วาสนาบันดาลรัก 272-278

ตอนที่ 272 เกิดความคิด

 

นางเถียนอาการทรุดหนักลงมาก ทว่านางมิได้ป่วยเพราะโทสะเช่นครั้งก่อนที่พักเพียงไม่กี่วันอาการก็ค่อยๆ ดีขึ้น


 


 


ครานี้ดูจะร้ายแรงกว่าแต่ก่อนมาก นางนอนป่วยอยู่บนเตียงหลายวันแต่อาการกลับยิ่งหนักขึ้น ต้องเชิญหมอถึงสามคนมารักษา อาการจึงค่อยๆ ดีขึ้น


 


 


นอกจากคุณชายสามที่ล้มป่วยอยู่นั้น บุตรสาวบุตรชายทุกคนต่างผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลติดต่อกันอยู่หลายวัน อย่าว่าแต่คุณหนูใหญ่สกุลหลัวที่งดงามราวบุปผาต้องสูญเสียความสดใสไป แม้แต่คุณชายรองซึ่งเป็นบุรุษยังนับวันยิ่งผ่ายผอม


 


 


อย่างไรก็เป็นสามีภรรยากันมาเกือบยี่สิบปีแล้ว เมื่อนายท่านรองสกุลหลัวเห็นภรรยาล้มป่วยลงก็มิใช่ว่าจะไม่รู้สึกผิดอันใดเลย จึงได้แต่แข็งใจไม่ไปที่เรือนฝั่งตะวันตก นอกจากไปเยี่ยมนางเถียนที่เรือนหลักแล้วก็อยู่แค่ห้องตำราเท่านั้น


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมิเอ่ยถึงเรื่องที่หลัวจือหยาต้องแต่งออกไปแดนไกลจึงรู้สึกเป็นกังวล สายตาที่คุณชายรองมองบิดาก็แฝงความอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวมองคุณชายรองที่มีหน้าตาไม่ต่างอันใดกับคุณชายสามนักก็ได้แต่ทอดถอนใจและรู้สึกเสียใจขึ้นมาที่วันนั้นลงมือหนักเกินไปสักหน่อย


 


 


แม้นจะมีคำกล่าวที่ว่ามารดาเมตตาบิดาเคร่งครัด ไม้เรียวสอนให้บุตรรู้ชอบกตัญญู แต่การตีบุตรชายจนลุกจากเตียงไม่ได้ในช่วงเวลาใกล้วันตรุษเช่นนี้ หากตรองให้ลึกแล้วการกระทำเช่นนี้ก็เพราะมีความเกี่ยวข้องกับสาวใช้ทงฝังของตน นั้นย่อมเป็นเรื่องอันไม่น่าฟังนัก


 


 


กระทั่งนางเถียนดื่มยาเสร็จ นายท่านรองสกุลหลัวก็ไปที่ห้องโถงใหญ่แล้วเอ่ยกับคุณชายรองว่า “แม้นเจ้ากับเจ้าสามจะเกิดห่างกันไม่นาน แต่อย่างไรเจ้าก็เป็นพี่ หากไม่มีธุระอันใดก็ไปอยู่เป็นเพื่อนเขา สั่งสอนอบรมเขาสักหน่อย ต่อไปจะได้มิกระทำอันใดบุ่มบ่ามอีก”


 


 


คุณชายรองแค่นหัวเราะอยู่ในใจทั้งลอบกล่าวว่าบิดานั้นถูกความงามทำให้ดวงตามืดมัวไปหมดแล้ว


 


 


ยามนี้นอกจากเขาที่เป็นพี่ชายแล้ว บิดามารดาล้วนไม่ทราบว่าเจ้าสามนั้นมีใจให้กับเยียนเหนียงนานแล้ว เพียงเข้าใจว่าเป็นแค่ความเข้าใจผิดเท่านั้น แต่แม้นจะเป็นเช่นนั้นก็ควรจักต้องนำตัวสาวใช้ทงฝังผู้นั้นไปโบยให้ตายหรือขายออกไปให้ไกลเพื่อป้องกันคนที่คิดร้ายหรือเหตุไม่คาดฝันในภายหลัง นั้นจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง


 


 


แต่ยามนี้เยียนเหนียงยังคงอยู่ในเรือนฝั่งตะวันตกอย่างมีความสุข ดูท่านางคงมีตำแหน่งในใจของบิดาไม่น้อย


 


 


“ลูกทราบแล้วขอรับ” ใบหน้าของคุณชายรองเต็มไปด้วยความอ่อนโยนคล้อยตามบิดา


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวพอใจยิ่ง


 


 


ในบรรดาบุตรทุกคน เจ้ารองเป็นคนที่ได้ดั่งใจเขาที่สุด


 


 


“นายท่าน ต้าไหน่ไหน่มาเจ้าค่ะ”


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวและคุณชายรองต่างสบตากัน


 


 


ปรกติแล้วเวลาเช่นนี้พวกเราไม่มีทางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ยามนี้นางเถียนล้มป่วย ทั้งเป็นช่วงใกล้วันตรุษ ศาลาว่าการต่างๆ ล้วนหยุดทำการ จึงเป็นกรณีพิเศษ


 


 


“เชิญต้าไหน่ไหน่เข้ามา” นายท่านรองสกุลหลัวเอ่ยปาก


 


 


ไม่นานเจินเมี่ยวก็เดินเข้ามา อาหลวนและชิงเกอคอยตามติดอยู่ด้านหลัง ในมือพวกนางต่างก็มีสิ่งของ


 


 


“ท่านอารอง หลานสะใภ้มาเยี่ยมท่านอาสะใภ้เจ้าค่ะ วันนี้อาการดีขึ้นบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”               เจินเมี่ยวย่อกายคารวะ


 


 


กล่าวไปแล้วก็รู้สึกจนใจยิ่ง เมื่อนางเถียนล้มป่วยลง การดูแลจวนทุกอย่างก็มิอาจยึดกุมเอาไว้ ได้แต่ปล่อยให้เจินเมี่ยวทั้งหมด


 


 


เคราะห์ดีที่เจินเมี่ยวมิใช่พวกแม้นตายก็มิยอมเสียหน้า เรื่องใดที่นางไม่เข้าใจก็จะไปหานางซ่งและนางชีให้ช่วยชี้แนะ เมื่อไปมาหาสู่กันบ่อยเข้านางก็ค่อยๆ สนิทสนมกับอาสะใภ้ทั้งสองขึ้นมาบ้างเล็กน้อย


 


 


นางชีนั้นก็แล้วไปเถิด อย่างไรก็มิได้สนใจเรื่องดูแลจวนมาหลายปีแล้ว แม้นจะเป็นคนฉลาดแต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่นางซ่งนั้นมิใช่


 


 


เดิมก็มาจากชาติตระกูลสูงศักดิ์ เรื่องการถูกอบรมมาอย่างดีนั้นมิต้องพูดถึง แต่ความฉลาดนั้นนับว่าหาตัวจับได้ยากยิ่ง หลายปีมานี่นางเถียนมีอำนาจในการดูแลจวนแต่เพียงผู้เดียว แม้นนางมิได้ยื่นมือเข้าแทรก แต่ก็มองดูอยู่ตลอด นางจึงรู้ดีว่าเรื่องใดควรจัดการอย่างไร


 


 


มีเพียงแม่นมของนางที่รู้สึกไม่ชอบใจ ได้แต่เอ่ยตัดพ้อว่า “ฮูหยินรองมิใช่สะใภ้ใหญ่ ชาติกำเนิดก็มิเท่าใด แต่กลับได้ดูแลจวนนับสิบปี ยามนี้ล้มป่วยลง แต่ท่านกลับเป็นได้เพียงผู้ช่วยเช่นเดิม?”


 


 


ครั้นวาจานี้กล่าวออกมาก็ถูกนางซ่งวนกลับทันควัน “งานของพี่สะใภ้รองนั้นเหนื่อยจนแทบสิ้นชีวิต แต่กลับกลายเป็นเพียงการตัดอาภรณ์เจ้าสาวให้ผู้อื่น ตนมิได้ประโยชน์อันใดเลย แล้วข้าจะไปทำหน้าที่นี้ให้เหนื่อยทำไม? ไม่สู้คอยช่วยเหลือหลานสะใภ้ให้นางค่อยๆ เก่งขึ้น ภายหน้าต้าหลังกับเจ้าสี่ปรองดองรักใคร่กัน ข้าก็พลอยสุขสบายไปด้วย ต่อไปอย่าพูดอันใดทำนองนี้อีก! ”


 


 


นางได้แต่แค่นยิ้มในใจ นางเถียนแม้นตระกูลจะร่ำรวยแต่กลับมิได้สูงศักดิ์อันใด ชาติกำเนิดที่ไม่สมบูรณ์พร้อมย่อมหล่อหลอมคนที่หูตาคับแคบ ความคิดตื้นเขิน


 


 


นางซ่งมีใจส่งเสริม นางชีอยากตอบแทนบุญคุณ นางซาบซึ้งใจยิ่งที่เจินเมี่ยวตามหานายท่านสี่กลับคืนมาได้ทั้งยังแสดงจุดยืนอันชัดเจนกับหูอี๋เหนียง เจินเมี่ยวเองก็มิใช่คนโง่งม จวนกั๋วกงใหญ่โตเพียงนี้ ยิ่งโดยเฉพาะในช่วงใกล้วันตรุษยิ่งมีงานมากมายให้จัดการ แต่นางก็มิเคยทำผิดพลาดเลยสักอย่าง หรือแม้แต่เข้าไปรบกวนฮูหยินผู้เฒ่าสักครั้งก็ไม่มี


 


 


แต่เพราะเป็นเช่นนี้ ทุกวันเจินเมี่ยวนั้นยุ่งจนเท้ามิติดพื้น ปากก็เกิดแผลร้อนใน แม้นจะเป็นเช่นนี้แต่เจินเมี่ยวก็ยังต้องไปเยี่ยมนางเถียนทุกวันเพื่อแสดงความห่วงใยในฐานะหลานสะใภ้


 


 


แม้นจะเสียเวลาไปบ้างเจินเมี่ยวกลับมิได้รู้สึกอันใด แต่ใจนางต่างหากที่นับวันยิ่งรู้สึกไม่ชอบคนบ้านรองเข้าไปทุกที แต่กลับต้องคอยระวังสายตาของคนรอบข้างทำให้รู้สึกเจ็บใจอยู่บ้าง


 


 


ยุคสมัยนี้นั้นคำว่ากตัญญูแทบจะทับคนตายได้เลยทีเดียว เจินเมี่ยวรู้สึกโชคดียิ่งที่คนผู้นั้นมิใช่แม่สามีนาง


 


 


หากแม่สามีคิดจะทรมานสะใภ้นั้นมีวิธีมากมาย มิต้องพูดไกล แค่นางเถียนล้มป่วยลง สะใภ้ก็ต้องมาคอยปรนนิบัติทั้งกลางวันกลางคืน ผู้ใดจะบอกว่า ‘ไม่’ ได้เล่า


 


 


กลางวันยังพอทำเนาแต่หากกลางคืนเอาแต่ตื่นนอน ประเดี๋ยวเอาน้ำ ประเดี๋ยวดื่มชา นวดขาทุบหลัง ถูกทรมานเช่นนี้สักสามวัน แม้แต่คนดีก็อาจต้องสลัดคราบอันแสนดีนั้น เมื่อกลับถึงเรือนตนก็มิต้องเอ่ยถึงเวลาในการปรนนิบัติสามีเลย แค่มิล้มป่วยตามไปด้วยก็นับว่าดียิ่งแล้ว


 


 


มีคนมากมายที่เจตนากดข่มสะใภ้ โดยอาศัยโอกาสเช่นนี้ส่งสตรีไปเพิ่มในเรือนบุตรชายตน หรือไม่สามีก็ถูกสาวใช้ทงฝังยึดตัวไว้เพราะภรรยาไม่มีเวลาปรนนิบัติ


 


 


หากจะกล่าวว่าเหตุใดเจินเมี่ยวจึงรู้เรื่องอันบิดเบี้ยวเหล่านี้ได้นั้นก็คงเป็นเพราะเจินเหยียนนั้นแล สองพี่น้องมีความผูกพันที่ลึกซึ้ง เจินเมี่ยวเป็นห่วงเจินเหยียนจึงพยายามหาเวลาว่างไปเยี่ยมนางด้วยตนเองสักครั้ง จึงได้ฟังเรื่องเหล่านี้จากปากเจินเหยียนเอง


 


 


ตอนนั้นเจินเมี่ยวถึงกับอึ้งไปเลย ปฏิกิริยาแรกคือ อามิตตาพุทธ โชคดีที่นางไม่แม่สามี และท่านย่าก็เป็นคนใจดี


 


 


ต่อมาก็ต้องปาดเหงื่อด้วยความละอาย บุรุษในใต้หล้ามีผู้ใดบ้างไม่มีบิดามารดา นางคิดเช่นนี้ออกจะเห็นแก่ตัวไปหรือไม่


 


 


มิต้องพูดถึงผู้อื่น หากมารดาของหลัวเทียนเฉิงยังอยู่ เขาก็อาจจะไม่มีปมเช่นนั้นเป็นแน่


 


 


หลายวันมานี่หลัวเทียนเฉิงพอมีเวลาว่างอยู่สักหน่อยจึงคอยอยู่กับนางทั้งวันทั้งคืน แม้นมิได้ทำเรื่องเช่นนั้น แต่เขากลับอ่อนโยนกับนางมาก ทั้งเอาใจนางสารพัด


 


 


เจินเมี่ยวมิใช่คนแสนงอน หากตัดรูปลักษณ์ดุจบุปผางามของนางออกไปแล้วนางก็มีอุปนิสัยคล้ายเด็กหนุ่มที่ใจกล้าเปิดเผย เมื่อคนทั้งสองอยู่ด้วยกันทุกวันความสัมพันธ์ก็นับวันดีขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ครั้นได้ฟังวาจานั้นของเจินเหยียน ความสงสารภายในใจที่มีต่อหลัวเทียนเฉิงก็เพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน


 


 


หลังจากนั้นเจินเมี่ยวก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อเอ่ยถามถึงความหมายในวาจาที่เจินเหยียนกล่าว หรือแม่สามีของนางก็ใช้เล่ห์กลเหล่านี้กับนางเช่นกัน


 


 


ความจริงเจินเหยียนนั้นคอยเป็นห่วงน้องสาวผู้ออกจะใสซื่อผู้นี้อยู่บ้าง แม้นบางเรื่องจะมิควรบอกผู้อื่น แต่เพื่อให้น้องสาวมิเดินผิดทางนางจึงต้องบอกเล่าเรื่องราวที่แท้จริงอยู่หลายส่วน


 


 


ที่แท้มิใช่แม่สามีที่รังแกนาง แต่กลับเป็นย่าของเขาต่างหาก


 


 


อย่างที่เคยพูดไปแล้วว่า เหล่าไท่จวินจวนเสนาบดีนั้นลำบากมาตั้งแต่เยาว์วัย ฐานะยากจน แม้นต่อมาจะกลายเป็นคนมียศถาบรรดาศักดิ์ แต่การกระทำเรื่องบางอย่างก็ผิดแปลกไปสักหน่อย มิได้เป็นไปอย่างที่คนมีบรรดาศักดิ์ทั้งหลายทำกัน


 


 


จุดที่ชัดที่สุดคือนางนั้นให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์อย่างที่สุดแต่กลับกระทำกลับเป็นอีกอย่าง และการกดข่มหลานสะใภ้ก็เป็นอีกกลวิธีหนึ่ง


 


 


เจินเหยียนเล่าถึงแผนการต่างๆ ที่เหล่าไท่จวินนำมาใช้กับนาง และนางตอบโต้คืนอย่างไรให้เจินเมี่ยวฟัง


 


 


เจินเมี่ยวฟังแล้วถึงกับถอนหายใจติดๆ กันออกมา “แม้แต่ยามที่กำลังตั้งครรภ์ท่านก็ยังต้องมาคอยกังวลใจ”


 


 


เจินเหยียนกุมท้อตนแล้วยิ้ม “สตรีในใต้หล้า หากแม้นออกเรือนไปแล้วจะมีผู้ใดบ้างที่จะไม่กังวล เจ้าแค่เป็นคนโง่ที่มีวาสนาก็เท่านั้น”


 


 


แม้นจะกล่าวเช่นนี้แต่น้องเขยผู้นั้นของนางก็มีสาวใช้ทงฝังอยู่สองสามคนมิใช่หรือ แต่ตระกูลบัณฑิตเช่นจวนเสนาบดีมิเคยจัดหาสาวใช้ทงฝังให้กับคุณชายก่อนที่จะแต่งภรรยามาก่อน นี่เป็นข้อดีกว่าตระกูลสูงศักดิ์อยู่บ้าง


 


 


เพียงแต่วาจานี้อาจแทงใจน้องสาวตน เจินเหยียนจึงมิได้เอ่ยถึง เมื่อคิดได้ว่านางตั้งครรภ์เช่นนี้แต่สามีกลับมีนางเพียงคนเดียวจึงเก็บความเขินอายนั้นไว้แล้วเล่าถึงเคล็ดลับนั้นให้เจินเมี่ยวฟัง


 


 


เจินเมี่ยวฟังแล้วถึงกับอ้าปากตาค้าง


 


 


นางคิดว่าสตรีโบราณจักต้องเก็บงำและสงวนท่าที คิดไม่ถึงว่าจะเข้าใจผิดมหันต์ นางรู้สึกตกใจยิ่งแต่ขณะเดียวกันก็ซาบซึ้งยิ่ง สมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน เพราะนางถึงกับยอมบอกเรื่องเช่นนี้กับตนเพื่อต่อไปนางจักได้มิเสียเปรียบผู้อื่น


 


 


การไปจวนเสนาบดีครั้งนี้ทำให้ความผูกพันระหว่างพี่น้องลึกซึ้งขึ้นไปอีกอย่างมิต้องสงสัย


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวรู้สึกไม่ชอบใจจึงมองเจินเมี่ยวแววตาที่แฝงความเย็นชา แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “อาสะใภ้เจ้าดีขึ้นแล้ว เข้าไปเถิด”


 


 


แล้วส่งสัญญาณให้คุณชายรองเดินออกไปกับเขา แต่เมื่อชำเลืองมองก็เห็นว่าสายตาของเขานั้นมัวแต่จ้องอยู่ที่ใบหน้าเจินเมี่ยวจึงอดกระแอมไอขึ้นมามิได้


 


 


คุณชายรองจึงละสายตาจากนางแล้วเดินตามนายท่านรองสกุลหลัวออกไปด้านนอก แต่จิตใจกับลอยละล่องไปแสนไกลแล้ว


 


 


หากกกล่าวกันที่รูปโฉม พี่สะใภ้กับเยียนเหนียงก็งดงามดุจบุปผาในยามวสันต์ไม่ต่างกัน แต่เหตุใดวันนั้นที่เขาเห็นนางครั้งแรกกลับใจเต้นระรัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เล่า? ทว่าเมื่อพบกับพี่สะใภ้เขากลับไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย


 


 


คุณชายรองยอมรับว่าตนมิใช่คนหลงใหลในอิสตรีถึงเพียงนั้น แม้นในเรือนจะมีสาวใช้ทงฝังถึงสองคน แต่นอกจากความอยากรู้อยากลองเมื่อคราแรกเริ่มนั้นแล้ว เขาก็ไปหาสาวใช้ทงฝังเพียงเดือนละสองสามครั้งเท่านั้น และมิใช่ว่าไม่เคยไปยังสถานที่เช่นนั้นกับสหาย แม้นเขาจะไปด้วยแต่ทุกคราที่เห็นสตรีที่คอยมาต้อนรับเหล่านั้นเขาก็รู้สึกกระดากใจ กระทั่งไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเหตุใดพวกเขาจึงเข้าไปเกลือกกลั้วด้วย ในความคิดเขานั้นหากต้องการก็มิสู้กลับมาหาสาวใช้ทงฝังของตนดีกว่า อย่างไรก็สะอาดกว่า


 


 


หนุ่มน้อยน้อยย่อมเต็มไปด้วยพละกำลัง อย่างไรก็ต้องมีที่ระบายบ้าง คุณชายรองมิใช่คนลุ่มหลงนารีแต่กลับเอาความคิดและจิตใจวางไว้กับการเล่าเรียนและบิดามารดา


 


 


เรื่องเล่าเรียนนั้นมิจำเป็นต้องพูดถึงแต่เหตุใดจึงเอ่ยถึงบิดามารดาเล่า?


 


 


พูดไปแล้วก็ไม่มีอันใดซับซ้อนเลย คุณชายรองนั้นเป็นคนฉลาด คนฉลาดก็ย่อมมีความทุกข์ของคนฉลาด


 


 


บิดามารดาต่างใช้เล่ห์กลทำให้เขาสับสนมาตั้งแต่เยาว์แล้ว ทำให้เขาคิดว่าบิดามารดารักพี่ใหญ่มากกว่า แต่เมื่อเริ่มโตขึ้นก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลยิ่ง หลังจากที่เขาได้เข้าไปร่วมตามหาพี่ใหญ่ที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายผู้นั้นด้วยตนเอง ความจริงทุกอย่างก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น


 


 


ในชั่วขณะที่เข้าใจความจริงทั้งหมด หลัวจากความตกใจนั้นผ่านไป ความรู้ละอายที่เปราะบางดุจหมอกควันสายหนึ่งก็ถูกความอยากรู้อยากเห็นเข้ามาบดบังแทน


 


 


ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเอาตัวเองไปเปรียบกับพี่ใหญ่ตลอด แต่ก็มิเคยยอมจำนนเลยสักครั้ง เส้นทางนี้ที่บิดามารดาเลือกคล้ายได้ชี้แนะแนวทางให้เขาแล้ว!


 


 


คุณชายรองเม้มริมฝีปากตนแล้วหันหลังกลับไปก็เห็นชายกระโปรงสีชมพูหม่นหายลับไปหลังผ้าม่านก็ยิ้มออกมา 

 

 


ตอนที่ 273 ความสงสัยของเจินเมี่ยว

 

โชคดีที่วันนี้ได้พบกับพี่สะใภ้ทำให้เขาเข้าใจในทันทีว่านอกจากรูปโฉมแล้ว เยียนเหนียงต้องมีบางอย่างที่ไม่เหมือนคนทั่วไปเป็นแน่!


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้คุณชายรองก็กำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น


 


 


เขาก็อยากจะไปพิสูจน์ด้วยตนเองสักครั้งว่าสตรีผู้นั้นจะพิเศษสักเพียงใดกัน


 


 


ปกติน้องสามเป็นคนที่เคารพในกฎระเบียบมากจึงน้อยนักที่จะมาเรือนหลัง นางเป็นแค่สาวใช้ทงฝังคนหนึ่งแต่กลับล่อลวงจนน้องสามจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวได้โดยมิต้องทำอันใดเลย ทั้งในขณะที่คิดปลิดชีพตนเพราะความละอายใจนั้นก็ยังปกป้องนาง เช่นนั้นพี่ใหญ่จะสามารถต้านทานหญิงงามเช่นนี้ได้หรือไม่?


 


 


คุณชายรองมั่นใจยิ่งว่าตนสามารถต้านทานหญิงงามได้มากกว่าพี่ใหญ่เป็นแน่ มิต้องพูดถึงสาวใช้ทงฝังที่มีมาก่อนจะแต่งงานด้วยซ้ำ แค่ตอนนี้เขาก็ได้ยินมาแล้วว่าระหว่างที่พี่ใหญ่ทำงานอยู่ที่ศาลาว่าการก็ยังให้องครักษ์ส่งของขวัญมาให้พี่สะใภ้ทุกวัน ช่างน่าขันจริงๆ แม้นจะงามปานเทพธิดาเขาก็ไม่มีทางทำเรื่องโง่งมเช่นนั้นเด็ดขาด


 


 


หากพูดไปแล้ว หากพูดถึงความฉลาดหลักแหลมแล้ว ในบรรดาบุตรของบ้านรองนั้นก็คงหนีไม่พ้นคุณชายรอง เขาไม่เพียงฉลาดแต่ยังสุขุม แต่คนเช่นนี้ก็มีข้อบกพร่องอยู่อย่างหนึ่งคือชอบควบคุมทุกอย่างมากเกินไป


 


 


เขารู้สึกสนใจในตัวเยียนเหนียงทั้งยังคิดจะใช้นางทำลายชื่อเสียงของหลัวเทียนเฉิง อยากจะเห็นกับตายิ่งนักว่าเยียนเหนียงผู้นี้มีดีที่ตรงใดกัน


 


 


ขอเพียงคนผู้นี้เกิดความสนใจในตัวคนผู้ใด เขาก็มักจะหาโอกาสเหมาะๆ ได้เสมอ


 


 


โอกาสที่ว่านี้ก็คือวันขึ้นตรุษใหม่นั้นเอง


 


 


วันนี้เองที่ฮูหยินผู้เฒ่าจักต้องแต่งกายเต็มยศพร้อมนำสะใภ้ทั้งสองและเจินเมี่ยวหลานสะใภ้เข้าวังไปพร้อมกัน ในจวนจึงเหลือเพียงเหล่ากั๋วกงที่สติไม่ค่อยดีและนางเถียนซึ่งพักรักษาตัวอยู่กับบรรดาเด็กๆ


 


 


ในช่วงเฉลิมฉลองเริ่มตรุษใหม่นี้ผู้คนต่างออกไปเที่ยวละเล่น บ่าวไพร่ที่คอยเฝ้าประตูทนความเหงาหงอยไม่ไหวต่างออกไปดื่มสุราเล่นไพ่หมดแล้ว คุณชายรองจึงเข้าไปที่เรือนหลังอย่างแนบเนียน


 


 


เขามิได้ทำตัวลับล่อใดๆ ทั้งสิ้น ที่นี่คือจวนของเขา แม้นการเข้ามาในเรือนหลังจะมิใคร่เหมาะสมนักแต่การไปเยี่ยมมารดาที่กำลังป่วยหนักในวันตรุษนั้นกลับเป็นสิ่งที่ลูกกตัญญูควรทำ


 


 


จวนกั๋วกงมีพื้นที่กว้างใหญ่ ศาลา เรือนพัก สะพาน ทางเดินล้วน สุมทุ่มพุ่มไม้ต่างแขวนประดับไปด้วยผ้าสีแดงที่พัดโบกสะบัดต้อนรับสายลม ทำให้บรรยากาศดูคึกคักขึ้นอีก


 


 


สาวใช้ทั้งหลายต่างรวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลอง ภายในสวนที่งดงามแห่งนี้กลับมีคนอยู่น้อยมาก ตลอดทางคุณชายรองพบกับบ่าวไพร่แค่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น เมื่อเข้าไปเยี่ยมนางเถียนในเรือนแล้วก็ออกมายืนสูดอากาศอยู่บนบันได เขารู้สึกคล้ายกลิ่นยาสมุนไพรยังคงลอยวนอยู่ปลายจมูกอยู่เลย


 


 


คุณชายรองหันมองไปที่ประตูจันทราฝั่งเรือนตะวันตกอย่างไม่รู้ตัว


 


 


หากข้ามประตูนี้ไปก็จะเป็นเรือนฝั่งตะวันตกอันเป็นสถานที่ที่สตรีผู้ล่อลวงวิญญาณของท่านพ่อกับน้องสามอาศัยอยู่


 


 


คุณชายรองค่อยๆ ก้าวผ่านประตูจันทรานั้นไป เขาอาศัยพุ่มไม้ที่ปลูกประดับไว้กระโดดข้ามกำแพงเตี้ยหลังเรือนฝั่งตะวันตกเข้าไป แล้วซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่ง


 


 


ใต้ต้นเซียงจังมีโต๊ะและเก้าอี้หินอ่อนถูกจัดวางไว้เพื่อใช้ในนั่งให้ความเย็นสบายในยามเหมันต์ แต่ตอนนี้กลับถูกปูทับด้วยผ้าผืนหนา มีสตรีชุดเขียวผู้หนึ่งและสาวใช้สองคนนั่งอยู่ด้วยกัน


 


 


สตรีชุดเขียวผู้นั้นก้มอยู่ นากำลังใช้กรรไกรตัดอันใดบางอย่างอยู่ เศษกระดาษสีแดงชิ้นเล็กๆ ร่วงกระจายเต็มพื้นหิมะสีขาว ดูงดงามคล้ายภาพบุปผาร่วงหล่นสลายกลายเป็นดินขับให้สตรีชุดเขียวที่นั่งอยู่ตรงนั้นดูบริสุทธิ์สูงส่งในอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะต้องตัดกระดาษ นางจึงถลกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นข้อมือขาวผ่องดุจหิมะโผล่ออกมา ภายใต้ความบริสุทธิ์และสูงส่งนั้นกลับมีความยั่วยวนที่มิอาจบรรยายได้ซ่อนอยู่


 


 


การยั่วยวนนี้ไม่เหมือนกับบรรดาสตรีงดงามที่ขายรอยยิ้มพวกนั้น ทั้งไม่เหมือนอนุที่พยายามยั่วเย้าแย่งชิงรัก แต่เป็นสตรีสูงศักดิ์ผู้เพียบพร้อมที่มิเคยแปดเปื้อนโลกีย์ใดแต่กลับมิอาจปิดบังเสน่ห์อันน่าค้นหาที่ซ่อนอยู่ภายในได้


 


 


ความงามของเยียนเหนียงดั่งความงามของบงกชอันพิสุทธิ์สูงส่งกำลังค่อยๆ ผลิบานออกจนเผยให้เห็นเกสรสีแดงภายใน เป็นความงามตามธรรมชาติโดยแท้จริง แต่เพราะความงดงามอันสูงสง่านี้มาอยู่ในตัวนางผู้มีฐานะต่ำต้อยจึงยิ่งทำให้เกิดแรงดึงดูดอันน่าประหลาดต่อบุรุษเพศ


 


 


แม้นคุณชายรองจะเป็นผู้สุขุมรู้จักควบคุมจิตใจตน แต่ด้วยอายุเพียงเท่านี้จึงไม่เข้าใจถึงเสน่ห์ยั่วยวนอันน่าอัศจรรย์นี้ สายตาเขาร่วงตกอยู่ที่ข้อมือขาวดุจหิมะนั้นดั่งตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะจึงค่อยละสายตาออกมาด้วยความตกใจ


 


 


เยียนเหนียงผู้นี้ช่างน่าสนใจจริงๆ!


 


 


“โอ้โห พี่สาวตัดภาพสาลิกาเคียงดอกเหมยได้งดงามจริงๆ!” สาวใช้ผู้หนึ่งตบมือขึ้น


 


 


ฐานะของเยียนเหนียงนั้นช่างพูดยาก สาวใช้น้อยทั้งสองจึงเรียกขานนางว่า ‘พี่สาว’


 


 


สาวใช้อีกผู้หนึ่งดูนิ่งขรึมกว่าเล็กน้อย เมื่อเห็นเยียนเหนียงตัดกระดาษมงคลเสร็จก็นำไม้กวาดมากวาดหิมะและเศษกระดาษบนพื้นทันที แต่กลับได้ยินเสียงกังวานใสนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้อง ทิ้งไว้เช่นนี้ก็ทำให้บรรยากาศคึกคักดี”


 


 


เยียนเหนียงพูดพลางลุกขึ้นหันหลังกลับ “ข้าเข้าไปพักในเรือนสักครู่ พวกเจ้าไปเรียกแม่นมสองคนให้ออกมาสนุกด้วยกันเถิด”


 


 


สาวใช้สองคนต่างมีสีหน้ายินดี แล้วรีบเอ่ยขอบคุณท่านที


 


 


เยียนเหนียงหมุนกายเดินกลับเข้าไปในเรือน


 


 


เรือนแห่งนี้นั้นไม่มีสิทธิ์จุดไฟให้ความอบอุ่น แต่เพราะนายท่านรองสกุลหลัวทะนุถนอมนางดุจดวงใจ ภายในห้องจึงมีเตาถ่านจุดไว้หลายแห่ง ทำให้รู้สึกร้อนอยู่บ้าง


 


 


เมื่อเพิ่งสัมผัสกับอากาศหนาวเหน็บนอกเรือนมาหมาดๆ ครั้นเข้าเรือนมาจึงรู้สึกร้อน เยียนเหนียงถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่แขวนไว้ที่ราวผ้า แล้วสวมอาภรณ์ผ้าต่วนจึงค่อยนอนลงไปบนเตียง


 


 


ในขณะที่กำลังเอนตัวลงก็ต้องสะดุ้งตกใจขึ้นแล้วเอ่ยถามเสียงเย็นว่า “ผู้ใด?” แต่กลับมีมือหนึ่งยืนมาปิดปากและจมูกนางไว้ กลิ่นกายบุรุษโชยปะทะจมูกนางทันที


 


 


เยียนเหนียงกลับมิตกใจจนทำอันใดไม่ถูกเช่นสตรีทั่วไป แต่นางกลับหยุดการขัดขืน คล้ายว่ากำลังรอให้อีกฝ่ายปล่อยมืออยู่อย่างไม่สะทกสะท้านค่อยกันกลับไปมอง


 


 


ในชั่วขณะที่เห็นชัดแล้วว่าเป็นผู้ใด ความผิดหวังที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกก็สาดวูบขึ้นในแววตาลึก


 


 


นางคิดว่าเขามาเสียอีก ต่อให้จะมาเพื่อตำหนิว่านางทำงานผิดพลาดก็ตาม


 


 


แต่ที่แท้ก็เป็นนางเองที่หวังมากเกินไป


 


 


นัยน์ตาดำขลับดุจนิลกาฬพลันกลับมาสงบนิ่งไร้คลื่นลมคล้ายสายตาที่กระเพื่อมไหวนั้นมิเคยเกิดขึ้นมาก่อน นางมองบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชา


 


 


“เป็นอันใดไป ไม่รู้จักข้าหรือ?” คุณชายรองเอ่ยออกมาคำหนึ่ง


 


 


เยียนเหนียงอึ้งไปเล็กน้อย


 


 


คุณชายรองเอ่ยเยาะขึ้นว่า “หลังจากเดินชนกันที่ภูเขาจำลองในค่ำนั้น เจ้าก็รีบหนีไปเลย ข้ายังคิดว่าชนกับปีศาจเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีฐานะเช่นนั้น เจ้า…เจ้าไม่มีอันใดจะพูดกับข้าหรือ? ”


 


 


เยียนเหนียงไม่แสดงอารมณ์ใดทั้งสิ้น แต่ในใจกลับลอบแค่นหัวเราะออกมา


 


 


คนตรงหน้านี้คือคุณชายรองชัดๆ แต่เขากลับมาหลอกว่าตนคือคุณชายสาม


 


 


มันช่างแปลกประหลาดนัก


 


 


เมื่อมาคิดดูอีกที คนผู้นั้นมิอนุญาตให้นางลงมือกับคุณชายสาม ส่วนกับคุณชายท่านนี้นั้นกลับมิได้พูดถึงสักคำ แต่เพราะวันนั้นขมุกขมัวไปหน่อยทำให้นางไปหาผิดคน ยามนี้คนก็มาถึงที่แล้ว คงได้แต่บอกว่ามันเป็นลิขิตสวรรค์แล้วล่ะ


 


 


เยียนเหนียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “วาจานี้ของคุณชายสามช่างน่าขันนัก บ่าวเคยพบท่านแค่เพียงครั้งเดียว จะมีอันใดพูดกับท่านเล่า? ท่านเอาน้ำสกปรกมาสาดใส่บ่าวเช่นนี้เพราะอยากให้นายท่านรัดคอข้าให้ตายกระมัง?”


 


 


คุณชายรองทั้งโมโหทั้งขบขัน ไม่รู้ว่าเขาทำเพื่อน้องตนหรือเพราะยังไม่เคยมีสตรีใดเอ่ยเช่นนี้ต่อตนกันแน่จึงได้เลิกคิ้วเอ่ยออกไปว่า “เจ้าจะบอกว่าข้าคิดไปเองคนเดียวงั้นหรือ?”


 


 


เยียนเหนียงนิ่วหน้าทำตาขวาง แล้วยืดตัวขึ้นอย่างเย็นชา “บ่าวมิกล้าพูดอันใด คุณชายสามคิดว่าเป็นเช่นใดก็เป็นเช่นนั้นแล ท่านได้โปรดรีบออกไปจากที่นี่เถิด เหลือทางให้บ่าวได้มีชีวิตอยู่บ้าง! ”


 


 


นางเอ่ยปากไล่คนทันที ไม่ทราบว่าเพราะรีบร้อนเกินไปหรืออย่างไรจึงทำให้หยกขาวสองเม็ดที่ติดอยู่ตรงหน้าอกนั้นพลันหลุดออกจากัน ทำให้อาภรณ์สีเขียวนั้นปริแตกออกจากกัน


 


 


คุณชายรองมิเคยเห็นสตรีงดงามแสดงท่าทีขุ่นเคืองเช่นนี้มาก่อนจึงคว้าข้อมือขาวนั้นไว้ด้วยความร้อนใจแล้วอาศัยจังหวะที่เยียนเหนียงกำลังตกใจอยู่นั้นดึงนางเข้าประชิดตัวแล้วประทับปิดปากนางเอาไว้


 


 


เยียนเหนียงขัดขืนอย่างเอาเป็นเอาตายแต่นั้นกลับปลุกอารมณ์ของคุณชายรองให้กระพือขึ้น มือข้างหนึ่งกุมแน่นไว้ที่เอวบางดุจกิ่งหลิวของนางไว้แล้วบดขยี้จูบนางโดยแรงคราหนึ่งจึงปล่อย นัยน์ตาดำทะมึนแต่ภายในกลับมีดวงไฟจุดประกายขึ้นจนคนต้องตกใจ “ในเมื่อวันนั้นเจ้ายั่วยวนข้า เช่นนั้นก็จงรับผิดชอบให้ถึงที่สุดเถิด” พูดจับก็เช็ดปากตนแล้วเกินจากไปอย่างรวดเร็ว


 


 


กระทั่งเดินพ้นจากเรือนอวี้หยวน เมื่อสายลมโชยมาปะทะหน้าคุณชายรองจึงดึงภวังค์ออกมาจากความรู้สึกอันแปลกประหลาดนั้นได้เสียที แต่ครานี้เขากลับไม่รู้สึกหงุดหงิดอันใดอีก


 


 


น้องสามนั้นมีอุปนิสัยบุ่มบ่าม การกระทำวันนั้นกลับมิใช่เรื่องผิดแปลกอันใด


 


 


เขาจะสวมรอยเป็นน้องสามดูสิว่าเหยียนเหนียงผู้นี้มีดีที่ใดกันแน่ หากสามารถเอาใจนางมาครอบครองได้ ไม่แน่ว่าการสั่งให้นางทำสิ่งใดก็อาจจะง่ายยิ่งขึ้น


 


 


ส่วนเจินเมี่ยวกลับปิดปากยิ้มอยู่ภายในห้องที่มืดทึบนั้นอยู่เงียบๆ


 


 


เรื่องนี้ชักน่าสนุกนัก ผู้ใดเป็นผู้ล่า ผู้ใดเป็นผู้ถูกล่านั้นยังไม่แน่ วันเวลาอีกยาวไกล ค่อยๆ ดูกันไปเถิด


 


 


ภายในจวนกั๋วกงนั้นเงียบสงบยิ่ง ส่วนในวังหลวงเองก็มิได้ดีไปกว่ากันสักเท่าใดดอก


 


 


ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ต้องรออยู่ท่ามกลางลมหนาวเลย แค่เข้าเฝ้าหวงโฮ่ว ไท่โฮ่ว ทั้งโขกศีรษะ ทั้งคอยทูลตอบคำถาม แค่เพียงเท่านี้ก็ทำให้บรรดาผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งทั้งหลายเหนื่อยมากพออยู่แล้ว


 


 


ตอนนี้เจินเมี่ยวกำลังกลัดกลุ้มยิ่ง


 


 


เมื่อวานนี้หลัวเทียนเฉิงเอ่ยกำชับนางว่า วันนี้ให้นางหาโอกาสแสร้งว่าตนไม่สบายแล้วทำให้มิอาจไปร่วมงานเลี้ยงฉลองของพระบรมวงศานุวงศ์ไม่ได้


 


 


เมื่อคิดว่าตนต้องไปพบกับบรรดาลูกหลานมังกรกลุ่มใหญ่นั้นในฐานะเจียหมิงเซี่ยนจู่ เจินเมี่ยวก็ยินดีที่จะไม่ไปมากกว่า ทว่าบังเอิญเหลือเกินที่ท่านย่าแท้ๆ ของนาง หรือก็คือฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนเจี้ยนอานปั๋วกลับเป็นหมดสติไปในขณะรอเข้าเฝ้า


 


 


บรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายเมื่อเข้ามาในวังก็มิอาจนำบ่าวไพร่เข้ามาด้วยได้ ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วเป็นลม สตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายไม่ว่าจะสุขุมหรือฉลาดปราดเปรื่องต่างก็ร้อนใจทำอันใดไม่ถูก


 


 


เคราะห์ดีที่ขันทีที่เฝ้าอยู่หน้าประตูนั้นมีประสบการณ์ หรือไม่ก็ได้รับคำสั่งไว้แล้ว เขารีบสั่งคนให้ไปเชิญหมอหลวงทั้งสั่งให้ไปเอาคานหามมา


 


 


แต่ท่านย่าเป็นลมลงกองกับพื้นภายใต้อากาศอันเหน็บหนาวเช่นนี้ ทั้งไม่ทราบว่าคานหาบนั้นจะมาถึงเมื่อใด เจินเมี่ยวร้อนใจยิ่งจึงพับแขนเสื้อขึ้นแล้วอุ้มฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วขึ้นพลางเอ่ยกับถามขันทีที่กระวนกระวายอยู่ใต้สายลมนั้นว่า “กงกง ห้องพักชั่วคราวอยู่ที่ใด โปรดนำทางไปทีเถิด”


 


 


ในสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายต่างเป็นพยานได้ว่า เจินเมี่ยวนั้นอุ้มฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วเดินเข้าไปในห้องพักด้วยฝีเท้ามั่นคงรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะหอบหายใจ


 


 


หลังจากนั้น เจินเมี่ยวก็ได้แต่ร้องไห้แม้ไร้น้ำตาแล้ว


 


 


นางแสดงตัวว่าแข็งแรงปานนั้น หากบอกว่าไม่ค่อยสบาย ผู้ใดจะเชื่อเล่า


 


 


บรรดาศักดิ์เซี่ยนจู่ของนางก็เพิ่งได้รับพระราชทานมาไม่นานนี่เอง หากทำให้ผู้คนแคลงใจก็คงกล่าวหาว่านางดูถูกพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งไม่เห็นแก่มิตรภาพใดๆ


 


 


เจินเมี่ยวได้แต่เอ่ยขอโทษหลัวเทียนเฉิงอยู่ในใจ แต่ก็ต้องฝืนทนอยู่ต่อไปโดยตัดสินใจแล้วว่าจะคอยนั่งอยู่ข้างๆ ชูสยาจวิ้นจู่ไม่ไปไหน เช่นนี้คงไม่มีอันใดผิดพลาดเกิดขึ้นกระมัง


 


 


รอกระทั่งสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายแยกย้ายกันกลับ เจินเมี่ยวก็รออยู่อย่างระแวดระวังตัวจนกระทั่งพลบค่ำจึงถูกเชิญเข้าไปในงานเลี้ยง


 


 


ระหว่างทางก็พบกับองค์ชายและพระชายาหลายพระองค์ ผู้อื่นนั้นช่างเถิดแต่กับองค์ชายหกนั้นเห็นชัดว่าเขารู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย คล้ายแปลกใจอยู่ว่าเจินเมี่ยวมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร


 


 


เขาขมวดคิ้วแล้วจ้องมองเจินเมี่ยวอย่างล้ำลึก แต่ยังคงเดินตามทุกคนไปข้างหน้า แล้วค่อยๆ เดินรั้งท้ายลงไปเรื่อยๆ อย่างแนบเนียนกระทั่งอยู่ห่างไม่ไกลจากเจินเมี่ยว เขาเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบาที่สุด “ข้าได้ยินจิ่นหมิงบอกว่า น้องสาวไม่ใคร่จะสบายนักมิใช่หรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวแอบสงสัยอยู่ลึกๆ ขึ้นมา


 


 


ซื่อจื่อให้นางแสร้งป่วยแล้วเหตุใดต้องบอกกับองค์ชายหกว่านางไม่สบายด้วยเล่า? ทั้งองค์ชายหกก็ดูจะสนใจเรื่องนี้ยิ่ง?


 


 


นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? 

 

 


ตอนที่ 274 ไร้เงา

 

ครั้นเจินเมี่ยวมีท่าทีสงสัย องค์ชายหกก็คล้ายรู้สึกตัวว่าการถามเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก จึงเพียงเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นแต่ก็มิได้ชัดเจนอันใดนัก


 


 


วันนี้เป็นงานเฉลิมวันตรุษของราชสำนัก หลัวเทียนเฉิงเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินซึ่งไม่ต่างอันใดกับแม่ทัพของหน่วยกองกำลังทหารม้าทั้งห้าเลย สรุปคือจักต้องยุ่งมากแน่นอน เขาจึงบอกไว้ก่อนแล้วว่ามิอาจมาร่วมงานวันนี้ด้วยได้ เมื่อเจินเมี่ยวไม่เห็นคนที่บอกให้นางแสร้งป่วยผู้นั้นจึงได้แต่ตอบไปอย่างมึนงงว่า “เมื่อเช้ารู้สึกไม่ค่อยสบายเล็กน้อย แต่เมื่อท่านย่าที่รออยู่ด้วยกันที่หน้าประตูวังเป็นลมล้มไป หม่อมฉันร้อนใจจนเหงื่อไหลซึมไปหมด อาการจึงดีขึ้นแล้ว”


 


 


“ฮูหยินผู้เฒ่าจวนกั๋วกงหรือ?” องค์ชายหกเอ่ยถามเสียงสูงเล็กน้อย


 


 


เจินเมี่ยวส่ายหน้า “ไม่ใช่เพคะ ฮูหยินจวนเจี้ยนอานปั๋ว ท่านย่าแท้ๆ ของหม่อมฉันเอง”


 


 


พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “พี่หกท่านไม่ทราบหรือว่า ฮูหยินจวนเจี้ยนอานปั๋วเป็นลมและเจียหมิงเป็นคนแบกท่านเข้ามาในวังเอง”


 


 


เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นด้วยความดีใจ “ชูสยา”


 


 


วันนี้ชูสยาจวิ้นจู่สวมอาภรณ์สีสันสดใสยิ่ง เสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีเหลืองแซมขาวนั้นช่างดูสง่างามนัก


 


 


“เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด?”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เดินเข้ามาคล้องแขนเจินเมี่ยวอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง นางพริบตาแล้วเอ่ยว่า “พี่หกมีน้องสาวคนใหม่แล้วก็ลืมน้องสาวคนเก่า พวกท่านพูดคุยกันสนุกสนาน ไหนเลยจะทันได้สังเกตว่าข้ามาตั้งแต่เมื่อใด”


 


 


นางเพียงพูดเย้าไปตามปาก ทว่าองค์ชายหกที่มักมีรอยยิ้มอยู่เสมอกลับหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย แล้วหันชำเลืองมองเจินเมี่ยวโดยไม่รู้ตัว


 


 


เจินเมี่ยวรีบอธิบายทันที “ชูสยา ท่านหึงโดยไร้เหตุผลจริงๆ สุภาษิตกล่าวไว้ว่า อาภรณ์เก่าไม่สู้อาภรณ์ใหม่ สหายใหม่ไม่สู้สหายเก่า”


 


 


นางนั้นกลัวว่าชูสยาที่กำลังจะออกเรือนไปอยู่แดนใกล้จะเสียใจ


 


 


การจัดงานเฉลิมฉลองในราชสำนักครั้งนี้มีทูตจากหมานเว่ยมาด้วยและจะอยู่จนถึงวสันต์ฤดูเพื่อคุ้มครองชูสยาจวิ้นจู่กลับไปยังดินแดนหมานเว่ยพร้อมกัน


 


 


ต่างก็กล่าวกันว่าสตรีที่กำลังจะออกเรือนมักอ่อนไหวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะผู้ต้องแต่งออกไปแดนไกล เจินเมี่ยวไม่อยากให้ชูสยาต้องน้อยใช้กับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ควรต้องทราบว่ามิตรภาพระหว่างอิสตรีนั้นอาจมลายหายไปในพริบตาเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวหรือแววตาท่าทางบางอย่างเท่านั้น


 


 


แม้นเจินเมี่ยวจะเชื่อมั่นในมิตรภาพของคนทั้งสอง แต่เพราะความห่วงใยในกันและกันจึงไม่อยากจะให้เกิดความบาดหมางแม้เพียงน้อยนิด


 


 


แต่การอธิบายนี้ของนางช่างไม่น่าเชื่อถือเท่าใดนัก ทว่าชูสยาจวิ้นจู่กลับยิ้มออกมา


 


 


องค์ชายเอ่ยด้วยท่าทีกลั้นหัวเราะว่า “เจียหมิงพูดถูกอาภรณ์เก่าไม่สู้อาภรณ์ใหม่ สหายใหม่ไม่สู้สหายเก่า เจ้าวางใจเถิดชูสยา อย่างไรเจ้าก็เป็นน้องสาวที่ข้าชอบที่สุด”


 


 


ในใจกลับกำลังคิดว่า บทกวีของเจียหมิงจักต้องเรียนมาจากอาจารย์ผู้ทรงความรู้จากในวังกระมัง?


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ทำตัวตามแต่ใจกับองค์ชายหกจนชินเสียแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงถลึงตาใส่เขาพลางพูดว่า “ของพระทัยเสด็จพี่ยิ่ง เช่นนั้นข้าขอพาเจียหมิงไปก่อนแล้ว”


 


 


พูดจบก็มิรอให้องค์ชายหกเอ่ยอันใดอีกก็จูงมือเจินเมี่ยวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว


 


 


รอกระทั่งปลีกตัวออกห่างจากฝูงชนมาพอสมควรจึงเอ่ยกำชับเสียงต่ำกับเจินเมี่ยวว่า “หากข้าไปแล้ว ต่อไปเจ้าก็เข้าวังมาให้น้อยลงหน่อย ฮึ ไม่มีข้าคอยคุ้มครอง เจ้าคงเสียเปรียบแย่กระมัง?”


 


 


เจินเมี่ยวหลุดหัวเราะออกมา “ใช่ๆ ข้ารู้แล้ว อืม ฉงสี่มาแล้วหรือไม่?”


 


 


“มาแล้ว นั่งอยู่กับจั่งกงจู่ ข้าจะพาเจ้าไปเอง”


 


 


ต้าโจวยกเลิกการย้ายราชฐานไปนอกเมืองของบรรดาอ๋องทั้งหลายแล้ว มีแค่บางส่วนในยุคที่สร้างราชวงศ์ใหม่ๆ ยามนี้มีอ๋องที่ย้ายราชฐานไปเพียงไม่กี่คน อ๋องในยุคหลังๆ ต่างอยู่ในวังหลวงทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จำนวนของเชื้อพระวงศ์ที่มาร่วมงานจึงมีไม่น้อย ส่วนพระญาติห่างๆ ที่มีชีวิตอันลำบากยิ่งนั้นมีมากกว่าซึ่งพวกเขาก็ต่างเฝ้ารอวันนี้อย่างที่สุด


 


 


ห้องโถงในตำหนักฉางเซิงกว้างมาก ด้านในสุดมีเวทีที่ยกสูงขึ้นอยู่ ด้านบนจัดวางโต๊ะตัวเตี้ยไว้สิบตัวสำหรับจักรพรรดิ ไท่โฮ่ว หวงโฮ่ว ผู้มีเกียรติและพระสนมที่ได้รับการโปรดปราน ส่วนด้านล่างจะมีการจัดวางโต๊ะหยกขาวไว้สองแถวและที่หน้าประตูทางเข้า องค์ชายองค์หญิงนั่งไม่ไกลจากเวทีนัก ส่วนพระญาติห่างๆ ก็นั่งใกล้กับหน้าประตูทางเข้า แต่ไม่ว่าอย่างไรผู้ที่จะเข้ามาที่นี่ในวันนี้ได้นั้นจักต้องมีสายเลือดของเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์แห่งต้าโจวอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกว่าพรมแดงที่ปูลาดตามทางเดินนั้นยาวมาก นางเดินจนขาหมดแรงแล้ว


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่บีบมือนางเบาๆ “เจ้ากลัวอันใด เจ้าเป็นเซี่ยนจู่ที่จักรพรรดิทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เองแท้ๆ”


 


 


ควรต้องทราบว่ามิใช่ว่าเชื้อพระวงศ์ทุกคนจะมีบรรดาศักดิ์ เจินเมี่ยวเป็นแค่น้ำเปล่าเพียงครึ่งถังไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดด้วยซ้ำทำให้คนไม่น้อยมองนางด้วยความแค้นเคือง


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่รู้สึกไม่พอใจเท่าใดที่เจินเมี่ยวมิได้ดั่งใจ “หากเจ้าไม่มีความมั่นใจ ผู้อื่นก็จะยิ่งกำเริบเสิบสาน เมื่อควรวางท่าให้สง่างามก็ต้องทำ! ”


 


 


เจินเมี่ยวทำปากยื่น “ข้ามิได้กลัว”


 


 


“แล้วเจ้าสั่นทำไม?” ชูสยากลอกตาใส่เจินเมี่ยว


 


 


เจินเมี่ยวอยากจะร้องไห้แต่กลับไร้น้ำตา “ข้าหิว…”


 


 


นางมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือเมื่อใดที่หิวขึ้นมา ใจก็จะสั่น เหงื่อแตกพลั่ก ผู้ใดจะทราบว่าคนในวังจะโหดร้ายเพียงนี้เล่า ยามเที่ยงนั้นมีนางกำนัลยกของว่างมาให้ก็จริงแต่ผู้อื่นกินเพียงคำสองคำก็วางตะเกียบลง ท่ามกลางผู้คนมากมายเพียงนั้น ต่อให้นางหน้าหนาเพียงใดก็คงไม่กล้ากินจานเข้าไปด้วยกระมัง?


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกโมโหขึ้นมาอีกคราที่มิได้เอาขนมซ่อนไว้ในแขนเสื้อ เช่นขนมซิ่งเหริน ขนมเม็ดเล็กเท่าหัวแม่มืออันใดเทือกนั้น คราแรกคิดว่าอย่างไรก็ต้องแสร้งป่วยขอกลับจวนก่อนอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ถลึงตาใส่เจินเมี่ยวอย่างแค้นเคือง แล้วกัดฟันเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวข้าจะช่วยบังให้ เจ้ากินให้มากหน่อยแล้วกัน”


 


 


เหตุใดคนตะกละเช่นนี้เข้ามาอยู่รวมกลุ่มกับเชื้อพระวงศ์ได้อย่างไร นางไม่รู้จักคนเช่นนี้!


 


 


คนทั้งสองเดินไปนั่งกับฉงสี่เซี่ยนจู่


 


 


ยามนี้ชูสยาจวิ้นจู่มีฐานะเป็นองค์หญิงแล้ว เดิมที่นั่งมิได้อยู่ตรงนี้ แต่นางอยากนั่งที่นี่จะมีผู้ใดกล้าเอ่ยเตือนให้นางรำคาญใจหรือไม่เล่า


 


 


เสียงซือจู๋ดังขึ้น นางรำกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น พวกนางต่างส่ายเอวพลิ้วอ่อน แขนเสื้อยาวปลิวไสว พลันทำให้บรรยากาศดูคึกคักขึ้น เมื่อมีเสียงดนตรีดังกลบ การสนทนาพูดคุยของคนทั้งหลายก็เริ่มผ่อนคลายขึ้น


 


 


ผ่านไปอีกประมาณหนึ่งเค่อ เสียงขันทีก็ดังขึ้น “ฝ่าบาท หวงโฮ่ว ไท่โฮ่ว เสด็จแล้ว…”


 


 


ดนตรีพลันหยุดลง คนทั้งหลายต่างหมอบลงอย่างพร้อมเพรียง


 


 


เมื่อเจาเฟิงตี้นั่งลงแล้วก็กวาดตามองไปโดยรอบ สายตาหยุดอยู่ที่เก้าอี้ว่างตัวหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนักครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ลุกขึ้นเถิด วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองภายใน ทุกคนไม่จำเป็นต้องมากพิธี”


 


 


คนทั้งหลายจึงค่อยๆ ลุกขึ้น


 


 


เดิมเจินเมี่ยวก็หิวจนเวียนหัวตาลายอยู่แล้ว เมื่อต้องหมอบลงกะทันหันเช่นนี้เจินเมี่ยวก็ยิ่งรู้สึกเวียนหัวมากขึ้นทำให้มิอาจลุกขึ้นได้ในทันที


 


 


ชูสยารีบเข้าไปดึงนางขึ้น แล้วอาศัยจังหวะที่เสียงดนตรีเริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้งเอ่ยเสียงต่ำว่า “บอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่ามิต้องตื่นเต้น เหตุใดจึงตกใจจนลุกไม่ขึ้นเช่นนี้?”


 


 


เจินเมี่ยวเผยอปากขึ้นแต่สุดท้ายก็หุบลง ช่างเถิด ตื่นเต้นจนลุกไม่ขึ้นก็ดีว่าหิวจนลุกไม่ขึ้นอยู่บ้าง


 


 


คิดไม่ถึงว่าฉงสี่เซี่ยนจู่กลับเอ่ยอธิบายด้วยความปรารถนาดี “ต้องเป็นเพราะว่านางหิวอย่างแน่นอน!”


 


 


เจินเมี่ยว “…”


 


 


กระทั่งงานเลี้ยงฉลองล่วงเลยไปครึ่งทาง คนส่วนใหญ่หากมิถูกการเต้นระบำดึงดูสายตาไปก็ตั้งหน้าสนทนากัน ชูสยาจวิ้นจู่เอ่ยเสียงแผ่วขึ้นว่า “พวกเจ้าดูสิ ไท่จื่อไม่มาจริงๆ ด้วย มีแค่ไท่จื่อเฟยที่มา”


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่ทำสีหน้านิ่งเฉย นางยกสุราผลไม้ขึ้นจิบคำหนึ่ง ใบหน้าที่เฉยชานั้นกลับแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย แต่น้ำเสียงกลับเย็นชายิ่ง “ไท่จื่อสุภาพมิค่อยดี ย่อมต้องมาไม่ได้อยู่แล้ว”


 


 


ยามนี้ไม่ว่าบรรดาเชื้อพระวงศ์เองหรือแม้แต่ขุนนางบุ๋นบู๊ต่างก็ทราบกันดีว่าฝ่าบาทไม่พอใจไท่จื่อ อยู่ แต่ก็มิอาจเอ่ยออกมาอย่างเปิดเผยได้


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่พูดจบก็ส่งสายตาให้ชูสยาจวิ้นจู่เป็นสัญญาณว่ามิควรพูดเรื่องนี้ต่อไปอีก


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่จึงทำปากยื่นคราหนึ่ง “ข้าแค่เห็นท่าทางโดดเดี่ยวของไท่จื่อเฟยแล้วเบิกบานใจเท่านั้นเอง”


 


 


“ชูสยา!” ฉงสี่เซี่ยนจู่ถลึงตาใส่นาง


 


 


เจินเมี่ยวจึงหันไปมองไท่จื่อเฟยครานหนึ่ง คล้ายว่าไท่จื่อเฟยรู้ว่ามีคนมองจึงหันมาทางมองพวกนางเช่นกัน ท่าทีมิได้แตกต่างไปจากเดิมนักแค่ดูมีความกลัดกลุ้มเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น


 


 


เจินเมี่ยวรีบหลบสายตาทันใดแล้วยกน้ำผลไม้ขึ้นจิบกลบเกลี่ยน


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่กลับอดเตือนขึ้นไม่ได้ว่า “คุณหนูสี่ เจ้าระวังไว้หน่อยแล้วกัน ข้ารู้สึกว่าไท่จื่อเฟยไม่ค่อยชอบใจเจ้าเท่าใด”


 


 


“มีอันใดหรือ?” เจินเมี่ยวลอบชำเลืองมองคราหนึ่งแต่ไท่จื่อเฟยก็เบนสายตาไปมองทางอื่นแล้ว


 


 


ครานี้ฉงสี่เซี่ยนจู่กลับมิได้ห้ามมิให้ชูสยาจวิ้นจู่พูด แต่กลับหยิบจอกสุราสีชมพูใสคล้ายปีกจักจั่นนั้นไว้เฝ้ารอให้นางเอ่ยต่อ


 


 


“ก็ครั้งนั้นที่นางมาคุยกับข้า นางก็มักจะพูดว่าดินแดนหมานเว่ยพายุทะเลทรายรุนแรงยิ่ง ทำให้ผิวเสีย สตรีดินแดนหมานเว่ยล้วนมีผิวที่หยาบกร้านอย่างยิ่ง ข้ากำลังฟังด้วยความเบื่อหน่าย นางก็เปลี่ยนไปเอ่ยชมว่าผิวพรรณของเจ้าดียิ่ง ทั้งยังบอกว่าเจ้าได้เคล็ดลับการดูแลผิวจากเจินไท่เฟย ตอนนั้นข้าก็คิดว่ามันแปลกๆ นางมิใช่กำลังจะยุข้าให้มาสร้างความลำบากใจแก่เจ้าหรอกหรือ?”


 


 


เจินเมี่ยวเม้มปากทันที


 


 


วาจานี้ของไท่จื่อเฟยนั้นส่อเจตนาร้ายจริงๆ นั้นแล


 


 


เคล็ดลับการดูแลผิวของไท่เฟยนั้นทำให้คนไม่น้อยอิจฉา นางรู้ดี


 


 


หลังจากที่ไท่จื่อเฟยมาลองถามนางแล้วเห็นนางไม่ยอมบอกก็เอาเรื่องนี้ไปยุยงอู่กุ้ยเฟย ต่อมาก็เป็นเหล่าองค์หญิง เพียงเท่านี้นางก็มิอาจเข้ากับคนในกลุ่มนั้นได้อีกแล้ว


 


 


แน่นอนว่าเจินเมี่ยวมิได้ใส่ใจเท่าใดนัก แต่กล่าวไปแล้วนั้น ขอเพียงเป็นปกติคนหนึ่งก็ยอมต้องอยากให้ผู้อื่นชมชอบตน มิใช่เกลียดตน ดังนั้นหากจะบอกว่านางมีความรู้สึกดีๆ ต่อไท่จื่อเฟยก็คงประหลาดเกินไปแล้ว


 


 


แต่นางคิดไม่ถึงว่าไท่จื่อเฟยจะถึงขนาดคิดทำลายมิตรภาพระหว่างนางกับชูสยาจวิ้นจู่


 


 


เคล็ดลับที่ทำให้ผิวพรรณสว่างใสเนียนนุ่มดุจแพรไหมนั้นจะมีสตรีใดไม่ต้องการบ้างเล่า?


 


 


หากชูสยาจวิ้นจู่เอ่ยปากกับนาง นางก็ยังมิอาจบอกได้เพราะเจินไท่เฟยได้กำชับไว้แล้ว แต่จะให้ปฏิเสธนางก็รู้สึกไม่สบายใจและไม่กล้าพอ


 


 


เจินเมี่ยวบีบมือชูสยาจวิ้นจู่เบาๆ คราหนึ่ง แล้วบอกไปตามความจริงว่า “ขอบอกพวกท่านตามตรงว่า ไท่เฟยได้ให้เคล็ดลับนั้นกับข้าจริงๆ แต่ไท่เฟยก็กำชับว่ามิให้บอกผู้ใด หากครั้งใดข้ามีโอกาสได้เข้าวังจะลองขอร้องดูเผื่อไท่เฟยจะยอมรับปากให้บอกเคล็ดลับแก่พวกท่าน แต่หากไท่เฟยไม่ยินยอม ข้าก็มิอาจบอกได้”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ก็มิใช่คนใจน้อย หากได้เคล็ดลับเช่นนั้นมากก็ย่อมต้องดีใจมากแน่ แต่หากมิได้ก็มิจำเป็นต้องไปบังคับบีบคั้น เพราะมิอยากให้เจินเมี่ยวลำบากใจนั้นเอง นางจึงเอ่ยขอบคุณอย่างร่าเริง


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่เลิกคิ้วขึ้นหัวเราะแผ่วเบา “ขอให้แค่ชูสยาก็พอแล้ว ข้าคงมิได้ใช้”


 


 


เมื่อได้ยินฉงสี่เอ่ยเช่นนี้ ชูสยาก็รู้สึกไม่ยินยอมขึ้นมา “นี่ พูดเช่นนี้คล้ายว่าผิวของเจ้าดีกว่าข้ากระนั้นแล!”


 


 


“มิได้จะเปรียบกับเจ้า แต่สตรีก็มักอยากจะงามเพื่อบุรุษตน เจ้าก็จะออกเรือนแล้วมิใช่หรือ?”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่พลันหน้าแดงขึ้นมา นางกระทืบเท้าเร่าๆ “ผู้ใดอยากจะงามเพื่อคนป่าเถื่อนเช่นนั้นกัน”


 


 


เจินเมี่ยวระลึกไปถึงวันที่ได้พบกับองค์ชายรอง แม้นจะมิได้ดูรูปงามท่าทางสุภาพอ่อนโยนเช่นบุรุษต้าโจว แต่กลับหล่อเหลาแข็งแกร่ง ตามรสนิยมของนางแล้วกลับชอบเช่นนี้มากกว่า หากชูสยาจวิ้นจู่ยังมีความคิดเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าภายหน้าจะลำบาก จึงเอ่ยเตือนว่า “ชูสยา ท่านอย่าได้ด่วนสรุปว่าเป็นเช่นนั้นเลย ข้าเคยอ่านบันทึกการเดินทางเล่มหนึ่งบอกว่าทัศนียภาพและขนบธรรมเนียมของหมานเว่ยนั้นน่าสนใจมาก อีกอย่างองค์ชายใหญ่พระองค์นั้นจักต้องเป็นบุรุษองอาจกล้าหาญไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”


 


 


“เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?”


 


 


“ข้าเคยพบกับองค์ชายรองมิใช่หรือ ต่างพูดกันว่าพระองค์ทั้งสองรูปโฉมคล้ายกันยิ่ง”


 


 


“เอ๊ะ พูดเช่นนี้ เจ้าคงชื่นชมองค์ชายรองพระองค์นั้นไม่น้อยใช่หรือไม่?” ชูสยาจวิ้นจู่เอ่ยถามอย่างตื่นเต้นจึงเผลอพูดเสียงดังไปสักหน่อย


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่เตะขานางไปคราหนึ่ง


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่กำลังจะถลึงตาคืนให้ แต่เห็นว่ามีนางกำนัลเดินมาเติมสุราพอดีจึงไม่พูดอันใด แล้วคนทั้งสามก็ยิ้มให้แก่กันอย่างไร้สุ้มเสียง 

 

 


ตอนที่ 275 เพราะน่องไก่ช่วยไว้แท้ๆ

 

เมื่องานเลี้ยงดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายก็มีสตรีแต่งกายสีสันสดใสกลุ่มหนึ่งเดินออกมา สตรีสวมชุดสีแดงมีผ้าโปร่งบางปิดใบหน้าไว้กระโดดขึ้นมา กลองก็เริ่มดังขึ้น


 


 


ตึงๆๆ เมื่อนางก้าวเท้าเดิน เสียงกลองก็ดังขึ้น สตรีสีสันสดในทั้งหลายต่างเดินเข้าไปล้อมกลองอันใหญ่นั้นไว้ ในมือของพวกนางมีกระดิ่งอันเล็กๆ อยู่ ท่านกลางเสียงกลองอันกระหึ่มนั้นก็มีเสียงกังวานใสของกระดิ่งแทรกอยู่


 


 


รอบกลองใบใหญ่นั้นมีกลองวางล้อมไว้ทั้งสี่ด้าน สตรีชุดแดงสะบัดผ้าในมือออกไปกระทบกับหน้ากลองดังตึง ตามด้วยกลองตัวอื่นๆ อีก เสียงของกลองที่แตกต่างกันดังขึ้นติดๆ กันเกิดเป็นทำนองอันไพเราะและระทึกใจ เมื่อผสมผสานกับกลองที่บรรเลงอยู่ด้านล่าง ดนตรีบรรเลงภายในตำหนักจึงเปลี่ยนเป็นความสวยงามที่แฝงไว้ด้วยความคึกคัก


 


 


การเต้นรำอันแปลกใหม่ ดนตรีอันน่าหลงใหล ทั้งสาวงามแปลกถิ่นที่มิอาจมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงนั้นได้ดึงดูดสายตาผู้คนจำนวนมากไว้นานแล้ว


 


 


เจาเฟิงตี้เองก็หยุดการสนทนากับอู๋กุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ด้านข้าง สายตาทอดมองไปยังการเต้นระบำนั้น


 


 


อู๋กุ้ยเฟยลอบกัดฟันกรอด จึงยกแขนเสื้อขึ้นบังก่อนดื่มสุราเพื่อปกปิดความขุ่นเคืองในดวงตา


 


 


นางเป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาจึงไม่มีที่ใดให้พึ่งพิง ที่พึ่งพิงเดียวของนางก็คือเจาเฟิงตี้ ยิ่งเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งกลัวว่าสตรีอื่นจะมาแย่งชิงความรักนี้ไปจากตน


 


 


คนภายนอกคงไม่ทราบว่าตั้งแต่ฝ่าบาทได้รับไก่ฟ้าปลอมที่ไท่จื่อนำมาถวาย สุขภาพและจิตใจของพระองค์ก็ถดถอยลงมาก แต่ก่อนที่รับสั่งหานางก็ล้วนได้รับความโปรดปรานอย่างดีเสมอ แต่ยามนี้หรือ ส่วนมากก็เพียงให้นางไปพูดคุยเป็นเพื่อนเท่านั้น


 


 


สุขภาพของเจาเฟิงตี้นั้นไม่มีผู้ใดรู้ดีเท่านางอีกแล้ว


 


 


หากมีหญิงงามสักคนโผล่เข้ามาดึงความสนใจของพระองค์ ด้วยพละกำลังที่มีจำกัดของพระองค์ ไหนเลยจะจดจำนางได้อีกเล่า!


 


 


อู๋กุ้ยเฟยดื่มสุราไปพลางสายตาก็กวาดมองลงไปยังที่นั่งขององค์ชายทั้งหลายคราหนึ่ง


 


 


องค์ชายทั้งหลายต่างมีรูปโฉมสิริงดงาม ท่าทีองอาจ แต่น่าเสียดายที่นางได้พบกับฝ่าบาทเสียก่อน หากรอไปอีกสองปี ไม่แน่ว่า…


 


 


เมื่อกดข่มความเสียดายที่มิอาจเอ่ยออกมาได้นั้นแล้วอู๋กุ้ยเฟยก็ยกสุราขึ้นดื่มทันที


 


 


จ้าวหวงโฮ่วเก็บสายตาที่เหลือบไปมองอู๋กุ้ยเฟยด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก แล้วหันไปชมการเต้นระบำอย่างสบายใจ


 


 


เหอะๆ เป็นสนมที่ทรงโปรดปรานแล้วอย่างไร แค่สตรีเต้นระบำชั้นต่ำที่มองไม่เห็นแม้แต่หน้าก็ยังทำให้เจ้าสะกดโทสะเอาไว้ไม่ได้ ช่างเป็นสตรีใจแคบนัก


 


 


นางชอบเหลือเกิน!


 


 


ไม่เลวเลย ไม่มีใครรู้เลยว่าความจริงแล้วหวงโฮ่วทรงชอบอู๋กุ้ยเฟยผู้นี้ยิ่ง กระทั่งหวังให้ฝ่าบาททรงโปรดปรานนางให้นานไปกว่านี้อีก


 


 


หากพูดเหตุผลหรือ ก็เพราะเจี่ยงกุ้ยเฟยที่ทั้งงดงามและมีฐานะสูงส่งนั้นกดทับนางไว้นานเกินไปแล้วอย่างไรเล่า ยามนี้เปลี่ยนเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา จ้าวหวงโฮ่วที่มิเคยได้ยืนยืดอกอยู่ตลอดมาจึงได้สัมผัสกับความงดงามที่ได้อยู่เหนือผู้อื่นเสียที


 


 


เจาเฟิงตี้จ้องมองสตรีที่กำลังเต้นระบำอยู่นั้นอย่างไม่ละสายตาเลย กระทั่งมีคนมากมายลอบพึมพำในใจว่า หลังจากวันนี้ไปเกรงว่าในวังคงต้องมีสตรีงามเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้ว


 


 


แต่ไม่มีผู้ใดรู้ถึงความทุกข์ของเจาเฟิงตี้เลย ยามนี้นั้นเขารู้สึกคันในคอยิ่ง อยากจะไอออกมา แต่กลัวว่าจะเกิดข่าวลือไม่ดีแพร่ออกไป จึงได้แต่อดกลั้นไว้แล้วใช้การชมหญิงงามมากลบเกลื่อนอาการทั้งหมดนี้


 


 


อย่างไรเสียการที่บุรุษผู้หนึ่งจะยังมีแก่ใจชื่นชมหญิงงามอยู่ได้นั้นก็ย่อมพิสูจน์ได้ว่าสุขภาพของเขาไม่เลวเลย


 


 


เพียงแต่อาการคันในลำคอนั้นช่างยากจะอดกลั้นได้ เมื่อเห็นนางกำนัลเดินมารินสุรา เขาจึงยกสุราขึ้นจิบแล้วพ่นมันออกมา พลันฉวยโอกาสนี้ไอออกมา แล้วเอ่ยตำหนิว่า “ต้มสุราอย่างไรให้ร้อนถึงเพียงนี้!”


 


 


นางกำนัลผู้นั้นตกใจจนหน้าถอดสี นางคุกเข่าโขกศีรษะลงกับพื้น “ฝ่าบาทโปรดทรงอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”


 


 


ขันทีผู้ดูแลจึงร้องขึ้นว่า “ลากตัวสาวใช้ผู้นี้ออกไปเดี๋ยวนี้!”


 


 


เมื่อเห็นนางกำนัลที่โขกศีรษะดุจตำข้าว เจาเฟิงตี้ก็รู้สึกผิดขึ้นมา จึงยกมือขึ้น “ช่างเถิด วันมงคลเช่นนี้แท้ๆ แค่ปรับเบี้ยหวัดประจำเดือนสามเดือนก็พอ”


 


 


เขามิใช่จักรพรรดิผู้ชอบทารุณอันใด แค่เพียงฉวยโอกาสนี้ไอออกมาเท่านั้น จะให้ปลิดชีวิตคนผู้หนึ่งจริงๆ เลยหรือไร


 


 


“ฝ่าบาท…” ขันทีผู้นั้นรู้สึกสงสัยอยู่บ้างแต่เมื่อเห็นเจาเฟิงตี้ขมวดคิ้วเช่นนั้นก็ไม่กล้าพูดอันใดอีก


 


 


เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น ความสนใจของผู้คนจึงเบนมาที่เจาเฟิงตี้ ไม่มีผู้ใดสนใจผ้าผืนยาวในมือสตรีปิดหน้าผู้นั้นที่พุ่งออกไปเกี่ยวกระหวัดรัดอยู่บนคานด้วยความรวดเร็วนั้นเลย นางใช้เท้าอันเปลือยเปล่านั้นเหยียบไปบนหน้ากลองจนเกิดเป็นเสียงดังตึงอย่างยาวนาน แล้วอาศัยผ้าสีผืนยาวนั้นทะยานโบยบินไป


 


 


มีบางคนที่ละความสนใจไปชั่วขณะพลันเหลือบไปเห็นสตรีผู้สวมชุดสีแดงทั้งร่างลอยไปบนอากาศ เห็นเท้าเปล่าเปลือยสองข้างที่ผูกกระพรวนไว้โผล่พ้นอาภรณ์ออกมารำไรคล้ายเทพธิดาร่วงตกลงมาจากฟ้าก็อดมองอย่างเหม่อลอยมิได้ บางคนถึงกลับอดร้องขึ้นมามิได้


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ก็มองดูภาพอันงดงามนี้เช่นกัน นางยกจอกสุราขึ้นแล้วยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลายพลางเอ่ยว่า “การเต้นระบำวันนี้ ดูน่าสนใจไม่น้อย…”


 


 


วาจานี้ยังไม่ทันกล่าวจบนางก็เบิกตากลมโตขึ้นมาก่อน เพราะเห็นน่องไก่ชิ้นหนึ่งลอยผ่านหน้าสตรีชุดแดงนั้นไป


 


 


คนที่เห็นน่องไก่ชิ้นนั้นลอยขึ้นไปต่างมองด้วยความอึ้งงัน แล้วอดขยี้ตาตนมิได้ด้วยคิดว่าตนตาฝาด


 


 


สตรีชุดแดงที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นจึงเบี่ยงกายหลบไปตามสัญชาตญาณ แล้วเปลี่ยนทิศทางไปอีกฝั่งหนึ่งของเวที นางล้วงกริชเล่มหนึ่งออกมาแล้วพุ่งกริชคมวาวนั้นเข้าใส่เจาเฟิงตี้


 


 


เสียงกรีดร้องดังขึ้น พระสนมที่อยู่บนเวลานั้นต่างตกใจกันยกใหญ่ บ้างก็หวาดกลัวจนผลักโต๊ะล้มคว่ำอย่างไร้สติทำให้คนที่จะเข้าไปคุ้มกันฝ่าบาทยากจะเข้าไปได้ในทันที


 


 


องค์ชายที่นั่งใกล้กับตำแหน่งของเจาเฟิงตี้


 


 


 เงาสีม่วงและเงาสีน้ำเงินพุ่งเข้ามาขวางอยู่หน้าเจาเฟิงตี้พร้อมกัน


 


 


แต่พวกเขานั้นพุ่งออกมาอยู่คนละฝั่ง หากสตรีชุดแดงนั้นมิได้เปลี่ยนทิศทาง นางก็คงจะแทงเข้าใส่บุรุษชุดม่วงก่อน แต่เพราะน่องไก่นั้นทำให้ต้องเปลี่ยนทิศทาง ผู้ที่เข้ามาขวางคมกริชไว้จึงเป็นบุรุษชุดสีน้ำเงินแทน


 


 


เสียงของมีคมที่แทงทะลุเนื้อเข้าไปดังฉึก โลหิตสาดกระจายไปทั่ว เสียงกรีดร้องดังไปทั่วสารทิศ คมกริชนั้นแทงเข้าไปที่แขนข้างขวาของบุรุษชุดน้ำเงิน


 


 


“องค์ชายรอง…” พระชายาขององค์ชายรองร้องเรียกขึ้น ร่างที่อิงโต๊ะอยู่นั้นพลันโงนเงนล้มลง


 


 


สตรีชุดแดงชักกริชออกมาแล้วพุ่งเข้าไปหาเจาเฟิงตี้อีก องค์ชายหกผู้สวมชุดสีม่วงจึงฉวยโอกาสนี้พุ่งเข้าไปถีบนางตกลงจากเวที


 


 


เสียงร้องตกใจดังขึ้น คนที่นั่งอยู่ในโต๊ะข้างล่างเวทีต่างวิ่งหนีด้วยความตกใจ


 


 


พวกเจินเมี่ยวนั่งอยู่ไม่ไกลจากเวทีนักจึงพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ในสามคนนี้มีเพียงเจินเมี่ยวที่ฝึกซ้อมวิชาหมัดมวยอยู่เป็นประจำ มือเท้านับว่าว่องไวอยู่บ้าง นางจึงคุ้มกันคนทั้งสองให้ไปหลบอยู่ในมุมหนึ่ง


 


 


ตั้งแต่ถีบสตรีชุดแดงตกเวทีไป องค์ชายหกก็หันมากวาดตามองที่ตรงนั้นอย่างไม่รู้ตัวแล้วถอนหายใจโล่งออกมา สักพักก็ต้องส่ายหน้าอย่างทอดถอนใจ


 


 


การลอบสังหารในวันนี้ เขาพอจะได้ข่าวมาบ้างแล้ว แม้นจะไม่ทราบว่ามือสังหารจะโผล่มาเมื่อใด แต่เขาก็เตรียมตัวไว้นานแล้วที่จะเข้าไปขวางดาบแทนเสด็จพ่อ


 


 


คนเราเมื่ออายุมากขึ้นก็ย่อมหวั่นไหวง่ายเป็นธรรมดา สำหรับบุตรที่เข้ามาขวางดาบแทนตน เจาเฟิงตี้ก็ต้องรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นธรรมดา อย่างไรเขาก็เป็นคน


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่าน่องไก่ชิ้นนั้นของเจินเมี่ยวจะทำทุกอย่างพังไม่เป็นท่า องค์ชายรองจึงได้ออกมารับหน้าแทน


 


 


แม้นหลังจากนั้นเขาจะเข้ามาขวางไว้ได้ทัน แต่หากเปรียบกันแล้วย่อมมิอาจเปรียบได้กับความจริงใจขององค์ชายรองผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นแน่


 


 


องค์ชายหกทั้งจนใจทั้งรู้สึกขบขัน กระทั่งอยากจะจับเจินเมี่ยวมาฟาดสักครา


 


 


งานเลี้ยงฉลองใกล้จะจบลงแล้วแท้ๆ นางกลับยังคงกินน่องไก่อยู่อีก ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!


 


 


ความคิดนี้ขององค์ชายหกนั้นเกิดขึ้นในชั่วเวลาสั้นๆ เท่านั้น เหล่าองครักษ์หลวงทั้งหลายต่างก็เข้ามาฆ่าฟันสตรีชุดแดงแล้ว ทำให้นางรีบผลักสตรีที่วิ่งไปมาเหล่านั้นเข้ามาบังกระบี่แทนตน


 


 


เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น สตรีไม่น้อยต่างยกมือปิดปากตนไว้ มีเด็กน้อยผู้หนึ่งวิ่งร้องไห้เข้าไปตรงนั้น “ท่านแม่…”


 


 


คิดไม่ถึงว่าผู้ที่ต้องสังเวยชีวิตแทนสตรีชุดแดงนั้นคือพระชายาขององค์ชายสาม


 


 


องครักษ์ผู้หนึ่งรีบอุ้มเด็กชายตัวน้อยไปอีกมุมหนึ่งเขาจึงรอดพ้นจากฝีมืออันร้ายกาจของสตรีชุดแดง แต่องครักษ์ผู้นั้นกลับถูกแทงจนเลือดสาดกระจายออกมาเปื้อนเต็มร่างเด็กน้อย


 


 


เจินเมี่ยวจึงไปดึงตัวเด็กน้อยที่ร่างเต็มไปด้วยโลหิตนั้นเข้าหาตัว


 


 


องครักษ์ทั้งหลายต่างบุกเข้าจับตัวสตรีชุดแดง แม้นนางจะเก่งกาจ แต่กำปั้นสองข้างย่อมมิอาจสู้ศัตรูที่มีสี่มือ ชั่วพริบตานางก็ถูกจับกุมได้


 


 


“จับตัวไว้สอบปากคำก่อน!” เจาเฟิงตี้ร้องขึ้นด้วยโทสะ


 


 


แต่ในขณะที่สตรีชุดแดงถูกจับกุมไว้แล้วนั้นนางก็กัดยาพิษที่อยู่ในปากปลิดชีพตนทันที


 


 


ความวุ่นวายต่างๆ ยังมิทันสงบลงก็ได้ยินเสียงเพล้งพล้างดังขึ้น พระชายาองค์ชายรองร้องขึ้นอย่างน่าเวทนา “องค์ชายรอง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านฟื้นสิ!”


 


 


คนทั้งหลายต่างหันไปมององค์ชายรองที่จู่ๆ ก็ล้มลงกองกับพื้น คนที่อยู่ไม่ไกลนักจะเห็นได้ว่าใบหน้าเขาเริ่มเขียวคล้ำขึ้นมาเล็กน้อย โลหิตที่แขนก็เปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งออกมาด้วย


 


 


“มีพิษ” คนไม่น้อยต่างหลุดปากออกมา


 


 


ชั่วขณะนั้นเองที่องค์ชายหกถึงกับสะดุ้งตกใจจึงอดหันไปมองที่มุมหนึ่งมิได้ แต่ยามนี้ทุกคนยังคงตื่นตระหนกกันอยู่จึงมิได้สังเกตว่าองค์ชายหกมองไปที่ผู้ใด


 


 


“รีบไปเชิญหมอหลวงมา” เจาเฟิงตี้ร้องตะโกนขึ้น


 


 


ไม่มีผู้ใดกล้าย้ายร่างองค์ชายรองโดยพลการ ครู่หนึ่งหมอหลวงที่องครักษ์สองคนไปเชิญและแบกวิ่งมาก็มาถึง


 


 


ผู้ที่เข้าเวรวันนี้เป็นจังจ้งหัน หมอผู้เชี่ยวชาญการวินิจฉัยโรคแห่งสำนักแพทย์หลวงพอดี เมื่อเห็นเขามาผู้คนทั้งหลายต่างก็ถอนหายใจโล่งอก


 


 


รอกระทั่งองครักษ์สองคนปล่อยมือลง จังจ้งหันก็รีบเข้าไปตรวจอาการให้องค์ชายรองโดยมิสนอาการหอบหายใจของตนด้วยซ้ำ


 


 


เขาใช้เข็มแตะเอาเลือดนั้นมาดม นอกจากกลิ่นคาวของเลือดแล้วยังมีกลิ่นแปลกประหลาดบางอย่างอยู่ด้วย สถานการณ์เช่นนี้มันดูคุ้นๆ อยู่ แต่ในเวลาสั้นๆ กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ใด


 


 


จังจ้งหันขมวดคิ้วครุ่นคิด สายตาสอดส่ายไร้จุดหมาย พลันเห็นสองเท้าเปล่าเปลือยของสตรีชุดแดงที่บัดนี้กลายเป็นศพไปแล้วเข้าพอดี


 


 


บนข้อเท้าเกลี้ยงเกลานั้นผูกกระพรวนทองไว้เส้นหนึ่ง เชือกที่ผูกกระพรวนนั้นมิใช่สีแดงที่พบเห็นได้ทั่วไปแต่เป็นสีแดงเหลือบเขียว


 


 


ชั่วขณะนั้นเองจังจ้งหันก็พลันคิดขึ้นมาได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ทันที “ฝ่าบาท องค์ชายรองถูกพิษ ‘บุรุษไร้ใจ’ พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“บุรุษไร้ใจ? เป็นพิษแบบใดกัน มีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?” เจาเฟิงตีหน้าเผือดไปทันที


 


 


จังจ้งหันส่ายศีรษะแต่ใบหน้าก็ยังคงย่ำแย่อยู่เช่นเดิม “ ‘บุรุษไร้ใจ’เป็นพิษประหลาดของชนต่างเผ่า มันมิอันตรายถึงชีวิต แต่บุรุษที่ถูกพิษชนิดนี้จะมิอาจขยับตัวได้ ไม่ว่าจะทุกข์สุขเศร้ายินดีก็มิอาจแสดงอารมณ์ออกมาทางใบหน้าได้ ไร้ความรู้สึกไม่ต่างอันใดกับคนตายแล้ว ทั้งมันยังร้ายกาจนัก หากมันได้ซึมเข้ากระแสเลือดแล้ว ต่อให้กรีดผิวหนังก็มิอาจขจัดมันไปได้”


 


 


เมื่อวาจานี้เอ่ยออกมา คนทั้งหลายต่างก็สูดปากพร้อมกัน


 


 


ความตระหนกตกใจก่อตัวขึ้นในใจองค์ชายหกทันที กระทั่งเหงื่อแตกพลั่กจนแผ่นหลังเปียกชื้นไปหมด


 


 


เขารู้ว่าวันนี้คงมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นแต่คิดไม่ถึงว่ามือสังหารจะใช้พิษประหลาดเช่นนี้เคลือบไว้ที่กริช


 


 


หากเมื่อครู่เขาใช้ร่างตนเข้าไปขวางเพื่อเป็นการแสดงความกตัญญู…


 


 


หัวใจขององค์ชายหกเต้นระรัวขึ้นมาอย่างหนัก แล้วหันไปมองที่มุมหนึ่งอีกครา 

 

 


ตอนที่ 276 พักอยู่ในวังชั่วคราว

 

เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดเจินเมี่ยวกำลังมองไปรอบๆ อย่างงุนงง


 


 


นางจะซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งซึ่งด้านข้างมีกระถางต้นไม้ที่ห้อยโคมกระเบื้องหลากสีไว้ แสงอันเจิดจ้านั้นขับให้ชุดสีฟ้าอ่อน กระโปรงปักลายดอกเหมยเขียวนั้นดูโปร่งแสงไปก็มิปาน สตรีงามที่อยู่ใต้โคมไฟนั้นมีผิวพรรณดุจหยก ขาวเนียนกระจ่างยิ่ง องค์ชายหกมองเห็นกระทั่งขนตางอนหนาดั่งพัดของนางที่กระเพื่อมไหวเพราะความกังวลใจ ความงดงามที่สะท้อนออกมาจากเงาร่างขมุกขมัวนั้นทำให้คนคันคะยิกในใจ


 


 


เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นไปมองบนเวทีตามสัญชาตญาณก็พลันสบตาเข้ากับองค์ชายหก นัยน์ตาพลันสว่างวาบขึ้น นางยิ้มให้กับเขาแล้วอุ้มเด็กน้อยวิ่งเข้าไปหา


 


 


การวิ่งเข้ามาของเจินเมี่ยวในครั้งนี้จึงทำลายบรรยากาศอันนิ่งอึ้งที่เกิดขึ้นหลังจากที่หมอหลวงจังบอกเล่าถึงพิษชนิดนั้นพอดี


 


 


“จิ่งเกอ…” บุรุษผู้หนึ่งเดินพุ่งเข้ามาปานลูกธนู แล้วยืนมือไปรับเด็กน้อยจากเจินเมี่ยว แต่เด็กน้อยกลับกอดเจินเมี่ยวไว้แน่นไม่ยอมไป


 


 


เวลานี้เองหมอหลวงที่เหลืออีกหลายคนก็มาถึง เจาเฟิงตี้เอ่ยกับหมอหลวงสิงที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคเด็กว่า “หมอหลวงสิง รีบไปตรวจอาการหลานเราเร็ว หมอหลวงหวังท่านไปดูสิว่าเรายังจะพอช่วยชายาขององค์ชายสามได้หรือไม่ ส่วนที่เหลือก็มาช่วยหมอหลวงจังตรวจดูทีว่าจะรักษาพิษขององค์ชายรองได้อย่างไร! ”


 


 


หมอหลวงสิงรีบวิ่งเข้าไปตรวจดูอาการแล้วเอ่ยว่า “พระนัดดาตกพระทัยจนเกินไปเท่านั้น มิได้เป็นอันใดมาก หม่อมฉันจะให้โอสถสงบจิตใจ รอให้พระนัดดาตื่นแล้วให้ทรงดื่มก็ไม่เป็นอันใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่กลิ่นคาวโลหิตนั้นแรงยิ่ง ไม่ควรปล่อยไว้นานพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


องค์ชายสามที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงเริ่มรวบรวมสติแล้วเอ่ยด้วยความสงสัยว่า “เจียหมิงเซี่ยนจู่ จิ่งเกอจับมือเจ้าไม่ปล่อยเช่นนี้ เจ้าช่วยตามหมอหลวงไปก่อนได้หรือไม่ ประเดี๋ยวข้าจะตามไป”


 


 


เจินเมี่ยวจะพูดอันใดได้จึงทำเพียงพยักหน้า แต่ตอนที่เดินตามหมอหลวงสิงเข้าไปในห้องกลับอดหันกลับไปมองมิได้ นางจึงเห็นองค์ชายสามเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างพระชายาที่กลายเป็นศพไปแล้วนั้นพลางพูดอันใดบางอย่างกับหมอหลวง หมอหลวงหวังส่ายหน้าไปมา


 


 


องค์ชายสามโบกมือคราหนึ่งก็มีคนมายกร่างของพระชายาออกไป แล้วเขาก็หมุนกายเดินตามเจินเมี่ยวมา


 


 


เจินเมี่ยวพลันรู้สึกขนลุกขึ้นมา ความรู้สึกเศร้าสร้อยเกิดขึ้นในหัวใจอย่างประหลาด


 


 


นางไม่ชอบบุรุษเช่นองค์ชายหกมากที่สุด


 


 


แม้นจะบอกว่าบุรุษนั้นยากหลั่งน้ำตา แต่เมื่อต้องเผชิญกับการจากไปอย่างกะทันหันของภรรยาก็มิจำเป็นต้องสุขุมถึงเพียงนี้ก็ได้กระมัง


 


 


บางทีบุรุษในยุคสมัยนี้นั้นอาจจะเห็นภรรยาเป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในใจพวกเขาเท่านั้น เล็กกระทั่งทำให้นางที่เป็นสตรีเช่นกันรู้สึกสะท้อนใจ


 


 


องค์ชายสามเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวกลับเซถลาไปคราหนึ่งแล้วกระอักโลหิตออกมา


 


 


ครานี้ทุกคนจึงกลับมากระวนกระวายกันอีกครั้ง


 


 


นัยน์ตาองค์ชายหกสาดประกายวาบขึ้นคราหนึ่งแล้วเดินเข้าไปประคององค์ชายสาม พลางเอ่ยกับเจาเฟิงตี้ว่า “เสด็จพ่อ ลูกจะประคองพี่สามไปพักด้านในเองพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงหวัง เชิญตามข้าเข้าไปตรวจอาการให้องค์ชายสามด้วย”


 


 


เจาเฟิงตี้สีหน้าหม่นหมองยิ่ง เขาพยักหน้าอย่างนิ่งขรึม เขาไม่มีแรงกระทั่งเอ่ยปากพูด จึงเพียงโบกมือให้พวกเขาไปได้


 


 


เพราะองค์ชายสามและพระนัดดานั้นเป็นพ่อลูกกัน ขันทีที่นำทางจึงนำทั้งสองไปพักในห้องเดียวกัน แต่องค์ชายหกกลับเอ่ยขึ้นว่า “แยกห้องกันน่าจะสะดวกกว่า” พูดพลางหันไปมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง


 


 


ขันทีผู้นั้นจึงเข้าใจขึ้นมาทันที เขาลอบพูดในใจว่าองค์ชายหกช่างละเอียดนัก สุดท้ายก็เปิดห้องที่อยู่ติดกันสองห้อง


 


 


เจินเมี่ยวอุ้มจิ่งเกอเดินเข้าไปด้านใน รอกระทั่งหมอหลวงสิงไปดูแลกำชับให้นางกำนัลต้มยาแล้ว นางก็ยังกลับมิได้ จึงทำได้เพียงแต่รอ ในใจก็หวังให้เด็กน้อยตื่นขึ้นมาเสียทีนางจะได้กลับจวน


 


 


วังหลวงช่างน่ากลัวนัก นางไม่อยากมาอีกแล้ว!


 


 


“กำลังคิดอันใดอยู่หรือ?” เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น


 


 


“องค์ชายหก…” เจินเมี่ยวลุกขึ้นทันใด ครั้นเมื่อข้อมือถูกดึงไว้จึงนึกขึ้นได้ว่าจิ่งเกอยังคงจับนางไว้ไม่ยอมปล่อยจึงได้แต่นั่งลงเช่นเดิม


 


 


องค์ชายหกขมวดคิ้วมุ่น “เจียหมิง เจ้าลืมอีกแล้วหรือว่าต้องเรียกข้าว่าอย่างไร?”


 


 


เจินเมี่ยวอึ้งงันไป รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าหากโต้แย้งกับองค์ชายหกนางคงมีจุดจบที่ไม่ดีแน่ จึงฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เสด็จพี่”


 


 


องค์ชายหกจึงค่อยยกมุมปากให้หยักโค้งขึ้น


 


 


“เออ แล้วเสด็จพี่สามเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


องค์ชายหกย่นหัวคิ้วทันที แล้วแค่นเสียงฮึออกมา “คนก็มิได้อยู่ที่นี่เสียหน่อย เจ้าเรียกเสด็จพี่สามให้ผู้ใดฟังกันเล่า?”


 


 


เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ รู้สึกประหลาดใจยิ่ง


 


 


ผู้ที่ใช้ชีวิตในวังหลวงนี้หากมิใช่กดดันจนวิปริตก็ถูกกดดันจนวิปริตได้มากกว่าที่นางคิดไว้จริงๆ แค่นามเรียกขานเท่านั้น องค์ชายหกจะชวนทะเลาะให้ได้อันใดขึ้นมา?


 


 


เมื่อครู่เขาเองมิใช่หรือที่ตำหนิว่านางเรียกขานไม่เหมาะสม?


 


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาต่อว่าและขุ่นเคืองของเจินเมี่ยว องค์ชายหกก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา จึงยกมือขึ้นป้องปากแล้วกระแอมไอออกมา “พวกเจ้ามิได้สนิทกันเพียงนั้นเสียหน่อย!”


 


 


แล้วเราสองคนสนิทกันหรือ!


 


 


เจินเมี่ยวมิกล้าพูด แต่วาจานี้กลับทะลุผ่านดวงตาออกมาแล้ว


 


 


องค์ชายหกทำสีหน้านิ่งแล้วเอ่ยขึ้นคล้ายจริงจังยิ่ง “เจียหมิง เจินไท่เฟยมีบุญคุณที่เลี้ยงดูข้ามาตั้งแต่เล็ก เจ้าเองก็เป็นหลานของไท่เฟย ทั้งฐานะในตอนนี้ของเจ้า เราสองคนก็ไม่ต่างอันใดกับพี่น้องกันจริงๆ นักหรอกนะ แต่เจ้าเรียกขานผู้อื่นเช่นนี้ ระวังเขาจะหัวเราะเยาะเจ้าเอาได้”


 


 


เจินเมี่ยวลอบกลอกตาให้เขา แล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “ทราบแล้วเพคะ เช่นนั้นองค์ชายสามเป็นอย่างไรบ้างแล้วหรือ?”


 


 


เมื่อครู่นางเข้าใจผู้อื่นผิดคิดว่าเขาไร้หัวใจ สุดท้ายเขาถึงกับกระอักโลหิตแล้วหมดสติไปเพราะการจากไปของพระชายา สตรีน่ะหรือ ต่างก็มีใจที่เห็นใจในความทุกข์ของคู่รักที่มิอาจสมหวังอยู่เสมอ เจินเมี่ยวก็เช่นกัน นางจึงอดถามถึงมิได้?


 


 


วาจานี้ทำให้องค์ชายหกต้องแค่นยิ้มเย็นออกมา พลางเอ่ยในใจว่าเจียหมิงเจ้าช่างโง่เขลานัก ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดเป็นราชนิกุลจริงๆ หรือไม่ เจ้าก็มิจำเป็นต้องไปคบค้าพูดคุยกับคนเจ้าเล่ห์เช่นนั้นเด็ดขาด มิเช่นนั้นถูกหักหลังแล้วก็ยังไม่รู้ตัวเป็นแน่


 


 


หากพี่สามเสียใจถึงเพียงนั้นจริงคงไม่สามารถไปดูบุตรชายแล้วเดินไปถามหมอหลวงค่อยกระอักเลือดออกมาหลังจากเดินไปอีกสองก้าวกระมัง?


 


 


เหอะๆ ขอแค่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ หากคิดจะใช้กำลังภายในขับเลือดออกมาสักกำก็เป็นเรื่องง่ายยิ่ง


 


 


พี่รองเข้าไปช่วยเสด็จพ่อจนได้รับพิษ ส่วนเขาเองอย่างน้อยก็ได้เข้าไปขวางมือสังหารนั้นนับว่ามีความดีความชอบ พี่สามมีหรือจะนิ่งดูดายได้ เขาก็แค่อาศัยความตายของพระชายาตนมาเรียกร้องความเห็นใจจากเสด็จพ่อเท่านั้นเอง


 


 


เขาก็เป็นเพียงแค่คนที่หลอกใช้ประโยชน์ได้ทุกอย่างแม้กระทั่งกับการตายของภรรยาตนเท่านั้น!


 


 


องค์ชายหกเห็นเจินเมี่ยวยังคงมีท่าทีมึนงงก็โมโหที่นางช่างมิได้ดั่งใจเอาเสียเลย แต่เพราะฐานะและสถานที่ที่อยู่ในตอนนี้ เขามิอาจพูดอันใดได้มากนัก จึงเพียงถามว่า “เจียหมิง ตอนนั้น เหตุใดเจ้าต้องโยนน้องไก่ใส่มือสังหารเล่า?”


 


 


เจินเมี่ยวเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หลุดมือ…”


 


 


แน่นอนว่ามิใช่เพราะมันลื่นหลุดมือ แต่เพราะพรสวรรค์ในการดมกลิ่นของนางทำให้รู้สึกได้ถึงความผิดปกตินั้น


 


 


ตำแหน่งที่นั่งของนางนั้นถูกจัดให้อยู่บริเวณรอบนอกก็จริงแต่กลับอยู่ใกล้ขอบเวทีนั้นค่อนข้างใกล้ ตอนที่สตรีชุดแดงทะยานโบยบินไปนั้นนางได้กินหอมแปลกๆ อยู่รางๆ แต่กลิ่นหอมแปลกๆ นั้นกลับมิได้ทำให้คนรู้สึกชื่นใจแต่รู้สึกคลื่นไส้มากกว่า


 


 


เพราะก่อนหน้านี้หลัวเทียนเฉิงกำชับนางด้วยวาจาแปลกๆ เจินเมี่ยวจึงรู้สึกสังหรณ์ใจว่าต้องมีเหตุเกิดขึ้นในงานเลี้ยงฉลองวันนี้แน่ ความผิดปรกติในตอนนั้นทำให้นางระแวดระวังจนตึงเครียดอยู่ตลอดเวลาจึงโยนน่องไก่ที่ตนกำลังจะกินใส่หน้าสตรีชุดแดงทันทีโดยมิทันได้พิจารณาสิ่งใดเลย


 


 


ตอนที่น่องไก่ลอยขึ้นไปนั้น นางก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที


 


 


หากสตรีผู้นั้นมิใช่มือสังหาร แค่กระโดดโบยบินไปตรงหน้าพระพักตร์เพื่อถวายบุปผาหรือเปิดเผยโฉมหน้า การโยนน่องไก่ขึ้นไปเช่นนั้นช่างน่าขายหน้านัก


 


 


แต่เมื่อรู้ว่าสตรีผู้นั้นเป็นมือสังหารจริงๆ เจินเมี่ยวก็ยิ่งรู้สึกเสียใจมากไปกว่าเดิม


 


 


คนทั่วทั้งตำหนักไม่มีผู้ใดทราบว่าสตรีผู้นั้นมีท่าทีแปลกๆ แต่นางผู้ที่รับรู้ได้ก่อนใครกลับโยนน่องไก่ขึ้นไปแทนมีดสั้นเพื่อทักทายมือสังหาร เรื่องนี้ช่างยากจะอธิบายนัก!


 


 


แต่หลังจากที่นางทราบว่าองค์ชายรองได้รับพิษประหลาดแต่องค์ชายหกกลับรอดมาได้ เจินเมี่ยวกลับมิได้เสียใจเพียงนั้นแล้ว


 


 


ใจคนเราล้วนย่อมเอนเอียง นางกับองค์ชายรองมิได้รู้จักอันใดกัน แต่องค์ชายหกนั้น แม้นจะไม่ค่อยลงรอยกันนัก แต่เขาก็ดีกับไท่เฟยมาก เมื่อมาคิดดูแลการที่ไท่เฟยที่อยู่ในวังมานานถึงเพียงนี้มีลูกหลานคอยมาเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยๆ ก็เป็นเรื่องยากนัก


 


 


“เจียหมิง?” องค์ชายหกหรี่ตามองนาง เห็นชัดว่าไม่พอใจในคำตอบ


 


 


เจินเมี่ยวกลับไม่พอใจยิ่งกว่า จึงแค่นเสียง ‘ฮึ’ ขึ้นเบาๆ “เสด็จพี่ ข้าช่วยท่านไว้แท้ๆ ท่านกลับใช้ท่าทีบังคับขู่เข็ญเช่นนี้ตอบแทนข้าหรือ?”


 


 


องค์ชายหกเริ่มร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว เขาคว้าข้อมือเจินเมี่ยวไว้ “เด็กโง่ เพราะเป็นเช่นนี้ต่างหาก ข้าจึงอยากจะรู้ว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางเป็นคนร้าย หรือเจ้าคิดจะใช้เหตุผลเหลวไหลเช่นมือลื่นน่องไก่เลยหลุดมือเพื่อตอบกับเสด็จพ่อเล่า? เชื่อข้า เสด็จพ่อที่ทรงกริ้วอย่างที่สุดนั้นไม่มีทางสนใจว่าเจ้ามีฐานะใดแน่ อย่างไรพระองค์ต้องบันดาลโทสะอย่างถึงที่สุดแน่”


 


 


เจินเมี่ยวเบิกตากลมโตขึ้น เหล่มองมือองค์ชายหก แล้วมองเขาอย่างระแวงแวบหนึ่ง ในใจก็กล่าวว่านางย่อมมิโง่เขลาถึงขนาดพูดเช่นนี้กับเจาเฟิงตี้แน่ แต่…มันเกี่ยวอันใดกับเขาเล่า!


 


 


ถึงกับบอกว่านางโง่! นางจะไปฟ้องซื่อจื่อ!


 


 


องค์ชายหกปล่อยมือเจินเมี่ยวทันทีดุจถูกไฟลวกก็มิปาน แล้วเบี่ยงหน้าหลบไปทางอื่น


 


 


เวลานี้เองจิ่งเกอก็ฟื้นขึ้น เขาร้องไห้เสียงแหลม แล้วกอดเจินเมี่ยวแน่นไม่ยอมปล่อยมือ


 


 


ขันทีผู้หนึ่งเดินเข้ามาพอดี เขาย่อกายถวายพระพรแล้วเอ่ยว่า “องค์ชายหก เจียหมิงเซี่ยนจู่ ฝ่าบาทเชิญท่านทั้งสองไปสอบถามพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวได้ยินก็ลุกขึ้น แต่จิ่งเกอกลับกอดนางแน่นไม่ปล่อยมือด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว


 


 


“จิ่งเกอ ข้าต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จปู่เจ้า ประเดี๋ยวข้าก็กลับมาหาเจ้าแล้ว”


 


 


จิ่งเกอคล้ายไม่เข้าใจที่เจินเมี่ยวพูด มือที่จับนางไว้ยิ่งกุมแน่นมากขึ้นไปอีก


 


 


เจินเมี่ยวขมวดคิ้วด้วยรู้สึกเจ็บ


 


 


อย่าเห็นว่าเป็นแค่เด็ก หากออกแรงมากๆ นางก็คิดว่ามือนางอาจเขียวช้ำได้เช่นกัน


 


 


เจินเมี่ยวสบตากับองค์ชายหกอย่างจนใจ องค์ชายหกเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ให้เขาไปด้วยแล้วกัน”


 


 


ครั้นเจาเฟิงตี้เห็นเจินเมี่ยวอุ้มจิ่งเกอมาด้วยก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เจินเมี่ยวจึงรีบทูลว่า “พระนัดดาอาจจะตกใจเกินไป แค่ปล่อยมือเขาก็จะร้องไห้งอแงเพคะ”


 


 


หลังจากที่จิ่งเกอต้องพบกับความตกใจหวาดกลัวอันใหญ่หลวงแต่กลับได้อ้อมกอดอันอบอุ่นของเจินเมี่ยวเป็นที่หลบภัย ก่อนเขาหมดสติไปจึงจดจำไว้ลงไปถึงข้างในจิตใจ กระทั่งยามนี้ที่สติยังไม่แจ่มชัดนักจึงเอาแต่กอดเกี่ยวคนที่ช่วยเขาไว้ให้รอดพ้นอันตรายแน่นไม่ยอมปล่อยก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้


 


 


เจาเฟิงตี้เจ็บลึกที่หัวใจจึงยกมือขึ้นกุมหน้าอก แล้วลอบสูดลมหายใจคราหนึ่งจึงเอ่ยว่า “เจียหมิง เหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าสตรีชุดแดงนั้นไม่ปกติ?”


 


 


องค์ชายหกมองเจินเมี่ยวด้วยความกังวลใจ ในใจก็ครุ่นคิดว่าหากสตรีโง่งมตอบออกไปว่ามือลื่น เขาควรจะพูดอย่างไรจึงจะช่วยให้เสด็จพ่อคลายโทสะ


 


 


เจินเมี่ยวกลับมิได้มององค์ชายหกเลยแต่กลับยกจิ่งเกอที่เกาะอยู่บนตัวนางแน่นจนแทบจะเตะกระโปรงของนางให้หลุดจากร่างขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ตอนที่สตรีชุดแดงนั้นกระโจนโบยบินเข้ามา หม่อมฉันได้กลิ่นหอมจางๆ จากกายนาง กลิ่นหอมนั้นมีกลิ่นเหม็นแทรกอยู่ทำให้คนได้กลิ่นแล้วอยากจะอาเจียนเพคะ”


 


 


ครั้นเห็นเจาเฟิงตี้และองค์ชายหกต่างมีสีหน้าสงสัย เจินเมี่ยวก็เอ่ยเตือนขึ้นอีกว่า “พระองค์ยังจำกลุ่มคนร้ายที่บุกเข้าสังหารผู้คนในจวนหย่งอ๋องได้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันมีประสาทรับรู้กลิ่นที่ว่องไวกว่าผู้อื่นเล็กน้อย ตอนนั้นหม่อมฉันก็ใช้การดมกลิ่นถึงได้รู้ว่าพวกเขามิใช่คนต้าโจวเพคะ”


 


 


เมื่อได้ฟังเจินเมี่ยวกล่าวเช่นนี้ เจาเฟิงตี้ก็นึกได้ขึ้นมา ในใจคิดเช่นไรนั้นไม่ทราบแต่ใบหน้ากลับเผยท่าทีคล้อยตาม “เจียหมิง ในเมื่อจิ่งเกอไม่ยอมห่างจากเจ้า สองสามวันนี้เจ้าก็พักที่วังหลวงไปก่อนเถิด” 

 

 


ตอนที่ 277 ขายหน้าอีกแล้ว

 

หลังจากองค์ชายหกกับเจินเมี่ยวกับองค์ชายหกออกไปแล้ว เจาเฟิงตี้ใช้ไม้เท้าสลักมังกรพยุงตัวขึ้นแต่กลับลุกไม่ขึ้น


 


 


หวังเต๋อไฮ่ขันทีผู้ใกล้ชิดก็ตกใจจนหน้าซีด แต่เพราะเป็นผู้รู้จักระแวดระวัง จึงมิได้เผลอร้องออกมา แต่รีบเข้าไปประคองเจ้าเฟิงตี้แทน พลางเอ่ยถามเสียงสั่นว่า “ฝ่าบาท?”


 


 


เจาเฟิงตี้ชำเลืองมองหวังเต๋อไฮ่คราหนึ่ง รู้สึกพอใจในท่าทีตอบสนองของเขายิ่ง จึงเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยล้าว่า “ไปเรียกจังจ้งหันมา จำไว้ว่าห้ามให้หวงโฮ่วและไท่โฮ่วรู้เด็ดขาด!”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันทราบแล้ว” หวังเต๋อไฮ่ออกไปตามหมอหลวงจังอย่างเงียบๆ แต่ในใจกลับคล้ายกำลังก้าวเดินอยู่ในธารน้ำแข็งก็มิปาน


 


 


สุขภาพของฝ่าบาทตอนนี้ดูท่าจะแย่แล้ว หากเกิดเหตุ….


 


 


เขาพลันขนลุกขึ้นมา มิกล้าคิดอันใดให้ลึกไปกว่านี้


 


 


คลื่นลมซัดสาดไปทั่ววังหลวง แต่เจินเมี่ยวที่อยู่ในวังเป็นคอยปลอบจิ่งเกอกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวสักนิด ในใจก็เอาแต่คิดถึงจวนกั๋วกง


 


 


วันนั้นนางมิได้ทำตามที่หลัวเทียนเฉิงกำชับ ภายหลังถึงได้มีเรื่องยุ่งยากมากมายเกิดขึ้นกับตน ยามนี้ก็ถูกกักอยู่ในวังมิอาจกลับจวนได้ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว


 


 


“ท่านแม่…” เสียงเล็กอ่อนแรงดังขึ้น มือเล็กๆ นั้นยื่นออกมากำแขนเสื้อนางไว้แน่น


 


 


เจินเมี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึกถึงสามารถบังคับตนมิให้กระโจนวิ่งชนกำแพงเอาไว้ได้ นางค่อยๆ พลิกกายไป เผยรอยยิ้มอันอบอุ่นออกมา “จิ่งเกอ เจ้าเรียกข้าว่าท่านอาเจียหมิงก็ได้”


 


 


“ท่านแม่…” จิ่งเกอเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


 


 


เจินเมี่ยวกุมขมับตน กลัดกลุ้มจนไม่รู้จะเอ่ยอันใดดีแล้ว


 


 


นางเอาน่องไก่โยนใส่มือสังหาร องค์ชายหกหัวเราะเยาะนางว่าโง่เง่าไม่พอ ยังทำให้เจาเฟิงตี้แคลงใจในตัวนางอีก


 


 


เจินเมี่ยวมิได้โง่ แค่เรื่องของจิ่งเกอก็มิจำเป็นต้องให้นางอยู่ที่นี่ก็ได้ นี่เป็นการกักบริเวณอีกแบบหนึ่งต่างหากเล่า


 


 


เรื่องนี้นางยังพอทนได้ แต่จู่ๆ กลับมีบุตรชายเพิ่มมาอีกคน นี่มันเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่


 


 


เมื่อเห็นท่าทีขลาดกลัวของจิ่งเกอ เจินเมี่ยวก็ไม่กล้าพูดอันใดอีก เพียงใช้มือลูบใบหน้าเขาแผ่วเบา แล้วเอ่ยถามหมอหลวงสิงที่มาตรวจอาการว่า “หมอหลวงสิง เหตุใดพระนัดดาจึงจำไม่ได้เล่า?”


 


 


หมอหลวงสิงมองจิ่งเกอคราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงทอดถอนใจว่า “คิดว่าพระนัดดาคงเห็นพระมารดาสิ้นชีพอย่างน่าอนาถไปต่อหน้า เพราะอายุยังน้อยจึงมิอาจทานรับความเสียใจนี้ได้จึงเปลี่ยนความทรงจำของตนเองโดยยึดเอาท่านเป็นพระชายาแทน”


 


 


เจินเมี่ยวใจอ่อนยวบขึ้นมา เมื่อหมอหลวงสิงไปแล้วจึงอุ้มจิ่งเกอไปนอนลงบนเก้าอี้ตัวยาว แล้วกล่อมเขานอน


 


 


“ท่านแม่ ข้าอยากฟังเพลงกล่อมเด็ก”


 


 


มุมปากเจินเมี่ยวแข็งค้างไปทันที


 


 


เรื่องนี้นางทนไม่ได้จริงๆ นางแค่อ้าปากร้องทำนองก็วิ่งหนีเสียแล้ว หากทำให้เด็กน้อยตกใจจนเสียสติไปผู้ใดจะรับผิดชอบเล่า!


 


 


“ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ท่านก็ร้องกล่อมข้าทุกคืน” เด็กน้อยค่อนข้างอ่อนไหวง่าย ขณะที่เจินเมี่ยวกำลังลังเลอยู่นั้น หยาดน้ำตาก็พลันร่วงหล่นลง


 


 


น้ำตาขนาดเท่าเมล็ดถั่วร่วงตกลงบนหลังมือเจินเมี่ยวทำให้นางมิอาจทนได้อีกต่อไป


 


 


ร้องก็ร้อง อย่างไรเขาก็ยังเด็ก คงไม่รู้ดอกว่าร้องผิดทำนองเป็นเช่นไรกระมัง อย่างมากที่สุดก็คงคิดว่าวิธีการร้องของนางนั้นพิเศษไม่เหมือนใครเท่านั้น


 


 


เจินเมี่ยวตบหลังจิ่งเกอพร้อมทั้งเปิดปากร้องเพลงแผ่วเบา “จันทราส่องแสง สายลมพัดเงียบ ใบไม้บดบังหน้าต่างไว้ แมลงแข่งกันร้อง…”


 


 


จิ่งเกอร้องไห้แงขึ้นมา เอ่ยสะอึกสะอื้นว่า “ท่านแม่ จิ่งเกอกลัว…”


 


 


เจินเมี่ยวกัดฟันแน่นแล้วเปลี่ยนเพลง “เปลน้อยแกว่งไกวช้าๆ ดาราดวงเล็กๆ ห้อยแขวนบนท้องนภา…”


 


 


จิ่งเกอยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม


 


 


เจินเมี่ยวจึงลองร้องในแบบที่ตรงกันข้ามดู “พ่อไก่ มีหางยาว แต่งภรรยาแล้วลืมมารดา มันแบกเอาภรรยาขึ้นหลังไปยังเตียงตั่ง แบกมารดาไปอยู่หลังเขา ขนมม้วนน้ำตาล ภรรยา ภรรยาเจ้าลองทาน ข้าจะขึ้นเขาไปเยี่ยมมารดาเรา มารดาเรากลายเป็นตัวด้วงไปแล้ว…”


 


 


“ฮะๆ..”จิ่งเกอหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกๆ จึงหันหลังกลับไปมอง หลัวเทียนเฉิงยืนอึ้งงันอยู่หน้าประตู ขันทีที่นำทางเขามานั้นคอยก้มหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายแต่มิกล้าหัวเราะออกมา


 


 


จบกัน ทำตัวขายหน้าอีกแล้ว!


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ถอนหายใจโล่งอกออกมาอีกครา โชคดีที่มิใช่ผู้อื่น!


 


 


ครั้นคิดได้เช่นนี้ก็ ความประหม่าที่มีก็ถูกความยินดีที่ได้พบหลัวเทียนเฉิงกลบทับไป เจินเมี่ยวเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าเบิกบาน นางยิ้มตาหยีพลางเอ่ยถามว่า “จิ่นหมิง ท่านมาได้อย่างไร?”


 


 


เมื่ออยู่ต่อหน้าขันที หลัวเทียนเฉิงจึงไม่พูดให้มากความ เพียงบอกว่า “ข้ามารับเจ้ากลับจวน”


 


 


หัวใจเจินเมี่ยวพลันโบยบินขึ้นมาทันใด ทว่าเมื่อคิดถึงเจาเฟิงตี้ สีหน้าก็เจื่อนไปเล็กน้อย


 


 


หลัวเทียนเฉิงคล้ายเดาได้ว่านางคิดสิ่งใดจึงเอ่ยว่า “ข้าทูลฝ่าบาทเรียบร้อยแล้ว”


 


 


“อืม เช่นนั้นเราไปกันเถิด” เจินเมี่ยวระบายยิ้มเต็มหน้า แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง


 


 


“ท่านแม่…”


 


 


หลัวเทียนเฉิงหน้าบึ้งขึ้นมาทันที


 


 


เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยท่าทีลำบากใจเช่นกัน “พระนัดดาเล่า….”


 


 


“ฝ่าบาทตรัสว่าให้พระนัดดาไปอยู่ที่จวนกับเราสักระยะก่อน” หลัวเทียนเฉิงกัดฟันพูด


 


 


เจินเมี่ยวโล่งอกทันที เช่นนี้ก็ดี นางกลัวจริงๆ ว่าจะกลับจวนไม่ได้เพราะพระนัดดาตัวน้อย การอยู่ในวังอันน่ากลัวนี้ทำให้นางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง แม้นจะให้สงสารเด็กน้อยเพียงใดนางก็ไม่อยากเอาอิสระของตนมาแลกนัก


 


 


“ต้องบอกกล่าวกับองค์ชายสามก่อนหรือไม่?”


 


 


“อืม องค์ชายสามอยู่ด้านนอกนี่แล้ว” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีสักนิด


 


 


“หา?” เจินเมี่ยวขาอ่อนลงทันที


 


 


เช่นนั้นเพลงที่นาเพิ่งร้องไปเมื่อครู่นี้ก็…


 


 


“วางใจเถิด” หลัวเทียนเฉิงตบบ่านางคราหนึ่ง “พระองค์ต้องทรงได้ยินแน่”


 


 


เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ นี่…นี่เป็นการโยนหินซ้ำเติม เทเกลือใส่บาดแผลผู้อื่นใช่หรือไม่?


 


 


ไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าสามีของนางจะทำเช่นนี้กับนางได้!


 


 


เจินเมี่ยวเดินออกไปด้วยความอายจนหน้าชา เมื่อเห็นสายตาอันแปลกประหลาดนั้นขององค์ชายสาม นางก็เจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจ


 


 


อยากจะให้ฟ้าผ่าองค์ชายสามให้ตายไปเสีย


 


 


นางร้องเพลงผิดทำนองไม่พอ ยังร้องว่า ‘มารดาเรากลายเป็นตัวด้วงไปแล้ว…’


 


 


ภรรยาผู้อื่นเพิ่งตายไปแท้ๆ…


 


 


เจินเมี่ยวยิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ นางไม่มีแรงแม้จะพูดกับองค์ชายสามแล้วจึงออกจากวังมาอย่างคนไร้วิญญาณ


 


 


“อุ้มพระนัดดาไปนั่งที่รถม้าคันข้างหน้า” เมื่อเห็นจิ่งเกอซบอยู่บนอกภรรยาไม่ห่าง หลัวเทียนเฉิงรู้สึกไม่ยินยอมยิ่ง


 


 


ปั้นซย่าที่ติดตามมาด้วย ได้ยินเช่นนั้นก็รีบยื่นมือรับจิ่งเกอทันที


 


 


จิ่งเกอมองเจินเมี่ยวตาละห้อยแล้วร้องไห้เสียงดัง


 


 


เจินเมี่ยวรีบเอ่ยปราม “ช่างเถิด นั่งด้วยกันสามคนก็ได้”


 


 


“จะได้อย่างไร” หลัวเทียนเฉิงกวาดตามองปั้นซย่า “มือไม้ให้มันคล่องแคล่วหน่อย พระนัดดาคงหนาวยิ่งแล้ว”


 


 


ปั้นซย่าเป็นคนจงรักภักดียิ่ง แม้นตรงหน้าจะเป็นพระนัดดา แต่เขาก็เชื่อฟังเพียงหลัวเทียนเฉิงจึงรีบเข้าไปอุ้มเอาจิ่งเกอทันที


 


 


พลันได้ยินเสียงแควกดังขึ้น เสื้อตรงหน้าอกองเจินเมี่ยวแหวกเปิดออกทันที


 


 


ความสนใจของหลัวเทียนเฉิงและปั้นซย่าจึงร่วงตกไปที่นั่นทันที จึงเห็นเสื้อตัวในสีเขียวอ่อนปักลายนกเป็ดน้ำอยู่รำไร


 


 


เจินเมี่ยวพลันรู้สึกถึงลางร้ายภายใต้ลมหนาวที่พัดดังซู่ๆ นี้ นางคำรามลั่น “ข้าคิดไว้แล้วว่าสักวันมันต้องเกิดขึ้น!”


 


 


วันนั้นที่เจาเฟิงตี้เรียกให้ไปเข้าเฝ้า เด็กน้อยผู้โชคร้ายนี้ก็ทำกระโปรงนางเกือบจะหลุด นางเอาแต่ครุ่นคิดว่าหากกระโปรงนางหลุดลงไปควรจะทำเช่นไรดี!


 


 


หลัวเทียนเฉิงถลึงตาให้ปั้นซย่าโดยแรงคราหนึ่ง แล้วยกเท้าถีบเขากระเด็นไปไกลพลางเอ่ยอย่างมีโทสะว่า “ยังไปรีบไปบังคับรถม้าอีก!”


 


 


ปั้นซย่ารู้สึกน้อยใจยิ่ง เขาเองก็มิได้อยากจะดูเสียหน่อย มันเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น อีกอย่าง เขาก็เป็นบ่าวรับใช้มิใช่คนขับรถม้าเสียหน่อย!


 


 


เอ๊ะ ตรงนั้นของต้าไหน่ไหน่ก็มินับว่าใหญ่อันใดนัก…ถุยๆ เข้าคิดอันใดกัน! ผิดมหันต์ๆ


 


 


มิพูดถึงความน้อยใจของปั้นซยาแล้ว


 


 


หลัวเทียนเฉิงอุ้มเจินเมี่ยวยัดเข้าไปในรถม้า แล้วมุดตามเข้าไป พลางเอ่ยด้วยความโมโหว่า “คนโง่ เวลาเช่นนั้น เจ้าตะโกนอันใด ควรต้องปิดกระชับเสื้อก่อนมิใช่หรือไร!”


 


 


เจินเมี่ยวถูกหลัวเทียนเฉิงตะโกนใส่จนอึ้งงันไป และในเวลานี้เองจิ่งเกอก็ร้องเรียกนางว่าท่านแม่ขึ้นมาอีก แล้วจับแขนเสื้อนางไว้แน่ไม่ยอมปล่อย


 


 


ชั่วขณะนั้นเองความน้อยใจก็เอ่อล้นขึ้นเต็มหัวใจดุจน้ำหลาก ความน้อยใจนั้นแปรผันกลายเป็นน้ำวิ่งไปจ่อที่ดวงตาทันที


 


 


ขอบตาเจินเมี่ยวแดงก่ำขึ้นมา น้ำตาร่วงหยดลงทันใด


 


 


หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป คิดสิ่งใดไม่ออกไปชั่วครู่


 


 


เจินเมี่ยวหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดขอบตา นางร้องไห้พลางเอ่ยว่า “วันนั้น พระชายาขององค์ชายสามและสตรีชุดแดงต่างตายไปอย่างน่าอนาถ พวกนาง พวกนางล้วนงดงาม…”


 


 


หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไปอีกครา ตายกับงดงามมีอันใดเกี่ยวข้องกันหรือ?


 


 


ความคิดของบุรุษกับสตรีนั้นช่างต่างกันมากนัก


 


 


เจินเมี่ยวยังคงร้องไห้ต่อ “ข้าแค่ยื่นมือเข้าแทรกเพียงนิดเดียว สุดท้ายกลับถูกกักตัวอยู่ในวังออกมาไม่ได้ ทั้งยังมีเด็กน้อยมาเรียกข้าว่าแม่อีก ท่านว่า หากท่านรู้เรื่องนี้แล้ว โมโหแล้วพาลหาเรื่องข้าจะทำอย่างไรเล่า?”


 


 


หลัวเทียนเฉิง “…”


 


 


เจินเมี่ยวยิ่งร้องไห้ก็ยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้าร้องเพลงครั้งใดก็เพี้ยนทุกครา หากมีแค่ท่านได้ยินคนเดียวก็แล้วไปเถิด แต่ผู้อื่นกลับมาได้ยินด้วย ช่างน่าขายหน้านัก”


 


 


หลัวเทียนเฉิงยกมุมปากตนขึ้น


 


 


ร้องเพี้ยนนั้นมิใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือเนื้อเพลงที่เจ้าร้องต่างหากเล่า!


 


 


“ตอนนี้ ตอนนี้ก็ยังเกิดเรื่องนี้อีก หากต่อไปพระนัดดาทำเช่นนี้ตลอด เสื้อ กระโปรงข้าต้องคอยถูกกระชากหลุดอยู่ร่ำไปแล้วข้าจะทำเช่นใดเล่า? ”


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาบ้างแล้ว เด็กน้อยผู้นี้ฐานะสูงส่ง แต่เรื่องที่เขาพบเจอก็ช่างน่าสงสาร จะดีก็มิได้ จะด่าก็มิได้ หากเห็นนางเป็นพระชายาไปตลอด นางคงต้องจุดเทียนไว้อาลัยให้ตนเป็นแน่


 


 


ช่างดีเหลือเกิน ผู้อื่นเข้าวังต่างได้รับของพระราชทานกลับมา แต่นางเข้าวังไปกลับได้บุตรผู้อื่นกลับจวนมาด้วย


 


 


เจินเมี่ยวมุดเข้าไปในอกหลัวเทียนเฉิงโดยไม่แม้จะสนใจว่าจิ่งเกอจะอยู่ที่นี่ด้วย


 


 


หลัวเทียนเฉิงร่างแข็งทื่อไป ไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ที่ใดดี จึงตบหลังนางพลางปลอบใจว่า “เอาล่ะๆ เหตุใดไม่เจอเจ้าแค่เพียงไม่กี่วัน เจ้าถึงได้กลายเป็นน้ำเสียแล้วเล่า?”


 


 


“ท่าน ท่านไม่ตำหนิข้าแล้วหรือ?” เจินเมี่ยวเอ่ยถามงึมงำ


 


 


“ไม่ ไม่ตำหนิ…” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยคำที่มิตรงใจออกไป


 


 


เดิมคิดว่ากลับไปถึงจักต้องจัดการสั่งสอนนางสักครา ผู้ใดจะทราบว่าจะเสียใจจนกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว ดูท่าคงกังวลหวาดกลัวและได้รับความลำบากไม่น้อยตอนที่อยู่ในวัง


 


 


คิดถึงตรงนี้แล้ว หลัวเทียนเฉิงก็รู้สึกเป็นห่วงนางขึ้นมา


 


 


หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้คงมิให้นางรับตำแหน่งเซี่ยนจู่นั้นแน่


 


 


เขาคิดว่าอีกไม่นานตนก็ต้องไปรบแล้ว เมื่อเกิดสงครามขึ้น เขาก็ต้องจากไปไกลนับพันลี้ ทิ้งนางให้อยู่ในเมืองหลวงคนเดียว หากนางมีบรรดาศักดิ์เซี่ยนจู่นี้ไว้คงมีชีวิตที่ดีสักหน่อย มิเช่นนั้นเขาแค่ใช่เล่ห์กลเล็กน้อยเรื่องการรับเป็นบุตรบุญธรรมนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จแน่


 


 


ชาติก่อน นางเจินมิได้มีโอกาสเข้าวังเลยสักครั้ง


 


 


หลัวเทียนเฉิงพลันสะดุ้งเฮือกอยู่ในใจ


 


 


ชาติก่อน องค์ชายรองถวายไก่ฟ้าปลอมจึงทำให้สูญเสียคุณสมบัติในการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท แต่ชาตินี้กลับเป็นไท่จื่อที่ทำพลาด องค์ชายรองจึงรอดไปได้ ทว่าผ่านไปไม่นานเขากลับถูกผิด ต่อไปก็ไม่ต่างอันใดกับคนตายจึงไม่มีคุณสมบัติในการแย่งชิงรัชทายาทเช่นเดิม


 


 


นี้มิใช่ว่าทุกอย่างทุกกำหนดแล้วหรอกหรือ?


 


 


เช่นนั้นบุรุษที่เจินเมี่ยวยอมตายแทนได้ผู้นั้นก็คงต้องปรากฏตัวขึ้นมาเช่นกันกระมัง?


 


 


ครั้งนี้เจี๋ยวเจี่ยวจะหวั่นไหวกับเขาอีกครั้งหรือไม่?


 


 


เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ หลัวเทียนเฉิงก็รู้สึกเจ็บที่หัวใจดุจถูกเข็มตำ เมื่อได้กลิ่นหอมจางๆจากร่างอ่อนนุ่มทั้งหอมหวานนั้นแล้วเขาจึงรู้สึกสงบใจลงได้อีกหลายส่วน


 


 


เวลานี้เองกลับได้ยินเสียงเด็กน้อยเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านแม่ เหตุใดท่านคนที่กอดท่านมิใช่ท่านพ่อเล่า?”

 

 

 


ตอนที่ 278 เหตุใดข้าจึงหิวมากขึ้นทุกทีเล่า

 

เหตุใดคนที่กอดท่านมิใช่ท่านพ่อ?


 


 


เอ๊ะ?


 


 


เจินเมี่ยวจึงเห็นว่าคนบางคนที่กำลังกอดนางอยู่นั้น หน้าดำจนควันแทบลอยขึ้นมาแล้ว


 


 


หลัวเทียนเฉิงหันกลับไปอย่างอยากลำบาก แล้วเอ่ยเน้นทีละคำว่า “เด็กน้อย เจ้าลองพูดอีกสักครั้งสิ?”


 


 


จิ่งเกอมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่งแล้วกระโจนขึ้นไปบนตัวเจินเมี่ยวโดยแรง แต่เพราะเจินเมี่ยวยังอยู่ในอ้อมกอดของหลัวเทียนเฉิง ร่างน้อยๆ นั้นจึงค่อยๆ เบียดให้หลัวเทียนเฉิงไปอยู่อีกด้าน แล้วเอ่ยเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านแม่ เขาดุข้า เขาดุข้า ท่านรีบไล่เขาไปเร็ว ข้าต้องการท่านพ่อ…”


 


 


เจินเมี่ยวกัดฟันคราหนึ่งแล้วเอ่ยกล่อมเขาว่า “เด็กดี เขาก็คือท่านของเจ้าอย่างไรเล่า”


 


 


“ห๊ะ?” หลัวเทียนเฉิงแทบตกจากที่นั่ง


 


 


เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขาทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงแผ่วต่ำว่า “แล้วจะทำอย่างไรเล่า จะให้ผู้อื่นมาเห็นข้าเป็นมารดาเขา ท่านมิใช่บิดาเขา แต่ท่านกลับมากอดข้างั้นหรือ?”


 


 


“เขาไม่ใช่เสียหน่อย!” จิ่งเกอใช้สายตาบอกว่า “ท่านช่างโง่เขลานัก” มองไปที่เจินเมี่ยว “ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงจำไม่ได้แม้กระทั่งท่านพ่อเล่า? หรือว่าคนชั่วผู้นี้ข่มเหงท่านและชิงตัวท่านมา?”


 


 


เจินเมี่ยวถึงกับสะอึกจนพูดไม่ออก


 


 


หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเย็นอย่างยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น “เจ้าคิดว่าเขาเป็นเด็กสามขวบหรือไร?”


 


 


ครั้นสูดลมหายใจเข้าไปคราหนึ่งเจินเมี่ยวจึงถามจิ่งเกอว่า “จิ่งเกอ เจ้าอายุเท่าใด?”


 


 


“ห้าขวบ” จิ่งเกอขมวดคิ้ว “ท่านแม่ ข้าบอกหลายครั้งแล้วว่าข้ามิใช่เด็กสามขวบแล้ว”


 


 


พูดพลางมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่ง เหตุใดเรื่องที่แม้แต่คนชั่วนี้ยังรู้ แต่ท่านแม่ยังถามเขาอีก?


 


 


คิดไม่ถึงว่าหลัวเทียนเฉิงจังจะทำหน้าตาดั่งว่า “เห็นหรือไม่ ข้าพูดไม่ผิดกระมัง” เจินเมี่ยวถูกทั้งเด็กและผู้ใหญ่กลั่นแกล้งจนต้องนวดคลึงขมับตน


 


 


จิ่งเกอลุกขึ้นแล้วยืนหน้าอ้วนกลมนั้นเข้ามาหาเจินเมี่ยว “ท่านแม่ ข้าเป่าให้ท่านครู่เดียวท่านก็ไม่ปวดแล้ว”


 


 


จิ่งเกอเป่าชู่ๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง เจินเมี่ยวได้กลิ่นหอมที่มีเฉพาะในนมของเด็ก ท่าทีเป่านั้นทั้งน่ารักน่าชังยิ่งทำเอาใจคนอ่อนยวบไปเลยทีเดียว


 


 


นาพลันรู้สึกสงสารเด็กน้อยผู้นี้ขึ้นมาจึงยื่นมือไปโอบเขาแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “จิ่งเกอช่างเป็นเด็กดีนัก ข้าไม่ปวดแล้ว”


 


 


แต่ในใจกลับคิดว่าหากวันหน้าเด็กคนนี้รู้ว่าตนไม่มีแม่แล้วคงต้องเสียใจมากแน่


 


 


แม้แต่นางเองก็ยังตกใจที่พระนัดดาน้อยที่ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมจะรู้ความถึงเพียงนี้ ทั้งยังรู้จักเอาใจใส่มารดาตน


 


 


หรือไม่ว่าเด็กน้อยคนใดก็ล้วนน่ารักเช่นนี้ทั้งสิ้นหากอยู่กับมารดาตน?


 


 


เจินเมี่ยวลอบชำเลืองมองหลัวเทียนเฉิง แล้วความคิดหนึ่งก็ผ่านวูบเข้ามา


 


 


ลูกของพวกเขาในอนาคตก็คงจะน่ารักเช่นจิ่งเกอใช่เหมือนกันกระมัง นางหวังว่าจะมีบุตรชายที่อ้วนกลมสักคน


 


 


ท่านแม่มิเจ็บแล้วใช่หรือไม่? จิ่งเกอแบมือน้อยๆ นั้นออกมา “เช่นนั้นท่านร้องเพลงกล่อมเด็กให้ข้าฟังด้วยเถิด”


 


 


ร่างเจินเมี่ยวโงนเงนไปมา


 


 


“ท่านแม่…” จิ่งเกอดึงแขนเสื้อนางอย่างน่าสงสาร


 


 


“จิ่งเกอเด็กดี ต้องรอร้องก่อนเข้านอนตอนกลางคืน เจ้าลองคิดดูสิ แต่ก่อนก็ทำเช่นนั้นมิใช่หรือ?”จิ่งเกอครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าอย่างมิใคร่ยินยอมนัก ทุกอย่างจึงสงบลง


 


 


หลัวเทียนเฉิงเม้มริมฝีปากแน่น


 


 


นางชอบให้ออดอ้อนมากกว่าแข็งใส่จริงๆ ครานี้ถึงกับถูกเด็กปราบเสียอยู่หมัด ฮึ หากรู้เช่นนี้แต่แรกมิสู้ให้นางมีบุตรให้เขาสักคน


 


 


ครั้นนึกถึงเรื่องนี้ก็คิดอยากจะมีขึ้นมาจริงๆ แต่เมื่อคิดถึงอาการป่วยของเจินเมี่ยวแล้วก็ต้องหงุดหงิด


 


 


ตอนนี้อย่าว่าแต่มีบุตรเลย แม้แต่จะร่วมหอกันยังทำมิได้!


 


 


อย่างไรเสียจิ่งเกอก็อยู่ด้วยจึงมิอาจพูดอันใดมากได้ หลัวเทียนเฉิงเก็บกดคำพูดทั้งหลายไว้ในท้องกระทั่งถึงจวนกั๋วกง


 


 


คนทั้งสองพาจิ่งเกอไปพบฮูหยินผู้เฒ่า แล้วกลับไปพักที่เรือนชิงเฟิง


 


 


เมื่อทุกคนได้ยินว่าพระนัดดาน้อยมาพำนักที่เรือนชิงเฟิงก็ต่างส่งของมาให้ แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือของจากบ้านสี่


 


 


นอกจากของที่พบเห็นอยู่บ่อยครั้งนั้นแล้วยังมีไม้ที่แกะสลักเป็นรูปทรงต่างๆ หนึ่งชุด และในชุดนี้จะมีลิงตัวหนึ่งที่หางมันเกาะกระบองเอาไว้ เมื่อดึงขามันตัวมันก็จะลอยละลิ่วขึ้นที่ปลายกระบองอย่างรวดเร็ว


 


 


จิ่งเกอแม้นมีฐานะสูงส่ง แต่มิเคยเห็นของเล่นที่เรียบง่ายและดูโบราณทั้งยังน่าสนใจเช่นนี้มาก่อนจึงหยิบมันมาเล่นอย่างสนุกสนานจนไม่ยอมวางมือ


 


 


“ขอบคุณอาสะใภ้สี่แทนข้าด้วย พระนัดดาชอบมาเชียวล่ะ” เจินเมี่ยวส่งสายตาให้ไป่หลิงนำเงินไปมอบเป็นรางวัลให้หันจูสาวใช้คนสนิทของนางชีที่นำของมามอบให้


 


 


แม้นหันจูจะมิใคร่เห็นด้วย แต่ก็ยังจำคำที่นางชีกำชับไว้ได้ จึงเอ่ยพูดไปตามตรงว่า “เรียนต้าไหน่ไหน่ ของเล่นชุดนี้เป็นน้ำใจจากหูอี๋เหนียงเจ้าค่ะ ชิ้นอื่นๆ จึงเป็นของที่ฮูหยินส่งมาเจ้าค่ะ”


 


 


ครั้นเอ่ยวาจานี้ไปแล้ว หันจูกลับรู้สึกไม่ยุติธรรมแต่นางชีเลย


 


 


ฮูหยินก็เป็นคนดีเกินไป เห็นชัดว่าหูอี๋เหนียงคิดจะใช้โอกาสนี้เอาใจต้าไหน่ไหน่ รวมไปถึงพระนัดดาด้วย ทว่าฮูหยินไม่เพียงไม่ขวาง ทั้งยังบอกว่าหากพระนัดดาชอบ ต้าไหน่ไหน่พอใจก็ให้บอกไปตามตรงว่าเป็นของที่หูอี๋เหนียงส่งมา


 


 


ฮึ หูอี๋เหนียงผู้นั้นคงทราบดีว่าฮูหยินเป็นคนเถรตรง ไม่คิดที่จะเอาเปรียบอนุคนหนึ่ง จึงได้อาศัยหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าส่งของตนมาด้วย มิเช่นนั้นนางที่เป็นแค่อนุคนหนึ่งจะมีหน้าอันใดส่งของมาที่เรือนนี้ได้


 


 


หันจูจึงหวนคิดถึงตอนที่หูอี๋เหนียงเพิ่งจะมาถึงก็ส่งคนของตนมาที่เรือนชิงเฟิงเสียแล้ว แต่กลับถูกต้าไหน่ไหน่ตัดรอนไมตรี คิดเช่นนี้หันจูจึงคลายโทสะลงมาได้บ้าง แต่ก็ยังบ่นว่าที่ฮูหยินมิรู้จักรักษาสิทธิ์ของตนบ้าง


 


 


ครั้นเห็นของเล่นที่หูอี๋เหนียงส่งมานั้นดูแปลกใหม่ นางก็เตือนให้ฮูหยินเปลี่ยนของเล่นที่เด็กเล็กน่าจะชอบมาแทน แต่ฮูหยินกลับไม่สนใจยังคงส่งแบบเดิมมาอยู่ดี


 


 


ครานี้เป็นอย่างไรเล่า หูอี๋เหนียงก็ได้หน้าไปเต็มๆ หากภายหน้าผู้สัมพันธ์กับต้าไหน่ไหน่จนมีเกียรติขึ้นมา มิใช่จะทำให้คนขัดใจยิ่งหรอกหรือ?


 


 


ครั้นได้ฟังวาจาของหันจู เจินเมี่ยวกลับยังคงยิ้มไม่เปลี่ยนแปลงแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ควรจะขอบคุณอาสะใภ้สี่อยู่ดีนั้นแล”


 


 


หันจูอึ้งงันไป ตามด้วยการย่อคารวะด้วยสีหน้าเบิกบานแล้วจึงจากไป


 


 


ฉวยโอกาสที่จิ่งเกอกำลังเล่นของเล่นอยู่ หลัวเทียนเฉิงกุมมือเจินเมี่ยวไว้ เอ่ยด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าช่างรู้จักพูดนัก”


 


 


“รู้จักพูดอันใด?” เจินเมี่ยวจึงเพิ่งจะเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แล้วเอ่ยต่ออย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอันใด “เดิมข้าก็เดาได้อยู่แล้วว่านั้นมิใช่ของที่อาสะใภ้ส่งมา น่าจะเป็นของหูอี๋เหนียงมากกว่า”


 


 


“หืม เจ้าเดาออกกระทั่งเรื่องนี้เชียว?” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกแปลกใจขึ้นมา


 


 


เจินเมี่ยวเหล่มองเขาคราหนึ่ง “แค่ดูรายละเอียดเล็กน้อยก็ทราบแล้ว”


 


 


หลัวเทียนเฉิงถามอีกว่ามีวิธีมองอย่างไร เจินเมี่ยวกลับไม่พูดอีก


 


 


นางเอ่ยในใจว่าอาสะใภ้สี่ใช้ชีวิตอย่างหญิงหม้ายมาหลายปี ไม่ว่าอุปนิสัยเดิมจะเป็นเช่นไรแต่ก็ย่อมมีระยะห่างกับผู้อื่นไปโดยไม่รู้ตัว นี้คือความรู้สึกที่นางสัมผัสได้ในระยะหลังๆ ที่ได้ไปมาหาสู่กับอาสะใภ้ทั้งสอง


 


 


สิ่งของที่นางชีส่งสาวใช้นำมาให้แสดงถึงการให้ความสำคัญ ของที่เตรียมมานั้นถูกต้องตามธรรมเนียมทุกประการ นี่ต่างหากจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด


 


 


แม้นพระนัดดาจะเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ความชอบของเด็กนั้นไม่แน่ไม่นอน ต่อให้เป็นของที่ถูกใจจริงๆ แล้วอย่างไร ผ่านไปสักระยะเมื่อเขากลับวังแล้วยังจะจำได้อยู่หรือว่าเจ้าเป็นใคร อีกอย่าง ต่อให้องค์ชายสามรู้สึกซาบซึ้งก็ย่อมต้องซาบซึ้งต่อจวนกั๋วกงหรือเจินเมี่ยวอยู่ดี ไหนเลยจะจำอนุคนหนึ่งของบ้านสี่ได้ว่าหรือไม่?


 


 


เช่นเดียวกัน เจินเมี่ยวรู้สึกขอบคุณก็ต้องขอบคุณนางชี หากหูอี๋เหนียงส่งของมาให้นางโดยไม่ผ่านนางชี นางไม่มีทางรับแน่


 


 


ว่าไปแล้วนางหูนั้นรีบร้อนผูกไมตรีมากเกินไปจึงได้ละเลยจุดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้


 


 


เมื่อหันจูกลับไปก็นำความของเจินเมี่ยวบอกกล่าวต่อนางชี นางชีผลิยิ้มบางเบาออกมา


 


 


หันจูกระทืบเท้าคราหนึ่ง “ฮูหยิน ท่านเป็นคนดีเกินไปเจ้าค่ะ”


 


 


นางชีส่ายหน้า แต่ท่าทีกลับดูสุขใจยิ่ง “การสามารถเป็นคนดีคนหนึ่งได้นั้นนับเป็นวาสนายิ่ง”


 


 


นางได้พบแต่คนที่เข้าใจในกันและกันเช่นนี้จะมิให้อารมณ์ดีได้อย่างไร


 


 


พระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนสูงขึ้น ความอบอุ่นเริ่มแผ่กระจายออกมา ช่างเป็นวันที่อากาศดีอย่างยากจะได้พบเห็น จิ่งเกอเล่นจนเหนื่อยแล้วก็จับแขนเสื้อเจินเมี่ยวไว้แล้วหลับไป


 


 


เวลานี้เองเจินเมี่ยวจึงได้พักเสียที นางค่อยๆ ดึงแขนเสื้อตนออกมาแล้วห่มผ้าให้เขา ส่งสายตาบอกให้อาหลวนดูแลอย่าให้คลาดสายตา แล้วกลับไปกินข้าวที่ห้องตน


 


 


เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงยังคงนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารก็อดตกใจมิได้ “จิ่นหมิง เหตุใดท่านถึงยังมิกินเล่า?”


 


 


“รอกินพร้อมเจ้า” หัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย


 


 


เจินเมี่ยวนั่งลงข้างๆ เขา นางรู้สึกผิดต่อเขาอยู่บ้างจึงเป็นฝ่ายคีบเนื้อปลาใส่จานให้เขาก่อน


 


 


หลัวเทียนเฉิงเหลือบตาขึ้นบอกให้กับสาวใช้ที่ยืนรอคอยปรนนิบัติว่า “พวกเจ้าออกไปเถิด”


 


 


จื่อซูและสาวใช้คนอื่นมองสบตากันคราหนึ่ง เมื่อเห็นเจินเมี่ยวมิได้คัดค้านจึงก้มหน้าเดินออกไป


 


 


“ประเดี๋ยวก็ต้องให้พวกนางยกอ่างบ้วนปาก…” เจินเมี่ยวพูดมิทันจบก็ต้องร้องขึ้นด้วยความตกใจ นางทุบหลังหลัวเทียนเฉิงพลางเอ่ยว่า “ท่านทำอันใดกัน?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงอุ้มนางไปวางลงบนเก้าอี้ตัวยาว เขาคว่ำร่างนางลงแล้วฟาดไปที่ก้นนาง


 


 


เสียงเพี๊ยะดังสะท้านไปทั่วภายในห้องเล็กๆ นี้ เจินเมี่ยวถึงตีจนมึนงงไปหมด นางเอามือบังก้นตนไว้พลางถามว่า “เหตุใดท่านต้องตีคนด้วยเล่า?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงมิสนใจเช่นเคยยังคงฟาดนางไปอีกหลายทีด้วยใบหน้าถมึงทึง แล้วค่อยเอ่ยถามเสียงแข็งว่า “องค์ชายรองแห่งดินแดนหมานเว่ยดูองอาจกล้าหาญเหนือคนธรรมดางั้นหรือ? หึๆ เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ว่าความองอาจกล้าหาญของเขาอยู่ที่ใดหรือ? เหตุใดข้าจึงมิเคยมองเห็นเลยเล่า?”


 


 


“ท่านรู้เรื่องที่พวกเราคุยกันได้อย่างไร?”


 


 


หลัวเทียนเฉิงทั้งโมโหทั้งขบขัน เขารั้งเจินเมี่ยวขึ้นมา คนทั้งสองจ้องมองกัน “ตอนที่ข้าไม่รู้เล่า เจ้าคงมิได้อยากจะแต่งไปดินแดนหมานเว่ยแทนหยวนเหนียงกระมัง?”


 


 


“เปล่า ข้ามิเคยคิดเลยจริงๆ” เจินเมี่ยวปฏิเสธอย่างรวดเร็ว


 


 


หลัวเทียนเฉิงจ้องตานางนิ่ง


 


 


นัยน์ตาใสราวสายธารยามวสันต์ถูกหมอกควันบดบังไว้ชั้นหนึ่ง แต่เมื่อขนตาของนางพับกระพือขึ้นคล้ายปีกผีเสื้อที่โฉบลงแตะผิวน้ำเกิดเป็นระลอกคลื่นสาดเอาหมอกควันเหล่านั้นให้ค่อยๆ สลายหายไป เผยให้เห็นนัยน์ตาแวววาวกระจ่างใสนั้น


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจ


 


 


เขารู้ว่าตนระแวงจนเกินไป แต่เมื่อทราบว่านางพูดเช่นนั้นก็ระงับโทสะไว้ไม่ได้


 


 


อาจเพราะเขารู้ว่าใจของนางที่มีต่อตนนั้นยังคงความโกรธเคืองหลงเหลืออยู่บ้างจึงได้กลัวจะเสียนางไปเช่นนี้กระมัง


 


 


“จิ่นหมิง…” เจินเมี่ยวถูกความจนใจที่ซ่อนภายใต้แววตาอันล้ำลึกของเขาจ้องมอง นางใจหายวาบขึ้นมาจึงยื่นมือไปปิดตาเขาไว้


 


 


นิ้วมือเย็นของทั้งสองสัมผัสกัน หลัวเทียนเฉิงกุมมือข้างที่ยื่นออกมานั้นของนางให้เลื่อนลงไปที่ปากแล้วจุมพิตมือนั้นคราหนึ่ง


 


 


“จิ่นหมิง ท่านกำลังกังวลสิ่งใดอยู่กันแน่?” เจินเมี่ยวไม่เข้าใจจริงๆ แต่ระยะนี้ทั้งสองก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขดี แต่เมื่อเห็นเขาไม่สบายใจเช่นนี้ นางกลับรู้สึกปวดใจขึ้นมาอย่างประหลาด


 


 


หัวเทียนเฉิงพูดไม่ออก


 


 


ความจริงเจี๋ยวเจี่ยวมิได้ทำอันใดผิด นางเพียงยังมิได้ชมชอบเขาอย่างที่สตรีผู้หนึ่งชมชอบบุรุษผู้หนึ่งเท่านั้น แต่เรื่องนี้เขาจะไปตำหนิอันใดได้เล่า?


 


 


หากคิดให้ลึกสักหน่อยก็เป็นเขาเองที่ไม่มีความอดทนมากพอ


 


 


อืม ดูท่าคราวหน้าคงต้องไปหาผู้มีประสบการณ์ให้ชี้แนะสักหน่อยแล้ว


 


 


หลัวเทียนเฉิงรั้งเจินเมี่ยวเข้ามาในวงแขนแล้วงับริมฝีปากนางไว้ แล้วจุมพิตนางเช่นนั้นอยู่นาน


 


 


เจินเมี่ยวคิดถึงเรื่องที่ตนไปก่อความวุ่นวายไว้ในวัง แต่เขาก็เป็นคนพานางออกมาจากกองไฟนั้น ทั้งการแตะริมฝีปากกันเช่นนี้นางกลับมิได้เกิดความรู้สึกต่อต้านใดๆ กระทั่งรู้สึกว่ามีความหอมหวานเย็นสดชื่นอยู่นิดๆ ด้วยซ้ำ นางจึงไม่เพียงไม่บ่ายเบี่ยงแต่กลับยกแขนโอบรอบคอเขาไว้แล้วตอบรับจุมพิตนั้นอย่างแผ่วเบา


 


 


หลัวเทียนเฉิงร้อนรุ่มใจขึ้นมาจนเกือบจะควบคุมตนเองไว้ไม่ได้ และในขณะที่เขาคิดจะผลักนางออกก่อนที่จะควบคุมตนไว้ไม่ได้นั้น เจินเมี่ยวกลับเป็นฝ่ายผละออกก่อน นางหอบหายใจเล็กน้อย “จิ่นหมิง ท่านกินขนมปั้วเฮอมาใช่หรือไม่? มิน่าเล่าข้าถึงรู้สึกหิวมากขึ้นทุกที!”


 


 


หลัวเทียนเฉิงพลันหน้าดำคล้ำขึ้นมาทันที


 


 


“ขนมปั้วเฮออันใด ที่เจ้าหิวมากขึ้นทุกทีเพราะเจ้ายังไม่ได้กินข้าว!”


 


 


เขาไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าเขากินขนมปั้วเฮออันใดนั้นเพราะคิดไว้ว่าหากพวกเขาพบกันอาจจักต้องมีการชิดใกล้กันบ้างก็เป็นได้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม