ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 273-280

 ตอนที่ 273 กลิ่นแป้งชาดบนตัวผู้หญิง 


 


 


 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋วางมือไว้ที่ข้างเอวของนาง แล้วก้มตัวลงพูดเบาๆ ที่ข้างหูนางว่า “หลับแล้วหรือ” 


 


 


เฉินยางพูดเสียงอู้อี้อยู่เล็กน้อย ลมปากของเขาเป่าผ่านหูนางจนรู้สึกคัน นางยื่นมือไปเกา กลับถูกคว้าเอาไว้ได้ ถูกเขาออกแรงพลิกตัวมามองหน้าเขาตรงๆ “อย่าเพิ่งหลับ ลุกขึ้นมาก่อน ดูซิว่าข้าซื้ออะไรมาให้เจ้า” 


 


 


นางลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับมีลูกแก้วที่เปล่งประกายท่ามกลางความมืดฝังอยู่ในนั้น นางมองเขาเล็กน้อยแล้วหลับตาลงอีก ขมวดคิ้วบ่นว่า “ไม่ดู ข้าง่วงมาก ท่านอย่าวุ่นวายเลย ข้าอยากจะนอน” 


 


 


นางไม่ให้เขาวุ่นวาย เขาดันอยากจะวุ่นวายกับนาง เขาประคองไหล่นางให้นั่ง ไม่ยอมให้นางหลับ “ไม่ได้ ข้ารออยู่ตั้งนานเพื่อจะซื้อให้เจ้า เจ้าดูสักหน่อย ดูเสร็จแล้วค่อยหลับ” 


 


 


ตามใจเขาเถอะ อยากจะวุ่นวายอย่างไรก็วุ่นวายไป นางไม่ลืมตา ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการหลับอีกแล้ว กลับมาดึกเช่นนี้ พอกลับมาก็วุ่นวายอีก เป็นโรคประสาทชัดๆ 


 


 


“ไม่ตื่นใช่หรือไม่” เขาใช้วิธีร้ายๆ โดยเอามือไปเปิดหนังตาของนางขึ้นมา “ไม่ตื่นเจ้าก็อย่าได้คิดจะหลับดีๆ เลย” 


 


 


เฉินยางหลับอยู่ดีๆ ก็ถูกเขาวุ่นวายเช่นนี้ ฝันดีๆ หายไปหมดสิ้น จึงโกรธขึ้นมา ลืมตาด้วยความจนใจ พูดอย่างหงุดหงิดว่า “ตกลงท่านจะทำอะไร ข้าบอกว่าแล้วข้าไม่ดู! มีอะไรไม่อาจรอให้พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันหรือไร” 


 


 


เขาเปิดห่อขนมแล้วหยิบมาชิ้นหนึ่ง ฉวยโอกาสที่นางพูดไม่หยุดนั้นยัดเข้าในปากนาง ถามเหมือนจะขอรางวัลเช่นนั้นว่า “ชิมดู อร่อยหรือไม่” 


 


 


นางง่วงเสียกระไร จะมีอารมณ์กินขนมได้อย่างไร นางจุ๊ปาก จะว่าไปก็อร่อยจริงนั่นแล นางตื่นขึ้นมาทันที รีบกลืนลงไปชิ้นหนึ่ง ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมา “ซื้อมาจากที่ใดหรือ อร่อยจริงๆ!” 


 


 


“ซื้อจากข้างนอก” เขาพูดผ่านเพียงง่ายๆ แม้ว่าเขาไปที่ ‘ฉื่อเจียนฝูเซิง’ อะไรก็ไม่ได้ทำ เพียงแต่เรื่องเช่นนี้ก็ไม่อยากให้นางรู้ 


 


 


เฉินยางเหลือบมองเขาแล้วบ่นว่า “ท่านกลับมาดึกเช่นนี้ไปที่ใดมาหรือ วันนี้เว่ยหมิ่นมาหาท่าน รอท่านไม่ไหวจึงกลับไปเสียก่อน” 


 


 


“ข้ารู้ เมื่อครู่สาวใช้บอกข้าแล้ว” เขาถอดรองเท้าขึ้นไปบนเตียง แล้วนั่งขัดสมาธิจ้องมองนาง นางยังมีสีหน้าสะลืมสะลืออยู่ งามอย่างอ่อนโยน เขามองอย่างไรก็มองไม่พอ “ที่นั่นยังมีขนมอีกมาก วันหลังอยากกินก็บอกข้า” 


 


 


“อืม” นางตอบกลับ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องจะพูดกับเขา เพียงแต่เป็นเรื่องอะไรกลับนึกไม่ออกเสียที นางเอียงศีรษะนึกอยู่พักใหญ่ มีเรื่องหนึ่งอยู่จริง เพียงแต่เป็นเรื่องใด สมองของนางก็ไม่ค่อยดีแล้ว เพิ่งผ่านไปไม่นาน ไฉนถึงได้ลืมเสียแล้ว 


 


 


ช่างเถอะ บางทีพรุ่งนี้เช้าอาจจะนึกขึ้นได้เอง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วนอนลงไปใหม่ เฝิงเยี่ยไป๋ขยับเข้าไปใกล้แล้วกอดนางถามว่า “โกรธหรือ โกรธข้าที่กลับมาช้าใช่หรือไม่” 


 


 


นางตอบด้วยความไม่พอใจว่า “ไม่” พอหันหน้าไป จมูกแตะถูกเสื้อของเขาเข้า กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยเข้ามาในจมูก เป็นกลิ่นแป้งชาดที่บนตัวผู้หญิงถึงจะมี เข้มบ้างจางบ้าง นางขยับเข้าใกล้แล้วดมต่อ ไม่ผิดแน่ๆ นี่คือกลิ่นแป้งชาดที่อยู่บนตัวผู้หญิง หอมมาก นางย่นจมูกเงยหน้าถามเขา “ท่านไม่อาบน้ำหรือ” 


 


 


ตอนนี้เขากอดนางกำลังสบาย จะยอมจากไปได้อย่างไร เขากอดนางแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย “อีกครู่หนึ่งค่อยไป” 


 


 


เฉินยางผลักเขาออก บีบจมูกแล้วนั่งขึ้นมา “บนตัวท่านมีกลิ่นอะไร ไฉนถึงได้หอมเช่นนี้” 


 


 


“กลิ่นอะไรหรือ” เขาก้มศีรษะดมตัวเอง มีกลิ่นหอมเสียที่ไหน ไฉนเขาถึงไม่ได้กลิ่นอะไรเลย 


 


 


“เหมือนกลิ่นแป้งชาด เพียงแต่ไม่เหมือนกับที่ข้าทาให้ท่านตอนเช้า แป้งนั้นไม่ได้หอมเช่นนี้” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 274 ผู้ชายชอบไปสองหอนั้นที่สุด 


 


 


 


 


 


แย่แล้ว คนต่างบอกว่าจมูกผู้หญิงไว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะไวขนาดนี้ เขาอยู่ที่ ‘ฉื่อเจียนฝูเซิง’ ไม่นาน ถึงกับมีกลิ่นแป้งชาดติดตัวมา ขณะกำลังกังวลอยู่ว่าจะอธิบายอย่างไรดีนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเฉินยางหัวเราะ แล้วนางก็พูดต่อว่า “เป็นท่านที่แอบทาแป้งชาดใช่หรือไม่ รอยฝ่ามือคงจะหายแล้วกระมัง ตอนเช้ายังพูดอยู่ว่าลูกผู้ชายทาแป้งชาดอะไร ตอนที่ไม่มีคนท่านก็แอบใช้มิใช่หรือ” 


 


 


นางพูดราวกับกลบเกลื่อนตัวเอง เฝิงเยี่ยไป๋ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เวลานั้นก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่นเลย เป็นเพราะเชื่อใจเขามากหรือว่าไม่สนใจเขาเลย หากเป็นหญิงอื่น ไม่ใช่ว่าควรจะชี้จมูกถามเขาว่าไปที่ใดหรือ จากนั้นก็โมโหวุ่นวายเสียยกใหญ่ ขว้างปาสิ่งของหรือไปตบตีกับหญิงที่ล่อลวงเขา อย่างไรเสียก็ยังดี แต่ไม่ควรจะเป็นเช่นสีหน้าของนางในตอนนี้ 


 


 


เขาบอกไม่ใช่ สีหน้าเคร่งเครียด เขาจ้องมองนางตรงๆ รอให้นางหัวเราะเสร็จแล้ว ก็กระตุกมุมปากถามนางว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ชายชอบไปสองหอใดที่สุด” 


 


 


เฉินยางตอบ “ไม่รู้” 


 


 


เขาพูดว่า “หอที่ผู้ชายชอบไปที่สุดนั้น หนึ่งคือหอสุรา สองคือหอนางโลม รู้หรือไม่ว่าหอนางโลมคือสถานที่ใด ก็คือซ่อง ซ่องก็คือสถานที่ที่แม่นางขายตัว แม่นางเช่นใดล้วนมีทั้งสิ้น แต่ละคนล้วนเป็นหญิงงาม และเป็นบ้านอันอบอุ่นของผู้ชายทุกคน” 


 


 


เฉินยางไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงพูดเรื่องเหล่านี้กับนาง นางทำหน้าตั้งใจเหมือนฟังนิทาน พอเขาพูดจบ นางยังเร่งเขาอีก “จากนั้นเล่า บ้านอันอบอุ่นหมายถึงอะไร” 


 


 


ทั้งๆ ที่เป็นตัวเขาเองที่ทำเรื่องน่าละอายใจ ตอนนี้กลับถูกนางทำเอาจะโกรธก็โกรธไม่ได้ จึงได้แต่ถอนหายใจ แล้วอธิบายให้นางรู้ 


 


 


“ไม่มีจากนั้นแล้ว หากผู้ชายไปหอนางโลม ก็มีเพียงเหตุผลเดียว นั่นก็คือไปหาแม่นางเพื่อหาความสุข หาความสุขหมายถึงอะไรก็คงไม่ต้องให้ข้าอธิบายให้เจ้าแล้วกระมัง ก็คือประสานเป็นหนึ่ง อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ผู้ชายที่เที่ยวซ่องก็ไม่ใช่ผู้ชายดีอะไร คราวนี้รู้หรือยัง” 


 


 


เฉินยางหน้าแดง หากคราวนี้นางยังไม่เข้าใจอีกก็โง่แล้วจริงๆ นางอ้ำอึ้งอยู่เล็กน้อย ถึงนึกขึ้นได้ว่าจะถามเขา “เช่นนั้นแล้วกลิ่นแป้งชาดบนตัวท่าน ก็คือไปเที่ยวซ่องมาหรือ” 


 


 


เรื่องเช่นนี้ยังต้องให้เขาอธิบายให้นางถึงจะรู้เรื่อง เฝิงเยี่ยไป๋ถอนหายใจยาวๆ รู้สึกลึกๆ ว่าเส้นทางความรักหลังจากนี้คงยากลำบากนัก เพียงแต่ยังดีที่นางรู้จักถามแล้ว ขณะกำลังจะอธิบายให้นางฟัง ยังไม่ทันได้อ้าปาก ก็ถูกนางชิงพูดก่อนว่า “เช่นนั้นท่านก็ไม่ใช่ผู้ชายดีอะไร” 


 


 


เขารีบอธิบาย “ข้าไม่ได้ไปหาแม่นาง ข้ามีเจ้าแล้ว จะไปหาแม่นางคนอื่นอีกได้อย่างไร!” 


 


 


ความจริงแล้วนางควรจะโมโห สามีของตัวเองไปเที่ยวซ่อง ผู้หญิงคนใดไม่โมโหบ้าง เพียงแต่เฉินยางรู้สึกว่า หากเฝิงเยี่ยไป๋มีใจจะไปหาแม่นางจริง เช่นนั้นแล้วจวนท่านอ๋องทั้งหลังก็คงไม่พอใส่ อีกอย่าง หากเขาไปเที่ยวซ่องจริงๆ ทำไมยังต้องปลุกให้นางตื่นแล้วอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้นางรู้ นี่ไม่ใช่ว่าสารภาพเองทำให้ตัวเองลำบากหรอกหรือ! 


 


 


ตอนนี้ฟังเขาอธิบาย นางรู้สึกว่าเพียงแค่อภัยให้เขาอย่างใจกว้าง ก็ต่างคนต่างมีความสุขแล้ว ไม่ต้องโกรธจนดึกๆ ดื่นๆ จมูกไม่ใช่จมูกตาไม่ใช่ตาจะดีเสียได้อย่างไร จึงตบไหล่เขาพูดจาดีๆ ว่า “ไม่เป็นไร ข้าเชื่อใจท่าน” 


 


 


ความใจกว้างเช่นนี้ หากเป็นผู้ชายคนอื่นคงไม่ต้องอธิบาย ควรจะหัวเราะดีใจแล้ว เพียงแต่เขาไม่เหมือนกัน พอเขาได้ยินนางพูดว่าเชื่อใจกลับหัวเราะไม่ออกเอาเสียอย่างนั้น 


ตอนที่ 275 คำว่ารักนั้นทรมานคน 


 


 


 


 


 


คนมักบอกว่าหากรักใครคนหนึ่งก็จะกลัวสูญเสียคนนั้นไป ตอนนี้เฝิงเยี่ยไป๋ก็มีความรู้สึกเช่นนั้น เขารักเว่ยเฉินยางมากกว่าเว่ยเฉินยางรักเขา ระหว่างทั้งสองคน หากเกิดความผันเปลี่ยนใดขึ้นมา นางสามารถออกจากความสัมพันธ์นี้ได้ไปอย่างสง่า แต่เขาทำไม่ได้ เขาปล่อยมือไม่ลง ความรักนั้นทรมานยิ่งนัก นี่ยังไม่ได้เกิดสิ่งใดขึ้นเลยเขาก็เป็นกังวลมากมายเสียแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้ 


 


 


เฉินยางหาวสองสามครั้งต่อเนื่อง เห็นเขาไม่ขยับจึงนอนลงไปก่อน เขาโตขนาดนี้แล้ว น่าจะดูแลตัวเองได้กระมัง ต่อให้ทำไม่ได้ก็ยังมีสาวใช้และขันทีที่อยู่นอกประตูอีก ไม่จำเป็นต้องให้นางทำ นางหลับเองเสียดีกว่า 


 


 


นางเป็นเช่นนี้เหมือนไม่สนใจเขาเช่นนั้น ล้มตัวแล้วก็หลับ เขามองแล้วรู้สึกท้อใจ ดูนั่น ความจริงใจของตัวเองล้วนเอาไปเลี้ยงสุนัขเสียแล้ว นางไม่สนใจเลย เพลิงโทสะในใจลุกโหมทำเอาเขานั่งไม่ติด เขาจะให้นางเป็นผู้หญิงของเขา และเขาก็จะเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวของนาง 


 


 


การจะตัดสินใจนั้นไม่ใช่เรื่องยาก นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจตลอด เมื่อก่อนมีโอกาสมากมายที่จะทำเรื่องนี้ เพียงแต่พอนางไม่ยอมเขาก็ใจอ่อนปล่อยนางไป แต่ครั้งนี้ไม่ได้ ครั้งนี้เขาต้องทำให้ได้ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงวางใจไม่ได้เสียที 


 


 


“เว่ยเฉินยาง…ตื่นๆ …” เขาถอดชุดนางไปพลางเรียกนางไปพลาง จากนั้นถอดเสื้อตัวนอกของตนออกแล้วก้มตัวลงจูบแก้มนางด้วยความตั้งใจและอ่อนโยนเป็นพิเศษ 


 


 


เฉินยางไม่ยอมตื่น นางได้ยินเสียงถอดเสื้อผ้าของเขา จึงหันหลังให้เขา แล้วหลับตาลงอย่างไม่ไยดี หัวใจกลับเต้นแรงไม่หยุด นางทำอะไรไม่ได้ จะให้ทำเรื่องเช่นนี้กับเขา นางยังคงกลัวอยู่ ในเมื่อยอมรับไม่ได้ก็ได้แต่หนี แกล้งหลับดีหว่า นางหลับไปแล้วเขาก็ทำอะไรนางไม่ได้ 


 


 


เพียงแต่เฝิงเยี่ยไป๋ราวกับตัดสินใจเด็ดขาด เมื่อครู่ยังคุยกับนางอยู่ ตอนนี้กลับหลับไปเสียแล้วหรือ นางแกล้งหลับไม่ยอมตื่น เช่นนั้นเขาก็จะทำจนกว่านางจะตื่น เขาจับไหล่นางให้นางนอนหงาย แล้วค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้นางช้าๆ จูบหน้าผากนางก่อนจะไล่ลงไปยังจมูกไปถึงริมฝีปาก ต่อด้วยคอของนาง จุดไฟไปตามทาง ราวกับจุดไฟเผาป่า พอติดขึ้นมาก็กลายเป็นไฟกองใหญ่ รอให้ไฟลามมากขึ้น นางรู้สึกตัวขึ้นมาคิดจะห้ามก็กลายเป็นทะเลเพลิงเสียแล้ว อาศัยเพียงแรงของนางคนเดียวก็ไม่อาจดับได้ 


 


 


สุดท้ายนางทนไม่ไหวลืมตาขึ้นมา ยกมือผลักไหล่เขา ถีบผ้าห่มแล้วถอยหลังไป “ดึกเช่นนี้แล้ว ไฉนท่านถึงยังไม่นอนอีก” 


 


 


เขาอมยิ้ม “ข้าก็นอนอยู่มิใช่หรือไร ไม่ต้องรีบ นี่เพิ่งจะไปถึงไหนเอง สามีภรรยาไม่ใช่พูดเพียงปากเท่านั้น ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ต้องประสานเป็นหนึ่งถึงจะเป็นสามีภรรยาที่แท้จริง” 


 


 


คราวนี้เฉินยางถึงได้ร้อนรนขึ้นมา เมื่อก่อนยามสัมผัสใกล้ชิด ในแววตาของเขาไม่ได้มีความจริงจังเช่นนี้ แถมยังมีเปลวไฟลุกโหม นอกจากเผาตัวเขาเองแล้ว ยังเผานางอีกด้วย 


 


 


นางตกใจจนคิดไม่ออก แม้แต่นางเองก็บอกไม่ถูกว่าไฉนถึงได้กลัวเช่นนี้ มีเพียงหลบอย่างเดียว หลบไม่ได้ก็เอามือยัน อย่างไรเสียก็จะให้เขาเข้าใกล้ไม่ได้ 


 


 


เพียงแต่นางยิ่งหลบ ไฟที่อยู่ในใจของเฝิงเยี่ยไป๋ก็ยิ่งลุกโหม นางไม่ต้องการเขา ทำไมถึงไม่ต้องการ คือรังเกียจเขา หรือว่าไม่ได้รักเขาเลย หากเปลี่ยนเขาเป็นอิ๋งโจวเล่า นางก็คงจะขยับเข้ามาเองด้วยความดีใจใช่หรือไม่ 


 


 


เวลาเช่นนี้ไม่พูดอะไรช่างทรมานยิ่งนัก นางไม่อธิบาย ทำเพียงหลบอย่างเดียว เขาเข้าใจผิดก็ไม่กล้าพูด ทั้งสองฝ่ายต่างดื้อดึงต่อกัน ไม่ว่าฝั่งใดก็ไม่ยอมปล่อย เขาทำใจแข็ง ตัดสินใจไม่เสียเวลากับนาง 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 276 เรื่องเช่นนี้เต็มใจทั้งสองฝ่ายย่อมดีกว่า 


 


 


 


 


 


จู่ๆ เฝิงเยี่ยไป๋ก็ปล่อยมือ เฉินยางยังคิดว่าเขาจะปล่อยนางไปเสียแล้วอีก นางใช้ทั้งมือทั้งเท้าคิดจะวิ่งไปข้างนอก เพียงแต่เท้ายังไม่ถึงพื้น เขาก็ยื่นมือไปคว้า แล้วเหวี่ยงนางลงบนเตียง 


 


 


แผลที่หลังของนางยังไม่หายดี นางจึงร้องด้วยความเจ็บปวด พอลืมตามอง ก็เห็นในมือเขาถือสายคาดเอวของชุดทางการ นางคิดว่าเขาจะตีนาง จึงเอามือไปบัง กลับนึกไม่ถึงว่ากลายเป็นสมใจเขา ทำให้เขาไม่ต้องเสียแรงก็จับสองมือของนางไว้ได้ จากนั้น นางก็ได้แต่เห็นเขาใช้สายคาดเอวมัดสองมือของนางไว้กับราวแกะสลักบนหัวเตียง 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋กระตุกปากราวกับจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม จุ๊ปากพูดว่า “เสน่ห์งามมักไม่เสแสร้ง ผิวอ่อนทรวดทรงดั่งที่หวัง เจ้ากลับงามยิ่งกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก” 


 


 


เฉินยางเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้เสียที่ไหน นางตกใจจนหน้าซีด หนำซ้ำมือยังถูกมัดอย่างแน่นหนาราวกับปลาที่อยู่บนเขียง ไม่ว่าจะดิ้นอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ 


 


 


“ตอนแรกข้าคิดว่า เรื่องเช่นนี้เต็มใจกันทั้งสองฝ่ายย่อมดีกว่า เช่นนั้นไม่เพียงข้าที่มีความสุข เจ้าก็จะได้ทรมานน้อยลง” พูดจบสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เขาบีบแก้มนาง พูดเสียงน่ากลัวว่า “ข้าก็ไม่อยากให้เป็นเช่นตอนนี้ เพียงแต่เว่ยเฉินยาง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเจ้าหาเรื่องเอง เป็นเจ้าที่บีบบังคับข้าให้ต้องทำเช่นนี้กับเจ้า พวกเราเป็นสามีภรรยากัน เจ้ากลับผลักไสข้าทุกครั้ง เจ้าคิดว่าเจ้าจะหลบได้ตลอดชาติหรือ” 


 


 


ครั้นเห็นนางเกร็งคอคิดจะถอยไปข้างหลัง เฝิงเยี่ยไป๋ตาแดงก่ำ ดึงนางกลับมา เขาออกแรงมาก แขนของนางจึงถูกเขากระชาก เจ็บจนร้องออกมา ทั้งยังกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ร่วงลงบนผ้าห่ม น้ำตาซึมหายลงไปเหลือเพียงคราบน้ำที่ไม่จางหาย 


 


 


“ข้าไม่ได้ชอบท่านแม้แต่น้อยเลย เฝิงเยี่ยไป๋ คนชั่ว หากท่านไม่ปล่อยข้า ข้าจะเกลียดท่านไปตลอดชีวิต!” 


 


 


ถึงเวลานี้แล้วนางยังจะพูดจาไม่น่าฟังเพื่อยั่วโมโหเขาอีก ในเมื่อนางไม่เจียมตัว ก็อย่าโทษว่าเขาใจดำเลย 


 


 


“ได้ หากเจ้าจะเกลียดข้าไปตลอดชีวิตข้าก็ยินดี เพียงแต่วันนี้ พวกเราทำเรื่องนี้ให้เสร็จเสียก่อน ข้าอดทนมานานเช่นนี้… เว่ยเฉินยาง วันนี้ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสอะไรที่เรียกว่ารีบตายรีบเกิดใหม่” 


 


 


ที่จะพูดก็พูดหมดแล้ว ต่อไปก็ถึงเวลาเอาจริงแล้ว เขาก้มตัวลงกอดไหล่ที่เรียบเนียนของนางแล้วจูบลงไป เขาดันตัวครึ่งหนึ่ง สายตามองลงไปข้างล่าง เฉินยางในตอนนี้ไม่ต่างอันใดจากอาหารที่ใส่อยู่ในจานทองคำ ช่างชวนให้น้ำลายสอยิ่งนัก ทำเอาเขาอดไม่ไหวที่จะลิ้มลอง เพียงแต่การกระทำของเขากลับแลกมาด้วยคำด่าของเฉินยาง “เฝิงเยี่ยไป๋ ท่านไปตายเสีย! ออกไป! ออกไป!” 


 


 


ปากนี้ช่างพูดแต่สิ่งที่เขาไม่ชอบฟัง แต่ละคำที่ออกจากปากนางนั้นราวกับมีดแทงใจเขาเล่มแล้วเล่มเล่า เขาไม่ชอบฟัง จึงยื่นนิ้วไปแตะริมฝีปากของนางแล้วพูดกับนางว่า “เวลานี้แล้ว พูดสิ่งเหล่านี้ก็ไร้ประโยชน์ เจ้าเชื่อฟังข้าเสียดีๆ เจ้าก็จะได้สบายหน่อย เด็กดี นี่เป็นเรื่องดี เจ้าค่อยๆ ลิ้มรสเสีย ถึงจะได้รสอันหอมหวานของมัน” 


 


 


เฉินยางตกตะลึงพรึงเพริด ตอนนี้พูดอะไรก็ไม่อาจสั่นคลอนเขาได้เสียแล้ว ดูท่าทางเขาที่หมายจะเอาให้ได้เช่นนั้น นางก็ยังดึงดัน อยากจะขอร้อง เพียงแต่กลับอ้าปากพูดไม่ออก เมื่อครู่นางด่าเสียรุนแรง ตอนนี้ขอร้องเขาก็ไม่แน่ว่าเขาจะฟัง รู้สึกได้เพียงลมหายใจอันร้อนระอุของเขาพัดผ่านหน้าตัวเองไป ลืมตาหลับตาก็มีเพียงความสิ้นหวัง 


ตอนที่ 277 เหลวไหลที่สุด 


 


 


 


 


 


บรรยากาศกำลังดี นอกห้องมีเพียงเทียนเล่มเดียว แสงไฟรำไรส่องสว่าง ทุกสิ่งเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงร้องอู้อี้ในมุ้ง สุดท้ายก็มีประโยคหนึ่งระเบิดออกมา “เฝิงเยี่ยไป๋ เจ้าคนชั่ว!” 


 


 


“ข้าเป็นคนชั่ว เช่นนั้นเจ้าเป็นอะไร” เฝิงเยี่ยไป๋ยื่นแขนกำยำออกจากมุ้งแล้วแขวนม่านมุ้งทั้งสองขึ้นเขี่ยไส้เทียนที่ใกล้จะดับลง เผยใบหน้าแดงปลั่งเปี่ยมสุข แสงเทียนส่องให้เห็นความอิ่มเอมของเขาหลังจากที่กินจนอิ่ม 


 


 


เฉินยางเคยทรมานเช่นนี้เสียที่ใด นางขดตัวอยู่ในผ้าห่ม หัวก็ไม่โผล่ออกมา นางหมดแรงที่จะเถียงกับเขาจริงๆ ที่จี้หรู่ฉางพูดไว้ไม่ผิดเลยจริงๆ เรื่องนี้จะทำให้นางตายเสียให้ได้ นางไม่กล้าแม้แต่จะลืมตา ที่ผ่านมาเมื่อครู่เป็นอย่างไรนางก็ไม่รู้ เฝิงเยี่ยไป๋หมอบอยู่ข้างตัวนางบอกให้นางผ่อนคลาย บอกว่าเจ็บยาวไม่สู้เจ็บสั้น ยังบอกอีกว่าครั้งแรกไม่ชินครั้งสองก็จะชินเอง หลังจากนี้นางก็จะรู้ถึงความสุขในเรื่องนี้ 


 


 


ความสุข? เขาทำไปรอบหนึ่งลุกขึ้นมาแล้วสดชื่นไปทั้งตัว หลังจากความวุ่นวายนี้ผ่านไปก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เขาดีขึ้นแล้ว แต่นางเล่า เสมือนตายไปแล้วเสียรอบหนึ่งอย่างไรนั้น อย่าว่าแต่ไม่มีแรงจะเถียงเลย แม้แต่หอบหายใจก็ยังเจ็บ ถูกรังแกเช่นนี้นางไม่มีที่ระบาย ลูกผู้หญิงคิดไม่ออก นอกจากซ่อนอยู่ในผ้าห่มปิดหน้าร้องไห้แล้วยังจะทำอะไรได้อีก ตีเขาหรือ หากตอนนี้นางยังสามารถลุกขึ้นมานั่งได้ คงจะข่วนหน้าเขาให้เละไปแล้วแน่ๆ 


 


 


“ออกมาสูดอากาศหน่อย ประเดี๋ยวจะหายใจไม่ออก” นางห่อตัวเองเหมือนดักแด้ เฝิงเยี่ยไป๋ยื่นมือไปดึงผ้าห่มที่อยู่บนตัวนาง ให้นางโผล่ศีรษะออก ดูใบหน้าแดงเรื่อนั่นสิ ชวนให้ยิ่งรักถนอมมากขึ้นจริงๆ “ยังหงุดหงิดอีกหรือ เจ็บหรือ โทษข้า โทษข้าที่ควบคุมไม่ดี ไม่เช่นนั้น… ข้าไปเรียกหมอหลวงมาดูให้เจ้าดีหรือไม่” 


 


 


เฉินยางไม่มีที่ให้หลบ นางเบือนหน้าหนี หลับตาไม่มองเขา ทั้งอายทั้งโกรธ กัดจนฟันกรามปวดขึ้นมา วันนี้เขาเหลวไหลเป็นที่สุด ที่แท้ผู้ชายก็หน้าไม่อายเช่นนี้ นางกำหมัดแน่คิดด้วยความเจ็บแค้น นี่เป็นครั้งแรกและก็เป็นครั้งสุดท้าย นางจะไม่ยอมทรมานเช่นนี้อีก 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋เปลือยกายครึ่งท่อนบน ครึ่งท่อนล่างคลุมทับด้วยมุมหนึ่งของผ้าห่ม ช่างเป็นร่างกายที่ดีเสียนี่กระไร ไม่มีก้อนเนื้อส่วนเกินเลย แข็งแรงกำยำ เกรงว่าผู้ชายเห็นแล้วยังอิจฉา เพียงแต่ตรงหน้านี้มีคนที่ไม่อยากเจอ ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกดี แถมยังรังเกียจอีก 


 


 


เขายื่นมือไปประคองหน้านางบังคับให้หันมาสบตากับเขา “แค้นข้าขนาดนี้เลยหรือ ไม่แม้แต่คิดจะพูดกับข้าหน่อยเลยหรือ” 


 


 


นางเพียงทำเสียงหึเบาๆ ในเมื่อไม่อาจเบือนหน้าหนีได้ ดวงตาก็เสมองไปทางอื่น ด้วยไม่อยากเห็นเขา 


 


 


ทั้งสองคนเล่นแง่ใส่กันเงียบๆ เช่นนี้อยู่นาน สุดท้ายก็ยังคงเป็นเฝิงเยี่ยไป๋ที่ปล่อยมือก่อน แล้วหลุดหัวเราะออกมา “ได้ จะหงุดหงิดใส่ใช่หรือไม่ ข้าจะให้เจ้าหงุดหงิดให้พอ!” 


 


 


น้ำเสียงนี้ฟังแล้วเหมือนจนใจ เฉินยางหึเบาๆ คิดว่าเขาจะรู้ตัวรีบไสหัวไป อยู่ที่นี่นางก็ไม่อยากเจอเขา ไฉนต้องหาเรื่องใส่ตัว เพราะการกระทำของเขา ตอนนี้นางจะพลิกตัวก็ยาก ทั้งกายปวดดั่งถูกถ่วงด้วยตะกั่วเหมือนไม่ใช่ร่างกายของนางเลยอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


“เว่ยเฉินยาง เจ้าดีทุกอย่าง มีเพียงแต่นิสัยดื้อรั้นเช่นนี้ที่ต้องเปลี่ยน” เขาพลิกตัวกดร่างนางไว้ หัวเราะเสียงน่ากลัว “ท่านพ่อของเจ้าสอนสิ่งต่างๆ มากมายกับเจ้า แต่ไม่ได้สอนเจ้าว่าเมื่อใดต้องยอมผู้ชายหรือไร” 


 


 


ทันใดนั้นนางพลันระแวงขึ้นมาทันที จ้องมองเขาด้วยความหวาดกลัว “ท่านยังคิดจะเอาอย่างไรอีก” 


 


 


จู่ๆ ใบหน้าของเฝิงเยี่ยไป๋ก็ขยายใหญ่ขึ้นตรงหน้านาง สุ้มเสียงแผ่วเบาราวกับไร้น้ำหนัก “เวลายังมีอีกมาก ข้าจะสอนเจ้า อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 278 ไม่เคยกินเนื้อหมูแล้วยังไม่เคยเห็นหมู 


 


 


  


 


 


วันรุ่งขึ้นตื่นมา ก็เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส เฝิงเยี่ยไป๋เพิ่งจะหลับตาลง ยังไม่ถึงเวลาหนึ่งก้านธูป ผู้ดูแลที่อยู่ข้างนอกก็มาปลุกเขาแล้ว ผู้ดูแลกลัวจะรบกวนเขา จึงไม่กล้าเสียงดัง กดเสียงต่ำพูดว่า “ท่านอ๋อง ถึงเวลาแล้วขอรับ” 


 


 


เขาหันหน้าไปมองเฉินยางที่หลับลึกไปแล้ว ประโยคนั้นคืออะไรนะ ‘คืนแห่งความสุขช่างสั้นนัก จากนี้ไม่เข้าราชกิจ[1]’ เมื่อก่อนก็ไม่ได้มีความรู้สึกเช่นนี้ตอนนี้ถึงกับรู้สึกได้เป็นอย่างดี ช่างอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก 


 


 


เมื่อคนข้างนอกไม่ได้ยินเสียงตอบ จึงกดเสียงต่ำแล้วเรียกอีกครั้ง “ท่านอ๋อง ถึงเวลาแล้ว” 


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ดึงแขนออกจากใต้ศีรษะของนาง แล้วจูบที่หน้าผากของนาง ตอนลุกขึ้นนั่งนั้นพอเห็นรอยช้ำเขียวแดงบนตัวนางก็นึกเสียใจขึ้นมา เมื่อคืนเขานี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ นางพูดเพียงอย่างเดียวว่าเกลียดเขา นิสัยที่ดื้อดึงของนางนี้ หากนางคิดไม่ได้ไปตลอด ไม่ใช่ว่าต้องเกลียดเขาไปตลอดชีวิตเลยหรือ 


 


 


เขาสวมชุดชั้นในเสร็จก็ปล่อยม่านลง แล้วเรียกคนเข้ามาปรนนิบัติ 


 


 


ผู้ดูแลมองไปที่เตียง ก็พอจะเดาเรื่องเมื่อคืนได้แล้ว 


 


 


การปรนนิบัติสวมชุดนั้นผู้ดูแลไม่อาจทำได้ จึงยืนอยู่ข้างๆ รอคำสั่ง 


 


 


“ท่านอ๋อง บ่าวจัดคอเสื้อให้ท่านเจ้าค่ะ” สาวใช้เล็กไม่กล้ามองที่อื่น มือไปถึงที่ใด สายตาก็มองไปที่นั่น เกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาด พอมาถึงที่คอเสื้อ ก็ต้องขอให้เขาเงยศีรษะ พอมือไปถึงที่คอเสื้อ ที่ว่าไม่มองที่อื่น แต่สายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองขึ้นไปข้างบน ไม่มองยังไม่เท่าไหร่ พอได้มองแล้ว สวรรค์! บนคอมีรอยฟันกัดสองแถวลึกเป็นจ้ำสีเขียวเข้ม เห็นได้ชัดว่าเลือดแทบจะไหลออกมาแล้ว 


 


 


สาวใช้ตกใจ รีบพูดว่า “ท่านอ๋อง ท่านบาดเจ็บแล้ว” 


 


 


เมื่อคืนเฉินยางทั้งอายทั้งแค้น ขณะที่ทนไม่ไหวไม่มีที่ระบายนั้น เขาก็ขยับหน้าเข้ามาใกล้ๆ ให้นางได้โอกาส เฉินยางจึงกัดเขาไปคำหนึ่ง ตอนนั้นก็ไม่รู้สึกเจ็บ หากไม่มีใครพูดเขาก็ไม่รู้สึกตัว พอตอนนี้มีคนพูดขึ้นมา เขาก็เอามือไปคลำรอยฟันกัดที่ยังอยู่ ดูเหมือนว่าที่กัดไปนั้นนางออกสุดแรงเกิดเลยทีเดียว 


 


 


สาวใช้คนนี้อายุเพียงสิบห้าสิบหก ยังไม่เคยผ่านเรื่องชายหญิง จะรู้เรื่องราวเบื้องหลังของรอยกัดนี้ได้อย่างไร นางยังคงตกใจอยู่ คิดว่าตัวเองเจอเรื่องใหญ่หลวง จึงหันไปพูดกับผู้ดูแลว่า “ท่านอ๋องบาดเจ็บแล้ว” 


 


 


ผู้ดูแลถลึงตาใส่นาง สั่งให้นางถอยออกไป ช่างไร้แววตายิ่งนัก ไม่เคยกินเนื้อหมูยังจะไม่เคยเห็นหมูวิ่ง[2]อีกหรือ เรื่องระหว่างสามีภรรยา นางก็พูดออกมาโง่ๆ เช่นนี้ คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง! 


 


 


เรื่องนี้ต่างคนต่างรู้อยู่ในใจ ต่อให้รู้ก็ต้องแกล้งไม่รู้ แต่ดันถูกนางพูดออกมาเสียได้ คราวนี้ก็จำต้องเข้าไปถามแล้ว “ท่านอ๋อง…รอยแผลของท่านนี้…” 


 


 


“ไม่เป็นไร” เขาดึงคอเสื้อขึ้นเล็กน้อย แล้วเหลือบมองด้านในเตียง “อีกเดี๋ยวไปหาหมอหลวงมาดูให้พระชายา… ดูว่านางบาดเจ็บที่ใดหรือไม่” 


 


 


“ขอรับ” ผู้ดูแลตอบรับ จู่ๆ ก็นึกถึงอิ๋งโจวขึ้นมา “ท่านหมออิ๋งโจวมีฝีมือแพทย์สูงส่ง ไม่เช่นนั้นให้ข้าน้อยไปเชิญเขามาดูให้พระชายาดีหรือไม่ขอรับ” 


 


 


นี่ไม่ใช่โรคทั่วไปเสียหน่อย ให้อิ๋งโจวมาดู จะดูอย่างไรหรือ เขาถลึงตาใส่ผู้ดูแลด้วยความโมโห “หาผู้หญิงที่รู้วิชาแพทย์มาดูให้นาง ยังจะหาอิ๋งโจวอีก ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากเก็บศีรษะเอาไว้แล้วกระมัง” 


 


 


ผู้ดูแลขอโทษไม่หยุด พอคิดไป ก็จริงตามนั้น เรื่องเช่นนี้ไม่สะดวกที่จะให้ผู้ชายมาดู เขาเองถึงกับคิดวิธีเช่นนี้ออกมาได้ สมองถูกสุนัขกินไปแล้วหรืออย่างไร 


 


 


รถม้าที่อยู่ข้างนอกก็เตรียมเรียบร้อย หลังจากเฝิงเยี่ยไป๋ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ข้าวก็ยังไม่ทันกินก็รีบเข้าวัง ก่อนจะขึ้นรถจู่ๆ เขาก็หยุดเดิน ถามผู้ดูแลว่า “เจ้าชื่ออะไร” 


 


 


ผู้ดูแลตะลึงเล็กน้อย “ข้าน้อยเฉาเต๋อหลุนขอรับ” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] คืนแห่งความสุขสั้นนัก จากนี้ไม่เข้าราชกิจ เป็นส่วนหนึ่งในบทกลอนของไป๋จวีอี้ ในท่อนนี้หมายถึง เจ็บแค้นใจที่ค่ำคืนแห่งความสุขแบบชายหญิงนั้นสั้นมาก พอหลับแล้วตื่นขึ้นมาพระอาทิตย์ก็ขึ้นสูงแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฮ่องเต้ก็จะไม่เข้าหารือราชกิจอีก 


 


 


[2] ไม่เคยกินเนื้อหมูและก็ไม่เคยเห็นหมู เป็นสำนวนจีน เดิมคือไม่เคยเห็นหมูก็ต้องเคยเห็นหมูเดิน หมายถึงแม้จะไม่เคยประสบเหตุการณ์นั้นๆ ด้วยตัวเองก็ต้องเคยได้ยินหรือรู้อยู่บ้าง 


ตอนที่ 279 สุนัขที่ข้าเลี้ยงมีเพียงข้าเป็นเจ้านายได้คนเดียว 


 


 


 


 


 


เฉาเต๋อหลุน ชื่อเรียกง่ายดี เฝิงเยี่ยไป๋พูดทวนเล็กน้อย แล้วแสยะยิ้มพูดว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ดูแลของจวนอ๋อง เรื่องบางเรื่องพวกเราก็ต้องพูดให้ชัดเจน พวกเจ้าก็อย่าได้คิดว่าข้าเป็นคนโง่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเชียว ข้ารู้ พวกเจ้ามาจากในวัง นำคำสั่งจากเบื้องบนลงมาอีก เพียงแต่จะเป็นบ่าวรับใช้ก็ต้องมีท่าทีของบ่าวรับใช้ เจ้าเคยเห็นคนสองบ้านเลี้ยงสุนัขตัวเดียวหรือไม่ ในเมื่อเจ้านายของเจ้าส่งเจ้ามาอยู่กับข้า เช่นนั้นแล้วต่อหน้าคนอื่นข้าก็เป็นเจ้านายของเจ้า เพียงแต่ข้าไม่อาจยอมรับความผิดพลาดได้ หากสุนัขที่ข้าเลี้ยงมีเจ้านายอื่นอยู่ในใจ แล้วเห่าใส่ข้าอย่างไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เช่นนั้นข้าก็ต้องจับมันไปต้มเข้าสักวัน เจ้าจำไว้ หากข้ายังดีๆ อยู่ พวกเจ้าก็มียังชีวิตรอด หากข้าถูกคนอื่นใส่ร้ายแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา พวกเจ้าก็จะต้องตายไปด้วยกัน” 


 


 


เฉาเต๋อหลุนกระตุกเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อแล้วคุกเข่าลง “ข้าน้อยโง่เขลานัก ขอให้ท่านอ๋องออกคำสั่ง หากพวกข้าน้อยมีสิ่งใดที่ปรนนิบัติไม่ดี ขอให้ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย” 


 


 


เป็นละครแกล้งโง่ที่ใช้ในวังอีกแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋ดูจนเบื่อเต็มทน “พอได้แล้ว ไม่ต้องมาแกล้งโง่กับข้าแล้ว ข้ารู้ เจ้าก็เข้าใจ ตัวเองคิดดูให้ดีๆ จะภักดีกับฝั่งนั้นหรือภักดีฝั่งนี้” 


 


 


วันนี้คนที่ขับรถม้าเปลี่ยนคนไปแล้ว เฉาเต๋อหลุนคุกเข่าอยู่ที่พื้นเหม่อลอยอยู่นาน ผิดพลาดที่ใดหรือ ตกลงผิดพลาดที่ใดหรือ ทุกฝีก้าวล้วนระวังหมด คำพูดเมื่อครู่คืออะไรหรือ เตือนเขานั่นเอง! เหล่าคนที่มาที่นี่ ล้วนถูกฮ่องเต้จัดมาให้อยู่จวนอ๋อง ตอนแรกก็หวังในบางอย่างอยู่แล้ว งานที่ฮ่องเต้รับสั่งลงมา จะไม่ทำด้วยความภักดีได้หรือ เพียงแต่ตอนนี้ตนถูกคำพูดของเขาสองสามประโยคสั่นคลอนจิตใจเสียแล้ว 


 


 


อยู่ข้างฮ่องเต้เหมือนดั่งอยู่ข้างเสือ จะถูกตะปบตายเมื่อใดก็ไม่แน่ อีกอย่างพระทัยฮ่องเต้คาดเดายากนัก เมื่อไม่นานมานี้ยังเป็นศัตรูหับเฝิงเยี่ยไป๋ เหมือนดั่งน้ำกับไฟ เพียงแต่นี่ก็เพิ่งผ่านไปสองวัน ชื่อเสียงอำนาจเงินทองที่ท่านอ๋องควรจะมีก็มีครบแล้ว ที่เฝิงเยี่ยไป๋พูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ทั้งสองฝั่งจะภักดีได้เพียงฝั่งเดียว บางทีก่อนหน้านี้เฝิงเยี่ยไป๋อาจจะรู้อยู่แล้วว่าที่พวกเขามานี้มีเป้าหมายบางอย่าง เพียงแต่วันนี้เพิ่งพูดออกมาตรงๆ ฮ่องเต้ระแวงยิ่งนัก หากมีสักวันที่ได้ฆ่าเฝิงเยี่ยไป๋สมพระทัย นั่นก็คงเป็นโทษใหญ่ขนาดประหารเจ็ดชั่วโคตร ชื่อของพวกเขาเหล่านี้ก็แขวนอยู่ในจวนอ๋อง ถึงตอนนั้นก็ไม่พ้นมีโทษแน่ๆ บวกกับที่พวกเขารู้เรื่องภายในมากมายเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ฮ่องเต้จะยังให้พวกเขามีชีวิตอยู่อีก 


 


 


เพียงแต่จะให้พวกเขาทรยศฮ่องเต้ตอนนี้ก็ทำไม่ได้ หลอกลวงเบื้องสูงเป็นโทษหนัก อย่างไรก็ต้องตาย อยู่ในวังก็ไม่มีทางรอด นึกไม่ถึงว่าออกนอกวังแล้วก็ยังต้องตายอีกเช่นกัน 


 


 


เพียงแต่เฝิงเยี่ยไป๋รู้สถานะของพวกเขา หลังจากนี้ต้องมีการป้องกันเป็นแน่แท้ นำข้าวกลับไม่ได้ ในวังจะสงสัย หากหลุดข่าวออกไป เฝิงเยี่ยไป๋ย่อมไม่ปล่อยพวกเขา การต้องอยู่ระหว่างกลางนี้ช่างตัดสินใจลำบากนัก 


 


 


ตอนนี้เฝิงเยี่ยไป๋มีความมั่นใจ อยู่ในท้องพระโรงนั้นฟังราชกิจอยู่ครึ่งค่อนวัน และก็ได้ยินฮ่องเต้ตรวจฎีกาเรื่องเกี่ยวกับทุจริตโกงกินมากมาย ราชสำนักในตอนนี้ก็เหลือเพียงเปลือกนอกแล้ว ข้างในถูกกัดกินจนว่างเปล่า เวลาเช่นนี้คิดจะดึงขุนนางเข้าหาตัวเองช่างง่ายเสียกระไร 


 


 


ฮ่องเต้ต่างจากซู่อ๋อง แม้ว่าซู่อ๋องจะอายุน้อยกว่าฮ่องเต้ เพียงแต่ความสงบนิ่งกลับไม่แพ้ฮ่องเต้เลย เวลานั้นเหล่าขุนนางต่างบอกว่าเขามีความสามารถที่จะช่วยงานราชกิจ เพียงแต่เฝิงเยี่ยไป๋ไม่คิดเช่นนั้น ซู่อ๋องรับภาระยิ่งใหญ่ได้ดียิ่งกว่าฮ่องเต้ ตอนยังเด็กเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กับซู่อ๋องมากนัก ตอนหลังเมื่อได้กลับมาที่เมืองหรู่หนานกลับเคยทำการค้าด้วยกันสำเร็จอยู่หลายครั้ง หากใต้หล้านี้จะเปลี่ยนผู้ครอง ย่อมต้องเป็นซู่อ๋องอวี่เหวินยางแน่นอน 


 


 


  


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 280 ขายังสั่นอยู่เลย 


 


 


 


 


 


เฉินยางนอนถึงตอนเที่ยงก็ยังไม่หายง่วง หากไม่ใช่สาวใช้เรียกนางลุกขึ้นกินข้าว ไม่แน่ว่าจะนอนไปถึงไหนต่อไหน 


 


 


เรื่องของเมื่อคืนมีคนปากมากเที่ยวโพนทะนาไปทั่วจวนอ๋องแล้ว ตอนที่สาวใช้สองคนข้างตัวนางเข้ามาปรนนิบัตินั้น ล้วนกลั้นหัวเราะไว้ อยากจะถามนางว่ามีความรู้สึกอย่างไรแต่ก็ไม่กล้าถาม 


 


 


เฉินยางอายหนักมาก เอาผ้าห่มคลุมร่างไม่ยอมลุกขึ้นมา นางนิสัยดี อยู่ที่นี่นานขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่เคยชักสีหน้าใส่คนใช้เลย สาวใช้ทั้งสองคนสบตากันเอง แล้วกล่อมนางด้วยความใจกล้าว่า “ท่านอย่าได้อายเลย นี่เป็นเรื่องดี ท่านและท่านอ๋องสามีภรรยาอยู่อย่างมีความสุข ทำบ่อยๆ เข้า ไม่แน่วันใดก็จะมีท่านอ๋องน้อยแล้ว ถึงตอนนั้นก็ไม่กลัวท่านอ๋องจะแต่งใหม่อีก ภรรยาหลวงของท่านวางอยู่ที่นี่ นั่นก็เป็นความรุ่งเรืองตลอดชีวิต ใต้ฟ้านี้ไม่มีใครมีชีวิตที่ดีไปกว่าท่านอีกแล้ว 


 


 


ยังจะมีอ๋องน้อยให้เขาอีก โกรธเขายังพอว่า ไม่ใช่นางไม่อยากลุก เพียงแต่ทั้งตัวปวดเมื่อยไม่มีแรง จนถึงตอนนี้ขายังสั่นอยู่เลย 


 


 


“ข้า… ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากลุก” นางโผล่ศีรษะออกมา “ข้าอยากอาบน้ำ” 


 


 


เหงื่อออกทั้งตัว บวกกับอากาศร้อนอีก นางก็ทนไม่ไหว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ตื่น นี่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง เหตุผลอีกอย่างคือ… นางมีรอยเขียวช้ำทั้งตัว ให้พวกนางเห็นเข้า แม้ปากจะไม่พูด ในใจไม่รู้ว่าจะหัวเราะอย่างไรอีก 


 


 


“ไม่เช่นนั้นพวกข้าเติมน้ำในบ่อ ท่านไปแช่ที่บ่อเถิด อากาศร้อนนัก ไปแช่อยู่ในบ่อสบายกว่า” 


 


 


ดี ไปที่ใดก็ดี ขอเพียงไม่อยู่ในห้องนี้เป็นพอ นางให้สาวใช้สองคนนั้นออกไปแล้วฝืนพยุงตัวนั่งสวมชุด ทั้งแขนทั้งขาเหมือนดั่งถูกมัดด้วยตุ้มถ่วง จะยกขึ้นมาก็เหนื่อย นางเก็บของเรียบร้อยก็นึกถึงเรื่องที่เมื่อคืนลืมบอกเฝิงเยี่ยไป๋ นางจึงยื่นมือคลำหากระดาษที่อยู่ใต้หมอน เพียงแต่คลำไปแล้วก็ทำเอาตกใจ 


 


 


หายไปแล้ว! กระดาษที่นางซ่อนไว้เสียดิบดีหายไปแล้ว! 


 


 


นางซ่อนไว้อยู่ใต้หมอนแท้ๆ หลังจากซ่อนเสร็จแล้วตัวเองก็ไม่เคยออกจากห้อง ระหว่างนี้ก็ไม่มีใครเข้ามา ไฉนถึงได้หายไป หรือว่าเฝิงเยี่ยไป๋หยิบไปเสียแล้ว เมื่อคืนนางจะบอกเรื่องนี้กับเขา เพียงแต่เขาขยับรุกเข้ามาใกล้ ตัวเองเครียดขึ้นมาก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียหมดสิ้น เขาไม่รู้เรื่องนี้แล้วจะหยิบได้อย่างไร 


 


 


คิดว่าคงหล่นอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งกระมัง หายไปก็ดี ต่อให้หายก็หายอยู่ในห้อง ยังดีที่เรื่องนี้นอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครรู้อีก 


 


 


นางจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว สายตาก็เหลือบเห็นรอยจุดแดงบนผ้าปูเตียง สิ่งนี้จะให้คนอื่นเห็นไม่ได้เด็ดขาด นางกัดฟันด้วยความแค้น แล้วม้วนผ้าปูที่นอนขึ้นมา มองซ้ายมองขวาไม่มีที่ซ่อน จึงยัดไว้อยู่ใต้เตียง คิดจะใช้เวลาช่วงที่ไม่มีคนแล้วค่อยเอาอ่างน้ำเข้ามาซักเอง 


 


 


ว่าแล้วแช่อยู่ในบ่อสบายกว่าจริงๆ นางเริ่มขี้เกียจ หมอบอยู่ในบ่อไม่อยากขึ้นมา สาวใช้สองคน คนหนึ่งชื่อซั่งเหมยอีกคนชื่อซั่งเซียง เห็นนางไม่มีสีหน้าไม่พอใจ จึงเริ่มคุยกับนางขึ้นมา 


 


 


“นายหญิง เมื่อครู่บ่าวไปเอาเสื้อผ้าให้ท่าน ไฉนผ้าปูเตียงนั้นถึงได้หายไปเสียแล้ว” ในคำพูดของซั่งเหมยมีความหมายแฝงอยู่ น้ำเสียงหยอกล้อ เฉินยางแช่อยู่ในน้ำโผล่เพียงศีรษะออกมา แล้ววกวักน้ำว่ายไปไกล ไม่ตอบนาง 


 


 


ซั่งเซียงจิ้มนางไปทีหนึ่ง พูดตำหนิว่า “ระวังเถอะถ้าผู้ดูแลรู้เข้าจะโบยเจ้าเอา เรื่องของเจ้านายเป็นเรื่องที่เจ้าถามได้ง่ายๆ หรือ มีสีหน้าดีๆ ให้เจ้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองชื่ออะไรแล้ว” 


 


 


ซั่งเหมยบ่นขึ้นมา “ข้าก็เพียงแต่อยากรู้เท่านั้น เรื่องของเจ้านายข้าไม่ได้คิดจะถามหรอก” 


 


 


เฉินยางว่ายไปหยุดอยู่ตรงกลางบ่อ สีหน้าเบื่อหน่าย “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากจะแช่อยู่ที่นี่คนเดียว” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม