังตัวถูกชนเข้าอย่างจัง แต่เขารีบตั้งสติ นวดศีรษะหลินหว่าน พูดว่า “หว่านหว่าน ขอโทษ ขอโทษนะ ผมไม่ดีเอง คุณเจ็บมากไหม?”
หลินหว่านแม้จะเจ็บแทบตายแต่ยังติดใจคำพูดเมื่อครู่ของเซียวจิ่งสือ “เซียวจิ่งสือ เมื่อกี้คุณพูดอะไรนะ คุณจะเข้าวงการบันเทิง?”
“อื้อ ครับ อันที่จริงผมรู้สึกว่าถ้าผมเข้าวงการบันเทิงก็ไม่มีอะไรไม่ดีนี่นา อย่างนี้ยังได้ดูแลคุณอีกด้วยไม่ใช่หรือไง?”
“คุณมันบ้า คุณเข้าใจว่าวงการบันเทิงมันอยู่ง่ายนักรึไง อันตรายจะตายไป! ฉันขอบอกคุณเลยนะ ให้คุณเลิกความคิดนี้ซะโดยเร็วเลย!” หลินหว่านพูดฟันธงกับเซียวจิ่งสือ
“แต่ว่า…หว่านหว่าน…”
“ฉันจะบอกคุณนะ เรื่องนี้ฉันบอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ ไม่ต้องต่อรองอะไรทั้งนั้นด้วย!” เซียวจิ่งสือยังไม่ทันได้พูดอะไร หลินหว่านก็แย่งพูดขึ้นก่อน พูดจบก็มองดูเซียวจิ่งสือ แล้วหันกลับเดินแยกเข้าห้องไปเพียงลำพัง
เซียวจิ่งสือคิดจะรีบตามหลินหว่านเข้าไปคุยต่อ แต่พอกำลังจะเข้าประตู หลินหว่านก็ปิดประตูดังปัง
บ้าฉิบ นี่คงโกรธจริงแล้ว ไม่สนเราเลย เซียวจิ่งสือลูบจมูกที่หวิดถูกกระแทกเข้า ยังดีนะที่จมูกนี่ไม่ได้ไปเสริมมา ไม่อย่างนั้นคงล้มไม่เป็นท่าแน่
แน่นอนว่า คำพูดพวกนี้เขาแค่แอบคิดอยู่ในใจ เขาไม่กล้าพูดออกมาหรอก นอกซะจากคิดอยากตายขึ้นมา
เขาดันมือจับประตู คิดจะเปิดประตูเข้าไป แต่พบว่าล็อกจากด้านใน นี่เธอไม่คิดจะสนเขาแล้วจริงๆ รึไง?
หมดกัน ถึงตอนนี้ก็คงต้องยอมแล้ว เฮ้อ เรื่องนี้เอาไว้ก่อนก็ได้
“หว่านหว่าน ขอโทษนะ คุณแค่อยากอยู่กับคุณให้มากขึ้นหน่อย ผมคงไม่ทันคิดจึงพูดไปตามอารมณ์แบบนั้น ถ้าคุณไม่ชอบผมไม่ทำก็ได้ ต่อไปจะไม่พูดถึงเลยด้วยดีไหม คุณเปิดประตูหน่อยสิ นะ”
คนข้างในยังไม่ยอมขยับ เซียวจิ่งสือเกาะอยู่หน้าประตูเงี่ยหูฟัง ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย หือม์? นี่มันอะไรกัน?
ดังนั้นเอง เขาจึงเกาะอยู่หน้าประตูพูดหยอดคำหวานต่อไป
หลินหว่านฟังเขาพูดพล่ามไม่หยุดก็นึกรำคาญขึ้นบ้าง จึงไปเปิดประตูให้เขาเข้ามา ปรากฏว่าเซียวจิ่งสือที่เกาะประตูอยู่ไม่ทันระวังถลาเข้าห้องมาอย่างเสียหลัก
พอเห็นท่าหมดหล่อของเขา หลินหว่านก็หลุดเสียงหัวเราะพรวดออกมา
พอเห็นว่าเธอยอมหัวเราะแล้วในที่สุด เซียวจิ่งสือลูบผมท้ายทอย สีหน้าบอกไม่ถูก
“เอาละค่ะ เรื่องนี้ต่อไปก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เลิกแล้วกันไปเถอะ”
“ได้เล้ย ผมเชื่อคุณ ไม่ทำแล้ว งั้นรอผมมีเวลาแล้วค่อยหางานอื่นทำไปก่อนก็แล้วกัน”
คราวนี้หลินหว่านไม่ได้คัดค้าน เธอผงกศีรษะเป็นทีเห็นด้วย
จากนั้นทั้งสองก็ออกไปทานข้าวด้วยกันอย่างรื่นเริง
……
วันเวลาผ่านไปทุกวันๆ
ทุกวันหลินหว่านมัวยุ่งกับเรื่องการถ่ายหนัง บางครั้งพอมีเวลาว่างยังช่วยออกความเห็นเรื่องบริษัทของเซียวจิ่งสือ ยุ่งจนหัวหมุนอยู่ทุกวัน
ส่วนเซียวจิ่งสือนั้น เนื่องจากคราวก่อนบอกว่าคิดจะเข้าวงการบันเทิงถูกหลินหว่านอบรมไปชุดใหญ่ จึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่แอบไปหางานที่อยู่ในเส้นทางกลับบ้านของหลินหว่านทุกวัน
ข้ออ้างของเซียวจิ่งสือในตอนนั้นคือ “อย่างนี้พอคุณเลิกงานจะได้เลยมาหาผมที่นี่ แล้วพวกเราก็จะได้ไปทำงานด้วยกัน เลิกงานกลับบ้านด้วยกันทุกวันไง”
ตอนนั้นหลินหว่านแค่หัวเราะเยาะเซียวจิ่งสือว่าเขาทำตัวเป็นเด็ก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
มาวันนี้ “เจ้านายๆ เดี๋ยวคุณแกล้งทำเป็นว่าผมทำงานผิดพลาด เลยโมโหมากจนลงโทษผม ได้ไหมครับ?”
“อ๋า? แต่ผมว่าคุณทำงานได้ดีแล้วนี่นา ทำไมล่ะ?”
“คือว่า…อีกเดี๋ยวแฟนผมจะเลิกงานแล้ว เธอจะผ่านมาทางนี้ ก็เลย…”
“โอ้ว งั้นเรอะ ผมรู้แล้ว รู้แล้ว” เซียวจิ่งสือหน้าขึ้นเส้นดำเต็มไปหมด เขาแน่ใจได้เลยว่า เรื่องที่เจ้านายคิดไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้ แต่ว่า…ถึงยังไงผลออกมาก็เหมือนกัน เขาจึงไม่อธิบายมากความอีก
เป็นดังคาด ไม่นานนักหลินหว่านก็เลิกงานมาหาเขา มองแต่ไกลเห็นเซียวจิ่งสือยืนนิ่งอยู่นั่นด้วยท่าทางนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว ยอมรับกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ส่วนอีกฝ่ายดูไปแล้วกำลังโมโหมากอย่างนั้น
พอเธอเดินเข้าไปหาก็ได้ยินว่า “คุณดูซิ มันเรื่องอะไรกัน จานของผมดีๆ ยังทำมันแตกได้ คุณยังจะทำอะไรได้อีกหา รู้ไหมว่าจานนั่นแพงขนาดไหน? หา?”
หลินหว่านพอจะเข้าใจแล้ว น่าจะเป็นเซียวจิ่งสือทำจานแตก เฮ้อ เธอรีบเดินเข้าไปขอโทษขอโพยเจ้านาย จากนั้นจ่ายเงินชดใช้ให้เขาแล้วดึงเซียวจิ่งสือออกมา
วันรุ่งขึ้นหลินหว่านไปหาเซียวจิ่งสือก็เจอกับภาพบรรยากาศเดิมๆ “คุณนี่น่าโมโหซะจริงๆ เลย เมื่อวานทำจานแตกสั่งสอนแค่คำสองคำเป็นไรไป ไม่ยอมรับอีกงั้นสิ? ดูซิวันนี้คุณทำอะไรลงไปน่ะ ยังจะทำหน้าบูดอีก แขกตกใจหนีหมดแล้ว คุณรู้ไหมผมเสียหายไปเท่าไหร่?”
ปรากฏว่า วันที่สาม…สี่…ทุกวันที่หลินหว่านเลิกงานมาเป็นต้องเห็นภาพเซียวจิ่งสือถูกด่าว่าเป็นประจำ จนเธออดสงสารขึ้นมาไม่ได้
เขาเคยเป็นคนหยิ่งทระนงถึงปานนั้นมาก่อน ผู้ซึ่งคนอื่นมองอย่างเทิดทูน เป็นความภาคภูมิใจในสายตาเธอ แต่ตอนนี้กลับต้องทำงานที่ไม่เคยต้องทำมาก่อน ต้อยต่ำจนต้องคอยเอาใจคนอื่น แถมยังถูกคนชี้นิ้วด่าว่าอีก ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
“จิ่งสือ พรุ่งนี้…คุณไม่ต้องไปทำงานแล้วนะ เงินที่ฉันหามาได้น่าจะพอเลี้ยงปากท้องเราสองคนอยู่”
“ทำไมล่ะ ทำไมจู่ๆ คุณถึงพูดแบบนี้”
“ฉันไม่อยากเห็นคุณถูกคนอื่นด่าว่า” หลินหว่านพูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ
คำพูดนี้พอเข้าหูเซียวจิ่งสือเขาก็รู้ทันทีว่าหลินหว่านสงสารเขา แผนการใกล้จะสำเร็จแล้ว
“แต่ว่า ผมจะให้คุณเลี้ยงผมไปตลอดได้ยังไงกัน? ถึงไงผมก็ต้องออกไปทำงานอยู่ดี วางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ทนๆ เอาเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว”
หลินหว่านคิดดูแล้วมันก็ใช่นะ ตอนนี้เรื่องของบริษัทยังแก้ไม่ได้ ก็ต้องออกไปทำงานข้างนอก แต่…เธอเกรงว่าคนอื่น…
“เฮ้อ ช่างเถอะ ไม่งั้น…คุณก็เข้าวงการบันเทิงกับฉันเถอะ อย่างนี้อยู่กับฉันยังคอยดูแลคุณได้”
คำพูดนี้ทำเอาเซียวจิ่งสือไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่เธอยังจะดูแลเขาอีก แต่ว่า…เรื่องดีๆ ขนาดนี้ ตอนนี้โอกาสส่งมาถึงหน้าประตูแล้ว คนอย่างเขามีหรือจะปฏิเสธ?
“แต่ว่า…คุณไม่ชอบให้ผมเข้าวงการบันเทิงนี่?” เซียวจิ่งสือยังแกล้งทำเป็นพูดอย่างกังวล
“ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ไม่งั้นคุณเป็นแบบนี้ฉันยิ่งไม่วางใจ อยู่กับฉันค่อยวางใจได้หน่อย”
ตอนที่ 278 เหยียดหยาม
ตอนที่ 278 เหยียดหยาม
“ฮัลโหล ประธานฮุ่ยหรือเปล่า? ผมคือเสี่ยวจิ่งที่เคยช่วยคุณ ใช่เลย ผมเซียวจิ่งสือไง พักนี้ผม…” เซียวจิ่งสือโทรหาคนที่เคยมาขอความช่วยเหลือจากเขา แต่เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดสายไป เมื่อก่อนเขายิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไหนเลยจะต้องมาเจอกับเรื่องลูบหน้าปะจมูกแบบนี้กัน
“คุณทนรับเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกันนะ?” หลินหว่านมองเขาอย่างสงสาร เธอห้ามไปหลายครั้งแล้วเขาก็ไม่ฟัง ยังดื้อจะโทรต่อไปอีก “เราไม่โทรแล้วนะคะ? คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นพวกหญ้าข้างกำแพง [1] ไม่ต้องโทรแล้วค่ะ”
เขาส่ายหน้าอย่างท้อแท้แล้วเริ่มโทรอีกสายหนึ่ง เดิมทีคิดว่าจะยอมแพ้แล้ว แต่เซียวจิ่งสือรู้สึกว่าตัวเองน่าจะพยายามกว่านี้อีก ไม่แน่ว่าจะมีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นก็ได้ คนเราไม่ได้ชั่วร้ายไปทั้งหมด ที่ดีงามก็มี
แต่เขาไม่รู้เลยว่า เมื่อครู่ ‘ประธานฮุ่ย’ นั่นหลังจากรับสายเขาแล้ว ก็รีบหาเหตุมาอ้างเหมือนกับหนีตัวเชื้อโรค กลัวว่าความซวยจากเซียวจิ่งสือจะลามมาถึงตัวเองอย่างนั้น ถ้าเป็นได้เขาก็ไม่อยากเจอกับเซียวจิ่งสืออีก ดังนั้นจึงรีบบล็อกเบอร์โทรและสื่ออื่นๆ ของเซียวจิ่งสือจากรายชื่อติดต่อของเขาทันที
เซียวจิ่งสือโทรเบอร์อื่นอีก เมื่อก่อนเขาไม่เคยต้องออกปากขอร้องคนอื่นแบบนี้ มีแต่คนอื่นที่มาประจบเอาใจเขา แม้จะไม่ชอบให้ใครมาประจบเอาใจ แต่เขาก็ยังปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยดี
“ฮัลโหล? สวัสดีครับ ผมเซียวจิ่งสือ ผมอยากให้คุณช่วยผมสักหน่อยครับ” เซียวจิ่งสือยิ้มอย่างเกรงใจให้กับโทรศัพท์ อันที่จริงไม่ใช่เกรงใจหรอกแต่เป็นขายหน้า เพราะปลายสายอีกด้านด่ากราดมาอย่างไม่ไว้หน้าบอกว่า
“อย่ามาหาผม คุณมันตัวซวย เมื่อก่อนยิ่งใหญ่นักไม่ใช่หรือไง? ทำไมตอนนี้มาขอร้องผมล่ะ? ตอนนี้คุณก็เหมือนสุนัขตัวหนึ่งรู้ไหม? มีที่ไหนให้ผลประโยชน์ก็กระดิกหางไปที่นั่น ความหยิ่งทระนงตัวเมื่อก่อนของคุณไปไหน? ทำไมไม่ถือดีแล้วล่ะ? คุณตีพวกผมด่าพวกผมเลย! แน่จริงก็อย่าไปขอร้องคนอื่นสิ ตอนนี้คุณมันก็ขอทานดีๆ นี่เอง! อยากให้คนอื่นทำทานให้คุณงั้นสิ? ผมอยากเอาเงินฟาดหัวคุณนัก ขอแค่คุณยอมคุกเข่า ผมจะช่วยคุณ”
เซียวจิ่งสือสีหน้าไม่ดีเอามากๆ เขากำหมัดแน่น ไม่ยอมวางสาย ถึงแม้เขาอยากจะด่ากลับไป แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรเลย บริษัทก็ตกอยู่ในภาวะวิกฤต ถ้าหากตอนนี้เขาด่ากลับไปเพื่อรักษาหน้า เขาอาจทำให้คนอื่นๆ ปฏิเสธเขาก็ได้ อีกทั้งคนคนนี้เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยและยังพูดจาโน้มน้าวเก่งอีกด้วย ถึงตอนนั้นถ้าเขาพูดกลับดำเป็นขาว บอกว่าเขานั่นไม่ดีนี่ก็ไม่ดี ใครจะยอมช่วยเขาอีกเล่า
“ไม่ใช่อย่างนั้น…” เซียวจิ่งสือตอบกลับอย่างหมดแรงไปคำหนึ่ง เขาไม่เคยด่าว่าทำร้ายพวกเขามาก่อนเลย แค่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับใครอื่นเท่านั้น เนื่องจากตั้งแต่แรกที่พวกเขามาประจบเอาใจก็เพราะเห็นแก่เงินและความมีหน้ามีตาของเขา จึงเข้ามาคอยเอาใจ แต่ตอนนี้พอเขาตกต่ำลง พวกเขากลับไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเขาสักคน พูดกันตามจริงก็คือพวกเห็นแก่ประโยชน์
คนที่อยู่ปลายสายอีกด้านดูเหมือนจะหัวเราะ “ฮ่าๆ” แต่เขายังข่มกลั้นเอาไว้ เพื่อให้เซียวจิ่งสือได้ฟังที่เขาเสียดสี “คิดไม่ถึงว่าคุณก็มีวันนี้ ไม่ใช่อย่างนี้แล้วเป็นอย่างไหน? ผมจะบอกคุณนะ ผมไม่ช่วยคุณหรอก ผมเห็นสภาพคุณตอนนี้แล้วคลื่นไส้ ตอนแรกผมมันตาบอดเอง จึงได้เห็นดีเห็นงามไปกับคนแบบคุณ”
ตาบอด? เข้าใจกันหน่อยว่าใครกันแน่ที่ตาบอด? ในใจหลินหว่านเดือดพล่านด้วยโทสะ เธอรู้ว่าเซียวจิ่งสือถูกเขาด่าจนอับอายขายหน้า ต่อให้เงินสำคัญแค่ไหนก็ไม่สู้ศักดิ์ศรีของตัวเอง เธอแย่งเอาโทรศัพท์มา พูดว่า
“ลูกผู้ชายใต้เข่ามีทองคำ [2] เขาไม่คุกเข่าหรอก วันนี้เขาลำบากคุณไม่ช่วย เมื่อไรที่เขาลุกขึ้นได้อีกครั้งคุณจะเป็นยังไง! คุณจำคำพูดนี้ไว้ให้ดี พวกเรา…หลินหว่านกับเซียวจิ่งสือ จะให้คุณ…สำนึกเสียใจแน่”
น้ำเสียงของหลินหว่าน แม้จะถูกกั้นด้วยโทรศัพท์แต่ก็ทำให้คนรู้สึกหนาวเยือกจนขนลุกขนชันขึ้นมาได้ หว่างคิ้วแฝงรังสีอำมหิตที่ฆ่าคนได้ ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ เหมือนเป็นยมทูตที่ผุดมาจากนรก เป็นใครได้ยินคนอื่นดูถูกตัวเองหรือคนที่ตัวเองรัก ก็คงต้องโกรธมากเช่นกันกระมัง
เซียวจิ่งสือดูเวลา อืม ต้องไปทำงานแล้ว ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม งานยังต้องไปทำอยู่ดี เขาจัดเก็บข้าวของแล้วรีบตรงไปกองถ่าย หลินหว่านไม่วางใจ จึงตามไปด้วย
ตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี เอาแต่คอยตำหนิตัวเอง ถ้าเกิดเขาปรอทแตกทำอะไรขึ้นมา ถ้าฉันไม่อยู่ข้างกายเขา ฉันก็ไม่วางใจ อย่างน้อยฉันก็ยังสามารถคอยอยู่เป็นเพื่อนเขายามโดดเดี่ยวไม่มีใคร ให้เขาได้รับรู้ถึงความอบอุ่นที่มีฉันอยู่ แม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม
“ผู้กำกับ ผมมาแล้ว” เซียวจิ่งสือยืนอยู่ด้านหนึ่ง กล่าวทักทายผู้กำกับที่กำลังพูดสั่งการคนอื่นอยู่ ความหมายของคำว่า ‘ผมมาแล้ว’ ก็คือ ‘ตอนนี้ผมควรจะทำอะไร’
ผู้กำกับหันมาเห็นเซียวจิ่งสือ ก็พูดกับเขาอย่างรำคาญว่า “ไม่เห็นรึไงว่าผมกำลังพูดกับคนอื่นอยู่? คุณมาขัดผมทำอะไร เสียเวลาของผมกับนักแสดงคนอื่นนะ มาแล้วเห็นผมยุ่งอยู่ไม่รู้จักไปหางานอื่นทำรึไง”
หลินหว่านฟังแล้วเกือบจะปรี๊ดแตก เมื่อก่อนพวกคุณยังเห็นเซียวจิ่งสือเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภอยู่เลยนี่นา ทำไมทำเป็นไม่รู้จักกันซะแล้ว? ฮึ พวกเห็นแก่ได้
เซียวจิ่งสือรีบรั้งเธอเอาไว้ ถ้าตอนนี้โวยวายเอากับเขา ไม่แน่ว่าผู้กำกับจะเอาเรื่องพวกเราอีก แต่เขาคิดไม่ถึงว่า ต่อให้ไม่ล่วงเกินผู้กำกับ เขาก็ยังให้เซียวจิ่งสือทำงานที่…เกินไปอยู่ดี เพราะตอนนี้เซียวจิ่งสือตกอับไม่มีอำนาจใดๆ อีกแล้ว
ผู้กำกับหลังจากสั่งการคนอื่นเสร็จก็มาที่เบื้องหน้าเซียวจิ่งสือ พูดกับเขาว่า “คุณถอดเสื้อผ้าออกก่อน ใช่ ท่อนบนถอดออกหมด”
นี่มัน…ต้องทำแบบนี้จริงเหรอ? แต่ฉันไม่ได้มาถ่าย…มือของเซียวจิ่งสือวางอยู่บนเสื้ออย่างลำบากใจ เขาคิดว่าตัวเองยังได้ค่าแรง จึงถอดเสื้อออกแต่โดยดี
อืม รูปร่างดีทีเดียว ผู้กำกับมองดูแนวกล้ามท้องของเซียวจิ่งสือพลางแอบนึกในใจ กล้ามสวยกับสีผิวดึงดูดใจแบบนี้ สุดยอดไปเลย “กางเกงก็ถอดด้วย” ไม่รู้ว่าท่อนล่างเป็นยังไงบ้าง
คราวนี้เซียวจิ่งสืออึ้งไปเลย นี่มันถ่ายหนังอะไรต้องถอดเสื้อถอดกางเกงขนาดนี้ด้วย คงไม่ได้ให้เราถ่ายแบบโป๊เปลือยกระมัง? ต่อหน้าคนตั้งมาก? แต่เมื่อก่อนเราก็ไม่เคยได้ยินว่ามีฉากแบบนี้นี่นะ
“เร็วสิ!”
“พึ่บ” หลินหว่านเดินรี่เข้ามา เธอได้ยินผู้กำกับแกล้งเซียวจิ่งสือตั้งแต่ไกลแล้ว ยังจะถอดกางเกงอีก แกไปถอดเองสิ
เธอโยนบทละครทิ้งไว้บนโต๊ะ เข้ามาดึงมือเซียวจิ่งสือเอาไว้ ตะโกนใส่ผู้กำกับว่า “แกมันไอ้เลว คิดว่าฉันไม่รู้รึไง? ตอนเช้าทำท่าเป็นคนดี ตอนค่ำก็นอนกับดาราสาวๆ ตอนนี้คิดจะเปลี่ยนมานอนกับดาราผู้ชายแล้วรึไง?”
“ไอ้ชั่วเอ๊ย ไปกันเถอะ” หลินหว่านหลุดคำหยาบออกมา กวาดเตะโต๊ะเบิกทาง แล้วดึงตัวเซียวจิ่งสือออกไปจากกองถ่ายอย่างโกรธจัด
ตอนที่พวกเขาออกไปจากกองถ่ายนั้น อันซวี่กรุ๊ปได้ซื้อตัวผู้ถือหุ้นที่เหลือในมือของเซียวจิ่งสือไปได้ทั้งหมด
——
[1] หญ้าข้างกำแพง คำเปรียบเปรยถึง คนที่ทำตัวเหมือนต้นหญ้าที่ลู่ไปตามลม
[2] ลูกผู้ชายใต้เข่ามีทองคำ หมายถึง การคุกเข่าของลูกผู้ชายมีค่าดั่งทองคำ จึงไม่ควรคุกเข่าให้ใครง่ายๆ แสดงถึงศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชาย ไม่ยอมลดตัวลงไปทำ
ตอนที่ 279 ฟ้าหลังฝน
หลายวันมานี้ฝนตกหนักบ้างเบาบ้างมาตลอด พอเจอเรื่องแบบนี้เข้า แม้แต่พระอาทิตย์ยังไม่ยอมออกมาพบหน้าเซียวจิ่งสือ เซียวจิ่งสือท้อแท้จนสิ้นหวัง วันๆ ไม่ทำอะไรคิดแต่จะทำอย่างไรให้บริษัทกลับมาดีเหมือนเดิม
ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้ว่าบริษัทของเซียวจิ่งสือความลับรั่วไหล กำลังตกที่นั่งลำบากถึงขั้นล้มละลาย เมื่อก่อนตอนที่บริษัทยังมั่นคงดีผู้คนต่างก็มาประจบเอาใจเซียวจิ่งสือหวังจะได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์บ้าง ตอนนี้พอบริษัทตกที่นั่งลำบาก ผู้คนพากันหลบหน้าเขาราวกับเป็นตัวเชื้อโรค และยังมีบางบริษัทฉวยโอกาสนี้กว้านซื้อบริษัทที่เซียวจิ่งสือทำมาหลายปี ทั้งยังคิดจะซื้อตัวหลินหว่านไปด้วย ช่างรู้จักฉกฉวยโอกาสซะจริง แต่ทุกคนต่างก็รู้ว่าหลินหว่านไม่ทำแบบนี้ เธอรักเซียวจิ่งสือ เธอจะอยู่เคียงข้างเซียวจิ่งสือตลอดไป
แม่ของหลินหว่านก็ใช้โอกาสนี้มาหาเธอ บอกว่าสามารถช่วยให้เซียวจิ่งสือผ่านพ้นวิกฤตไปได้ แต่หลินหว่านปฏิเสธเธอไป ถึงยังไงเธอก็ไม่ยอมให้อภัยเรื่องที่แม่ได้ทำกับเธอในหลายปีมานี้ มันเป็นฝันร้ายของเธอ พอหลินหว่านกลับถึงบ้าน เซียวจิ่งสือก็บอกว่าต้องการเข้าวงการบันเทิงเพื่อสู้ความลำบากกับเธอ แต่ถูกหลินหว่านปฏิเสธ หลินหว่านรู้ว่าวงการบันเทิงมีเบื้องลึกมากเกินไป หากไม่ระวังก็อาจเกิดเรื่องยุ่งยากได้ เธอไม่อยากให้เซียวจิ่งสือเข้ามาแปดเปื้อนในวงการนี้
เซียวจิ่งสือไม่ยอมลดละความพยายาม จึงไปหางานทำในเส้นทางกลับบ้านของหลินหว่าน พอหลินหว่านผ่านมาเขาก็ทำท่าว่าถูกเจ้านายด่าว่าตลอด หลินหว่านทนเห็นเซียวจิ่งสือเป็นแบบนี้ไม่ได้ จึงให้เซียวจิ่งสือลาออกจากงาน แล้วให้เขาติดตามอยู่ข้างกายเธอ
ผู้คนที่แต่เดิมเคยประจบเอาใจเซียวจิ่งสือ ตอนนี้กลับเยาะเย้ยถากถางเขา แกล้งรังแกเขา ผู้กำกับบางคนยังแกล้งให้เขาทำเรื่องน่าขายหน้าด้วย เรื่องพวกนี้เซียวจิ่งสือยอมทน แต่หลินหว่านทนดูไม่ได้ จึงยันกลับไปทุกเม็ด ในเวลาเดียวกันนั้น อันซวี่กรุ๊ปก็ซื้อตัวผู้ถือหุ้นของบริษัทเซียวจิ่งสือไปหลายคน คนพวกนี้ต่ำช้าเกินไปแล้ว ราวสุนัขก็ไม่ปาน
เซียวจิ่งสือร้อนใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว เขาไปดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าจนเมาแล้วกลับบ้าน พอเห็นหลินหว่านนั่งอยู่บนโซฟาก็วิ่งเปะปะเข้าไปหา กอดหลินหว่านเอาไว้ เซียวจิ่งสือร้องไห้ออกมา “หลินหว่าน ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องมาทนลำบากกับผมแบบนี้ ผมมันไม่เอาไหน ถ้าคุณจะไปจากผมก็ไปซะเถอะ ผมจะไม่ว่าอะไรเลย เรื่องพวกนี้ให้ผมรับไว้คนเดียวก็พอ ผมไม่อยากให้คุณต้องมาลำบากด้วย ขอบคุณนะที่หลายปีมานี้ช่วยดูแลผม ผมขอโทษคุณจริงๆ ผมไม่ขอให้คุณให้อภัยผม คุณอย่าเกลียดผมก็พอแล้ว…” เขาอัดอั้นตันใจจริงๆ เขาไม่อยากให้หลินหว่านต้องมาพลอยรับการดูถูกไปกับเขาด้วย
“ตาทึ่ม ฉันจะไปจากคุณได้ยังไงกัน คุณเป็นคนที่ชาตินี้ฉันไม่อาจแยกจากได้ ถ้าฉันไปจากคุณฉันก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะทำยังไงดี คุณอย่าคิดอย่างนี้เลยนะคะ เราจะต้องมีทางออกซักทางสิ แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง คนดี ขอแค่พวกเราอยู่ด้วยกัน ทุกอย่างก็จะดีเอง…”
หลินหว่านเอาแต่พูดไม่หยุด จนเซียวจิ่งสือไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เซียวจิ่งสือไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี เขารักหลินหว่านเกินไป เซียวจิ่งสือได้แต่กอดหลินหว่านเอาไว้ ริมฝีปากเขาประทับลงอย่างหนักหน่วงบนริมฝีปากหลินหว่าน ทำให้หลินหว่านได้สติขึ้นมา แต่เธอไม่ได้ผลักเขาออก ยอมรับจูบแสนหวานนี้เอาไว้
บางครั้งการจูบก็ดีกว่าคำพูดมากมาย แล้วที่เกิดขึ้นตามมาก็เป็นไปครรลองที่ควรจะเป็น
ผู้หญิงคนนี้มอบพรหมจรรย์ครั้งแรกให้กับผู้ชายที่เธอรัก เซียวจิ่งสือย่อมจะรับผิดชอบต่อเธอ
พอทุกอย่างเสร็จสิ้นลง ทั้งคู่ต่างเหนื่อยล้าอยู่บนเตียงจนลุกไม่ขึ้น จู่ๆ ในหัวของเซียวจิ่งสือก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขารีบคลานขึ้นมา พูดกับหลินหว่านว่า “คุณยังจำหุ้นบริษัทที่คุณโยกออกไปได้ไหม? ผมว่าตอนนี้หุ้นพวกนี้น่าจะช่วยพวกเราได้!”
หลินหว่านพูดว่า “ใช่เลย ถ้าคุณไม่พูดฉันคงลืมไปแล้ว ฉันจะโอนหุ้นพวกนี้ให้คุณทันที ต้องช่วยพวกเราได้แน่”
ว่าแล้วเซียวจิ่งสือก็จูบหลินหว่านอีกครั้ง…
ไม่นานนัก เซียวจิ่งสือก็มีหุ้นในมือจำนวนมาก เรื่องนี้ทำกันอย่างครึกโครม และไปเข้าหูบางคนที่เคยร่วมมือกันมาก่อน พวกเขาต่างพากันมาขอความร่วมมือกับเซียวจิ่งสือ เซียวจิ่งสือเองก็รู้ว่าพวกเขาแค่มาประจบ แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ นี่เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยบริษัทเอาไว้ เซียวจิ่งสือจึงประสานความร่วมมือกับพวกเขาอีกครั้ง บริษัทค่อยฟื้นตัวกลับคืนมา
หลังเกิดเรื่องนี้ขึ้น เซียวจิ่งสือได้รู้ว่าผู้ถือหุ้นก่อนหน้าพึ่งพาไม่ได้ จึงเปลี่ยนกลุ่มผู้ถือหุ้นที่ซื่อสัตย์ภักดีกลุ่มหนึ่ง ผลกำไรของบริษัทเริ่มฟื้นคืนกลับมาช้าๆ ตามมาด้วย…เซียวจิ่งสือจัดหนักกับอันซวี่กรุ๊ป แม้ว่าอันซวี่กรุ๊ปจะมาวิงวอนขอร้องอย่างไรก็ไม่เป็นผล ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้พวกเขาฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นลำบาก ตอนนี้ก็ต้องให้เขาเจอกับตัวเองบ้าง
ทั้งสองเตรียมตัวกลับบ้าน หลินหว่านพูดว่า “จิ่งสือ เย็นนี้พวกเรากลับไปฉลองกันที่บ้านเถอะค่ะ พวกเราไปซื้อกับข้าวที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตมาทำอาหาร แล้วก็ซื้อไวน์แดง มาฉลองกันคืนนี้นะคะ”
เซียวจิ่งสือพูดอย่างตามใจว่า “ได้สิ ว่ากันตามจริงแล้วพวกเราสองคนก็ไม่ได้นั่งทานมื้อค่ำด้วยกันที่บ้านอย่างสบายใจมาตั้งนานแล้วนะ วันนี้เรามาฉลองกันเถอะ!”
พวกเขาขับรถไปตลาดด้วยกันซื้อของที่อีกฝ่ายชอบทานที่สุด เพียงครู่เดียวของที่ซื้อมาก็เต็มรถเข็น ทั้งคู่ซื้อของเสร็จก็กลับบ้านไปด้วยกันอย่างมีความสุข
พอถึงบ้าน ทั้งสองก็ไปล้างมือ ช่วยอีกฝ่ายสวมผ้ากั้นเปื้อน ทำกับข้าวด้วยกัน อย่างมีความสุข ตอนทำกับข้าวพวกเขายังไม่ลืมจะเอาอกเอาใจกันสุดๆ ดูแล้วเป็นครอบครัวสุขสันต์กันจริงๆ
เป็นภาพที่ทั้งสองต่างก็วาดหวังเอาไว้…
“ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง” ภาพครอบครัวสุขสันต์ถูกเสียงกริ่งประตูรบกวน มีคนมาแล้ว หลินหว่านไปเปิดประตู ไม่เปิดดูก็ไม่รู้ พอเปิดออกก็ต้องสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ ผู้คนมากมายพากันเบียดอัดกันอยู่หน้าประตู หรือว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จู่ๆ ผู้กำกับที่เคยแกล้งเซียวจิ่งสือไว้ก็ก้มหน้ากระดิกหางเข้ามาพูดว่า “ต้องขอโทษด้วยครับ ตอนนั้นพวกเราทำความลำบากให้นายท่านเซียว ช่างน่าตายจริงๆ ขอให้พวกคุณให้อภัยพวกเราด้วยเถอะ ตอนนี้อันซวี่กรุ๊ปล้มไปแล้ว พวกเราไม่มีที่จะไปแล้ว คนแก่กับเด็กที่บ้านยังรอให้พวกเราไปดูแล งานการไม่มีแล้วพวกเราจะทำยังไงกันดี…” พวกเขาพากันร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังลั่น ร้องไห้พลางพูดว่า “ให้อภัยพวกเราด้วย พวกเราผิดไปแล้ว…”
หลินหว่านโกรธมาก ช่วงเวลาแห่งความสุขถูกคนพวกนี้รบกวนจนหมดอารมณ์ หลินหว่านพยายามให้พวกเขากลับไป ตอนนี้เป็นเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังของพวกเขาสองคน เธอไม่ต้องการให้มีคนมารบกวนพวกเขา และยังเป็นเรื่องที่น่าโมโหอย่างมากเลยด้วย
ทั้งสองกว่าจะมีเวลาได้อยู่ร่วมกันอย่างสบายใจ ได้จู๋จี๋กันเสียหน่อย คนพวกนี้กลับมาก่อกวนถึงที่นี่ ทำให้เธอโมโหฉุนเฉียวขึ้นมาจนทำอะไรไม่ถูก
ตอนที่ 280 ใจคนแสนสับปลับ
พอจัดการกับอันซวี่กรุ๊ปแล้ว ทำให้หลินหว่านกับเซียวจิ่งสือลดความยุ่งยากลงไปได้ไม่น้อย พร้อมกันนั้นยังเป็นการตัดไม้ข่มนามให้คนอื่นเห็นอีกด้วย ให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่จะข่มเหงกันได้ง่ายๆ!
เรื่องน่ายินดีแบบนี้ย่อมต้องไปฉลองกันสักหน่อย เซียวจิ่งสือโทรหาหลินหว่าน น่าเสียดายที่ตอนนั้นหลินหว่านกำลังเข้ากล้องอยู่ มือถือปิดเสียง จึงไม่รู้ว่าเซียวจิ่งสือโทรหาเธอ
เซียวจิ่งสือมองดูมือถือที่ถูกตัดสายไปโดยอัตโนมัติแล้วก็พอจะรู้ว่าตอนนี้หลินหว่านไม่สะดวกรับโทรศัพท์ งั้นก็ช่างเถอะ รออีกเดี๋ยวค่อยโทรหาเธอ ถึงยังไงก็ไม่รีบอยู่แล้ว
……
ต่อเมื่อหลินหว่านถ่ายเสร็จเตรียมจะออกมาแล้ว จึงเห็นว่ามือถือมีสายที่ไม่ได้รับจากเซียวจิ่งสือ เธอมองดูเวลาแล้วเห็นว่าผ่านไปตั้งสองสามชั่วโมงแล้ว ตอนนั้นเธอกำลังเข้ากล้อง…
ทำไมถึงโทรหาเธอตอนนี้นะ? ดูท่าคงไม่ใช่เรื่องด่วนกระมัง ไม่อย่างนั้นเขาคงติดต่อผู้จัดการของเธอหรือไม่ก็มาหาเธอแล้ว
ถึงแม้จะคิดอย่างนั้น แต่มือไม่ได้ชักช้าเลย หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเธอเดินออกไปพลางโทรกลับหาเซียวจิ่งสือ
ปลายสายมีคนรับอย่างรวดเร็ว เหมือนกับรอเฝ้าอยู่หน้าโทรศัพท์รอเธอโทรหาอย่างนั้น
“เป็นไงบ้าง คุณเสร็จธุระแล้วใช่ไหม? ผมมีข่าวดีจะบอกคุณ”
ปลายสายพอมีคนรับยังไม่รอให้หลินหว่านพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงของเซียวจิ่งสือดังขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว แม้จะคุยกันทางโทรศัพท์แต่หลินหว่านยังรู้สึกได้ถึงความยินดีปรีดาของเซียวจิ่งสือ ในหัวของเธอผุดภาพเขากำลังยิ้มหน้าบานท่าทางเริงรื่นชื่นใจ
หลินหว่านก็ถูกบรรยากาศความรื่นเริงของเขาทำให้พลอยดีใจไปด้วย อมยิ้มแล้วถามเขาว่า “ทำไมหรือคะ เกิดอะไรขึ้นถึงกับทำให้คุณดีใจขนาดนี้?”
“เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ ซะด้วยสิ อันซวี่กรุ๊ปอยู่ในกำมือของผมแล้วจนได้ เป็นไง น่าดีใจไหมเล่า? ไม่ทราบว่าคุณหลินจะกรุณาให้เกียรติมาร่วมฉลองกับผมสักหน่อยจะได้ไหมครับ?” ขณะพูดน้ำเสียงยังเผยถึงความฮึกเหิมได้ใจ เหมือนเด็กที่รอการให้รางวัลอย่างนั้น
พอเห็นเขาเป็นแบบนี้ หลินหว่านก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ทำไมคะ ท่านประธานเซียวผู้ยิ่งใหญ่ขาดคนทานข้าวด้วยหรือคะ? ท่านแค่กวักมือเรียก ต้องมีคนเป็นฝูงมาเสนอตัวแน่ค่ะ”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็จะได้โอกาสนี้นี่ ถึงพวกเขาจะดียังไงก็ไม่ใช่หลินหว่าน”
ไม่มีคำพูดหรูหราอลังการ และไม่มีคำหวานปานน้ำผึ้ง และยิ่งไม่มีคำสาบานชั่วฟ้าดินสลาย แต่มีแค่ประโยคที่แสนจะธรรมดาคำหนึ่ง ที่ทำให้หลินหว่านซาบซึ้งใจได้ถึงเพียงนี้ เธอรู้สึกว่า นี่คงเป็นคำบอกรักที่ไพเราะน่าฟังที่สุดในโลกแล้วกระมัง! เพิ่งนึกว่าจะพูดอะไรอีกดีนะ เงยหน้าขึ้นก็เห็นว่ามีคนโบกมือเรียกเธออยู่ ทำไงได้ แค่นาทีเดียวอารมณ์หวานที่กำลังก่อตัวขึ้นก็แตกกระจายสลายตัวไปหมด
“ได้ค่ะ ฉันทราบแล้ว เดี๋ยวคุณส่งที่อยู่มานะคะ ทางนี้ฉันยังมีธุระต้องจัดการอีกนิดหน่อย พอเสร็จแล้วจะไปที่นั่นเลย คุณไม่ต้องมารับฉันนะคะ”
เดิมทีเซียวจิ่งสือยังจะรอให้หลินหว่านชมเขาสักหลายคำ ผลปรากฏว่าคิดไม่ถึงจะมีคนมาขัดจังหวะซะได้ เสียอารมณ์จริงๆ แต่ว่า…พอนึกว่าอีกเดี๋ยวจะออกไปทานข้าวกับหลินหว่าน…เฮ่ย ช่างเถอะๆ รีบไปดูก่อนดีกว่าว่าจะทานอะไรดี!
……
หลินหว่านวางสายไปแล้ว ก็เดินเข้าไปหาคนคนนั้น “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณหาฉันมีธุระอะไรหรือคะ?”
“เอ่อ ซุปตาร์หลิน ทำตัวห่างเหินกันไปทำไม ผมมาชวนคุณคุยเล่นบ้างไม่ได้รึไง?”
“ถ้าจะคุยเล่นก็ขอตัวค่ะ ผู้กำกับ ถ้าคุณไม่มีธุระอะไรฉันก็ขอตัวก่อนค่ะ ฉันยังมีเรื่องอื่นต้องทำนะคะ!”
คนคนนั้นทำไมจะฟังไม่ออกถึงน้ำเสียงแข็งกระด้างปานนี้ของหลินหว่าน แต่ยังได้แต่ข่มความโกรธของตัวเองไว้ ใครใช้ให้ตอนนี้เขาด้อยกว่าคนอื่นกันเล่า
“เอ้อ…คืออย่างนี้ เมื่อก่อนผมทำเรื่องผิดต่อคุณเซียวจิ่งสือไว้ ผมมาคิดดูแล้วรู้สึกไม่ดี ก็เลย…หวังว่าพวกคุณจะไม่ถือสากับความผิดของคนตัวเล็กๆ อย่างผม”
“หึ ขอโทษเหรอ? เอากองไว้เถอะ ฉันไม่ยอมรับหรอก!”
“ซุปตาร์หลิน คุณทำแบบนี้ให้ได้อะไรขึ้นมา มีเพื่อนมากขึ้นจะได้มีลู่ทางเพิ่มขึ้นไม่ดีหรือไง?”
“เพื่อนเหรอ? อย่างคุณเนี่ยนะ ฉันไม่ขอมีเลยจะดีกว่า ถ้าเพื่อนฉันเป็นอย่างคุณกันหมด ฉันอยู่ไปจะมีความหมายอะไร?”
พูดจบพอดีมือถือมีสัญญาณข้อความเข้า คลิ้กดู เป็นข้อความจากเซียวจิ่งสือบอกสถานที่ทานข้าวกับเธอ หลินหว่านยกมุมปากยิ้มน้อยๆ จากนั้นไม่รอให้คนคนนั้นพูดอะไรอีก เธอหมุนตัวเดินตรงไปทางรถที่จอดอยู่
ทิ้งไว้เพียงแค่เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นเป็นจังหวะ…
หลินหว่านไม่ได้เสียอารมณ์ไปกับเรื่องเล็กน้อยที่แทรกเข้ามานี้เลย เหมือนกับเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทั้งสองทานอาหารด้วยกันอย่างมีความสุขแล้วกลับบ้านด้วยกัน
ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่กระทบหลินหว่าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่ถือสา พอกลับถึงบ้านเรื่องแรกที่ทำก็คือเขียนบทความขนาดยาวฉบับหนึ่งโพสต์ขึ้นเน็ต โดยเล่าอย่างละเอียดว่าผู้กำกับคนนั้นเมื่อก่อนเหยียบย่ำเซียวจิ่งสือไว้อย่างไร รวมทั้งวันนี้ที่เขามาหาเธอด้วย
ชั่วขณะนั้นเสียงก่นด่าประณามดังไปทั่วเน็ต
……
อันที่จริงไม่ใช่แค่ผู้กำกับคนนั้นที่มาขอคืนดีด้วย ถึงยังไงนี่ก็เป็นยุคข่าวสารสังคมออนไลน์ ข่าวที่อันซวี่กรุ๊ปพ่ายแพ้หมดรูปได้แพร่สะพัดไปทั่วอย่างรวดเร็ว
พวกผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทเซียวจิ่งสือต่างพากันจับตาดูเขาทุกความเคลื่อนไหว จู่ๆ ก็เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น พวกเขาไม่มีทางที่จะไม่รู้
ตอนที่เพิ่งได้ยินเสียงเล่าลือ พวกเขายังไม่คิดจะทำอะไร เข้าใจว่าคงไม่น่าจะทำให้เกิดเรื่องอะไรใหญ่โตขึ้นได้ แต่นึกไม่ถึงว่าเซียวจิ่งสือจะสามารถขนาดนี้
บริษัทที่เดิมทีกำลังจะล้มละลายไม่เพียงไม่ล้ม ยังฟื้นฟูกิจการกลับมาอย่างดี แถมยังดีกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะเสียอีก พวกเขาต่างก็แอบนึกเสียดายอยู่ลึกๆ
ตอนนี้เซียวจิ่งสือมีหน้ามีตาเจริญรุ่งเรืองขนาดนี้ พวกเขาจึงได้แต่นึกแค้นใจอยู่ และมีบางคนเริ่มจะอดรนทนไม่ไหวคิดจะก่อคลื่นใต้น้ำ
กล่าวกันว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร มีแต่ผลประโยชน์ที่คงอยู่ตลอดกาล แน่นอนว่าที่ไหนมีผลประโยชน์ก็ย่อมจะหันไปทางนั้น
ผู้ถือหุ้นหลายรายรวมตัวกัน ร่วมกันปรึกษาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ สุดท้ายทุกคนลงมติว่าจะไปคุยรายละเอียดกับเซียวจิ่งสือ ถึงยังไงบริษัทของเขาเพิ่งจะฟื้นตัวขึ้นมา ยังต้องการกำลังคน พวกเขาไม่เชื่อว่าเซียวจิ่งสือจะกล้าไล่พวกเขาออก
พูดแล้วก็ต้องทำ หลายคนนั้นพากันมาหาเซียวจิ่งสือ “จิ่งสือ ตอนนี้คุณแกร่งกล้าขนาดนี้แล้ว พวกเราไม่คิดเลยว่าคุณจะมีความสามารถขนาดนี้ เมื่อก่อนพวกเราทำผิดที่เอาใจออกห่าง ตอนนี้พวกเรารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว บริษัทคุณกำลังฟื้นตัวคงต้องการกำลังคนกระมัง? เอาอย่างนี้นะ พวกเราจะรีบกลับมาช่วยคุณก็แล้วกัน”
“ใช่แล้ว พวกเรารู้ว่าเมื่อก่อนทำผิดต่อคุณไว้ แต่พวกเราก็มีความจำเป็น ยังต้องเลี้ยงดูครอบครัวอีก พวกเราจึงต้องทำลงไปแบบนั้น”
หนึ่งในนั้นแสดงความคิดของตัวเองออกมาอย่างเปิดอก ส่วนคนอื่นๆ ยังพากันออกตัวกับเซียวจิ่งสือถึงความจำเป็นบังคับสารพัดที่ต้องทำลงไป จุดประสงค์ก็มีเพียงแค่หนึ่งเดียว นั่นคือพวกเขาอยากจะกลับมาบริษัทอีกครั้ง
ตอนที่ 281 แผนของพวกผู้ถือหุ้น
“หึ ช่วยผม? เกรงว่าจะช่วยพวกคุณเองมากกว่า ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพวกคุณใจดีขนาดนี้ ยังจะช่วยผม ก็แค่เห็นว่าบริษัทไปได้ดีแล้วคิดจะกลับมาก็เท่านั้น ขอโทษด้วย พวกคุณ…ผมไม่ต้องการ!”
“คุณจะพูดแบบนี้ไม่ได้นะ มีคำกล่าวว่า คนไม่ทำเพื่อตัวเองสวรรค์ยังไม่เข้าข้างเลย แต่ว่าพวกเราตอนนี้คิดจะช่วยคุณด้วยความจริงใจเลยนะ”
เซียวจิ่งสือไม่เสียเวลาพูดจาไร้สาระกับพวกเขาอีก กับคนอย่างพวกเขา พูดไปก็เสียแรงเปล่า เขาสั่งคนให้ไล่พวกนั้นออกไป
พวกผู้ถือหุ้นนั่นเคยถูกคนปฏิบัติต่อเขาแบบนี้ที่ไหนกัน? มีครั้งไหนบ้างที่คนอื่นจะไม่ยกพวกเขาไว้? ตอนนี้พวกเขายอมอ่อนข้อให้เซียวจิ่งสือขนาดนี้ แต่เขากลับไม่ยอมดื่มสุราคารวะแต่จะดื่มสุราจับกรอก [1] !
พวกผู้ถือหุ้นหลายคนนั้นเห็นว่าเซียวจิ่งสือไม่มีทีท่าว่าต้องการให้เขาเข้าบริษัทอีก ก็ไม่เสแสร้งใส่หน้ากากอีกต่อไป พากันด่าทอออกมา
“เซียวจิ่งสือ แกมันคนเนรคุณ เสียแรงที่เคยร่วมบริหารบริษัทมาด้วยกัน ตอนนี้พอบริษัทไปได้ดีก็คิดจะถีบหัวส่ง จะช้าเร็วกรรมต้องสนองแก ฉันจะขอให้แกไม่ได้ตายดี!”
“ถุย ก็แค่บริษัทกระจอกเอง แกยังเข้าใจว่าทุกคนต้องมาประจบแกสินะ? ไม่ลองส่องกระจกชะโงกดูเงาหัวตัวเองบ้างว่าเป็นตัวอะไร!”
ถึงยังไงเซียวจิ่งสือก็ไม่ยอมให้เขากลับเข้าบริษัทในฐานะผู้ถือหุ้นอีก พวกเขาจึงไม่ต้องไว้หน้าอะไรกันอีก ด่ากราดเซียวจิ่งสือตั้งแต่หัวจรดเท้าจนครบรอบ
พวกเขาเข้าใจว่าแบบนี้แล้ว เซียวจิ่งสือจะยอมอ่อนข้อให้ แต่ด่าตั้งครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเซียวจิ่งสือ จึงไม่ง้อต่อไปอีก ด่ามาครึ่งวันตัวเองเหนื่อยไม่พอ เซียวจิ่งสือไม่สะเทือนเลยสักนิด
“ฮึ ไม่ต้องมาไล่หรอก ฉันออกไปเองก็ได้ เอามือสกปรกของแกออกไป อย่างแกคิดจะมาจับตัวฉัน? หิ้วรองเท้าให้ฉันยังไม่เอาเลย!” พอเห็นว่าเซียวจิ่งสือไม่สนใจพวกเขา จึงได้แต่ระบายโทสะเอากับยามรักษาความปลอดภัย
แต่พวกเขาเหมือนต่อยหมัดลงบนกองนุ่น [2] คนของบริษัทต่างทำเหมือนกับเซียวจิ่งสือ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรต่อคำพูดของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
“คุณครับ อย่าเข้าไปอีกเลยครับ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดแล้วครับ”
“แก…ดี ดีมาก ฮึ!” ชี้นิ้วอยู่ครึ่งค่อนวันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี พอจัดเสื้อผ้าท่าทางตัวเองเสร็จก็สะบัดแขนจากไป พวกเขาเข้าใจว่าตัวเองดูยิ่งยงทรงอำนาจ แต่กลับไม่รู้ว่าในสายตาคนอื่นแล้วมันน่าหัวเราะขนาดไหน
……
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห คิดไม่ถึงว่าตอนนี้แม้แต่ยามเฝ้าประตูตัวเล็กๆ คนหนึ่งยังกล้ามาต่อกรกับพวกเขา นี่มันไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลยงั้นสิ? สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องหยามหน้ากันชัดๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แค้นนี้ต้องชำระแน่
วันรุ่งขึ้น พวกเขาจัดงานแถลงข่าวขึ้น
“สวัสดีครับท่าน ไม่ทราบว่าทุกท่านเร่งรีบจัดงานแถลงข่าวอย่างรีบด่วนนี้ขึ้นด้วยเรื่องอะไรครับ?” นักข่าวคนหนึ่งถามเปิดงานไปตรงๆ
“วันนี้นะ เรื่องสำคัญก็คือพูดกับทุกท่านเรื่องของเซียวจิ่งสือ”
“เซียวจิ่งสือ? มีเรื่องอะไรกันนะ?”
“คืออย่างนี้ เซียวจิ่งสือเจ้าเด็กเลวนั่น เมื่อก่อนพวกเราร่วมงานกัน ทุกคนต่างก็ช่วยเขา บริหารกิจการจนก้าวหน้าด้วยดี พวกคุณก็รู้แล้วนี่ ช่วงก่อนหน้านี้บริษัทดำเนินการได้ไม่ดีนัก แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น ในที่สุดบริษัทก้าวหน้าขึ้นทุกวัน แต่คิดไม่ถึงว่า เซียวจิ่งสือกลับฉวยโอกาสขับไล่พวกเราออกมาซะแล้ว”
“ใช่แล้ว พวกเราร่วมดำเนินกิจการมาอย่างยากลำบาก เมื่อก่อนเขายังทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ยังต้องคอยดูพวกเรา ให้พวกเราคอยสอนทีละขั้นทีละตอน ต่อให้ไม่มีความชอบแต่ก็ลงแรงไม่น้อยกระมัง คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนแบบนี้” ผู้ถือหุ้นรายหนึ่งพูดขึ้น คนอื่นๆ ก็ทยอยเสริมคำพูดเขา ฟังดูมีเนื้อมีหนังเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา
“จากที่พูดมานี่ พวกคุณอยู่กับเขาผ่านประสบการณ์ด้วยกันมาตั้งมากมาย ทำไมตอนนี้เขาไม่ยอมรับพวกคุณแล้วล่ะ?”
“ก็เพราะผลประโยชน์บังตานะสิ เขาคิดจะฮุบบริษัทเอาไว้เอง! ตอนนี้พอดีเลย ทำได้แล้วนี่ ก็เลยถีบพวกเราออกมานี่ไง”
“งั้นพวกคุณไปคุยกับเขามาหรือยัง?”
“คุยแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า เซียวจิ่งสือกลับให้คนไล่พวกเราออกมา ทั้งยังด่าพวกเราเสียๆ หายๆ อีก แล้วพวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันเล่า”
……
เพียงไม่นานหลินหว่านก็รู้เรื่องนี้เข้า แน่นอนว่าเธอไม่เชื่อคำพูดของคนพวกนั้น เซียวจิ่งสือเป็นคนยังไง คนอื่นไม่รู้ เธอจะไม่รู้เชียวรึ?
เธอรีบโทรหาเซียวจิ่งสือ “ฮัลโหล คุณได้ดูข่าวรึยังคะ? แล้วคิดจะทำยังไงต่อไป?”
เซียวจิ่งสือฟังหลินหว่านพูดอย่างมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก หลายวันนี้เขามัวยุ่งกับเรื่องของบริษัท ยุ่งจนหัวหมุนไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ
หลินหว่านเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็รู้ว่าเขายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลย เธอจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังแบบย่อ
“เอาล่ะ เรื่องนี้คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ เชื่อผม ต้องมีทางแก้ได้แน่” เขาคิดไม่ถึงเลยว่า พวกผู้ถือหุ้นจะหน้าหนาไร้ยางอายกันได้ถึงขนาดนี้ ตอนนี้ยังมีหน้าทำท่าเป็นฝ่ายถูกมาพูดโกหกพกลมแบบนี้ คิดจะพลิกกลับดำเป็นขาวให้ชาวบ้านเข้าใจผิดอีก
“งั้นก็ได้ ถ้าต้องการให้ช่วยอะไรก็บอกฉันนะคะ”
แม้ว่าหลินหว่านยังไม่ค่อยจะวางใจนัก แต่หลังจากพูดกำกับไปหลายคำแล้วก็วางสายไป ตอนนี้เขาน่าจะมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ เธอไม่ควรจะรบกวนให้เขาเสียเวลามากนัก
เดิมทีเซียวจิ่งสือก็ไม่คิดจะถือสาหาความกับพวกเขานัก แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะไร้ยางอายขนาดนี้ ยังคิดจะเรียกร้องความเห็นใจอีก ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนไม่ดีไปแล้ว
ต่อให้คนที่ใจเย็นขนาดไหนรู้เรื่องเข้าคงไม่อาจเฉยอยู่ได้ใช่ไหมเล่า นี่มันใส่ร้ายเขาเห็นกันชัดๆ ถือว่าเป็นการทำร้ายจิตใจกันชัดๆ
ทำดีด้วยแล้วกลับกลายเป็นตามใจจนเสียนิสัยแบบนี้ อีกฝ่ายแทบจะขึ้นมาขี่คอเขาอยู่แล้ว เขาจะไม่ยอมนั่งรอความตายอยู่นี่ต่อไปหรอก ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะพูดให้ร้ายอะไรเขาอีกสิ
เซียวจิ่งสือนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วโทรหาผู้ช่วย ไม่นานนักผู้ช่วยก็มาหา “ท่านประธาน ต้องการอะไรครับ?”
“นายไปสืบมาให้ฉันที พวกผู้ถือหุ้นเดิมนั่น ในมือพวกเขายังมีหุ้นบริษัทอยู่เท่าไรกับทรัพย์สินของพวกเขา ยิ่งละเอียดยิ่งดี”
สองชั่วโมงต่อมา ผู้ช่วยหอบเอกสารตั้งหนึ่งกลับเข้ามา รายงานทรัพย์สินของบรรดาผู้ถือหุ้นพวกนั้นให้เซียวจิ่งสือทราบโดยละเอียด
พอฟังรายงานจบ ก็พูดว่า “คิดไม่ถึงเลยว่า จิ้งจอกเฒ่าพวกนี้จะยังมีทรัพย์สินมากขนาดนี้ ในเมื่อพวกแกใส่ร้ายฉัน ก็อย่ามาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน ฮึ!”
เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง กิจการต่างๆ ของผู้ถือหุ้นพวกนั้นก็มีอันต้องเจอกับอุปสรรคโดยไม่ทราบสาเหตุ กว่าพวกเขาจะรู้ว่าเป็นฝีมือของเซียวจิ่งสือก็ช้าไปแล้ว พวกเขาได้แต่มองดูกิจการที่ตัวเองสร้างมากับมือต้องมีอันล้มครืนลงไป…
——
[1] ไม่ยอมดื่มสุราคารวะแต่จะดื่มสุราจับกรอก หมายถึง ไม่ยอมปฏิบัติต่อกันด้วยดี ต้องให้ใช้กำลังบังคับ
[2] ต่อยหมัดบนกองนุ่น หมายถึง จมหาย ไม่มีอะไรสะท้อนตอบรับกลับมา
ตอนที่ 282 ปัญหา
พวกผู้ถือหุ้นนั่นพูดแต่ว่าเซียวจิ่งสือไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน อันที่จริงพวกเขาต่างก็มีความคิดอื่นอีกมากมาย แต่ไม่อาจพูดออกมาได้เท่านั้น ตอนนี้พอเห็นว่าเรื่องกลายเป็นแบบนี้ ก็รู้ว่าเซียวจิ่งสือมีฝีมือจริง
คิดไม่ถึงว่าผลตามมาตอนนี้จะหนักหนาสาหัสขนาดนี้ อีกทั้งท่าทีของเซียวจิ่งสือที่มีต่อเรื่องนี้ก็เด็ดขาดมากด้วย
ในเมื่อคนพวกนั้นบอกว่าเขาไร้น้ำใจ งั้นเซียวจิ่งสือก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะไว้ไมตรีให้พวกเขา
“เรื่องที่ผมให้คุณไปจัดการเป็นยังไงบ้างแล้ว?” เซียวจิ่งสือโทรหาคนของเขา นิ้วมือยังเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ เขาอยากจะถามว่าหลายวันมานี้เรื่องบริษัทของพวกผู้ถือหุ้นนั่นสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว
“เจ้านายครับ บริษัทพวกนั้นดูท่าว่าจะไปไม่รอดแล้ว พวกเขาคงยันไว้ได้อีกไม่กี่วันแล้ว” พอฟังถึงตรงนี้ เซียวจิ่งสือก็รับคำอย่างพอใจ จากนั้นวางสายไป
ในเวลาเดียวกันนี้เอง อันซวี่กรุ๊ปก็ถูกแฉออกมาว่ามีปัญหามากมาย และปัญหาเหล่านี้ดูท่าว่าจะแก้ได้ยากมาก ซึ่งนี่ทำให้ผู้บริหารระดับสูงทั้งหลายของอันซวี่กรุ๊ปปวดหัวกันมาก
ตอนนี้มีข่าวลือจากหลายแห่งบอกเล่าถึงสถานการณ์บางอย่างของอันซวี่กรุ๊ป เรื่องพวกนี้ในสายตาของอันจี๋อวี่แล้ว เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่ถอนใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า
“พักนี้อันซวี่กรุ๊ปถูกแฉเรื่องปัญหาจริยธรรมองค์กรของบริษัท ข้อเท็จจริงของปัญหาเหล่านี้ถึงแม้ผู้ที่เกี่ยวข้องจะไม่ได้ออกมาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา แต่จากหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในตอนนี้ ปัญหาข่าวเชิงลบพวกนี้ของอันซวี่กรุ๊ปย่อมมีเค้าความจริงอยู่แน่” อันจี๋อวี่ดูผู้สื่อข่าวสาวพูดรายงานยาวเหยียดในโทรทัศน์
อันจี๋อวี่เห็นแล้ว…ต่อให้แค่ฟังเสียงก็รู้สึกปวดหัวตึบได้ ตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ เขาไม่รู้ว่านอนไม่หลับมากี่คืนแล้ว
ทุกวันนี้ เรื่องเดียวที่เขาคิดในตอนนี้คือเครือบริษัทเขาจะมีข่าวฉาวอะไรโผล่ออกมาอีกหรือเปล่า พอนึกถึงตรงนี้ อันจี๋อวี่ก็ได้แต่ทอดถอนใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ตอนนี้เขายังคิดหาวิธีแก้ปัญหาไม่ได้ จึงได้แต่ร้อนใจเหมือนมดในกระทะร้อนยังไงยังงั้น แต่ต่อให้เขาคิดวิธีออกมาได้ ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ก็ควบคุมอะไรไม่ได้อยู่ดี
ด้วยความอับจนและร้อนใจ อันจี๋อวี่จึงได้แต่หยิบรีโมทขึ้นมาปิดโทรทัศน์ซะ ภาพหน้าจอดับวูบ ไม่มีเสียงดังมาอีก และมีแต่ตอนนี้ที่เขารู้สึกสงบใจขึ้นมาได้
เมื่อครู่นักข่าวสาวที่พูดรายงานข่าวนั้นได้เห็นแก่หน้าบริษัทมากแล้ว แต่ตอนนี้ต่อให้บริษัทไม่ได้ออกมาประกาศแก้ข่าวอย่างเป็นทางการ ข้างนอกนั่นก็มีนักข่าวมารอทำข่าวอยู่มากมาย
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เหมือนกับว่าเรื่องทั้งหมดล้มเหลวแล้ว ไม่มีหนทางถอยอีก
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?” นาทีนี้ อันจี๋อวี่นั่งอยู่ในออฟฟิศคนเดียว ถึงแม้ว่ารอบข้างไม่มีเสียงอะไรแล้ว แต่เขายังพึมพำถามตัวเองอยู่นั่น
อันจี๋อวี่ยกมือขึ้นกดนวดขมับ เพื่อลดอาการกระสับกระส่ายของตัวเอง
ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูห้องดังเบาๆ อาจเป็นเพราะได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง อันจี๋อวี่จึงเงยหน้าขึ้นมา
“เข้ามาเถอะ!” อันจี๋อวี่ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าตัวเอง ในเวลานี้ต่อให้เป็นข่าวร้ายแค่ไหนเขาก็ต้องรับเอาไว้
เสียงฝีเท้าดังมา เพียงครู่เดียวก็มาถึงหน้าโต๊ะทำงานของอันจี๋อวี่
“ท่านประธานอัน ตอนนี้ข้างนอกนั่นมีข่าวลือมั่วไปหมด บอกว่าบริษัทเราหมดหนทางแล้ว” ลูกน้องที่เข้ามารายงานปัญหาไม่รู้ว่าจะอธิบายสถานการณ์ของบริษัทอย่างไรดี ตอนนี้เขาอธิบายได้แค่สี่คำนี้เท่านั้น
พอได้ยินคนที่มารายงานพูดแบบนี้ หัวใจของอันจี๋อวี่กระตุกวูบ เพราะว่าพอเขาได้ยินว่าหมดหนทางแล้ว ก็พอจะบอกถึงสภาพจิตใจเขาได้ดี
“ตอนนี้ข้างนอกนั่นพูดถึงพวกเราไม่ค่อยดีนัก เข้าใจว่าบริษัทเราติดค้างค่าแรงพนักงานตลอดเลย” ถึงแม้จะเห็นว่าสีหน้าของเจ้านายย่ำแย่ลงทุกทีแล้ว แต่สภาพความเป็นจริงก็ยังต้องรายงานอยู่ดี
“งั้น…ถ้าตอนนี้พวกเราออกหน้าจัดการล่ะ?” อันจี๋อวี่แบมืออย่างจนปัญญา และนี่ก็เป็นวิธีการเดียวในตอนนี้ที่เขาพอจะนึกออกมาได้ และเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดด้วย
“แต่ตอนนี้พวกเขาดูเหมือนจะมีหลักฐานมายันกับพวกเรา ถึงตอนนั้นพวกเราจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี?” ได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว อันจี๋อวี่ก็เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่านี้ อันที่จริงสถานการณ์แบบนี้ทำไมเขาจะคิดไม่ถึงนะ
ตอนนี้มีปัญหาสำคัญของบริษัทโผล่ขึ้นมา ในสายตาคนอื่นแล้วนี่เป็นปัญหาด้านหลักการของบริษัท ถ้าหากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขที่ได้ผลแล้ว ต่อไปบริษัทที่มาร่วมมือกับพวกเขาย่อมจะลดลงไปมาก
อันจี๋อวี่นั่งอยู่ในห้องทำงาน สั่งให้คนที่ออกไปปิดประตูให้สนิท เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะอธิบายปัญหานี้อย่างไร คิดไม่ถึงว่าอันซวี่กรุ๊ปจะต้องประสบปัญหาด้วยเรื่องจริยธรรมองค์กร
พอนึกถึงตรงนี้ อันจี๋อวี่ก็รู้สึกโมโหมาก กวาดเอาที่เขี่ยบุหรี่ที่ด้านข้างลงพื้นไป
คนที่เข้ามารายงานเมื่อครู่ออกไปไม่นานก็รีบร้อนกลับมาเคาะประตูอีก เดิมทีอันจี๋อวี่ก็ปั่นป่วนว้าวุ่นอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นอีกแล้ว
“เข้ามาสิ เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ” เสียงอันจี๋อวี่ไม่ดังเหมือนเมื่อครู่อีก เนื่องจากเมื่อครู่เขารู้สึกว่าตัวเองเหน็ดเหนื่อยใจซะเหลือเกิน
“เมื่อครู่…” คนที่เข้ามาสีหน้าลำบากใจ เขามองดูอันจี๋อวี่ราวกับไม่อาจทนรับเหตุสุดวิสัยอะไรอีก ตอนนี้ถ้าเขาบอกข่าวนี้กับอันจี๋อวี่ เขาต้องตกใจมากแน่
“มีเรื่องอะไรก็พูดเถอะ ไม่ต้องพิรี้พิไรหรอก” อันจี๋อวี่หอบหายใจแรง แล้วหลับตาลง คล้ายกับเพื่อสงบระงับจิตใจ
“แผนโครงการร่วมมือของพวกเรารั่วไหล” พอได้ฟังคนตรงหน้าพูดออกมา อันจี๋อวี่ก็เบิกตาโพลงขึ้น เพลิงโทสะลุกพึ่บขึ้นอีกครั้ง
“เป็นอย่างนี้ได้ยังไง บริษัทของเราเป็นถึงอย่างนี้แล้ว ยังมีคนทำแบบนี้อีก!” อันจี๋อวี่ไม่รู้แล้วว่าตัวเองควรจะพูดอะไรมาอธิบายสภาพในตอนนี้อีก
เรื่องราวที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้เขาปวดหัวมาก ก่อนหน้านี้บริษัทถูกแฉว่ามีปัญหาเชิงจริยธรรม ติดค้างเงินเดือนพนักงาน
ปรากฏว่าตอนนี้ยังมีเรื่องซ้ำเติมอีก แผนโครงงานนี้จะอย่างไรก็ถือว่าเป็นความลับของบริษัท คิดไม่ถึงว่าขนาดเรื่องเงินเดือนยังเป็นอย่างนี้ จะเอาความลับมาจากไหนได้อีก
“เอาล่ะ ผมรู้แล้ว คุณออกไปก่อนเถอะ” ปฏิกิริยาของอันจี๋อวี่ต่อเรื่องพวกนี้ดูนิ่งลงไปมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตื่นเต้นตึงเครียดเหมือนอย่างเมื่อครู่อีก
ตอนที่ 283 โอกาส
อันที่จริงอันจี๋อวี่อยากจะได้กุนซือที่ร้ายกาจสักคน ถ้าจะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นพรวนแบบนี้ได้ เขาก็ยินดีจ่ายให้ได้ทั้งหมดเท่าที่มีเลย
ตอนนี้ใช้คำว่า ‘ยุ่งเหยิงปั่นป่วน’ มาบรรยายความรู้สึกของเขาในตอนนี้ก็น่าจะได้ เขายังหาคนมาร่วมมือไม่ได้ ดูท่าว่าตอนนี้เพราะปัญหาพวกนี้ ต่อให้เป็นพวกที่เคยคิดอยากจะร่วมมือกับบริษัทเขาอย่างมากก็คงไม่เหลือแล้ว
ดูเหมือนเรื่องราวดำเนินมาจนถึงปากทาง พูดให้ชัดเจนก็คือเข้าสู่ทางตันที่ถูกปิดกั้นไว้อย่างแน่นหนา ไม่เห็นอนาคตของบริษัทว่าจะไปทางไหนได้
การที่ต้องเจอกับปัญหาพวกนี้นั้น อันจี๋อวี่โกรธมาก เขาโยนความผิดทั้งหมดไปที่ฮั่วเทียนอวี่ ถ้าหากเขาไม่ได้มาบริษัทตั้งแต่แรก ตอนนี้ก็คงไม่ต้องมาจนมุมแบบนี้
เมื่อครู่เขามัวแต่สนใจว่าจะทำอย่างไรเพื่อแก้ไขปัญหาพวกนี้ ไม่ได้นึกถึงว่าเจ้าตัวต้นเหตุนั่นยังอยู่ ไม่ได้รับการลงโทษ
พอนึกได้เขาลงมือทันที อันจี๋อวี่ขมวดคิ้ว รีบโทรออกสายหนึ่ง “คุณรีบหาคนมารอที่หน้าประตูผมสักหลายคนนะ” น้ำเสียงเขาแน่วแน่มาก ต้องการให้ลูกน้องเขารีบไปจัดหากำลังคนมา เขาจะได้ไปทำเรื่องหนึ่ง
ตอนนี้เกิดเรื่องราวหนักหนาสาหัสขนาดนี้ อันจี๋อวี่เห็นว่าฮั่วเทียนอวี่ไม่ว่าจะยังไงก็ยากจะหนีความผิดไปได้ เรื่องนี้ถ้าเขาไม่สามารถชี้แจงกับเขา อันจี๋อวี่คิดว่าเขาคงไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่
เขาเผลอตบโต๊ะปัง แต่ก็ยากจะคลายความอัดอั้นคับแค้นใจของเขาได้ ตอนนี้ยังต้องรีบไปเจอฮั่วเทียนอวี่จะได้ระบายความโกรธเขาออกไปได้บ้าง
อันจี๋อวี่สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง ไม่นานนักก็พบตัวฮั่วเทียนอวี่ อันที่จริงฮั่วเทียนอวี่ก็ได้ยินข่าวแล้วว่า ตอนนี้บริษัทเกิดเรื่องพวกนี้ และไม่รู้ว่าอันจี๋อวี่มาหาเขาตอนนี้เพื่อเป้าหมายอะไรกันแน่
แต่พอเห็นสีหน้าอันจี๋อวี่ในตอนนี้ว่าโกรธจัด หัวฟัดหัวเหวี่ยงมาหาเขาแบบนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
“อัน…” นาทีนี้ฮั่วเทียนอวี่ไม่กล้าพูดแสดงความคิดเห็นตัวเองอีก ถึงยังไงอีกฝ่ายก็มากับคนเป็นฝูง ถ้าหากทำให้เขาโกรธ ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาต้องทำให้เรื่องนี้สงบจิตใจมาคุยกันดีๆ ให้ได้
ยังไม่ทันที่ฮั่วเทียนอวี่จะได้พูด อันจี๋อวี่ก็พูดแทรกขึ้นก่อน เห็นสีหน้าลำบากใจของฮั่วเทียนอวี่ก็ยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีก ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเขาแน่
“ตอนนี้บริษัทเกิดเรื่องพวกนี้ แกคงเห็นแล้วกระมัง” อันจี๋อวี่ไม่ได้แสดงความวิตกกังวลในใจออกมา เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฮั่วเทียนอวี่ฟังตามจริงรอบหนึ่ง ทั้งยังเดินเฉียดผ่านหน้าเขาเป็นพักๆ อีก
ทั้งสองสบตากัน “แกรู้ไหมว่าตอนนี้บริษัทต้องเจอกับอะไรบ้าง? แกรู้ไหมว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อบริษัทเราขนาดไหน?” อันจี๋อวี่ถามต่อเนื่องมาสองคำถาม เขาอยากให้ฮั่วเทียนอวี่รู้ถึงผลที่จะเกิดขึ้น
ฮั่วเทียนอวี่ก้มศีรษะ ขมวดคิ้ว ถึงแม้จะเข้าใจดีว่าเขามาพูดแบบนี้ในตอนนี้หมายความว่ายังไง แต่ถ้าตอนนี้เขาตอบว่ารู้ ผลคงจะอนาถยิ่งกว่านี้แน่
“ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ” อันจี๋อวี่ล้วงมือออกจากกระเป๋ากางเกง ชี้ที่ศีรษะของฮั่วเทียนอวี่ เข่นเขี้ยวอยากจะต่อยเขาซักหมัดตอนนี้เลย
“ผลออกมาเป็นแบบนี้ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ความตั้งใจของผมก็อยากจะให้บริษัทเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นเหมือนกัน” ฮั่วเทียนอวี่พูดอย่างร้อนใจ สีหน้าอับจน ผลออกมาเป็นแบบนี้เขากับอันจี๋อวี่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงเช่นกัน
อันจี๋อวี่ได้ยินแล้วเหมือนฟังเรื่องตลก คำพูดสวยๆ แบบนี้ ถึงคราวที่ต้องเอาตัวรอดใครก็พูดออกมาได้
“แกเห็นฉันโง่นักรึไง ถึงตอนนี้แล้วยังจะเชื่อคำพูดไร้สาระพวกนี้อีก” อันจี๋อวี่กระแอมทีหนึ่ง เมื่อครู่เขาโมโหฉุนเฉียวเกินไปจริงๆ แต่ตอนนี้ต่อให้เขาระบายโทสะกับฮั่วเทียนอวี่ที่นี่ ก็ไม่อาจแก้ปัญหาได้อยู่ดี
ตอนนี้ไม่ว่าฮั่วเทียนอวี่จะพูดอะไร อันจี๋อวี่ก็จะเห็นว่าเขาแค่พูดแก้ต่างให้ตัวเองเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าคนคนนี้ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ยังสามารถสงบสติอารมณ์ได้ขนาดนี้
อันจี๋อวี่ก็คอยสังเกตดูสีหน้าท่าทีของเขาอย่างจริงจัง วันนี้ที่เขาพาลูกน้องมาด้วยหลายคนก็ไม่ได้มาเสียเปล่า
ขณะที่เขาคิดอยู่นั้นได้ให้สัญญาณลูกน้องลงมือ วันนี้เขาต้องให้บทเรียนกับฮั่วเทียนอวี่สักครั้ง พอเห็นผู้คนตรงหน้าตั้งท่าจะลงมือ ฮั่วเทียนอวี่ก็หลุดสีหน้าปั้นยากออกมา
ขณะที่เขากำลังคิดว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรดีนั้น ก็เคลื่อนตัวถอยหลังไปเรื่อยๆ
“ท่านประธานอัน ผมรู้ว่าตอนนี้สถานการณ์บริษัทเป็นยังไง ผมจะชดเชยความผิดของผม” ฮั่วเทียนอวี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตอนนี้ปากของเขาจึงพูดได้จังหวะดีขนาดนี้
“ฉันคิดมาตั้งนาน ยังคิดหาวิธีไม่ได้ แกจะมาคิดอะไรได้” อันจี๋อวี่หน้าแดงก่ำ เพราะเรื่องนี้ ทำให้เขาอับจนสิ้นหนทาง พอฟังฮั่วเทียนอวี่พูดแบบนี้ ทำให้ความคิดที่จะสั่งสอนฮั่วเทียนอวี่เมื่อครู่สั่นคลอนขึ้นมา
“ผมมีวิธีจริงๆ นะ พวกคุณอย่าเพิ่งทำอะไรผมได้ไหม” ฮั่วเทียนอวี่ยังถอยไปเรื่อยๆ เขาโพล่งขึ้นเพราะเห็นว่าด้านหลังเขาไม่เหลือทางให้ถอยสักเท่าไรแล้ว และไม่รู้ว่าจะถอยไปไหนได้อีก
คิดไม่ถึงว่าอันจี๋อวี่จะโกรธขนาดนี้ ตอนนี้คิดจะหนีเอาตัวรอดคงไม่มีทางซะแล้ว
“พูดมาซิแกมีวิธีอะไรหือ?” คราวนี้อันจี๋อวี่ไม่โมโหแต่กลับยิ้ม ทำสัญญาณให้พวกลูกน้องถอยไป ไม่ให้เข้าหาฮั่วเทียนอวี่อีก
เขาอยากจะรู้นักว่า ฮั่วเทียนอวี่มีวิธีอะไรกันแน่ที่จะช่วยอันซวี่กรุ๊ปได้ รับฟังไปพลางอันจี๋อวี่ก็คิดประเมินไปด้วย ตัวเขาเองตอนนี้ก็ไม่มีวิธีอื่นอีก ดังนั้นตอนที่ฮั่วเทียนอวี่บอกว่ามีวิธีรับมืออันจี๋อวี่จึงรีบให้ลูกน้องเขาหยุดมือ
“ท่านประธานอัน คุณเชื่อผมนะ ผมจะเอาชนะอุปสรรคคราวนี้ให้ได้ ผมต้องทำได้แน่” ฮั่วเทียนอวี่พูดอะไรไปตั้งมาก เปลืองน้ำลายพูดจนคอแหบคอแห้ง
ฮั่วเทียนอวี่มองตาอันจี๋อวี่เห็นสายตาเขากำลังครุ่นคิด ก็รู้ว่าตัวเองมีโอกาสแล้ว ขอแค่ตอนนี้เขาพูดให้ความหวังดีๆ ไป เชื่อว่าอันจี๋อวี่จะให้โอกาสเขาอีกครั้ง ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่จับเขาไม่ปล่อย
อันที่จริงอันจี๋อวี่ก็กำลังช่างน้ำหนักข้อดีข้อเสียอยู่ คิดว่าเรื่องนี้ควรจะแก้ไขอย่างไรกันแน่ ในเมื่อทุกคนไม่มีใครหาทางแก้ได้ เขาเห็นคนตรงหน้าพูดซะเชื่อมั่นขนาดนี้ ก็ได้แต่เชื่อเขาอีกสักครั้ง
ได้แต่ลองดูกันสักตั้ง เขาอยากจะดูว่าฮั่วเทียนอวี่มีวิธีอะไรกันแน่ ถึงแม้อันจี๋อวี่จะบริหารงานมานาน แต่บริษัทประสบปัญหาหนักคราวนี้ยังทำให้เขาปวดหัวมาก อย่างนั้นก็ยกปัญหานี้ให้ฮั่วเทียนอวี่ไปจัดการก็แล้วกัน
บางทีเขาอาจจะมีทางออกก็ได้ นี่เป็นทางออกเพียงหนึ่งเดียวที่อันจี๋อวี่คิดได้ในขณะนี้
ตอนที่ 284 มาบริษัท
อันจี๋อวี่ผงกศีรษะ ฮั่วเทียนอวี่ดูออกแล้วว่า อันจี๋อวี่ให้โอกาสเขาอีกครั้ง “ฉันจะดูว่าแกมีวิธีอะไร และนี่ก็เป็นโอกาสเดียวที่ฉันจะให้แกได้”
พูดจบอันจี๋อวี่ก็ให้ลูกน้องออกไป ฮั่วเทียนอวี่ก็คิดอยู่ว่าก้าวต่อไปเขาควรจะทำอย่างไร จึงจะดึงสถานการณ์วิกฤตของอันซวี่กรุ๊ปกลับมาได้ กอบกู้ชื่อเสียงกลับมาอีกครั้ง
อันจี๋อวี่ที่กำลังจะเดินออกไป ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังก็หยุดเท้าลง พอเห็นฮั่วเทียนอวี่กระหืดกระหอบตรงเข้ามาหาเขา นาทีนั้นอันจี๋อวี่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
“แกยังมีธุระอะไรอีก? หรือว่ามีวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้แล้ว” อันจี๋อวี่ไพล่มือไปด้านหลัง ปรายตามองฮั่วเทียนอวี่ ฮั่วเทียนอวี่เงยหน้าขึ้นพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “เรื่องนี้ผมต้องแก้ไขได้แน่ ผมแค่อยากจะได้คนมาช่วยสักหน่อย จะได้ไปจัดการเรื่องนี้ทันที”
อันจี๋อวี่ผงกศีรษะ ถึงแม้ตอนนี้จะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่พอนึกประเมินดูแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
จากนั้น ฮั่วเทียนอวี่ก็พาคนกลุ่มหนึ่งมาที่บริษัทของเซียวจิ่งสือ นี่คือแผนที่เขาพูดถึง ตอนนี้ถ้าหากเขาแก้ปัญหานี้ไม่ได้ อนาคตเขาไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจบไม่สวยแน่
เขายกพวกมาด้วยท่าทีดุร้าย ทำเอายามรักษาการณ์ของบริษัทที่ด้านล่างตึกมึนไปหมด ผู้คนในบริเวณโถงใหญ่ของบริษัทต่างก็มองกันเลิ่กลั่ก
“คุณครับ นี่พวกคุณ…” ยามรักษาการณ์รู้ระเบียบบริษัทดี บุคคลภายนอกห้ามไม่ให้เข้าบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาต ยามรักษาการณ์ขมวดคิ้วยืนขวางหน้าพวกเขาไว้
“พวกเราแค่มาทำธุระนิดหน่อยเอง” ฮั่วเทียนอวี่ยังปั้นหน้าคุยกันดีๆ คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเข้าโถงใหญ่ก็เจอด่านเข้า ฮั่วเทียนอวี่พูดพลางก็ไม่สนใจใครอื่น ส่งสัญญาณให้คนที่ด้านหลังตามติดเขาเข้ามา
แต่ยามรักษาการณ์นั้นจะยอมให้เขาเข้ามาแบบนี้ได้ยังไงกัน จึงเข้าขัดขวางไว้ ฮั่วเทียนอวี่รู้สึกรำคาญขึ้นมาบ้าง จึงผลักยามออกแล้วมุ่งตรงไปข้างหน้า เป้าหมายเขาในตอนนี้คือหาตัวเซียวจิ่งสือให้พบ
เวลาเดียวกันนี้เซียวจิ่งสืออยู่ในห้องทำงาน พอฟังว่าด้านนอกมีเสียงสับสนวุ่นวายดังขึ้น เซียวจิ่งสือก็ขมวดคิ้วฉับ ไม่รู้ว่าด้านนอกใครมากันแน่
เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วออฟฟิศเขาถ้าไม่มีเรื่องอะไรจะไม่มีคนมาที่นี่ วันนี้พอได้ยินเสียงนี้เข้า เหมือนจะไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย เซียวจิ่งสือปิดแฟ้มเอกสารในมือ แต่ยังนั่งอย่างสงบอยู่กับที่
“พวกคุณเข้าไปไม่ได้นะ เข้าไปไม่ได้” ยามที่ด้านนอกยังทำงานอย่างแข็งขัน ไล่ตามมาถึงห้องทำงานของท่านประธานบริษัท เซียวจิ่งสือฟังเสียงคนที่มาพูดเขาก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร คิ้วที่ขมวดอยู่เมื่อครู่จึงคลายออก
ถึงตอนนี้ ประตูก็เปิดผางออก เซียวจิ่งสือนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งหมุนปากกาเล่น “นายไม่ต้องห้ามเขาแล้ว ฮั่วเทียนอวี่เข้ามาคนเดียวก็พอ” เสียงของเซียวจิ่งสือฟังดูเย็นเยียบ
ฮั่วเทียนอวี่มองดูคนที่ด้านหลังของเขา ในเมื่อเซียวจิ่งสือให้เขาเข้าไปได้ เรื่องพวกนี้ก็ยังมีหนทางเจรจากันได้ ฮั่วเทียนอวี่ปิดประตูลง มาที่หน้าโต๊ะทำงาน
“พูดสิ วันนี้นายมาที่นี่ต้องการอะไร?” เซียวจิ่งสือก็รู้ว่าเขาไม่ได้มาดีแน่ จึงไม่พูดวกวนอ้อมค้อมตามมารยาทอีก
“จะว่าต้องการอะไรก็ไม่ถูก ถึงยังไงผมก็เคยช่วยชีวิตหลินหว่านมาก่อน ถ้าหากไม่ได้ผม ตอนนี้เธอจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” ฮั่วเทียนอวี่ไม่รู้ว่าตัวเองเอาความกล้ามาจากไหน ถึงกับมาเจรจาเงื่อนไขกับเซียวจิ่งสือ
เซียวจิ่งสือเห็นว่าตอนที่เขาจะคุยธุระยังต้องปูพื้นนำก่อนอีก เซียวจิ่งสือรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่บ้างจึงลูบคลำที่ขมับตัวเอง “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องมาแจงสี่เบี้ยที่นี่!”
“ถึงยังไงผมก็เป็นผู้มีพระคุณของหลินหว่าน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าคุณเห็นแก่เธอก็น่าจะตอบแทนบุญคุณแทนเธอใช่ไหมล่ะ” ฮั่วเทียนอวี่ยอมพูดถึงจุดประสงค์ที่มาในที่สุด อันที่จริงเรื่องนี้เขารู้ว่าเซียวจิ่งสือมีวิธีจัดการได้แน่
ถ้าเขายืมมือเซียวจิ่งสือมาช่วย เชื่อว่าบริษัทของอันจี๋อวี่จะไม่เป็นแบบนี้หรอก
“อ๋อ? คุณมานี่ ด้วยเรื่องนี้เอง” เซียวจิ่งสือไม่โกรธแต่กลับหัวเราะ เขาสะกดกลั้นความโกรธไว้เต็มที่แล้ว แต่สีหน้ายังเย็นเยียบยิ่งกว่าเมื่อครู่อีก
“บุญคุณที่นายมีต่อหลินหว่าน ตอบแทนให้ไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ยังมีหน้ามาขอร้องด้วยเรื่องแบบนี้อีก นายไม่รู้สึกว่ามันน่าขันเหรอ?” เซียวจิ่งสือเห็นว่าพูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า เห็นฮั่วเทียนอวี่แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดรำคาญใจ
ยังมีหน้ามาพูดว่าเป็นผู้มีพระคุณของหลินหว่าน แต่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เขาทำเรื่องอะไรไว้ ทิ้งบาดแผลลึกในใจหลินหว่าน ผลักเธอให้จมลงสู่ปลักโคลนของความรู้สึกละอายผิดบาป คนประเภทนี้ยังกล้ามาเสนอหน้าทวงบุญคุณตอนนี้อีก
“เรื่องที่ผมช่วยเธอ เป็นความจริงแท้แน่นอน หลินหว่านเธอก็รู้แก่ใจดีอยู่แล้ว ตอนนี้คุณไม่คิดจะแสดงจิตสำนึกอะไรออกมาบ้างเลยรึไง”
ในความคิดของฮั่วเทียนอวี่ เขาเป็นผู้มีพระคุณของหลินหว่าน เรื่องนี้ไม่มีอะไรมาทดแทนได้
“แค่เรื่องที่นายทำไว้กับหลินหว่านนั่น ต่อให้ตายไปร้อยครั้งก็ยังไม่สาสม!” แววตาของเซียวจิ่งสือดุดัน เหมือนจะระเบิดอะไรบางอย่างออกมา ทำเอาฮั่วเทียนอวี่ใจสั่นขึ้นมา
“คุณพูดอะไรอย่างนั้น ถึงยังไงผมก็มีบุญคุณกับเธอนะ” ฮั่วเทียนอวี่เคาะโต๊ะเบาๆ ตอนนี้เขาจัดการกับอันซวี่กรุ๊ป ตัวเขาเองก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
“ตอนนี้คุณยังกล้ามาพูดว่าเป็นผู้มีบุญคุณกับเธอ ไม่รู้สึกว่าตัวเองหน้าด้านรึไง” เสียงของเซียวจิ่งสือยังเย็นเยียบ บรรยากาศในห้องทำงานดูเหมือนจะจับตัวเป็นน้ำแข็งไปแล้ว
คำพูดนี้ทำเอาฮั่วเทียนอวี่รู้สึกอึดอัดไม่รู้จะทำอย่างไรดี ใบหน้ามีเหงื่อผุดออกมาไม่หยุด ขณะที่ในใจคิดดิ้นรนหาหนทางว่าจะทำยังไงดี? แต่ไม่ว่าเขาจะพูดยังไง เซียวจิ่งสือก็ไม่เปลี่ยนความตั้งใจเดิมเลยแม้แต่น้อย
“คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ คุณปล่อยอันซวี่กรุ๊ปไปเถอะนะ” ฮั่วเทียนอวี่ไม่เหลือมาดในตอนที่บุกเข้าห้องโถงใหญ่อีก อยู่ต่อหน้าเซียวจิ่งสือเขาก็แค่มะเขือเผานิ่มเละเท่านั้น แต่ถึงยังงั้นก็ยังไม่คิดจะถอดหน้ากากของตัวเองออกมา
ดูท่าที่พูดมาเมื่อครู่คงจะใช้ไม่ได้แล้ว ตอนนี้เขาได้แต่ใช้ไม้อ่อนลองขอร้องเซียวจิ่งสือดู เซียวจิ่งสือหัวเราะหึ “คุณไม่ต้องพูดอีกแล้ว นั่นมันเรื่องระหว่างพวกคุณ ผมไม่เกี่ยวด้วย” เซียวจิ่งสือลุกขึ้นยืน เรียกคนมาเอาตัวเขาออกไป
ขณะจะส่งเสียงนั้น ฮั่วเทียนอวี่ยังคิดจะใช้ฝีปากตัวเองมาโน้มน้าวเซียวจิ่งสือ “คุณ…” แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ก็ถูกยามสองคนมาไล่ออกไป
ฮั่วเทียนอวี่พอเห็นว่าตัวเองพลาดหวัง ทำยังไงเซียวจิ่งสือก็ไม่คิดจะช่วยเขา ตอนนี้อันจี๋อวี่ผลักความผิดทั้งหมดมาที่เขา ถ้าหากตอนนี้กลับไปแบบนี้ อันจี๋อวี่คงระบายอารมณ์โกรธกับเขาแน่
ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาคงต้องยอมรับโทษจากอันจี๋อวี่จริงๆ แล้ว
ตอนที่ 285 หันเหเป้าหมาย
ฮั่วเทียนอวี่ฉุกคิดขึ้นมาได้ รีบร้องตะโกนเสียงดังอยู่ในบริษัทของเซียวจิ่งสือ บีบน้ำตาสองสามหยดออกมา สร้างสถานการณ์ว่าเซียวจิ่งสือเป็นคนลืมบุญคุณคน
“เซียวจิ่งสือ ถึงอย่างไรผมก็เป็นคนช่วยชีวิตของหลินหว่านนะ” ไม่ว่าผู้คนรอบข้างจะห้ามปรามอย่างไร ฮั่วเทียนอวี่ก็ไม่ยอมแพ้ นี่เป็นหนทางเดียวของเขาแล้ว
ตอนนี้เขานั่งอยู่บนพื้น ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงตอนนี้ยิ่งเป็นกระเซิงมากขึ้น เขายังพูดราวกับว่าตัวเองเป็นเหยื่อที่ถูกทำร้ายอย่างนั้น เหมือนกับคราวก่อนที่เคยพูดกล่าวหาหลินหว่านต่อหน้าสื่ออย่างไรอย่างนั้น
ฝูงชนรอบข้างที่มาดูความครึกครื้นยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ฮั่วเทียนอวี่เห็นว่าสถานการณ์กำลังเป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการแล้ว ดูท่าว่าเขายังต้องเสริมแรงอีกหน่อย
“ถึงตอนนี้แล้วทำไมคุณยังต้องทำกับบริษัทของพวกเราแบบนี้อีก? ผมทำผิดอะไรกันแน่?” ฮั่วเทียนอวี่ยิ่งพูดก็ยิ่งอิน เขานั่งอยู่ที่นั่นเห็นชัดว่าพยายามเรียกร้องความสนใจ
ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิด แต่ตอนนี้เขามีปากที่ใช้การได้ดี สามารถพูดกลับดำให้เป็นขาวได้
ตอนแรกคนในบริษัทเข้ามามุงดูฮั่วเทียนอวี่มากขึ้นเรื่อยๆ พากันวิพากษ์วิจารณ์เขาไปต่างๆ นาๆ และก็มีคนมากมายที่พูดขึ้นอย่างสงสัย หรือว่าจะเป็นอย่างที่คนตรงหน้านี่พูด เซียวจิ่งสือเป็นคนลืมบุญคุณคนจริงๆ?
หลายคนยังคาดเดากันอยู่ แต่ที่นี่ถึงยังไงก็เป็นบริษัท พวกเขายังไม่กล้าจะพูดอะไรนัก แต่ในใจของพนักงานเหล่านี้ได้ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยเอาไว้
ต่อให้ยามปกติพวกเขาไม่กล้าจะคาดเดาความคิดของเจ้านาย แต่ตอนนี้คนคนนี้มาพูดที่บริษัทตั้งมากมาย ทั้งยังทำท่าเป็นจริงเป็นจัง บางทีอาจจะมีความลำบากอะไรจริงๆ ก็ได้
บางคนถึงกับถ่ายคลิปเรื่องนี้เอาไว้ ฮั่วเทียนอวี่เห็นเช่นนั้น ก็ยิ่งโวยวายฟูมฟายหนักกว่าเดิม “คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ บริษัทเราทำอะไรผิดที่ตรงไหน คุณถึงทำแบบนี้กับเรา” ใบหน้าของฮั่วเทียนอวี่ยิ่งแดงก่ำเข้าไปอีก
เซียวจิ่งสือได้ยินเสียงของเขา จึงเดินออกไป คนที่ถือมือถืออยู่ด้านข้างต่างพากันรู้ตัวเก็บมือถือลง เซียวจิ่งสือล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง ตวัดสายตาไปยังคนรอบข้างแวบหนึ่ง
“คุณโวยวายอยู่นี่พอรึยัง? ผมบอกไปแล้วว่าไม่ได้ติดหนี้อะไรคุณ” มือสองข้างของเซียวจิ่งสือกำเป็นหมัด แทบยั้งใจไม่อยู่ซัดเจ้าสวะนี่เข้าให้
ถึงแม้เขาจะกลัวมากว่าเซียวจิ่งสือจะพูดความจริงออกมา แต่ตอนนี้อาการน๊อตหลุดแบบนี้ต่อให้พูดออกมาก็ไม่แน่ว่าทุกคนจะเชื่อเขา
“ผมฮั่วเทียนอวี่ไม่ขอให้คุณทดแทนคุณ แต่คุณทำแบบนี้กับบริษัทที่ผมทำงานอยู่ไม่ได้นะ ผมทำอะไรผิดไปงั้นเหรอ” อาจเป็นเพราะฮั่วเทียนอวี่เห็นว่าผู้คนที่ห้อมล้อมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จึงกล้าเผชิญหน้าต่อกรกับเซียวจิ่งสือ
“คุณไม่ได้ยั่วอะไรผม แต่คุณทำผิดต่อเธอ แล้วคุณยังเห็นว่าผมยังจะช่วยคุณอีกงั้นรึ” ดวงตาของเซียวจิ่งสือเป็นประกายโทสะ เหมือนกับอันจี๋อวี่ ฮั่วเทียนอวี่หลบสายตาวูบวาบ จากนั้นเขาก็เริ่มพูดอึกอัก ไม่รู้ว่าตัวเองจะควรจะพูดอธิบายอย่างไร
ระหว่างที่คนทั้งสองพูดกันนั้น ทำให้คนรอบข้างต่างพากันมึนตึ้บไปหมด มีแค่ฮั่วเทียนอวี่เท่านั้นที่รู้เรื่องทั้งหมด ศีรษะของเขาค่อยๆ ก้มต่ำลง เนื่องจากเรื่องที่เซียวจิ่งสือพูดล้วนแต่เป็นความจริง แต่ความตั้งใจเดิมของเขาก็แค่อยากจะให้หลินหว่านไปกับเขา เขาไม่ได้คิดอยากจะให้เซียวจิ่งสือกับหลินหว่านโมโหขนาดนี้
ในเมื่อตอนนี้ไม่อาจกลับไปแก้ไขความผิดได้อีก แม้แต่เรื่องตรงหน้าในตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขเลย ฮั่วเทียนอวี่คิดในใจว่า สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือเคลียร์เรื่องนี้ให้ได้
“คุณไม่ต้องฝันไปแล้ว รีบไปซะเถอะ” พูดพลางเซียวจิ่งสือก็สาวเท้าก้าวจากไป พวกพนักงานหญิงต้องยอมรับว่า เซียวจิ่งสือในตอนนี้ยังสามารถสงบสติอารมณ์ได้แบบนี้ ก็แน่มากแล้วจริงๆ
นอกจากนี้ในสายตาของพวกเธอแล้วมีแต่คำว่าเท่ห์สุดๆ ไปเลย พวกเธอมองตามเงาร่างที่เดินเข้าห้องทำงานไปอย่างไม่อาจละสายตา
พนักงานหญิงสองคนที่ติดตามดูเรื่องที่เกิดขึ้นเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด “คงจะไม่เป็นอย่างที่ฮั่วเทียนอวี่พูดหรอกนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงละก็ งั้นเขาก็น่าสงสารเกินไปแล้ว” พนักงานคนหนึ่งพูดกระซิบกับพนักงานที่เขาสนิทสนมด้วยที่ด้านข้าง
“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ เธอไม่เห็นเหรอว่าเมื่อกี้เขาดูกระเซอะกระเซิงขนาดไหน เห็นแบบนั้นก็รู้แล้วว่าเจรจาไม่สำเร็จนะสิ คุณว่าท่านประธานของพวกเราจะใจร้ายได้ขนาดไหนกัน?” คำพูดเหล่านี้จะพูดกันได้ก็ตอนที่อยู่กันแค่สองคน เห็นรอบข้างไม่มีคนแล้ว ที่จริงก็ไม่ได้มีแค่สองคนนี้เท่านั้นที่เริ่มพูดวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของบริษัท
เรื่องพวกนี้อันที่จริงเซียวจิ่งสือก็คาดการณ์ไว้แล้ว วันนั้นเขาดูออกว่าฮั่วเทียนอวี่อารมณ์ไม่ปกตินัก แต่ก็คิดไม่ถึงว่าในยามเข้าตาจนเขาจะใช้วิธีการแบบนี้ออกมา
อันที่จริงคำเล่าลือในบริษัทนั้นเขาก็ได้ฟังมาไม่น้อย แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้เขาก็ไม่เปลี่ยนแนวคิดของตัวเอง
ตอนนี้เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์ ฮั่วเทียนอวี่เห็นว่าเป้าหมายของตัวเองบรรลุแล้ว แม้ว่าจะไม่สำเร็จ แต่ดูท่าว่าตอนนี้เซียวจิ่งสือต้องเผชิญกับแรงกดดันจากกระแสวิพากษ์ของสังคมขนาดนี้ เขาก็รู้สึกดีใจมากแล้ว
“ยังดีนะ อย่างน้อยก็ยังได้ผลลัพท์ที่เราต้องการ” ฮั่วเทียนอวี่คอยตามดูคอมเมนต์ของคนจำนวนมากบนเน็ต โดยส่วนใหญ่แล้วโน้มเอียงมาทางเขา ด้วยเห็นว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของหลินหว่าน ส่วนตอนนี้น่ะเรอะ หันหัวหอกมุ่งมาทางเขาเอง
นอกจากนี้ยังมีคนเผยแพร่คลิปที่เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อไว้ออกมา เสริมเข้ากับเรื่องราวที่ตอนนี้กำลังก่อตัวเป็นกระแสวิพากษ์อยู่
เขาไม่เชื่อหรอกว่าเซียวจิ่งสือเห็นแล้วจะยังยึดมั่นในความคิดของตัวเองอยู่เหมือนเดิม…นั่นก็คือไม่ช่วยเขา
ตอนนี้บนเน็ตมีข่าวลือมากขึ้นว่าเซียวจิ่งสือเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ ถึงแม้ที่เขาพูดเป็นเพียงลมปากเท่านั้น แต่ตอนนี้มีการพิสูจน์ว่าเป็นจริงมากยิ่งขึ้นทุกทีว่าเซียวจิ่งสือเป็นคนแบบนี้
ฮั่วเทียนอวี่แค่ทำตัวให้ดูน่าสงสารต่อหน้าสายตาสาธารณชน ผู้คนต่างก็เข้าใจว่าหลินหว่านทำตัวไม่ดีต่อคนที่ช่วยชีวิตตัวเอง ในสายตาของผู้ชมดูด้านข้างพวกนี้ หลินหว่านยังน่าเกลียดยิ่งกว่าเซียวจิ่งสือซะอีก
[ทำไมถึงทำกับผู้มีพระคุณแบบนี้ได้นะ] เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชาวบ้านทั่วไปสนใจ จึงเริ่มกลายเป็นจุดสนใจของคนจำนวนมาก
[ใช่เลย แบบนี้ฉันรู้สึกว่าไร้น้ำใจกันเกินไปแล้ว เซียวจิ่งสือแค่มีเงินก็ทำแบบนี้ได้งั้นเหรอ? ]
[คนจรผ่านมา ฉันรู้สึกว่าทำเกินไป] ฮั่วเทียนอวี่ได้เห็นคอมเมนต์ที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องแทนเขาแบบนี้ทุกวัน
ตอนนี้ฮั่วเทียนอวี่ต้องตกงาน เพราะเซียวจิ่งสือไปทำให้บริษัทที่เขาอุตส่าห์หางานมาได้อย่างยากลำบากล้มไป ในสายตาผู้คนเห็นเพียงสิ่งที่เป็นเปลือกอยู่ภายนอก มองไม่เห็นความเป็นจริงภายใน
ก่อนหน้านี้มีแฉปัญหาเชิงจริยธรรมของอันซวี่กรุ๊ป ตอนนี้ยังเปิดโปงว่าเซียวจิ่งสือก็เป็นเช่นกัน แต่เรื่องนี้มีแค่ฮั่วเทียนอวี่ปั้นน้ำเป็นตัวซะเยอะ หลักฐานความเป็นจริงเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้
อี้อวิ๋นฉังเห็นว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะออกมาแสดงตัวตนของเธอ ขณะที่รู้สึกว่าข่าวนี้มาแบบกะทันหันเกินไป คิดไม่ถึงว่าฮั่วเทียนอวี่จะใช้วิธีการแบบนี้ได้ด้วย
ตอนที่ 286 หลินอีอวิ่นที่แสนดี
หลินหว่านนั่งอยู่บนโซฟา ใบหน้างดงามดูเหนื่อยล้าอยู่บ้าง เธอได้แต่รู้สึกเหยียดหยันอยู่ในใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้
แค่ลมปากคนเท่านั้นเอง เธอไม่ยอมถูกพวกเขาทำให้เสียศูนย์ไปแบบนี้หรอก
พักนี้มือถือของเธอแทบจะมีคนโทรเข้าจนสายไหม้ หลินหว่านนวดขมับอย่างปวดศีรษะอยู่บ้าง เธอหยิบมือถือบนโต๊ะที่สว่างวาบไม่หยุดขึ้นมา
เลื่อนมือไปเคาะเปิดเวยปั๋วอย่างคุ้นเคย ข้อความแถวแรกข่าวฮอตดึงดูดความสนใจของเธอ
พอเปิดออกดูก็ทำให้หลินหว่านอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ
โพสต์นี้มาจากหลินอีอวิ่น เธอเพิ่งจะได้ยอดกดไลค์นับหมื่นคลิ้ก ได้รับคำชื่นชมจากคนจำนวนมาก แฮชแท็กของโพสต์นั้นเกี่ยวกับว่าหลินหว่านเนรคุณอย่างไร และเธอหลินอีอวิ่นเป็นคนอบอุ่นมีน้ำใจกว้างขวางอย่างไรบ้าง
หลินหว่านทนอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วออกมาจากเวยปั๋ว พอดูถึงตอนท้ายสีหน้ากลายเป็นเยียบเย็น เธอโยนมือถือลงบนโต๊ะ หลับตาทำใจพักผ่อน
พอนึกถึงโพสต์ของหลินอีอวิ่นที่เพิ่งอ่านไปแล้ว ก็ยิ้มหยันออกมา
หึ พี่น้องกะผีแน่ะ!
เนื้อหาโดยรวมก็คือในเมื่อฮั่วเทียนอวี่เคยช่วยชีวิตหลินหว่าน และพวกเธอสองคนเป็นพี่น้องกัน ฮั่วเทียนอวี่ช่วยหลินหว่านก็คือช่วยเธอหลินอีอวิ่น เธอเต็มใจที่จะเสนองานดีๆ ให้กับเขา
ทำไมเธอไม่รู้มาก่อนเลยว่าแม่ของเธอไปคลอดพี่น้องอีกคนออกมาเมื่อไหร่กัน ผู้หญิงคนนี้ช่างไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้แสดงตัวบนโลกใบนี้ซะเลยนะ!
แกล้งทำตัวเป็นแม่พระ ก็แค่แม่บัวขาวก็เท่านั้น
เรื่องมาถึงบัดนี้แล้ว เธอเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก
หลินหว่านดูเหมือนจะคาดการณ์ได้ว่า ตอนนี้ไม่ว่าเธอจะขยับอะไรบนเวยปั๋วเป็นต้องดึงดูดพวกแอนตี้แฟนมาแน่ และตามมาด้วยฝูงชนผู้กินแตงที่กลัวว่าเรื่องจะไม่บานปลายอีก
ตัวการความผิดทั้งหมดนี้ล้วนมาจากคนเพียงคนเดียวนั่นคือ ฮั่วเทียนอวี่
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขา หลินอีอวิ่นนั่นก็คงจะไม่มีโอกาสออกมาเสนอหน้าในตอนนี้ ตีหน้าเป็นแม่บัวขาวอะไรนั่น
พอนึกถึงตรงนี้ ดวงตาของหลินหว่านก็ทอแววเหนื่อยล้าออกมา
“ติ่งกริ๊งกริ๊ง”
หลินหว่านหยิบมือถือขึ้นมาดูเนือยๆ พอเห็นว่าเป็นสายจากเซียวจิ่งสือ หลินหว่านก็ผ่อนคลายลงมาได้ทันควัน แต่กลับไม่ได้รับสายทันที
เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเขาอย่างไร ว่ากันถึงที่สุดแล้วเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของเธอ แต่ดึงเขาเข้ามาเกี่ยวด้วยโดยบังเอิญเท่านั้น
“หลินหว่าน รับสายเร็วเข้าสิ”
เซียวจิ่งสือจ้องหน้าจอมือถืออย่างกระวนกระวาย แต่ไม่ว่าเขาจะรอนานแค่ไหน หลินหว่านก็ยังไม่รับสายเสียที
เขาร้อนใจขึ้นมาบ้าง เธอคงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกนะ ขณะที่เซียวจิ่งสือคิดว่าจะออกไปหาหลินหว่านนั้นเอง ก็มีคนรับสาย
“มีอะไรหรือคะ”
หลินหว่านแกล้งทำเป็นไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นพักนี้ แกล้งถามเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เสียงที่แหบพร่าได้เผยความรู้สึกที่แท้จริงของเธอออกมา
พอได้ยินน้ำเสียงเหนื่อยล้าของหลินหว่าน เซียวจิ่งสือก็ปวดใจหนึบ ต้องโทษเขาที่ไม่ได้จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยแต่แรก
แต่ว่าฮั่วเทียนอวี่นั่นก็หน้าหนาไร้ยางอายเกินทน พวกเขาเคยให้เงินเขาไปแล้ว คิดไม่ถึงว่า ตอนนี้กลับยกเรื่องที่เคยช่วยชีวิตหลินหว่านมาทวงหนี้บุญคุณกับเขาอีก
“หลินหว่าน ตอนนี้คุณอยู่ไหน ผมจะไปหาคุณ คุณไม่ต้องออกมานะ”
เซียวจิ่งสือพูดจบก็วางสาย รีบขับรถตรงไปยังที่อยู่ของหลินหว่าน
เขากลัวมากว่าหลินหว่านจะคิดไม่ตก เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ ถึงแม้จะเป็นแค่การแสดงของพวกตัวตลก แต่ชื่อเสียงของพวกเขาก็เสื่อมเสียไม่น้อย
เซียวจิ่งสือเปิดมือถือคิดจะเปิดฟังเพลงผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อย แต่บนมือถือกลับเด้งข่าวหนึ่งขึ้นมา
ในฐานะที่เป็นบุคคลหนึ่งในเรื่อง เซียวจิ่งสือขมวดคิ้วแน่น สังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น พอเห็นชื่อของหลินหว่านเขาก็คลิ๊กเข้าไปดูโดยไม่ต้องคิดมาก
ยิ่งดูสีหน้าก็ยิ่งดำมืดขึ้นทุกที กวาดตาดูคอมเมนต์ที่ด้านล่าง
[หลินอีอวิ่นนี่ช่างใจดีซะจริง เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ดูซิคนเขาใจกว้างออก เทียบกันไม่ได้เลยนะ]
[เมื่อก่อนฉันยังชอบหลินหว่านอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นคนแบบนี้ น่าผิดหวังชะมัด]
……
เซียวจิ่งสือไม่มีอารมณ์จะดูต่อไปแล้ว ตอนนี้เท่าที่เขาเห็นจากคอมเมนต์บนเน็ตล้วนมีแต่หลินอีอวิ่นเป็นคนดียังไงบ้าง หลินหว่านกลายเป็นคนที่ถูกนำมาเป็นหุ่นเรียกกระแส ถูกสาดโคลนแต่ฝ่ายเดียว
แม้แต่แฟนคลับส่วนหนึ่งของหลินหว่าน ตอนนี้ก็ค่อยๆ กลายมาเป็นแอนตี้แฟนไปแล้ว
อันที่จริงแอนตี้แฟนไม่น่ากลัวนัก ก็แค่อยู่ว่างมากไปเลยหาเรื่องมาทำก็เท่านั้น แต่แฟนคลับพวกนี้เป็นกำลังสำคัญของหลินหว่าน พอพวกเขากลายเป็นแอนตี้แฟน จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวขนานแท้
ไม่รู้ว่าตอนนี้หลินหว่านเห็นข่าวพวกนี้แล้วหรือยัง ถ้าเธอรู้เรื่องพวกนี้เข้าคงต้องเสียใจแน่
ถึงยังไงแฟนคลับก็อยู่เคียงข้างเธอมาตลอดในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะผ่านขวากหนามความยากลำบากแค่ไหน ก็มีพวกเขาที่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ
แต่ตอนนี้ พวกเขากลับผละจากเธอไปแบบนี้
คิดถึงตรงนี้ เซียวจิ่งสือก็เร่งความเร็วรถ แทบจะบินไปบ้านหลินหว่าน
“ก๊อกๆ”
หลินหว่านกำลังนั่งเหม่อตาลอย พอได้ยินเสียงเคาะประตู ก็สะดุ้งสุดตัว ลุกพรวดขึ้นจากโซฟาที่เธอนั่งอยู่
“ใครคะ”
หลินหว่านถามอย่างกลัวๆ อยู่บ้าง เนื่องจากปกติพอเกิดเรื่องพวกนี้ เป็นต้องมีพวกแอนตี้แฟนมาก่อกวนแล้ว
ตอนนี้พอเธอออกจากประตูบ้านก็อาจถูกคนโยนไข่ไก่ใส่ พอนึกถึงตรงนี้แล้ว หน้าหลินหว่านก็ปรากฏรอยยิ้มฝืดเฝื่อนออกมา
คนเป็นดาราก็เป็นแบบนี้เอง ตอนที่ได้รับความนิยม พวกเขาก็ยกยอเอาใจคุณแทบจะลอยขึ้นฟ้าได้ พอคะแนนนิยมตก พวกแอนตี้แฟนก็สามารถขุดเอาเรื่องน่าอับอายทั้งมวลออกมาแฉได้หมดเหมือนกัน
“ผมเอง เซียวจิ่งสือ”
นอกประตูมีเสียงที่คุ้นเคยดังมา หลินหว่านฟังแล้วลดอาการตั้งการ์ดลง เดินไปทางประตู
“รอเดี๋ยวนะคะ มาแล้วค่ะ”
หลินหว่านพูดพลางจะไปเปิดประตู
ไม่รู้ทำไม พอฟังว่าเซียวจิ่งสือจะมาหาจิตใจที่ตึงเครียดของเธอก็ผ่อนคลายลง คงเป็นเพราะเขานั่นเอง ส่วนลึกในจิตใจเธอเชื่อมั่นในตัวเขากระมัง
“เซียวจิ่งสือ คุณมาแล้ว”
หลินหว่านเปิดประตูแล้ว เปิดทางให้เซียวจิ่งสือเข้ามาข้างใน พอมองออกไปนอกประตู ไม่มีคนน่าสงสัย หลินหว่านจึงค่อยวางใจลงได้
พอหันกลับมา เซียวจิ่งสือก็นั่งอยู่บนโซฟาแล้ว
พอหลินหว่านมองดูแล้วจึงพบว่า ห้องของเธอรกรุงรังไปหมด เธอไม่มีกะใจจะจัดเก็บแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าเซียวจิ่งสือจะมาเห็นเข้า
“หลินหว่าน ที่จริงผมช่วยคุณได้นะ”
เซียวจิ่งสือมองดูใบหน้าที่เห็นชัดว่าเหนื่อยล้าของหลินหว่าน เอ่ยปากออกมาเรียบๆ สายตาจริงจังจนหลินหว่านนิ่งงันไป
แต่ก็เพียงแวบเดียวเธอก็รู้สึกตัว ส่ายหน้าพูดอย่างเข้มแข็งว่า
“ฉันขอบคุณในความหวังดีของคุณค่ะ แต่ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ”
เธอจัดการเรื่องของตัวเองได้ เธอไม่อยากให้เซียวจิ่งสือถูกดึงเข้ามาเกี่ยวด้วย เธอจึงได้แต่รับความหวังดีของเขาไว้ด้วยใจ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
เซียวจิ่งสือเห็นชัดๆ ว่าหลินหว่านมีสีหน้าเหนื่อยล้า แต่กลับดูแน่วแน่ และ…เด็ดเดี่ยว เขาชะงัก เธอเป็นแบบนี้ตลอด แต่เขาก็หวังว่าเธอจะยอมให้เขาช่วยบ้างนี่นา!
ตอนที่ 287 พึ่งพิง
“หลินหว่าน อันที่จริงคุณ…” ให้ผมช่วยเยอะหน่อยก็ได้!
เซียวจิ่งสือเพิ่งเอ่ยปากก็ถูกหลินหว่านขัดขึ้น
“ฉันพูดไปแล้ว ขอบคุณในความหวังดีของคุณนะคะ แต่เรื่องนี้มีจุดเริ่มมาจากฉัน ดังนั้น…คุณก็อย่าเข้ามายุ่งด้วยเลยค่ะ”
เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่เข้มแข็งแบบนี้แล้ว หัวใจของเขาปวดหนึบขึ้นมา
ทำไม…เธอต้องทุ่มเทขนาดนี้ด้วย?
เซียวจิ่งสือไม่เข้าใจความมุ่งมั่นของหลินหว่าน และไม่เข้าใจด้วยว่าในใจเธอคิดอะไรอยู่
เขาได้แต่ถอนใจยาว เหม่อมองดูหลินหว่านนิ่งอยู่
หลินหว่านทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีอับจนของเซียวจิ่งสือ
เธอเดินเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว หยิบกระเป๋าถือออกมา
เซียวจิ่งสือมองเธออย่างเหลือเชื่อและไม่เข้าใจ
“ฉันจะออกไปทำธุระหน่อยค่ะ แล้วจะรีบกลับมานะคะ”
เซียวจิ่งสือมองดูท่าทีสงบของหลินหว่าน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเพลิงโทสะในอกอัดแน่นไม่มีทางออก
ตอนนี้ด้านนอกมีแต่คนด่าเธอเต็มไปหมด ออกไปข้างนอกเวลานี้มีเรื่องสำคัญนักหนาอะไรกัน?
พอนึกถึงตรงนี้ เซียวจิ่งสือก้าวพรวดๆ เข้ามาสองก้าว คว้าตัวหลินหว่านเอาไว้
“คุณจะไปทำอะไรนะ”
“ปล่อยฉันนะคะ ฉันมีธุระจริงๆ”
หลินหว่านดิ้นสองที แต่ไม่อาจสู้แรงเซียวจิ่งสือได้ ก็เลยเลิกดิ้น
เธอเห็นท่าทีตื่นเต้นจนตึงเครียดของเซียวจิ่งสือแล้ว หลุดเสียงหัวเราะออกมา
“คุณวางใจเถอะน่า ฉันรู้หรอก ปล่อยฉันเถอะค่ะ ฉันไม่ได้ยอมแพ้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก”
ถ้าหลินหว่านยอมแพ้ให้กับข่าวลือพวกนั้นจริง งั้นเธอก็เสียทีที่เข้ามาในวงการนี้แล้ว
เธอไม่อาจให้เซียวจิ่งสือถูกเธอดึงเข้ามาพัวพันด้วย ตอนนี้วิธีดีที่สุดคือไปพบฮั่วเทียนอวี่
ถึงแม้เธอจะดูแคลนความประพฤติที่ไร้ยางอายของเขา แต่เธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ฮั่วเทียนอวี่นั่นก็มีฝีมืออยู่บ้างเหมือนกัน
แค่ไปก่อกวนที่บริษัทของเซียวจิ่งสือรอบหนึ่ง จากนั้นหลินอีอวิ่นก็ฉวยโอกาสแทรกเข้ามา แผนต่อเนื่องกันเป็นชุดแบบนี้ สุดท้ายทำให้เธอต้องถูกด่าทอจากคนนับหมื่น
แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่อับจนปัญญา ฮั่วเทียนอวี่ช่วยเธอเป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นเธอจึงตกอยู่ในสภาพที่เสียเปรียบ
ขอเพียงตอบแทนบุญคุณเขา อย่างนั้นเรื่องทั้งหมดนี่ก็น่าจะจบได้เสียทีกระมัง!
ต้องบอกว่าความคิดของหลินหว่านยังไร้เดียงสาอยู่บ้าง
หรือจะบอกว่า เธอคิดง่ายเกินไป ง่ายจนประเมินความไร้ยางอายของฮั่วเทียนอวี่ต่ำไป
ร้านกาแฟ
หลินหว่านแต่งหน้ามาอย่างดี ปกปิดร่องรอยเหนื่อยล้าบนใบหน้าตัวเองไว้อย่างแนบเนียน เธอนิ่งมองมือถือ รอใครคนหนึ่งมาถึง
เนื่องจากระยะนี้เธอตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน หลินหว่านจึงห่อหุ้มร่างกายตัวเองอย่างมิดชิด
เธอสวมแว่นตาดำ ปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง หน้ากากอนามัยสีฟ้าชนิดใช้แล้วทิ้งทำให้คนอื่นจำไม่ได้ นอกจากนี้การแต่งตัวของหลินหว่านในวันนี้ถือว่าค่อนข้างเรียบง่ายไม่สะดุดตา ดังนั้นต่อให้เป็นเซียวจิ่งสือมายืนอยู่ต่อหน้าเธอ ก็เกรงว่าต้องใช้เวลาพอควรกว่าจะจำเธอได้
มันก็ช่วยไม่ได้ นับแต่เธอเข้ามาอยู่ในวงการนี้ ก็ทำใจไว้แล้วว่าจะไม่สามารถออกข้างนอกได้โดยไร้ห่วงกังวลแบบคนอื่นตลอดไป เพราะเธอเป็นตัวแทนของมวลชนนี่นา!
หลินหว่านสั่งกาแฟถ้วยหนึ่ง นั่งคนกาแฟอย่างเบื่อๆ อยู่ที่นั่น คอยมองดูหน้าประตูเป็นระยะ
ฮั่วเทียนอวี่นั่นเอาเรื่องน่าดู ตอนนี้เริ่มจะวางท่าตั้งแง่บ้างแล้ว ให้เธอรออยู่นี่ตั้งนาน แต่เธอก็มีเรื่องขอร้องเขาจริงๆ หลินหว่านจึงได้แต่รอฮั่วเทียนอวี่มาหา
ในที่สุด หลังจากกาแฟแก้วนั้นถูกหลินหว่านคนจนเย็นไปแล้ว คนที่อยู่ในสภาพพอดูได้ก็เดินเข้าประตูมา
หลังจากกวาดตามองไปรอบๆ อย่างลนลานอยู่บ้างแล้วก็ขมวดคิ้ว ทำไมหลินหว่านยังมาไม่ถึง หรือว่ายังจะให้เขารอด้วย?
ฮั่วเทียนอวี่รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นวูบ จนถึงตอนนี้แล้ว ยังกล้าวางท่ากับเขาอีกรึไง
เขาล้วงมือถือออกมา กำลังจะโทรถามหลินหว่าน ก็เห็นว่าผู้หญิงตรงหน้าเดินตรงมาหาเขา
หลินหว่านโบกมือถือในมือเป็นสัญญาณให้เขาว่าไม่ต้องโทรหาแล้ว ฮั่วเทียนอวี่มองดูอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ว่าเป็นหลินหว่าน อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“สมกับเป็นดาราใหญ่เลยนะ พอใส่หน้ากากอนามัย ทำเอาพวกเราจำคุณไม่ได้เลย”
คำพูดของฮั่วเทียนอวี่บอกท่าทีต่อว่าหลินหว่านอย่างชัดเจน กลับทั้งกระทบกระแทกเสียดสีไปในตัว หลินหว่านก็ไม่โมโหฉุนเฉียว แค่ขมวดคิ้ว ฮั่วเทียนอวี่ก็ได้แต่มองดูหน้าผากของหลินหว่าน เธอจึงจับสังเกตได้ถึงความรู้สึกหงุดหงิดในแววตาของเขา
“มีเรื่องอะไรก็รีบพูดมาเถอะ ผมยังต้องทำงานอีกนะ”
ฮั่วเทียนอวี่พูดอย่างรำคาญ
พอได้ยินคำพูดของเขา เสียงใสเย็นของหลินหว่านก็ดังมา
“คุณอยากให้ฉันทำยังไงจึงจะถือว่าตอบแทนบุญคุณนั่นของคุณ”
“อะไรนะ?”
ฮั่วเทียนอวี่อึ้งไปวูบ จากนั้นตามด้วยเสียงหัวเราะลั่น
อันที่จริงว่ากันตามเงินก้อนที่หลินหว่านเคยให้เขาก่อนหน้านี้ ระหว่างพวกเขาสองคนก็ไม่มีความสัมพันธ์บุญคุณความแค้นอะไรกันอีกแล้ว เพียงแต่สิ่งที่ฮั่วเทียนอวี่ต้องการไม่ใช่เงิน จึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นในตอนนี้
“ถ้าคุณรับปากผมตั้งแต่แรก เป็นผู้หญิงของผม อย่างนั้นบุญคุณนี้ก็ตอบแทนไปเรียบร้อยตั้งนานแล้ว”
ฮั่วเทียนอวี่จ้องหลินหว่านเขม็ง อยากจะเห็นความหวั่นไหวใจในแววตาของเธอแม้สักแวบหนึ่ง แต่น่าเสียดาย ตั้งแต่ต้นจนจบหลินหว่านก็ยังเป็นเช่นเดิมไม่มีทีท่าว่าเปลี่ยนใจ ต่อให้มีท่าทีอะไร เธอก็สวมหน้ากากอนามัยอยู่ ฮั่วเทียนอวี่ไม่สามารถมองเห็นได้อยู่แล้ว
พอได้ยินคำพูดไร้ยางอายของฮั่วเทียนอวี่ สายตาของหลินหว่านไม่มีวูบไหวอะไรเลย ความหน้าด้านของเขาเธอได้รับรู้มาก่อนแล้วไม่ใช่หรือไง?
หลินหว่านมองดูตัวตนที่อัปลักษณ์ของฮั่วเทียนอวี่ในตอนนี้แล้ว ยิ่งรู้สึกรังเกียจขยะแขยง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ฮั่วเทียนอวี่ค่อยๆ ออกห่างจากตัวตนเดิมของเขาเข้าไปทุกที จนกลายเป็นไม่เหมือนตัวเขาอีกแล้ว
กลายเป็นคนโลภโมโทสันที่เห็นแก่ตัว เธอเกลียดฮั่วเทียนอวี่ที่เป็นแบบนี้มาก หรือพูดตรงๆ ว่าเธอไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ ต่อเขามาก่อนเลย
“ฮั่วเทียนอวี่ นอกจากเรื่องนี้เรื่องอื่นอะไรก็ได้ ฉันจะพยายามทำให้คุณพอใจ”
หลินหว่านขมวดคิ้ว คิดอยากจะผ่านปัญหาข้อนี้ไป แต่ฮั่วเทียนอวี่กลับไม่คิดจะปล่อยเธอไปอย่างนี้
“เฮอะ เธอมันไม่รู้จักดีชั่วเอง หลินหว่าน ถ้าไม่ใช่เพราะเธอสูญเสียความทรงจำแล้วยังไม่ยอมลืมเซียวจิ่งสืออีก ผมก็คงไม่ต้องทำแบบนี้ ผมไม่เข้าใจเลยว่าเขามีอะไรดีกว่าผมกันแน่”
พอเห็นว่าฮั่วเทียนอวี่ยิ่งพูดก็ยิ่งอารมณ์ขึ้น หลินหว่านรีบก้มหน้าลง
เรื่องของความรู้สึกไม่เคยแบ่งผิดถูก ถ้าหากทำได้ เธอก็อยากจะลืมเซียวจิ่งสือ แต่เขาได้กลายเป็นความทรงจำที่ไม่อาจลบลืมได้ของเธอไปแล้ว พอเห็นท่าทีพลุ่งพล่านของฮั่วเทียนอวี่ หลินหว่านก็ถอนใจ
“ขอโทษนะคะ”
ดวงตาของฮั่วเทียนอวี่แดงก่ำด้วยสายเลือด “ขอโทษตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว”
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอ เขาจะกลายเป็นคนแบบในตอนนี้เหรอ? ฮั่วเทียนอวี่โยนความผิดทั้งหมดไปที่หลินหว่าน แต่กลับไม่เคยนึกเลยว่าที่แท้ตัวเองทำผิดอะไรไปบ้าง
หลินหว่านมองดูฮั่วเทียนอวี่ พูดย้ำอีกครั้งว่า “ขอโทษค่ะ”
จู่ๆ ฮั่วเทียนอวี่ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขายกมุมปากยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เมื่อกี้คุณพูดว่า นอกจากที่ผมขอนั่นแล้ว คุณจะรับปากตามคำขอทุกอย่างของผมใช่ไหม”
พอเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายของฮั่วเทียนอวี่ หลินหว่านก็หัวใจกระตุกวูบ รู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา แล้วก็เป็นดังคาด เมื่อได้ยินคำพูดของฮั่วเทียนอวี่ในวินาทีต่อมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น