บุปผาเคียงบัลลังก์ 272-279

 ตอนที่ 272 หรงจิงชมเชย


 


 


ถึงเซียงฉือจะยังคิดถึงอดีต แต่ก็กลับมาตั้งใจเขียนเอกสาร นางเข้าใจเนื้อหางานของตนอย่างดียิ่ง


 


 


เพราะแคว้นเซียวจิ่งมีอาณาเขตกว้างขวางมีขุนนางท้องถิ่นมากมาย และมีขุนนางท้องถิ่นไม่น้อยที่ส่งเอกสารแสดงความจำนงผ่านมาเป็นลำดับขั้น


 


 


และในเอกสารก็มีคำพูดไม่เป็นแก่นสารอยู่มากซึ่งเป็นการเสียเวลาสำหรับหรงจิง เซียงฉือต้องขจัดข้อความที่ไม่จำเป็นในเอกสารทิ้ง เน้นเพียงเนื้อหาสาระทำการบันทึกไว้ข้างๆ แล้วให้ฮ่องเต้ทรงวินิจฉัย


 


 


ขุนนางข้างนอกเพียงรวบรวมจัดส่งเอกสารเข้ามา อย่างดีก็แค่คัดแยกส่วนงานบุ๋นกับบู๊ และแบ่งแยกตามพื้นที่


 


 


ส่วนเซียงฉือจำเป็นต้องอ้างอิงเรื่องตามที่กราบบังคมทูล แล้วแยกประเภทในรายงานให้ละเอียด เพื่อลดงานของหรงจิงลง


 


 


เซียงฉือเพิ่งอ่านจบและเข้าใจความหมายในรายงานนั้น


 


 


นางจรดพู่กันคัดเอกสารนั้นใหม่อย่างเรียบร้อย แล้วเลือกใจความสำคัญบันทึกลงด้านข้าง


 


 


“นายอำเภอชิงโจวเหยาจื้อถวายรายงานและมีความห่วงใยในพระพลานามัยของฝ่าบาท ทูลว่าระยะนี้มีโจรร้ายก่อกวนชาวบ้านในท้องที่ แต่กำลังของทางอำเภอมีจำกัดจึงได้ทูลขอพระราชวินิจฉัยว่าจะสามารถขอทางจื่อโจวให้เคลื่อนกำลังไปตั้งล้อมกวาดล้างได้หรือไม่”


 


 


เซียงฉือเขียนสรุปสาระสำคัญออกมาอย่างเรียบง่าย นางไม่ถนัดการแต่งแต้มสีสันแพรวพราว แต่จะรวบรัดกระชับใจความ นางเป่ากระดาษเบาๆ ให้หมึกแห้ง แล้วจึงนำรายงานกลับไปส่งให้หรงจิง


 


 


ก่อนเซียงฉือจะมาที่นี่ เหอจิ่นเซ่อได้สอนงานกับเซียงฉือแต่เพียงย่อๆ ตอนนี้นางจึงทำงานไปตามความเข้าใจของตัวเอง นางไม่รู้ว่านอกจากนางแล้ว ยังไม่เคยมีข้าราชสำนักสตรีคนใดที่ทำสรุปสาระสำคัญไว้ด้านข้างของรายงานมาก่อน นางทำไปโดยที่ไม่รู้


 


 


เมื่อส่งไปถึงเบื้องหน้าหรงจิง แวบแรกที่เห็นก็ถูกลายมือบรรจงราวปักของนางดึงดูดสายตา ใจของหรงจิงยินดียิ่งนัก และยิ่งตกใจระคนดีใจขึ้นเรื่อยๆ


 


 


เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากชมลายมือของนาง ก็ได้เห็นกระดาษจดหมายแผ่นหนึ่งที่เซียงฉือใช้เขียนสรุปสาระใจความสำคัญแนบอยู่ ซึ่งทำให้หรงจิงรู้สึกทึ่งอย่างยิ่ง


 


 


เขาเงยหน้าขึ้นมองเซียงฉือ


 


 


“เจ้าเขียนสรุปสาระสำคัญนี้เองหรือใครสั่งให้เจ้าเขียน”


 


 


เสียงของหรงจิงไม่ได้เย็นชาแต่ก็ไม่ดุ เพียงแต่เซียงฉือยังคงมีความเกรงกลัวเขาอยู่จึงลนลานขึ้นมา มือที่ถือรายงานจึงสั่นน้อยๆ


 


 


นางไม่เข้าใจว่าตนเองทำอะไรผิด แต่ภายใต้สีหน้ากดดันของหรงจิง นางไม่กล้าปิดบังแม้แต่น้อย


 


 


“การสรุปสาระสำคัญนี้หม่อมฉันเป็นคนเขียนเองเพคะ หม่อมฉันเพียงคิดว่าเป็นงานที่หม่อมฉันสมควรทำ หรือว่าหม่อมฉันก้าวล่วงสิ่งใดเพคะ”


 


 


เซียงฉือไม่รู้ว่าตนเองทำพลาดตรงไหนจึงถูกหรงจิงถามขึ้นเช่นนี้


 


 


นางเอ่ยตอบแล้วหรงจิงก็หัวเราะฮ่าๆ เห็นเอกสารนั้นราวกับของล้ำค่า บรรจงอ่านอย่างปรุโปร่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า


 


 


“ทำได้ดีๆ ตัวหนังสือก็เขียนได้ดี”


 


 


“อวิ๋นเซียงฉือ เจ้าทำได้ดีมาก!”


 


 


เมื่อหรงจิงฟังนางพูดและสังเกตเห็นความกลัวของนางจึงตบบ่านาง จากนั้นก็หัวเราะเป็นการใหญ่กล่าวกับนางเช่นนั้น


 


 


เซียงฉือไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง คิดว่าหรงจิงคงจะดีใจจึงได้หัวเราะตามขึ้นมา


 


 


ขณะนั้นซูกงกงยกถาดเข้ามาจากด้านนอก เมื่อเห็นภาพนั้นแล้วก็หรี่ตาจนเป็นเส้นตรง


 


 


“ฝ่าบาท เสวยน้ำแกงเม็ดบัวสักชามเถิดพ่ะย่ะค่ะ ตลอดบ่ายนี้ยังไม่ได้ทรงเสวยจริงจังเลย เสวยอะไรสักหน่อย กระหม่อมเห็นว่าน้ำแกงนี้น่าจะทำให้เจริญพระกระยาหารได้ดีจึงนำมาถวายพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ซูกงกงยิ้มแล้วส่งชามน้ำแกงใส่มือหรงจิง คิดว่าเขาดีใจเช่นนี้คงจะเจริญอาหารเป็นแน่ หรงจิงไม่ขัดศรัทธา ขยับช้อนแล้วตักเข้าปากค่อยๆ เคี้ยว พยักหน้าพูดว่า


 


 


“รสชาติไม่เลว”


 


 


 


 


ตอนที่ 273 คนสองคน


 


 


เซียงฉือเห็นชามน้ำแกงถูกผลักมาเบื้องหน้าถึงกับตกตะลึง


 


 


“เจ้ากินก่อน”


 


 


พอได้ยินคำพูดของหรงจิงทำให้ยิ่งต้องเอ่ยปากอย่างหวั่นเกรงว่ามิบังอาจ ลดมือลงแล้วรีบถอยหลัง


 


 


หรงจิงเห็นท่าทางนางแล้วก็สงสัย เขาส่งสายตาไปยังซูกงกงแล้วพูดขึ้น


 


 


“ไปตักมาอีกชาม ไม่ต้องใส่ขิง”


 


 


เซียงฉือได้ยินหรงจิงพูดเช่นนั้นจึงวางใจลงบ้าง นางเห็นเขาดูรายงานต่อเหมือนไม่มีเรื่องอะไร แล้วมองดูชามน้ำแกงตรงหน้าเกือบจะหัวเราะออกมา


 


 


ประมุขในใต้หล้าไม่ชอบกินขิง  ยังมีนิสัยเลือกกินอย่างกับเด็กๆ


 


 


เซียงฉือคิดในใจ ‘ตกใจหมดเลย ที่แท้ก็รังเกียจรสชาติของขิงในนั้น เลยยกของที่ไม่ชอบให้ข้านี่เอง’


 


 


คิดเช่นนั้นแล้วนางจึงถอนหายใจยาว ไม่คิดมาก ยกชามน้ำแกงที่อยู่ข้างกายแล้วก็ถอยออกไปเงียบๆ


 


 


หรงจิงพลิกดูสรุปสาระสำคัญที่เซียงฉือเขียน วางลงบนฝ่ามือพิจารณาอย่างถี่ถ้วน แล้วมองเซียงฉือที่ด้านข้าง เห็นกำลังกินอย่างระมัดระวังราวลูกแมว เขาลอบพูดขึ้นว่า


 


 


“ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง”


 


 


หลังจากมองดูหญิงสาวหน้าตาหมดจดงดงามอีกครั้งแล้วจึงได้วางสรุปสาระสำคัญนั้นลงแล้วเริ่มทำงานอย่างจริงจัง


 


 


เซียงฉือไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อกินเสร็จแล้วก็กลับไปรอรับใช้อยู่ข้างกายหรงจิง


 


 


เซียงฉือเพิ่งกลับเข้าที่ นางเห็นหรงจิงกำลังอ่านรายงานตาวาว เมื่อเดินไปข้างกายเขาก็ได้ยินคำพูดของหรงจิงจึงเงยหน้าขึ้นทันที


 


 


“ฝ่าบาท? เชิญสั่งงานเพคะ”


 


 


เซียงฉืออยู่ข้างกายหรงจิง มองหรงจิงด้วยสายตาคาดหวัง รอคอยให้เขาสั่งงาน หรงจิงเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร มองดูเซียงฉือแล้วเอ่ยปากขึ้นอย่างลังเล


 


 


“เซียงฉือ คืนนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้ารับใช้ข้า ถ้าเช่นนั้น…”


 


 


หรงจิงหัวเราะประหลาด เขาเอนกายพิงไปบนชุดมังกร ท่าทางไม่เกรงใจแล้วสะบัดมือทันที ชี้ไปยังรายงานราวภูเขาย่อมๆ เบื้องหน้า เอ่ยขึ้นว่า


 


 


“ถ้าเช่นนั้น กองนี้ก็ยกให้เจ้า แต่ละฉบับจะต้องเขียนให้เหมือนกับฉบับนี้ เอาไปได้แล้ว”


 


 


นิ้วมือเรียวยาวของหรงจิงชี้ไปยังรายงานสองกองใหญ่เบื้องหน้า แล้วกรีดนิ้วชี้ไปที่กองหนึ่งให้เซียงฉือ


 


 


คำพูดนั้นทำให้เซียงฉือนิ่งอึ้งอยู่กับที่ มองดูรายงานกองนั้นจนตะลึงลาน นางไม่คาดหวังจะให้เขาเมตตาสงสาร แต่ก็ไม่คิดว่าจะถูกย่ำยีอย่างใจร้ายเช่นนี้


 


 


เซียงฉือมองหรงจิงอย่างคับแค้นใจแต่สุดท้ายก็ไม่ว่าอะไร ขบริมฝีปากแล้วยกกองรายงานนั้นไปเงียบๆ


 


 


สุดท้ายกลับกลายเป็นซูกงกงที่ทนดูไม่ไหว เดินเข้าไปช่วยพูดให้เซียงฉือ


 


 


“ฝ่าบาท คืนนี้เป็นคืนแรกที่ใต้เท้าเซียงฉือปฏิบัติหน้าที่ พระองค์จะไม่ทรงนุ่มนวลสักหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เซียงฉือเห็นซูกงกงช่วยพูดให้นางเช่นนั้นก็รู้สึกดีใจอยู่ แต่คำพูดนั้นนางฟังดูชอบกล ทว่าขณะนั้นก็บอกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไร


 


 


นางกะพริบตา หอบรายงานกลับไปยังที่ของตน หรงจิงเห็นเซียงฉือนิ่งเงียบและได้ยินคำพูดของซูกงกง ทว่าไม่ได้พูดอะไร เพียงสะบัดมือให้เขาออกไป


 


 


หรงจิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ประทับเพียงลำพัง อ่านรายงานดังเช่นที่เคยปฏิบัติ แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างไป คือเขามักเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวข้างๆ เป็นครั้งคราว


 


 


เซียงฉือถึงจะน้อยใจอยู่บ้าง แต่นางก็ตั้งใจอ่านรายงานเต็มสติปัญญา


 


 


เส้นผมปอยหนึ่งร่วงลงข้างแก้ม นางจึงใช้มือจัดปอยผมนั้นให้เข้าที่ เผยให้เห็นลำคอนวลระหง นางขบริมฝีปากล่างเบาๆ


ตอนที่ 274 ฝนราตรี


 


 


หรงจิงมองและติดตามสายตานาง กระทั่งเห็นรายงานในมือที่นางกำลังอ่านอยู่ ดูเหมือนจะมีความยุ่งยากเพราะเซียงฉือขมวดคิ้วมุ่นอ่านอย่างจริงจัง


 


 


เขามองนางนิ่ง  เห็นท่าทางจริงจังของนางเช่นนั้นแล้ว จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา


 


 


“ท่าทางใจจดจ่อของนาง ดูดีไม่เลว”


 


 


หรงจิงไม่คิดว่าคำพูดนี้จะหลุดออกจากปากเขา ดวงตาก็กระเพื่อมขึ้นทันใด เซียงฉือราวกับได้ยินคำพูดนี้เช่นกันจึงอึ้งไป


 


 


หรงจิงรีบหันหน้ากลับทันที ทำราวกับรายงานตรงหน้าทำให้เขาต้องเค้นสมอง ขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางเหมือนใช้ความคิดอย่างหนัก เซียงฉือหันไปเห็นหรงจิงนั่งสำรวมเรียบร้อยและกำลังใช้ความคิดหนักเช่นนั้นจึงส่ายหน้าน้อยๆ พึมพำขึ้นว่า


 


 


“หรือว่าข้าจะฟังผิดไป?”


 


 


นางพึมพำเช่นนั้นแล้วก็ก้มหน้าลงอ่านเอกสารต่อ จัดการแยกประเภทแบ่งหมวดหมู่เป็นที่เรียบร้อย


 


 


หรงจิงเห็นนางหันกลับไปแล้วก็ผุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก เลิกมองนางแล้วตั้งใจอ่านรายงาน


 


 


เซียงฉือนำเอกสารส่วนหนึ่งที่เขียนบันทึกลงไปแล้ววางเรียงตามประเภท และจัดเอกสารส่วนที่ตนเห็นว่าเป็นเรื่องด่วนไว้ในมือ ลุกขึ้นแล้วนำรายงานพวกนั้นไปวางไว้ข้างกายหรงจิง


 


 


แล้วหมุนกายเดินออกมาโดยไม่พูดอะไร ในราตรีเงียบสงบพลันมีฝนตกลงมาเปาะแปะ


 


 


เซียงฉือมองออกด้านนอกหน้าต่างด้วยความสงสัย หรงจิงได้ยินเสียงเช่นกันจึงเงยหน้าพร้อมกับนาง


 


 


“ฝนตกหรือ”


 


 


เสียงแหบๆ ของหรงจิงดังขึ้นจากด้านหลังเซียงฉือ นางโค้งกายตอบว่า


 


 


“เพคะฝ่าบาท คืนนี้มีฝน”


 


 


หรงจิงมองดูเซียงฉือ เขาวางเอกสารถามสารทุกข์สุขดิบในมือลง แล้วหยิบรายงานชุดแรกจากสามชุดที่เซียงฉือเพิ่งส่งมาขึ้นเปิดอ่าน


 


 


เป็นรายงานเรื่องอุทกภัยของผู้ว่าการมณฑลเสฉวนหลิวเจิ้นหมิน มณฑลเสฉวนเป็นพื้นที่ทางการเกษตรที่สำคัญของแคว้นเซียวจิ่งตลอดมา การเก็บเกี่ยวเมื่อต้นปีนี้นับว่าอุดมสมบูรณ์ดีอยู่ แต่เนื่องจากฝนตกติดต่อกันตลอดเดือน ทำให้เขื่อนกั้นน้ำพังทลาย ดังนั้นจึงส่งรายงานขอพระราชทานอภัยโทษ


 


 


เซียงฉือเขียนสรุปสาระสำคัญของรายงานฉบับนี้ว่า


 


 


‘ผู้ว่าการมณฑลเสฉวนหลิวเจิ้นหมินทูลว่า มณฑลเสฉวนมีฝนตกต่อเนื่องตลอดเดือน ทำให้น้ำในแม่น้ำชิงล้นเอ่อ หวั่นเกรงว่าเขื่อนจะถูกทำลายตลอดเวลา ใต้เท้าหลิวได้อพยพชาวบ้านขึ้นสู่ที่สูงแล้วและถวายรายงานต่อฝ่าบาท ขอให้ส่วนกลางจัดสรรงบประมาณในการต่อเติมเขื่อนให้สูงขึ้น’


 


 


หรงจิงอ่านที่เซียงฉือเขียนแล้วอ่านรายงานของผู้ว่าการมณฑลเสฉวนหลิวเจิ้นหมินอีกครั้ง เขาหันกลับไปมองเซียงฉือแล้วยิ้ม คิดถึงเรื่องคำสั่งให้เข้ารับตำแหน่งทันทีที่เซียงฉือเคยบอกกับเขาในครั้งนั้นแล้วเหมือนจะเข้าใจได้ลึกซึ้ง เขามองดูสายฝนพรำด้านนอกแล้วจึงเอ่ยถามขึ้น


 


 


“เซียงฉือ เจ้าเสนอรายงานของหลิวเจิ้นหมินผู้ว่าการมณฑลเสฉวนขึ้นมา มีความเห็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เซียงฉือกำลังมองดูฝน พอถูกหรงจิงถามขึ้นเช่นนี้จึงหันกลับไปอย่างสงสัย


 


 


แล้วก้มหน้าลงอีกครั้ง ใคร่ครวญในใจ


 


 


เซียงฉือได้ยินคำถามของหรงจิงแต่ไม่รู้เจตนาของเขา ข้าราชสำนักสตรีสามารถถกเรื่องการเมืองได้ แต่ว่าโดยระดับขั้นของนางแล้ว ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมปรึกษาหารือข้อราชการในท้องพระโรงด้วยซ้ำไป แต่หรงจิงถามขึ้นเช่นนี้ คงเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ดงอ้อ ที่นางปากมากพูดเรื่องคำสั่งเข้ารับตำแหน่งทันทีซึ่งเป็นความคิดของนางกับเหอเจี่ยนสุย


 


 


ถึงเซียงฉือจะเข้าใจในตัวหรงจิงพอควร แต่เป็นความเข้าใจที่นางมีต่อ ‘หรงฉู่’ ในตอนนั้น ไม่ใช่ความเข้าใจต่อฮ่องเต้ในขณะนี้


 


 


หรงจิงถามแต่ไม่เห็นนางตอบ เมื่อเห็นนางก้มหน้าอยู่จึงเอ่ยขึ้นว่า


 


 


“เซียงฉือ ข้าถามขึ้นมาเช่นนั้นเอง เจ้าคิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น ไม่ต้องจริงจังนัก” ถึงหรงจิงจะปลอบเซียงฉือเช่นนี้ แต่สำหรับนางในตอนนี้ คงได้แต่ฝืนเอ่ยปากออกมา


 


 


“เพคะ ฝ่าบาท”


 


 


 


 


ตอนที่ 275 อุทกภัย


 


 


เซียงฉือหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าขึ้นน้อยๆ มองดูสายฝนเบื้องนอกแล้วคิดถึงสถานะความเป็นหญิงของตน พูดขึ้นว่า


 


 


“ทูลฝ่าบาท เมื่อครู่ก่อนฝนจะตก หม่อมฉันรู้สึกรุ่มร้อนในอก แต่พอฝนตกแล้วจึงรู้สึกโล่งสบายขึ้นไม่น้อย ในอากาศยังมีกลิ่นดินโชยขึ้นเป็นระลอก แต่ทว่าประชาชนในมณฑลเสฉวนตอนนี้มิได้เป็นเช่นนี้ พวกเขาอาศัยฝนฟ้าเพื่อปากท้อง ฝนตกน้อยพวกเขาจะทุกข์ใจ ฝนตกมากเกินไปพวกเขาก็ยิ่งทุกข์ร้อน”


 


 


“หม่อมฉันได้แต่เพียงทุกข์แทนพวกเขาและฝ่าบาท ฝ่าบาทเป็นพระประมุขของราษฎรย่อมต้องเป็นที่พึ่งแก่พวกเขา แต่ว่าพวกเราต่างไม่รู้ว่าสวรรค์ท่านพอใจจะให้ฝนตกหนักตอนไหน หรือจะหยุดตกเมื่อไร”


 


 


“สวรรค์ท่านก็ช่างก่อกรรมทำเข็ญกับมนุษย์จริงๆ!”


 


 


เซียงฉือจ้องมองอากาศมืดครึ้มด้านนอกแล้วกระทืบเท้าพูดขึ้นอย่างแค้นเคือง


 


 


หรงจิงเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะพรืดออกมา เจ้าเด็กคนนี้ ขมวดคิ้วราวกับกำลังห่วงใยเขาเสียหนักหนา


 


 


เปรี้ยง!


 


 


เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นจากฟากฟ้า เซียงฉือถึงกับคอหดราวกับกระต่ายน้อยที่ตกใจกลัว หรงจิงหัวเราะ จับแขนนางไว้พูดว่า


 


 


“คิดว่าเจ้าเป็นพวกไม่หวั่นเกรงอะไรเลยเสียอีก ข้าอยู่นี่ทั้งคนเจ้าไม่ต้องกลัว”


 


 


เซียงฉือถูกเขาจับแขนไว้ก็รู้สึกอบอุ่นใจ นางหมุนกายแล้วแลบลิ้นพูดว่า


 


 


“นินทาใครลับหลังไม่ได้เลยจริงๆ ท่านเทพยดาก็ช่างใจแคบเหลือเกิน”


 


 


หรงจิงเห็นท่าทางซุกซนของนางเช่นนั้นอดไม่ได้ต้องหัวเราะเสียงดัง ฝนที่ตกหนักนี้ทำให้ซูกงกงตกใจตื่น เมื่อเห็นข้างนอกฝนตกจึงเดินออกจากด้านในมุม ในมือถือเสื้อคลุมแล้วเดินย่องออกไปปิดประตูหน้าต่างข้างนอก


 


 


พอกลับเข้ามาข้างในก็เห็นภาพตรงหน้า เขาถือเสื้อคลุมไว้ในมือ ไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปหรือไม่จึงหยุดยืนนิ่งงันอยู่ที่นอกประตู


 


 


หรงจิงเห็นซูกงกงเข้าก่อนจึงเรียกขึ้น


 


 


“ซูกงกง จุดไม้จันทน์ขจัดไอชื้นเสียหน่อย”


 


 


ซูกงกงที่ยืนอยู่ที่เดิมได้รับคำสั่งก็รีบหันกายออกนอกห้องไป เซียงฉือมองเห็นในมือของเขาถือผ้าคลุมสีเหลืองสดใส เข้าใจว่าจะมาสวมให้ฝ่าบาท แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงออกไปเสียก่อน


 


 


หรงจิงคลายมือแล้วบิดขี้เกียจขยับเขยื้อนเส้นสาย


 


 


“ข้าชักรู้สึกปวดหัว”


 


 


เสียงของหรงจิงดังลอยมา เซียงฉือตกตะลึง ความหมายของคำพูดนี้คือต้องการให้นางนวดให้ หรือให้นางตามหมอหลวงมา นางยืนตะลึงอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร


 


 


หรงจิงรออยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่เห็นเซียงฉือมีปฏิกิริยาอย่างไรจึงลืมตาขึ้นมองดูท่าทางกระวนกระวายของเซียงฉือแล้วเอ่ยปากขึ้นมา


 


 


“เซียงฉือ ข้าปวดหัว”


 


 


เซียงฉือเบิ่งตาโตมองดูหรงจิง น้ำเสียงของเขาเหมือนกำลังออดอ้อน เซียงฉือรู้ตัวขึ้นมาทันทีว่าหมายถึงจะให้นางลงมือจึงเดินเข้าไปด้านหลังหรงจิง วางนิ้วชี้กับนิ้วกลางทาบลงที่ขมับของหรงจิงแล้วลงมือนวดให้เขา


 


 


เซียงฉือไม่กล้าส่งเสียง เพียงลงมือนวดขมับให้เขา หรงจิงมีท่าทางไม่พอใจ ขมวดคิ้วน้อยๆ


 


 


“เบาไป”


 


 


เซียงฉือได้ยินแล้วจึงเพิ่มแรงที่มือ แต่หรงจิงก็ยังคงขมวดคิ้ว


 


 


“หนักเกินไปแล้ว”


 


 


เซียงฉือจึงผ่อนลงหน่อย แต่ก็ไม่อาจได้แรงที่เหมาะสมสักที ยังดีที่ซูกงกงเข้ามาไม่นานหลังจากนั้น เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงส่งสัญญาณแก่เซียงฉือ แล้วตนเองเดินเข้าไปทำการนวดแทนนาง


 


 


เซียงฉือเข้าใจเจตนาจึงนำไม้จันทน์ที่ซูกงกงยกมาไปจุดรมที่ด้านข้าง


 


 


แล้วมายืนที่ข้างๆ มองดูการนวดของซูกงกง


ตอนที่ 276 แผนการรับมือ 


 


 


“แบบนี้ใช่แล้ว! น้ำหนักมือกำลังพอดีเชียว” 


 


 


หรงจิงหลับตาอยู่จึงไม่รู้ว่าด้านหลังได้มีการเปลี่ยนตัวแล้ว คิ้วที่ขมวดอยู่ตลอดก็คลายลง เซียงฉือกับซูกงกงได้ยินดังนั้นก็สบตากันแล้วพากันยิ้ม ทั้งสองคนฉลาดพอจึงไม่พูด แล้วก็ได้ยินหรงจิงพูดต่อ 


 


 


“เซียงฉือ พูดที่เจ้าพูดเมื่อครู่ต่อไป” 


 


 


เมื่อหรงจิงพูดเช่นนี้ ซูกงกงกับเซียงฉือสบตากันอีกครั้ง เซียงฉือจึงเดินไปข้างกายซูกงกง เมื่อคิดแล้วก็พูดออกมา 


 


 


“ฝ่าบาท ถึงแม้หม่อมฉันจะสงสารชาวนาที่มีความเป็นอยู่อย่างลำบาก แต่ก็ไม่ทราบว่าจะทำอะไรเพื่อพวกเขาได้บ้าง แต่ถ้าหากฝ่าบาททรงหาวิธีแก้ปัญหาได้อย่างถาวรก็จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพคะ” 


 


 


เซียงฉือตอบเช่นนี้ทำให้ความสนใจของหรงจิงลดลงไปมากจึงพูดเสียงเนือย 


 


 


“ข้าถามเจ้า หากเจ้าเป็นหลิวเจิ้นหมิน ขุนนางที่เหมือนดั่งพ่อแม่ของราษฎร เมื่อลูกบ้านกำลังประสบภัยน้ำท่วมพลัดพรากสิ้นเนื้อประดาตัว เจ้าควรทำอย่างไร” 


 


 


เมื่อหรงจิงถามเช่นนี้ เซียงฉือจึงต้องเริ่มคิดอย่างจริงจัง ความคิดอ่านของนางยังมีไม่มาก ถึงนางกับเหอเจี่ยนสุยจะได้รับการอบรมจากท่านปู่มาทั้งคู่ ได้เห็นวิธีการจัดการเรื่องน้ำมามาก แต่พอถูกถามกลับไม่รู้ควรตอบเช่นไร 


 


 


นางเค้นขุดความทรงจำของตน แล้วก็คิดถึงคำพูดของท่านปู่ในตอนนั้นขึ้นได้ 


 


 


“ฝ่าบาททรงทำให้หม่อมฉันลำบากใจเสียแล้วเพคะ หม่อมฉันยังไม่เคยเป็นขุนนางปกครองมาก่อน แต่ก็พอมีความเข้าใจสภาพแม่น้ำชิงของมณฑลเสฉวนอยู่บ้าง แม่น้ำชิงถูกขนาบโดยภูเขาจินหลงกับภูเขาหมิงหย่วน เป็นลำน้ำกว้างใหญ่ไพศาล บริเวณที่กว้างที่สุดอยู่ในเขตแดนมณฑลเสฉวน ช่วงกว้างที่สุดของแม่น้ำมีความกว้างกว่าหนึ่งร้อยจั้ง” 


 


 


“หม่อมฉันจำได้ว่า ในบันทึกของชิงหยางกงเคยบันทึกไว้ว่า เมื่อร้อยกว่าปีก่อน แม่น้ำชิงล้นเอ่อ เมืองต่างๆ ที่อยู่ปลายน้ำต้องล้มตายบาดเจ็บนับไม่ถ้วน ขุนนางในตอนนั้นแม้ไม่สามารถหาชื่อแซ่ได้ แต่ได้ทำเรื่องยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่ง เขาใช้เวลาสิบปีสร้างทำนบใหญ่กั้นน้ำสามแห่งบนต้นทางน้ำ นับจากนั้นเป็นร้อยปีที่แม่น้ำชิงไม่มีภัยพิบัติเรื่องน้ำอีกเลย” 


 


 


เซียงฉืออ้างอิงบันทึกชิงหยางกงที่บันทึกเรื่องการจัดการปัญหาของแม่น้ำชิงที่นางเคยอ่าน เมื่อครั้งท่านปู่ยังเป็นเจ้าเมืองหลานโจว เมืองหลานโจวก็เคยประสบภัยพิบัติทางน้ำ ท่านปู่อ้างอิงเรื่องนี้ทำการสร้างเขื่อน ทำให้หลานโจวรอดพ้นจากอุทกภัยไปได้ แต่เพราะท่านปู่ใจร้อนเกินไปในการเลียนแบบวิธีการโบราณ มิเช่นนั้น บ้านสกุลอวิ๋นก็จะไม่ต้องตกระกำลำบากอย่างเช่นทุกวันนี้ 


 


 


เซียงฉือคิดขึ้นมาแล้วก็ขมขื่นใจ ถึงนางไม่รู้ว่าหรงจิงจะตัดสินใจอย่างไร แต่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้พูดเรื่องโครงการที่ท่านปู่เตรียมไว้ออกมาอย่างคร่าวๆ 


 


 


“หม่อมฉันจึงอยากอ้างอิงวิธีการนี้ หากฝ่าบาททรงจัดสรรงบประมาณในการก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำใหม่ กักน้ำฝนไว้เช่นเดียวกับการสะสมเสบียง ประการแรกจะเป็นการยังยั้งกระแสน้ำในปีที่มีน้ำหลาก ประการที่สองสามารถปล่อยน้ำออกมาใช้เพาะปลูกได้ในปีน้ำแล้ง เช่นนี้เป็นประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง เป็นบุญกุศลเอื้อประโยชน์ไปอนันตชาติเพคะ” 


 


 


เซียงฉือพูดเช่นนี้หรงจิงก็รับฟังโดยไม่พูดอะไรอยู่นาน เมื่อเซียงฉือพูดจบก็นิ่งเงียบลง นางไม่กล้ารบกวนเขา 


 


 


หรงจิงฟังวิธีการของเซียงฉือแล้วนิ่งเงียบไปนาน ไม่ตอบว่าดีหรือไม่ราวกับหลับไปแล้ว ซูกงกงในเวลานี้ก็จับความคิดของเขาไม่ได้ 


 


 


แต่ก็ยังคงนวดศีรษะให้หรงจิงอย่างเต็มที่ ทั้งคู่ยืนอยู่เช่นนั้นเป็นนานจึงได้ยินคำพูดของหรงจิง 


 


 


“ซูกงกงไม่ต้องนวดแล้ว ออกไปเถอะ” 


 


 


หรงจิงหลับตาอยู่แต่พูดขึ้นเช่นนี้ ทำให้เซียงฉือกับซูกงกงต้องอึ้งไปทั้งคู่ ซูกงกงหยุดมือแล้วตอบรับ โค้งกายแล้วถอยออกไป ส่วนเซียงฉือยังคงยืนอยู่กับที่อย่างว่าง่าย หรงจิงลืมตามองดูเซียงฉือ พูดว่า 


 


 


“ถึงวิธีการของเจ้าจะดี แต่ก็ไม่อาจแก้ปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้าได้” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 277 อุบายหรงจิง 


 


 


หรงจิงพูดแล้วก็ชะงักไปก่อนจะพูดต่อว่า 


 


 


“ตอนนี้อุทกภัยก็เกิดแล้ว ประชาชนทางปลายน้ำกำลังเผชิญกับทุกข์เข็ญอยู่ พวกวิธีร้อยวันพันปีอะไรนั่นถึงจะฟังดูดี แต่ต้องใช้ทุนทรัพย์กับกำลังมหาศาล และยังไม่ทันท่วงที” 


 


 


“เจ้าสามารถคิดขึ้นได้เช่นนี้นับว่าดีแล้ว แต่วิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้านี้ล่ะ” 


 


 


เซียงฉือถูกถามเช่นนี้ก็อึ้งไป แต่แล้วก็คิดถึงซูกงกงที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่จึงพูดขึ้นเรื่อยเปื่อย 


 


 


“สั่งการลงไป ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปคิดหามาหลายๆ วิธีเพื่อนำเสนอภายในกำหนดเวลา ใครที่คิดไม่ออกให้จับไปเฆี่ยนตีทั้งหมด” 


 


 


เพราะเซียงฉือเองคิดไม่ออกจึงทำพูดไร้สาระออกไป หรงจิงเพราะปวดศีรษะอยู่ก่อนจึงกุมหน้าผากอยู่ พอได้ยินเซียงฉือพูดเช่นนั้น มุมปากก็เหยียดขึ้น ช่างไร้สาระนัก 


 


 


ครู่หนึ่งเขาเงยหน้าขึ้นมองเซียงฉือด้วยสายตาจริงจัง สายตาจับจ้องนางนิ่ง ทำให้เซียงฉือถึงกับชะงักงัน 


 


 


“อวิ๋นเซียงฉือคุกเข่ารับราชโองการ” 


 


 


จู่ๆ หรงจิงก็จ้องเซียงฉือด้วยสายตาน่าเกรงขาม ในความรู้สึกของเซียงฉือเหมือนนางกำลังถูกพยัคฆ์ร้ายจ้องหมายตะครุบเป็นอาหาร สันหลังเย็นวูบ ไม่กล้าพูดมากอะไรอีก 


 


 


เพราะเดิมที ‘หรงฉู่’ กับนางคุ้นเคยกัน ถึงจะรู้ว่าหรงฉู่ก็คือหรงจิง แต่เรื่องที่ว่าเขาเป็นฮ่องเต้นั้นนางมักจะลืมอยู่เสมอ และตอนนี้หรงจิงกำลังแสดงอำนาจของฮ่องเต้ เพียงแค่มองด้วยสายตา เซียงฉือที่อยู่ข้างๆ เขาก็สั่นสะท้าน 


 


 


เป็นความรู้สึกที่นางไม่คุ้นเคยและหวาดหวั่นไม่หาย 


 


 


นางคุกเข่าลงดังพลั่ก หากกระทำต่อ ‘หรงฉู่’ จะดูเหมือนล้อเล่น แต่กับหรงจิงที่เป็นฮ่องเต้ผู้นี้ พูดได้ว่าเป็นการล้อเลียนฮ่องเต้ มีโทษถึงประหาร เซียงฉือเมื่อคิดขึ้นได้จึงรู้สึกหวาดกลัว 


 


 


ไม่รู้ว่าหรงจิงโกรธจริงหรือไม่ นางหยุดล้อเล่นและจริงจังขึ้นมา หลังจากตื่นเต้นไปครู่หนึ่งก็ได้ยินหรงจิงพูดว่า 


 


 


“ข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขาอวิ๋นเซียงฉือ ข้าสั่งให้เจ้าคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาน้ำท่วมมาให้ได้ในเวลาหนึ่งก้านธูป มิเช่นนั้นจะสั่งโบยเจ้า!” 


 


 


พอหรงจิงพูดถึงตอนท้ายก็เลิกวางท่าขึงขัง เขาพูดปนหัวเราะเบาๆ ท่าทางน้ำเสียงไม่ยี่หระเหมือนกับเซียงฉือเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน 


 


 


เซียงฉือที่เมื่อครู่หวาดกลัวอยู่เห็นท่าทางของหรงจิงแล้วก็ถอนหายใจเฮือก ร่างที่คุกเข่าอยู่ไม่ได้ตรงแน่วอีกต่อไป แต่กลับนั่งลงบนเข่าแทนแล้วมองหรงจิง ขมวดคิ้วอย่างน่าสงสาร 


 


 


นางถอนหายใจแล้วตบอกพูดขึ้นว่า 


 


 


“หม่อมฉันเป็นเพียงขุนนางต่ำต้อยขั้นที่เก้า ไม่สามารถคิดออกมาได้ ไม่ทราบว่าจะโบยน้อยหน่อยได้หรือไม่เพคะ” 


 


 


หรงจิงฟังคำพูดนางแล้วไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ โยนลูกผิงกั่วไปให้นาง เซียงฉือยื่นมือรับไว้ มองดูฝ่ายตรงข้ามน้ำตาคลอ 


 


 


หรงจิงก้มลงมองรายงานเรื่องอุทกภัยเบื้องหน้าแล้วยิ้มจากนั้นเขียนลงไปว่า ‘หารือในที่ประชุม’ 


 


 


เขาไม่ได้มองเซียงฉือที่คุกเข่าอยู่ พูดขึ้นว่า 


 


 


“ขุนนางต่ำต้อยขั้นที่เก้าแต่กล้ามาเล่นแง่กับข้าเช่นนี้ สั่งโบยเสียก่อนเลยดีไหม” 


 


 


เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็เงียบเสียง ก่อนจะพูดว่า 


 


 


“หม่อมฉันมิบังอาจ หม่อมฉันไม่กล้าแล้วเพคะ” 


 


 


พูดจบก็หุบปาก หลับตาใคร่ครวญ นางอดไม่ได้ต้องโอดครวญ มิน่าเล่าข้าราชสำนักสตรีงานอักษรข้างกายฝ่าบาทจึงต้องสับเปลี่ยนตัวกันวุ่นวาย คนปกติทั่วไปใครจะทนได้กันเล่า 


 


 


ถึงนางจะคิดเช่นนี้ แต่ก็กำลังปฏิบัติตามคำบัญชาของหรงจิงอย่างจริงจัง 


 


 


นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยังคิดวิธีการที่ดีออกมาไม่ได้แต่ไม่พูดอะไร สงสัยหรงจิงจะไม่ยอมปล่อยผ่านเป็นแน่ 


ตอนที่ 278 สนทนายามค่ำ 


 


 


เซียงฉือเอ่ยปากหยั่งเชิงขึ้น 


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดเสร็จแล้วเพคะ” 


 


 


เมื่อใกล้ถึงเวลาหนึ่งก้านธูป เซียงฉือจึงเริ่มพูด หรงจิงได้ยินแต่ก็ไม่ได้เงยหน้า เพียงส่งเสียงอ้อขึ้นเท่านั้น 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงหรงจิงรับรู้เช่นนั้นแล้ว เซียงฉือจึงขยับลูกคอพูดขึ้นว่า 


 


 


“การจัดการน้ำท่วมควรดูตามช่วงเวลา แม่น้ำชิงที่ท่วมเอ่อในเวลานี้สถานการณ์ยังไม่รุนแรงนัก ตามวิธีการเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มการป้องกันเขื่อนของใต้เท้าหลิวนั้น ถ้าหากอุทกภัยรุนแรงขึ้น ฝนตกไม่หยุด การเสริมความแข็งแรงของเขื่อนก็ได้แต่เพียงประวิงเวลาไว้เท่านั้น ถ้าหากกระแสน้ำพังเขื่อนแตก ผลที่ตามมาจะยิ่งรุนแรงเพคะ” 


 


 


“มิสู้การจัดการน้ำของต้าอวี่ในอดีต ยอมเสียสละที่นาบางส่วนทางปลายน้ำ อพยพชาวบ้านในพื้นที่ แล้วเปิดทางน้ำจากแม่น้ำชิงไปทางตะวันออก วิธีนี้สมควรทดลองดูนะเพคะ” 


 


 


เซียงฉือดูแผนที่ด้านข้างของแม่น้ำชิง เห็นทางด้านขวามีผืนนาแห่งหนึ่ง ต่อจากนั้นสามารถถ่ายเทน้ำเข้าไปในภูเขาใหญ่ข้างๆ คิดว่าวิธีการนี้คงจะใช้ได้ 


 


 


เซียงฉือพูดไปแล้วแต่ไม่ได้รับคำตอบจากหรงจิง เมื่อรออยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ต้องเงยหน้าขึ้น 


 


 


“เอ่อ ฝ่าบาท…” 


 


 


พอนางเงยหน้าก็ประสานเข้ากับสายตาลึกล้ำของหรงจิงพอดี ทำให้เซียงฉือตะลึงและลนลาน 


 


 


หรงจิงพ่นลมออกจมูกเบาๆ แผ่รายงานในมือออกแล้วมองดูเซียงฉืออย่างเปิดเผย 


 


 


เซียงฉือถูกสายตาเช่นนั้นจ้องจนลนลาน แต่นางก็ไม่กล้าขยับหนีหรงจิงในทันที เพราะนางรู้สึกว่าสายตาลึกล้ำของหรงจิงในขณะนี้แฝงการค้นหาอยู่ ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้นางไม่เป็นสุขอย่างยิ่ง ถึงจะดูเหมือนเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านยามอยู่ต่อหน้าหรงจิง แต่ก็ถูกเขาจ้องมองจนใบหน้าเริ่มแดงเรื่อขึ้นมา 


 


 


“ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าที่นอกระเบียงหน่อย” 


 


 


เซียงฉือต้องรออยู่นานกว่าจะได้ยินหรงจิงพูดออกมา นางเดินไปด้านข้างหยิบเสื้อคลุม จากนั้นเดินไปด้านหลังหรงจิงแล้วคลุมให้เขา ทำความเคารพแล้วเดินไปกับเขา 


 


 


 ระเบียงตำหนักเจิ้งหยางยาวอย่างยิ่ง เชื่อมติดต่อกันทั้งสี่ด้านแปดทิศ และเชื่อมไปถึงศาลาห้าเหลี่ยมในสวน หรงจิงเดินอยู่ข้างหน้า เซียงฉือเดินตามรอยไปข้างหลังไม่กล้าส่งเสียง 


 


 


เมื่อไปถึงศาลาทรงเหลี่ยม หรงจิงจึงได้หยุดเท้า มองเซียงฉือด้วยสายตาลึกซึ้ง 


 


 


“เซียงฉือ ที่เจ้ามาอยู่ข้างกายข้านี่ประสงค์สิ่งใด” 


 


 


เซียงฉือไม่เข้าใจคำพูดของหรงจิง นางเบิ่งตากว้าง มองดูสีหน้าหรงจิงผ่านโคมไฟด้านข้างที่โยกไหวเบาๆ 


 


 


นางเริ่มกังวลใจ เหตุใดหรงจิงจึงพูดแบบนี้ในเวลานี้ 


 


 


นางเอียงศีรษะใช้ความคิด 


 


 


หากนางบอกว่าเพื่อจะได้เป็นขุนนางแล้วจะได้ออกจากวัง จะต้องถูกหรงจิงหัวเราะเยาะแน่ๆ แต่หากบอกว่าเพื่อชาติและประชาชน สำหรับนางที่เป็นขุนนางเล็กๆ ขั้นที่เก้า ควรจะแบกทุกข์ของตนเองเสียก่อนจะไปแบกทุกข์แทนไพร่ฟ้าประชาชน 


 


 


แต่หรงจิงถามว่าประสงค์อะไรเช่นนี้ ตอบยากเสียแล้ว 


 


 


เซียงฉือเงยหน้า สายตาที่มองหรงจิงมีแววจริงจัง 


 


 


“สิ่งที่หม่อมฉันต้องการก็คือการมีชีวิตอยู่อย่างภาคภูมิสง่างาม ไม่เสียทีและไม่สำนึกเสียใจเพคะ” 


 


 


คำพูดของนางทำให้หรงจิงเลิกคิ้วข้างซ้ายขึ้นสูง เขาได้ยินเรื่องเพื่อชาติและประชาชนจนคุ้นชิน ได้ฟังปรัชญากษัตริย์กับไพร่ฟ้ามาก็มาก แต่ได้ยินเซียงฉือตอบเช่นนี้ก็สนใจขึ้นมาจึงเอ่ยปากถามนางอีกว่า 


 


 


“ภาคภูมิสง่างาม? ไม่เสียที?  ไม่สำนึกเสียใจ? ไหนลองอธิบายซิว่า อะไรที่ไม่เสียทีและไม่สำนึกเสียใจ” 


 


 


หรงจิงมักจะได้ยินขุนนางฝ่ายบุ๋นพูดว่าจะมอบกายถวายชีวิตทุ่มเททำงานสุดกำลังด้วยความรอบคอบ ส่วนขุนนางฝ่ายบู๊นั้นต่างพร้อมพลีชีพเพื่อปกป้องรักษาชาติบ้านเมือง เขาฟังมามากและเชื่อว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้น เขาให้ความสำคัญกับขุนนางใหญ่เหล่านั้นมาก แต่กับคำพูดของเซียงฉือทำให้เขาเกิดความสนใจ 


 


 


เซียงฉือคาดการณ์ได้ว่าหรงจิงจะเกิดความสนใจ ในตอนนี้จึงพูดออกไปโดยไม่ต้องคิดมาก 


 


 


“หม่อมฉันเป็นสตรี และยังเป็นข้าราชสำนักสตรีอีกด้วย แต่ก็มีความจงรักภักดีต่อชาติและราชวงศ์เฉกเช่นใต้เท้าในราชสำนักทั้งหลาย ยอมมอบกายถวายชีวิตทุ่มเททำงานเต็มกำลังเช่นกัน แต่ที่หม่อมฉันได้มาอยู่ข้างพระองค์และทูลความในใจต่อฝ่าบาทเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วก็เพื่อตนเองเพคะ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 279 ความเห็นที่คล้ายคลึง 


 


 


เซียงฉือบิดนิ้ว หยุดครู่หนึ่ง เมื่อเรียบเรียงความคิดแล้วจึงพูดออกไปอย่างราบเรียบ 


 


 


“พากเพียรเขียนอ่านอย่างยากลำบากมาสิบปี เพื่อวันนี้ที่ชื่อได้ขึ้นกระดาน เป็นชีวิตจริงของเหล่าขุนนางในแผ่นดิน สำหรับหม่อมฉันก็เช่นกัน เมื่อข้าราชสำนักสตรีมีการเปิดให้สอบ หม่อมฉันย่อมจะไม่ยอมให้เสียทีที่สู้ร่ำเรียนมาไปเปล่าเพคะ” 


 


 


“หม่อมฉันก็เหมือนกับขุนนางทั้งหลายที่ต้องขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ได้พบกับพระราชาผู้ทรงพระปรีชา ทำให้สามารถได้ใช้ความรู้ ดังนั้นการไม่เสียทีคือความลำบากที่สู้พากเพียรศึกษาเล่าเรียนมานานปี ชีวิตนี้สั้นนัก ยากนักที่จะได้ทำในสิ่งที่ตนเองปรารถนา ดังนั้นจึงกล่าวว่าไม่สำนึกเสียใจเพคะ” 


 


 


เซียงฉือพูดขึ้นด้วยดวงตาทอประกายวิบวับ หรงจิงเห็นแล้วก็ชื่นชอบ หญิงสาวคนนี้ช่างแตกต่างจริงๆ 


 


 


ที่หรงจิงถามนางเช่นนี้เพราะเกิดความคิดเห็นแก่ตัวขึ้น ถึงจะบอกว่าหญิงสาวในวังนี้ล้วนเป็นของเขาก็ตาม แต่เขาไม่ชอบการบีบบังคับ หากยินยอมก็คือยินยอมไม่ยินยอมก็คือไม่ยินยอม 


 


 


เขาชื่นชอบความฉลาดเฉลียวของผู้หญิงคนนี้ และยิ่งชื่นชมความใจกล้าในการจัดการงานราชการ เขาขึ้นครองราชย์ตั้งแต่เยาว์วัย และยอมรับว่าตนเองไม่มีความสามารถเทียบเท่าปฐมกษัตริย์ผู้บุกเบิกแคว้น แต่ก็ไม่ยินยอมที่จะเป็นเพียงกษัตริย์เฝ้าวังที่ไม่มีผลงานแม้แต่น้อย 


 


 


หลายปีมานี้เขาขยันในราชกิจ ให้ความสำคัญกับประชาชน ทำให้ชาติรุ่งเรือง ราษฎรกินดีอยู่ดี ไฟในใจยิ่งติดก็ยิ่งร้อนแรง พอได้ยินเซียงฉือพูดถึง ไม่เสียทีและไม่สำนึกเสียใจภายหลังแล้ว 


 


 


นั่นมิใช่เป็นคำพูดสำหรับเขาหรอกหรือ เขามีแผนยุทธศาสตร์ในการสร้างบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ย่อมไม่สมควรทรยศตนเอง และร้อยปีหลังจากนี้จะต้องไม่ให้ตนเองต้องสำนึกเสียใจด้วย 


 


 


คิดดังนี้แล้วทำให้เขารู้สึกว่าความคิดของหญิงสาวคนนี้กับตนเองนั้นใกล้เคียงกันมาก 


 


 


จึงยิ่งนิยมชมชอบนางอยู่ในใจ แต่เขาก็ไม่ได้ดีใจ หญิงสาวเช่นนี้หากเขารับเข้ามาอยู่ในวังหลังแล้ว นั่นจะไม่เป็นการทำให้นางสำนึกเสียใจ ทรยศต่อความรู้ความสามารถที่นางมีอยู่หรอกหรือ 


 


 


หรงจิงคิดดังนี้แล้วรู้สึกหงุดหงิดใจจึงเงียบไปนาน 


 


 


เซียงฉือไม่อาจรู้เลยว่าภายในช่วงเวลาสั้นๆ หรงจิงจะมีความคิดมากมายเช่นนี้ ตอนนี้นางไม่เข้าใจหรงจิง เมื่อพูดไปแล้วเห็นเขาไม่ตอบจึงกังวลใจ 


 


 


ถ้าซูกงกงอยู่ด้วยในตอนนี้คงจะแนะนำนางได้ว่าไม่ต้องตระหนกตกใจ แต่ซูกงกงไม่อยู่ ตอนนี้มีเพียงพวกนางสองคนเท่านั้น 


 


 


เซียงฉือเอียงศีรษะมองหรงจิงด้วยความกังวล เมื่อหรงจิงหันหน้ากลับมาก็เห็นสายตาค้นหาของนางเข้าจึงยิ้ม 


 


 


“เลิศนักไม่ทรยศตนเอง ยอดเยี่ยมทีเดียวไม่สำนึกเสียใจ!” 


 


 


“เซียงฉือ เจ้าเป็นหญิงสาวที่ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ น่าจะเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรที่เหมาะสมที่สุด ข้าจะให้ความสำคัญกับเจ้าให้มาก” 


 


 


ได้ยินแล้วเซียงฉือก็ถอนหายใจยาวๆ แต่คิ้วกลับขมวดเล็กน้อย 


 


 


นี่นางทำเกินไปหรือไม่ นางคิดเพียงต้องการให้ได้ออกจากวัง แต่ความหมายของฝ่าบาท เหมือนจะใช้งานนางตลอดไป 


 


 


หรงจิงเห็นท่าทางนางเหมือนเจือความผิดหวังอยู่ ความรู้สึกนั้นทำให้เขาอึ้งไป เขาเป็นคนดูคนแม่น เซียงฉือเป็นผู้หญิงมีความคิด แตกต่างจากผู้หญิงในวังหลังพวกนั้น ต่อไปหากเขาเพิ่มการแนะนำสักนิด ย่อมต้องเป็นแขนซ้ายขวาที่มีพลังยิ่งกว่าเหอจิ่นเซ่อและสวี่อี้เสียอีก 


 


 


ความคิดนี้กับการจะให้นางเป็นตาอิ้งเพื่อไปประชันแต่งแต้มความงามกับเหล่าสตรีในวังหลังนั้น มิสู้เก็บนางไว้ข้างกายเช่นนี้จะทำให้เขาวางใจได้มากกว่า 


 


 


หรงจิงยื่นมือไปจับไหล่เซียงฉือบีบเบาๆ 


 


 


สายตาของทั้งสองประสานกัน เซียงฉือก้มหน้าตอบอย่างไม่คุ้นชินว่า 


 


 


“ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญเรียกใช้เป็นวาสนาของหม่อมฉัน พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงเห็นความสำคัญนี้ หม่อมฉันจะไม่มีวันลืมเลยเพคะ” 


 


 


เซียงฉือในตอนนี้ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรจึงเพียงพูดคำสำนึกบุญคุณ และทำให้เบี่ยงเบนออกจากหัวข้อสนทนานี้ หรงจิงมองดูนางแล้วยิ้มจางๆ 


 


 


“เช่นนั้นตอนนี้ก็มาปรึกษากันเรื่องแผนการจัดการน้ำที่เจ้าพูดเมื่อครู่” หรงจิงฟังคำพูดสำนึกบุญคุณนางแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อสนทนากลับสู่เรื่องการจัดการน้ำท่วมที่พูดคุยกันเมื่อครู่ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม