หวานรักจับหัวใจท่านประธาน 271-288

 ตอนที่ 271 เขาอาจจะสายตาไม่ดี 


 


 


ต่อมาเงาร่างสูงโปร่งก็ปกคลุมข้างหน้าเธอ 


 


 


เขาโน้มตัวลงมาเล็กน้อย แขนสองข้างยันอยู่ข้างตัวเธอ ล็อกเธอไว้บนที่นั่ง 


 


 


ใบหน้าเจ้าเล่ห์ก้มลงมาหาเธอ ลมหายใจอบอุ่นพ่นอบู่บนใบหน้าของเธอเบาๆ นำพากลิ่นอายอันมีอานุภาพของชายหนุ่มมาด้วย…แถมยังมีกลิ่นมิ้นต์สดชื่นจากบนตัวเขาด้วย 


 


 


นัยน์ตาลุ่มลึกของเขามองตรงมาที่เธอ 


 


 


ริมฝีปากบางน่ามองเม้มแน่น ไม่ยอมพูดจา 


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วที่เดิมทีอยู่ในอกของเขาก็หายไปในเวลานี้พอดี 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กำลังอยากจะหันไปมอง แต่กลับพบว่าจุดที่ตนเองมองเห็นได้ มีแต่หน้าอกผึ่งผายของเขา 


 


 


ท่าทางของพวกเขาในตอนนี้ เหมือนเธอถูกเขากอดอยู่ในอก… 


 


 


บรรยากาศแปลกประหลาดไปในพริบตา 


 


 


หญิงสาวออกแรงกลืนน้ำลาย แล้วพูดทำลายความเงียบ “คุณชายหาน คุณว่าเฉินจื่อซินอยากจีบฉันใช่ไหม” 


 


 


ทันทีที่พูดออกมา บรรยากาศในรถก็ยิ่งกดดันขึ้นทันที 


 


 


ลูกตาของอวี๋เยว่หานพลันหดตัว จากนั้นก็เอ่ยปากเสียงเย็น “เขาอาจจะสายตาไม่ดี” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !! 


 


 


อยากจีบเธอแล้วสายตาไม่ดีอย่างไร 


 


 


เจ้าก้อนน้ำแข็งต่างหากที่สายตาไม่ดี! 


 


 


ตาบอด!  


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่โมโหจนแก้มป่อง ก่อนจะเบือนหน้าหนี ไม่มองเขา 


 


 


ส่วนอวี๋เยว่หานเห็นเธอเข้าใจผิด ก็ไม่อธิบาย 


 


 


เธอนั่งลงไปบนที่นั่งของตนเองเรียบร้อย ก่อนจะยื่นมือไปดึงเสี่ยวลิ่วลิ่วที่ขดตัวอยู่ในมุมและกำลังแอบมองเข้ามาไว้ในอก 


 


 


จากนั้นเขาก็กำชับคนขับรถให้ออกรถไปอย่างสุขุม 


 


 


ผ่านไปได้สักพัก เมื่อเหนียนเสี่ยวมู่นึกถึงเฉินจื่อซินอีกครั้ง รถก็ออกจากลานจอดรถแล้ว 


 


 


เงาร่างของเฉินจื่อซินถูกทิ้งห่างอยู่ข้างหลังเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็มองมาเห็นแม้กระทั่งชายเสื้อ… 


 


 


 


 


 


ขณะที่รถของพวกเขาออกจากลานจอดรถ 


 


 


อีกด้านหนึ่งของลานจอดรถ 


 


 


เหวินหย่าไต้ถือกระเป๋าลิมิเต็ดอิดิชันของตนเอง พลางเดินไปยังรถของตนเองอย่างสง่างาม 


 


 


ในตอนที่เพิ่งจะปลดล็อกประตูรถ เธอก็เหลือบไปเห็นคนที่ยืนข้างๆ รถของตนเอง สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน! 


 


 


จากนั้นเธอก็เร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า ยื่นมือไปดึงอีกฝ่าย พร้อมกับลดเสียงพูด “เธอทำบ้าอะไร ฉันให้เธอรอฉันอยู่ที่บ้านไม่ใช่เหรอ มาทำอะไรที่นี่” 


 


 


หวางเมี่ยวเมี่ยวดึงผ้าพันบนใบหน้าออก ขอบตาของเธอแดงก่ำ ก่อนจะจับมือของเหวินหย่าไต้ 


 


 


“ผู้จัดการเหวิน ฉันเข้ามาทำงานที่บริษัทตระกูลอวี๋ได้อย่างยากลำบาก ฉันทำงานมานานขนาดนี้แล้ว คิดว่าเดี๋ยวจะได้เลื่อนขั้นแล้ว แต่ตอนนี้กลับถูกไล่ออก แล้วฉันจะรออยู่ที่บ้านอย่างสบายใจได้ยังไงกัน คุณรีบคิดหาวิธี…” 


 


 


“…” 


 


 


เหวินหย่าไต้มองคนที่จับมือของเธอเอาไว้แน่น สายตามีความรังเกียจ 


 


 


แต่เธอก็ยังอดทน และเปิดประตูรถ 


 


 


“นี่ไม่ใช่ที่คุยกัน ขึ้นรถก่อน” 


 


 


ทั้งสองคนขึ้นไปบนรถแล้ว เหวินหย่าไต้ถึงขับรถออกจากบริษัทตระกูลอวี๋ เมื่อขับไปถึงสถานที่ที่ไม่มีคน เธอก็จอดรถ 


 


 


เธอหยิบเช็ดใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า แล้วส่งให้หวางเมี่ยวเมี่ยว 


 


 


“เอาเงินนี่ไป ต่อไปอย่ามารังควานฉันอีก” 


 


 


หวางเมี่ยวเมี่ยวมองเช็คในมือของผู้จัดการสาว ใบหน้าพลันลุกลี้ลุกลน “ผู้จัดการเหวิน คุณหมายความว่ายังไงคะ ทีแรกคุณให้ฉันวางกับดักเหนียนเสี่ยวมู่ อยากให้เธอถูกไล่ออก แต่ตอนนี้ทำไมคนที่ถูกไล่ออกถึงเป็นฉันล่ะ” 


 


 


“…” 


 


 


“คุณบอกว่ามีคุณอยู่ ฉันจะไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอคะ คุณเคยพูดว่า ขอแค่ฉันทำเรื่องนี้ให้ดี คุณจะช่วยฉันพูด ให้ฉันได้เลื่อนขั้น…” 


 


 


“พูดพอหรือยัง!” เหวินหย่าไต้ขัดจังหวะคำพูดของเธอด้วยความรำคาญ 


 


 


ก่อนจะยื่นมือไปปลดเข็มขัดนิรภัย ใบหน้าที่แต่งไว้อย่างดีค่อยๆ หันมาหาหวางเมี่ยวเมี่ยวที่อยู่บนที่นั่งข้างคนขับ แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 272 ไม่ต้องขอบคุณ! 


 


 


“เธอยังกล้าพูดเรื่องที่ฉันให้เธอไปทำอีกเหรอ แค่เหนียนเสี่ยวมู่คนเดียว เธอยังรับมือไม่ได้เลย ไม่ใช่แค่ปล่อยให้เหนียนเสี่ยวมู่เจรจากับมิสเตอร์ลอมบาร์ดีได้สำเร็จนะ ยังโง่ถูกแว้งกัดอีก!” 


 


 


เหวินหย่าไต้คิดถึงตำหนิของอวี๋เยว่หานในห้องทำงานประธานบริษัทเมื่อบ่ายวันนี้ 


 


 


สายตาของเธอพลันโหดเ**้ยม และถลึงตามองหวางเมี่ยวเมี่ยวอย่างดุร้าย 


 


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะเธอทำไม่สำเร็จ ฉันก็จะไม่ถูกเธอลากไปตำหนิด้วย ฝีมือของเธอมีแค่นี้ ต่อให้ฉันประคองเธอขึ้นไป ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกคนดึงลงมา!” 


 


 


“…” หวางเมี่ยวเมี่ยวถูกเธอสั่งสอนจนไม่กล้าปริปาก 


 


 


ทีแรกเธอเห็นเหนียนเสี่ยวมู่เป็นแจกันดอกไม้ ที่ดึงดูดคุณชายหาน 


 


 


คิดไม่ถึงเลย ว่าเหนียนเสี่ยวมู่จะพบว่าเธอมีปัญหาได้รวดเร็วขนาดนี้ แถมยังเล่นงานเธอครั้งหนึ่งด้วย 


 


 


ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีหลักฐาน ขุดหลุมให้เธอกระโดด 


 


 


ตอนนี้เธอไม่มีทางหนีได้โดยสิ้นเชิง… 


 


 


เหวินหย่าไต้เห็นเธอไม่พูดจา จึงแค่นหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง 


 


 


“ฉันจะแนะนำเธอให้นะ อย่าคิดจะดึงฉันไปเกี่ยวด้วย ถึงแม้ตอนนี้เธอออกไปโพนทะนาให้คนอื่นฟัง ว่าฉันชักนำให้เธอใส่ร้ายเหนียนเสี่ยวมู่ เธอว่าจะมีใครเชื่อไหม” 


 


 


“…” 


 


 


“ถ้าให้คนอื่นรู้ ว่าเธอบกพร่องต่อหน้าที่ จงใจแปลผิดเพื่อเลื่อนตำแหน่ง อย่าว่าแต่บริษัทตระกูลอวี๋ไม่เก็บเธอไว้เลย ทั้งวงการแปลก็ไม่มีใครต้องการเธอ!” 


 


 


เหวินหย่าไต้รู้นิสัยของเธอดี 


 


 


เธอเห็นหวางเมี่ยวเมี่ยวหน้าซีด ตัวสั่นด้วยความกลัวไปทั้งตัว 


 


 


จากนั้นเธอก็เก็บเช็คกลับมา แล้วเขียนให้เธอเพิ่มอีกใบ จำนวนเงินบนนั้นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว 


 


 


“ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะรับเงินนี้ แล้วหายไปซะ” 


 


 


“…” 


 


 


หวางเมี่ยวเมี่ยวมองเช็คตรงหน้า ตาเบิกโพลงในทันใด! 


 


 


ล่ามสาวกลืนน้ำลาย รีบรับเช็คนั้นเอาไว้ 


 


 


จากนั้นเธอก็ทำตามคำพูดของเหวินหย่าไต้ เมื่อแน่ใจแล้วว่ารอบๆ ไม่มีใคร ถึงจะเปิดประตูรถลงไป 


 


 


และหายไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เมื่อเห็นเงาร่างของเธอจากไป สองมือของเหวินหย่าไต้พลันจับพวงมาลับรถจนแน่น ใบหน้าที่แต่งแต้มมาอย่างดีก็บิดเบี้ยวไปด้วย 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ที่มีที่มาไม่ชัดเจน ทำให้คนของเธอหลุดออกจากตำแหน่งครั้งแล้วครั้งดล่า 


 


 


ตอนนี้แม้แต่คุณชายหานก็เริ่มสงสัยในความสามารถของเธอ… 


 


 


เหวินหย่าไต้กัดฟันกรอด เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหว ใช้กำปั้นทุบประตูรถอย่างแรง 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่! 


 


 


 


 


 


“ฮัดชิ่ว” 


 


 


“ฮัดชิ่ว ฮัดชิ่ว” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่จามติดต่อกันหลายครั้ง จึงยื่นหน้าออกมาจากในผ้าห่ม แล้วยื่นมือมาขยี้จมูก 


 


 


เมื่อคิดถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ เธอก็ม้วนผ้าห่มมา เตรียมจะนอนหลับไป แต่ก็ได้ยินเสียงประตูห้องของตนเองดังขึ้น 


 


 


เสียงเคาะประตูหนักเบาเคล้ากันไป แปลกประหลาดอยู่บ้าง 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ยังไม่ทันดึงสติกลับมา ก็ได้ยินเสียงประตูถูกบิดเปิดดังแกร๊ก 


 


 


เงาร่างเล็กนุ่มนิ่มวิ่งเสียงดังตึงตังเข้ามาจากข้างนอก 


 


 


“พี่สาวคนสวย พี่ตื่นแล้ว!” 


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วถลามาพาดตัวอยู่ที่ข้างเตียง จากนั้นก็สะบัดรองเท้าคู่เล็กทิ้งไป แล้วลิดตัวเข้ามาในผ้าห่มของเธอ 


 


 


ก่อนจะใช้ฝ่ามือเย็นเฉียบแนบอยู่บนแก้มของเธอ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตัวสั่นไปทั้งตัว ลุกขึ้นนั่งในทันใด 


 


 


ความง่วงหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว 


 


 


วินาทีต่อมา เธอยินเสียงหัวเราะคิกคักของเสี่ยวลิ่วลิ่ว “ปาปาฉลาดมากเลย บอกว่าพี่สาวคนสวยจะตื่นแล้ว” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !! 


 


 


เธอหันหน้าไปอย่างแรง เห็นอวี๋เยว่หานยืนอยู่หน้าประตูจริงๆ 


 


 


เขาล้วงมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนอก เสื้อกันลมตัวยาวทำให้เขายิ่งดูสูงสง่า 


 


 


ห้องของเธอยังไม่ได้เปิดไฟ แต่เปิดผ้าม่านอยู่ ข้างนอกยังมืดอยู่ ยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าได้รูปชัดเจนของเขาน่าหลงใหลยิ่งขึ้น 


 


 


เมื่อสบสายตาของเธอ เขาก็เอียงตัวพิงกรอบประตู แล้วเอ่ยปากอย่างมีเลศนัย “ไม่ต้องขอบคุณ” 


ตอนที่ 273 ความแค้นเคืองอะไร 


 


 


ถูกปลูกให้ตื่นตั้งแต่เช้า แต่อีกฝ่ายยังบอกกับเธอว่าไม่ต้องขอบคุณด้วยใบหน้าเรียบเฉย แล้วเธอควรจะมีปฏิกิริยาอะไรเนี่ย 


 


 


ถ้าเธอเข้าไปตีเขาสักครั้ง คงจะไม่ผิดกฎหมายใช่ไหม 


 


 


แค้นเคืองอะไรกัน ทำไมเขาไม่ให้เธอนอน! 


 


 


“วันนี้วันหยุดนะ!” เหนียนเสี่ยวมู่กอดเสี่ยวลิ่วลิ่วที่อยู่ในผ้าห่ม พร้อมกับถึงตาใส่ชายหนุ่มตรงหน้าประตู 


 


 


ไม่ได้นอนขี้เซาแล้วรู้สึกผิดต่อตนเองจริงๆ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กำลังจะกล่อมเสี่ยวลิ่วลิ่วให้หลับไปกับเธออีกสักพัก ก็ได้ยินอวี๋เยว่หานที่ข้างประตูพูดทิ้งท้ายด้วยความเย็นชา “คุณยังจำได้นี่ ว่าเป็นวันหยุด” 


 


 


“…” 


 


 


หมายความว่าอะไร 


 


 


เขามีธุระเหรอ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่งุนงงไปสองสามวินาที จากนั้นก็นึกขึ้นได้ 


 


 


“ที่คุณบอกว่าจะพาเสี่ยวลิ่วลิ่วไปดูโรงเรียนอนุบาล ไม่ใช่ข้ออ้างหลอกรองประธานเฉินเหรอ” 


 


 


ก็ถูกต้อง เสี่ยวลิ่วลิ่วอายุสามขวบแล้ว 


 


 


จะให้เด็กหญิงตามเขาไปบริษัทตลอดก็ไม่ได้ หาโรงเรียนอนุบาลให้เธอ และให้เธอมีเพื่อนเล่นวัยเดียวกันน่าจะดีที่สุด 


 


 


พอเหนียนเสี่ยวมู่ได้ยินว่าจะหาโรงเรียนอนุบาลให้เสี่ยวลิ่วลิ่ว ความง่วงของเธอก็หายไปทันใด 


 


 


เธอปีนลงจากเตียง แล้วรีบไปจัดการตนเอง 


 


 


จากนั้นเธอก็ถือกระเป๋าตามอวี๋เยว่หานออกจากคฤหาสน์ไป 


 


 


ที่อวี๋เยว่หานเลือกให้เสี่ยวลิ่วลิ่ว เป็นโรงเรียนอนุบาลที่ได้มาตรฐานมากแห่งหนึ่ง 


 


 


วันเสาร์อาทิตย์ไม่ต้องเข้าเรียน เพียงแต่เปิดชั้นเรียนทดลอง ให้ผู้ปกครองมาเยี่ยมชมและเรียนรู้โดยเฉพาะ 


 


 


อวี๋เยว่หานไม่ได้ให้ผู้ช่วยประกาศว่าตนเองเป็นใคร เพียงแต่อุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วอย่างถ่อมตัวเดินเข้าไปในโรงเรียนอนุบาล เหมือนผู้ปกครองธรรมดาทั่วไป 


 


 


“ทางนี้คือห้องเรียนค่ะ คุณครูของพวกเรากำลังจำลองสถานการณ์เวลามีเด็กๆ มาเข้าเรียน ผู้ปกครองทุกท่านดูได้เลยค่ะ ถ้าหากสนใจ ก็พาลูกๆ เข้าไปทดลองได้…” คุณครูที่กำลังพาทุกคนเยี่ยมชมข้างหน้าถือโทรโข่งพูด 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มองเข้าไปในห้องเรียนตามสัญชาตญาณ 


 


 


แต่ข้างหน้ามีคนเยอะเกินไป บดบังสายตาของเธอ 


 


 


เธอกำลังจะเขย่งปลายเท่า แต่ก็มีมือข้างหนึ่งดึงคอเสื้อของเธอขึ้นเสียก่อน! 


 


 


มองน่ะมองเห็นอยู่หรอก แต่รอบๆ มีคนอื่นอยู่ด้วย… 


 


 


“อวี๋เยว่หาน ฉันมองเองได้ คุณรีบปล่อยมือสิ!” เหนียนเสี่ยวมู่เค้นเสียงออกมาจากไรฟัน 


 


 


เธอเสียหน้าหมดแล้ว! 


 


 


“อ้อ” ดวงตาสีดำขลับของอวี๋เยว่หานชำเลืองมองเธอครั้งหนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือ เมื่อเห็นเธอเตี้ยลงเล็กน้อย เขาก็พูดอย่างเฉยชาอีก “เตี้ย” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !! 


 


 


เธอเป็นสาวสูงตามมาตรฐาน เธอไม่ได้เตี้ย! ไม่ได้เตี้ย! 


 


 


หญิงสาวไปยืนอยู่ข้างหน้าเขา แล้วพยายามเขย่งปลายเท้า เพื่อพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า ถึงไม่มีเขา เธอก็มองเห็นห้องเรียนข้างหน้าได้ 


 


 


อวี๋เยว่หานเลิกคิ้ว ก่อนจะกวาดสายตามองเธอ “เตี้ยขาสั้น” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !! 


 


 


ถ้าสายตาฆ่าคนได้ ตอนนี้เขาคงถูกแทงเป็นพันเป็นหมื่นครั้งแล้ว! 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กัดฟันอย่างแรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองทนไม่ไหว แล้วพุ่งไปฆ่าเขาให้ตาย ก่อนจะตายตาม เธอถลึงตามองเขาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง 


 


 


ถ้าเดินไปอยู่ข้างหน้าสุดแล้ว เธอก็มองเห็นอย่างชัดเจน 


 


 


ทว่าเพิ่งก้าวออกไปสองก้าว คอเสื้อของเธอก็ถูกคนดึงเอาไว้อีก 


 


 


เธอหันกลับไปมอง เห็นอวี๋เยว่หานที่เหมือนจะชองดึงของเสื้อของเธอ หญิงสาวกำลังจะโมโห แต่ก็เห็นนิ้วเรียวยาวของเขาชี้ไปอีกทางหนึ่ง 


 


 


“…” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เงยหน้าขึ้น เห็นกลุ่มคนเคลื่อนตัวไปยังทิศทางที่ตรงกันข้ามกับตนเอง ถึงจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองโมโหจนไม่มีสติแล้ว 


 


 


หลังจากเตรียมหันกลับไป เธอพลันนึกขึ้นได้อีก ทำไมเขาใจดีเตือนเธอแบบนี้ล่ะ 


 


 


เธอจึงเงยหน้ามองเขาอย่างระแวดระวังครั้งหนึ่ง 


 


 


เมื่ออวี๋เยว่หานสบตากับเธอ มือที่ชี้ทางให้เธอก็พลันล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันลมอย่างสุขุม ตรงมุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย “อย่ามามองผมด้วยสายตาแบบนั้น เอาใจใส่คนบ๊อง ถือเป็นความรับผิดชอบของทุกคน” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 274 คุณอวี๋ คุณนายอวี๋ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !! 


 


 


ทำไมเธอไม่นอนอยู่ที่บ้านเนี่ย 


 


 


เพราะผ้าห่มอุ่นไม่พอ หรือวันหยุดน่าเบื่อเกินไป 


 


 


ทำอะไรก็ไม่ดี ทำไมต้องออกมากับเจ้าก้อนน้ำแข็งด้วย 


 


 


เป็นเจ้าก้อนน้ำแข็งที่ปากคอเราะร้ายเสียด้วย! 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กำลังพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเอง อวี๋เยว่หานก็พลันเดินมาข้างหน้าเธอ แล้วโอบไหล่ของเธอเอาไว้! 


 


 


แขนของเขายาวมาก โอบเธอไว้ในอกได้อย่างง่ายดาย 


 


 


เสื้อกันลมตัวยาวห่อตัวบอบบางของเธอเอาไว้ แล้วพาเธอเดินไปยังทิศทางที่ถูกต้อง 


 


 


กลิ่นมิ้นต์สดชื่นบนร่างกายของชายหนุ่ม เจือกับความอบอุ่นจากตัวเขา ส่งผ่านมาที่ตัวเธอ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เบิกตาที่ใสเหมือนคริสตัล งุนงงอยู่พักหนึ่ง ไม่มีปฏิกิริยาใดอยู่เนิ่นนาน 


 


 


ราวกับว่าตกใจกับการกระทำของเขาจนทึ่มทือไปแล้ว 


 


 


ได้แต่ก้าวเท้าเดินตามเข้าไปทื่อๆ 


 


 


เขาคิดจะทำอะไร 


 


 


ตีมือกันแล้วให้ลูกกวาดเหรอ 


 


 


เธอตาเป็นประกาย จุดเปลี่ยนมาถึงแล้ว! 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กระแอม ก่อนจะเตือนพร้อมใบหน้าจริงจัง 


 


 


“อวี๋เยว่หาน โอบไหล่สาวสวยโดยไม่บอกกล่าว การกระทำแบบนี้มีคำเรียกอีกอย่างหนึ่งนะ เขาเรียกว่าไม่ให้เกียรติผู้หญิง!” 


 


 


เมื่อเธอพูดจบ อวี๋เยว่หานพลันตะลึงลาน จากนั้นก็หลุบตามองเธอ 


 


 


“จิ๊” เขาส่งเสียงออกมา 


 


 


ก่อนจะวางมือบนหัวของเธอในทันใด “เมื่อคืนคุณนอนดึกมากเหรอ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมาจากฝันหรือไง” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” 


 


 


“คำว่าสาวสวยเนี่ย เกี่ยวกับคุณยังไงไม่ทราบ” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !! 


 


 


ปล่อยมือ! 


 


 


อย่ามาแตะต้อง! 


 


 


ถ้าเธอพูดกับเขาอีกคำเดียว เธอก็ต้องเป็นเจ้าหมาน้อยแล้ว! 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ปัดมือของเขาออกดังเพียะ แล้วหลบห่างจากเขาไปไกลที่สุด 


 


 


“…” 


 


 


ในอกของอวี๋เยว่หานพลันว่างเปล่า ราวกับว่าหัวใจหายไปด้วย 


 


 


เขาขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็ชำเลืองมองคนที่หลบเขาไปอยู่ไกลๆ นัยน์ตาสีดำชายแววเล็กน้อย 


 


 


“เหนียนเสี่ยวมู่ ชมห้องเรียนก่อน หรือชมโรงอาหารก่อน” 


 


 


“…” ไม่ได้ยินๆ 


 


 


“คุณอยากกินน้ำไหม” อวี๋เยว่หานรับน้ำแร่มาจากมือของผู้ชาย แล้วส่ายไปส่ายมาตรงหน้าเธอ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ทนกระหายน้ำ ทำเป็นมองไม่เห็น 


 


 


อวี๋เยว่หานมองสายตาดื้อรั้นของเธอ ก่อนที่นัยน์ตาของเขาจะฉายแววเจ้าเล่ห์ ราวกับสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง 


 


 


เขามองจนเหนียนเสี่ยวมู่รู้สึกหวั่นใจ ลางสังหรณ์ไม่ดีปรากฏขึ้นในใจ 


 


 


วินาทีต่อมาเธอก็ได้ยินเขาเอ่ยปากเรียบๆ “งั้นโบนัสสามเดือน คุณยังอยากได้หรือเปล่า” 


 


 


“โฮ่งๆ!” เหนียนเสี่ยวมู่แทบจะเอ่ยปากออกมาตามสัญชาตญาณ 


 


 


อวี๋เยว่หาน “…” 


 


 


เธอหายใจต่อไปได้อีกหน่อยแล้ว! 


 


 


และชมโรงเรียนอนุบาลต่อไป 


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วหน้าตาน่ารัก แถมยังบ้องแบ๊ว คุณครูคนไหนเห็นเธอ ต่างก็ชื่นชอบทั้งนั้น 


 


 


“ว่ากันว่าความรักของพ่อแม่จะส่งผลถึงประสบการณ์ความสุขของลูก คุณอวี๋กับคุณนายอวี๋รักกันมากขนาดนี้ เสี่ยวลิ่วลิ่วถึงได้ร่าเริงแจ่มใส” คุณครูยิ้มพลางพูดอยู่ข้างๆ 


 


 


หลังจากได้ยินดังนั้น เหนียนเสี่ยวมู่ก็ตัวแข็งทื่อทันที! 


 


 


คุณอวี๋น่ะถูกต้อง 


 


 


แต่คุณนายอวี๋… 


 


 


แล้วคุณครูดูออกจากตรงไหนกัน ว่าเธอรักกับอวี๋เยว่หานมาก 


 


 


พวกเขาเคียดแค้นกันชัดๆ! 


 


 


“คุณครู คุณเข้าใจผิดแล้ว ที่จริงฉัน…” 


 


 


“จริงสิ วันนี้ในสวนมีกิจกรรมคู่รัก ถ้าได้ที่หนึ่ง ก็จะมอบของขวัญที่น่ารักมากๆ ให้เจ้าตัวเล็ก ทั้งสองคนอยากลองดูหน่อยไหมคะ” คุณครูไม่รอให้เหนียนเสี่ยวมู่พูดจบ ก็แนะนำด้วยความกระตือรือร้น 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ดึงสติกลับมา แล้วรีบมองไปทางอวี๋เยว่หาน รอเขาเอ่ยปากอธิบาย 


 


 


เขากลับเหมือนจะไม่ได้ยินคำเรียกของคุณครูที่ทำให้คนเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิง 


 


 


ก่อนจะก้มลงอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วขึ้นมา ปาดเหงื่อนบนหน้าม้าที่เปียกชุ่มให้เด็กหญิง 


 


 


“อยากได้ของขวัญหรือเปล่า” 


ตอนที่ 275 กินความน่ารักเข้าไป 


 


 


“อยากได้ค่ะ!” เสี่ยวลิ่วลิ่วเงยหน้าเล็กๆ ขึ้น แล้วพยักหน้าอย่างไม่ต้องคิด 


 


 


จากนั้นเด็กหญิงก็หันหน้ามองเหนียนเสี่ยวมู่ตาปริบๆ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” 


 


 


เธอไม่ใช่แม่ของเสี่ยวลิ่วลิ่ว ทำกิจกรรมคนรักกับอวี๋เยว่หานก็ออกจะแปลกไปหน่อย 


 


 


แต่พอสบสายตาน่ารักของเสี่ยวลิ่วลิ่วแล้ว เธอก็ปฏิเสธไม่ได้ 


 


 


และทำได้แค่เดินตามหลังอวี๋เยว่หานไปอย่างว่าง่าย ไปยังสถานที่จัดกิจกรรม 


 


 


“ทั้งสองคนก็จะเข้าร่วมกิจกรรมคู่รักใช่ไหมคะ เชิญมาลงทะเบียนทางนี้ก่อนค่ะ กิจกรรมของพวกเรามีหลายรายการค่ะ รางวัลชนะเลิศของแต่ละรายการจะได้รับของขวัญหนึ่งชิ้น…” คุณครูผู้รับผิดชอบกิจกรรมอธิบายพร้อมรอยยิ้มทันทีที่เห็นพวกเขา 


 


 


กติกาของกิจกรรมคู่รักค่อนข้างง่ายมาก 


 


 


ทั้งสนุกและต้องสอดประสานกันอย่างมาก 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มองสนามเล่นเกมที่ถูกล้อมขึ้นครั้งหนึ่ง ตรงนั้นแบ่งเป็นหลายด่าน 


 


 


มีทั้งวิ่งสามขา แครอทสควอท และจมูกช้าง… 


 


 


ล้วนเป็นเกมที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ 


 


 


มีผู้ปกครองหลายคนพาลูกไปเล่นด้วยกัน บรรยากาศในตอนนี้จึงคึกคักมา 


 


 


เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเหมือนระฆังของเด็กๆ 


 


 


พอเสี่ยวลิ่วลิ่วเห็นเด็กๆ อยู่ด้วยกันเยอะแยะ ใบหน้ารูปไข่น่ารักก็ยิ้มแย้ม ก่อนจะวิ่งไปข้างหน้า มือเล็กของเธอจับรั้วเอาไว้ พลางเขย่งปลายเท้ามองไปข้างใน 


 


 


ท่าทางกระตือรือร้น ทำให้เหนียนเสี่ยวมู่รู้สึกคุ้นตาอย่างน่าประหลาด 


 


 


เหมือนกับเธอเวอร์ชันตัวเล็กอย่างไรอย่างนั้น… 


 


 


ในหัวของเธอมีภาพอวี๋เยว่หานต่อว่าเธอว่าขาสั้นเมื่อครู่ผุดขึ้นมา 


 


 


เขาน่าจะไม่… 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มองผู้ชายที่อยู่ข้างๆ พบว่าเขากำลังขมวดคิ้วจ้องมองเสี่ยวลิ่วลิ่วเขย่งปลายเท้า หัวใจพลันบีบตัวขึ้นมา! 


 


 


เขาสังเกตเห็นสายตาของเธอ ก่อนจะหันหน้ามามองเธออย่างเชื่องช้า 


 


 


ดวงตาทั้งสองคู่จ้องมองกัน จากนั้นเขาก็เลิกคิ้ว 


 


 


“ลูกสาวของผมทำอะไรก็น่ารักไปหมด” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !! 


 


 


ตอนนี้ใครอย่าได้พูดอะไรกับเธอ เธออยากอยู่เงียบๆ! 


 


 


“คุณชื่ออะไรคะ ฉันต้องให้คุณลงทะเบียนก่อน ถึงจะเล่นเกมได้ค่ะ” คุณครูสาวถือสมุดเข้ามาถาม 


 


 


เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาของอวี๋เยว่หาน ก็หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยอย่างอดไม่อยู่ 


 


 


ความจริงผู้ใหญ่หลายคนที่นี่ไม่ใช่ผู้ปกครองของเด็ก เป็นแค่ญาติที่มาดูเป็นเพื่อนเด็กๆ เท่านั้น 


 


 


หรือเป็นตัวแทนของครอบครัว 


 


 


อวี๋เยว่หานฐานะสูงศักดิ์ ทุกท่วงท่าล้วนสง่างาม แถมยังมีใบหน้ามีเสน่ห์โดดเด่นกว่าใครๆ อีกต่างหาก 


 


 


ถึงเขาอยู่ท่ามกลางผู้คน ก็ยังโดดเด่นที่สุดอยู่ดี 


 


 


บนมือของเขาไม่มีแหวนแต่งงาน ดูแล้วไม่เหมือนคนที่มีลูกแล้ว จึงถูกเหมารวมเป็น ‘ตัวแทนครอบครัว’ หรือ ‘ช่วยญาติพาเด็กมาชม’ 


 


 


ตอนนี้ผู้หญิงหลายๆ คนหน้าแดงเพราะเขากันหมดแล้ว 


 


 


มีคนหนึ่งมองเขาจนเหม่อ ทำให้สามีหึงเข้าแล้ว 


 


 


หลังจากดึงสติกลับมาได้ เธอก็รีบอธิบายให้สามีของตนเองฟัง 


 


 


“ที่รักคือความสุขของจักรวาลนี้ ฉันแค่มองเฉยๆ ไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย ที่รักหึงอะไรกันเนี่ย…” 


 


 


“…” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ลอบมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหน้าตนเอง ก่อนจะแอบต่อว่าในใจ ‘ปิศาจ!’ 


 


 


“คุณคะ? คุณคะ? พวกคุณจะเล่นเกมด้วยไหมคะ” คุณครูยังคงรอคอยคำตอบของเขา 


 


 


เมื่อเห็นเขาไม่ยอมพูด คุณครูสาวก็เตือนเขาเสียงหนึ่ง 


 


 


วินาทีต่อมาก็เห็นเสี่ยวลิ่วลิ่ววิ่งกลับมาจากหน้ารั้ว “หนูรู้แล้วๆ ว่าเมื่อกี้คุณครูคนนั้นพูดว่าอะไร!” 


 


 


ใบหน้าเล็กของเด็กหญิงเป็นสีแดงระเรื่อ มีแต่ความตื่นเต้น 


 


 


นิ้วมือเล็กชี้ไปที่อวี๋เยว่หาน “คนนี้คือคุณอวี๋” 


 


 


ก่อนจะเอียงคอ แล้วชี้มาที่เหนียนเสี่ยวมู่ พลางยิ้มแป้น “ส่วนคนนี้คือคุณนายอวี๋!” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 276 คุณพูดถูกต้อง! 


 


 


คุณนายอวี๋… 


 


 


วันนี้เหนียนเสี่ยวมู่ได้ยินคำเรียกนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว 


 


 


แรงจู่โจมไม่ได้รุนแรงเหมือนครั้งแรก แต่เสี่ยวลิ่วลิ่วพูดออกมาจากปากของตนเอง ก็ทำให้เธอตะลึงไปหลายวินาที 


 


 


เมื่อดึงสติกลับมาได้ ก็พบว่าความหลงใหลบนใบหน้าของคุณครูที่มีต่ออวี๋เยว่หานพลันหายไป หลังจากได้ยินว่าชายหนุ่มแต่งงานแล้ว 


 


 


สายตาที่มองมาทางเหนียนเสี่ยวมู่ก็เก้ๆ กังๆ ไปบ้าง 


 


 


ราวกับกังวลว่าเธอจะเข้าใจผิด… 


 


 


ไอ้หยา! คุณครู คนที่เข้าใจผิดคือคุณต่างหาก! 


 


 


“คุณครูคะ คืออย่างนี้ค่ะ ที่จริงฉันเป็นแค่…” เหนียนเสี่ยวมู่ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ร้อนใจอยากจะอธิบาย ทว่าเสี่ยวลิ่วลิ่วที่ยืนอยู่ข้างหน้าเธอฝีเท้ารวดเร็วกว่า ตอนนี้เด็กหญิงชี้ไปที่จมูกของตนเองแล้ว 


 


 


“หนูชื่ออวี๋ลิ่วลิ่วค่ะ คุณครูเรียกหนูว่าเสี่ยวลิ่วลิ่วก็ได้!” เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้น 


 


 


คุณอวี๋ คุณนายอวี๋ 


 


 


ตอนนี้มีอวี๋ลิ่วลิ่วเพิ่มขึ้นมาอีก… 


 


 


ใครได้เห็นภาพนี้เข้า ก็ต้องคิดว่าพวกเขาเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกแน่นอน 


 


 


เอาล่ะ ไม่ต้องอธิบายแล้ว 


 


 


คุณครูล้มเลิกที่จะเข้าไปยุ่งกับคู่รักคู่นี้ ก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาลงทะเบียนให้พวกเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบป้ายหมายเลขเข้าร่วมเล่นเกมให้พวกเขา 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่รับป้ายหมายเลขมา และเข้าสู่สนามเกมพร้อมกับผู้ปกครองคนอื่น 


 


 


ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว เธอก็ยังดึงสติกลับมาไม่ได้สักที 


 


 


เดิมทีเธออยากถามว่า ถ้าไม่ใช่แม่ของเด็ก จะร่วมเล่นเกมกับคนเป็นพ่อได้ไหม 


 


 


แต่ตอนนี้คงไม่ต้องถามแล้ว 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ส่งป้ายหมายเลขในมือให้อวี๋เยว่หาน “พวกเราต้องเล่นเกมไหนก่อน” 


 


 


ในสนามเล่นเกมมีด่านอยู่ไม่น้อยเลย 


 


 


สถานที่ที่มีเด็กเยอะๆ มักจะบรรยากาศดีเสมอ 


 


 


พอเสี่ยวลิ่วลิ่วเข้ามา เด็กหญิงก็อดรนทนไม่ไหว อยากจะวิ่งไปดูทั่วๆ 


 


 


อวี๋เยว่หานอุ้มเธอขึ้น ก่อนจะช้อนดวงตาสีดำขึ้น ชี้ไปยังเวทีมอบรางวัลข้างหน้าสุด พลางพูดอย่างเรียบเฉย “ลูกอยากได้ของเล่นชิ้นไหน” 


 


 


ราวกับไม่ว่าเสี่ยวลิ่วลิ่วอยากได้อะไร เขาก็จะช่วงชิงมาให้ได้ 


 


 


“ฉันว่าผู้ปกครองคนอื่นเขาเข้าขากันดีมากเลย คุณอย่ามั่นใจในตัวเองเกินไป ถ้าอีกเดี๋ยวแพ้ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนคุณแล้วกัน” เหนียนเสี่ยวมู่พึมพำเสียงเบา 


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋เยว่หานก็หันมาเหลือบมองเธอครั้งหนึ่ง 


 


 


“คุณพูดถูกต้อง” 


 


 


“…เอ๋?” 


 


 


เขากินยาผิดเหรอ ทำไมชมว่าเธอพูดถูกต้องได้ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย จากนั้นก็ได้ยินเขาพูดอย่างเฉยชา 


 


 


“มีคุณคอยถ่วงอยู่ อยากจะชนะก็ยากจริงๆ” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !! 


 


 


ยังไม่ทันจับคู่ ก็แตกคอกันเสียแล้ว 


 


 


ยังจะแข่งเกมอะไรได้อีก 


 


 


“ปาปา หนูอยากได้เจ้าหมูตัวนั้น!” เสี่ยวลิ่วลิ่วกะพริบตากลมโต ตะโกนพร้อมกับชี้ไปยังของเล่นลูกหมูด้วยความตื่นเต้น 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มองไปยังเวทีรับรางวัล ของเล่นลูกหมูเป็นรางวัลชนะเลิศของการแข่งวิ่งสามขา 


 


 


เธอถือป้ายหมายเลขเดินไปลงชื่อข้างหน้าเจ้าหน้าที่ 


 


 


“กติกาการเล่นเกมง่ายมากค่ะ ลูกยืนอยู่ที่เส้นชัย ถือลูกโป่งเอาไว้ ส่วนพ่อกับแม่ต้องเดินสามขาตั้งแต่จุดเริ่มต้น แล้ววิ่งไปหาลูก หลังจากรับลูกโป่งแล้วก็ย้อนกลับมาที่เดิม คู่ไหนใช้เวลาน้อยที่สุดก็เป็นผู้ชนะค่ะ” 


 


 


เจ้าหน้าที่อธิบายกฎเสร็จแล้ว เหนียนเสี่ยวมู่ก็พิจารณาครอบครัวอื่นที่เข้าร่วมเล่นเกมกับพวกเขาครั้งหนึ่ง 


 


 


จากนั้นก็คำนวณส่วนสูงกับความยาวขา 


 


 


ไม่ว่ารวมกันหรือแยกกัน เธอกับอวี๋เยว่หานก็เป็นที่หนึ่ง 


 


 


แต่ถ้าเทียบความเข้าขากันแล้ว พวกเขาอาจจะเป็นที่โหล่! 


 


 


เพื่อไม่ให้เสี่ยวลิ่วลิ่วผิดหวัง เหนียนเสี่ยวมู่ใช้สายตาคำนวณระยะห่างระหว่างจุดเริ่มต้นกับเส้นชัยอย่างรวดเร็ว หลังจากสมองคำนวณอย่างเร็วรี่แล้ว ด้วยความยาวขาของเธอกับอวี๋เยว่หาน เธอต้องก้าวขายาวเท่าไหร่ ถึงจะไปกลับสองจุดได้ไวที่สุด 


 


 


แต่เพิ่งคำนวณไปได้ครึ่งเดียว มือใหญ่ข้างหนึ่งก็กดหัวเธอเอาไว้แล้ว 


 


 


เสียงน่าดึงดูดของเขาเจือเสน่ห์เอาไว้ “ไม่ต้องเครียด มีผมอยู่” 


ตอนที่ 277 รหัสคำอันคุกคาม


 


 


เขายืนอยู่ข้างๆ เธอ แสงอาทิตย์ตกกระทบบนรูปร่างสูงโปร่งของเขา ทำให้เงาของเขาถอดยาวอยู่บนพื้น ทับซ้อนกับของเธอ


 


 


ดูแล้วเหมือนคนคนเดียวกัน


 


 


เสียงที่ไม่ตั้งใจพูดดังๆ เพียงแค่พูดออกมาลอยๆ เท่านั้น กลับทำให้คนสบายใจอย่างน่าประหลาด


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตะลึงงัน ก่อนจะมองใบหน้าเย็นชาและจริงขังของเขา ลืมไปแล้วว่าตนเองควรจะมีปฏิกิริยาอย่างไร


 


 


เธอปล่อยให้เขาจูงตนเองไปยังจุดเริ่มต้นของเกม


 


 


ที่เข้าร่วมเหมพร้อมกันนี้ มีทั้งหมดห้าครอบครัว


 


 


คุณครูพาเสี่ยวลิ่วลิ่วกับเด็กๆ คนอื่นไปยังเส้นชัยแล้ว เด็กหญิงกำลังถือลูกโป่งของตนเอง พยายามโบกมือให้พวกเขาอย่างเต็มที่


 


 


เกมยังไม่เริ้ม ใบหน้ารูปไข่เล็กน่านักของเธอก็เป็นสีแดงระเรื่อด้วยความตื่นเต้นแล้ว


 


 


พร้อมโก่งคอตะโกนว่า “คุณอวี๋สู้ๆ! คุณนายอวี๋สู้ๆ!”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


คุณนายอวี๋เนี่ย ดูท่าทางวันนี้จะไปหาไม่ได้แล้ว


 


 


เธอยังไม่ทันได้คิดอะไร เจ้าหน้าที่ก็ถือเชือกสีรุ้งเดินมาข้างๆ พวกเขา และผูกขาสองข้างของสามีภรรยาแต่ละคู่ไว้ด้วยกัน


 


 


ทั้งสองคนกลายเป็นสามขา


 


 


จังหวะการก้าวเท้าจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงจะเดินไปได้


 


 


ถ้าอยากวิ่ง ความเข้าขากันของทั้งสองคนก็เป็นสิ่งสำคัญมาก!


 


 


“พวกเราต้องตั้งรหัวคำไหม เช่น หนึ่งสองหนึ่ง หนึ่งสองหนึ่ง” ขาของเหนียนเสี่ยวมู่ผูกติดอยู่กับอวี๋เยว่หาน เธอจึงถามด้วยความคร่ำเคร่ง


 


 


หลังจากไม่ได้ยินเขาตอบ เธอก็หันหน้าไปมอง


 


 


จากนั้นก็ได้สบสายตาดูถูกของเขา


 


 


ราวกับว่ากำลังหัวเราะเยาะเธอ คิดรหัสคำที่โง่กว่านี้ได้อีกไหม


 


 


“ถ้าคุณไม่ชอบหนึ่งสองหนึ่ง งั้นพวกเราเรียกเสี่ยวลิ่วลิ่วดีไหม ตอนพูดถึงคำว่าลิ่ว ก็ก้าวขาพร้อมกันเป็นยังไง” เหนียนเสี่ยวมู่ถูกเขามองดูถูกนานๆ ครั้ง จึงไม่ได้โกรธ กลับเปลี่ยนรหัสคำอย่างจริงจังด้วยซ้ำไป


 


 


เธอคร่ำเคร่งอยู่บ้างจริงๆ


 


 


ไม่ได้กลัวเล่นเกมแพ้ แต่ไม่อยากเขาพาเขาแพ้ไปด้วย


 


 


ถึงแม้เธอจะไม่ยอมรับ แต่ในใจของเธอ เขาก็น่าจะเป็นคนที่ยืนอยู่บนแท่นบูชาเทพ


 


 


สูงส่งเหมือนเทพ ทำได้ทุกอย่าง


 


 


เธอคิดไม่ออกเลยว่า จะมีอะไรที่เขาทพไม่ได้


 


 


“แม้ฉันจะไม่เคยเล่นเกมนี้ แต่ไม่ว่าเกมไหนก็ต้องมีเคล็ดลับ เมื่อกี้ฉันคำนวณระยะห่างแล้ว ด้วยความยาวขาของพวกเรา ขอแค่รักษา…” เหนียนเสี่ยวมู่ยังพูดไม่จบ นิ้วเรียวยาวก็ปิดริมฝีปากสีเชอร์รีของเธอไว้แล้ว


 


 


ดวงตาสีดำของเขาหลุบมองเธอ ก่อนจะขมวดคิ้ว “เล่นเกมนี่ต้องเครียดขนาดนี้เลยเหรอ”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


“ผมก็ไม่ได้รังเกียจที่คุณขาสั้นสักหน่อย”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !!


 


 


“ฉันไม่ได้ขาสั้นนะ!” เหนียนเสี่ยวมู่พลันแก้มป่อง พร้อมกับถลึงตามองเขา


 


 


ดวงตาสดใสของเธอราวกับมีไฟพ่นออกมา เพราะความโมโห


 


 


ทันใดนั้น มือข้างหนึ่งก็จับคางของเธอเอาไว้


 


 


เธอตะลึงงันไป ส่วนเขาหันมาข้างๆ แล้ว แถมยังก้มหน้าลงเล็กน้อย


 


 


ขาของทั้งสองคนผูกติดอยู่ด้วยกัน เธอไม่มีทางถอยไปได้ ทำได้แค่เงยหน้ามองเขา


 


 


หลังจากได้มองเขา ริมฝีปากบางที่หยุดอยู่ตรงปลายจมูกของเธอก็พูดชัดๆ ทีละคำ “อีกเดี๋ยวก็ใช้แรงเหมือนตอนพูดกับผมนะ พวกเราแพ้ไม่ได้”


 


 


“…”


 


 


เขาชมเธอ หรือต่อว่าเธอเนี่ย?


 


 


แต่เธอยังไม่ทันดึงสติกลับมา ก็ได้ยินเจ้าหน้าที่พูดขึ้นมาคำหนึ่ง “ทุกคนประจำที่!”


 


 


เส้นประสาทของเธอที่เพิ่งคลายตัว ขมวดเกร็งขึ้นมาในทันใด


 


 


หญิงสาวจับมือของเขาเอาไว้ด้วยความเคร่งเครียด “อวี๋เยว่หาน บอกรหัสคำฉันเร็ว ไม่อย่างนั้นจะวิ่งยังไง”


 


 


ถ้าให้เธอเชื่อความเข้าขากันระหว่างเธอกับอวี๋เยว่หาน เธอขอเชื่อรหัวคำดีกว่า!


 


 


อวี๋เยว่หานหันหน้ามา ก่อนจะมองมือของเธอข้างที่จับมือของเขาเอาไว้ นัยน์ตาวูบไหวเล็กน้อย


 


 


หลังจากลังเลอยู่หลายวินาที เขาถึงจะเอ่ยปาก


 


 


“ฉันขาสั้น รู้สึกเป็นเกียรติดีไหม”


 


 


 


 


ตอนที่ 278 ทักษะเกี้ยวสาวได้คะแนนเต็ม


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


เขาอาจจะไม่อย่างมีเพื่อนร่วมทีมก็ได้


 


 


เธอเพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรก เมื่อเทียบกับผู้ชายปากจัดตรงหน้าคนนี้แล้ว เจ้าก้อนน้ำแข็งก็น่ารักทีเดียว


 


 


อย่างน้อยเจ้าก้อนน้ำแข็งก็ไม่พูดจาชวนโมโหทุกนาทีที่อ้าปาก!


 


 


“เตรียมตัว!”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่พลันทำสีหน้าลุกลี้ลุกลนทันทีที่ได้ยินคำสั่งของเจ้าหน้าที่


 


 


แถมเธอยังไม่ทันได้ดึงสติกลับมา ก็ได้ยินเจ้าหน้าที่ตะโกนว่า “เริ่มได้!”


 


 


เริ่มแล้ว! เริ่มแล้ว!


 


 


เธอรีบร้อนวิ่งไปข้างหน้า แต่เพิ่งก้าวขาซ้ายออกไป ขาขวาที่ผูกติดอยู่กับอวี๋เยว่หานก็ติดขัดขึ้นมา


 


 


ทำให้เธอโซเซไปเล็กน้อย


 


 


อวี๋เยว่หานเพิ่งก้าวขาออกไปเช่นกัน แต่เพราะติดขาเธออยู่บ้าง จึงหยุดและยื่นมือไปโอวเอวเธอเอาไว้


 


 


เมื่อประคองร่างกายที่เกือบจะล้มลงได้แล้ว เขาก็กอดเธอเข้าแนบอกโดยไม่ลังเลสักนิด


 


 


เขาหลุบตามองใบหน้าเล็กที่กำลังซีดเผือดของเธอ ความต้องการอยากยั่วเย้าพลันหายไปจากสายตา ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ไม่เป็นไรใช่ไหม”


 


 


“…”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ดึงสติกลับมา ปฏิกิริยาแรกคือมองทีมอื่นที่ร่วมเล่นเกมด้วย


 


 


ครอบครัวอื่นล้วนเป็นสามีภรรยา เรื่องเข้าขากันคงไม่ต้องพูดถึง


 


 


อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่เหมือนกับเธอและอวี๋เยว่หาน เริ่มต้นก็เกิดอุบัติเหตุเสียแล้ว ทำให้พวกเขานำไปก่อนแล้วในตอนนี้


 


 


นำไปได้ครึ่งทางแล้ว…


 


 


“เป็นสิ!” เหนียนเสี่ยวมู่มองเขาตาปริบๆ “ถ้าพวกเราแพ้ ก็ขอให้โทษคนขายาวแบบคุณ!”


 


 


อวี๋เยว่หาน “…”


 


 


เขาช้อนดวงตาสีดำขึ้นกวาดมองข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พลางวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้า


 


 


จากนั้นเขาก็ปล่อยเหนียนเสี่ยวมู่ ให้เธอยืนอย่างมั่นคงก่อน แล้วถึงจะขยับริมฝีปากบาง


 


 


“อยากชนะ ต่อจากนี้คุณต้องทำเรื่องหนึ่ง”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “???”


 


 


“พยายามให้เท้าของคุณอยู่ติดพื้น ไม่งั้นพวกเราจะผิดกติกา”


 


 


เสียงทุ้มต่ำของเขาเพิ่งหายไป ส่วนเหนียนเสี่ยวมู่ยังไม่ทันดึงสติกลับมา มือข้างหนึ่งก็ยกคอเสื้อของเธอ ยกเธอวิ่งไปข้างหน้าแล้ว!


 


 


“อ๊าา…”


 


 


หนึ่งนาทีหลังจากนั้น บนพื้นที่เล่นเกมก็มีเสียงกรีดร้องตกใจดังขึ้น


 


 


ส่วนที่ตามมาหลังจากเสียงกรีดร้อง


 


 


ก็คือพวกเขาที่รั้งท้าย เริ่มพลิกกลับมานำได้


 


 


จากที่โหล่ ค่อยๆ พุ่งขึ้นนำ…


 


 


ผ่านจุดเริ่มต้นมาพริบตาเดียว เหนียนเสี่ยวมู่พลันดึงสติกลับมา แล้วมองไปยังครอบครัวอื่นที่ร่วมเล่นเกมด้วย


 


 


หลังงจากเห็นสีหน้าอึ้งงันของทุกคน เธอก็มองชายหนุ่มที่หิ้วเธอเหมือนไก่ครั้งหนึ่ง


 


 


หญิงสาวยื่นมือปิดหน้าของตัวเองเงียบๆ


 


 


เธอไม่มีหน้าไปเจอใครแล้ว…


 


 


เจ้าหน้าที่เดินเจ้ามาเร็วมาก ก่อนจะเผลอหัวเราะออกมา


 


 


“คุณนายอวี๋น่ารักมากเลย ทั้งสองครทำลายสถิติใช้เวลาน้อยที่สุดของเกมเรา ถ้าไม่เข้าร่วมเกมอื่น ก็เอาเหรียญเล็กๆ อันนี้ไปแลกของขวัญที่เวทีรับรางวัลได้เลยค่ะ”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งคิดจะบอกว่าไม่เล่นแล้ว อวี๋เยว่หานก็ดึงเธอเอาไว้ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่สนามเกมอีกสนามหนึ่ง


 


 


เธอไม่มีโอกาสได้ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง…


 


 


มีอวี๋เยว่หานอยู่ เหนียนเสี่ยวมู่ไม่ต้องทำอะไร ก็คว้ารางวัลชนะเลิศมาได้


 


 


สุดท้ายเธอก็กอดเหรีญรางวัลเล็กๆ ไว้กองหนึ่ง แล้วนำไปแลกที่เวทีรับรางวัล


 


 


เมื่อวางเหรียญรางวัลลงบนโต๊ะ เจ้าหน้าที่ก็ตะลึงงันไป


 


 


“คุณอวี๋กับคุณนายอวี๋ นี่คือรางวัลของพวกคุณค่ะ” หลังจากเจ้าหน้าที่ดึงสติกลับมาได้ ก็นำของเล่นลูกหมูส่งให้พวกเขากล่องหนึ่ง


 


 


มันเป็นของเล่นที่น่ารักมาก


 


 


ข้างในมีตุ๊กตาลูกหมู และยังมีพ่อหมูกับแม่หมูด้วย ทั้งหมดเป็นครอบครัวหมู


 


 


ที่สำคัญที่สุดคือ เสี่ยวลิ่วลิ่วชอบมาก


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เห็นใบหน้าเล็กๆ ของเด็กหญิงดูเบิกบานใจ เธอก็อดยิ้มออกมาไม่ได้


 


 


ความเหนื่อยล้าจากการเล่นเกมหายเป็นปลิดทิ้ง


 


 


เธอคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่อยู่ๆ อวี๋เยว่หานก็ยื่นมือที่ถือตุ๊กตาสีชมพูมาตรงหน้าเธอ


 


 


“ให้คุณ แม่หมู”


ตอนที่ 279 เธอทำอะไรลงไป


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


นี่เขากำลังให้รางวัลเธอ หรือจงใจเหน็บแนมเธอกันแน่?


 


 


แต่พอเห็นตุ๊กตาตรงหน้า หัวใจของเธอก็เต้นเร็วขึ้นมาในทันที


 


 


เธอเหม่อไปหลายวินาที ถึงจะดึงสติกลับมาได้


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กะพริบดวงตาสดใสครั้งหนึ่ง แล้วยื่นมือไปหยิบตุ๊กตาหมูจากในกล่องออกมาอีกตัว ก่อนจะยัดเข้าไปในอกของเขา


 


 


“อืม นี่ก็ให้คุณ พ่อหมู!”


 


 


อย่างนี้ยุติธรรมแล้ว ไม่มีใครหัวเราะเยาะใคร


 


 


หางตาของเธอเหลือบเห็นสายตาอบอุ่นของเจ้าหน้าที่ เธอถึงจะรู้ตัวว่า เมื่อครู่เธอทำอะไรลงไป


 


 


เธอถือตุ๊กตาแม่หมู แต่กลับส่งตุ๊กตาพ่อหมูให้อวี๋เยว่หาน


 


 


ส่วนตุ๊กตาลูกหมูอยู่ในมือของเสี่ยวลิ่วลิ่ว…


 


 


ความเข้ากันแบบนี้ มองอย่างไรก็เหมือนครอบครัวพ่อแม่ลูกจริงๆ!


 


 


หญิงสาวใจสั่นขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้ามองอวี๋เยว่หาน


 


 


อวี๋เยว่หานเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าเธอจะให้ตุ๊กตาพ่อหมูกับเขา ชายหนุ่มรับตุ๊กตาไว้ตามสัญชาตญาณ ก่อนที่นิ้วมือเรียวยาวจะจับตุ๊กตาหมุนดูรอบหนึ่ง แล้วถึงเลิกคิ้วมองเธอ


 


 


นัยน์ตาสีดำลุ่มลึก มุมปากยกโค้งเล็กน้อย เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ใช่


 


 


ราวกับว่าเข้าใจผิด แต่ก็เหมือนจะไม่ได้เข้าใจผิด


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ร้อนใจอยากอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ ก็คนละตัวพอใจ ฉัน…”


 


 


“คุณอวี๋กับคุณนายอวี๋รักกันดีจังเลยค่ะ มิน่าถึงได้เข้าขากันจนชนะหลายๆ เกมมาได้” คุณครูที่อยู่ข้างๆ จดบันทึกลงบนสมุด มองตุ๊กตาในมือของทั้งสองคน พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


เข้าขากัน? ไม่จริงหรอก


 


 


พวกเขาชนะได้ เป็นเพราะวิธีเล่นเกมห่ามๆ ของเขาแท้ๆ เลย


 


 


“ถ้าพ่อแม่อยู่กับลูกได้มากๆ ก็จะเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้ลูกได้ค่ะ ดังนั้นโรงเรียนของพวกเราก็เลยจัดกิจกรรมคู่รักแบบนี้บ่อยๆ ยินดีต้อนรับทั้งสองคนมาเล่นอีกครั้งหน้านะคะ”


 


 


“…”


 


 


พอคุณครูพูดจบ เหนียนเสี่ยวมู่ก็ก้มหน้าลงด้วยความอึดอัดทันที


 


 


พ่อของเด็กเป็นพ่อแท้ๆ


 


 


แต่แม่กลับเป็นแม่ปลอม


 


 


เธออยากอธิบาย แต่ไม่มีใครให้โอกาสเธออธิบายเลย


 


 


หญิงสาวลอบมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ครั้งหนึ่ง เขากลับมีสีหน้าสบายใจ


 


 


เขาไม่ได้ยินที่คุณครูพูดใช่ไหม


 


 


ทำไมเขาไม่มีความคิดที่จะอธิบายเลยสักนิด…


 


 


ปล่อยให้เสี่ยวลิ่วลิ่วเรียกเธอว่า ‘คุณนายอวี๋’


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วยังเด็ก อาจจะไม่เข้าใจว่าสามคำนี้หมายความว่าอะไร แต่เขารู้แน่นอน


 


 


เมื่อเหนียนเสี่ยวมู่คิดถึงตรงใจ ในใจของเธอก็เหมือนมียุงหลายพันตัวมารุมกัดในทันที และรู้สึกว่าถามคำถามนี้ออกไปคงจะอึดอัดน่าดู


 


 


หรือเขาแค่อยากเอาใจลูกสาวเท่านั้น


 


 


ขอเพียงเสี่ยวลิ่วลิ่วดีใจ แค่คำเรียกคำเดียว ไม่จำเป็นต้องรีบให้เด็กหญิงแก้ไขหรอก…


 


 


หลังจากชมโรงเรียนอนุบาลจบ ผู้ช่วยก็ถือของเล่นไปไว้บนรถให้ก่อน และถือโอกาสเป็นคนขับรถด้วย


 


 


อวี๋เยว่หานอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่ว ส่วนเหนียนเสี่ยวมู่เดินเคียงข้างเขาอย่างเชื่องช้า


 


 


“พวกเราจะกลับบ้านกันตอนนี้เลยหรือเปล่า” เหนียนเสี่ยวมู่เอียงคอถาม


 


 


ชมโรงเรียนอนุบาลเสร็จแล้ว พวกเขาน่าจะว่างแล้วสินะ


 


 


“ยังไม่กลับ” อวี๋เยว่หานอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วด้วยมือข้างเดียว พร้อมทั้งก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เสียงน่าดึงดูดของเขาดังขึ้นอยู่ข้างๆ หูเธอ


 


 


“ไปโรงหนังกัน”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” ??


 


 


เขาพูดผิด หรือเธอหูฝาด?


 


 


พวกเขา…จะไปดูหนังด้วยหัน?


 


 


เมื่อสังเกตเห็นว่าคนข้างๆ มีปฏิกิริยาแปลกไป อวี๋เยว่หานพลันชะงักฝีเท้า และหันมามองเธอครั้งหนึ่ง


 


 


ชายหนุ่มมองใบหน้างุนงงของเธอ แล้วหลุบตาลง และเอ่ยปากอย่างเรียบเฉยไปพร้อมๆ กัน


 


 


“ไปดูหนังเด็กกับเสี่ยวลิ่วลิ่ว”


 


 


“…”


 


 


ที่แท้ก็ไปเป็นเพื่อนเสี่ยวลิ่วลิ่วนี่เอง


 


 


ก็ถูกต้องแล้ว เมื่อกี้คุณครูพูดไว้ว่า พ่อแม่ต้องอยู่กับลูกมากๆ ถึงจะเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้พวกเขาได้


 


 


เอ๋?


 


 


เมื่อครู่เขาได้ยินที่คุณครูพูดเหรอ


 


 


 


 


ตอนที่ 280 ข้ออ้างนี้คุ้นๆ อยู่บ้างนะ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง เธอคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผู้ช่วยก็ขับรถมาที่หน้าประตูแล้ว


 


 


หลังจากเปิดประตูรถ อวี๋เยว่หานก็ส่งสัญญาณให้เธอขึ้นรถก่อน


 


 


เมื่อเธอนั่งเรียบร้อย เขาถึงจะวางเสี่ยวลิ่วลิ่วไว้ในอกของเธอ แล้วตามเข้ามานั่งในรถ


 


 


จากนั้นเขาก็รับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คจากมือของผู้ช่วย และเริ่มจัดการเอกสาร


 


 


คำพูดของเหนียนเสี่ยวมู่ติดอยู่ในลำคอ


 


 


เธอมองชายหนุ่มที่กำลังยุ่ง สายตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย…


 


 


หญิงสาวรู้สึกว่าเขาเย็นชามาโดยตลอด เหมือนกับก้อนน้ำแข็ง


 


 


แต่ยิ่งได้ใกล้ชิดก็ยิ่งพบว่า นอกจากความเย็นชาแล้ว เขายังซ่อนฝีมือพูดจาจิกกัดเอาไว้ด้วย


 


 


และขณะที่เธอรู้สึกแย่กับเขาอย่างถึงที่สุด ก็พบว่าความจริงแล้วเขาไม่ได้เย็นชาและไร้ความรู้สึกขนาดนั้น


 


 


เขาให้เธอยืมเงินด้วย


 


 


งานยุ่งขนาดนี้ ยังเจียดเวลาเลือกโรงเรียนอนุบาลเป็นเพื่อนเสี่ยวลิ่วลิ่วด้วยตนเอง


 


 


ประธานบริษัทตระกูลอวี๋อันยิ่งใหญ่ เข้าร่วมเกมสำหรับเด็กเพื่อของเล่นไม่กี่ชิ้น…


 


 


ตอนนี้จะไปดูหนังกับเสี่ยวลิ่วลิ่วอีก


 


 


เขารักเสี่ยวลิ่วลิ่วมากจริงๆ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรไป แต่มองเขาแล้วก็เคลิบเคลิ้มไป…


 


 


ที่นั่งในรถกว้างขวางมาก


 


 


อวี๋เยว่หานนั่งอยู่ตรงที่เขาเคยชิน ตรงหน้าวางคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คไว้เครื่องหนึ่ง ร่างกายพิงบนประตูรถเล็กน้อย


 


 


ชายหนุ่มเพิ่งจะเปิดอีเมล และพบว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองเขาอยู่


 


 


ในรถมีอยู่เพียงไม่กี่คน


 


 


ไม่ต้องหันไปมอง เขาก็รู้ว่าเป็นใคร


 


 


ทีแรกเขาคิดว่าเธอแค่มองเพียงพักเดียว ก็จะเลื่อนสายตาออกไป ทว่าเขารออยู่นานแล้ว สายตาคู่นั้นเหมือนไม่คิดที่จะเบนออกไปแม้แต่น้อย


 


 


เอาแต่จ้องมองเขาด้วยสายตาเป็นประกายอยู่ตลอด


 


 


อวี๋เยว่หานจับจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่กลับไม่มีสมาธิเพราะสายตาคู่นั้น


 


 


แม้แต่ตรงหน้าอก ก็เหมือนมีอุ้งเท้าแมวมาเขี่ยเบาๆ


 


 


เขาหรี่นัยน์ตาสีดำขลับลง ก่อนจะมองไปทางเหนียนเสี่ยวมู่


 


 


เดิมทีคิดว่าจะเห็นเธอมองตนเองด้วยสีหน้าชื่นชมอยู่


 


 


แต่ใครจะรูว่าเขาเพิ่งหันหน้าไป ฝ่ามือข้างหนึ่งก็ฟาดลงบนหน้าเขาแล้ว!


 


 


“คุณอย่าขยับสิ มียุง!”


 


 


อวี๋เยว่หาน “…”


 


 


“ขอโทษที ตบไม่โดนน่ะ” เหนียนเสี่ยวมู่เหลือบมองเขาด้วยความไม่มั่นใจครั้งหนึ่ง ก่อนจะหดมือกลับไปอย่างเก้ๆ กังๆ


 


 


หลังจากได้สบสายตามืดมนของเขา เธอพลันอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วในอกหลบเข้าไปอยู่ในมุม


 


 


อวี๋เยว่หาน “…”


 


 


เธอเป็นเด็กขี้แกล้งที่สวรรค์ส่งมาให้เขาเหรอ


 


 


เขาไม่เห็นยุงสักตัว เห็นแต่ฝ่ามือข้างหนึ่งประทับบนใบหน้าของเขา


 


 


เธอตีเขา!


 


 


“เอี๊ยด” รถจอดได้ทันเวลา


 


 


ผู้ช่วยหันหน้ามาเตือน “คุณชายครับ ถึงโรงหนังแล้ว”


 


 


อวี๋เยว่หานยังไม่ทันได้พูดอะไร เหนียนเสี่ยวมู่ก็เปิดประตูรถอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วพุ่งลงจากรถราวกับหนีตาย


 


 


เธอยืนอยู่ที่ทางเข้าโรงหนัง พลางตะโกนเรียกเขา “วันหยุดคนเยอะมาก ฉันเข้าไปต่อแถวซื้อตั๋วก่อนนะ”


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน ความจริงแล้วคุณไม่ต้อง…” ผู้ช่วยอยากเตือนเธอ ว่าโรงหนังเป็นธุรกิจในเครือของตระกูลอวี๋ ทว่าอวี๋เยว่หานก็เหลือบมองเขาอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง


 


 


ผู้ช่วยตัวสั่นทั้งตัวในทันที


 


 


ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็หยุกชะงักไป


 


 


แสร้งเป็นว่าเมื่อครู่ตนเองไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น


 


 


ผู้ช่วยมองอวี๋เยว่หานลงจากรถอย่างไม่รีบร้อน และมองเหนียนเสี่ยวมู่ที่กำลังต่อแถมอยู่หน้าห้องขายตั๋ว ชายหนุ่มเดินล้วงกระเป๋าเสื้อกันลมด้วยมือข้างเดียวไปหาเธอ


 


 


อวี๋เยว่หานรับเสี่ยวลิ่วลิ่วมาจากในอกของเธอ ให้พวกเธอบังอยู่ข้างหน้าตนเอง


 


 


เมื่อเงาร่างสูงศักดิ์ปรากฏขึ้น ก็เรียกเสียงฮือฮาจากรอบๆ ได้ระลอกหนึ่ง


 


 


“หล่อจังเลย! ดูเร็วๆ โคตรหล่อ!”


 


 


“เธอเห็นเขาอุ้มลูกหรือเปล่า ดูก็รู้ว่ามีลูกแล้ว!”


 


 


“อย่าพูดมั่ว คนหล่อที่หนุ่มขนาดนี้ จะมีลูกได้ยังไง นั่นต้องเป็นน้องสาวของเขา…”


ตอนที่ 281 มีตรงไหนแปลกๆ หรือเปล่า


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่หันไปมอง เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยดังมาไม่หยุด แล้วจึงเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างเงียบๆ เพื่ออยู่ห่างจากเขาเล็กน้อย


 


 


กลัวว่าเดี๋ยวจะมีคนเห็นเธอเป็นศัตรู


 


 


“น้องสาวอะไร เธอดูให้ดีสิ ภรรยาของเขาก็อยู่ข้างหน้าไง หน้าตาดีทั้งสามคนพ่อแม่ลูกเลย!”


 


 


“ฉันว่าไม่ใช่นะ พ่อแม่ลูกที่ไหนจะห่างเหินกันขนาดนี้…”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ส่ายหน้า ไม่ไปฟังเสียงรอบข้าง เธอกำลังจะซื้อตั๋ว แต่อยู่ๆ บนไหล่ก็มือเพิ่มขึ้นมาข้างหนึ่ง


 


 


มือที่มีนิ้วเรียวชัดเจนของเขาวางอยู่บนไหล่ของเธอ แต่สายตากลับมองไปยังหน้าจอขายตั๋ว แล้วพูดอย่างเรียบเฉยๆ


 


 


“อยากดูหนังอะไร”


 


 


“…”


 


 


ความสนใจของเหนียนเสี่ยมู่อยู่บนไหล่ของตนเอง


 


 


เธอมองมือของเขาที่วางอยู่บนนั้น พลางเบิกตาโพลงด้วยความงงงันเล็กน้อย


 


 


และข้างๆ เธอก็มีเสียงกรี๊ดดังขึ้นมาระลอกหนึ่งในเวลาเดียวกัน


 


 


“อ๊าย แมนมาก! หล่อสุดยอด!”


 


 


“ฉันก็บอกแล้วว่าเป็นพ่อแม่ลูก ฉลาดหน่อยเธอน่ะ!”


 


 


“ปวดใจจัง ผู้ชายหล่อมีเจ้าของหมดแล้วจริงๆ ด้วย มีแค่ฉันที่ยังเป็นโสด!”


 


 


“ความอิจฉาทำให้ฉันไม่เป็นตัวเอง…”


 


 


คนรอบข้างกำลังพูดอะไรบางอย่าง แต่เหนียนเสี่ยวมู่ไม่ได้ยินแล้ว


 


 


เมื่อครู่เขาได้ยินหรือเปล่าว่าทุกคนกำลังพูดอะไร


 


 


ทุกคนต่างก็เข้าใจผิด แต่เขาไม่รักษาระยะห่างกับเธอ แถมยังเข้ามากะทันหันแบบนี้…


 


 


ถ้าสายตาฆ่าคนได้ เมื่อครู่เธอคงถูกสายตาอิจฉาของหญิงสาวแทงเป็นหมื่นครั้งแล้ว!


 


 


“อวี๋เยว่หาน…”


 


 


“ชอบหนังอาร์ตไหม” อยู่ๆ เขาก็ถาม


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


เธอยังไม่ทันแสดงความคิดเห็น เขาก็ซื้อตั๋วสามใบ จากนั้นก็จูงเธอเดินไปตรงที่เก็บตั๋ว


 


 


หญิงสาวเดินโซซัดโซเซตามเขาไป เมื่อดึงสติกลับมาได้ เธอก็รีบคว้าแขนเสื้อกันลมของเขาเอาไว้


 


 


“ไม่ได้จะดูหนังเด็กหรอกเหรอ เสี่ยวลิ่วลิ่วอายุเท่านี้ ยังดูหนังอาร์ตไม่รู้เรื่องหรอกมั้ง?”


 


 


เมื่อเธอพูดจบ อวี๋เยว่หานก็ชะงักฝีเท้า แล้วหันมาหาเธอ


 


 


คิ้วโก่งเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะชี้ไปที่เสี่ยวลิ่วลิ่วที่พิงอยู่บนไหล่ของเขา เด็กหญิงหลับสนิทไปแล้ว


 


 


ดูท่าทางเจ้าตัวเล็กจะหลับตั้งแต่สามนาทีแรก


 


 


“คุณว่าเธอเป็นแบบนี้ ยังจะดูหนังได้เหรอ”


 


 


“…” ก็ไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ


 


 


แต่เดิมทีพวกเขามาดูหนังเป็นเพื่อนเสี่ยวลิ่วลิ่ว ตอนนี้เจ้าตัวหลับไปแล้ว พวกเขาควรพาเธอกลับไปนอนไม่ใช่เหรอ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา ชายหนุ่มตรงหน้าก็เหมือนจะรู้ความคิดของเธอแล้ว


 


 


ใบหน้าของเขาพลันเฉยชา ก่อนจะขยับริมฝีปากบาง


 


 


“มาแล้วนี่ ดูจบแล้วค่อยไป”


 


 


เขาพูดจบ ก็โทรศัพท์ให้ผู้ช่วยเตรียมที่ปิดหูให้เสี่ยวลิ่วลิ่ว จากนั้นค่อยหันหน้าไปมองเหนียนเสี่ยวมู่


 


 


“ดูหนังก็ต้องมีขนมใช่ไหม”


 


 


“…ใช่!” เหนียนเสี่ยวมู่กำลังเหม่อลอย แต่ยังตอบไปตามสัญชาตญาณ


 


 


ไม่กินขนมแล้วจะดูหนังได้อย่างไร!


 


 


หญิงสาวกันหน้าไปมองหน้าต่างขายขนม ก่อนจะเดินไปข้างหน้า แล้วสั่งป็อปคอร์นกับเครื่องดื่มอย่างรวดเร็ว


 


 


หลังจากพูดจบ เธอถึงจะนึกขึ้นได้ และหันไปมองอวี๋เยว่หานที่อยู่ข้างหลัง


 


 


“คุณจะกินไหม”


 


 


เขาชวนเธอมาดูหนัง เธอเลี้ยงขนมเขาก็ได้


 


 


อวี๋เยว่หานเหลือบมองสิ่งของในมือของเธอครั้งหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วอย่างเมินเฉย


 


 


เขาอยากจะบอกว่าไม่ต้อง แต่เมื่อชำเลืองเห็นดวงตาเป็นประกายของเธอ คำพูดตรงปากก็เปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด “ลองดูก็ได้”


 


 


“งั้นฉันซื้อให้คุณอีกชุดหนึ่งนะ” เหนียนเสี่ยวมู่พูด พร้อมกับเตรียมจ่ายเงิน


 


 


แต่ต่อมาเธอก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเขา “ไม่ต้อง ชุดเดียวแบ่งกันก็พอ”


 


 


“ก็ได้ พวกเรากินด้วยกันก็ได้ ฉันซื้อชุดใหญ่มาพอดี…” เธอตอบตามสัญชาตญาณ แต่พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีตรงไหนแปลกๆ


 


 


 


 


ตอนที่ 282 ฉันคิดถึงคุณอยู่


 


 


ทั้งสองคนดูหนังด้วยกัน แถมยังแบ่งขนมชุดเดียวกันอีก


 


 


ความรู้สึกแบบนี้…เหมือนคู่รัก


 


 


ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเหนียนเสี่ยวมู่ เธอจึงตัวแข็งทื่อไปหมด


 


 


ขณะที่สติไม่อยู่กับตัวนั้น อวี๋เยว่หานที่อยู่ข้างหลังก็เดินมาข้างๆ เธอ และวางบัตรเครดิตของตนเองไว้บนเคาท์เตอร์เก็บเงิน


 


 


“รูดบัตรครับ”


 


 


“ไม่ต้องหรอก ฉันมีเงินสด ฉันเลี้ยงคุณเอง” เหนียนเสี่ยวมู่เหลือบเห็นเขาจะจ่ายเงิน จึงไม่สนใจอะไรมากอีก


 


 


เธอรีบหยิบบัตรเครดิตของเขาขื้นมายัดใส่มือเขา แล้วควักเงินสดในกระเป๋าตัวเองจ่ายไป


 


 


อวี๋เยว่หานยืนอยู่ข้างๆ เธอ มองบัตรเครดิตที่เธอยัดกลับมาในมือ ตะลึงงันไปเล็กน้อย


 


 


มีผู้หญิงแย่งจ่ายเงินอยู่ข้างหน้าเขาเป็นครั้งแรก


 


 


และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาให้ผู้หญิงคนหนึ่งจ่ายเงินให้เขา


 


 


ความรู้สึกแบบนี้แปลกมาก แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าจริงใจของเธอ เขาก็ไม่อยากจะกำจัดความรู้สึกนี้ออกไป


 


 


เขาปล่อยให้เธอจ่ายเงิน และช่วยเธอถือเครื่องดื่ม พลางมองเธอหยิบเฟรนช์ฟรายส์ใส่ปากอย่างรีบร้อน มุมปากของเขายกขึ้นโดยไม่รู้ตัว


 


 


“เฟรนช์ฟรายส์น่ะต้องกินร้อนๆ ถึงจะดี คุณลองดูสิ!” เหนียนเสี่ยวมู่กินของตัวเองไปชิ้นหนึ่งแล้ว ถึงจะยื่นไปตรงปากของเขา


 


 


ดวงตาสดใสส่องประกายไร้เดียงสาออกมา


 


 


อวี๋เยว่หานหรี่ตาลง อยากปฏิเสธแท้ๆ แต่กลับอ้าปาก


 


 


ปล่อยให้เธอป้อนเฟรนช์ฟรายส์ใส่ปากของเขา


 


 


ความรู้สึกนุ่มนวลท่ามกลางความกรอบ พูดไม่ถูกว่ามีรสชาติอะไร แต่เห็นเธอกินเข้าไปอย่างเบิกบานใจชิ้นแล้วชิ้นเล่า สายตาของเขาก็อ่อนโยนขึ้นโดยไม่รู้ตัว


 


 


“ไม่เลว”


 


 


“ใช่ไหมล่ะ คุณก็คิดว่าอร่อยใช่ไหม ถ้าเสี่ยวลิ่วลิ่วตื่นอยู่ เธอต้องแย่งฉันแน่ๆ แต่เธอกินขนมมากเกินไปไม่ได้…” เหนียนเสี่ยวมู่พูดพึมพำระหว่างเดินไปที่โรงฉายหนัง


 


 


อวี๋เยว่หานซื้อตั๋วในโรงหนังวีไอพี


 


 


โรงหนังกว้างขวาง ที่นั่งก็สบายมาก กึ่งนั่งกึ่งนอนดูหนังได้เลยทีเดียว


 


 


อวี๋เยว่หานจัดเก้าอี้เอนตรงริมสุดเรียบร้อยแล้ว ถึงจะวางเสี่ยวลิ่วลิ่วไว้บนนั้น ส่วนตนเองนั่งติดกับเหนียนเสี่ยวมู่


 


 


หญิงสาวตะลึงงันไป ก่อนจะมองเขาด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง


 


 


แต่บนใบหน้าของเขากลับไม่มีความรู้สึกใด มีแต่ความเรียบเฉยอยู่บนใบหน้า “หนังเริ่มแล้ว”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ดึงสติกลับมา เธอรีบกอดถังป็อปคอร์นเอาไว้ พลางมองไปที่จอหนังขนาดใหญ่


 


 


ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือเปล่า เขาเลือกหนังอาร์ตโรแมนติกเรื่องหนึ่ง


 


 


แม้ความรักของตัวละครชายหญิงจะไม่ได้ร้อนแรง แต่ก็เป็นความรักที่ผูกพันกันอย่างยาวนาน มีความหวานชื่นในชีวิตประจำวัน แต่กลับทำให้เธอหน้าแดงและใจเต้นแรง


 


 


เมื่อเห็นตัวละครหญิงในหนังจูบตัวละครชายโดยไม่ทันระวังไม่ครั้งแรก ในหัวของเหนียนเสี่ยวมู่มีภาพเธอชนอวี๋เยว่หานครั้งแรกที่โรงพยาบาลผุดขึ้นมาทันที…


 


 


หางตาของเธออดลอบมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้


 


 


คราวนี้ถึงจะพบว่าทั้งสองคนนั่งใกล้กันมาก


 


 


เธอได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของเขา และได้กลิ่นมินต์สดชื่นบนตัวของเขาด้วย…


 


 


อวี๋เยว่หานเหมือนจะรู้สึกถึงสายตาของเธอ จึงมองเธอครั้งหนึ่ง


 


 


หญิงสาวเงยหน้าขึ้นโดยไม่คิด ทำเป็นเหมือนว่าตนเองกำลังตั้งใจดูหนังอยู่


 


 


จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงดึงดูดของเขา


 


 


“คุณคิดว่าหนังเรื่องนี้…”


 


 


“ไม่เหมือนพวกเราเลย! ฉันจูบคุณโดยไม่ระวังในครั้งแรก เป็นเพราะคุณชนฉัน ฉันเป็นผู้รับเคราะห์!” เหนียนเสี่ยวมู่ขัดจังหวะของเขาอย่างรีบร้อน


 


 


จากนั้นก็พบว่าตนเองเสียงดังมาก


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่รีบปิดปาก ก่อนจะหันไปถลึงตามองชายหนุ่มที่ทำให้เธอขายหน้า


 


 


ทันใดนั้นเธอก็ได้สบสายตาเจ้าเล่ห์จากดวงตาสีดำคู่นั้น


 


 


“ผมแค่อยากถามคุณว่า คุณคิดว่าหนังเรื่องนี้ถ่ายทำได้ไม่เลวเลยว่าไหม”


 


 


“…”


 


 


“เหนียนเสี่ยวมู่ ตอนดูหนังเนี่ย ในหัวคุณคิดอะไรอยู่”


ตอนที่ 283 อย่าร้องไห้เลย


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


น่าอึดอัดจัง


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตะลึงไปหลายวินาที แต่อยู่ๆ ก็ยื่นมือไปปิดปากของเขาเอาไว้


 


 


“ชู่ว! ตอนดูหนังห้ามพูด จะรบกวนคนอื่น!” เธอพูดจบก็หันหน้าไปมองจอหนังอีกครั้งทันที


 


 


ทำเป็นว่าตนเองกำลังตั้งใจดูหนัง


 


 


ในโรงหนังมืดมาก อวี๋เยว่หานมองไม่เห็นว่าเธอหูแดง แถมยังลามไปที่หน้าแล้วด้วย


 


 


เมื่อรู้ว่าสายตาของเขาเลื่อนออกจากตนเอง เหนียนเสี่ยวมู่ถึงจะโล่งใจได้


 


 


เธอกอดป็อปคอร์นไว้ พลางใส่เข้าไปในไปทีละชิ้น


 


 


แกรบๆ


 


 


พอกินเข้าไปเยอะแล้ว เธอก็หยิบเครื่องดื่มขึ้นมาดื่มตามสัญชาตญาณ


 


 


แต่เพิ่งเตรียมจะดื่มอีกอึกหนึ่ง อยู่ๆ เธอก็รู้สึกว่ามีตรงไหนแปลกๆ ไป


 


 


หญิงสาวก้มหน้าลงมอง เครื่องดื่มแก้วที่เป็นของเธอยังตั้งอยู่ในพนักวางแขนเรียบร้อย


 


 


ส่วนแก้วในมือของเธอเป็นของอวี๋เยว่หาน…


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่พลันลนลาน เกือบจะพ่นน้ำในปากออกมาแล้ว


 


 


เธอจึงรีบวางเครื่องดื่มของเขากลับที่เดิมอย่างลนลาน


 


 


ขณะกำลังเลว่าต้องอธิบายกับเขาว่าตนเองไม่ระวังเลยดื่มผิดแก้ว ก็พลันเห็นเขายื่นมือไปยกเครื่องดื่มที่เธอเพิ่งวางลงไปขึ้นมา…


 


 


“เดี๋ยวก่อน แก้วนั้นฉันเพิ่ง…” ยังไม่ทันได้พูดคำว่าดื่มออกมา ริมฝีปากบางของเขาก็แนบอยู่บนตำแหน่งที่เธอเพิ่งดื่มไปแล้ว และดื่มมันเข้าไปอย่างสงบนิ่ง


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตัวแข็งทื่อทันที!


 


 


แบบนี้นับว่าพวกเขาจูบกันหรือเปล่า


 


 


“เมื่อกี้คุณจะพูดว่าอะไรนะ” อวี๋เยว่หานวางเครื่องดื่มลง ชำเลืองมองเธอ


 


 


หญิงสาวดึงสติกลับมาทันควัน แล้วส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว


 


 


“ไม่มีอะไร ฉันไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น!”


 


 


อยากพูดอะไรก็ไม่ทันแล้ว


 


 


พูดออกมาตอนนี้ ก็มีแต่จะน่าอึดอัดกว่าเดิม


 


 


ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ ทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน


 


 


เธอไม่ได้หลอกจูบเขา…


 


 


ถุยๆ! พูดผิดแล้ว ไม่ได้แอบหลอกดื่มเครื่องดื่มของเขา


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่รู้สึกผิดต่อเขา จึงหยิบป็อปคอร์นยื่นไปที่ปากเขาชิ้นหนึ่ง


 


 


เมื่อเห็นเขากินเข้าไป เธอถึงจะหันไปดูหนังต่อ


 


 


เรื่องรักใคร่ในหนังกำลังเข้าสู่ช่วงที่สวยงามที่สุดพอดี เมื่อเห็นแบบนั้น เธอพลันดูจนเคลิบเคลิ้ม


 


 


โดยไม่ได้สังเกตว่าชายหนุ่มข้างๆ มองเธอไม่ละสายตาอยู่ตลอด ตั้งแต่กินป็อปคอร์นชิ้นนั้นเข้าไป


 


 


เขามองเธอ ที่กำลังตาแดงเพราะหนังที่เริ่มซึ้งขึ้นมา


 


 


เขามองเธอ ที่ร้องไห้ก็ไม่ลืมที่จะกินป็อปคอร์นจนหมด…


 


 


ความจริงแล้วท่าทางไม่ระวังตัว ไม่เรียบร้อยเหมือนลูกคุณหนู ก็ทำให้รู้สึกสบายใจมากเหมือนกัน


 


 


ช่วงสุดท้ายของหนัง ตัวละครชายและหญิงไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะเหตุผลบางอย่าง


 


 


และต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่แตกต่างกัน


 


 


แต่บางครั้งใครคนหนึ่งก็จะคิดถึงคนที่เคยอยู่ในชีวิตของตนเองขึ้นมา…


 


 


สมจริงมาก เป็นตอนจบที่ทิ่มแทงใจมาก


 


 


เสียงสะอื้นพลันดังขึ้นที่ข้างหู


 


 


เขาหันไปเห็นคนที่เมื่อครู่เอาแต่กิน กำลังร้องไห้ขี้มูกโป่ง


 


 


หญิงสาวก้มหน้าควานหากระดาษทิชชู่ในกระเป๋าถือ


 


 


ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็ยื่นข้ามตัวเธอ ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเธอ แล้วหยิบกระดาษทิชชู่ออกมา


 


 


เขาดึงออกมาส่งให้เธอหนึ่งแผ่น


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตะลึงไปในทันที


 


 


ก่อนจะเงยหน้ามองเขาพร้อมใบหน้าเปื้อนน้ำตาอันน่าอายด้วยความสับสนเล็กน้อย


 


 


เดิมทีเธอคิดว่าจะเห็นรอยยิ้มเยาะบนใบหน้าของเขา


 


 


แต่ที่เธอเห็น มีเพียงดวงตาสีดำลุ่มลึกเหมือนจักรวาลคู่หนึ่ง


 


 


เมื่อเห็นเธออึ้งงัน มือของเขาก็ยกขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธอเล็กน้อย


 


 


“อย่าร้องไห้เลย หนังก็หลอกคนทั้งนั้นแหละ”


 


 


 


 


ตอนที่ 284 หวานเหลือเกิน


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่รับกระดาษทิชชู่จากมือของเขา มาเช็ดน้ำตาของตนเอง จากนั้นก็โต้แย้งพร้อมจมูกแดงๆ “ศิลปะมาจากชีวิต ต้องมีคนเป็นแบบนี้จริงๆ”


 


 


เธอพูดพรางตาแดงก่ำขึ้นอีก


 


 


ทั้งสองคนรักกันแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้ ช่างทรมานใจเกินไปจริงๆ


 


 


“งั้นก็อย่าร้องไห้เลย” เสียงของอวี๋เยว่หานทุ้มลงเล็กน้อย เธอยังไม่ทันซาบซึ้ง เขาก็พูดเสริมขึ้นอีก “ร้องไห้แล้วน่าเกลียด”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !!


 


 


จบความเป็นเพื่อน!


 


 


หนังจบแล้ว คนรอบข้างจึงทยอยกันออกไป


 


 


ส่วนพวกเขาเดินรั้งท้าย


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วหลับอุตุอยู่ในโรงหนัง เมื่อเดินออกมาข้างนอกโรงหนังแล้ว เธอถึงจะสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา


 


 


เด็กหญิงกำหมัดเล็กๆ ขึ้นมาขยี้ตาเล็กน้อย


 


 


แถมยังหาวน่ารักครั้งหนึ่ง ก่อนจะมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เห็นเด็กหญิงตื่นแล้ว จึงเตรียมจะยื่นมือไปอุ้มเธอ แต่ก็เห็นใครบางคนถือดอกกุหลาบช่อใหญ่เดินมาทางพวกเขาเสียก่อน


 


 


“คุณครับ ซื้อกุหลาบให้ภรรยาสักดอกสิครับ”


 


 


“…”


 


 


“ภรรยาสวยขนาดนี้ คลอดลูกสาวน่ารักให้คุณด้วยคนหนึ่ง คุณคงจะไม่เสียดายเงินซื้อดอกกุหลาบให้ภรรยาสักดอกหรอก” พ่อค้าเห็นพวกเขาเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกที่เพิ่งดูหนังจบ


 


 


พลางขายอย่างตั้งอกตั้งใจ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ดึงสติกลับมา ก่อนจะรีบพูด “พวกเราไม่ใช่สามีภรรยากันค่ะ พวกเราไม่ซื้อ!”


 


 


เธอเพิ่งจะเตรียมอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วเดินไป รีบหลบเลี่ยงสถานการณ์ที่น่าอึดอัดแบบนี้


 


 


ใครจะรู้ว่าเพิ่งอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่ว เด็กหญิงก็ยื่นนิ้วออกไปจิ้มดอกกุหลาบตรงหน้า


 


 


และพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ปาปาซื้อดอกไม้เร็ว หนูกับพี่สาวคนสวยชอบดอกไม้นะ!”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


“ฮ่าๆ สาวน้อยตาแหลมจริงๆ ดอกกุหลาบพวกนี้พวกเราปลูกเอง ให้ดอกกุหลาบสาวสวยคนนี้เหมาะสมที่สุด คุณจะซื้อกี่ดอกดีครับ” พ่อค้าได้ยินเสี่ยวลิ่วลิ่วพูดดังนั้น ก็รีบตอบรับ


 


 


โดยไม่สนว่าพวกเขามีความสัมพันธ์อะไร ขอเพียงขายดอกไม้ได้ก็พอแล้ว


 


 


อวี๋เยว่หานสวมเสื้อกันลมตัวยาว ขับเน้นให้ร่างสูงโปร่งของเขายิ่งดูสูงและหล่อเหลา


 


 


สองมือของเขาล้วงอยู่ในกระเป๋าเสื้อ มีความรำคาญเจืออยู่ในท่าทางดุดันด้วย


 


 


เครื่องหน้าหล่อเหลา พร้อมทั้งมาดอันโดดเด่น ทำให้รอบกายเขามีแต่ความสูงส่งที่บรรยายไม่ได้ เพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิมเท่านั้น


 


 


เขาเงยหน้ามองเหนียนเสี่ยวมู่ หลังจากได้ยินพ่อค้าพูด


 


 


ริมฝีปากบางขยับเล็กน้อย “ดอกกุหลาบในมือคุณ ผมเหมาหมดเลย”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !!


 


 


วิธีขายของห่วยๆ แบบนี้ เขาก็เชื่อด้วยเหรอเนี่ย


 


 


เธอยังไม่ทันมีปฏิกิริยาอะไร อวี๋เยว่หานก็ซื้อดอกไม้ให้เธอแล้ว


 


 


“เสี่ยวลิ่วลิ่วชอบ ถือว่าเอาใจเธอ”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


คุณชายหาน คุณหลงลูกสาวมาก รู้ไปมเนี่ย


 


 


แต่ทำไมมองเห็นดอกกุหลาบสดตรงหน้าแล้ว หัวใจของเธอพลันเต้นเร็วขึ้นมาบ้างล่ะ


 


 


เหมือนเวลาออกเดต และอยู่ๆ ก็ได้รับดอกไม้จากแฟนหนุ่มอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ท่ามกลางความประหลาดใจ เธอรู้สึกดีใจอยู่เล็กๆ…


 


 


วันนี้เธอต้องถูกวางยาแน่!


 


 


หญิงสาวมองอวี๋เยว่หานที่อยู่ตรงหน้า และรู้สึกว่าเขาอ่อนโยนขึ้นมากทีเดียว


 


 


ต้องเป็นเพราะเสี่ยวลิ่วลิ่วแน่ๆ


 


 


ถูกต้อง! เสี่ยวลิ่วลิ่วน่ารักขนาดนี้ ใครอยู่ใกล้เธอก็ต้องอ่อนโยนขึ้นแน่นอน


 


 


“ขอบคุณ”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่รับดอกไม้มา และพยายามไม่ให้ตนเองคิดมั่วซั่วอีก


 


 


“ตอนนี้กลับบ้านเลยไหม รถของพวกเราจอดอยู่ไหน…” เธอหันไปมองรอบๆ


 


 


หญิงสาวยังพูดไม่จบ อยู่ๆ อวี๋เยว่หานก็ยื่นมือมาจับท้ายทอยของเธอเอาไว้ แล้วกอดทั้งเธอและเสี่ยวลิ่วลิ่วเข้าแนบอก!


 


 


กลิ่นอายเพศชายอันรุนแรงพุ่งมาเตะจมูก


 


 


แถมยังมีความเอาแต่ใจในแบบของเขาด้วย…


ตอนที่ 285 จากมีวาสนาสู่ไร้วาสนา


 


 


เขาเป็นอะไรไป


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ใจเต้นจนเกือบจะทะลุออกมา ทว่าเพิ่งคิดจะเงยหน้า ก็พบว่ามือข้างที่กดท้ายทอยของเธอเอาไว้กำลังออกแรงอยู่เงียบๆ ไม่ให้เธอขยับ


 


 


เธอจะหายใจไม่ออกแล้ว!


 


 


“อวี๋เยว่หาน…”


 


 


“อย่าขยับ มีนักข่าว” เสียงทุ้มต่ำของเขาค่อยๆ ดังขึ้น


 


 


แขนอีกข้างหนึ่งของเขาที่โอบเอวเธอก็ไว้ก็กระชับทั้งเธอและเสี่ยวลิ่วลิ่วแน่นยิ่งขึ้น


 


 


ไม่ว่าจะมองอย่างไร ภาพนี้ก็เหมือนพ่อแม่ลูกที่รักกันหวานชื่น


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย


 


 


ผ่านไปนานทีเดียว เธอถคงจะถามด้วยความเคร่งเครียด “นักข่าวไปหรือยัง”


 


 


หัวเล็กๆ ของเธอเหลือบมองด้านข้างโดยไม่รอคำตอบจากเขา พบว่ามีวัยรุ่นสองสามคนถือกล้องถ่ายรูปอยู่ไม่ไกล


 


 


ดูท่าทางเหมือนเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ที่ออกมาถ่ายรูปเล่นกัน


 


 


ไม่ได้เล็งกล้องมาที่พวกเขา…


 


 


อวี๋เยว่สังเกตเห็นสายตาของ จึงกระแอมเสียงเบาพร้อมกับปล่อยเธอ แล้วพูดเรียบๆ


 


 


“ผมมองผิดไป”


 


 


ใบหน้าเย็นชาของเขาไม่มีความรู้สึกใด มือห้อยอยู่ข้างลำตัว แต่แอบกำหมัดอยู่เงียบๆ


 


 


ในฝ่ามือนั้นร้อนระอุขึ้นมาอยู่บ้าง


 


 


ด้วยสายตาช่างสังเกตของเขา ต้องแยกนักข่าวจริงหรือปลอมได้อยู่แล้ว


 


 


แต่ชั่วขณะที่มองเห็นเธอก้มหน้ามองดอกกุหลาบเมื่อครู่ มือของเขาก็ยื่นออกไปกอดเธอไว้โดยไม่รู้ตัวทันที


 


 


เมื่อดึงสติกลับมาได้ ถึงจะรู้ตัวว่าตนเองทำอะไรลงไป


 


 


“ไม่เป็นไร คุณทำเพื่อปกป้องเสี่ยวลิ่วลิ่ว” เหนียนเสี่ยวมู่ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะก้มหน้ามองเสี่ยวลิ่วลิ่วที่อยู่ในอกของเธอ


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วยังเด็ก อวี๋เยว่หานไม่อยากให้เปิดเผยเธอต่อสื่อ เหนียนสี่ยวมู่เข้าใจได้


 


 


แถวที่จริงพวกเขาก็ไม่ใช่พ่อแม่ลูก ถ้านักข่าวถ่ายรูปได้จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะรายงานอย่างไร


 


 


เขาระแวดระวังแบบนี้ ถือว่าถูกต้องแล้ว


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เม้มปาก “พวกเรารีบกลับบ้านเถอะ”


 


 


ผ่านการกอดเมื่อครู่มาแล้ว บรรยากาศพลันเงียบสงบเป็นพิเศษขณะที่ทั้งสองคนรอผู้ช่วยมา


 


 


จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือของเหนียนเสี่ยวมู่พลันส่งเสียงขึ้นมา


 


 


เธอกอดดอกกุหลาบไว้ในอก ไม่สะดวกใช้มือข้างเดียวรับโทรศัพท์ จึงเผลอไปกดเปิดลำโพง


 


 


เสียงของเฉินจื่อซินดังออกมาจากปลายสายอย่างชัดเจน


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน ผมเหมือนจะเห็นคุณที่โรงหนัง…” เขายังพูดประโยคนี้ไม่จบ สายตาก็ตัดไปโดยไม่ทราบสาเหตุ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


เธอกำลังจะหันไปมองด้วยความแปลกใจ รถของผู้ช่วยก็ขับเข้ามาหาพวกเขาพอดี ก่อนจะจอดสนิทอยู่ที่ข้างทาง


 


 


ประตูรถเปิดออก


 


 


หญิงสาวยังไม่ทันดึงสติกลับมา อวี๋เยว่หานก็เอ่ยปากเสียงเรียบ “ขึ้นรถ”


 


 


“รองประธานเฉินเหมือนจะอยู่ที่นี่เหมือนกัน จริงสิ ก่อนหน้านี้ตอนเขานัดฉันก็บอกว่าซื้อตั๋วหนังไว้แล้ว ใช่โรงหนังนี้หรือเปล่านะ” เหนียนเสี่ยวมู่ดึงแขนเสื้อคลุมกันลมของอวี๋เยว่หานพลางถาม


 


 


ความมืดมนฉายผ่านแววตาของอวี๋เยว่หานไป แล้วตอบอย่างเฉยชา “คุณจำผิดแล้ว ไม่ใช่ที่นี่”


 


 


“แต่รองประธานเฉินบอกว่าเห็นฉัน เขาน่าจะอยู่ใกล้ๆ พวกเรา…” เหนียนเสี่ยวมู่พูด พร้อมกับหันไปมองรอบๆ แต่ยังไม่ทันจะหาเฉินจื่อซินเจอ เงาร่างของอวี๋เยว่หานก็บังข้างหน้าเธอไว้แล้ว


 


 


บนใบหน้าหล่อเหล่าดูมืดครึ้ม


 


 


ดวงตาของเขามีสีดำราวกับน้ำหมึก พลางพูดเสียงเคร่ง


 


 


“เสี่ยวลิ่วลิ่วควรจะกลับบ้านไปพักผ่อนแล้ว”


 


 


“…”


 


 


ก็ถูก พวกเขาออกมาทั้งวันแล้ว


 


 


เด็กไม่เหมือนผู้ใหญ่ เที่ยวเล่นทั้งวันต้องเหนื่อยมากแน่ๆ


 


 


แถมไม่น่าจะบังเอิญขนาดนั้น รองประธานเฉินอาจจะเห็นคนอื่นก็ได้


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ลังเลอยู่แค่วินาทีเดียวเท่านั้น แล้วมุ่งหน้าขึ้นรถไป


 


 


ส่วนอวี๋เยว่หานตามขึ้นไปนั่งข้างๆ เธอ และกำชับให้ผู้ช่วยออกรถทันทีที่ขึ้นรถ


 


 


แต่รถเพิ่งจะเคลื่อนออกไป เฉินจื่อซินก็ถลันออกมาจากในฝูงชน พร้อมกับส่ายหน้าอย่างหัวเสียให้กับโทรศัพท์มือถือที่แบตเตอรี่หมดในเวลาสำคัญ!


 


 


 


 


ตอนที่ 286 เกิดเรื่องผิดปกติต้องมีตัวการ


 


 


วันหยุดสุดสัปดาห์ผ่านไปเร็วมาก


 


 


ข่าวแรกที่เหนียนเสี่ยวมู่ได้รับในสัปดาห์ใหม่เมื่อไปถึงบริษัท ก็คือหวางเมี่ยวเมี่ยวยอมรับผิดและลาออกไปแล้ว


 


 


ไม่มีขั้นตอนพูดจาน้ำท่วมทุ่ง เพียงแค่ยื่นจดหมายลาออก และหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


“ฉันยังคิดว่าเธอจะต่อสู้อีกสักหน่อย ขอให้ผู้จัดการเหวินพูดแทนเธอ คิดไม่ถึงเลยว่าจะออกไปอย่างเด็ดขาดแบบนี้” มีเพื่อนร่วมงานพูดอยู่ข้างๆ


 


 


“พูดตามตรง ฉันรู้สึกแปลกใจมาก ฉันจำได้ว่าเธอมีประวัติการศึกษาดีมาก เธอสร้างผลงานเพื่อจะเข้ามาในบริษัทตระกูลอวี๋ แถมเธอก็หวงแหนงานนั้นมากมาโดยตลอด”


 


 


 “แล้วยังไง เธอได้รับผลกรรมจากการกระทำของตัวเอง วันนี้พวกเราก็ได้ยิน เธอพูดจากไม่น่าฟังขนาดนั้น ถ้าซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนเจรจางานร่วมมือไม่สำเร็จ ตอนนี้คนที่ถูกบีบออกก็คงเป็นซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนแล้ว!”


 


 


เสี่ยวเสี่ยวได้ยินทุกคนพูดคุยกัน แอบรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเหนียนเสี่ยวมู่


 


 


คนในห้องทำงานพากันเงสติกลับมา ก่อนจะมองมายังเหนียนเสี่ยวมู่


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนอย่าเข้าใจผิดนะคะ ไม่มีใครเห็นใจเธอ ทุกคนแค่เสียดายเท่านั้น”


 


 


“ใช่ค่ะๆ ถึงยังไงก็เป็นเพื่อนร่วมงานกัน พวกเราแค่เสียดายเฉยๆ”


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ” เหนียนเสี่ยวมู่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปนั่งลงตรงที่ของตนเอง


 


 


ในหัวของเธอเต็มไปด้วยคำพูดเมื่อครู่


 


 


ลางสังหรณ์บอกเธอว่า เหมือนจะมีตรงไหนแปลกๆ ไป…


 


 


“พูดขึ้นมาแล้ว ครั้งนี้ก็โชคดีที่ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนพูดภาษาอิตาลีได้ แถมยังละเอียดจนพบว่ามิสเตอร์ลอมบาร์ดีชอบกินอาหารจีน ถึงได้มีโอกาสร่วมงานกัน”


 


 


เพื่อนร่วมงานรอบๆ เห็นเหนียนเสี่ยวมู่เข้าถึงได้ง่าย จึงค่อยๆ ผูกมิตรกับเธอ


 


 


“นี่ๆๆ เธอพูดสิ่งที่ฉันอยากพูดไปแล้วเนี่ย ความจริงแล้วไม่ใช่แค่ครั้งนี้ งานร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าครั้งก่อน ก็เพราะมีซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน ถึงเชิญซ่างซินมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้ ตอนนี้ข้างนอกมีแต่ชมว่าแผนกเราทำได้ทุกอย่างแล้ว!”


 


 


มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าภูมิใจ


 


 


คนที่อยู่ข้างๆ หัวเราะแล้วสะกิดเธอครั้งหนึ่ง “พอแล้วมั้งเธอน่ะ พูดมากอยู่ได้ คนที่ทำได้ทุกอย่างคือซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน เธอดีใจอะไรเนี่ย”


 


 


“ฉันรู้สึกเป็นเกียรติด้วยยังไงล่ะ!” ทุกคนผลัดกันพูด บรรยากาศคึกคักมาก


 


 


“พอซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนมาที่แผนกของเรา ที่นี่ก็ได้งานใหญ่ติดต่อกัน ตอนนี้เธอเป็นดาวนำโชคของแผนกเรา ฉันว่านะ ฝีมือของเธอไม่ได้ด้อยกว่าผู้จัดการเหวินเลย…”


 


 


เมื่อเห็นคนชมเยอะขึ้นเรื่อยๆ เหนียนเสี่ยวมู่ก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้


 


 


ขณะที่กำลังจะพูดว่างานที่ได้มานั้นเป็นผลงานของทั้งแผนก เธอก็เห็นเหวินหย่าไต้ยืนอยู่ที่ประตูส่วนทำงานทันทีที่เงยหน้าขึ้น


 


 


ไม่รู้ว่าผู้จัดการสาวมาตั้งแต่ตอนไหน


 


 


เวลานี้สีหน้าของเธอบิดเบี้ยวไปบ้าง


 


 


เมื่อสบสายตาของเหนียนเสี่ยวมู่ เธอยิ้มแย้มอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินเข้ามาอย่างสุขุม “อรุณสวัสดิ์”


 


 


“อรุณสวัสดิ์ค่ะผู้จัดการเหวิน!”


 


 


เหล่าเพื่อนร่วมมงานหันกลับไปมอง พากันทักทายเธอ


 


 


ทุกคนที่ชมเหนียนเสี่ยวมู่เมื่อครู่ไม่คิดว่าเหวินหย่าไต้จะมาได้ยินเข้า จึงเคร่งเครียดขึ้นมาบ้าง


 


 


แต่เหวินหย่าไต้กลับเอาแต่ยิ้ม ไม่ได้โกรธ


 


 


แถมยังพูดหยอกล้อตามหัวข้อสนทนาเมื่อครู่


 


 


“ฉันรู้ว่าพวกเธอได้ใหม่ก็ลืมเก่า ฉันเข้าใจนะ”


 


 


“…”


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนเสียสละให้กับแผนก ฉันเห็นมาตลอด ฉันขอรางวัลจากคุณชายหานด้วยตัวเองแล้ว ไม่ใช่แค่ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนนะ ทุกคนในทีมเหนื่อยกันหมด ฉันปรึกษากับรองประธานเฉินของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าแล้ว กำลังเตรียมจัดงานเลี้ยง ฉลองให้กับทุกคนสักครั้ง!”


 


 


พอได้ยินว่ามีงานเลี้ยง เพื่อนร่วมงานในแผนกก็ฮือฮากันขึ้นมา


 


 


เหวินหย่าไต้มองไปทางเหนียนเสี่ยวมู่พร้อมรอยยิ้ม “ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนเป็นหัวเรือใหญ่ ต้องไปให้ได้นะคะ”


ตอนที่ 287 คุณอยากตรวจสอบข้อมูลของฉันเหรอ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กำลังครุ่นคิดว่าทำไมหวางเมี่ยวเมี่ยวถึงได้ออกไปอย่างเด็ดขาดแบบนี้ แต่ก็ดึงสติกลับมาเพราะคำพูดของผู้จัดการสาว


 


 


“ค่ะ” เธอตอบกลับเสียงเบา


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น เหวินหย่าไต้ถึงจะยื่นมือไปตีไหลของอีกฝ่าย และบอกให้ทุกคนทำงาน


 


 


จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องทำงานของตนเอง


 


 


“ครืดๆ!”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งนั่งลง ก็ได้ยินเสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือของตนเอง


 


 


หญิงสาวหยิบขึ้นมาดู พบว่าเป็นข้อความของเฉินจื่อซิน


 


 


เขาบอกกับเธอเรื่องงานเลี้ยง


 


 


แต่เหนียนเสี่ยวมู่ยังไม่ทันตอบ ก็มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเข้ามาใกล้จากข้างๆ พร้อมทำหน้าตาคาดหวัง “ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงของโครงการ งั้นซ่างซินที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ของงานนี้จะไปด้วยไหมคะ”


 


 


เพื่อนร่วมงานหลายๆ คนในแผนกประชาสัมพันธ์เป็นแฟนคลับของซ่างซิน


 


 


เมื่อได้ยินคำถามนี้ เหล่าแฟนคลับก็หันหน้ามามองเหนียนเสี่ยวมู่ทันที


 


 


“พวกเธอคิดอะไรกันอยู่เนี่ย นี่เป็นงานเลี้ยงของพนักงาน ซ่างซินจะมาได้ยังไง” มีเพื่อนร่วมงานหัวเราะเยาะ


 


 


“พวกเราก็รู้แหละว่ายาก แต่ก็ยังเฝ้าฝันเอาไว้ ทำไมเธอต้องทำลายความฝันของทุกคนด้วย จากซ่างซินเป็นซางซิน[1]แล้วเนี่ย…” เพื่อนร่วมงานหลายคนที่สอบถามต่างก็กุมหน้าอก และทำท่าน่าสงสาร


 


 


เรียกเสียงหัวเราะจากในแผนกได้ระลอกหนึ่ง


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ก็หัวเราะตามไปด้วย ก่อนจะเอ่ยปากปลอบใจ “ฉันช่วยถามให้ก็ได้นะ ลองดูว่าเธอว่างมาหรือเปล่า”


 


 


“ขอซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนอายุยืนเป็นหมื่นปี!”


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน ตอนนี้คุณเป็นไอดอลของฉันแล้วค่ะ!”


 


 


“…”


 


 


เมื่อทุกคนเฮฮากันเสร็จก็ถึงเวลาทำงาน จึงกลับไปยังที่นั่งของตนเอง


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ถึงจะว่างหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตอบข้อความของเฉินจื่อซิน และเมื่อคิดดูอีกที เธอก็ส่งข้อความหาซ่างซินด้วย เพื่อสอบถามว่าช่วงนี้เธอสบายดีไหม


 


 


หลังจากถูกลักพาตัวไปครั้งก่อน นอกจากออกงานอีเวนท์ของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าแล้ว ซ่างซินแทบจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนเลย


 


 


ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ส่งข้อความเสร็จ ก็วางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างๆ แล้วเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อทำงาน


 


 


เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ เธอก็หันไปมองเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆ “เสี่ยวเสี่ยว ฉันจำได้ว่าตอนทุกคนเข้าทำงาน จะมีข้อมูลพนักงานโดยละเอียดใช่ไหม”


 


 


“ใช่ค่ะ ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน คุณอยากตรวจสอบข้อมูลของใครเหรอคะ” เสี่ยวเสี่ยวเดินมาข้างๆ เธอ ก่อนจะพูดเสียงเบา “แต่ข้อมูลสำคัญแบบนี้ ทั่วไปแล้วจะมีแต่ผู้จัดการแผนกที่ตรวจสอบได้นะคะ”


 


 


“…”


 


 


อย่างนั้นก็ต้องไปหาเหวินหย่าไต้


 


 


แต่คนที่เธอกำลังสงสัยในตอนนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเหวินหย่าไต้ ถ้าไปหาอีกฝ่าย ก็เกรงว่าจะให้อีกฝ่ายระแวดระวังได้


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆ ถึงจะถามขึ้น ”นอกจากเหวินหย่าไต้แล้ว ยังมีใครรู้ที่อยู่ของหวางเมี่ยวเมี่ยวอีกไหม”


 


 


“ทำไมอยู่ๆ ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนถึงได้อยากเจอหวาง…” เสี่ยวเสี่ยวพูดด้วยความประหลาดใจ แต่ยังพูดไม่จบ ก็ดึงสติกลับมาได้ แล้วรีบปิดปากเอาไว้


 


 


หญิงสาวเข้าไปใกล้ข้างหูของเหนียนเสี่ยวมู่ พร้อมกับกระซิบเตือน


 


 


“เรื่องนี้ง่ายมากค่ะ ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ฉันช่วยคุณสอบถามจากพวกเพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิดกับหวางเมี่ยวเมี่ยวได้ค่ะ” เสี่ยวเสี่ยวพูดจบก็ขยิบตาให้อย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะยกแก้วเปล่าเดินเข้าไปในห้องน้ำชา


 


 


ไม่นานนักเธอก็กลับมาพร้อมข้อมูลจริงๆ


 


 


“ข้างบนนี้คือที่อยู่ค่ะ แต่เธอลาออกไปแล้ว ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนจะไปหาเธอทำไมคะ” เสี่ยวเสี่ยวยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เหนียนเสี่ยวมู่ พลางถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตาเป็นประกาย ก่อนจะรับกระดาษมา “รอให้ได้ผลลัพธ์ก่อน แล้วฉันค่อยบอกเธอนะ”


 


 


หลังจากเลิกงาน หญิงสาวก็เก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว แล้วออกจากแผนกประชาสัมพันธ์ไป


 


 


เธอเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง แล้วบอกให้คนขับไปตามที่อยู่บนกระดาษ


 


 


 


 


[1] ซางซิน (ตัวจีน: 伤心) แปลว่าเสียใจ นักเขียนเล่นคำพ้องเสียงกับชื่อของซ่างซินค่ะ


 


 


 


 


ตอนที่ 288 คุณอวี๋ผู้หยิ่งยโส


 


 


ไม่นานนัก รถก็จอดลงหน้าคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง


 


 


“คุณครับ ถึงแล้ว” คนขับรถแท็กซี่หันมาเตือน


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เปิดประตูรถ ก่อนจะยืนพิจารณาคอนโดมิเนียมตรงหน้าอยู่ริมถนน


 


 


จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างในตามเลขที่ห้องบนกระดาษ


 


 


คอนโดมิเนียมมีเพียงเจ็ดชั้น และไม่มีลิฟต์


 


 


หวางเมี่ยวเมี่ยวอาศัยอยู่ชั้นบนสุด เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งเดินขึ้นไปถึงชั้นหก ก็ได้ยินเสียงย้ายของดังลงมาจากชั้นบน “ทำอะไรเบาๆ หน่อยได้ไหม เดี๋ยวก็ชนตู้ของฉันพังหรอก…”


 


 


นัยน์ตาของเธอพลันเป็นประกาย ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินไปถึงชั้นเจ็ด


 


 


เธอพบว่าผู้อยู่อาศัยที่กำลังย้ายบ้าน ก็คือที่อยู่ที่หวางเมี่ยวเมี่ยวลงทะเบียนไว้


 


 


“ขอถามหน่อยค่ะว่าคุณรู้จักกับหวางเมี่ยวเมี่ยวไหมคะ” เหนียนเสี่ยวมู่เดินไปข้างหน้า คว้าหญิงสาวที่กำลังชี้นิ้วสั่งให้ย้ายบ้านเอาไว้


 


 


“หวางเมี่ยวเมี่ยวอะไร ฉันไม่รู้จัก ฉันเพิ่งย้ายมาใหม่” หญิงสาวพิจารณาเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วพูดด้วยความรำคาญใจ


 


 


ครั้นพูดจบ หญิงสาวคนนั้นก็สั่งให้คนของบริษัทย้ายบ้านทำอะไรเบาๆ หน่อย อย่าทำให้แจกันดอกไม้ของเธอแตก


 


 


เพิ่งย้ายมาใหม่…


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตะลึงงันไปเล็กน้อย


 


 


ทันใดนั้นหญิงสาวคนเมื่อครู่ก็เดินออกมาพูดอีก ราวกับนึกอะไรบางอย่างได้


 


 


“จริงสิ ฉันได้ยินเจ้าของห้องบอกว่า คนที่อยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้ก็เป็นผู้หญิง น่าจะชื่อเมี่ยวเมี่ยวอะไรที่คุณบอกนี่แหละ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงบ้ายออกกะทันหัน ปล่อยให้ห้องว่าง ฉันก็เลยเช่าไว้ ส่วนเรื่องอื่นฉันก็ไม่แน่ใจ”


 


 


“…ขอบคุณค่ะ”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มองห้องตรงหน้าที่เปลี่ยนคนเช่าไปแล้ว แล้วจากไปโดยไม่รีรอ


 


 


หลังจากเดินมาถึงข้างใต้คอนโดมิเนียม เธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


 


เธอไม่เข้าใจอยู่ตลอด ว่าทำไมหวางเมี่ยวเมี่ยวถึงพุ่งเป้ามาที่เธอ


 


 


คนอื่นรู้แค่ว่าล่ามสาวยอมรับผิดและลาออกไป ก็เพราะสร้างเรื่องเข้าใจผิด


 


 


แต่เหนียนเสี่ยวมู่แน่ใจ ว่าหวางเมี่ยวเมี่ยวสร้างเรื่องเข้าใจผิด เพราะอยากทำลายการทำงานกับมิสเตอร์ลอมบาร์ดี


 


 


แถมยังทำอย่างระมัดระวังเสียด้วย!


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะเหนียนเสี่ยวมู่โชคดีพูดภาษาอิตาลีได้ งานในครั้งนี้จะพังได้อย่างไรก็ไม่รู้เลย


 


 


แต่เธอเพิ่งรู้จักหวางเมี่ยวเมี่ยว ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ร่วมงานกันเท่าไหร่นัก


 


 


ไม่มีความแค้นเก่าหรือใหม่ หวางเมี่ยวเมี่ยวไม่ได้ตอบสนองเหตุผลของเธอโดยสิ้นเชิง


 


 


แค่เพราะอิจฉาเหรอ


 


 


ยังมีคำพูดของเพื่อนร่วมงานอีก หวางเมี่ยวเมี่ยวใส่ใจงานนี้มาก เป็นอย่างที่พูดจริงๆ ล่ามสาวไม่มีทางไม่ขอร้องแทนตนเอง และไปอย่างเด็ดขาดแบบนี้


 


 


แม้แต่ย้ายบ้าน ก็รีบร้อนย้ายไปเช่นกัน…


 


 


“กริ๊งๆ”


 


 


อยู่ๆ เสียงริงโทนโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทำเอาเหนียนเสี่ยวมู่สะดุ้งโหยง


 


 


หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาจากในกระเป๋า เมื่อเห็นบนหน้าจอว่าใครโทรศพัพท์มา เธอก็รีบรับทันที


 


 


“ขึ้นรถ” เสียงเยือกเย็นของอวี๋เยว่หานค่อยๆ ดังขึ้น


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


ขึ้นรถ? ขึ้นรถอะไร


 


 


เธอเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง ก่อนจะเห็นรถมินิแวนที่คุ้นเคยคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง


 


 


กระจกรถลดระดับลง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาล่มเมืองของอวี๋เยว่หาน


 


 


ดวงตาสีดำลุ่มลึก จ้องมองมาที่เธอซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ดึงสติกลับมา แล้ววางสาย จากนั้นก็วิ่งไปขึ้นรถอย่างรวดเร็ว


 


 


“คุณชาย ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้”


 


 


ในรถอุ่นมาก เธอเพิ่งนั่งเรียบร้อย ถอนหายใจอย่างสบายอกสบายใจ และหันหน้าไปมองเขา


 


 


เมื่อได้ยินเธอถาม อวี๋เยว่หานก็ชำเลืองมองเธออย่างเฉยชา


 


 


สายตานั้นทำให้เหนียนเสี่ยวมู่มีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างในทันที


 


 


วินาทีต่อมาก็เห็นเขาขยับริมฝีปากบาง


 


 


“ระหว่างทางกลับบ้านเห็นคนบื้อยืนตัวสั่นอยู่ท่ามกลางลมหนาว ก็เลยใจดีโทรหาสักหน่อย”


 


 


“…”


 


 


เธอก็คือคนบื้อคนนั้น


 


 


และคนบื้อกำลังแสดงออกว่าไม่อยากพูดกับเขา!


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ขดตัวอยู่ในมุมรถ เพิ่งจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมตอบข้อความ


 


 


เงาดำสายหนึ่งพลันปกคลุมมาจากข้างบน พร้อมด้วยเสียงสอบถามอันเคร่งขรึม “กำลังคุยกับใครอยู่” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม